- Advertisement -
31.6 C
Bangkok
Home Blog Page 82

สมาคม สรยท. ร่วมสมาคมอุตฯ ยานยนต์ไทย จัด Meets The Press จับตาทิศทางตลาดรถยนต์ปี 2567

สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ร่วมมือกับสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (The Thai Automotive Industry Association : TAIA) จัดกิจกรรม TAIA Meets The Press ให้ข้อมูลเชิงสัมมนาทางวิชาการกับสื่อมวลชนสายยานยนต์ที่เป็นสมาชิกของสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) และผู้สนใจทั่วไป ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2567” โดยงานจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน 2567 เวลา 13.30 น. ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ณ อาคารอิมแพ็คฟอรัม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี

นายวชิระ เรืองมาลัย นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ (Thailand Automotive Journalists Association : TAJA) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมสัมมนาทางวิชาการ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางวิชาการหลักของสมาคมฯ จัดขึ้นเพื่อให้สมาชิกได้รับข้อมูลความเคลื่อนไหวในด้านต่างๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอข่าวสารที่ถูกต้องในช่องทางต่างๆ ของสมาชิก

สำหรับสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) เป็นองค์กรพันธมิตรกับสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ที่ผ่านมาทั้ง 2 องค์กร ได้มีความร่วมมือในการจัดกิจกรรม TAIA Meets The Press ร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง ในการจัดสัมมนาแต่ละครั้งสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) ได้นำเสนอข้อมูลพื้นฐานของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องมาแลกเปลี่ยนกับสื่อมวลชนสายยานยนต์ที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่สมาชิกสมาคมฯ สามารถนำไปต่อยอดประกอบข้อมูลการรายงานข่าวสู่สาธารณะต่อไป

นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจาก ผู้จัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) แโดยดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ในฐานะประธานจัดงานและประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้ให้ความอนุเคราะห์ห้องจัดสัมมนาครั้งนี้ ภายในอาคารอิมแพ็คฟอรัม อิมแพค เมืองทองธานี สถานที่จัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ให้กับทั้ง 2 องค์กรได้จัดกิจกรรมดังกล่าว ดังนั้น จึงขอเชิญชวนสมาชิกฯ จากทั้ง 2 องค์กรข้างต้น และผู้สนใจทั่วไปทุกท่านเข้าร่วมงานสัมมนาและกิจกรรมดังกล่าว เพื่อรับฟังข้อมูลความคืบหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย จากองค์กรที่น่าเชื่อถือในทุกมิติ ทั้งการผลิต การจำหน่ายในประเทศ และการส่งออก เพื่อนำไปประกอบการนำเสนอข้อมูลที่ได้รับจาการสัมมนาครั้งนี้ไปเผยแพร่ต่อสาธารณะชน ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ ของสมาชิกฯ ต่อไป

วิริยะประกันภัย เปิดกลยุทธ์ปี 67

วิริยะประกันภัย มุ่งมั่นพัฒนาการบริการอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมประกาศแผนงานปี 67 วางทิศทางดำเนินงานภายใต้แนวคิด “ปีแห่งความมั่นคงและเป็นธรรม : มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” ตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยประสบการณ์ด้านประกันวินาศภัยกว่า 77 ปี “มั่นคง” ด้วยสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง 68,335 ล้านบาท “เป็นธรรม” ทุกขั้นตอนของการบริการ และมอบประสบการณ์ความ “คุ้มค่า” ให้แก่ลูกค้า ด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาพัฒนานวัตกรรมบริการใหม่ๆ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยฐานข้อมูล Big Data ที่ลงลึกตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น ส่วนผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมามีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวมทั้งสิ้น 40,077 ล้านบาท ในขณะที่เป้าหมายปี 67 ตั้งเป้าไว้ที่ 43,000 ล้านบาท

นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการให้บริการต่างๆ โดยยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบประสบการณ์ความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “ปีแห่งความมั่นคงและเป็นธรรม : มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” โดยตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการดำเนินงาน บริษัทฯ ยังคงยืนหยัดเคียงข้างดูแลเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการความเสี่ยงด้วยระบบประกันภัยให้กับประชาชนในสังคม พร้อมตอกย้ำความมั่นคงแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์ที่มีอยู่ถึง 68,335 ล้านบาท และอัตราส่วนเงินกองทุน (CAR) อยู่ที่ 180% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานของเงินกองทุนฯ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้

“ผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดประกันวินาศภัย อันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 31 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 14% เช่นเดียวกันกับตลาดประกันภัยรถยนต์ที่วิริยะประกันภัย ยังครองส่วนแบ่งตลาด เป็นอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 36 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 22% ผลสำเร็จนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคง แข็งแกร่ง และความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ทั้งนี้ ผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวมทั้งสิ้น 40,077 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 35,633 ล้านบาท และประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ 4,444 ล้านบาท โดยในปี 2567 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประกันภัยรถยนต์ 38,000 ล้านบาท และประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ 5,000 ล้านบาท” นายอมรฯ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นนโยบาย “ความเป็นธรรม คือ นโยบาย” ซึ่งความเป็นธรรมนี้ยังถูกปลูกฝังและหยั่งรากลึกไปถึงบุคลากรของบริษัทฯ จากรุ่นสู่รุ่น จากพี่สู่น้อง ซึ่งปัจจุบันวิริยะประกันภัยมีพนักงานกว่า 6,700 คน ทั่วประเทศ ทั้งบุคลากรงานส่วนหลังและบุคลากรส่วนหน้าที่คอยให้บริการลูกค้า โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญในทุกขั้นตอนของการบริหารจัดการและการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการจัดการด้านสินไหมทดแทน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของงานบริการประกันภัย เพื่อผู้เอาประกันภัยได้รับการบริการอย่างเป็นธรรม และเกิดความพึงพอใจอย่างสูงสุดทั้งในเรื่องของคุณภาพบริการ และการดำเนินการที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพในทุกขั้นตอน

“ในช่วงที่เราประสบกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมานั้น บริษัทฯ ยังคงยืนหยัดดูแลผู้เอาประกันภัยโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ประกอบกับวิริยะประกันภัย มีสินทรัพย์สภาพคล่องและเงินกองทุนเพียงพอ จึงสามารถดูแลเคียงข้างผู้เอาประกันภัย และจ่ายสินไหมทดแทนจนถึงกรมธรรม์ฉบับสุดท้ายในช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา โดยมีการจ่ายสินไหมทดแทนไปกว่า 3 หมื่นล้านบาท” นายอมร กล่าว

นายอมร กล่าวต่อไปอีกว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้าที่ให้ความเชื่อมั่นไว้วางใจในวิริยะประกันภัย ด้วยการส่งมอบประสบการณ์ที่ “คุ้มค่า” ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมบริการประกันภัย ซึ่ง 2-3 ปี ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่า บริษัทฯ ได้มีการนำบริการ “VClaim on VCall” หรือ การเคลมนัดหมายออนไลน์ผ่านวิดีโอคอลมาให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งปัจจุบันบริการนี้ได้ขยายออกไปครอบคลุมทุกทิศทั่วไทยแล้ว เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าทำให้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวนวัตกรรมบริการใหม่ “V-Inspection” เป็นบริการที่นำ AI เข้ามาช่วยในการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนการรับประกันภัย ให้ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสภาพรถยนต์ได้สะดวกทุกที่ทุกเวลาผ่านมือถือ

ส่วนในด้านของผลิตภัณฑ์ประกันภัย บริษัทฯ ได้ใช้ Big Data พัฒนาผลิตภัณฑ์ตาม Personalization and Customer Insights หรือการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละคน พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด อาทิ V-Motor ขับเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น, Type 1 Good Drive ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจาก 2+Good Drive, ผลิตภัณฑ์ประกันภัยเดินทางต่างประเทศ V Travel Comprehensive, ผลิตภัณฑ์ประกันภัยความรับผิด Carrier, ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองแนวคิด ESG Responsibilities โดยการนำแนวคิด Green Insurance มาพัฒนาร่วมกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีอยู่, Viriyah Privileges เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี ด้วยการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ตลอดระยะเวลาการเป็นสมาชิก

“เรามุ่งหวังที่จะมอบประสบการณ์ที่คุ้มค่าให้แก่ลูกค้า จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเรามีผลิตภัณฑ์ประกันภัยออกสู่ตลาดมากกว่า 60 ผลิตภัณฑ์ โดยมีการนำข้อมูล Big Data อันมาจากการได้ดูแลบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับลูกค้ากว่า 8 ล้านกรมธรรม์ จึงนำมาวิเคราะห์ข้อมูลที่ลงลึกถึงความต้องการและความเสี่ยง ทำให้สามารถนำมาประเมินผลเพื่อกำหนดความคุ้มครองให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า รวมถึงกำหนดเบี้ยประกันภัยอย่างเหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าและพึงพอใจอย่างสูงสุด อีกทั้งบริษัทฯ ยังมุ่งสร้างประสบการณ์อันคุ้มค่าผ่านตัวแทน/นายหน้าประกันวินาศภัยที่มีอยู่เกือบ 6,000 คนทั่วประเทศ ที่พร้อมเข้าไปดูแลลูกค้าในพื้นที่ละแวกใกล้กับสำนักงานตัวแทน และที่สำคัญสำนักงานมาตรฐานตัวแทนของวิริยะประกันภัย ยังถูกยกระดับการบริการให้สามารถดำเนินการออกกรมธรรม์ให้แก่ลูกค้าได้โดยตรงเทียบเท่ากับสาขาของวิริยะประกันภัย” นายอมร กล่าว

ประสบการณ์ความคุ้มค่าเหล่านี้ คือสิ่งที่วิริยะประกันภัยตั้งใจมอบให้แก่ลูกค้าที่มอบความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในบริษัทฯ ทั้งลูกค้าใหม่ รวมถึงลูกค้าเก่าที่ยังคงมีการต่ออายุกรมธรรม์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ วิริยะประกันภัยยังได้เตรียมเปิดตัวแคมเปญบริษัทฯ ภายใต้แนวคิด “มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” พร้อมสื่อสารไปยังสาธารณชนผ่านหนังโฆษณาและสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของวิริยะประกันภัยอีกด้วย

ส่วนทางด้านประกันภัยรถยนต์ (Motor) นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “งานบริการสินไหมที่ดี มีคุณภาพ เป็นธรรม” คือ เป้าหมายร่วมกันของวิริยะประกันภัย ที่ยึดถือและปฏิบัติร่วมกันมาตลอดระยะเวลากว่า 77 ปี นำมาซึ่งชื่อเสียง ความเชื่อมั่น และความไว้วางใจจากลูกค้า จนทำให้วิริยะประกันภัยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดประกันภัยรถยนต์และประกันวินาศภัยโดยรวมเป็นอันดับหนึ่งมาอย่างต่อเนื่อง

“ทุกๆ วันโจทย์ในการทำงานของพวกเรา คือ ลูกค้าต้องได้รับบริการประกันภัยที่ดีที่สุด สินค้าของวิริยะประกันภัย คือ “บริการ” เราต้องทำให้ลูกค้าที่เลือกมอบความไว้วางใจกับวิริยะประกันภัยมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่ดี มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม ซึ่งทุกกระบวนงานของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา ปรับปรุง ต่อยอด ในทุกๆ ส่วนงาน ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง”

ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการพัฒนางานบริการด้านสินไหมทดแทนและงานรับประกันภัยที่สำคัญในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านระบบงาน เรามีการพัฒนา ทบทวน ปรับปรุง Redesign ระบบงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านสินไหมทดแทนและรับประกันภัย ให้กระชับ สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดทอนงานเอกสาร ระยะเวลา และความซ้ำซ้อนในขั้นตอนการทำงานต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็วมากขึ้น  ด้านบุคลากร ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด บริษัทฯ จึงมีนโยบายมุ่งเน้นที่จะพัฒนาศักยภาพในระดับที่เข้มข้น ทั้งการจัดฝึกอบรม พัฒนาทักษะ เติมเต็มองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและการให้บริการลูกค้า เพื่อให้บุคลากรของเรามีความเชี่ยวชาญ และมีความเป็นมืออาชีพอย่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นส่วนหน้าที่ต้องให้บริการลูกค้าโดยตรง และส่วนหลังที่สนับสนุนการปฏิบัติการหรือดำเนินงานต่างๆ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงได้จัดอบรมความรู้หลักสูตรเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุ เจ้าหน้าที่สรุปความเสียหาย รวมไปถึงบริษัทคู่ค้า ตัวแทนประกันวินาศภัย และศูนย์ซ่อมมาตรฐานของวิริยะประกันภัยทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าได้อย่างมืออาชีพอีกด้วย

ส่วนในด้านการบริหารจัดการข้อมูล ด้วยบริษัทฯ มีข้อมูลในการรับประกันภัยและข้อมูลด้านสินไหมทดแทนเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า เราจึงได้ทบทวน ออกแบบ ปรับปรุงโครงสร้างและพัฒนาเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านกระบวนการ Data Analytics อันนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และการบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าโดยตรง ทั้งงานรับประกันภัย งานต่ออายุกรมธรรม์และงานสินไหมทดแทน พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้นำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาในส่วนของระบบงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ  ทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเชื่อมโยงงานรับประกันภัยและงานบริการด้านสินไหมทดแทนเข้าด้วยกัน เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าแบบไร้รอยต่ออีกด้วย

นายสยม กล่าวต่อไปว่า “นับเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับธุรกิจประกันภัย และวิริยะประกันภัย ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการลูกค้า ซึ่งต้องผสมผสานการทำงานร่วมกันกับคน เนื่องจาก Human Touch เป็นเรื่องสำคัญและเปราะบางมากสำหรับธุรกิจประกันภัย ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวล้ำเพียงใดการนำมาใช้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมและความพอดี  สำหรับงานบริการประกันภัยส่วนหน้าที่ต้องเกี่ยวข้องกับการดูแลลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์คับขัน เช่น กรณีเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง คือ ได้รับการดูแลที่ดีจากพนักงานวิริยะประกันภัย ในเรื่องนี้บริษัทฯ ก็ต้องบริหารจัดการด้วยความระมัดระวัง นับตั้งแต่ขั้นตอนการรับแจ้งเคลมจากลูกค้าผ่าน Contact Center หรือ Application การให้บริการลูกค้า ณ จุดเกิดเหตุ และการดูแลลูกค้า ณ จุดบริการต่างๆ (Touch Point) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างชื่อเสียงและการยอมรับด้านการบริการให้วิริยะประกันภัยมาโดยตลอด”

ทั้งนี้ ในส่วนของงานบริการสินไหมทดแทน ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ขยายการบริการแจ้งเคลมผ่านวิดีโอคอล “VClaim on VCall” ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ซึ่งบริการนี้ได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อีกทั้งบริษัทฯ ยังนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมิน วิเคราะห์ และสรุปความเสียหายด้านสินไหมทดแทน ทำให้คู่ค้าบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติงานซ่อมและค่าซ่อมที่รวดเร็ว และลูกค้าได้รับรถยนต์กลับไปใช้งานตามปกติได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการทำประกันภัยกับบริษัทฯ โดยมีการพัฒนานวัตกรรมบริการ “V-Inspection” ซึ่งเป็นบริการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนทำประกันภัยผ่านมือถือ ซึ่งช่วยลดระยะเวลา และการเดินทางเพื่อตรวจสภาพรถยนต์ ทำให้ลูกค้าได้รับการอนุมัติทำประกันภัยที่รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมระบบข้อมูลการรับประกันภัยด้วย API  (Application Programing Interface) ทำให้บริษัทฯ สามารถเชื่อมต่อข้อมูลการประกันภัยกับระบบการขายของคู่ค้าได้อย่างรวดเร็วเป็นปัจจุบัน ลูกค้าจะได้รับทราบเบี้ยประกันภัย ทุนประกัน และความคุ้มครองอย่างทันท่วงที เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจทำประกันภัย และชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้ RPA (Robotic Process Automation) เพิ่มประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการนำเข้าข้อมูลเพื่อพิจารณาอนุมัติและออกกรมธรรม์

“บริษัทฯ ยังมองถึงโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ และในอนาคต ทั้งในเรื่องของเทรนด์การดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น เป็นโอกาสสำหรับบริษัทฯ ในการขยายผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบทุกโจทย์ของการใช้ชีวิตสมัยใหม่ เช่น ประกันคุ้มครองเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า ประกันรถยนต์ตามระยะทางที่ขับจริง ประกันไซเบอร์ ฯลฯ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้า และลูกค้าได้มากขึ้น ความท้าทายในเรื่องของ Claim Inflation การบริหารจัดการต้นทุนสินไหมที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเรื่องของ Cost Technology ในการดูแลความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากความซับซ้อนของเทคโนโลยี ตลอดจนการบริหารจัดการความคาดหวังของลูกค้า ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยความท้าทายสำคัญที่บริษัทฯ ต้องบริหารจัดการอย่างพิถีพิถันด้วยเช่นกัน” นายสยม กล่าวทิ้งท้าย

ส่วนทางด้านประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor) นางฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป้าหมายปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นดูแลและพัฒนาการให้บริการลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีเหนือความคาดหวังของลูกค้าทุกท่าน ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงที่เป็นธรรม ทั้งยังสอดรับปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่มั่นคง โปร่งใส จริงใจ และเป็นธรรม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการวางแผนขยายประกันภัย Non-Motor ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 11% โดยจะมุ่งเน้นไปที่การรับประกันความเสี่ยงภัยรายย่อยด้านส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ประกันภัยการเดินทาง ประกันภัยบ้าน และประกันภัยความรับผิด

“สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของประกันสุขภาพส่วนบุคคล เป็นไปในทิศทางเชิงบวก 11.48% สอดคล้องกับภาพรวมของตลาดที่คนไทยตระหนักถึงประโยชน์ของประกันสุขภาพมากขึ้น และในส่วนของการเติบโตภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาปรับปรุงแผนประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ V Travel Comprehensive เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในขณะเดินทาง และในส่วนของภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ยังคงเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตและแนวโน้มที่สดใส ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยความรับผิดของผู้ขนส่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ มี Network ที่ครอบคลุม และความพร้อมด้านบริการ”

นางฐวิกาญจน์ กล่าวต่อไปถึงแนวทางการดำเนินงานในปี 2567 ว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพส่วนบุคคล ประกันสุขภาพเฉพาะโรค และประกันภัยโรคร้ายแรง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพิ่มความคุ้มครอง และบริการที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของลูกค้า (Good Health and Wellbeing) นอกจากนี้ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ประกันภัยเดินทาง เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตลอดไปจนถึงการพัฒนาประกันภัย Carrier Liability Insurance, Cyber Security Insurance และ Professional Liability Insurance ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในแต่ละประเภทธุรกิจ

“บริษัทฯ ยังมีนโยบายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองแนวคิด ESG Responsibilities ออกมาในรูปแบบ Green Insurance ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ช่วยส่งเสริมการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ จึงนำแนวคิด Green Insurance มาพัฒนาร่วมกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีอยู่ อาทิ ให้ความคุ้มครองการทดแทนสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยวัสดุในการปลูกสร้างที่เป็น Eco-Friendly ในการประกันอัคคีภัย นอกจากนี้จะสร้างแรงจูงใจด้วยการให้ส่วนลดเบี้ยประกันพิเศษ เพื่อสนับสนุนให้ใช้วัสดุในการปลูกสร้างที่เป็น Eco-Friendly มากขึ้น ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ แต่เชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยลดปัญหาของสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้” นางฐวิกาญจน์ กล่าว

ในส่วนของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบงาน Non-Motor บริษัทฯ มี Roadmap ในการพัฒนาระบบ New Core System โดยมีการเริ่มใช้งานระบบ New Core Phase 1 ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยการเดินทาง เมื่อช่วงธันวาคม 2566 และ Phase ต่อไปในปี 2567 จะเป็นในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการบริการประกันภัยและสินไหมรองรับการเติบโตของบริษัทฯ

“นอกเหนือจากความคุ้มครองที่วิริยะประกันภัยดูแลลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง วิริยะประกันภัยได้ยกระดับการดูแลลูกค้าดั่งแคมเปญบริษัทฯ ในปี 2567 ที่ว่า “มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” ผ่านโครงการ Viriyah Privileges ด้วยการมอบหลากหลายสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีตลอดระยะเวลาที่เป็นสมาชิกของวิริยะประกันภัยตามเงื่อนไขของโครงการ โดยร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ดังมากมาย และโรงพยาบาลชั้นนำ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันภัย ในการส่งมอบบริการและประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ” นางฐวิกาญจน์ กล่าว

ฮอนด้า ส่งนักบิดดาวรุ่งเพิ่มประสบการณ์

“ฮอนด้า” ส่งนักบิดดาวรุ่ง เรียนรู้ประสบการณ์ โชว์ผลงานเยี่ยม! “เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2024” กาตาร์

“ฮอนด้า” ส่งนักบิดดาวรุ่ง นำโดย “จิมมี่” บูรพา วันมูล พร้อม “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงษ์ และ “ไฮ-เปค” กฤษฎา ธนะโชติ เรียนรู้ประสบการณ์ มุ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตามแนวคิด “The Next Successor To Become The World Class Riders” ลงประชันฝีมือในการแข่งขันรายการ “อิเดมิตซึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2024” ซึ่งจัดโดยดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ และ ผู้จัดการแข่งขัน รถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี เพื่อเปิดโอกาสให้นักบิดเยาวชน อายุระหว่าง 14-17 ปี ที่มีความสามารถมากที่สุดในเอเชียและโอเชียเนียได้ลงแข่งและเรียนรู้บนเส้นทางสู่ MotoGP™ ด้วยรถแข่ง Honda NSF250R Moto3™ นักบิดดาวรุ่งสามารถสร้างผลงานคว้าแต้มและต่อสู้กับกลุ่มหัวแถวได้อย่างเข้มข้น ในสนามเปิดฤดูกาล เมื่อสุดสัปดาห์ผ่านมา ที่ ลูแซล อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศกาตาร์

การแข่งขันรายการ “เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2024” เรซที่ 1 เมื่อวันเสาร์ที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา นักบิดดาวรุ่ง “ไม้คิว-เกียรติศักดิ์” กับรถแข่งหมายเลข 20 ออกสตาร์ตสามารถขึ้นอยู่ในกลุ่มผู้นำได้ทันที พร้อมสลับตำแหน่งกับกลุ่มลุ้นโพเดียมอย่างต่อเนื่องจนถึงทางตรงรอบสุดท้ายก่อนที่จะผ่านธงตราหมากรุกในอันดับที่ 5 ตามด้วย “ไฮเปค-กฤษฎา” กับรถแข่งหมายเลข 23 เข้าเส้นชัยมาในอันดับที่ 13 และ “จิมมี่-บูรพา” กับรถแข่งหมายเลข 10 เข้าเส้นชัยมาในอันดับที่ 15

การแข่งขันเรซที่ 2 ดวลกันต่อเนื่องในวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา “ไม้คิว-เกียรติศักดิ์” กับรถแข่งหมายเลข 20 เริ่มต้นการแข่งขันสามารถรั้งอยู่ในกลุ่มนำได้ทันที พร้อมรักษาอันดับทำความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยม จบการแข่งขันในอันดับที่ 4 ขณะที่ “จิมมี่-บูรพา” กับรถแข่งหมายเลข 10 เข้าเส้นชัยมาเป็นอันดับที่ 11 และ “ไฮเปค-กฤษฎา” กับรถแข่งหมายเลข 23 ตามมาในอันดับที่ 12

“ฮอนด้า” ได้วางโร้ดแมปการพัฒนานักแข่งอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” และ “เรซ ทู เดอะ แชมป์เปี้ยน” โดยสนับสนุนนักแข่งไทยไปสร้างผลงานและทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศ ในรายการการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก อย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ในรุ่นโมโตทู และปีนี้ตามด้วย “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี ในรุ่นโมโตทรี และ “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร ในรายการ “เอฟไอเอ็ม จูเนียร์จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” ควบ “เรดบูล โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ” ทั้ง 3 ดาวรุ่งไทยที่เริ่มต้นเส้นทางสู่นักแข่งมืออาชีพจาก “ฮอนด้า อะคาเดมี่” และล่าสุดกับรายการ “เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2024” ดังกล่าว

แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตสามารถส่งแรงใจเชียร์นักแข่ง “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ในการแข่งขันฤดูกาลปี 2024 แบบเต็มกระดานระดับโลก พร้อมติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของนักบิดไทยในโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” และ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ แชมเปี้ยน” ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : Race to The Dream

“ก้อง-สมเกียรติ” คว้าท็อป 11 กาตาร์ ซิว 5 แต้ม ประเดิม โมโตทู สนามแรก

“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ฝ่างานสุดหินบิดเข้าป้ายอันดับ 11 คว้า 5 แต้มแรก จากศึก โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ สนามแรก กาตาร์ กรังด์ปรีซ์ ขณะ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี ประเดิมคว้าอันดับ 19 ในรุ่น โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ ลูแซล อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศกาตาร์

“ก้อง-สมเกียรติ” เจ้าของหมายเลข 35 จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ออกตัวจากกริดที่ 15 และไล่บี้กับคู่แข่งอย่างสุดมันส์ตลอดทั้งเรซ ก่อนจะคว้าอันดับ 11 มาครองด้วยเวลารวม 36 นาที 0.661 วินาที พร้อมเก็บ 5 แต้มแรกมาครองได้สำเร็จจากสนามแรก ทีมเมท “มาริโอ้ เซอโย อาจิ“ นักบิดอินโดนีเซียหมายเลข 34 จบในอันดับ 24

ด้าน “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี นักบิดดาวรุ่งชาวไทยเจ้าของหมายเลข 5 จาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย ประเดิมสนามแรกในศึก โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ด้วยผลงานยอดเยี่ยม ออกตัวจากกริดที่ 24 บิดเข้าป้ายในอันดับ 19 ส่วนทีมเมทชาวญี่ปุ่น “ไทโยะ ฟุรุซาโตะ” เจ้าของหมายเลข 72 ทำผลงานยอดเยี่ยมด้วย คว้าโพเดียมอันดับ 3

ส่วนในรุ่น โมโตจีพี ปรากฏว่า “โยฮันน์ ซาร์โก” นักบิดชาวเฟรนช์หมายเลข 5 จาก แอลซีอาร์ ฮอนด้า คว้าอันดับ 12 ตามด้วย “โจอัน เมียร์” นักบิดสแปนิชหมายเลข 36 จาก เรปโซล ฮอนด้า ในอันดับ 13 ขณะที่ “ทาคาอากิ นาคากามิ” นักบิดญี่ปุ่่นหมายเลข 30 จาก แอลซีอาร์ ฮอนด้า เข้าป้ายอันดับ 19 ตามด้วย “ลูก้า มารินี” นักบิดอิตาเลียนหมายเลข 10 จาก เรปโซล ฮอนด้า ในอันดับ 20

ทั้งนี้ การแข่งขัน โมโตจีพี สนามถัดไปจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 มีนาคมนี้ ที่ อัลการ์ฟ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมืองปอร์ติเมา ประเทศโปรตุเกส รายการ โปรตุกีส กรังด์ปรีซ์

แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย สามารถส่งกำลังใจเชียร์ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา และ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี แบบเต็มฤดูกาล พร้อมติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวนักบิดฮอนด้าทุกคน ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : Race to The Dream

ไทยยามาฮ่า ฉลองครบรอบ 60 ปี เปิดโครงการหมวกกันน็อกขนาดเล็ก

ฉลองครบรอบ 60 ปี ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ร่วมสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคม เปิด “โครงการหมวกกันน็อกยามาฮ่าขนาดเล็ก” (หมวกกันน็อกขนาดเล็กที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม-มอก.) เพื่อสร้างสังคมแห่งความปลอดภัยบนท้องถนน

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ฉลองครบรอบ 60 ปี ผู้ดำเนินธุรกิจรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า รถจักรยานยนต์คุณภาพที่อยู่คู่คนไทยมากว่าครึ่งศตวรรษผลิตรถจักรยานยนต์ รุ่นพิเศษ “YAMAHA FINO FINAL EDITION” จำนวน 999 คัน โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายมาพัฒนาและผลิตหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยการร่วมมือหน่วยงานจากภาครัฐ และเอกชนในการเริ่มโครงการผลิตหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่ได้มาตรฐานการผลิต เพื่อลดการสูญเสียเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยมีจุดประสงค์ที่สำคัญในการเสริมความปลอดภัยให้กับเด็กเล็ก เยาวชน รวมถึงสุภาพสตรีที่มีขนาดศีรษะขนาดเล็ก ให้ได้รับความปลอดภัย และลดการสูญเสียเมื่อสวมใส่หมวกนิรภัยทุกครั้งที่ใช้รถจักรยานยนต์ ด้วยหมวกนิรภัยที่ได้รับมาตรฐานการผลิตที่ผ่านมาตรฐาน มอก.369-2557 ที่มีความปลอดภัยสูงสุดเมื่อใช้งานจริงบนท้องถนน

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดโครงการในครั้งนี้ว่า “บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เราตระหนัก และให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน และการป้องกันอุบัติเหตุเพื่อลดการสูญเสีย ซึ่งเป็นการสานต่อนโยบายเสริมสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนของรัฐบาลมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากโครงการและกิจกรรมต่างๆ ของยามาฮ่า เช่น การจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมขับขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า (YRA) การอบรมขับขี่ปลอดภัย การสนับสนุนหมวกนิรภัยให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เนื่องในวาระโอกาสครบรอบ 60 ปี ของ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย จึงได้จัดโครงการหมวกกันน็อกยามาฮ่าขนาดเล็ก” (หมวกกันน็อกขนาดเล็กที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม-มอก.) เพื่อสานต่อโครงการ CSR เรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนระดับประเทศ มาร่วมกันพัฒนา และผลิตหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และลดการบาดเจ็บสูญเสียบนท้องถนนของเด็ก และเยาวชนของชาติต่อไป ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กิจกรรมเพื่อสังคมของไทยยามาฮ่ามอเตอร์ในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้เกิดหมวกนิรภัยขนาดเล็กสำหรับเด็ก และเยาวชนไทยที่มีมาตรฐาน มีผู้ผลิตให้ความสำคัญ และสนใจผลิตหมวกนิรภัยขนาดเล็กออกสู่ท้องตลาดมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ปกครองได้นำให้บุตรหลานได้ใช้งานต่อไป”

นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับ บริษัท ไทยยามาฮ่ามาเตอร์ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลา 60 ปี แสดงถึงความเชื่อมั่นของคนไทยในผลิตภัณฑ์ “YAMAHA” ในส่วนของกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ภายใต้กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อจัดการสาธารณภัยอย่างเป็นระบบ โดยมีภารกิจหน้าที่ในการจัดทำแผนแม่บท วางมาตรการ ส่งเสริมสนับสนุน การป้องกัน บรรเทา และฟื้นฟูจากสาธารณภัย รวมทั้งติดตามประเมินผล เพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยมีศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เรียกโดยย่อว่า “ศปถ.” มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ และมีคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ ศปถ.” มีหน้าที่หลักในการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนแม่บท แผนงานด้านการป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนน ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ทางกรมฯ ขอสนับสนุน และขอขอบคุณทางบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด และภาคเอกชนที่ร่วมจัดทำ โครงการหมวกกันน็อกยามาฮ่าขนาดเล็กเพื่อสังคม ซึ่งนับเป็นโครงการตัวอย่างที่ดีโครงการหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนขับเคลื่อน การรณรงค์เพื่อป้องกัน และลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางท้องถนนในประเทศไทย ที่เป็นวาระแห่งชาติ ที่เราทุกคนควรร่วมมือกัน”

นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธ รองผู้จัดการใหญ่วางแผนการค้าและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมถึง โครงการหมวกกันน็อกยามาฮ่าขนาดเล็ก (หมวกกันน็อกขนาดเล็กที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม-มอก.) ในครั้งนี้ว่า “เนื่องในวาระโอกาสครบรอบ 60 ปี ของบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เราได้จัดกิจกรรม และโครงการที่หลากหลาย ที่มีส่วนร่วมของผู้จำหน่าย และลูกค้าในทุกๆ กิจกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเพื่อสังคมด้านความปลอดภัยทางท้องถนน เพื่อลดการสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุ ด้วยความตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ ซึ่งที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางท้องถนนอย่างต่อเนื่อง และในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดี ทางบริษัทฯ จึงได้ผลิตรถจักรยานยนต์รุ่นพิเศษ “YAMAHA FINO FINAL EDITION” จำนวน 999 คัน ออกจำหน่าย เพื่อนำรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายไปพัฒนา และผลิตหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) จำนวน 12,000 ใบ เป็นการระดมทุนจากลูกค้าเพื่อลูกค้า และทางยามาฮ่าได้สมทบทุนเพิ่มเติม เพื่อให้สังคมนี้น่าอยู่ร่วมกัน โดยทางบริษัทฯ ร่วมมือกับร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ นำหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่ได้มาตรฐานการผลิต ไปบริจาคให้กับหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ สถานศึกษา และหน่วยงานเอกชนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งต่อให้กับเด็ก และเยาวชน รวมถึงสุภาพสตรีที่มีขนาดศีรษะขนาดเล็ก ได้ใช้หมวกนิรภัยที่เหมาะสมกับขนาดของศีรษะ และได้ใช้หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานการในการผลิต ซึ่งในโอกาสนี้ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักถึงความปลอดภัย และรับรู้ถึงโครงการนี้

นอกจากนี้ ยามาฮ่ายังได้รณรงค์การใส่หมวกนิรภัยด้วย โดยจัดทำ VDO รณรงค์การใส่หมวกนิรภัย เผยแพร่ในช่องทางต่างๆ ทั้งของบริษัทฯ และผู้จำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงทำกิจกรรมร่วมกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศเพื่อให้เกิดการรับรู้ ให้ความรู้ และรณรงค์อย่างแพร่หลาย รวมถึงหน่วยงานรัฐต่างๆ ที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยบนท้องถนน สุดท้ายนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้กิจกรรมเพื่อสังคมของไทยยามาฮ่ามอเตอร์ในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการกระตุ้นที่ให้ผู้ผลิตหมวกนิรภัยร่วมกันผลิตหมวกขนาดเล็กสำหรับเด็ก เยาวชน และสุภาพสตรีที่มีขนาดศีรษะขนาดเล็กที่ได้รับมาตรฐานการผลิตที่แท้จริง ออกสู่ท้องตลาดมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ให้เหมาะสมต่อไป”

นายองอาจ ฉัตรวรชัย ผู้จัดการ บริษัท เอส.วาย.เค.ออโต้พาร์ต อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด ได้กล่าวถึงความร่วมมือในการพัฒนา และผลิตหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรมว่า “ก่อนอื่นทางบริษัท เอส.วาย.เค. ออโต้พาร์ต อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด รู้สึกเป็นเกียรติและขอขอบคุณบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ที่มอบความไว้วางใจให้บริษัทฯ ของเราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฉลองครบรอบ 60 ปี ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ในการผลิตหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่ผ่านมาตรฐาน (มอก.) เพื่อนำไปบริจาคในกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ของไทยยามาฮ่า ปัจจุบันโรงงานของเรา ถือเป็นโรงงานที่มีศักยภาพสูง และมีกำลังการผลิตกว่า 7,000 ใบ ต่อวัน มียอดขายเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ซึ่งในปี 2566 มียอดขายหมวกนิรภัยกว่า 1,000,000 ใบทั่วโลก โดยมียอดจำหน่ายในประเทศไทยประมาณ 700,000 ใบ ต่างประเทศประมาณ 300,000 ใบ และเป็นโรงงานในประเทศไทยที่ผลิตหมวกนิรภัยตามมาตรฐานการผลิตเลขที่ มอก. 369-2557 ที่ถูกปรับปรุงใหม่ โดยยึดถือมาตรฐานการผลิตของยุโรปคือมาตรฐาน ECE-2205 และมาตรฐานการผลิตจากสหรัฐอเมริกาคือมาตรฐาน DOT FMVSS-218 ซึ่งสามารถผลิตและจำหน่ายหมวกนิรภัยได้มาตรฐานส่งออกไปต่างประเทศ กว่า 30 ประเทศทั่วโลก ซึ่งหมวกนิรภัยโดยทั่วไปที่ได้รับมาตรฐานนี้มีขนาดเล็กสุดเริ่มต้นที่เส้นรอบวงศีรษะ 50 เซนติเมตร ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทดลองผลิต และจำหน่ายหมวกขนาดเส้นรอบวงศีรษะขนาด 50 เซนติเมตร แล้วพบว่ายังไม่ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานที่มีอายุน้อย หรือสุภาพสตรีที่มีขนาดศีรษะเล็กเท่าที่ควร เนื่องจากยังมีขนาดที่เล็กเกินไป โดยจะใช้ได้แต่เด็กเล็กที่ยังไม่เหมาะแก่การโดยสารรถจักรยานยนต์ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ปรับเพิ่มขนาดหมวกให้มีขนาดเส้นรอบวงศีรษะที่ 54 เซนติเมตร ทำให้เด็กที่มีอายุระหว่าง 7-11 ปี รวมทั้งสุภาพสตรีที่มีขนาดศีรษะเล็ก สามารถสวมใส่ได้อย่างปลอดภัย

ซึ่งจากโครงการของทางไทยยามาฮ่ามอเตอร์ในครั้งนี้ ทางบริษัทฯ จะต่อยอดการผลิต และจำหน่ายหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) สำหรับเด็ก เยาวชน และสุภาพสตรีที่มีขนาดศีรษะขนาดเล็กในราคาที่เหมาะสม เพื่อสนองนโยบายภาครัฐ ในการช่วยป้องกันการสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน”

นายอนุรักษ์ ชัยวิเชียร ผู้อำนวยการกลุ่มควบคุมมาตรฐาน 6 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่างถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ในปัจจุบันประเทศไทยมีการผลิตและนำเข้าหมวกนิรภัย ซึ่งจะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มอก.369-2557 ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล UNECE Regulation No. 22 โดยครอบคลุมหลายด้าน เพื่อประเมินความปลอดภัย และความทนทานของหมวกนิรภัย มีรายละเอียดการทดสอบ เช่น การทดสอบการดูดกลืนแรงกระแทก การทดสอบความคงรูป การทดสอบสายรัดคาง การทดสอบการคงตำแหน่งบนศีรษะ การทดสอบคุณลักษณะแผ่นบังลม (ถ้ามี) โดยการทดสอบเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าหมวกนิรภัยที่ผ่านมาตรฐาน มอก. 369-2557 มีความปลอดภัยสูงสุดเมื่อใช้งานจริงบนท้องถนน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดการกระแทกหรืออุบัติเหตุ ซึ่งมาตรฐานนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2559 เป็นต้นมา โดยผู้ผลิต และผู้นำเข้าหมวกนิรภัย จะต้องได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. ก่อนที่จะผลิตหรือนำเข้ามาจำหน่ายจ่ายแจก และต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 อย่างเคร่งครัด และหากพบว่ามีการกระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

ทั้งนี้ บทลงโทษเป็นไปเพื่อปกป้องคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีคุณภาพ สำหรับการเลือกซื้อหมวกนิรภัยสำหรับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ควรพิจารณาสังเกตเครื่องหมาย มอก. พร้อม QR Code ที่แสดงอยู่บนผลิตภัณฑ์หรือกล่องบรรจุ ที่ผู้บริโภคสามารถสแกน QR Code เพื่อตรวจสอบรายละเอียดผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ที่ได้รับอนุญาตจาก สมอ. ได้ ทั้งนี้ หากพบว่าไม่เป็นไปตามที่กำหนด สามารถแจ้งหรือร้องเรียนมาที่ สมอ. ผ่านเว็บไซต์ www.tisi.go.th และอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. หากเกิดอุบัติเหตุอาจได้รับอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน แต่หากใช้หมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานก็จะช่วยลดความสูญเสียลงได้”

นายแพทย์อนุชา เศรษฐเสถียร ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงความร่วมมือในการพัฒนาและผลิตหมวกนิรภัยขนาดเล็กที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรมว่า “ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาถึง 60 ปี และยินดีกับการมุ่งพัตนามาตรฐานหมวกนิรภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะหมวกนิรภัยขนาดเล็กเพื่อเด็ก เยาวชน และสุภาพสตรี ให้ได้ใช้หมวกนิรภัยที่ได้รับมาตรฐานการผลิต เพื่อลดการสูญเสียเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์บนท้องถนน ซึ่งประเทศไทยรับหลักการข้อตกลงของมติสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่ 74/299 “ประกาศทศวรรษแห่งความปลอดภัย ทางถนนในปี ค.ศ. 2021–2030” (Decade of Action for Road Safety 2021-2030) และได้ประกาศเป็นเป้าหมายของแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนฉบับปัจจุบันแล้วว่า มุ่งลดจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนลงให้ได้เกินครึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2570 คือเหลือเพียงประมาณ 8,000 กว่าราย นั่นคือลดลงเกินครึ่งเร็วขึ้นกว่าข้อตกลงจากเวทีโลก โดยจากสถิติของการเกิดอุบัติเหตุในปี พ.ศ. 2565 มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร ประมาณ 17,000 ราย กว่าร้อยละ 80 เกิดกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิตเกิดจากการไม่สวมใส่หมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อก โดยในประเทศไทยมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่สวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 40-50% ซึ่งถือว่าน้อยหากเปรียบเทียบกันกับประเทศอื่นๆ และยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่โดยสารรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยมีผู้ที่สวมหมวกนิรภัยเป็นจำนวนน้อยมากๆ การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์จึงมีความแตกต่างกัน โดยคนที่ไม่สวมหมวกนิรภัยเสียชีวิตมากกว่าคนที่สวมหมวกนิรภัยถึงร้อยละ 40% แปลว่า ถ้าคนไทยร่วมใจสวมหมวกนิรภัยมากขึ้น การเสียชีวิตโดยรวมของไทยน่าจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการรณรงค์ และบังคับให้ทุกคนสวมหมวกนิรภัย เป็นกุญแจสำคัญที่จะลดการบาดเจ็บ และการเสียชีวิตบนท้องถนนได้ แต่การสร้างความมั่นใจว่าทุกคนจะได้สวมหมวกนิรภัยที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ ไม่แพงเกินเอื้อม สามารถสวมใส่ และรัดคางได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และเร่งด่วนมากในขณะนี้ เพื่อจะได้ไม่เพียงลดการเสียชีวิต แต่ยังคงปกป้องการกระทบกระเทือนต่อสมอง โดยเฉพาะสมองของเด็ก และเยาวชน”

สำหรับหมวกนิรภัยขนาดเล็กภายใต้ “โครงการหมวกกันน็อกยามาฮ่าขนาดเล็ก” (หมวกกันน็อกขนาดเล็กที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม-มอก.) ได้มีการออกแบบโดย บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เน้นสีสันที่สดใส มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 54 เซนติเมตร เหมาะกับเด็ก และเยาวชน อายุระหว่าง 7 – 11 ปี หรือ สุภาพสตรีที่มีศีรษะขนาดเล็ก ควบคุมการพัฒนา และผลิตโดย บริษัท เอส.วาย.เค. ออโต้พาร์ต อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหมวกนิรภัยชั้นนำของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์สินค้า INDEX ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตหมวกนิรภัยตามมาตรฐานการผลิตเลขที่ มอก.369-2557 ที่ถูกปรับปรุงใหม่ จึงมั่นใจได้ว่าหมวกนิรภัยในโครงการฯ เป็นหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน สามารถสวมใส่ได้อย่างมั่นใจ ช่วยป้องกันอุบัติเหตุและลดการบาดเจ็บสูญเสียบนท้องถนน

โดยบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด จะมีการผลิตจำนวน 12,000 ใบ และจะบริจาคส่งมอบให้กับหน่วยงานภาครัฐ สถานศึกษา และหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้อง ภายในปี 2567 โดยร่วมกับผู้จำหน่ายในแต่ละพื้นที่ในการส่งมอบหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐานให้กับเด็ก และเยาวชน เพื่อสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนต่อไป

มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ค่ายผู้ผลิตยานยนต์แห่ร่วมงาน

บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 45 เชื่อตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์จะกลับมาคึกคัก หลังผู้ผลิตรถชั้นนำทั้งยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และเวียดนาม ตบเท้าเข้าร่วมงานมากถึง 49 แบรนด์

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เปิดเผยว่า “งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “The Mobility of Joyful Experiences” : ประสบการณ์แห่งความสนุกของทุกการเดินทางเมื่อถนนแห่งเทคโนโลยียานยนต์และการดำรงชีวิตเดินทางมาบรรจบกัน ความสวยงามของยานยนต์เทคโนโลยีที่ท้าทายสะท้อนความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เติมเต็มความสุข และประสบการณ์แห่งความสนุกของทุกการเดินทาง” พร้อมสนับสนุนเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับประเทศ”

สำหรับการจัดงานในปีนี้ โดยรวมแล้วมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานกลับมาเติบโตเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด ถือเป็นการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด และเป็นสัญญาณที่ดีของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แม้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์จะลดลง แต่เชื่อว่า ด้วยจุดเด่นของงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่รวบรวมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องไว้ในงานเดียวจะเป็นตัวกระตุ้นให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ยังคงได้รับความร่วมมือจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย, สมาคมวิศวะกรรมยานยนต์ไทย, สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย, สมาคมระบบขนส่งการจราจรอัจฉริยะ, และ ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยในพระ บรมราชูปถัมภ์ (ร.ย.ส.ท.) และบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นอย่างดีในการจัดงาน

คุณจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ สายกิจกรรมพิเศษ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรองประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เปิดเผยว่า “งานในปีนี้ ได้รับความสนใจจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำเข้าร่วมงานกว่า 49 แบรนด์ และมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาเปิดตัวไม่น้อยกว่า 20 รุ่น ซึ่งในปีนี้ มีรถ Hyper Concept อย่าง Mercedes-Benz Vision ONE-ELEVEN และ Nissan Hyper Tourer Concept มาร่วมสร้างสีสันภายในงานอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมี รถไฮไลต์ภายในงาน อาทิ Lotus Eletre Blends Electric Hyper SUV รถสปอร์ตอเนกประสงค์ขุมพลังไฟฟ้า 100%, Lotus EMIRA ทั้งรุ่น I4 และ V6 Supercharged,  The NEW JEEP WRANGLER 2024, New Volvo EX30 รถ SUV ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ หรือจะเป็นรถสัญชาติจีน อย่าง CHANGAN ที่เปิดตัว LUMIN MINI EV ครั้งแรกในงาน ขณะที่ค่าย MG เตรียมเปิดราคา MG4 D Facelift อย่างเป็นทางการ ตามมาด้วย HONRI ที่เปิดตัว BOMA รถไฟฟ้าขนาด 4 ที่นั่ง

เช่นเดียวกับรถสัญชาติเวียดนาม อย่าง VINFAST เปิดตัวรถ SUV ไฟฟ้า VF 7 และรถกระบะไฟฟ้าต้นแบบ VF wild ขณะที่ค่ายรถจักรยานยนต์ Honda เปิดตัวสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ MOTOCOMPACTO ดีไซน์กระเป๋าเดินทาง กับ UNI-ONE วีลแชร์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องพึ่งคนเข็น

นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากบรรดาค่ายรถต่างๆ ในการออกแบบและตกแต่งบูธ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมงานให้เข้าไปเยี่ยมชมสินค้า ซึ่งการออกแบบบูธของแต่ละค่ายต่างได้รับการพิจารณาอนุมัติโดย

บริษัทแม่ในต่างประเทศ และใช้งบในการออกแบบก่อสร้างค่อนข้างสูง ซึ่งคาดว่า จะทำให้บรรยากาศของงานในปีนี้จะกลับมาเต็มไปด้วยสีสันเช่นเดิม

“อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่า การเข้ามาของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน และเวียดนาม จะทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีสีสันมากขึ้น และเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโภคที่จะเลือกใช้รถยนต์ตามความต้องการได้ในราคาที่เหมาะสม และที่สำคัญผู้เข้าชมงานสามารถเลือกชมเลือกซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทุกแบรนด์ ทุกรุ่น และทุกเคมเปญ ที่มีจำหน่ายในประเทศได้ภายในงานเดียวอีกด้วย”

ทำให้การจัดงานฯ ในครั้งนี้ ผู้จัดงานฯ มีการปรับเพิ่มวันสำหรับสื่อมวลชน หรือ Press day เป็น 2 วันด้วยกัน คือ วันที่ 25 และ 26 มีนาคม 2567 เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานให้กับสื่อมวลชนทุกๆ ท่าน ให้ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ โดยที่ตารางเวลาสำหรับการนำเสนอของแต่ละแบรนด์ไม่อยู่ในช่วงเวลาเย็นเกินไป สำหรับตารางเวลาการนำเสนอของแต่ละแบรนด์ ท่านสามารถ download ทาง www.motorshow.in.th

กำหนดการจัดงานฯ

วัน V.I.P : วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2567            ตั้งแต่เวลา 12:00 – 20:00 น.

วัน 1st Press Day : วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2567       ตั้งแต่เวลา 10:30 – 20:00 น.

วัน 2nd Press Day : วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2567      ตั้งแต่เวลา 9:59  – 18:00 น.

พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ  

วันสำหรับประชาชนทั่วไป :     

วันพุธที่ 27 มีนาคม – วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2567 รวมระยะเวลา 12 วัน

วันเสาร์-วันอาทิตย์             เวลา 11:00 น. – 22:00 น.

วันธรรมดา                 เวลา 12:00 – 22:00 น.            

สถานที่จัดงาน : อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 และ อิมแพค ฟอรั่ม ฮอลล์ 4, อิมแพค เมืองทองธานี

“สำหรับเป้าหมายการจัดงานในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตทั้งในด้านผู้เข้าชมงานและยอดจองรถภายในงานเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากปัจจัยบวกในหลายด้าน โดยเฉพาะการเข้ามาของผู้ผลิตรถรายใหม่ๆ ดังนั้น เชื่อว่า งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ จะประสบความสำเร็จอย่างเช่นที่เคยผ่านมาได้อย่างแน่นอน” คุณจาตุรนต์ กล่าวทิ้งท้าย

ด้านคุณอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่สายการผลิต บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรองประธานการจัดงานฯ กล่าวว่า “สำหรับการจัดงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ในครั้งนี้ ผมในฐานะรองประธานจัดงานรู้สึกเป็นเกียรติและขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่า ภายในงาน นอกจาก รถยนต์ รถยนต์จักรยานยนต์ และของตกแต่งที่มีให้เลือกชม เลือกซื้อกันแล้ว ทางผู้จัดยังได้เตรียมจัดกิจกรรมต่างๆ ไว้รองรับผู้เข้าชมอย่างมากมาย”

นอกจากนี้ ยังคงเป็นงานแสดงยานยนต์ที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก โดยในปีนี้มีสื่อจากทั่วโลกเข้ามาลงทะเบียนเพื่อเข้าชมงานมาแล้วมากกว่า 300 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีอยู่ประมาณ 200 ราย และคาดว่าจะสามารถกระจายข่าวสารของงานผ่านสื่อต่างๆ ครบทุกแพลตฟอร์มกว่า 1,000 สื่อทั่วโลก นั่นแสดงให้เห็นว่า งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ของไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นงานอีเว้นท์ในระดับโลกอย่างแท้จริง

สำหรับกิจกรรมที่ได้จัดเตรียมไว้ต้อนรับผู้เข้าชมงาน เรายังดงมีกิจกรรม Digital Motor Sport ซึ่งทางผู้จัดได้เตรียมเครื่องเล่น Simulator สเปคเดียวกับที่ใช้ในการแข่งขัน FIA Motor Sport Game ให้ผู้เข้าชมงานได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์การแข่งขันรถยนต์ในรูปแบบ eRacing อีกด้วย เนื่องจากในปีนี้ทาง FIA Motor Sport Game ได้เปลี่ยนเกมที่ใช้ในการแข่งขันจากเกม Gran Turismo มาเป็นเกม Assetto Corsa Competizione ซึ่งเป็นเกมแข่งขันรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ดังนั้น การจัดการแข่งขันในปีนี้ ทางผู้จัดจึงเลือกใช้เกม Assetto Corsa Competizione

ซึ่งในปีที่ผ่านมา ทางผู้จัดได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน ASIA PACIFIC MOTORSPORTS CHAMPIONSHIP 2023 ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักกีฬา eRacing ของไทย ที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน FIA Motor Sport Game ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้อีกด้วย

คุณพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการด้านพัฒนาธุรกิจ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรองประธานจัดงานฯ กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 45 ปี ของการจัดงาน เราได้พัฒนารูปแบบของการจัดงานมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการพื้นที่ การปรับเปลี่ยนกฏกติกาในการออกแบบ รวมถึงระยะเวลาในการก่อสร้างบูธ ทั้งนี้ ก็เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถใช้ไอเดียในการจัดแสดงสินค้าของตนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในแต่ละปีผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับดีไซน์และวิธีการนำเสนอสินค้าในรูปแบบใหม่ๆ จากผู้เข้าร่วมงานเป็นประจำทุกปี”

นอกจากเราจะให้ความสำคัญกับการจัดการพื้นที่ และรูปแบบของงานแล้ว เรายังให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้เข้าชมงานด้วยเช่นกัน เราได้พัฒนาระบบต่างๆ ขึ้นมารองรับ และอำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้เข้าชมงาน และผู้เข้าร่วมงานมาอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งในปีนี้ ทางผู้จัดงานฯ ยังได้พัฒนา LINE Official Account หรือ Line OA  ในชื่อ GrandPrix.Group ขึ้นมาต่อจากปีที่แล้ว เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อบัตร หรือ ใช้ในการลงทะเบียนเข้าชมงาน และที่ยังใช้เป็นช่องทางการสื่อสาร ระหว่างบริษัทฯ กับผู้บริโภคในการส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางด้านยานยนต์ รูปแบบการให้บริการใหม่ๆ ทั้งกลุ่ม Auto และ กลุ่ม Lifestyle ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นมาต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

อีกทั้ง ยังได้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูล Grand Prix Data Center และการนำ Ai ของระบบ FullLoop มาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้บริษัทฯ นำมาพัฒนาสิ่งที่จะนำเสนอต่อผู้เข้าร่วมงาน และผู้เข้าชมงาน ได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญของการดูแลและสร้างประสบการณ์ที่ดี หรือ Customer Experience (CX) มาโดยตลอด เพราะการสร้างความประทับใจในใจผู้บริโภคจะเป็นตัวเชื่อมโยงให้ผู้บริโภคกลับมาใช้บริการอีกครั้งในอนาคต

ในปีนี้เรายังได้จับมือร่วมกับ TikTok Thailand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สำหรับทำ TikTok Motor Show Official ขึ้นมา และมีกิจกรรม TikTok Hashtah Challenge ให้ได้ร่วมสนุกกันด้วย ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดให้ใช้ Hashtag ดังนี้คือ  #MotorShow2024, #GrandPrixMotorShow, #TikTokรักรถ ให้ได้ร่วมสนุกชิงรางวัลกันด้วย

ด้านคุณปิยนุช แจ่มศิริพรหม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้า/ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกไฮไลท์ของงาน “นอกจากนี้ ทางผู้จัดยังได้ขยายพื้นที่จัดแสดงไปยังอาคาร อิมแพค ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 รวมพื้นที่จัดแสดงภายในอาคาร กว่า 76,000 ตารางเมตร จากเดิมอยู่ที่ 60,000 ตารางเมตร โดยใช้งบลงทุนไปกว่า 300 ล้านบาท ถือว่าพิเศษและยิ่งใหญ่มากกว่าทุกๆ ปี โดยในส่วนของ ฟอรัม ฮอลล์ 4 เป็นส่วนพื้นที่ของการจัดแสดงยานยนต์ มอเตอร์โฮม อุปกรณ์กรณ์ตกแต่งรถยนต์  Glamping Zone และ ไฮเปอร์คาร์ ซุปเปอร์คาร์ คลาสสิคคาร์ ที่หาชมได้ยาก อาทิ Lamborghini Countach LPI 800-4 ที่มีเพียง 112 คัน ทั่วโลกเท่านั้น และคันสุดท้ายเรานำมาจัดแสดงอยู่ในงานเราให้ได้ยลโฉมกันแล้ว

นอกจากนี้ยังมี Lamborghini Aventador LP770-4 SVJ 63 Roadster  Lamborghini Gallardo LP570-4 Squadra Corse Rolls-Royce Phantom Tempus Rolls-Royce Dawn Landspeed NISSAN GTR T-spec Mclaren 720S และ Mclaren Speedtail ที่มีราคากว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นไฮไลท์ สำคัญหนึ่งของการจัดงานในครั้งนี้

 มูลค่าที่นำมาจัดแสดงรวมกว่า 1,300 ล้านบาท บนพื้นที่ 11,600 ตารางเมตร  นอกจากนี้เรายังนำบูธ สินค้าลิขสิทธ์์ Line Friend มาไว้ที่งาน เอาใจแฟนๆหมี Brownและผองเพื่อน ให้ได้มาเช็คอินถ่ายรูปสวยๆกัน พร้อมสนุกกับตู้คีบ กาชาปองอีกด้วย”

ราคาบัตรเข้าชมงาน ยังคงราคา 100 บาท และพิเศษสุดสำหรับแฟนพันธุ์แท้ร่วมสัมผัสความเหนือระดับ ในงาน Motor Show ครั้งที่ 45 กับ VIP Diamond Lounge ประสบการณ์ที่จะทำให้การชมงานพิเศษมากขึ้น ตลอดช่วงการจัดงานทั้ง 14 วัน ในราคา 999 บาทสามารถเข้าชมงานได้ทุกวัน พักผ่อนทาน ของว่างและเครื่องดื่ม มีที่จอดรถและรับของที่ระลึก ร่วมรับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ ไฟฟ้า LUMIN และรถจักรยานยนต์ 4 คัน จากแบรนด์ HONDA YAMAHA KAWASAKI และ SUZUKI สำหรับผู้ซื้อบัตรเข้าชม

สำหรับผู้จองซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ภายในงาน ฯ ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ MG4 Electric D Vesion และรถจักรยานยนต์ ZEEHO AE6+

งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 จัดขึ้นที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม 7 เมษายน 2567 โดยเปิดให้เข้าชมงานเวลาตั้งแต่เวลา 12.00 22.00 น. ในวันธรรมดา และจะเปิดให้เข้าชมงานตั้งแต่เวลา 11:00 -22.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ

อีซูซุ จัดการแข่งขันทักษะการขายและบริการหลังการยกระดับความพอใจสูงสุด

อีซูซุ เดินหน้าจัดการแข่งขันทักษะด้านการขายและบริการหลังการขายประจำปี 2566 ยกระดับบุคลากรเพื่อความพอใจสูงสุดของลูกค้า

อีซูซุเน้นย้ำการพัฒนาเต็มรูปแบบทั้งด้านผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขาย หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยยอดผลิตในไทยกว่า 6 ล้านคันเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยยังคงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ บุคลากร และการบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง จัดกิจกรรมแข่งขันทักษะด้านการขาย และบริการหลังการขายอีซูซุ ประจำปี 2566 เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และความพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี

มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “ในปีที่ผ่านมา เราต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย แต่อีซูซุยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ระดับสูงมากในทุกเซ็กเมนต์ ในปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ การสร้างความเชื่อมั่น และความพอใจให้กับลูกค้า ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก ดังนั้นบุคลากรทั้งด้านการขายและธุรกิจหลังการขายนั้นจำเป็นต้องผนึกกำลังทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น และยังคงมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่ออีซูซุอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีนโยบายหลักประการหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านการขายและธุรกิจหลังการขาย คือการจัดการแข่งขัน “ทักษะด้านการขายและบริการหลังการขายอีซูซุ” เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะ ความสามารถอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสามารถมอบการบริการทั้งในด้านการขายและบริการหลังการขายที่มีคุณภาพอันจะสร้างความพอใจสูงสุดและความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าได้ตลอดไป”

การแข่งขันทักษะด้านการขายและบริการหลังการขายอีซูซุ ประจำปี 2566 รอบชิงชนะเลิศนี้ ผู้เข้าแข่งขันต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้นตามมาตรฐานการปฏิบัติงานแต่ละด้าน โดยประกอบด้วยการแข่งขัน 6 ประเภท ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ามากกว่า 1.32 ล้านบาท สำหรับรอบชิงชนะเลิศนี้มีเจ้าหน้าที่ผ่านเข้ารอบทั้งสิ้น 108 คน จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 615 คน

การแข่งขันในครั้งนี้แบ่งออกเป็นทั้งประเภททีมและประเภทบุคคล ซึ่งทั้งหมดผ่านการคัดเลือกทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติในรอบคัดเลือก สำหรับการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนั้นผู้เข้าแข่งขันต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้นตามมาตรฐานการปฏิบัติงานแต่ละด้าน ซึ่งทุกด้านของการแข่งขันล้วนมีส่วนสำคัญเพื่อเพิ่มศักยภาพของการขายและการบริการหลังการขาย โดยมีคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาชั้นนำให้เกียรติร่วมเป็นกรรมการตัดสินในครั้งนี้ด้วย ซึ่งผลการแข่งขันทักษะด้านการขายและบริการหลังการขายอีซูซุ ประจำปี 2566 มีดังนี้

•รางวัลชนะเลิศ ที่ปรึกษาการขาย รถปิกอัพและรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ได้แก่ คุณอัทธเมศร์ วรนันท์สิทธิ์ จากบริษัท อีซูซุ ซ.แสงมงคล อยุธยา จำกัด

•รางวัลชนะเลิศ ที่ปรึกษาการขาย รถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ ได้แก่ คุณจิรวัฒน์ คงครอง จากบริษัท อีซูซุอันดามันเซลส์ จำกัด

•รางวัลชนะเลิศ พนักงานช่าง รถปิกอัพและรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ได้แก่ คุณธนาวี เชื้อโท จากห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาคอิสาณอุบล (ตังปัก)

•รางวัลชนะเลิศ พนักงานช่าง รถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ ได้แก่ คุณณัฐวุฒิ พลฤทธิ์ จากบริษัท อีซูซุอันดามันเซลส์ จำกัด

•รางวัลชนะเลิศ พนักงานมัลติฟังก์ชั่น (ที่ปรึกษางานบริการและเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์) คุณณรงค์ บุญธรรม จากห้างหุ้นส่วนจำกัด อีซูซุตราดเซลส์

•รางวัลชนะเลิศ พนักงานอะไหล่ ได้แก่ คุณพันธิ์สิริญ พิศุทธิ์พร จากบริษัท อีซูซุสยามซิตี้ จำกัด

“หลังจากประกาศผลรู้สึกปลดล็อคตัวเองเลยครับ วันนี้ทำได้แล้วที่ 1 ของประเทศ หลังจากที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันนี้มาเป็นเวลา 7 ปีและการแข่งระดับประเทศครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่ผ่านเข้ารอบมา สำหรับการแข่งขันในปีนี้ถือว่ายากครับแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ เพราะผมเตรียมตัวมาค่อนข้างดี ด้วยการจดจำข้อมูลรถบรรทุกอีซูซุหรือแม้แต่ข้อมูลของคู่แข่งก็ศึกษามาอย่างดีครับ เป้าหมายของผมต่อจากนี้คือการนำเทคนิคดีๆ ความรู้ความสามารถที่ได้รับจากเวทีการแข่งขันนี้ และจากสิ่งที่อาจารย์จากตรีเพชรอีซูซุเซลส์สอน ไปแบ่งปันให้เพื่อนๆ และปรับใช้ในการให้บริการลูกค้า เพื่อประโยชน์อันสูงสุดของลูกค้าครับ” คุณจิรวัฒน์ คงครอง รางวัลชนะเลิศ ที่ปรึกษาการขาย รถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่

“วันนี้รู้สึกภูมิใจและดีใจมากๆ ที่คว้ารางวัลที่ 1 มาได้ เพราะจากที่เข้าร่วมแข่งขันมาเป็นระยะเวลา 3 ปี ปีนี้ถือว่าเป็นการแข่งที่ท้าทายพอสมควรทั้งโจทย์ข้อสอบทฤษฎีและงานปฏิบัติ แต่ด้วยความที่เก็บเกี่ยวความรู้จากการที่เคยแข่งขันมาหลายปีบวกกับที่ฝึกซ้อมมาอย่างดี ก็ทำให้ผ่านมาได้ครับ หลังจากนี้จะนำความรู้ที่ได้ไปวิเคราะห์งานให้ถูกต้องและแม่นยำเพื่อให้ลูกค้าได้รับงานมีคุณภาพและประทับใจที่สุดครับ” คุณธนาวี เชื้อโท รางวัลชนะเลิศ พนักงานช่าง รถปิกอัพและรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ จากห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาคอิสาณอุบล (ตังปัก)

ซูซูกิ คว้ารางวัล “สถานประกอบการดีเด่น”

ซูซูกิ คว้ารางวัล “สถานประกอบการดีเด่น” ด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี 2566

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้เกิดความยั่งยืนและเป็นที่ไว้วางใจของผู้บริโภคในทุกด้าน ล่าสุด ซูซูกิได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้าน “แรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน” ประจำปี 2566 (Thailand Labor Management Excellence Award 2023) จากสำนักสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน  กระทรวงแรงงาน โดยมีนายมาโนช ปริสุทธิพุทธิญาณ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดระยอง เป็นผู้แทนในการมอบรางวัล ให้แก่ผู้แทนบริษัทฯ เป็นผู้รับมอบรางวัล ณ ห้องประชุม สำนักสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา

นับเป็นครั้งแรกที่ ซูซูกิได้เข้าร่วมการประกวดสถานประกอบการดีเด่นด้าน “แรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน” และสามารถคว้ารางวัลดังกล่าวมาครองได้สำเร็จ โดยการประกวดสถานประกอบการดีเด่นเป็นหนึ่งในโครงการของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ที่ดำเนินการจัดประกวดเป็นประจำทุกปี ด้วยการมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณให้กับสถานประกอบกิจการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีระบบการบริหารจัดการที่ดีในด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน อีกทั้งยังเป็นโครงการที่ส่งเสริมให้นายจ้าง ลูกจ้าง ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์ และรูปแบบการจัดสวัสดิการแรงงาน นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด ด้วยการใช้กลไกทวิภาคีและการมีส่วนร่วมในองค์กรเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกจ้างอีกด้วย

นายทาดาโอะมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการพิจารณารางวัลเกียรติยศสถานประกอบกิจการดีเด่นด้าน “แรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน” ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจจริงในการดำเนินนโยบายพัฒนาองค์กรเพื่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงความใส่ใจในคุณภาพชีวิตของพนักงานทุกภาคส่วนเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานกับบริษัทฯ ด้วยความรู้สึกที่มีความสุข ไม่มีความกังวลในเรื่องส่วนตัว มีความมั่นคงและเกิดความเชื่อมั่นในองค์กร ซึ่งเป็นพลังและแรงขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการนำเสนอคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภค

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นอกจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้ยกระดับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เรายังคงยึดมั่นในปรัชญาของซูซูกิ คือผลิตสินค้าที่มีคุณค่าเหมือนว่าเราคือผู้ใช้ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเหมาะสมกับลูกค้าชาวไทย ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพงานบริการของโชว์รูมผู้จำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิครอบคลุมทั่วประเทศ

ทั้งยังเดินหน้าโครงการ “SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” ซึ่งนอกเหนือจากความต้องการที่จะสื่อสารกับลูกค้าทั้งด้านสินค้าและงานบริการได้อย่างทันท่วงทีและมอบบริการที่ดีเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกท่านแล้ว ซูซูกิยังมีความตั้งใจจริงที่ต้องการที่จะสร้างให้ซูซูกิเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือและไว้วางใจเดินคู่เคียงข้างคนไทยต่อไปในอนาคต

มาสด้า ทุ่มงบ 240 ล้าน เปิดสองโชว์รูมใหม่

มาสด้า ทุ่มงบ 240 ล้าน เปิดสองโชว์รูมใหม่ย่านบางบอนและพระราม 2 ดีลเลอร์เชื่อมั่นศักยภาพมาสด้าพร้อมเดินหน้าให้บริการที่เป็นเลิศกับลูกค้าทุกคน

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ยังมีนักธุรกิจแถวหน้าที่มองเห็นโอกาสทองในการลงทุน มาสด้าประกาศเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ล่าสุดร่วมกับกลุ่มบริษัท 14 ออโต้ ทุ่มงบลงทุนกว่า 240 ล้านบาท เปิดโชว์รูมเพิ่มอีก 2 แห่ง ย่านบางบอนและพระราม 2 พื้นที่ทำเลทองรอบนอกกรุงเทพฯ พื้นที่ที่กำลังเติบโต เดินทางสะดวก แหล่งเศรษฐกิจสำคัญใกล้กรุงเทพฯ และปริมณฑล โชว์รูมและศูนย์บริการเพียบพร้อมด้วยทีมช่างเทคนิคผู้ชำนาญการ และทีมบริหารคุณภาพคับแก้วที่พร้อมให้บริการแบบมืออาชีพ พร้อมส่งมอบการบริการที่ดีที่สุดให้ลูกค้าแบบครบวงจร ตามปรัชญาการทำงาน “มุ่งมั่นพัฒนา ยกระดับมาตรฐาน วิสัยทัศน์ก้าวไกล” พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุก Touch Point เดินหน้าส่งมอบบริการมาตรฐานระดับสากลให้กับลูกค้าทุกคน ฉลองเปิดโชว์รูมใหม่ลูกค้านำรถเข้าเช็กตามระยะรับส่วนลดทันที 1,000 บาท จองรถใหม่รับเพิ่มจากแคมเปญปกติอีก 4,000 บาท

มร.ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความต้องการและความสุขของลูกค้า คือสิ่งที่มาสด้ายึดมั่นเป็นรากฐานมาตลอด ไม่เพียงแค่การบริการหลังการขายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้สัมผัส ตั้งแต่ก่อนการขายจนถึงการกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า Customer Experience Management (CXM) และการสร้างคุณค่าของแบรนด์ Brand Value Management (BVM) ที่มาสด้าให้ความสำคัญ เพื่อสร้างคุณค่าและเติมเต็มความมีชีวิตชีวาให้กับผู้คน แทนคำมั่นสัญญาของมาสด้าที่ตั้งใจส่งมอบให้กับลูกค้า ผ่านการดูแลเอาใจใส่โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เพื่อมอบความประทับใจและยกระดับประสบการณ์ความสุขในการขับขี่ รวมถึงการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน ซึ่งเป็นพันธกิจเฉกเช่นเดียวกับมาสด้าทั่วโลกที่ให้ความสำคัญมาโดยตลอด

นับเป็นก้าวที่สำคัญที่มาสด้าได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มบริษัท 14 ออโต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ร่วมดำเนินธุรกิจกันมาอย่างยาวนาน ด้วยการทุ่มงบประมาณเพิ่มเติมอีกกว่า 240 ล้านบาท เปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแบบครบวงจรเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง ภายใต้ชื่อ 14 ออโตโมชั่น จำกัด (มาสด้า บางบอน) และ 14 ออโต้เฟิร์ส จำกัด (มาสด้า พระราม 2) บนทำเลศักยภาพที่มีลูกค้ามาสด้าอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญใกล้ห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง และเป็นเส้นทางสายหลักสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดใกล้เคียง ด้วยความเชี่ยวชาญของกลุ่มบริษัท 14 ออโต้ แล้ว มาสด้าเชื่อว่า การเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ทั้ง 2 แห่งนี้ จะสามารถอำนวยความสะดวกและส่งมอบบริการที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้ามาสด้าได้อย่างแน่นอน

เรามุ่งมั่นให้การสนับสนุนผู้จำหน่ายให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน และเหมาะสมกับสถานการณ์ในตลาด เน้นสร้างผลกำไรในธุรกิจผู้จำหน่ายทั้งการขายและการบริการ สร้างความสมดุลของการสร้างรายได้ในทุกช่องทางอย่างมีเสถียรภาพ ช่วยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานทุกขั้นตอน จึงทำให้ผู้จำหน่ายเชื่อมั่นในแบรนด์มาสด้าพร้อมเดินหน้าไปพร้อมกันทุกพื้นที่ ภายใต้กลยุทธ์การรักษาลูกค้า Retention Business Model เครือข่ายผู้จำหน่ายมาสด้าในปัจจุบันและในอนาคตมีพันธกิจในการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างเต็มกำลัง จนเกิดเป็นความประทับใจและความผูกพันของครอบครัวมาสด้า “มาสด้า แฟมิลี่” ตั้งเป้าเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือก Top Customer Retention Brand ส่งมอบรอยยิ้มและความสุขให้ลูกค้า สร้างความสำเร็จให้ผู้จำหน่ายและเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน มร.ทาดาชิ มิอุระ กล่าวเสริม

นายวุฒิพงศ์ จงพิพิธพร กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท 14 ออโต้ จำกัด กล่าวว่า เราเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์มาสด้าและทิศทางในการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่กำลังสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน การเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ในครั้งนี้ เกิดจากการเล็งเห็นความสำคัญของการให้บริการลูกค้า วันนี้ถ้าเราเน้นไปที่การขายรถใหม่เพียงอย่างเดียวรายได้อาจไม่เพียงพอ ดังนั้น คุณภาพของการบริการคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ต้องอำนวยความสะดวกและบริการให้เหนือความคาดหวังของลูกค้า ตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่ร่วมธุรกิจกับมาสด้า เราไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนา เราอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของเราให้มากที่สุด ส่งมอบบริการให้ครอบคลุมในพื้นที่ต่างๆ  ให้มากขึ้น บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจหลากหลายประเภทมายาวนาน รวมถึงธุรกิจรถยนต์ ทั้งในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ โดยได้เข้าร่วมเป็นผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการกับมาสด้ามาตั้งแต่ปี 2559 ด้วยการเปิดโชว์รูม มาสด้า เทพารักษ์ ซึ่งได้มีการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในทุกฟังก์ชั่น รวมถึงพัฒนาระบบการบริหารจัดการ การดูแลลูกค้าและการติดตามผลงานนำเอาประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากการทำธุรกิจมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากร ทั้งด้านการขายและการบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทำให้เกิดความพึงพอใจมากที่สุด

พิชิตรางวัลมาแล้วถึง 14 รางวัล การันตีคุณภาพการทำงานอันยอดเยี่ยมของ กลุ่มบริษัท 14 ออโต้ จำกัด เป็นผู้จำหน่ายที่ได้รับรางวัลมากมายจากมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย อาทิ รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมประจำปี 2564 ประเภท Silver, รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมประจำปี 2561 ประเภท Bronze, รางวัลทีมงานขายดีเด่นประจำปี 2560-2561, รางวัลบริการหลังการขายดีเด่นประจำปี 2563, รางวัล Body & Paint Awards หรือศูนย์ซ่อมตัวถังและสีดีเด่นประจำปี 2563, รางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศอันดับ 1 MAZTECH Thailand ประจำปี 2565 ประเภทเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์, รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประจำปี 2565 ประเภทช่างเทคนิค และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท 14 ออโต้ มีโชว์รูมและศูนย์บริการมาสด้าทั้งหมด 3 แห่ง ประกอบด้วยมาสด้า เทพารักษ์, มาสด้า บางบอน และล่าสุด มาสด้า พระราม 2 กลุ่มบริษัท 14 ออโต้ เปิดให้บริการด้วยโชว์รูมมาตรฐานขนาดใหญ่แบบ 4S สามารถรองรับลูกค้ารวมทั้งหมดมากกว่า 2,300 คันต่อเดือน โดย บริษัท 14 ออโตโมทีฟ จำกัด หรือมาสด้า เทพารักษ์ เป็นสำนักงานใหญ่ เปิดทำการอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 ด้วยงบลงทุนกว่า 200 ล้านบาท มีพื้นที่ขนาด 8,665 ตรม. รองรับลูกค้าได้มากกว่า 1,100 คันต่อเดือน พร้อมศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง รองรับการบริการได้มากกว่า 200 คัน/เดือน พร้อมเลนด่วนพิเศษแบบ Fast Track ให้บริการตรวจเช็กตามระยะและทำความสะอาดแล้วเสร็จภายใน 60 นาที

สำหรับโชว์รูม มาสด้า บางบอน มีขนาดใหญ่แบบ 4S ให้การบริการแบบครบวงจร พร้อมศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 4,641 ตรม. รองรับบริการได้มากกว่า 700 คัน/เดือน ศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง รองรับบริการได้มากกว่า 100 คัน/เดือน พร้อมเลนด่วนพิเศษ Fast Track ให้บริการตรวจเช็กตามระยะและทำความสะอาดแล้วเสร็จภายใน 60 นาที และมีเจ้าหน้าที่ชำนาญการพิเศษ พรั่งพร้อมด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ทันสมัย สามารถประเมินงานซ่อมและส่งมอบงานบริการที่แม่นยำและตรงจุดให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

สำหรับโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ล่าสุด มาสด้า พระราม 2 ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 3,735 ตรม. เป็นโชว์รูมขนาดกลาง รองรับรถยนต์ที่มาใช้บริการได้มากกว่า 500 คัน/เดือน พร้อมเลนด่วนพิเศษแบบ Fast Track ที่ให้บริการตรวจเช็กตามระยะและทำความสะอาดแล้วเสร็จภายใน 60 นาที ที่ศูนย์บริการแห่งนี้ยังให้บริการซ่อมตัวถังและสีได้เช่นเดียวกัน โดยจะมีทีมที่ปรึกษาด้านการบริการมืออาชีพคอยให้คำแนะนำและประสานงานในการส่งรถลูกค้าไปซ่อมที่ มาสด้า บางบอน และนำรถที่ซ่อมเสร็จแล้วกลับมาให้ลูกค้าที่เดิม เพิ่มความสะดวกและช่วยให้ลูกค้าที่ไม่สะดวกเดินทางไปรับบริการที่มาสด้า บางบอน

เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสเปิดโชว์รูมใหม่ทั้ง 2 แห่ง ทางโชว์รูมได้มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าทุกรายที่เดินทางมาใช้บริการในเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน โดยลูกค้าใหม่ที่นำรถเข้าบริการตรวจเช็คตามระยะทางและยังไม่เคยมารับบริการ ทางโชว์รูมเตรียมส่วนลดให้ 1,000 บาท ส่วนลูกค้าที่เคยใช้บริการแล้วจะได้รับส่วนลด 500 บาท สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นรับส่วนลดเพิ่มเติมจากแคมเปญปกติเพิ่มอีก 4,000 บาท

มาสด้าขอขอบคุณลูกค้าที่เชื่อมั่นในแบรนด์มาสด้า ชาวมาสด้าทุกคนพร้อมให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าตามแผนงานในการขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย และยกระกับการให้บริการลูกค้าในทุกประสบการณ์ เพื่อส่งมอบคุณค่าและคุณภาพการให้บริการอันน่าประทับใจให้กับลูกค้า และพร้อมดูแลรถยนต์ของลูกค้าไปตลอดอายุการใช้งาน

โตโยต้า ต่อยอดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

โตโยต้า ต่อยอดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17 เดินหน้าขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

นายวัฒนา เจริญจิตร นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ  พลตรี ธวัช ชาลีรัตน์ รองเจ้ากรมพลาธิการทหารบก  และ นายสมคิด ประดิษฐกำจรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของโตโยต้า บริษัทในเครือฯ ผู้ผลิตชิ้นส่วนโตโยต้า ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ตลอดจนหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมปลูกพันธุ์ไม้ชายเลนจำนวน 50,000 ต้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการมุ่งสู่เป้าหมาย สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใต้กิจกรรม “โตโยต้าปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17” ณ สถานตากอากาศบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567

หนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของโตโยต้าคือการ สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ผ่านการจัดการ กระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การผลิตชิ้นส่วน การขนส่ง การผลิตในโรงงาน การจำหน่าย จนถึงการกำจัดเมื่อหมดอายุการใช้งาน ควบคู่ไปกับ การเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง (Multi Pathways) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมสู่สังคมไทย ผ่านกิจกรรมต่างๆ รวมถึง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมจำนวนกว่า 2,600,000 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 27,950* ตันต่อปี

โตโยต้า ปลูกป่าชายเลน เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 จากความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ กรมพลาธิการทหารบก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ มูลนิธิสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ประเทศไทย) หรือ FEED โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนบางปู ซึ่งเป็นป่าชายเลนปากแม่น้ำผืนสุดท้ายของภาคกลาง ให้มีความอุดมสมบูรณ์ มีสภาพเหมาะแก่การอยู่อาศัยของสัตว์ในระบบนิเวศชายเลน และเป็นการเปิดโอกาสให้อาสาสมัครจากภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนภาคประชาชน ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สร้างจิตสำนึกคนไทยให้ตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ

กิจกรรม โตโยต้า ปลูกป่าชายเลน ปีที่ 17 ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครกว่า 2,000 คน ประกอบด้วย กลุ่มพนักงานโตโยต้าและครอบครัว สมาชิกชมรมโตโยต้าจิตอาสา ตัวแทนจากบริษัทในเครือ สมาชิกเครือข่าย Facebook Toyota Happiness Club สมาชิก e-TOYOTACLUB ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ผู้ผลิตชิ้นส่วน ตลอดจนตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐในจังหวัดสมุทรปราการ กองทัพบก และประชาชน ที่มาร่วมแรงร่วมใจปลูกพันธุ์ไม้ชายเลน 50,000 ต้น ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาการดำเนินกิจกรรมที่ผ่านมา โตโยต้าได้ปลูกป่าชายเลนในพื้นที่บางปูไปแล้ว 792,800 ต้น

โตโยต้าเชื่อมั่นว่าการจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ไม่สามารถเป็นไปได้ด้วยความพยายามของคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกคน โดยกิจกรรมนี้เป็นอีกหนึ่งในความพยายาม ภายใต้โครงการ “โตโยต้า เมืองสีเขียว” ที่มุ่งขยายความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมทั่วประเทศ อาทิ โครงการชุมชนสิ่งแวดล้อมยั่งยืน เพื่อพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม อันเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนประเทศไทย มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050

                      “โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save