- Advertisement -
30.3 C
Bangkok
Home Blog Page 83

มิตซูบิชิและเอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น คว้ารางวัลสถานประกอบการลดอุบัติเหตุเป็นศูนย์

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และเอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น คว้า 5 รางวัล สถานประกอบการลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานเป็นศูนย์ ประจำปี 2566 จากสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น จำกัด นำโดย นายกิตติ ลีลาวัฒนานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด รับรางวัลสถานประกอบการลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปี 2566 (Zero Accident Campaign 2023) จากสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) โดยมีนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงแรงงาน เป็นผู้มอบรางวัลในพิธีซึ่งจัดขึ้นภายในงานสัปดาห์ความปลอดภัยแห่งชาติ ครั้งที่ 35

ด้วยการดำเนินงานด้านความปลอดภัยและชีวอนามัยที่มีมาตรฐานระดับโลก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และเอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น ได้รับรางวัลสถานประกอบการลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปีนี้ทั้งหมด 5 รางวัล ได้แก่ รางวัลระดับแพลทินัมสำหรับโรงงาน 3 รางวัลระดับทองสำหรับโรงงาน 1 และ 2 และโรงงานเครื่องยนต์ รวมถึงรางวัลระดับทองแดงสำหรับโรงงานปั๊มขึ้นรูป 1 และโรงงานปั๊มขึ้นรูป 2 และพลาสติก

โรงงาน 3 ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับแพลทินัม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเพื่อยกย่องการดำเนินงานที่มีชั่วโมงปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 29 ล้านชั่วโมงทำงานเป็นเวลา 2 ปีต่อเนื่องกัน โรงงานเครื่องยนต์คว้ารางวัลโล่เกียรติยศระดับทองซึ่งเป็นการยกระดับขึ้นจากรางวัลโล่เกียรติยศระดับเงินที่ได้รับก่อนหน้านี้ด้วยการทำงานที่ปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 10.6 ล้านชั่วโมงทำงาน โล่เกียรติยศระดับทองยังเป็นของโรงงาน 1 และ 2 จากการทำงานโดยปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 47.1 ล้านชั่วโมงทำงานเป็นปีที่ 4 ต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับทองแดง 2 รางวัล ได้แก่โรงงานปั๊มขึ้นรูป 1 จากการทำงานโดยปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 1.1 ล้านชั่วโมงเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่อง และโรงงานปั๊มขึ้นรูป 2 และพลาสติกที่มีชั่วโมงการทำงานที่ปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 2.7 ล้านชั่วโมงต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 3

นายกิตติ ลีลาวัฒนานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “รางวัลสถานประกอบการลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ที่ได้รับในปีนี้มาจากความร่วมแรงร่วมใจของพนักงาน ซึ่งมีการค้นหาความเสี่ยงในที่ทำงานรวมถึงการแบ่งปันประสบการณ์การปรับปรุงแก้ไขโดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดและลดความเสี่ยงในบริเวณพื้นที่ทำงานทุกจุด เราดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ส่งผลให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย รักษามาตรฐานความปลอดภัยและมีอุบัติเหตุเป็นศูนย์ต่อไป”

“นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังรณรงค์เรื่องการขับขี่ปลอดภัยของพนักงานในการเดินทางมายังที่ทำงานและกลับไปที่พักอาศัย เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานทุกคนมีความปลอดภัยและไม่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทั้งในและนอกเวลาทำงาน รางวัลความสำเร็จในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของพนักงานในการมีส่วนร่วมอย่างเต็มรูปแบบ และจะเป็นต้นแบบสำคัญให้แต่ละโรงงานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย นำไปประยุกต์ใช้เพื่อลดอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” นายกิตติ เสริม

กิจกรรมการรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ (Zero Accident Campaign) เป็นแนวคิดริเริ่มของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน)  มุ่งรณรงค์ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีความมุ่งมั่นในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานบนพื้นฐานแนวคิดที่ว่า “อุบัติเหตุที่มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับการทำงานสามารถป้องกันได้” โดยการลดสถิติการประสบอุบัติเหตุในสถานประกอบกิจการให้เป็นศูนย์ ผ่านการวางแผนและบริหารจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย

เบนซ์ไพรม์มัส นำ 3 ลักชัวรี่สปอร์ตคาร์ แข่งขันในพีระ เซอร์กิต พัทยา

“เบนซ์ไพรม์มัส” นำ 3 ลักชัวรี่สปอร์ตคาร์ ร่วมศึกการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ PT Maxnitron Racing Series 2023 สร้างประสบการณ์ใหม่ สุดตื่นเต้น เร้าใจ ในสนามแข่งรถระดับตำนาน “พีระ เซอร์กิต พัทยา”

นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด เปิดเผยว่า “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้ร่วมมอบประสบการณ์ใหม่ ที่สร้างความตื่นเต้น เร้าใจ ในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ “PT MAXNIRTON RACING SERIES 2023 # 2” ระหว่างวันที่ 18-20 สิงหาคม 2566 ที่สนาม พีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา จ.ชลบุรี หรือ สนาม “พีระ เซอร์กิต” ซึ่งถือเป็นสนามแข่งรถในระดับตำนานและเป็นสนามมาตรฐานแห่งแรกในประเทศไทย ในครั้งนี้ “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้นำรถยนต์ Mercedes-Benz 3 รุ่น 3 สไตล์ ได้แก่

– Mercedes-Benz CLS 220d AMG Premium คูเป้สปอร์ต 4 ประตู หรูหรา ล้ำสมัย มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ 1950 ซี.ซี. พละกำลัง 194 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.5 วินาที

– Mercedes-Benz E 300 e AMG Dynamic สปอร์ตลักชัวรี่ซีดาน สมรรถนะสูง ด้วยเครื่องยนต์ เบนซิน plug in hybrid พละกำลัง 350 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.7 วินาที

– Mercedes-Benz E220 d AMG Sport เรียบหรู สไตล์สปอร์ต เพียบพร้อมด้วยนวตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เทอร์โบ ขนาด 1950 ซีซี. กำลังสูงสุด 194 แรงม้าแรงบิด 400 นิวตันเมตร คู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมเพิ่มความเท่ห์ด้วยชุดแต่ง AMG รอบคัน

เพื่อแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะชั้นเลิศของยานยนต์แห่งค่าย Mercedes-Benz โดยร่วมอวดโฉมความหรูหรา สง่างาม พร้อมพิจน์ความแข็งแกร่ง และความเร็ว ด้วยการลงสนามเป็นรถ Safety Car นำทัพรถยนต์ทางเรียบสำหรับประลองศึกความเร็วในครั้งนี้

วิริยะประกันภัย มอบวิกผมแท้ เพื่อผู้ป่วยมะเร็ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รับมอบวิกผมแท้ จำนวน 50 หัว ภายใต้โครงการ “วิริยะรวมใจกัน ปันเส้นผม เพื่อผู้ป่วยมะเร็ง” จาก บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมี นางชลทิชา สัตยมานะ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร เป็นผู้แทนบริษัทฯ มอบให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดและมีอาการผมร่วง เพื่อส่งกำลังใจในการต่อสู้กับโรคและความเจ็บป่วย รวมถึงเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ป่วยในการกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ วิริยะประกันภัย ได้ดำเนินโครงการดังกล่าว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยการเชิญชวนพนักงานและครอบครัววิริยะประกันภัยจากทั่วประเทศร่วมกันเป็นสะพานบุญบริจาคเส้นผมเพื่อนำมาถักทอเป็นวิกผมให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็ง อีกทั้งยังจัดกิจกรรมจิตอาสาช่วยคัดแยกเส้นผมที่มีผู้บริจาคเข้ามาผ่านทางบริษัทฯ และมูลนิธิจากนางฟ้าถึงคุณวันใหม่ ตลอดจนร่วมสนับสนุนค่าถักทอวิกผมสำหรับส่งมอบให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งผ่านโรงพยาบาลนางฟ้ากว่า 80 แห่งทั่วประเทศ โดยวิกผมแท้ที่ส่งมอบแก่ผู้ป่วยในครั้งนี้ เป็นวิกผมที่ถักทอขึ้นจากเส้นผมของพนักงานและครอบครัววิริยะประกันภัยได้ร่วมกันบริจาคในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา

วิริยะประกันภัย ร่วมปล่อยตัวคาราวาน GWM EV Convoy Tour 2023

นางสาวสุรีพร พงษ์พานิช ผู้อำนวยการกองตลาดภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมด้วย นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคอาเซียน เกรท วอลล์ มอเตอร์, นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการ Project Management Office การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และนายภาคภูมิ วิริยะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้แทนจาก บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าวพิธีปล่อยตัวคาราวานโครงการ GWM EV Convoy Tour 2023 : ORA Is On เปิดประสบการณ์คาราวานเจ้าเหมียวไฟฟ้า ORA Cat เส้นทางกรุงเทพฯ – สิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วยการหันมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนตอกย้ำความความมุ่งมั่นในการผลักดันประเทศไทยก้าวสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคตอย่างเต็มรูปแบบ ณ GWM Att U Park Bangna

ทั้งนี้ วิริยะประกันภัย ได้ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรหลักของโครงการดังกล่าว อันเป็นความร่วมมือระหว่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัทฯ จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจท่องเที่ยวทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมปลุกกระแสความแข็งแกร่งของสังคมยานยนต์ไฟฟ้าให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเพื่อสอดรับนโยบายลดคาร์บอน ภายใต้แนวคิด BCG Model โดยการนำร่องการเดินทางไกลข้ามพรมแดนภูมิภาคอาเซียนด้วยการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% ซึ่งมีความปลอดภัยและสะดวกสบายตลอดเส้นทาง รวมระยะทางทั้งสิ้นกว่า 4,000 กิโลเมตร

วิริยะประกันภัย ร่วมกับ มูลนิธิเมาไม่ขับ รณรงค์เด็กเล็กสวมหมวกกันน็อก

วิริยะประกันภัย ร่วมกับ มูลนิธิเมาไม่ขับ รณรงค์เด็กเล็กสวมหมวกปลอดภัย มอบหมวกกันน็อก จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อปลูกฝังพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัยและฝึกวินัยจราจรในเด็กที่จะเติบโตไปเป็นกำลังของชาติในอนาคต

นายเธียรวิทย์ หาญเมธีคุณา ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการภาค 3 (ภาคตะวันออก) ด้านสาขา บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ นายสุรสิทธิ์ ศิลปงาม ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ มอบหมวกนิรภัยสำหรับเด็ก จำนวน 118 ใบ ภายใต้ “โครงการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบสวมหมวกนิรภัย 100% ให้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 5 แห่ง ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดราษฎร์ศรัทธาธรรม, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดเที่ยงพิมลมุข, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านใหม่ อบต.บ้านใหม่, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดสมาน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดบางแก้ว องค์การบริหารส่วนตำบลบางแก้ว เพื่อปลูกฝังพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัยและฝึกวินัยจราจรในเด็ก ซึ่งเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเติบโตไปเป็นกำลังของชาติในอนาคตเห็นถึงความปลอดภัยของการสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งในทุกการเดินทางเพื่อลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยมี นายรัชพล ยิ้มเจริญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางขวัญ, นายสุเทพ สถิตย์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านใหม่, นายภูไท เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางแก้ว และนายกิตชัย กิตติคุณ ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับในมูลนิธิเมาไม่ขับ จังหวัดฉะเชิงเทรา ร่วมส่งมอบ ณ สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลบางขวัญ จังหวัดฉะเชิงเทรา

สำหรับโครงการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบสวมหมวกนิรภัย 100% เป็นการสานต่อโครงการศูนย์เด็กเล็กปลอดภัย-ปลอดโรค ซึ่งทางมูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมด้วย ชมรมคนห่วงหัว และบริษัทฯ ร่วมมือกันผลักดันให้เยาวชนและผู้ปกครองเล็งเห็นความสำคัญของการสวมหมวกนิรภัย โดยที่ผ่านมาได้ร่วมกันดำเนินการมาแล้วในพื้นที่จังหวัดน่าน, อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี จังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดฉะเชิงเทราในครั้งนี้ เพื่อเป็นเมืองต้นแบบในการรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนให้เด็กเล็กสวมหมวกนิรภัย 100% ทุกครั้งขณะเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ พร้อมกับเดินขยายผลโครงการดังกล่าวสู่จังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป

สยย. เร่งยกระดับความพร้อม ยานยนต์ไทยสู่ยานยนต์สมัยใหม่

สยย. เร่งเสนอมาตรการยกระดับความพร้อม ผู้ประกอบการยานยนต์ไทยสู่ เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ แก้ไขปัญหามลพิษและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ แลพะการพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและขับขี่อัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและความปลอดภัยในการขับขี่ยานยนต์

สถาบันยานยนต์ (สยย.) จัดงาน สัมมนา “นำเสนอผลการศึกษา ภายใต้โครงการยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Parts Transformation) ปี พ.ศ. 2566” ซึ่งได้รับมอบหมายจาก สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ โฮเต็ล ประตูน้ำ  โดย ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า “จากนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ มุ่งเน้นสองประการ คือ หนึ่ง การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในระยะยาว และ สอง การต่อยอดจากอุตสาหกรรมยานยนต์เดิม (ICE) ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและขับขี่อัตโนมัติ (CAV) ที่นำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ รวมถึงการพัฒนายานยนต์ ICE ที่มีลักษณะ สะอาด ประหยัด และปลอดภัย อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้กำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไร้มลพิษ

ดังนั้นเพื่อเป็นการลดผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ จึงจำเป็นต้องจัดทำแผนยุทธศาสตร์ และแผนการปรับเปลี่ยนผู้ผลิตชิ้นส่วน รวมถึงแรงงานไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่ ครอบคลุมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเป้าหมาย เพื่อยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย และเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่

ในการนี้ได้รับเกียรติจาก นางดวงดาว ขาวเจริญ ผู้อำนวยการกองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานสัมมนาดังกล่าว ว่า “นโยบาย 30@30 รัฐบาลกำหนดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle : ZEV) ในปี 2030 ภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ “การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก” เป็นการวางทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยของภาครัฐที่ชัดเจน รวมทั้ง ได้ออกมาตรการครอบคลุมในหลายด้าน ประกอบด้วย มาตรการส่งเสริมการลงทุน มาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี และไม่ใช่ภาษี (โครงการ EV3) รวมทั้ง มาตรการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งมาตรการที่นำไปสู่การดำเนินงานในลักษณะบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดการลงทุนใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ EV และทำให้ Demand ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน รวมทั้ง ส่งผลให้นักลงทุนรายใหม่ และรายเดิมสนใจเพิ่มเติมการลงทุน โดยต้องการให้ภาครัฐพิจารณาขยายระยะเวลามาตรการส่งเสริม (หรือ EV 3.5) นอกจากนี้ ยังเป็นการดึงดูดผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ให้เข้ามาลงทุนผลิตในประเทศด้วย นโยบายของภาครัฐนี้ถือเป็นการชี้นำภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้มีทิศทางสอดคล้องกับทิศทางของยานยนต์โลก เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ภาครัฐได้ตระหนักถึงการผลิตรถยนต์ในส่วนร้อยละ 70 หรือ 70@30   ซึ่งเป็นยานยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE และส่วนใหญ่เป็น Product Champion ของไทยคือ รถกระบะขนาด 1 ตัน และ Eco car ควรได้รับการส่งเสริมเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่ EV หรือ CAV โดยกำลังพิจารณาการส่งเสริมตามแนวทาง “สะอาด (หรือมาตรฐาน Euro 6) ประหยัด (พลังงาน หรือปล่อย CO2 ต่ำ) และปลอดภัย (หรือมาตรฐานการชน และ ADAS)” ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวจะมีการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยอาจจะเป็น HEV, PHEV  สอดรับกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างราบรื่น”

นอกจากนี้ยังมีการบรรยายพิเศษ เรื่องสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย โดย นายสุพจน์ สุขพิศาลประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่นำเสนอสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย ทั้งการผลิตชิ้นส่วนสำหรับการประกอบในโรงงานผลิตรถยนต์ (OEM) และชิ้นส่วนสำหรับอะไหล่ทดแทน (REM) โดยที่ผ่านมาผู้ผลิตชิ้นส่วน OEM มีความสามารถแข่งขันในกลุ่มชิ้นส่วนรถกระบะเป็นหลัก และให้ข้อสังเกตว่าการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานยานยนต์สมัยใหม่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก จำเป็นต้องสร้างความสามารถให้แก่ผู้ผลิตชิ้นส่วนในปัจจุบันทั้งความสามารถทางเทคโนโลยีและการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติจีน ในขณะที่กลุ่มชิ้นส่วน REM ยังมีโอกาสเติบโตเนื่องจากตลาดรถสะสมทั่วโลกจำนวนมากกว่าพันล้านคัน แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังขาดข้อมูลอุตสาหกรรมนี้อยู่อีกมาก จึงจำเป็นต้องดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อใช้สำหรับการวางแผนนโยบายด้านชิ้นส่วน REM ต่อไป

รวมถึงการนำเสนอผลการศึกษาภายใต้โครงการยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ปี พ.ศ. 2566 โดย คณะผู้วิจัย ซึ่งได้ประเมินความสามารถการแข่งขันของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทย พบว่า โดยเฉลี่ย ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างชาติจะมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนคนไทย ดังนั้น ความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ทั้งกระแสการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า และการปรับตัวทางด้านสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนสามารถปรับตัวในระดับแตกต่างกันไป หรือต้องการความช่วยเหลือแตกต่างกันออกไป ที่สำคัญ ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีความสามารถในการแข่งขันระดับสูงมีจำนวนไม่มากนัก หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 15 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด (ผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวน 362 รายในกลุ่มตัวอย่าง) ซึ่งเชื่อว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนกลุ่มนี้มีโอกาสรักษาความสามารถในการแข่งขันและปรับตัวต่อบริบทความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้และในรายสาขาชิ้นส่วนยานยนต์ต่างๆ ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างชาติมีความพร้อมทางเทคโนโลยีและงบประมาณที่จะผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ในสัดส่วนสูงกว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนคนไทยในทุกรายสาขาชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนคนไทยในกลุ่มช่วงล่าง (Chassis) และกลุ่มกระบวนการผลิต (Process) จะมีความพร้อมต่อการปรับตัวสูงกว่ากลุ่มสาขาชิ้นส่วนอื่นๆ เนื่องจากผู้ผลิตชิ้นส่วนคนไทยเหล่านี้ยังสามารถเข้าไปเชื่อมโยงชิ้นส่วนตนเองหรือกระบวนการผลิตตนเองไปยังยานยนต์สมัยใหม่ได้

พร้อมข้อเสนอมาตรการเพื่อไปสู่เป้าหมาย 4 ประการ ได้แก่ หนึ่ง ส่งเสริมการเข้าสู่ตลาด เพื่อทำให้ผู้ประกอบการเป็นที่รู้จักเชื่อมั่นศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย สอง ส่งเสริมฐานการผลิตให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น เช่น การสร้าง Ecosystem พัฒนาการผลิตแบบคาร์บอนต่ำ เพื่อตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ การยกระดับเป็นผู้ประกอบการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สาม การสร้างความสามารถทางเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น แบตเตอรี่ Autonomous ระบบ ADAS ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการทำ R&D สี่ การพัฒนาบุคคลากร เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่

พร้อมทั้งมีการเสวนาใน เรื่องโอกาสของผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในตลาดอะไหล่ทดแทน โดย นายมีชัย ศรีวิบูลย์ ผู้อำนวยการสายงานด้านเทคนิค บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด นายธเนศ เลิศขจรกิตติ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) นายธงชัย อุพันวัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเจแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ดำเนินรายการโดยนางสาวฐิติภัทร ดอกไม้เทศ ผู้จัดการแผนกพัฒนาอุตสาหกรรมและรักษาการผู้จัดการแผนกวิจัยอุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์ วิทยากรทั้งสามท่านได้นำเสนอประสบการณ์การดำเนินธุรกิจ ซึ่งประเด็นสำคัญคือการเข้าใจตลาดและนำข้อมูลจากลูกค้ากลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ โดยมีหน่วยงานด้านวิจัยและพัฒนาของตนเอง และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อการดำเนินมาตรการของภาครัฐ เช่น

-ภาครัฐจำเป็นต้องส่งเสริม Business Matching หรือผลักดันให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไปแสดงผลิตภัณฑ์ตนเองไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น และไม่ควรมีข้อจำกัดจำนวนครั้งของการเข้าร่วมโครงการให้เงินอุดหนุนเพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตชิ้นส่วนในแต่ละราย โดยเฉพาะในโครงการ SME Pro-active

-โครงการความช่วยเหลือทางการดำเนินงานธุรกิจของภาครัฐมีจำนวนมากและกระจายไปยังหน่วยงานต่าง ๆ แต่เรื่องดังกล่าวกลายเป็นความยากของผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ไม่รู้ว่าจะติดต่อหน่วยงานใด จึงอยากให้มีศูนย์ที่ช่วยแนะนำและติดต่อโครงการความช่วยเหลือแบบรวมศูนย์

-ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งรวบรวมข้อมูลตลาดสินค้าอะไหล่ทดแทนในตลาดส่งออกต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนมีโอกาสเข้าไปขายได้มากขึ้น

ทั้งนี้ สถาบันยานยนต์มีความเชื่อมั่นว่า ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยมีความสามารถแข่งขันเทียบเท่าผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างชาติ และประเทศไทยสามารถพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งจะสอดรับกับเป้าหมายของนโยบาย 30@30 ต้องการคงความสามารถการแข่งขัน เพื่อเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลกได้อย่างแน่นอน

เบนซ์ไพรม์มัส ปลื้ม The New GLC กระแสตอบรับจากลูกค้าดีเกินคาด

“เบนซ์ไพรม์มัส” ปลื้ม! The New GLC จัดงานเปิดตัวครั้งแรกสุดอลังการ กระแสลูกค้าตอบรับดีเกินคาด เร่งเดินหน้ากระตุ้นยอดต่อเนื่อง นำทัพรถใหม่ จัด Road Show มอบโปรสุดพิเศษ ฟรี! WallBox มูลค่า 50,500 บาท หรือ ฟรี! MBSP Extra Guarantee นาน 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ที่เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ และ “เบนซ์ไพรม์มัส” สาขาเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา กับสาขาพัทยา นาจอมเทียน 14-21 สิงหาคมนี้ เท่านั้น

นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์, เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี, เมอร์เซเดส-อีคิว และเมอร์เซเดส-มายบัค ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่า ทาง “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้ร่วมกับบริษัทแม่ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)” จัดงานเปิดตัวยนตรกรรม SUV ระดับลักชัวรี่ คาร์ ในรุ่น Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic ให้ลูกค้ารถยนต์ Mercedes-Benz, ลูกค้า “เบนซ์ไพรม์มัส” และผู้สนใจที่ชื่นชอบรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก พร้อมเปิดจองให้เป็นเจ้าของก่อนใคร ภายใต้ชื่องาน The Life Launching Experience of The New GLC อาคารว่องไววิทย์ (ตลาดน้อย) เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา

“Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic ยานยนต์เอนกประสงค์ระดับลักชัวรี่  ได้รับออกแบบตามหลักปรัชญา Sensual Purity ที่ผสานความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว มาพร้อมกับขุมพลังเทคโนโลยี Plug-in Hybrid  ที่มีประสิทธิภาพในการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำระยะทางได้มากถึง 120 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ให้พละกำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 218 กม./ชม.อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที พร้อมฟังก์ชั่นด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการขับขี่แบบ On-Road และ Off-Road ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ในราคาแนะนำเพียง 4,180,000 บาท”

ในงานดังกล่าว ลูกค้าให้ความสนใจและตอบรับเข้าร่วมงานดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดย “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้สร้างสถิติการเปิดจองรถยนต์ The New GLC ในวันแรก และวันเดียว สามารถทำยอดจองทั้งหมด 26 คัน นับเป็นมิติใหม่ของดีลเลอร์ในการจำหน่ายรถยนต์แบรด์ระดับลักชัวรี่ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ต้องขอบคุณบริษัทแม่ ที่มีนโยบายในการสนับสนุนการจำหน่ายของดีลเลอร์ และนโยบายการตลาด ที่มีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริค ในราคาจำหน่ายที่คุ้มค่า รวมทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่างๆ ทำให้ยกระดับความสะดวกสบายในการเป็นเจ้าของยานยนต์รุ่นต่างๆ อันส่งผลดีต่อการจำหน่ายและธุรกิจของ “เบนซ์ไพรม์มัส”

ดังนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้เป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นใหม่ Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic และรถยนต์ Mercedes-Benz, Mercedes-AMG ได้อย่างสะดวก ง่ายดาย ทั้งเป็นการกระตุ้นยอดขายในตลาดรถยนต์ระดับหรูในช่วงไตรมาส 3 ทาง “เบนซ์ไพรม์มัส” จึงมีนโยบายจัดงานแสดงรถยนต์ Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ “เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์” ระหว่างวันที่ 14-21 สิงหาคม 2566

พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษต่างๆ มากมาย อาทิ รับฟรี! Mercedes-Benz WallBox มูลค่า 50,500 บาท หรือ ฟรี! MBSP Extra Guarantee นาน 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง หรือ ฟรี MBSP Extra Guarantee นาน 5 ปี พร้อมประกันภัยชั้น 1 นาน 2 ปี หรือ พิเศษ ดอกเบี้ย 0% นาน 4 เดือน พร้อมประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี เป็นต้น

ยามาฮ่า จัดหนักโปรโมชัน ซื้อฟินน์วันนี้รับ 3 ต่อ

ยามาฮ่า จัดหนักจัดเต็มกับโปรโมชัน “ฟินน์ทุกที่ ฟรีทุกคน” ซื้อ ยามาฮ่า ฟินน์ วันนี้! รับฟรีของแถม 3 รายการ รวมมูลค่ากว่า 1,200 บาท

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด จัดหนักจัดเต็มกับโปรโมชันสุดคุ้ม “ฟินน์ทุกที่…ฟรีทุกคน” เมื่อซื้อรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟินน์ ทุกรุ่น ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2566–31 ตุลาคม 2566 รับของแถมฟรีทันที! 3 รายการ รวมมูลค่า 1,200 บาท ได้แก่ 1. หมวกกันน็อก FINN 1 ใบ 2. ตะกร้าหน้า 1 ชิ้น 3. กันลาย 1 ชิ้น พร้อมเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพสินค้าด้วยการรับประกันทั้งคัน 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง กล้าที่จะไป กล้าที่จะเป็น #กล้าที่จะฟินน์

สำหรับรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟินน์ มีให้เลือกเป็นเจ้าของด้วยกัน 4 รุ่น คือ รุ่น UBS ราคา 48,700 บาท, รุ่น ล้อแม็ก/สตาร์ทมือ ราคา 46,900 บาท, รุ่น ล้อซี่ลวด/สตาร์ทมือ ราคา 44,900 บาท และรุ่น ล้อซี่ลวด/สตาร์ทมือ ดรัมเบรก ราคา 41,200 บาท โดยสามารถเป็นเจ้าของได้ที่ร้านยามาฮ่าสแควร์ และร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263- 9999 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่ www.yamaha-motor.co.th

มิตซูบิชิ เปิดลูกค้าลองขับเอ็กซ์แพนเดอร์และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้ลูกค้าสนุกกับการขับขี่เหนือระดับ ด้วยการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ในงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มอบความประทับใจให้ลูกค้าด้วยประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ  กับการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ในงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ

งาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ จัดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 4 วัน 4 ภาค โดยส่งท้ายกิจกรรมความสนุกกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลูกค้าที่เข้าร่วมงานต่างรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจที่ได้สัมผัสกับสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น จากการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส บนสนามทดสอบรถยนต์ที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ลูกค้ายังรู้สึกประทับใจในดีไซน์ที่หรูหราด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่างของรถทั้งสองรุ่นนี้อีกด้วย โดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ที่โดดเด่นในด้านความหรูหรา สะดวกสบาย สามารถครองใจครอบครัวยุคใหม่ ที่ต้องการมองหารถอเนกประสงค์ที่มีห้องโดยสารกว้างขวาง ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน ขณะที่ผู้ขับขี่ที่รักการผจญภัยและออกทริปเอาท์ดอร์ ต่างรู้สึกประทับใจ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ใหม่สไตล์โฉบเฉี่ยว ขับสนุกสไตล์สปอร์ต หรูหรา สะดวกสบาย ให้ความปลอดภัย สไตล์เอสยูวี ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นระบบการขับขี่สุดล้ำสมัย เสริมความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย “ระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง” (Active Yaw Control: AYC) ช่วยควบคุมการทำงานของล้อด้านในและด้านนอกขณะเข้าโค้ง เพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพในการขับขี่ ให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้มากกว่าเดิม พร้อมลุยในหลากหลายสภาพถนนและสภาพอากาศที่แตกต่าง

ลูกค้าที่สนใจ สามารถชม มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ทั้ง 2 รุ่น ได้ที่โชว์รูม มิตซูบิชิ มอเตอร์ ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายเพื่อทดลองขับได้ที่ www.mitsubishi-motors.co.th หรือ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มาตรฐานความปลอดภัย ASEAN NCAP ระดับ 5 ดาว

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ คว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP ต่อเนื่อง 3 เจเนอเรชันซ้อน ตอกย้ำการเป็นเอสยูวีที่เปี่ยมคุณภาพ มาพร้อมมาตรฐานความปลอดภัย ควบคู่กับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมในทุกเส้นทาง

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเอสยูวีในไทย เผยความสำเร็จอีกขั้นของ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 6 ยนตรกรรมรุ่นล่าสุดในไลน์อัปเอสยูวีของฮอนด้า ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อวัดสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (New Car Assessment Program for Southeast Asia) โดยนับเป็นการคว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดต่อเนื่อง 3 เจเนอเรชัน สะท้อนการเป็นรถเอสยูวีคุณภาพที่เปี่ยมด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งเป็นเครื่องยืนยันถึงการสร้างสรรค์และนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพของฮอนด้า ที่มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย เพื่อส่งมอบความมั่นใจและความสุขสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนในทุกเส้นทาง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของฮอนด้าในการมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในการสร้างสังคมการขับขี่ปลอดอุบัติเหตุให้เกิดขึ้น ทั้งการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่วโลกภายในปี 2050

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยคะแนนรวม 87.16 เต็ม 100 คะแนน โดยได้รับคะแนนในแต่ละด้าน ทั้ง 4 ด้าน จากคะแนนเต็ม 120 คะแนน ซึ่งหลักเกณฑ์การประเมินประกอบด้วย การทดสอบการชนจากด้านหน้า การชนจากด้านข้าง และการประเมินเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย โดย ซีอาร์-วี ใหม่ ได้รับคะแนนในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection: AOP) 31.45/32 คะแนน การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก (Child Occupant Protection: COP) 45.81/51 คะแนน เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย (Safety Assist Technologies: SATs) 19.50/21 คะแนน และความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ (Motorcyclist Safety: MS) 9.05/16 คะแนน ทั้งนี้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เปิดตัวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2566 และได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า

นอกจากนี้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ยังสามารถคงมาตรฐานความปลอดภัยยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาวไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เจเนอเรชันที่ 4 ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวเมื่อปี พ.ศ. 2556 จนถึงเจเนอเรชันปัจจุบัน โดยรุ่นที่นำมาใช้ในการทดสอบครั้งนี้ เป็นรุ่น EL 4WD* ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร Direct Injection DOHC VTEC TURBO

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อย ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง* (Honda SENSING) ที่ผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยฟังก์ชันการทำงานหลัก ได้แก่

•ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)

•ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)

•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

•ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน

•ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่นๆ* อาทิ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) เป็นต้น

ฮอนด้า จะยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนายนตรกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบยนตรกรรมที่มีคุณภาพ ครบครันด้วยเทคโนโลยีทั้งด้านการขับขี่และความปลอดภัย เพื่อมอบความมั่นใจและความปลอดภัยในทุกการเดินทาง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในการสร้างสังคมการขับขี่ปลอดอุบัติเหตุให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่วโลกภายในปี 2050

สัมผัสกับ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามข้อมูลจากที่ปรึกษาการขายได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดทาง www.honda.co.th/crv ลูกค้าสามารถทดลองขับเพื่อสัมผัสกับเทคโนโลยีความปลอดภัย และสมรรถนะการขับขี่ของฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ทั้งขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบ VTEC TURBO ที่มอบอัตราเร่งเร้าใจ ขับสนุกสไตล์สปอร์ต และระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมในชีวิตประจำวันได้อย่างไร้กังวล ได้ที่โชว์รูมฮอนด้า

โดย ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ** ดอกเบี้ย 2.29% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี พร้อมฟรีโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ขยายเวลารับประกันคุณภาพอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร สำหรับรุ่น e:HEV รับเพิ่มประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปีและรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับผ่าน www.honda.co.th/testdrive ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 – 30 กันยายน 2566 จะได้รับฟรีขวดน้ำพับได้ มูลค่า 250 บาท**

*อุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัยแตกต่างกันในแต่ละรุ่นและแต่ละประเทศ

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

ยนตรกรรมรุ่นต่างๆ ของฮอนด้าที่ผ่านการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP

รุ่นรุ่นปีผลการทดสอบ
ซีอาร์วี2023ระดับ 5 ดาว
2017ระดับ 5 ดาว
2013ระดับ 5 ดาว*
ดับเบิลยูอาร์วี2023ระดับ 5 ดาว
เอชอาร์วี2022ระดับ 5 ดาว
2015ระดับ5 ดาว**
บีอาร์-วี2022ระดับ 5 ดาว
2015ระดับ5 ดาว*
ซีวิค2021ระดับ5 ดาว
2016ระดับ5 ดาว**
2013ระดับ5 ดาว*
ซิตี้2020 (ซีดานและแฮทช์แบ็ก)ระดับ5 ดาว
2014ระดับ5 ดาว*
2012ระดับ5 ดาว*
แอคคอร์ด2019ระดับ5 ดาว
บริโอ้ และ บริโอ้ อเมซ2016ระดับ4 ดาว
แจ๊ซ2014ระดับ5 ดาว*

* ในรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist: VSA) และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า (Seatbelt Reminder: SBR) ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 4 ดาว

** สำหรับฮอนด้า ซีวิค (รุ่นปี 2016) และเอชอาร์-วี (รุ่นปี 2015) ในรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า (Seatbelt Reminder: SBR) ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 4 ดาว

เกี่ยวกับ ASEAN NCAP

การทดสอบการชนเพื่อทดสอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยของรถยนต์ของ ASEAN NCAP (ASEAN New Car Assessment Program) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประเมินสมรรถภาพรถยนต์ใหม่ หรือ NCAP (New Car Assessment Program) มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนน กระตุ้นให้เกิดการรับรู้และเห็นถึงความสำคัญของการขับขี่ปลอดภัย รวมถึงสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประชาคมอาเซียน) ทั้งนี้ การทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยจากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP เป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง ASEAN NCAP และสถาบันวิจัยยานยนต์ประเทศญี่ปุ่น (JARI)

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ สปอร์ตพรีเมียมเอสยูวีที่ผสานคุณค่าใหม่เพื่อยกระดับเอสยูวีไปอีกขั้น ทั้งดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตพรีเมียม แข็งแกร่งในทุกมิติ ครั้งแรกกับรุ่น RS ที่เสริมความสปอร์ตอีกขั้นในดีไซน์สไตล์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย มาพร้อมพื้นที่สัมภาระท้ายขนาดใหญ่ รองรับทุกไลฟ์สไตล์กับเบาะโดยสารทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง สามารถปรับพับเพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งานได้ดั่งใจ มาพร้อม 2 ขุมพลังการขับเคลื่อน กับระบบฟูลไฮบริด e:HEV และขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบ VTEC TURBO มอบสมรรถนะการขับขี่ขับสนุก ทรงพลัง แต่ยังมีอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม โดยมีให้เลือกทั้งแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (Real Time(TM) AWD with E-DPS) มั่นใจทุกเส้นทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ในทุกรุ่นย่อย อีกทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ระดับพรีเมียม อาทิ ใหม่ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ที่ดีตลอดเส้นทางด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน อาทิ ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-Free Power Tailgate with Walk Away Close) ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ พร้อม Honda Smart Key Card ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Driver Memory Seat) ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light) อีกทั้งหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่อสมาร์ตไลฟ์สไตล์ อาทิ ใหม่ ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) ระบบเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) พร้อมมอบประสบการณ์เดินทางที่เหนือระดับไปอีกขั้น เสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นสำหรับรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save