- Advertisement -
27.9 C
Bangkok
Home Blog

SUZUKI CARRY เปลี่ยนทุกไอเดียเป็นกำไร รถเพื่อผู้ประกอบการตัวจริง

SUZUKI CARRY เปลี่ยนทุกไอเดียเป็นกำไร รถเพื่อผู้ประกอบการตัวจริง พร้อมโปรโมชันจัดเต็มรับส่วนลด 20,000 บาท หรือดอกเบี้ย 1.99% หรือผ่อนนาน 60 เดือน

บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ด้วย SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ขวัญใจผู้ประกอบการยุคใหม่ ที่ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการทางธุรกิจ พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนทุกความฝันสู่ความสำเร็จ

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ซูซูกิ มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่า คุ้มราคา และสามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายของธุรกิจทุกรูปแบบ SUZUKI CARRY คือคำตอบที่ชัดเจน ด้วยการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมสำหรับการดัดแปลงและพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับทุกแนวทางของชีวิตและทุกรูปแบบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้า การให้บริการเคลื่อนที่ หรือการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ความอเนกประสงค์และความคุ้มค่าในการลงทุน ทำให้ SUZUKI CARRY เป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินลงทุนไม่มาก ด้วยอัตราการผ่อนชำระที่เข้าถึงได้ง่าย ผู้ประกอบการทั้งรายย่อยและรายใหญ่จึงสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ทันที SUZUKI CARRY ได้รับการพิสูจน์แล้วจากหลากหลายธุรกิจที่นำไปตกแต่งและพัฒนาต่อยอดเป็น รถขายอาหาร (Food Truck), ร้านตัดผม, ร้านซักรีดเสื้อผ้า, ร้านอาบน้ำสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว, ร้านตรวจและตัดแว่นสายตา หรือแม้แต่การบรรทุกสินค้าและบริการอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของรถกระบะคันนี้

จุดเด่นด้านสมรรถนะและฟังก์ชันของ SUZUKI CARRY มาพร้อมมิติตัวรถที่สมบูรณ์แบบสำหรับการดัดแปลง

•ขนาดตัวรถ: ความยาว 4,195 มม. ความกว้าง 1,765 มม. และความสูง 1,910 มม.

•กระบะบรรทุกแบบเรียบ กว้าง 1,670 มม. และยาว 2,450 มม. สามารถเปิดได้ทั้ง 3 ด้าน เพื่อความสะดวกในการขนถ่ายสัมภาระและรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ

•รับน้ำหนักบรรทุกสูงสุดถึง 945 กิโลกรัม พร้อมรองรับการบรรทุกหนักได้อย่างมั่นใจ

•เครื่องยนต์เบนซินประหยัดน้ำมัน ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า

•ระบบเบรก ABS มั่นใจในความปลอดภัยทุกการเดินทาง

•ระบบ Engine Drag Control ช่วยรักษาความเร็วของล้อหน้าและล้อหลังให้สมดุล ป้องกันรถลื่นไถล เพื่อการควบคุมที่มั่นคง

•วงเลี้ยวแคบสุดเพียง 4.4 เมตร เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่จำกัดได้อย่างยอดเยี่ยม

SUZUKI CARRY จำหน่ายในราคาเพียง 395,000 บาท (ราคารุ่นมาตรฐานไม่รวมอุปกรณ์ตกแต่ง) และเพื่อส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจ ซูซูกิได้จัดแคมเปญพิเศษให้ลูกค้าเลือกรับข้อเสนอ ดังนี้

•รับข้อเสนอส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 20,000 บาท

•หรือ เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 1.99% นาน 60 เดือน

•หรือรับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท

•พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก

•สิทธิพิเศษสำหรับสิทธิพิเศษลูกค้าเกษตรกรขึ้นทะเบียน ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ สมาชิกหอการค้าและเครือข่าย หรือสมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเกษตรกรขึ้นทะเบียน รับส่วนลดเพิ่ม 15,000 บาท

•ลูกค้าองค์กรธุรกิจ รับส่วนลดเพิ่ม 10,000 บาท

•สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย สามารถเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ “กระบะพี่มีคลังค้ำ”

ทั้งนี้เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ณ ผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม กล่าวสรุปว่า “เราเข้าใจดีว่าในโลกธุรกิจวันนี้ โอกาสอยู่ทุกที่ และ SUZUKI CARRY คือคำตอบที่ใช่ เราจึงมั่นใจว่า SUZUKI CARRY จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตและสร้างความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ซูซูกิยังคงยึดมั่นในบทบาทการเป็นแบรนด์ที่พร้อมเคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ ด้วยความตั้งใจใช้ศักยภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคม จึงสานต่อโครงการ ‘SUZUKI CARRY Your Dream CARRY Your Life’ มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ได้นำขบวนรถ SUZUKI CARRY ซึ่งประกอบไปด้วยรถ Food Truck, รถตัดผมเคลื่อนที่, ร้านอาบน้ำสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว ฯลฯ ขับเคลื่อนออกไปให้บริการประชาชน ณ โดมอเนกประสงค์ สวนสาธารณะ ซอย 11 หมู่บ้านบัวทอง หมู่ที่ 9 เทศบาลบางรักพัฒนา จังหวัดนนทบุรี อีกด้วย”

แนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ยังคงเป็นดีเอ็นเอที่ชัดเจนของ SUZUKI CARRY เพราะไม่ว่าความฝันของคุณจะเป็นอย่างไร หรืออยู่ท่ามกลางวิกฤตการณ์แบบไหน SUZUKI CARRY ก็พร้อมจะเป็นยานพาหนะที่อยู่เคียงข้าง ร่วมฝ่าวิกฤตในทุกสถานการณ์ ตอกย้ำได้อย่างชัดเจนว่า SUZUKI CARRY เป็นได้มากกว่ารถขนสินค้าหรือสัมภาระ แต่เปรียบเสมือนดั่ง “พาร์ทเนอร์คนสำคัญ” ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการด้วยความจริงใจ เดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน

เอ็มจี โชว์ศักยภาพไฮบริด MG3 HYBRID+

เอ็มจี โชว์ศักยภาพ “ไฮบริดตัวจี๊ดหัวใจนักสู้” ALL NEW MG3 HYBRID+ ในรายการ GC GRID Competition

กรุงเทพฯ – 19 มิถุนายน 2568 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย สร้างผลงานในเกมการแข่งขัน Gymkhana อย่างต่อเนื่อง หลังจากส่ง NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER ที่ไม่ได้มีการจูนอัพ หรืออัพเกรดช่วงล่างใดๆ กรุยทางประเดิมลงแข่งในสนาม Gymkhana GC Grid Competition Series 2025 By HarsonTyres เป็นรุ่นแรก ล่าสุด เอ็มจี เสริมทัพเพิ่มอีกรุ่น ด้วยการส่ง ALL NEW MG3 HYBRID+ ลงแข่งขันในรายการเดียวกัน โชว์ศักยภาพ “ไฮบริดตัวจี๊ด” พร้อมต่อยอดการพิสูจน์สมรรถนะของรถแฮทช์แบ็กในสนามแข่งจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบ HYBRID+ ที่ตอบสนองได้ดีส่งให้รถคล่องตัวและควบคุมได้อย่างยอดเยี่ยมในสนามแข่งที่ท้าทาย การลงสนามแข่งครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ที่มุ่งพัฒนาและยกระดับรถยนต์ให้มีสมรรถนะที่ดี พร้อมลงสนามแข่งได้โดยไม่ต้องปรับจูนเพิ่มเติม

ALL NEW MG3 HYBRID+ รถเล็กหัวใจนักแข่ง ขับสนุกได้ทุกวัน พร้อมพุ่งทะยานในสนามจริง

ALL NEW MG3 HYBRID+ คือยนตรกรรมแฮทช์แบ็กไฮบริด 5 ประตู ที่ เอ็มจี วางหมากอย่างมีกลยุทธ์ให้เป็น “ยนตรกรรมไฮบริดตัวจี๊ดพร้อมที่จะก้าวสู่โลกของเกมส์การแข่งขัน” สำหรับคนรุ่นใหม่ที่โหยหาความเร้าใจในชีวิตประจำวัน โดยไม่ละทิ้งความคุ้มค่าในการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม First Jobber ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน หรือสายขับรุ่นใหม่ที่ต้องการรถคันแรกที่ตอบโจทย์ทั้งความสนุกและความมั่นใจบนท้องถนน รถรุ่นนี้ถูกพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ได้มีดีสำหรับแค่ใช้งานในชีวิตประจำวันที่มอบความประหยัดในสไตล์รถไฮบริด หากแต่ยังมี “ความสามารถที่เกินคาด” ที่พร้อมเปิดประตูสู่เส้นทางการแข่งขัน ด้วยระบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) รองรับเชื้อเพลิง E20 กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) พร้อมแรงบิดเร้าใจสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร จึงสามารถเร่งจาก 0–100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้อย่างฉับไวภายในเวลาเพียง 8 วินาที ช่วงล่างที่ถูกออกแบบใหม่ น้ำหนักเบา ระบบบังคับเลี้ยวแม่นยำ และระบบ Regenerative Braking ช่วยให้ควบคุมได้อย่างมั่นคง แม้ในสถานการณ์ที่ต้องเข้าโค้งหรือเร่งออกตัวอย่างต่อเนื่อง โดดเด่นทั้งประสิทธิภาพและความคุ้มค่า ด้วยระยะทางวิ่งไกลกว่า 800 กิโลเมตรต่อหนึ่งถังน้ำมัน พื้นที่เก็บสัมภาระที่จุได้มากถึง 1,037 ลิตร พร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยว ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองและสายขับทุกเจเนอเรชัน

GC GRID Competition” เวทีพิสูจน์ DNAs ความพลิ้วไหว ว่องไว ของ “ไฮบริดตัวจี๊ด”

บทพิสูจน์ตัวจริงกับเวทีการแข่งขันสนามพิเศษ GC GRID Competition เอ็มจี เดินหน้าผนึกกำลังพันธมิตรระดับแนวหน้าของวงการ ด้วยความร่วมมือกับยางรถยนต์ YOKOHAMA และครีเอเตอร์สายซิ่ง อย่าง คุณตี้ DayDreamDrive เพื่อยกระดับประสบการณ์การแข่งขันไปอีกขั้น โดย ALL NEW MG3 HYBRID+  ถือเป็นการผสานศิลปะของการควบคุมเข้ากับสมรรถนะรถยนต์อย่างแท้จริง และเส้นทางการแข่งขันที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน แฝงไปด้วยอุปสรรคแบบ Urban Challenge อาทิ โค้งแคบ ทางเลี้ยวต่อเนื่อง และการหลบหลีกในพื้นที่จำกัด เอ็มจี เชื่อมั่นว่าเหมาะที่สุดสำหรับการเผยศักยภาพที่แท้จริงของตัวรถ และการแสดงออกถึงบุคลิก และสมาธิ เทคนิค ของนักแข่ง ร่วมกับ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่ออกแบบมาให้โดดเด่นในเรื่อง ความคล่องแคล่ว แม่นยำ และการตอบสนองของพวงมาลัยที่เฉียบคม การออกตัวที่ฉับไว ทำให้สามารถพุ่งทะยานเข้าสู่โค้งต่อเนื่องได้ สะท้อนความสมดุลระหว่างความสนุกในการขับขี่กับเทคโนโลยีที่พร้อมลุยทั้งสนามแข่งและท้องถนนจริง

สำหรับการแข่งขันในรายการนี้ รถ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่ลงแข่งเป็นรถสแตนด์ดาร์ด ไม่มีการจูนเครื่องยนต์หรือตัดต่อกำลังเพิ่มเติมแต่อย่างใด โดยมีการปรับเปลี่ยนเพียงบางจุดเพื่อให้เหมาะสมกับสนามแข่ง ได้แก่ การเปลี่ยนยางคู่หน้าเป็น YOKOHAMA Advan A052 และยางหลังเป็น YOKOHAMA Advan Neova AD08RS ทั้งหมดผ่านการทดสอบจริงก่อนวันแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีการปรับเซ็ตช่วงล่างโดย PROFENDER และติดตั้งชุดระบบเบรกจาก RUNSTOP เพื่อรองรับจังหวะและสไตล์การขับในสนามอย่างเฉพาะเจาะจง

ALL NEW MG3 HYBRID+ คว้าอันดับ 3 อย่างงดงาม แม้ไม่มีการจูนเครื่องยนต์

ALL NEW MG3 HYBRID+ ได้ผ่านการพิสูจน์ความแกร่งในสนามแข่งขันจริงมาแล้วอย่างไม่ธรรมดา ผ่านรายการ GC GRID Competition 2025 รอบที่ 3 และ 4 ณ สนาม ปทุมธานี สปีดเวย์ ที่ระเบิดฟอร์มได้อย่างโดดเด่น โดยสามารถทะยานคว้าอันดับที่ 3 มาครองได้อย่างสง่างาม ในการแข่งขัน สร้างกระแสชื่นชมบนโซเชียลจากแฟนๆ ที่ไม่คาดคิดว่า ALL NEW MG3 HYBRID+ คันเดียวกับที่ใช้จัดแสดงในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมาจะสามารถคว้าอันดับ 3 ซึ่งครั้งนี้ไม่เพียงแค่ตอกย้ำถึงศักยภาพของรถไฮบริดตัวจี๊ดคันนี้ แต่ยังประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า เอ็มจี ไม่ได้เพียงแค่สร้างรถที่ขับขี่สนุกในชีวิตประจำวัน แต่กำลังทะยานเข้าสู่สังเวียนการแข่งขันอย่างมั่นคงและสง่างาม

ในการแข่งขัน GC GRID Competition Exhibition Match ครั้งนี้ ALL NEW MG3 HYBRID+ สามารถสร้างผลงานด้วยการคว้ารางวัล อันดับ 3 รุ่น GC5 “เกียร์ออโต้” (Auto) ได้ทั้ง 2 สนาม ตอกย้ำความเป็น “ไฮบริดตัวจี๊ด” สมรรถนะไฮบริดขับสนุกที่พร้อมลุยทุกโค้งอย่างมั่นใจ นอกจากนี้ NEW MG4 ELECTRIC รุ่น XPOWER ยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงจาก เอ็มจี ลงสนามแข่งขันรุ่น GC9 “EV รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ไม่จำกัดระบบขับเคลื่อน” โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น โดยคว้าอันดับที่ 1 ในการแข่งขันทั้งสองวัน ตอกย้ำศักยภาพของการเป็นรถ “อีวีสายพันธุ์แท้” ที่พร้อมลุยสนามจริงได้อย่างมั่นใจและเร้าใจทุกโค้ง

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การที่  เอ็มจี นำ ALL NEW MG3 HYBRID+ ลงแข่งขันในเกมการแข่งขันในรูปแบบ Gymkhana เป็นการประสานระหว่างความสามารถการควบคุมของคนขับและสมรรถนะของรถยนต์ที่ลงตัว และถือเป็นบทพิสูจน์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของรถไฮบริดรุ่นใหม่จาก เอ็มจี ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ขับขี่ได้ทุกวันและแฝงไว้ด้วยหัวใจของการขับสนุกที่ถือเป็นเอกลักษณ์การออกแบบรถยนต์ของ เอ็มจี ซึ่งนี่คือสิ่งที่ เอ็มจี ตั้งใจจะมอบให้ ไม่ใช่แค่ในฐานะรถยนต์ที่ใช้งานได้จริงเท่านั้น แต่ เอ็มจี มอบโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสสัมผัสความรู้สึกของเกมการแข่งขันอย่างแท้จริง”

ประกาศผล “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47”

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ผู้จัด “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47” ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ประกาศผลการตัดสินการประกวดประเภทต่างๆ ดังนี้

ประเภทรถรุ่นบรรพบุรุษ (รถที่ผลิตจนถึงปี 1904) ประเภทรถรุ่นผ่านศึก (คศ.1905-1918) ประเภทรถโบราณ (คศ.1919-1930) และประเภทรถก่อนสงคราม (คศ.1931-1945) ไม่มีรถเข้าประกวด

ประเภทรถหลังสงคราม (คศ.1946-1960) รางวัลที่ 1 ได้แก่ Alfa Romeo Sprint 750 ปี 1958 ของ Ong Chong Soo

ประเภทรถคลาสสิค (คศ.1961-1970) รางวัลที่ 1 ได้แก่ Porsche 911S ปี 1967 ของ อภิชัย ตั้งวงศ์ศิริ

ประเภทรถคลาสสิคร่วมสมัย (คศ.1971-ปัจจุบัน-30 ปี) รางวัลที่ 1 ได้แก่ Alfa Romeo Giulia Super ปี 1974 ของ Giuseppe Gaviraghi

นอกจากนี้ ยังมีการประกาศผลประกวด รถจำลอง และรถประดิษฐ์พิเศษ รถดัดแปลง รถแจกวาร์ รถมีนี รถโฟล์คสวาเกน รถอเมริกัน รถเฟียต และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับรางวัลราชินีแห่งความสง่างาม (CONCOURS D’ELEGANCE – กงกูรส์ เดเลอกองศ์) ซึ่งคัดเลือกจากสุภาพสตรีที่มาร่วมงานเลี้ยงประกาศผลคืนวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ได้แก่ มาริษา รุ่งโรจน์

เชิญชม “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47” ถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/VintageCarClub

GWM ส่ง ORA Good Cat ในลุคใหม่สีขาวหลังคาสีดำ

GWM เอาใจสาวกเจ้าเหมียวไฟฟ้าสายสปอร์ต กับ GWM ORA Good Cat ในลุคใหม่สุดเท่ “สีขาวหลังคาสีดำ พร้อม Black Package” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายได้อย่างลงตัว

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users) ล่าสุด GWM เดินหน้าขยายไลน์อัปผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ เปิดตัว GWM ORA Good Cat ลุคสปอร์ตใหม่ กับรุ่นย่อย “สีขาวหลังคาสีดำ พร้อมชุดแต่ง Black Package” ครั้งแรกในประเทศไทย ที่ยังคงความโดดเด่นของดีไซน์ Retro Futuristic อันเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ผสมผสานกับคู่สีขาว-ดำ มอบความคลาสสิกเหนือกาลเวลาได้อย่างลงตัว สะท้อนบุคลิกและตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างชัดเจนในทุกมิติ สีสันใหม่ล่าสุดนี้เปิดตัวในระดับโลกครั้งแรกที่ประเทศไทย ไม่เพียงแค่เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า แต่ยังเป็นการตอบรับกับการเติบโตของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยอีกด้วย

GWM ORA Good Cat รุ่นย่อย สีขาวหลังคาสีดำ มาพร้อมชุดตกแต่งพิเศษ “Black Package” ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มองหาความแตกต่างอย่างมีสไตล์ ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นด้วยการตกแต่งด้วยโทนสีดำในหลายจุด ถ่ายทอดอารมณ์สปอร์ตและพรีเมียมได้อย่างกลมกลืน เสริมลุคเฉียบคมด้วยล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว ผสานกับคาลิเปอร์เบรกสีเหลืองที่ตัดกันอย่างลงตัว พร้อมกรอบกันชนหน้าตกแต่งสีดำที่เสริมภาพลักษณ์ให้ตัวรถดูโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีดำเรียบหรู สะท้อนความทันสมัยและเสน่ห์ที่แตกต่าง ตอบสนองผู้ขับขี่ที่มีความมั่นใจและต้องการแสดงตัวตนผ่านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์

GWM ORA Good Cat สีขาวหลังคาสีดำ พร้อมชุดตกแต่ง Black Package มาพร้อมกับ 2 รุ่นย่อย ในราคาที่เท่ากับรุ่นปกติทั่วโป โดยไม่มีการบวกราคาเพิ่มเติม ดังนี้

•GWM ORA Good Cat สีขาวหลังคาสีดำ พร้อมชุดแต่ง Black Package รุ่น PRO ราคาเพียง 599,000 บาท*

•GWM ORA Good Cat สีขาวหลังคาสีดำ พร้อมชุดแต่ง Black Package รุ่น ULTRA ราคาเพียง 699,000 บาท*

* ราคานี้เป็นราคาหลังหักส่วนลดเงินสดแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมาพร้อมกับโปรโมชันอีกมากมาย อาทิ ฟรี! ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 นาน 1 ปีเต็ม ฟรี! ฟิล์มกรองแสง ลามิน่า รุ่น CM ONE และค่าจดทะเบียน ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 5 ปี ฟรี! บริการระบบตรวจสอบและสั่งการรถผ่านอินเทอร์เน็ต* (Telematic Service) พร้อมแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถ (Internet in Vehicle) ระยะเวลา 3 ปี และอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ารวมมูลค่าข้อเสนอสุดพิเศษ สูงสุดกว่า 304,900 บาท ด้านการรับประกัน GWM มอบการรับประกันคุณภาพรถใหม่ ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร** (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันแบตเตอรี่ EV เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร** (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) มอบความอุ่นใจให้ผู้ขับขี่ตลอดระยะเวลาการใช้งานได้อย่างครอบคลุม

* เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยลอยตัวในปัจจุบัน บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เฉพาะเมื่อจองและส่งเอกสารทำสัญญาตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนดเท่านั้น หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยพิเศษจะเป็นไปตามที่บริษัทฯ และสถาบันการเงินที่ร่วมรายการกำหนด

** เงื่อนไขการให้บริการเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ดูรายละเอียดได้ที่ GWM Thailand – Service

หลังจากการเปิดตัว GWM ORA Good Cat “สีฟ้า So Blue” ในงาน Motor Show 2025 ที่ผ่านมา GWM ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟน ๆ ทั่วประเทศ และรุ่นย่อยใหม่ “สีขาวหลังคาสีดำ พร้อมชุดตกแต่ง Black Package” คันนี้ สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า GWM ยังคงเดินหน้าสร้างความตื่นเต้นและทางเลือกใหม่ให้กับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าผ่านการนำเสนอสีสันและรุ่นย่อยใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง GWM ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดไทย ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน

โดยปัจจุบัน GWM ORA Good Cat มีสีให้เลือกมากถึง 5 เฉดสี ได้แก่ สีใหม่ สีขาวหลังคาสีดำ พร้อมชุดแต่ง Black Package, สีฟ้า So Blue, สีเขียว Pistachio Green, สีเบจหลังคาสีน้ำตาล และสีเขียวหลังคาสีขาว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้ขับขี่ชาวไทยได้อย่างลงตัว สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของ NEW GWM ORA Good Cat สีใหม่ สีขาวหลังคาสีดำ พร้อมชุดแต่ง Black Package สามารถจับจองได้ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ผ่าน GWM application และเว็บไซต์ www.gwm.co.th รวมถึงที่ GWM Partner Store ทั้ง 70 สาขาทั่วประเทศ

GWM จับมือ TANK 300 พาเหล่า TANKER สายลุย เสริมทักษะการขับขี่ออฟโรด

GWM จับมือ TANK 300 Camp Travel Thailand Club พาเหล่า TANKER สายลุย เสริมทักษะการขับขี่ออฟโรด โชว์สมรรถนะและประสิทธิภาพสุดล้ำของ GWM TANK 300

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับเหล่าผู้ใช้งานจริงของ GWM TANK 300 หรือ TANKER จากกลุ่ม TANK 300 Camp Travel Thailand Club ที่จัดขึ้นอย่างอบอุ่น รวมกลุ่มคนรัก GWM TANK 300 กว่า 64 TANKER และ GWM TANK 300 ทั้งรุ่นไฮบริดและดีเซล กว่า 32 คัน ณ The Canyon เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เปิดประสบการณ์ท้าทายท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาต์ที่ตื่นตาตื่นใจและสายฝนที่พร่างพราย รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิคเห็นจากการใช้งาน GWM TANK 300 อย่างเป็นกันเอง โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์จาก GWM ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่ช่วยในการขับขี่ออฟโรดอย่างเต็มประสิทธิภาพให้บรรดา TANKER โดยกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้สะท้อนให้เห็นถึงพื้นที่สร้างสรรค์ของชุมชนชาว TANKER ภายใต้ GWM TANKER CLUB THAILAND คอมมูนิตี้ของผู้ใช้งาน TANK ที่ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทยล่าสุดนี้ เพื่อเป็นชุมชนสำหรับผู้ใช้ ดำเนินงานโดยผู้ใช้ และเพื่อผู้ใช้ เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์การขับขี่ที่อบอุ่น แข็งแกร่ง และเหนียวแน่น

สำหรับกิจกรรมการฝึกทักษะการขับขี่ออฟโรดนี้ บรรดา TANKER ต่างแสดงให้เห็นถึง TANKER SPIRIT หรือจิตวิญญาณเดียวกัน ทั้งความโดดเด่น แตกต่าง และไม่เหมือนใคร รักอิสระ ชอบผจญภัย เต็มไปด้วยพลังงานที่สร้างสรรค์และพร้อมช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยตลอดทั้งกิจกรรมนี้ TANKER ต่างได้เปิดประสบการณ์บนเส้นทางที่ท้าทายทั้งออนโรดและออฟโรด

โดยสมาชิกนัดรวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ย่านคลองหนึ่ง ถนนรังสิตนครนายก มุ่งหน้าสู่เขาใหญ่เพื่อร่วมทดสอบสมรรถนะรถ GWM TANK 300 ที่แท้จริง พร้อมรับฟังการบรรยายภาคทฤษฎีของระบบรถยนต์และภาคปฏิบัติจากทีมงานและผู้เชี่ยวชาญของ GWM สู่การลง 2 ฐานกิจกรรมจริงภายในสนาม The Canyon โดย ฐานที่ 1 “พื้นที่เหมือง” มุ่งเน้นไปที่การทดสอบพลังการขึ้น–ลงทางลาดชัน เพื่อพิสูจน์ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะของ GWM TANK 300 พร้อมฟีเจอร์สำคัญอย่างระบบล็อกเฟือง (Electric Differential Lock), ระบบควบคุมความเร็วแบบออฟโรด (Off-road Cruise Control), ระบบช่วยออกตัวทางชัน (HSA) และระบบช่วยลงทางลาดชัน (HDC) ฐานที่ 2 “สวน 7 ไร่” เน้นการทดสอบการขับขี่ผ่านเส้นทางธรรมชาติที่มีพื้นผิวที่หลากหลาย ทั้งหิน โคลน และร่องลึก โดยใช้การขับขี่แบบ 4L ระบบล็อกเฟือง ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) ระบบกลับรถในที่แคบ (TANK TURN) และกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นทุกอุปสรรคได้อย่างแม่นยำ พร้อมพละกำลังและแรงบิดของตัวรถที่เหลือเฟือ จึงทำให้การขับขี่ในพื้นที่ท้าทาย ลื่น เป็นไปได้อย่างตื่นเต้นและสนุกสนาน กิจกรรมจบลงอย่างอบอุ่นและประทับใจ พร้อมเตรียมตัวสำหรับการเดินทางสู่การผจญภัยในทริปหน้า ที่รอให้บรรดา TANKER ได้มาเผชิญและสัมผัสไปพร้อมกัน

มร.เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) กล่าวว่า “GWM ขอขอบคุณเหล่า TANKER ทุกท่านที่ได้มอบความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับ GWM TANK 300 เรารู้สึกยินดีและอบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจกรรมนี้ GWM TANK 300 เป็นรถยนต์อีกคันหนึ่งที่เราภาคภูมิใจ ที่มอบทั้งสมรรถนะการขับขี่ เทคโนโลยีระดับสูง และความปลอดภัย เหมาะกับการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้หลากหลาย ด้านการขับขี่ออฟโรด รถยนต์คันนี้มีเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือการขับขี่มากมาย ช่วยให้การขับขี่ในพื้นที่และเส้นทางที่ยากลำบากเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน เราได้ใช้โอกาสนี้รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีประโยชน์จากผู้ใช้งานจริงต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของ GWM ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป สู่การตอบโจทย์และความต้องการของลูกค้าชาวไทยอย่างครบถ้วนและตรงจุด”

“ในอนาคต GWM จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนกิจกรรมของบรรดา TANKER ภายใต้ GWM TANKER CLUB THAILAND รวมถึง GWM Family ในทุกรุ่น เราเชื่อว่าชุมชนที่ดี อบอุ่น และสร้างสรรค์จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนและการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นของรถยนต์คุณภาพจาก GWM ตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจของเรา “In Thailand, For Thailand” สะท้อนความมุ่งมั่นของ GWM ในการเข้าใจ เข้าถึง และเติบโตไปพร้อมกับผู้บริโภคชาวไทย พาร์ทเนอร์ในประเทศไทย และสังคมไทยอย่างยั่งยืน สู่การมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าและเหนือกว่าในทุกด้านอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด GWM Go With More” มร.เวย์น โจว กล่าวปิดท้าย

ฟอร์ด สานต่อโครงการ ‘เปลี่ยนความรู้ สู่อาชีพ’ ปีที่ 8

ฟอร์ด สานต่อโครงการ ‘เปลี่ยนความรู้ สู่อาชีพ’ ปีที่ 8 มอบทุนการศึกษาต่อเนื่องแก่วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ

ฟอร์ด ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เดินหน้าสานต่อความร่วมมือกับวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ เป็นปีที่ 8 ภายใต้โครงการ ‘เปลี่ยนความรู้ สู่อาชีพ’ พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการศึกษาระบบทวิภาคี และมอบทุนการศึกษาจำนวน 2 ล้านบาท

โครงการ ‘เปลี่ยนความรู้ สู่อาชีพ’ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2560 มีเป้าหมายในการยกระดับการศึกษาด้านสายอาชีพ โดยเฉพาะในสาขาช่างเมคคาทรอนิกส์ และสาขาช่างยนต์ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนและบุคลากรของฟอร์ด ได้รับทักษะและความรู้ที่ทันสมัย ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ผ่านระบบการศึกษารูปแบบทวิภาคีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และฝึกปฏิบัติงานจริงเป็นเวลา 2 ปี ณ โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) และศูนย์บริการฟอร์ดในจังหวัดระยอง ปราจีนบุรี สระแก้ว และฉะเชิงเทรา

สำหรับโครงการรุ่นที่ 8 ในปีนี้ มีผู้ได้รับทุนการศึกษาและโอกาสในการฝึกอบรมรวมทั้งสิ้น 14 คน แบ่งเป็นผู้ได้รับทุนในสาขาช่างเมคคาทรอนิกส์ 9 คน และสาขาช่างยนต์ 5 คน โดยผู้ได้รับทุนประกอบด้วยนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ พนักงานฟอร์ดจากโรงงานเอฟทีเอ็ม และบุตรของพนักงานฟอร์ด

ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ฟอร์ดได้มอบทุนการศึกษาผ่านโครงการ ‘เปลี่ยนความรู้ สู่อาชีพ’ ไปแล้วรวมทั้งสิ้น 10,484,000 บาท ให้กับผู้ได้รับทุนรวม 89 คน โดยแบ่งเป็นผู้ได้รับทุนในสาขาช่างเมคคาทรอนิกส์ 69 คน และสาขาช่างยนต์ 20 คน ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการลงทุนเพื่อการศึกษาและอนาคตของบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

“นับเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจที่เราได้เห็นโครงการนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป้าหมายหลักของเราคือการสร้างบุคลากรสายอาชีพที่มีคุณภาพ พร้อมรับมือกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” มร.วินโค้ ซาริค ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิรูปด้านการดำเนินงาน ประจำประเทศไทย กล่าว “และนอกเหนือจากทักษะทางเทคนิค สิ่งที่เราเน้นย้ำคือ ‘ทัศนคติแห่งการเรียนรู้’ เพราะการไม่หยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นช่างฝีมือชั้นนำและเป็นกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมในอนาคต”

ด้านนายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ช่างเทคนิคที่มีทักษะสูงและพร้อมรับมือกับเทคโนโลยีรถยนต์ที่ซับซ้อน คือหนึ่งในหัวใจสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า โครงการ ‘เปลี่ยนความรู้ สู่อาชีพ’ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นการลงทุนสำคัญในการสร้างบุคลากรคุณภาพ โดยเฉพาะช่างยนต์ที่ศูนย์บริการ ซึ่งเป็นผู้ดูแลรถยนต์ของลูกค้าโดยตรง การที่โครงการได้ปั้นบุคลากรพร้อมทำงานจริง ช่วยให้ฟอร์ดยกระดับมาตรฐานการบริการลูกค้าในไทยได้อย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่เราตั้งใจพัฒนามาโดยตลอด”

มิตซูบิชิ – เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น คว้า 5 รางวัล สถานประกอบการลดอุบัติเหตุเป็นศูนย์

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และ เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น คว้า 5 รางวัล สถานประกอบการลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานเป็นศูนย์ ประจำปี 2568 หนุนแนวคิด “ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เพื่อสังคมไทยยั่งยืน”

บรรยายภาพ : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น จำกัด นำโดย มร. โนบุฮิโกะ โคอิซูมิ (ซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ นายถาวร กำแก้ว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด รับรางวัลกิจกรรมรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ประจำปี 2568 (Zero Accident Campaign 2025) จาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ครั้งที่ 37 หรือ Thailand Safe@Work 2025

กรุงเทพฯ – 17 มิถุนายน 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น จำกัดคว้า 5 รางวัล จากกิจกรรมรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ประจำปี 2568 (Zero Accident Campaign 2025) จากสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งจัดขึ้นภายในงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ครั้งที่ 37 โดยโรงงาน 3 ได้รับรางวัลระดับแพลทินัมต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ขณะที่โรงงาน 1 – 2 ได้รับรางวัลระดับแพลทินัมติดต่อกันเป็นปีที่ 2 โรงงานเครื่องยนต์ได้รับรางวัลระดับทอง โรงงานปั๊มขึ้นรูป 2 และพลาสติก ได้รับรางวัลระดับเงิน และโรงงานปั๊มขึ้นรูป 1 ได้รับรางวัลระดับทองแดงตามลำดับ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมในการทำงานอย่างยั่งยืน

มร.โนบุฮิโกะ โคอิซูมิ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “องค์กรของเรามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลกิจกรรมรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ระดับแพลทินัมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานสูงสุด

ด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย รวมถึงตอกย้ำความทุ่มเทในการทำงานหนักของพนักงานทุกคนในความร่วมมือที่จะสร้างสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นจากความทุ่มเทและความร่วมมือของพนักงานทุกคน ที่ยึดมั่นและปฏิบัติตามแนวทาง ‘10 วัฒนธรรมความปลอดภัย’, หลัก ‘4BBS’ และวัฒนธรรม ‘WOW’ อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัดในทุกระดับขององค์กร”

“การที่พนักงานมีวินัยและเห็นความสำคัญในการทำงานอย่างปลอดภัย ถือเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ ในการสนับสนุนพันธกิจการป้องกันอุบัติเหตุได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังตอกย้ำค่านิยมขององค์กรที่เชื่อว่าความปลอดภัยไม่ใช่เพียงหน้าที่ แต่คือความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นในการเดินหน้าพัฒนาและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ เพื่อความมั่นคงของชีวิตพนักงานและการทำงานอย่างยั่งยืน” มร.โคอิซูมิ กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับในปี 2568 โรงงาน 1 และ 2 ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับแพลทินัมเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จากการดำเนินงานที่มีชั่วโมงปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 63.4 ล้านชั่วโมง ขณะที่ โรงงาน 3 ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับแพลทินัมเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จากการทำงานที่ปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 34.3 ล้านชั่วโมง โรงงานเครื่องยนต์เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น ได้รับรางวัลเกียรติยศระดับทองเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง จากการทำงานโดยปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 13.9 ล้านชั่วโมง ขณะที่ โรงงานปั๊มขึ้นรูป 2 และพลาสติก คว้ารางวัลเกียรติยศระดับเงินเป็นปีที่ 2 จากการทำงานโดยปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 4.0 ล้านชั่วโมง และ โรงงานปั๊มขึ้นรูป 1 ได้รับรางวัลเกียรติยศระดับทองแดงต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน จากการทำงานโดยปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 1.4 ล้านชั่วโมงตามลำดับ

งานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ครั้งที่ 37 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เพื่อสังคมไทยยั่งยืน” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างยั่งยืน

NEX POINT จัดติวเข้ม “การจัดการความปลอดภัยยานยนต์ไฟฟ้าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ”

NEX POINT จัดอบรม “การจัดการความปลอดภัยยานยนต์ไฟฟ้า เมื่อเกิดอุบัติเหตุ” ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์รองรับความปลอดภัยกับพันธมิตรที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานทั่วประเทศ

ยุคสมัยใหม่ คุณจะเลือกเป็นเจ้าของนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์สักคัน คงต้องนึกถึงแบรนด์ดังที่เข้มแข็งและแข็งแกร่ง NEX POINT ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ชั้นนำในไทยที่เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เติบโตอย่างรวดเร็วทำให้การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า การส่งเสริม และพัฒนานวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นและการเรียนรู้ Electric Vehicle หรือ EV นับว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากสำหรับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

ที่สำคัญ การอบรมนี้ อาจารย์ธีระพล วงศ์เลิศพิชิต ที่ปรึกษาฝ่ายบริการหลังการขาย  บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “NEX POINT มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมอบรมจำนวนกว่า 100 คน มีเข้าใจการจัดการความปลอดภัยของยานยนต์ไฟฟ้า เมื่อเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงมาตรการรับมือและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงาน ผู้ประสบเหตุและผู้ร่วมใช้ถนน โดย NEX POINT นำความเชี่ยวชาญจากทีมวิศวกรของโรงงานประกอบ AAB ที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค และการสนับสนุนจากโรงงาน Amita ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม พร้อมให้ความรู้เชิงลึก และแนวทางปฏิบัติ ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งการจัดอบรมนี้นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจ และภาครัฐในการจัดการยานยนต์ไฟฟ้าอย่างปลอดภัยมาตรฐานที่เราส่งเสริมจะช่วยยกระดับการบริการ และความปลอดภัยให้กับทุกฝ่าย และการอบรมนี้คาดว่าจะส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในหลายด้าน ได้แก่

1.ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย การให้ความรู้แก่ผู้ให้บริการฉุกเฉินและศูนย์ซ่อม จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุของยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะการจัดการแบตเตอรี่แรงดันสูง

2.เพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทีมช่วยเหลือฉุกเฉินและศูนย์ซ่อมสี-ตัวถังที่ผ่านการอบรมจะสามารถจัดการสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยลดความเสียหายและป้องกันอันตรายแก่ผู้ใช้ถนน

3.สนับสนุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การที่บุคลากรได้รับการฝึกอบรมจะช่วยให้ภาคธุรกิจปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

4.ส่งเสริมการเติบโตและการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า ความมั่นใจในการจัดการอุบัติเหตุที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ส่งผลให้การใช้งาน EV ขยายตัวมากขึ้น

5.ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การรับมือกับอุบัติเหตุอย่างเหมาะสม สามารถลดอันตรายจากไฟไหม้แบตเตอรี่หรือสารเคมีรั่วไหล ส่งเสริมการใช้งาน EV ที่ยั่งยืน

การอบรมของ Nex Point นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า EV และยังเพิ่มความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด” อาจารย์ธีระพล กล่าว

ส่วนไฮไลท์ การอบรมครั้งนี้ บริษัทฯ ยังนำ NEX BEV CITY BUS 8M ตอบโจทย์เทรดลดโลกร้อน ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง นำรถโดยสารไฟฟ้ามาโชว์ นวัตกรรมแห่งอนาคตและสิ่งแวดล้อมที่ดี มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยดีไซน์สมัยใหม่กะทัดรัด 8 เมตร 22 ที่นั่ง เหมาะสำหรับรับส่งผู้โดยสารในเมืองเป็นหลัก ภายในทันสมัยกว้างสะดวกสบายกับคนขับขี่ และผู้บริการสามารถเก็บข้อมูลการเดินทาง และติดตามการทำงานได้อย่างละเอียดแม่นยำ มีระบบความปลอดภัยในรถมีระบบ GPS กล้องวงจรปิดทำให้สามารถติดตามเส้นทาง และเห็นเหตุด่วนได้อย่างรวดเร็วเพื่อการแก้ไขที่ทันท่วงที NEX Bus  ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ช่วยประหยัดต้นทุนการเดินรถอย่างเห็นได้ชัด ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจเมื่อเลือกใช้รถไฟฟ้า และองค์กรอุ่นใจที่ได้ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งภาพลักษณ์ที่ดี คือ มูลค่าที่เงินไม่ซื้อได้ง่ายๆ และยังมีระบบของรถที่น่าเชื่อถือเพิ่มความอุ่นใจในการเดินทางของผู้โดยสารมากขึ้น ซึ่งการปรับมาใช้รถไฟฟ้าจะช่วยให้แบรนด์ที่เข้มแข็งอยู่แล้วมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งนับเป็นการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการให้บริการแก่ลูกค้าและในระยะยาว ช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาและ ช่วยลดมลภาวะทางอากาศอีกด้วย NEX POINT เป็นแบรนด์ที่มียานยนต์ไฟฟ้าให้คุณได้เลือกมากที่สุด และมีการออกแบบมาให้เหมาะสมกับกลุ่มธุรกิจได้เลือกใช้งานได้หลากหลายรุ่น อาทิ เลือกใช้เพื่อต่อยอดธุรกิจคมนาคม หรืออำนวยความสะดวกในพื้นที่รถไฟฟ้า NEX BEV CITY BUS 8M ทางเลือกที่ “คุ้มค่าที่สุด” สำหรับ “ผู้ประกอบการยุคใหม่” ที่มองหาโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน นับว่าเป็นรถโดยสารไฟฟ้าที่ตอบโจทย์คนไทยและเป็นโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

มากกว่ายานยนต์รถไฟฟ้าที่ดี บริการที่ดี คือ หัวใจหลักสำคัญ  โดยทาง NEX POINT  การันตีทีมช่างที่เก่งความรู้ เก่งความชำนาญ และเก่งประสบการณ์ฝีมือขั้นเทพ ที่พร้อมจะเดินเคียงข้างไปกับศูนย์บริการ และเคียงข้างไปพร้อมผู้จัดจำหน่ายทั่วภูมิภาค โดยจะทำหน้าที่ดูแลให้คำปรึกษาแนะนำลูกค้าเสมือนเป็นมิตรแท้ ทางธุรกิจ และให้บริการหลังการขายที่ดีที่สุด เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าอย่างรวดเร็วและฉับไว อาทิ การติดตั้งไปจนถึงการบำรุงรักษายานยนต์, การดูแลระบบแบตเตอรี่, ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า, ระบบควบคุมการชาร์จ, ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมยานยนต์ และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของยานยนต์ไฟฟ้า สร้างความไว้วางใจสร้างมาตรฐานแก่ลูกค้าในการดูแลระดับ Professional โดยลูกค้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการใช้งานอย่างแน่นอน

ข้อมูลพื้นฐาน

NEX POINT ผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ชั้นนำในเมืองไทย ที่มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นมิตรที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม หากคุณเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จาก NEX จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงานได้ดี เพิ่มศักยภาพในการทำงานมากขึ้น และยังเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม Nex Point ไม่เพียงแค่การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่ทันใหม่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ยังตระหนักถึงความสำคัญ “การบริการหลังการขาย” สมัยใหม่สมบูรณ์แบบครบวงจร บริการที่ดี คือ หัวใจหลักสำคัญในการดูแลให้คำแนะนำปรึกษาเป็นมิตรแท้ที่ดีแก่ลูกค้า ด้วยหลักการที่รวดเร็วและฉับไว ด้วยเหตุผลคือ เรามีศูนย์บริการและทีมงานคุณภาพระดับ Professional สร้างความมั่นใจและไว้วางใจกับผู้ประกอบการได้ว่าการลงทุนในอุตสหากรรมยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ต้องลงทุนแบบคุ้มทุนกับ Nex Point จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงสุดในระยะยาว หากผู้ประกอบการใดสนใจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ NEX POINT พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างแท้จริง

เริ่มแล้ว “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47” อวดโฉมรถสุดวินเทจ ฉลอง 30 ปี ฟิวเจอร์พาร์ค

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ จัด “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47” แสดงรถโบราณ ทรงคุณค่ากว่าร้อยคัน พร้อมยกทัพรถคลาสสิค ร่วมฉลอง 30 ปี ฟิวเจอร์พาร์ค วันนี้–22 มิถุนายน 2568

ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47 จัดภายใต้แนวคิด “ความหวังยุคหลังสงคราม-The Post-War Hope” โดยปีนี้มีผู้ส่งรถโบราณ และรถคลาสสิคเข้าประกวด และจัดแสดงให้ชมกว่า 100 คัน ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์

การประกวดแบ่งออกเป็น 7 รุ่น ได้แก่ รถรุ่นบรรพบุรุษ รถรุ่นผ่านศึก รถโบราณ รถรุ่นก่อนสงคราม รถรุ่นหลังสงคราม รถคลาสสิค และรถคลาสสิคร่วมสมัย โดยรถเด่น ได้แก่ Mercedes-Benz 300 Cabriolet D ปี 1953 รถเปิดประทุนคันงาม ซึ่งเป็นแบบในโปสเตอร์งานปีนี้

ยิ่งกว่านั้น ยังมีการประกวด รถจำลอง รถดัดแปลง รถประดิษฐ์พิเศษ รถแจกวาร์ รถมีนี รถโฟล์คสวาเกน รถอเมริกัน และรถเฟียต พร้อมรถคลาสสิคร่วมสมัย อายุ 30 ปี ที่นำมาแสดงเป็นพิเศษร่วมฉลองครบรอบ 30 ปี ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์

ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ เสวนาเกี่ยวกับรถโบราณ การประกวดราชินีแห่งความสง่างาม มินิคอนเสิร์ตจากสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำหน่ายสินค้าวินเทจ เช่น รถโบราณจำลอง หนังสือ นิตยสาร ฯลฯ

กัลยา กมลรัตน์ ผู้อำนวยการด้านการตลาด ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค กล่าวว่า “ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ จัดพื้นที่แสดงรถโบราณ และรถคลาสสิค กว่า 4,000 ตารางเมตร เพราะเราไม่ได้เป็นเพียงช้อปปิ้ง เดสติเนชั่น เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์การค้าที่ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชัน โดยงานประกวดรถโบราณนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของแต่ละเจเนอเรชัน

นอกจากนี้ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ พร้อมมอบประสบการณ์พิเศษด้วยกิจกรรมสนุกที่ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย ได้แก่ Game Jigsaw Challenge / เวิร์คช็อพทำพวงกุญแจรถคลาสสิค – เติมสีสันตามสไตล์ / Rally Scan – ตามหารถไฮไลท์ภายในงาน รับของรางวัลมากมาย อาทิ กระเป๋า Limited Edition 30th Anniversary, กล่องกระดาษทิชชู ฯลฯ

ชม “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47” ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ระหว่างวันที่ 18-22 มิถุนายน 2568 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/VintageCarClub

ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 ลุ้นแชมป์เดือด

ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 ลุ้นแชมป์เข้มข้น “เคนตะ-ธนาศิวณัฐ” แบ่งชัยชนะสนาม 2 “ประพจน์” เบิ้ลโพเดียมครองจ่าฝูงคะแนนสะสม

ศึกรถยนต์ทางเรียบแถวหน้าของไทย รายการ ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 โดย บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน ) ผ่านการแข่งขัน 4 เรซแรกอย่างเป็นทางการ หลังดวลความเร็วอีเวนต์ที่ 4 เมื่อสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายใต้การลุ้นแชมป์สุดเข้มข้น

ไฮไลต์ของสนามที่ 2 ยังคงอยู่ที่การลุ้นแชมป์ในรุ่น ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ค วันเมคเรซ ซึ่งจ่าฝูงบนตารางคะแนนสะสมอย่าง “กอล์ฟ” ประพจน์ ชื่นวิจิตร จาก Nexzter rest club ครองความได้เปรียบก่อนเข้าสู่สุดสัปดาห์นี้ โดยมีแต้มเหนือคู่แข่งสำคัญอย่าง “วี” ธนาศิวณัฐ พงสินนัชอาชัญ จาก PT Autobacs X Mugen Thailand และ “เต้ย” อัฐพล แก้วอาสา จาก B-Quik Racing Team คนละ 8 และ 10 คะแนนตามลำดับ ขณะเดียวกัน ยังเป็นสนามแรกที่นักขับฝีมือดีชาวญี่ปุ่นอย่าง เคนตะ ฮาราดะ จาก M&K Management Racing ตอบรับเข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งเจ้าตัวแสดงความยอดเยี่ยมอย่างมาก ด้วยการคว้ากริดที่ 2 มาครองหลังผ่านการควอลิฟาย ส่วนตำแหน่งโพลเป็นของ “วี” ธนาศิวณัฐ เช่นเคย

เกมเรซ 3 ในวันเสาร์เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญตั้งแต่ต้นเรซ เมื่อ “วี” ธนาศิวณัฐ เจ้าของโพลโดนปัญหารถแข่งเล่นงานอีกครั้ง ส่งผลให้ต้องนำรถเข้าพิตหลังผ่านรอบแรก และเป็น “กอล์ฟ” ประพจน์ ที่ขยับออกนำไปก่อน โดยมี “เต้ย”  อัฐพล ไล่จ่อท้ายในอันดับ 2 ขณะที่ เคนตะ ที่ออกตัวไม่ดีนักแต่เมื่อจับจังหวะได้ก็ไล่บี้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่มหน้าหลังผ่านไป 3 รอบสนาม

โดยหลังผ่านครึ่งทางการแข่งขัน เคนตะ ไล่กดดัน “กอล์ฟ” ประพจน์ ก่อนจะแซงขึ้นมาเป็นผู้นำได้สำเร็จ และควบรถแข่งคู่ใจเข้าป้ายเป็นคันแรกด้วยเวลา 21 นาที 42.569 วินาที ผงาดคว้าชัยชนะไปครองได้สำเร็จ ตามด้วย “กอล์ฟ” ประพจน์ ในอันดับ 2 ตามหลัง 1.010 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ “เต้ย” อัฐพล ตามหลัง 6.029 วินาที ส่วนอันดับ 4 และ 5 เป็นของ เอิร์ก” วสิษฐ์พล พิทักษ์วาศาภรณ์ จาก PT Autobacs X Mugen Thailand และ “ข้าวฟ่าง” ปิยะวดี พฤฒิสาร จาก A Motorsport Racing Team Tune by OP ด้าน “วี” ธนาศิวณัฐ นำรถออกมาจบเรซในอันดับ 9

ส่วนการแข่งขันเรซที่ 4 ในวันอาทิตย์ เป็นอีกหนึ่งเรซที่เข้มข้นสุดๆ โดย “วี” ธนาศิวณัฐ ออกตัวจากโพลขยับขึ้นนำอย่างรวดเร็ว แต่ก็โดนกดดันอย่างหนักตลอดทั้งเรซโดย “กอล์ฟ” ประพจน์ ผลปรากฏว่า “วี” ธนาศิวณัฐ ป้องกันตำแหน่งหัวแถวได้ดีก่อนคว้าชัยชนะไปครองด้วยเวลา 21 นาที 36.447 วินาที เฉือน “กอล์ฟ” ประพจน์ ในอันดับ 2 เพียง 0.446 วินาทีเท่านั้น ส่วนอันดับ 3 เป็นของ เคนตะ ที่ออกตัวไม่ดีตามหลังผู้ชนะ 7.423 วินาที ด้าน “เต้ย” อัฐพล จบเรซอันดับ 4 ตามหลัง 19.356 วินาที และ “เอิร์ก” วสิษฐ์พล ในอันดับ 5 ตามหลัง 20.329 วินาที

ผ่านการแข่งขัน 4 เรซแรก การลุ้นแชมป์ประจำปียังคงเปิดกว้าง โดย “กอล์ฟ” ประพจน์ นำเป็นจ่าฝูงในคลาสเกียร์ธรรมดามีทั้งสิ้น 79 คะแนน เหนือแชมป์เก่าอย่าง “วี” ธนาศิวณัฐ ในอันดับ 2 อยู่ 11 คะแนน ส่วนอันดับ 3 เป็นของ “เต้ย” อัฐพล ตามหลัง 19 คะแนน ด้านผู้นำในคลาสเกียร์อัตโนมัติได้แก่ เซ็ต วัลดรอน นักขับดาวรุ่งชาวออสเตรเลียนวัย 16 ปี จาก BENDIX SRT RACING มี 68 คะแนน เหนือคู่แข่งอย่าง “ยศ” ทัศไนย พัฒนกุล จาก Armstong Racing Team เพียง 5 คะแนนเท่านั้น

สำหรับผลการแข่งขัน ฮอนด้า คลับ ปรากฏว่าชัยชนะเรซ 3 เป็นของ อนันต์ธร ตั้งเนียรนาทชัย ที่เข้าป้ายเป็นคันแรกด้วยเวลา 9 นาที35.504 วินาที ตามด้วยหทัย ไชยวรรณ อันดับ 2 ตามหลัง 10.915 วินาที ส่วนอันดับ 3 เป็นของ ตรีภพ ศิริปุณย์ ขณะที่เรซ 2 ชัยชนะยังคงเป็นของ อนันต์ธร เช่นเคยโดยมี หทัย และพีรเพชร บุรพรัตน์ ในอันดับ 2 และ3

ทั้งนี้ ศึก ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 สนามถัดไปจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 สิงหาคม 2568 นี้ ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เช่นเคย ก่อนจะเดินทางไปตัดสินแชมป์สนามสุดท้ายที่ สงขลาสตรีท เซอร์กิต ระหว่างวันที่ 16-19 ตุลาคม 2568 นี้ สำหรับแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ต สามารถรับชมการถ่ายทอดสดความมันส์ การแข่งขันรายการ ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 ผ่านหน้าจอสดๆ ได้เช่นเคย ทางเพจ Honda One Make Race, GP Motorsport และ XO Autosport

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save