- Advertisement -
23.8 C
Bangkok
Home Blog Page 2

อุตสาหกรรรมยานยนต์ไทยปี 2569 ถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่

สรยท. จัดเสวนา “อนาคตอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทย ปี พ.ศ. 2569 : นโยบาย ทิศทางและการแข่งขัน” ปี 2569 ถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ โครงสร้างภาษี, ยานยนต์ไฟฟ้า, ตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก ปัจจัยสำคัญหนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) จัดเสวนาในหัวข้อ “อนาคตอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทยปี พ.ศ. 2569 : นโยบาย ทิศทางและการแข่งขัน” โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย นางสาวพธู ทองจุล ผู้อำนวยการกองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม, นายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) และรศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษา สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ร่วมกันฉายภาพให้เห็นการแข่งแข่งของตลาดยานยนต์ในประเทศไทยตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 ภายใต้เงื่อนไขทางภาษีต่างๆ จากภาครัฐที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงและมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2569 โดยมีนายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association (TAJA) กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดเสวนาในครั้งนี้ต่อ นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” ประธานในพิธี, วิทยากร และสื่อมวลชน ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-5 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” กล่าวเปิดการสัมมนาว่า การเสวนา “อนาคตอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทยปี พ.ศ. 2569 : นโยบาย ทิศทางและการแข่งขัน” เป็นประเด็นสำคัญของผู้ที่อยู่ในแวงวงยานยนต์ทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ตั้งแต่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การปรับภาษี การเข้ามาของผู้ผลิตรายใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ผันแปรไปตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เกิดขึ้น

“หากมองถึงยอดขายรถยนต์ 9 เดือน ปี 2568 ชี้ให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้า โดยมียอดขาย 478,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ส่วนเดือนกันยายน 2568 มียอดขายเพิ่มขึ้น 48,350 คัน เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายรวมเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาพอสมควร การเสวนาครั้งนี้จะเป็นเวทีการแลกเปลี่ยนข้อมูลนำไปสู่การกำหนดนโยบายและแนวทางการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันระดับภูมิภาค ระดับโลกได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนอีกด้วย”

นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association (TAJA) กล่าวว่า “ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์มีความเปลี่ยนแปลงทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งการปรับเปลี่ยนกฎข้อบังคับระเบียบกติกา มาตรการด้านภาษี ดังนั้นเพื่อให้ผู้อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป สมาคมฯ

จึงจัดเสวนาในหัวข้อ “อนาคตอุตสาหกรรรมยานยนต์ไทยปี พ.ศ. 2569 : นโยบาย ทิศทางและการแข่งขัน” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง ภาพรวม และชี้ทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งนโยบายภาครัฐ เทคโนโลยี และการแข่งขันที่รุนแรง

“การเสวนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม, สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้า ไทย (EVAT) มาเป็นวิทยากรให้ข้อมูลเชิงลึก ร่วมมองไปข้างหน้าถึงโอกาส และความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2569 และในปีต่อไป คิดว่าเวทีการเสวนาวันนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย อีกทั้งสื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมเสวนาครั้งนี้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องสู่สาธารณะในวงกว้างต่อไป”

นางสาวพธู ทองจุล ผู้อำนวยการกองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวด้วยว่า ในปี 2569 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีผลกรทบทั้งทางบวกและทางลบอันเนื่องมาจากต้องการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ซึ่งแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ จะมีกรอบครอบคลุมตั้งแต่ ขนาดของเครื่องยนต์และประเภทของยานยนต์ไฟฟ้า (xEV), อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), การใช้ชิ้นส่วนภายใสประเทศ, มาตรฐานความปลอดภัยของตัวรถ และการติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ซึ่งจะมีข้อกำหนดในการติดตั้ง ADAS แตกต่างกันไปตามประเภทรถยนต์และได้รับอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปด้วย ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า ตามโครงการ EV 3.5 และ 3.5 ก็ให้อยู่ในข้อกำหนดตามมาตรการนั้นๆ

“ถ้ารถยนต์รุ่นใดไม่ร่วมโครงการ อาทิ รถยนต์ไฮบริด (HEV) เครื่องยนต์สันดาปภายในร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก (MHEV) จะต้องได้รับผลกระทบทางภาษีปรับขึ้นเป็นขั้นบันได หรือถ้าเข้าร่วมโครงการจะได้รับการลดหย่อนภาษีตามเงินลุงทุน, การใช้แบตเตอรี่ และการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเข้ามาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาภาษี และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ซึ่งในปี 2569 จะมีรถยนต์กลุ่มปิกอัพบางยี่ห้อเข้าเกณฑ์ได้รับอัตราภาษีใหม่ 2-3% เท่านั้น ส่วนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ก็มีบางรุ่นได้รับการปรับฐานภาษีใหม่ด้วย แม้สัดส่วนการลดหย่อนภาษีจะน้อยกว่ารถยนต์กลุ่มปิกอัพก็ตาม”

อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ในปี 2569 จะส่งผลดีกับการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ในประเทศแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอีกด้วย ส่วนมาตรการกำจัดซากรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ยังอยู่ระหว่างกระบวนการออกมาตรการมารองรับปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา

ทางด้านนายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยผลิตรถยนต์เป็นอันดับ 10 ของโลก ในปี 2567 ผลิตรถยนต์ลดลง 19.9% ซึ่งผลิตได้เพียง 1.47 ล้านคัน ลดลงจากปี 2566 ประมาณ 23% ขณะที่ประเทศจีนผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น 27% โดยไทยได้เปลี่ยนนโยบายไปผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกแทนยอดขายภายในประเทศที่ลดลงในช่วงที่ทผ่านมา อันเนื่องประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่การผลิตรถยนต์สมัยใหม่ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว

“ตลาดส่งออกของรถยนต์ 80% ที่ผลิตจากประเทศไทยประกอบด้วย เอเชีย, ออสเตรเลีย/โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง มีออสเตรเลียเป็นตลาดใหญ่ของปิกอัพที่ผลิตจากไทย ปัจจุบันเริ่มได้รับผลกระทบจากรถไฟฟ้าจีนบ้างแล้วจากการกำจัดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพราะปิกอัพ 99.5% เป็นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) ขณะที่รถยนต์นั่งอีก 33% ก็ยังเป็นเครื่องยนต์สันดาป (ICE) จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ประเทศไยต้องปรับกลยุทธ์ให้ส่งออกรถยนต์ให้มาขึ้นทดแทนตลาดในปะเทศ ทั้งนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป เนื่องจากมีรถยนต์ทางเลือกมากขึ้น โดยพฤติกรรมการเลือกซื้อรถยนต์ในปัจจุบัน ผู้บริโภคให้ความสำคัญไปที่ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง, สิ่งแวดล้อมและประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า ส่วนข้อกังวลก็ยังมีเรื่องสถานีชาร์จแบตเตอรี่ เวลาที่ใช้ในการชาร์จ และราคาแบตเตอรี่”

ทางด้านโครงการส่งเสริมตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 ในสองปีแรกรัฐบาลส่งเสริมให้นำรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) เข้ามาจำหน่าย โดยสนับสนุน 150,000 บาท/คัน แต่ในสองปีหลังให้ผู้นำเข้าผลิตรถยนต์ชดเชย 1:1 ซึ่งโครงการ EV 3.0 จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 นี้ แต่รัฐบาลอนุโลมให้จดทะเบียนได้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 หลังจากนี้จะยังเหลือเพียงโครงการ EV 3.5 ที่จะต้องเดินหน้าต่อไป

สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในปี 2569 ตลาดยังมีดความเชื่อมโยงกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในประเทศไทยปี 2568 จะอยู่ประมาณ 2.8% หากมองไปถึงปี 2569 ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในประเทศไทยจะอยู่ประมาณ 2.4% ขณะที่นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาลส่งผลให้ราคารถยนต์นั่งปรับราคาขึ้นเล็กน้อย ส่วนรถยนต์ปิกอัพราคาลดลงเล็กน้อย ภารกิจของรัฐบาลต้องเร่งเจรจาภาษีกับคู่ค้าให้ได้ภาษีรถยนต์ที่จะส่งออกที่เหมาะเพื่อให้รถยนต์จากไทยแข่งขันในตลาดโลกได้

“ตลาดรถยนต์ของไทยผูกกับการส่งออก เมื่อใดที่ไทยได้รับผลกระกับการส่งออกตลาดรถยนต์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ถึงอย่างไรก็ยังคาดว่า ตลาดรถยนต์ในปี 2569 จะเป็นบวกเล็กน้อย โดยเศรษฐกิจการเมืองมีผลกระทบกับตลาดรถยนต์โดยตรง อยู่ทีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐบาล”

รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษาสมาคม สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวถึงสถาการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มองเห็นความก้าวหน้าของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ยานยนต์ไฟฟ้ามีข้อดีในเรื่องของการลดการใช้พลังงานจากน้ำมัน และยังใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดมลพิษ อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น ตั้งแต่เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2568 มีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนคิดเป็นสัดส่วน 15.6% ของตลาดในประเทศไทย ตั้งแต่มีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยปัจจุบันมียอดจะทะเบียน 229,562 คัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากโครงการ EV 3.0 ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่นำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยจำนวนมาก

“ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบ้านเรายังมีแนวโน้มการเติบโต แม้ที่ผ่านผู้บริโภคจะตอบรับจำนวนมาก สิ่งที่กังวลยังเป็นเรื่องสถานีชาร์จที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลจะต้องส่งเสริมการลงทุน ปัจจุบันสถานีชาร์จในบ้านเรามี 3,800 แห่ง หรือประมาณ 10,000 ชาร์จ มีสัดส่วน 30 คัน/หัวชาร์จ แต่เป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์การเดินทางผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า”

สำหรับในปี 2568 มีทางรถยานยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ต่างเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยประมาณ 100 รุ่น ทำให้ตลาดมีการแข่งขันราคากันอย่างรุนแรง แต่มาตรฐานการพัฒนาแบตเตอรี่ระยะทางในการวิ่งต่อการชาร์จแบตเตอรี่ของแต่ละเซกเม้นต์เริ่มนิ่ง ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการตัดสินใจ หลังจากนี้รถยนต์ไฟฟ้าจะก้าวเข้าสู่การแข่งขันสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่างๆ โดยตลาดรถยนต์ไฟฟ้านับจากนี้ไปจะอยู่ที่นโยบายด้านสรรพสามิตที่จะส่งผลให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และมีกาถ่ายทอดเทคโนโลยีและใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากขึ้น

เลกซัส ยกทัพยนตรกรรมระดับ พรีเมียมลักซัวรี่ ร่วมงาน Motor Expo 2025

เลกซัส เผยโฉม “The New All-electric Lexus RZ” และ “The All-new Lexus LX 500d” พร้อมยนตรกรรมเลกซัสหลากหลายรุ่น และบริการเหนือระดับแบบ “Omotenashi” ที่บูธเลกซัสในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 42

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เลกซัส กรุ๊ป บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงข่าวเปิดบูธเลกซัส ภายใต้แนวคิด “Crafted for Every Journey” ถ่ายทอดความหรูหราอันประณีต ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย และประสบการณ์การบริการระดับพรีเมียมตามหลักปรัชญา “Omotenashi” ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดตามแบบฉบับเลกซัส พร้อมกับนำเสนอ “The New  All-electric Lexus RZ” ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด และ “The All-new Lexus LX 500d” เอสยูวีระดับ Ultra Luxury พร้อมจัดแสดงยนตรกรรมเลกซัสหลากหลายรุ่น ครบทุกขุมพลัง เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้า พร้อมรับข้อเสนอที่ดีที่สุดแห่งปีในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ณ อาคาร   ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เลกซัส กรุ๊ป บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า “ในครั้งนี้ บูธเลกซัสนำเสนอภายใต้แนวคิด “Crafted for Every Journey” แนวคิดที่สะท้อนความตั้งใจของเราในการผสานดีไซน์หรูหรา เข้ากับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ได้อย่างลงตัว การจัดแสดงรถในครั้งนี้ ไม่เพียงแสดงถึงความสามารถด้านวิศวกรรมของเลกซัส แต่ยังสะท้อนปรัชญาการบริการแบบ Omotenashi ที่เรายึดถือมาโดยตลอด”

นายศุภกร กล่าวเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในงานนี้ว่า “ขอแนะนำรถครอสโอเวอร์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของเรา “The New All-electric Lexus RZ” รถคันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของเลกซัสสู่ยุคไฟฟ้าอย่างเต็มตัว โดย Lexus RZ มาพร้อมเทคโนโลยี Steer-by-Wire ให้การควบคุมที่แม่นยำราวกับเป็นส่วนหนึ่งของผู้ขับ ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ DIRECT4 ถ่ายทอดบุคลิกการขับขี่แบบ Lexus Driving Signature ที่ทั้งมั่นใจและสนุกยิ่งขึ้น โดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพการเดินทาง ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 76.96 kWh กำลังสูงสุด 375 แรงม้า และระยะทางสูงสุด 600 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทำให้ Lexus RZ เป็นรถไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทั้งการขับในเมืองและการเดินทางไกลได้อย่างยอดเยี่ยม

พร้อมกันนี้ ขอแนะนำอีกหนึ่งรุ่นสำคัญ ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของเลกซัสในระดับผู้นำ กับ “The All-new Lexus LX 500d” SUV หรูระดับ Ultra Luxury ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 3.3 ลิตร ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full-Time All-Wheel-Drive ช่วงล่าง Active Height Control และ Adaptive Variable Suspension ผสานกับโครงสร้างตัวถังแบบ Body-on-Frame รุ่นใหม่ ที่น้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง มอบความมั่นใจสูงสุดในทุกสภาพถนน ภายในรถหรูหรา กว้างขวาง พร้อมเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Fingerprint-Authentication Push-Start และระบบความปลอดภัย Lexus Safety System Plus 3.0 โดย The All-new Lexus LX 500d มี 2 เกรดให้ลูกค้าได้เลือก ได้แก่ PREMIUM และ F SPORT

ช่วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเป็นเจ้าของเลกซัส โดยเฉพาะรุ่น Plug-in Hybrid กับเกรดใหม่ Grand Luxury Plus สำหรับรุ่น RX 450h+ และ NX 450h+ ซึ่งเกรดใหม่นี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มความคุ้มค่ายิ่งขึ้น และพิเศษเมื่อจองรถเลกซัสภายในงาน รับแคมเปญดอกเบี้ย 0% ประกันภัยชั้นหนึ่ง การรับประกัน LXP 5 ปี และ Lifestyle Voucher

นอกจากตัวรถ เลกซัสยังคงพัฒนาประสบการณ์หลังการขายให้ตอบโจทย์ลูกค้ารุ่นใหม่มากขึ้น ทั้ง Lexus Service Corner / Home Visit Mobility Service ครอบคลุมการบริการหลังการขายทั่วประเทศ และบริการ KINTO ที่ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่าย เพื่อให้การใช้รถเป็นเรื่องง่ายที่สุด

โดยภายในงาน เรายังตอกย้ำแนวคิด “Making Luxury Personal” ผ่านบริการ Omotenashi และ LEXUS Lounge ที่ร่วมสร้างสรรค์กับ CHANINTR แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมี่ยม สร้างบรรยากาศที่สะท้อนความหรูหราในแบบเลกซัส”

The New All-electric Lexus RZ

ภายใต้แนวคิด “Electrifying in Every Way”

ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่ถ่ายทอดความล้ำสมัยของเทคโนโลยีและงานออกแบบได้อย่างโดดเด่นตั้งแต่แรกเห็น มาพร้อมพวงมาลัยแบบ Steer-by-Wire* ที่มอบการตอบสนองเฉียบคม รวดเร็ว และแม่นยำ ให้ความรู้สึกควบคุมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ DIRECT 4**  ที่กระจายแรงขับได้สมดุล ถ่ายทอดเอกลักษณ์การขับขี่แบบ Lexus Driving Signature ได้อย่างลงตัว

The New All-electric Lexus RZ มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 76.96 kWh ให้กำลังสูงสุดถึง 375 แรงม้า** พร้อมมอบระยะทางวิ่งสูงสุด 600 กม.*** (NEDC Standard) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งช่วยให้การเดินทางทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นไปได้อย่างมั่นใจไร้กังวล ด้านประสบการณ์ภายในห้องโดยสารก็ยังถูกยกระดับด้วย ชุดเครื่องเสียงพรีเมียม Mark Levinson ที่ให้คุณภาพเสียงสมจริงเหมือนอยู่ในฮอลล์คอนเสิร์ต และระบบ Lexus Teammate Advanced Park ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ เพิ่มความสะดวกสบายสูงสุดในทุกสถานการณ์ โดย Lexus RZ เป็นรถนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นทั้งคัน มอบคุณภาพการประกอบระดับพรีเมียมที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด สะท้อนความประณีตและมาตรฐานงานฝีมือในแบบฉบับเลกซัสอย่างแท้จริง Lexus RZ ใหม่ จึงเป็นยนตรกรรมไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบทั้งด้านเทคโนโลยี ประสิทธิภาพ และงานฝีมือ

*สำหรับรุ่น Lexus RZ 500e AWD Steer-by-wire

**สำหรับรุ่น Lexus RZ 500e

***ข้อมูลรุ่น Lexus RZ 350e โดยอ้างอิง Eco Sticker มาตรฐาน UN-R101 ในห้องปฏิบัติการ มีผู้ขับขี่ 1 คน ใช้มาตรฐานการขับแบบ NEDC อุณหภูมิ 20–30 องศาเซลเซียส ปิดระบบปรับอากาศ รับรองผลโดยหน่วยงานรัฐประเทศเบลเยียม

เป็นเจ้าของ The New All-electric Lexus RZ วันนี้

ราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

-ใหม่!… RZ 500e Premium AWD Steer-by-wire             3,790,000 บาท

-ใหม่!… RZ 500e Premium                                       3,490,000 บาท

-ใหม่!… RZ 350e Grand Luxury                               2,990,000 บาท

-รับประกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ไฟฟ้า (Battery Degradation) ต่ำกว่า 70% (8 ปี หรือ ระยะทาง 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

พิเศษ สำหรับลูกค้าที่จอง Lexus RZ ภายในงาน รับข้อเสนอสุดพิเศษ

-Wallbox Charger พร้อมติดตั้ง (มูลค่า 50,000 บาท)

-รับสิทธิ์ลุ้นแพคเกจทริป กรุงเทพฯ – มาเก๊า จำนวน 5 รางวัล

The All-new Lexus LX 500d

ภายใต้แนวคิด “Influence that signals the Future”

พบกับเอสยูวีระดับ Ultra Luxury ที่ถ่ายทอดภาพลักษณ์อันทรงพลังแห่งอนาคตได้อย่างชัดเจน ผสานภาพลักษณ์อันสง่างามเหนือระดับเข้ากับสมรรถนะออฟโรดในตำนานได้อย่างลงตัว ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกอันทรงพลัง ไปจนถึงสมรรถนะที่พร้อมลุยทุกเส้นทาง

The All-new Lexus LX 500d ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ขนาด 3.3 ลิตร ที่มอบทั้งพละกำลังและความมั่นใจในทุกสถานการณ์ ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Full-Time AWD ที่ช่วยให้การควบคุมเป็นไปอย่างมั่นคง แม้ในสภาพถนนที่ท้าทายที่สุด เสริมด้วยระบบช่วงล่างอัจฉริยะ Active Height Control และ Adaptive Variable Suspension (AVS) ที่ช่วยยกระดับความนุ่มนวลแต่ยังคงสมรรถนะเฉพาะตัวของรถออฟโรดระดับตำนานได้อย่างยอดเยี่ยม

นอกจากนี้ โครงสร้างตัวถังแบบ Body-on-Frame รุ่นใหม่ ถูกออกแบบให้แข็งแกร่งเป็นพิเศษแต่น้ำหนักเบาลง ทำให้ LX 500d ใหม่มีทั้งความทนทานและการควบคุมที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันภายในห้องโดยสารได้ถูกออกแบบมาให้สัมผัสที่หรูหราในทุกมิติ ใช้วัสดุพรีเมียมและงานออกแบบที่เน้นความประณีต มอบพื้นที่กว้างขวางและบรรยากาศแห่งความสง่างามตามแบบฉบับเลกซัส พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยครั้งแรกในเลกซัส ได้แก่ Fingerprint-authentication Push-start ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยระดับสูงสุด และระบบความปลอดภัย Lexus Safety System Plus 3.0 ที่ช่วยดูแลผู้ขับและผู้โดยสารอย่างรอบด้าน มอบทั้งความมั่นใจ ความสะดวกสบาย และประสบการณ์การเดินทางที่เหนือระดับในทุกเส้นทางอย่างแท้จริง

เป็นเจ้าของ The All-new Lexus LX 500d วันนี้

ราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

-ใหม่!… LX 500d F SPORT                             15,500,000 บาท

-ใหม่!… LX 500d Premium                             15,000,000 บาท

แนะนำเกรดใหม่ “Grand Luxury Plus”

สำหรับรุ่น RX 450h+ และ NX 450h+

เพื่อตอบรับโครงสร้างภาษีใหม่ที่จะมีผลในช่วงต้นปีหน้า เลกซัสได้เปิดตัวเกรดใหม่ Grand Luxury Plus สำหรับรุ่น RX 450h+ และ NX 450h+ โดยเกรดนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อมอบความคุ้มค่ายิ่งขึ้นแก่ลูกค้า ทั้งในด้านอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครันยิ่งกว่าเดิม และราคาที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความหรูหราในระดับพรีเมียมควบคู่กับความคุ้มค่าในระยะยาว

Lexus RX รุ่นปรับปรุงใหม่

Charge Through the Limits of Imagination”

Lexus RX ตอกย้ำความเป็นครอสโอเวอร์ระดับพรีเมียมที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบ ด้วยดีไซน์ที่ประณีตและงานวิศวกรรมที่พิถีพิถัน ห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้กว้างขึ้น โปร่งสบายมากกว่าเดิม ใช้วัสดุระดับหรูอย่าง Semi-Aniline Leather พร้อมหลังคากระจก Panorama Glass Roof ที่เปิดมุมมองใหม่ของห้องโดยสารอย่างแท้จริง โดยภายในยังคำนึงถึงผู้ขับตามปรัชญา “Human Centric” และแนวคิดการออกแบบ Tazuna Concept ให้ผู้ขับสามารถควบคุมทุกฟังก์ชันได้โดยแทบไม่ต้องละสายตาจากถนน

ด้านสมรรถนะ RX ถูกพัฒนาบนสถาปัตยกรรม GA-K Platform ที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ เสริมด้วยช่วงล่าง Multi-Link และระบบ Adaptive Variable Suspension (AVS) จึงมอบการทรงตัวที่ยอดเยี่ยม พวงมาลัยตอบสนองแม่นยำ ถ่ายทอดเอกลักษณ์การขับขี่แบบ Lexus Driving Signature ได้อย่างลงตัว

ในส่วนของระบบส่งกำลัง RX นำเสนอทางเลือกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรุ่น RX 350h ไฮบริดที่ให้สมดุลระหว่างสมรรถนะและความประหยัดเชื้อเพลิง / รุ่น RX 450h+ ปลั๊กอินไฮบริดประสิทธิภาพสูงพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า E-Four และรุ่น RX 500h F SPORT ที่เร้าใจที่สุดในไลน์ ด้วยกำลังสูงสุด 366 แรงม้า และอัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ใน 6.2 วินาที

ราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

Lexus RX 500h

-F SPORT Direct4                                5,580,000 บาท

Lexus RX 450h+

-ใหม่!… Grand Luxury Plus AWD        5,290,000 บาท

-Premium AWD                                    5,170,000 บาท

-Luxury AWD                                        4,720,000 บาท

Lexus RX 350h

-Premium                                              4,870,000 บาท

-Luxury                                                 4,520,000 บาท

พิเศษ เลือกเป็นเจ้าของ Lexus RX ภายในงานมอเตอร์เอกซ์โป

รับดอกเบี้ย 0% และ Lexus Exclusive Package (LXP Standard) ขยายระยะเวลารับประกันเป็น 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

Lexus NX… “Reimagine”

Lexus NX ครอสโอเวอร์พรีเมียมที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มาพร้อมดีไซน์สปอร์ตทันสมัยด้วยกระจังหน้า Spindle Grille แบบใหม่ และไฟท้ายรูปตัว L ที่เชื่อมต่อกับโลโก้เลกซัสดีไซน์ใหม่ ภายในเน้นผู้ขับเป็นศูนย์กลาง ติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่ 9.8 นิ้ว ที่ตอบสนองแม่นยำและควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างสะดวกเพียงปลายนิ้วสัมผัส โดย NX ได้ถูกพัฒนาบนสถาปัตยกรรม GA-K Platform ทำให้ตัวถังกว้างขึ้น มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ให้เสถียรภาพและการควบคุมที่เฉียบคม ถ่ายทอดเอกลักษณ์การขับขี่แบบ Lexus Driving Signature ได้อย่างโดดเด่น มีตัวเลือกทั้งระบบไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ให้พละกำลังที่สนุกเร้าใจแต่ยังประหยัดน้ำมันยอดเยี่ยม

ด้านความปลอดภัย NX มาพร้อมชุดระบบ Lexus Safety System+ และระบบประตูไฟฟ้า E-LATCH พร้อม Safe Exit Assist ช่วยเปิด–ปิดประตูได้อย่างนุ่มนวลและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ทำให้ NX เป็น SUV ที่รองรับทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว

ราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

NX 450h+

-F SPORT AWD                                    4,925,000 บาท

-ใหม่!… Grand Luxury Plus AWD        3,990,000 บาท

-Premium AWD                                    3,945,000 บาท

-Grand Luxury AWD                            3,660,000 บาท

NX 350h

-Grand Luxury                           3,460,000 บาท

-Luxury                                       3,310,000 บาท

พิเศษ เลือกเป็นเจ้าของ Lexus NX ภายในงานมอเตอร์เอกซ์โป

รับดอกเบี้ย 0.99% และ Lexus Exclusive Package (LXP Standard) ขยายระยะเวลารับประกันเป็น 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

Lexus LM… “Own A World Apart”

Lexus LM ยนตรกรรมมินิแวนระดับหรูที่ได้รับความนิยมอย่างสูง จากการผสานความ ความสง่างาม และความหรูหราเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์ระดับเฟิร์สคลาสในทุกการเดินทาง สะท้อนปรัชญา “Omotenashi” ของเลกซัส ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดราวกับการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายเสมือนอยู่ในห้องสวีทของโรงแรมหรู หรือห้องทำงานส่วนตัวเคลื่อนที่ ให้ทั้งร่างกายและจิตใจได้พักผ่อน พร้อมเป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจทั้งในด้านความคิดและการใช้ชีวิต ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ “Making Luxury Personal” ที่ทำให้ความหรูหราเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง

ภายในห้องโดยสาร Lexus LM มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นสูงที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้โดยสารแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น จอส่วนตัว Personalized Screen ที่สามารถแยกเนื้อหาการรับชมได้อย่างอิสระ ระบบเสียง 2-Zone Audio System ที่แบ่งโซนเสียงระหว่างด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ทุกคนสามารถเพลิดเพลินคอนเทนต์ในแบบของตัวเองโดยไม่รบกวนกัน นอกจากนี้ยังติดตั้ง Moon Roof เพื่อช่วยเพิ่มความโปร่งสบายภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลหรือระบบปรับอากาศแบบแยกโซน ที่สามารถสั่งงานได้ง่าย ๆ ผ่าน Overhead Control หรือแท็บเล็ตควบคุมด้านหลัง Removable Touchscreen Rear Controller ทำให้ Lexus LM เป็นยนตรกรรมที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกความต้องการของผู้โดยสารอย่างแท้จริง ทั้งนี้ Lexus LM พร้อมจำหน่าย และส่งมอบให้ลูกค้าได้ทันที

ราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

LM 500h

-Lexus LM 500h Executive 4-Seater            8,290,000 บาท

-Lexus LM 500h Executive 6-Seater            6,990,000 บาท

LM 350h

-Lexus LM 350h Executive 4-Seater            7,590,000 บาท

-Lexus LM 350h Executive 7-Seater            6,290,000 บาท

The New Lexus LBX… “Escape the Ordinary”

Lexus LBX ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Premium Casual” เป็นรถขนาดเล็กที่ให้คุณภาพระดับพรีเมียม ดีไซน์ด้านหน้าใหม่แบบ Resolute Look และห้องโดยสารที่ออกแบบตามแนวคิด Tazuna Concept มอบบรรยากาศผ่อนคลายและควบคุมทุกอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ มาพร้อมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งชุดเครื่องเสียง Mark Levinson / ระบบช่วยจอด Lexus Teammate Advanced Park / กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor และระบบความปลอดภัย Lexus Safety System+ 3.0

ด้านสมรรถนะ LBX ถ่ายทอด Lexus Driving Signature ได้อย่างครบถ้วนด้วยสถาปัตยกรรมตัวถัง GA-B Platform ที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา ช่วยเพิ่มเสถียรภาพ ลดจุดศูนย์ถ่วง และให้การควบคุมที่มั่นใจ ระบบไฮบริด HEV ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.5 ลิตร กำลังรวม 134 แรงม้า อัตราเร่ง 0–100 กม./ชม. ใน 9.2 วินาที และมีอัตราสิ้นเปลืองสูงสุดถึง 26.32 กม./ลิตร

นอกจากนี้ Lexus LBX ยังมีเกรด Bespoke ที่ให้คุณปรับแต่งรถ LBX ได้เต็มรูปแบบ ตั้งแต่สีภายนอก–ภายใน วัสดุตกแต่ง สีเข็มขัดนิรภัย ลายปัก เบาะหนัง สีพวงมาลัย–หัวเกียร์ ไปจนถึงล้ออัลลอย ให้รถสะท้อนสไตล์เฉพาะตัวอย่างแท้จริง โดยลูกค้าสามารถออกแบบและจองออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ Lexus.co.th หรือทดลองออกแบบด้วยตัวเองได้ที่ บูธเลกซัส พร้อมคำแนะนำจาก Lexus Brand Ambassador

ราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

-Bespoke               2,890,000 บาท* (*สำหรับเบาะที่นั่งวัสดุ L-Aniline เพิ่ม 100,000 บาท)

-Premium               2,590,000 บาท

-Luxury                  2,430,000 บาท

พิเศษ เลือกเป็นเจ้าของ Lexus LBX ภายในงานมอเตอร์เอกซ์โป

รับดอกเบี้ย 0% และ Lexus Exclusive Package (LXP Standard) ขยายระยะเวลารับประกันเป็น 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

สัมผัสประสบการณ์บริการใช้รถรูปแบบใหม่

กับบริการ LEXUS KINTO ONE

KINTO Beyond the Owner มีรถใช้ไม่ต้องซื้อ ทางเลือกใหม่ของการใช้รถจากเลกซัส เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ สำหรับลูกค้าบุคคล และนิติบุคคล ซึ่งมีทั้งแบบสัญญา 3-5 ปี ที่ทำให้การใช้รถเป็นเรื่องง่าย สะดวกสบาย คุ้มค่า ไร้กังวล มอบความสะดวกสบายด้วยค่าบริการครอบคลุมค่าใช้จ่าย ทั้งในการบำรุงรักษา ประกันภัยชั้น 1 มีบริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง บริการรวดเร็วทันสมัยผ่านออนไลน์ หมดกังวลเรื่องราคาขายต่อเพียงคืนรถเมื่อครบสัญญา

รุ่นที่มีบริการ LEXUS KINTO ONE

-RX 450h+ Grand Luxury Plus AWD  ค่าบริการเริ่มต้น          82,600 บาท

-RX 350h Luxury                                  ค่าบริการเริ่มต้น          73,790 บาท

-NX 450h+ Grand Luxury Plus AWD  ค่าบริการเริ่มต้น          64,200 บาท

-NX 350h Grand Luxury                     ค่าบริการเริ่มต้น          54,590 บาท

-LBX Premium                                      ค่าบริการเริ่มต้น          45,000 บาท

-LBX Luxury                                         ค่าบริการเริ่มต้น          42,000 บาท

สนใจสอบถามได้ที่ เจ้าหน้าที่ภายในบูธเลกซัส ในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 42

หรือ www.kinto-th.com และ Kinto Call Center 02-386-3888

เพิ่มความมั่นใจสูงสุดกับ “Lexus Exclusive Package Standard”

โปรแกรมขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ Lexus

เพิ่มความมั่นใจสูงสุดกับโปรแกรม Lexus Exclusive Package (LXP) ที่ขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ เป็น 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง บริการเลขาส่วนตัว และยังครอบคลุมค่าบำรุงรักษารถยนต์ตลอด 5 ปี ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว โดยมีโปรแกรมที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน

LXP STANDARD   ครอบคลุมค่าแรงตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

LXP PLUS             ครอบคลุมการบำรุงรักษารถยนต์ทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่

                              ตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร  (ยกเว้นอะไหล่เสื่อมสภาพ)

LXP PREMIUM      ครอบคลุมการบำรุงรักษารถยนต์ทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่

                              ตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร  รวมถึงอะไหล่เสื่อมสภาพ

เอกสิทธ์เฉพาะเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เหนือกว่า สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์เลกซัสทุกรุ่น จากผู้แทนจำหน่ายเลกซัสอย่างเป็นทางการ

•มอบความอุ่นใจด้วยบริการที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ผ่านผู้แทนจำหน่ายเลกซัสทั้ง 3 สาขา ในเขตกรุงเทพฯ และ Lexus Service Corner 15 แห่งในศูนย์บริการโตโยต้าที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ใน 8 จังหวัดหลัก และสำหรับจังหวัดอื่นๆ เลกซัสมีบริการ Home Visit Mobility Service ที่ส่งช่างผู้เชี่ยวชาญจากผู้แทนจำหน่ายเลกซัสออกไปบริการที่ศูนย์บริการโตโยต้าใกล้บ้านคุณ

•เพื่ออำนวยความสะดวกตลอดการใช้งานรถเลกซัส ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือน การนัดหมายเข้าศูนย์บริการ หรือการรับสิทธิพิเศษจากร้านค้าชั้นนำ ลูกค้าสามารถใช้งานได้ผ่านช่องทางใหม่

LINE Official Account : @lexusthailand ที่ช่วยให้ทุกอย่างง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

พลาดไม่ได้กับข้อเสนอสุดพิเศษ

ในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 42

29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม นี้ ที่ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี

และผู้แทนจำหน่ายเลกซัสอย่างเป็นทางการ

โดยทุกท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของเลกซัสได้ผ่านช่องทางออนไลน์ Official Account : Lexus Thailand และบนเว็บไซต์ www.lexus.co.th

รวมถึงช่องทางใหม่ LINE Official Account: @lexusthailand

เพื่อรับสิทธิพิเศษและข้อมูลข่าวสารจากเลกซัสได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

ซูซูกิ อวดโฉม ALL NEW SUZUKI FRONX พร้อมอัดแคมเปญส่งท้ายปี ในงาน Motor Expo 2025

ซูซูกิ อวดโฉม ALL NEW SUZUKI FRONX “รถแข่งทางเรียบครั้งแรกในอาเซียน” ในงาน Motor Expo 2025 อัดแคมเปญสุดคุ้ม รับบัตรเติมน้ำมันฟรี 3,000 บาท พร้อมจับคู่ CARRY-Duca’tim ยกระดับธุรกิจเคลื่อนที่

28 พฤศจิกายน 2568-กรุงเทพมหานคร-บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 หรือ Thailand International Motor Expo 2025 ภายใต้แนวคิดหลัก “The ICONIC Journey” ซึ่งสื่อถึงการเดินทางที่โดดเด่นและเป็นตำนาน เป็นสัญลักษณ์สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของผู้ขับขี่ พร้อมทั้งชูไฮไลท์หลัก ALL NEW SUZUKI FRONX สปอร์ต SUV รุ่นใหม่ล่าสุด และตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยด้วยโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของตลาด โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-ตุลาคม 2568) ตลาดรถยนต์มีตัวเลขยอดขายรวมทั้งสิ้น 494,938 คัน ส่วนในช่วงเวลาดังกล่าว ซูซูกิมียอดขายรรวม 4,245 คัน ท่ามกลางความท้าทายเหล่านั้น ตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) ยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้งาน ราคาที่จับต้องได้ ค่าบำรุงรักษาที่สมเหตุสมผล อายุการใช้งานที่ยาวนาน รวมจนถึงประสิทธิภาพด้านการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงก็เข้ามาเป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อรถยนต์มากขึ้น

ซูซูกิ มีความเข้าใจในความต้องการของตลาดในประเทศไทย แม้จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจแต่ยังคงมุ่งมั่นคัดสรรรถยนต์คุณภาพดี ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์มาส่งมอบแก่ผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง แต่เหนือสิ่งอื่นใด เรายังคงยึดมั่นในแนวทางของการนำเสนอความคุ้มค่า คุ้มราคา และมอบทุกความมั่นใจ ด้วยงานบริการหลังการขายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

การจัดแสดงรถยนต์จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ รถยนต์รุ่นมาตรฐานของซูซูกิ และรถยนต์รุ่นตกแต่งพิเศษ เพื่อนำเสนอแนวทางให้ลูกค้าไปตกแต่งรถได้ในสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งรถยนต์ซูซูกิทุกรุ่นเข้าร่วมไปจัดแสดงพร้อมกับการนำเสนอแคมเปญสุดพิเศษส่งท้ายปีมอบให้แก่ผู้เข้าชมงานที่สนใจในผลิตภัณฑ์ของซูซูกิทุกท่าน ไฮไลท์ที่สำคัญ คือ ALL NEW SUZUKI FRONX รถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับรูปลักษณ์สปอร์ตเร้าใจ สมรรถนะการขับขี่อันโดดเด่น และมอบทุกความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบรับต่อความต้องการของผู้บริ โภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี

สุดพิเศษ!! กับการนำ ALL NEW SUZUKI FRONX ที่ถูกตกแต่งมาในสไตล์รถแข่งทางเรียบเป็นครั้งแรกของอาเซียน มาจัดแสดงภายในงาน พร้อมสร้างปรากฎการณ์ด้วยการเข้าร่วมสนับสนุน KTN Garage Racing ทีมมอเตอร์สปอร์ตที่มีประสบการณ์ในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบในประเทศไทยมากกว่า 10 ปี และสามารถคว้าแชมป์มาครองได้มากมาย  โดยทีมจะนำรถยนต์ ALL NEW SUZUKI FRONX คันดังกล่าวเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ แบบมาราธอน 12 ชั่วโมง ในรายการ “IDEMITSU SUPER ENDURANCE THAILAND 2025” ในรุ่น Division 4 โดยงานจัดขึ้นระหว่าง 18-20 ธันวาคม 2568 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งการเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ เพื่อชูศักยภาพและพิสูจน์ให้เห็นถึงความทนทานและสมรรถนะอันโดดเด่นของ ALL NEW SUZUKI FRONX ได้อย่างแท้จริง

อีกหนึ่ง ICONIC ที่ยังคงสร้างตำนานให้ซูซูกิอย่างต่อเนื่อง คือ SUZUKI SWIFT รถยนต์ Sport Hatchback ขวัญใจมหาชน นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2555 และมียอดขายสะสมถึงปัจจุบันแล้วมากกว่า 155,880 คัน เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจ เราจัดแคมเปญ SUZUKI WORRY FREE PROGRAM ที่ช่วยดูแลรถนานถึง 7 ปี พร้อมสิทธิพิเศษต่างๆ มอบให้แก่ลูกค้าอีกด้วย

“งาน Motor Expo 2025 ถือเป็นเวทีที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเป็นโอกาสอันดีในการสื่อสารแนวคิด นวัตกรรม และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคโดยตรง ปีนี้ ซูซูกิยังให้ความสำคัญกับการนำเสนอรถยนต์หลากหลายรุ่น ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าทุกกลุ่ม และมุ่งมั่นที่จะมอบทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในทุกๆ ด้าน” นายทาดาโอะมิ กล่าว

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับการเข้าร่วมงาน มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42 การจัดแสดงบูธภายใต้แนวคิด“The ICONIC Journey” จะดึงดูดผู้เข้าชมงานให้เข้ามาสัมผัสถึงความเป็นเอกลักษณ์รถยนต์ซูซูกิได้เป็นอย่างดี

ไฮไลท์ของรถในปีนี้ นำโดย ALL NEW SUZUKI FRONX “THE ICONIC DRIVE นิยามใหม่ของการขับขี่…ในแบบที่เป็นคุณ” สปอร์ต SUV ดีไซน์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เทคโนโลยีล้ำสมัย และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดดเด่นด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งในรูปแบบเครื่องยนต์ K15B ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น พร้อมยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ K15C ที่มาพร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ (DUALJET) ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Smart Hybrid Vehicle (SHVS) เอกสิทธิ์เฉพาะของซูซูกิ ที่เป็นการผสานพลังเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี Integrated Starter Generator (ISG)  และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน พร้อมมอบสมรรถนะที่เร้าใจด้วยอัตราเร่งที่เฉียบคม และประหยัดน้ำมัน ทำให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างนุ่มนวลและเงียบสบายอย่างลงตัว

ด้านความปลอดภัยของรถยนต์ ALL NEW SUZUKI FRONX ในทุกรุ่น มอบความอุ่นใจด้วยถุงลมนิรภัย SRS มากถึง 6 ตำแหน่ง และพิเศษเฉพาะสำหรับรุ่นท็อปที่ครบครันด้วยเทคโนโลยี SUZUKI SAFETY SUPPORT เพื่อเสริมความมั่นใจในการขับขี่สูงสุดในทุกเส้นทาง ประกอบไปด้วย

•ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Dual Sensor Brake Support II (DSBSII)

•จอแสดงข้อมูล Head-up display (HUD)

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC)

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist (LKA)

•ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW)

•ระบบช่วยป้องกันรถออกนอกเลน Lane Departure Prevention (LDP)

•ระบบเตือนเมื่อรถส่าย Vehicle Sway Warning

•ระบบเตือนสิ่งกีดขวางในจุดอับสายตา Blind Spot Monitor (BSM)

•ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert (RCTA)

•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist (HBA)

•กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา Surround View Monitor

•เซนเซอร์ถอยหลังพร้อมสัญญาณเตือน Parking Sensor

ราคารถยนต์ ALL NEW SUZUKI FRONX

•รุ่น GL                             ราคา 689,000 บาท

•รุ่น GLX                           ราคา 749,000 บาท

•รุ่น GLX PLUS                ราคา 799,000 บาท

แคมเปญพิเศษ เพียงจอง ALL NEW SUZUKI FRONX ระหว่างงาน Motor Expo และรับรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 รับทันที!บัตรเติมน้ำมันฟรี 3,000 บาท พร้อมรับสิทธิ์ซื้อโปรแกรมบำรุงรักษารถ SUZUKI FRONX MAINTENANCE PACKAGE ที่ครอบคลุมการบำรุงรักษารถตามระยะกับราคาแพ็กเกจพิเศษสุดคุ้ม สำหรับลูกค้าที่ซื้อ ณ วันที่จองและรับรถใหม่ เริ่มต้นเพียง 2,990 บาท ซึ่งประหยัดเงินสูงสุดถึง 34,790 บาท เมื่อเทียบกับราคาปกติ โดยมีมูลค่ารวมดังนี้

รุ่นราคาเต็มจำนวน (บาท)ราคาแพ็กเกจพิเศษ (บาท)ลูกค้าประหยัดเงิน (บาท)
GL33,573.-2,990.-30,583.-
GLX / GLX PLUS42,780.-7,990.-34,790.-

ความคุ้มค่าเหนือระดับที่ครอบคลุมการดูแลรถ ALL NEW SUZUKI FRONX

-ระยะความคุ้มครองยาวนาน: 7 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

-ครอบคลุมเต็มรูปแบบ: ครอบคลุมค่าแรงและค่าอะไหล่แท้ ตามตารางบำรุงรักษาอย่างเป็นทางการของซูซูกิ

-ป้องกันความเสี่ยงด้านราคา: การันตีราคาชิ้นส่วนอะไหล่ภายใต้แพ็กเกจ ไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับขึ้นราคาในอนาคต

-รายการบำรุงรักษาหลัก: ครอบคลุมอะไหล่สำคัญ อาทิ น้ำมันเครื่องเกรดมาตรฐาน ไส้กรองน้ำมันเครื่อง แหวนรองนอตถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำยาหม้อน้ำ ไส้กรองอากาศ สายพานหน้าเครื่อง (Hybrid) สายพานแอร์ หัวเทียน เป็นต้น

SUZUKI SWIFT สปอร์ตแฮทช์แบ็กยอดนิยมของคนไทย สร้างยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของซูซูกิมาอย่างต่อเนื่อง ห้องโดยสารสีดำตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินสไตล์สปอร์ต จอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว  พร้อมฟังก์ชันเอนเตอร์เทนเมนท์ครบครัน รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay, Android Auto และ Bluetooth และเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน เติมเต็มความบันเทิงในการขับขี่ ทำให้ไม่พลาดทุกการติดต่อตลอดการเดินทาง มาพร้อมเครื่องยนต์รหัส K12M ขนาด 1.2 ลิตร หัวฉีดคู่ DUALJET ช่วยลดมลพิษและประหยัดน้ำมันถึง 23 กิโลเมตรต่อลิตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 567,000 บาท

SUZUKI JIMNY  รถยนต์ออฟโรดขนาดคอมแพ็คถูกพัฒนาและออกแบบภายใต้ JIMNY DNA ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่อเนื่องยาวนานมากว่า 50 มอบความโดดเด่นทั้งในเรื่องของดีไซน์และสมรรถนะการขับขี่แบบ Authentic 4WD พร้อมใช้งานในทุกสภาพการขับขี่และภูมิประเทศที่หลากหลายตอบโจทย์การใช้งานอย่างมืออาชีพ ตอบสนองความต้องการของคนที่ชื่นชอบรถยนต์ประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อ   มาด้วยแคมเปญพิเศษ “Legendary Deal of the Yar” ด้วยการมอบราคาพิเศษแบบจำนวนจำกัดเพียง 50 คันให้กับลูกค้าที่สนใจการเป็นเจ้าของ อีกทั้งยังมอบความคุ้มค่าและความภาคภูมิใจสูงสุดด้วยแพ็คเกจ SUZUKI WORRYFREE PROGRAM ให้กับผู้ที่พร้อมจะเริ่มต้นตำนานบทใหม่ไปกับ SUZUKI JIMNY พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 7 ปี

ราคาจำหน่าย SUZUKI JIMNY Legendary Deal of the Year จำนวนจำกัด 50 คัน

SUZUKI JIMNYราคาปัจจุบัน (บาท)ราคาพิเศษ (บาท)
รุ่นเกียร์อัตโนมัติ สี MONO TONE1,760,0001,450,000
รุ่นเกียร์อัตโนมัติ สี TWO TONE1,790,0001,480,000

SUZUKI XL7 ดีไซน์กระจังหน้าโครเมียมมาพร้อมกับไฟหน้า LED รีเฟล็กเตอร์ และ Daytime Running Light  ลงตัวกับไฟท้าย LED แบบ Light Guides  ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง กับเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง มาพร้อมด้วยเทคโนโลยี Smart Hybrid จากซูซูกิ  ซึ่งเป็นการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ISG พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ION  ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน และเสริมประสิทธิภาพการออกตัวได้อย่างนุ่มนวลและรวดเร็วด้วยกำลังส่งจากการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า อีกทั้งยังบำรุงรักษาง่ายไม่แตกต่างจากเครื่องยนต์เบนซินสามารถใช้งานได้อย่างไร้กังวล ตอกย้ำความมั่นใจด้วยการรับประกันแบตเตอรี่นาน 5 ปีเต็ม ราคาจำหน่ายเริ่มต้น 799,000 บาท

SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ ที่ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ที่พร้อมจะนำไปดัดแปลงและพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับทุกแนวทางของการดำเนินธุรกิจ จนเป็นที่ยอมรับในฐานะ Food Truck, Goods Truck และ Service Truck สามารถต่อยอดในการทำธุรกิจอื่นๆ เสมือนดั่งพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ใช้ด้วยความจริงใจ ราคาจำหน่ายเพียง 395,000 บาท  โดยในงานนี้ ซูซูกิร่วมมือกับร้าน Duca’tim (ดูคาติม) แฟรนไชส์ไอศกรีม Soft Serve ชื่อดังคุณภาพพรีเมียม เพื่อตอกย้ำแนวคิด ‘Carry Your Dream’ สานฝันให้ธุรกิจเป็นจริงได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่า นำรถ SUZUKI CARRY มาดัดแปลงเป็น ‘รถไอศกรีมเคลื่อนที่ Duca’tim’ ที่ออกแบบมาอย่างลงตัวและครบวงจร รถคันนี้ไม่เพียงแต่โดดเด่นสะดุดตา แต่ยังมาพร้อมพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน สำหรับอุปกรณ์จำหน่ายไอศกรีม ตลอดจนการจัดเก็บสินค้าได้อย่างลงตัว

การจับคู่ในครั้งนี้ถือเป็นการมอบทางเลือกที่น่าสนใจให้กับนักลงทุนที่สนใจแฟรนไชส์ เนื่องจาก SUZUKI CARRY มีจุดเด่นด้านความทนทาน, ประหยัดน้ำมัน, และค่าบำรุงรักษาต่ำ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว ผนวกกับชื่อเสียงของ Duca’tim ในด้านคุณภาพและรสชาติไอศกรีม ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมั่นคงและสามารถขยายฐานลูกค้าได้ในทุกพื้นที่

นอกจากนั้นในโซนการจัดแสดงรถตกแต่ง ยังนำรถทุกรุ่นมาตกแต่งเป็นในสไตล์ที่ไม่เหมือนใครเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และแนวทางให้กับลูกค้าของซูซูกิได้นำไปปรับเพื่อใช้ตกแต่งรถของตัวเองในแบบที่แตกต่างตามไลฟ์สไตล์ อาทิ ALL NEW SUZUKI FRONX SUZUKI JIMNY และ SUZUKI SWIFT

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 หรือ Thailand International Motor Expo 2025 จัดขึ้นวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ซูซูกิยังได้นำเสนอแคมเปญพิเศษให้ลูกค้าเลือกรับข้อเสนอสุดคุ้ม ผ่อนง่ายจ่ายสบายเริ่มต้น 2,999 บาท หรือผ่านนานสูงสุด 99 เดือน โดยขอเชิญชวนลูกค้าติดต่อสอบถามรายละเอียดแคมเปญพิเศษของรถแต่ละรุ่นได้ที่บูธรถยนต์ซูซูกิ หรือที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ

โปรโมชันงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42

สำหรับลูกค้าที่จองภายในงานหรือโชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ และรับมอบรถยนต์ซูซูกิ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568

ALL NEW SUZUKI FRONX

• ราคาพิเศษเริ่มต้น 689,000 บาท

• ฟรี! บัตรเติมน้ำมัน มูลค่า 3,000 บาท

• รับสิทธิ์ซื้อโปรแกรมบำรุงรักษารถ SUZUKI FRONX MAINTENANCE PACKAGE แพ็กเกจพิเศษสุดคุ้ม เริ่มต้นเพียง 2,990 บาท

• พร้อม ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 1.99%

• ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี

SUZUKI SWIFT

• ราคาพิเศษ เริ่มต้น 567,000 บาท

• เลือกรับสิทธิพิเศษฟรี SUZUKI WORRY FREE PROGRAM

-ฟรี Exclusive Maintenance Service 7 ปี

-ฟรี Suzuki Warranty 7 ปี

-ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 7 ปี

    พร้อม ผ่อนนานสูงสุด 99 เดือนๆ ละ 5,462 บาท

    หรือ  เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 0%

• พิเศษเฉพาะรุ่น SWIFT GLX ฟรี กล้องบันทึกภาพหน้ารถมูลค่า 5,885 บาท

• ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก

SUZUKI XL7 HYBRID

• ราคาพิเศษ เริ่มต้น 799,000 บาท

• ส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท พร้อมเลือกรับข้อเสนอ ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 7,888 บาท

• หรือ ผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน ๆ ละ 8,146 บาท                 

• ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี

SUZUKI CELERIO

• ราคาพิเศษ เริ่มต้น 319,900 บาท

• พร้อมเลือกรับข้อเสนอ ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 2,999 บาท

• หรือ ผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน เดือนละ 3,302 บาท

• ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี

SUZUKI CARRY

• ราคา 395,000 บาท

• รับข้อเสนอส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 20,000 บาท

• หรือ เลือกรับ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 1.99% นาน 60 เดือน 

• หรือ รับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท

• ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก

SUZUKI JIMNY

• ราคาพิเศษเริ่มต้น 1,450,000 บาท (จำนวนจำกัดเพียง 50 คัน)

• ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 7 ปี

หมายเหตุ.- เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยโฉม The new CLA ครั้งแรกในงาน Motor Expo 2025

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยโฉม The new CLA ครั้งแรกในงาน Motor Expo 2025 พร้อมมอบข้อเสนอแห่งปี “THE 333 OFFER”

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดบูธต้อนรับลูกค้าทุกคนที่มาร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 (Thailand International Motor Expo 2025) นำทัพด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง “The new CLA” ที่มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2569 ต่อเนื่องด้วยโมเดลระดับตำนาน “G 450 d Edition STRONGER THAN THE 1980s” และเอสยูวีรุ่นพิเศษ “GLA 200 Night Edition” รวมถึงรถยนต์อีกหลากหลายรุ่น พร้อมข้อเสนอแห่งปี “THE 333 OFFER” และของสมนาคุณสุดเอ็กซ์คลูซีฟอีกหลายรายการ พบกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในงาน Motor Expo 2025 ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ณ บูธหมายเลข A02 อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี

มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ สร้างรถยนต์คันแรกของโลกเมื่อปี 2429 และในทุกยุคสมัยที่ผ่านมาของแบรนด์ หัวใจสำคัญในการพัฒนารถยนต์ของเราคือการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอยู่เสมอ หรือที่เราเรียกว่า “DEFINING CLASS” ซึ่งในวันนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เผยโฉม The new CLA ที่สื่อสารผ่านคอนเซปต์ “CLASS OF ITS OWN.” เพื่อสะท้อนถึงการเป็นยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นโมเดลที่เข้ามากำหนดมาตรฐานให้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ยุคใหม่ ซึ่งหลังจากการเปิดตัวแบบ World Premiere เมื่อต้นปีที่ผ่านมา The new CLA ได้รับการยอมรับจากสื่อมวลชนชั้นนำและกลุ่มลูกค้าทั่วโลก และในประเทศไทย เรามีแผนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2569 โดยในวันนี้ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ขอเชิญชวนคนไทยทุกคนเข้ามาสัมผัส The new CLA ที่งาน Motor Expo 2025 และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “CLA Community” ที่พร้อมมอบประสบการณ์ผ่านกิจกรรมที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกคน ตลอดปี 2569”

ภายในบูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ ลูกค้าทุกคนจะได้พบกับยนตรกรรมใหม่ล่าสุดอีก 3 รุ่น ที่นำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เริ่มด้วย The new CLA รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่มาพร้อมแพลตฟอร์ม MMA (Mercedes-Benz Modular Architecture) และแบตเตอรี่ 800V ขนาด 85 kWh ซึ่งมอบระยะทางการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุดถึง 792 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมประกาศราคาจำหน่าย ในช่วงต้นปี 2569 ตามด้วย G 450 d Edition STRONGER THAN THE 1980s โมเดลพิเศษที่พัฒนาขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจมาจาก W460 ในยุค 80 นำเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 3 คัน จาก 460 คันทั่วโลก วางจำหน่ายในราคา 14,180,000 บาท ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งโมเดลเอสยูวียอดนิยมที่มาพร้อมรุ่นพิเศษกับ GLA 200 Night Edition ที่เสริมลุคความสปอร์ตด้วยชุดแต่ง AMG Line และ Night Package รอบคัน และสีตัวถังแบบ MANUFAKTUR alpine grey solid วางจำหน่ายในราคา 2,580,000 บาท

ในช่วงของงาน Motor Expo 2025 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้แนะนำแคมเปญ “THE 333 OFFER”

ที่ต้องการให้ทุกคนจดจำตัวเลข “3” ซึ่งมาจากการกลับตัวอักษร “E” ของโมเดล E-Class หนึ่งในโมเดลที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบัน E-Class มีสัดส่วนทางการตลาดสูงถึง 50% ของกลุ่มรถยนต์ในเซกเมนต์เดียวกัน โดยแคมเปญดังกล่าวครอบคลุมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด 3 รุ่น ได้แก่ E 350 e AMG Dynamic, GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic และ C 350 e AMG Dynamic ซึ่งจะมอบความคุ้มค่าแบบ 3-3-3 ประกอบไปด้วย ค่างวดเริ่มต้นเพียง 33,000 ต่อเดือน* โปรแกรมครอบคลุมการบำรุงรักษา MBSP Easy Care ฟรี 3 ปี* และส่วนลดพิเศษ 3% On-top ของราคาแนะนำรถยนต์ เพื่อใช้สำหรับเงินชำระครั้งแรก** นอกจากนี้ยังมีส่วนลดพิเศษของแต่ละรุ่น โดยมีรายละเอียดดังนี้

•A 200 AMG Dynamic ส่วนลดสูงสุด 330,000 บาท

•C 220 d AMG Line ส่วนลดสูงสุด 250,000 บาท

•C 350 e AMG Dynamic ส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท

•E 350 e Exclusive ส่วนลดสูงสุด 75,000 บาท

•E 220 d AMG Line ส่วนลดสูงสุด 160,000 บาท

•E 350 e AMG Dynamic ส่วนลดสูงสุด 290,000 บาท

•GLA 200 AMG Dynamic ส่วนลดสูงสุด 260,000 บาท

•GLC 220 d 4MATIC Avantgarde ส่วนลดสูงสุด 180,000 บาท

•GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic ส่วนลดสูงสุด 490,000 บาท

•GLC 350 e 4MATIC Coupe AMG Dynamic ส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท

สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในงาน*** จะได้รับกล้อง Mercedes-Benz Drive Recorder 360° มูลค่า 16,500 บาท* และของสมนาคุณสุดพิเศษ Tumbler Limited Edition ที่ออกแบบโดยศิลปินรุ่นใหม่ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ “Jeff Aphisit” “Bomfha” และ “MR.HALFMAN”

สามารถรับข้อเสนอพิเศษเดียวกันกับงาน Motor Expo 2025 ได้ที่ตัวแทนจำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั้ง 31 แห่ง ทั่วประเทศ หรือผ่านช่องทางออนไลน์ที่ www.mercedes-benz.co.th หรือโทร 1250 และติดตามข่าวสารอัพเดทผ่านทาง Facebook: Mercedes-Benz Thailand IG: @MercedesBenzThailand และ LINE: @mercedesbenzth

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด เฉพาะรุ่นรถที่ร่วมรายการ

**ส่วนลด 3% On-top สำหรับลูกค้าเก่าหรือลูกค้าปัจจุบัน บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เข้าเงื่อนไขเท่านั้น • ลูกค้า/ผู้เช่าควรพิจารณาขอสินเชื่อในอัตราเท่าที่จำเป็น และสามารถชำระคืนไหว • อัตราดอกเบี้ยตลอดสัญญาอยู่ระหว่าง 3.58-6.55% ต่อปี

***เฉพาะรุ่นรถที่ร่วมรายการ สำหรับลูกค้าที่จองรถตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม – 10 ธันวาคม 2568 และรับมอบรถภายในวันที่ 29 ธันาวาคม 2568 เท่านั้น

ฟอร์ด เปิดตัวแคมเปญส่งท้ายปี ‘My Color, My Style’

ฟอร์ด เปิดตัวแคมเปญส่งท้ายปี ‘My Color, My Style’ และมอบแคมเปญช่วยผ่อนคนละครึ่งนาน 1 ปี พร้อมอวดโฉม เรนเจอร์ แร็พเตอร์ แชมป์ AXCR ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2025

•ฟอร์ดให้ลูกค้าได้สะท้อนความเป็นตัวเองผ่านการแร็ปฟิล์มสีกันรอยคุณภาพสูง สำหรับรถฟอร์ด   เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ทั้งแบบฟิล์มสีและฟิล์มใสกันรอยแบบด้านและแบบเงา เมื่อจองรถออนไลน์ ผ่าน www.ford.co.th ด้วยแคมเปญ ‘My Color, My Style’ พร้อมระยะการรับประกันนานสูงสุดถึง 7 ปี

•มอบแคมเปญ ‘ช่วยผ่อนคนละครึ่ง’ แบ่งเบาภาระค่าผ่อนนาน 1 ปี พร้อมลุ้นทองคำมูลค่ารวมกว่า 3,500,000 บาท

•ตอกย้ำความ ‘แกร่งตั้งแต่ออกจากโรงงาน’ ของรถฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ด้วยผลงานระดับแชมป์ AXCR ที่พิสูจน์แล้วบนสนามจริง จากรถรุ่นโปรดักชันมาตรฐานจากโรงงาน

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 28 พฤศจิกายน 2568 – ฟอร์ด ประเทศไทย มอบข้อเสนอพิเศษส่งท้ายปี เปิดตัวแคมเปญสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ‘My Color, My Style’ ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกแร็ปฟิล์มสีกันรอยคุณภาพสูงผ่านการจองออนไลน์ที่ www.ford.co.th และมอบแคมเปญ ‘ฟอร์ด ช่วยผ่อนคนละครึ่งนาน 1 ปี’ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกค้า และสอดรับกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ พร้อมลุ้นทองคำแท่งรวมมูลค่ากว่า 3,500,000 บาท สำหรับลูกค้าในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2568 ณ บูธฟอร์ด (A04) อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี และที่ผู้จำหน่ายฟอร์ดทั่วประเทศ นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้นำฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ แชมป์รายการแข่งขันเอเชีย ครอส คันทรี่ แรลลี่ 2025 รุ่น T2A-D หรือรุ่นโปรดักชันมาตรฐานโรงงาน คันจริง มาจัดแสดงภายในงาน

“My Color, My Style เป็นข้อเสนอพิเศษของมอเตอร์ เอ็กซ์โปปีนี้ ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าสะท้อนตัวตนผ่านการแร็ปฟิล์มสีกันรอย เกรดทีพียู1 คุณภาพสูง ที่มีทั้งรูปแบบสีและฟิล์มใสกันรอยแบบด้านและแบบเงา ซึ่งเป็นแร็ปฟิล์มกันรอยคุณภาพสูง เกรดพรีเมียม หรือ พีพีเอฟ2 จาก n-SHIELD โดย นิปปอนเพนต์ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 11 แบบ ด้วยราคาสุดพิเศษ เมื่อซื้อรถฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ พร้อมระยะการรับประกันฟิล์มนานสูงสุดถึง 7 ปี เมื่อจองออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.ford.co.th ซึ่งฟอร์ดเป็นแบรนด์แรกในประเทศไทยที่นำเสนอฟิล์มกันรอยคุณภาพสูง เกรดทีพียู ซึ่งทนต่อการขีดข่วน และคราบสกปรก และช่วยป้องกันไม่ให้สีรถหมองลง นอกจากนี้ เรายังมอบแคมเปญ ‘ฟอร์ด ช่วยผ่อนคนละครึ่งนาน 1 ปี’ พร้อมสิทธิ์ลุ้นรับทองคำ เพื่อให้ลูกค้าชาวไทยเป็นเจ้าของรถฟอร์ดได้ง่ายขึ้น” นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว

พร้อมทั้งกล่าวเสริมว่า “ในปีนี้ยังเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความภาคภูมิใจของทีมฟอร์ด ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ที่คว้าชัยชนะทั้งในรายการเอเชีย ครอส คันทรี่ แรลลี่ รุ่น T2A-D และไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรี่ส์ สนามที่ 8 ซึ่งรถฟอร์ด เรนเจอร์ เครื่องยนต์ วี 6 และฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ที่ลงแข่งเป็นรถสเปกเดียวกับที่ลูกค้าใช้งานจริงตอกย้ำความ ‘แกร่งตั้งแต่ออกจากโรงงาน’ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการส่งมอบทั้งเทคโนโลยีระดับแชมป์และข้อเสนอที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ให้ลูกค้าทุกท่าน”

รถยนต์ฟอร์ดที่นำมาจัดแสดงในงาน

ฟอร์ดขนทัพรถกระบะและรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นยอดนิยมมาแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น

•ฟอร์ด เรนเจอร์ รถกระบะที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านการทำงาน การพักผ่อน และชีวิตครอบครัว ด้วยสมรรถนะอันเหนือชั้น และเทคโนโลยีล้ำสมัย ตอกย้ำความ ‘แกร่งจริงทุกคัน ดุดันทุกสถานการณ์’ นำโดย ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์แทรค รถกระบะเปี่ยมสมรรถนะเพื่อไลฟ์สไตล์และการใช้งานที่ครบครัน มาพร้อมราคาพิเศษ 999,000 บาท ฟอร์ด เรนเจอร์ สตอร์มแทรค เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ สำหรับสายกิจกรรมกลางแจ้ง ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ฟอร์ด เรนเจอร์ สปอร์ต กระบะ 4 ประตู ตอบโจทย์ทุกการใช้งานทั้งสายลุยและการใช้งานในเมือง รับดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง และฟอร์ด เรนเจอร์ XLS กระบะ 4 ประตูยกสูง เกียร์อัตโนมัติ ที่มาพร้อมความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานรอบด้าน กับราคาพิเศษ 799,000

•ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ รถกระบะสมรรถนะสูง อัดแน่นด้วยดีเอ็นเอฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ เจ้าของฉายา ‘เกิดมาแกร่ง’ ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่พิเศษพร้อมลุยทุกเส้นทาง มาพร้อมราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 1,699,000 บาท สำหรับรุ่น 2.0 ลิตร

•ฟอร์ด เอเวอเรสต์ รถยนต์อเนกประสงค์สำหรับครอบครัวและคนรักการผจญภัย ครบครันด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยในทุกการเดินทาง นำทัพโดย ฟอร์ด เอเวอเรสต์ แพลทินัม พร้อมขุมพลัง 3.0 ลิตร ดีเซล วี 6 ที่พัฒนามาเพื่อลูกค้าที่มองหาความเป็นเลิศในการใช้ชีวิต ขณะที่ยังรักการผจญภัย โดดเด่นและแตกต่างด้วยความหรูหราเหนือระดับ ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งและฟอร์ด เอเวอเรสต์ ไทเทเนียม พลัส ตอบโจทย์ลูกค้าที่ใส่ใจทั้งความหรูหราและสมรรถนะ พร้อมลุยได้ทุกการเดินทางอย่างมั่นใจ รับดอกเบี้ยพิเศษ 0% ฟอร์ด เอเวอเรสต์ สปอร์ต ดีไซน์สปอร์ตดุดัน ครบครันด้วยระบบความปลอดภัย รับดอกเบี้ยพิเศษ 0.99%และ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เทรนด์ ตัวเลือกสุดคุ้มค่าสำหรับผู้ต้องการรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง มาพร้อมราคาพิเศษเพียง 1,249,000 บาท

แคมเปญสุดพิเศษ

ฟอร์ดยังมอบข้อเสนอสุดพิเศษที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของลูกค้าทุกรูปแบบ ทั้งในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป และที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของฟอร์ดทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลาจัดงาน ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมบูธฟอร์ดและรับข้อเสนอสุดคุ้มมากมายได้ ดังนี้

•’My Color, My Style’ แคมเปญใหม่ที่ให้ลูกค้าสะท้อนความเป็นตัวเองผ่านการแร็ปฟิล์มสีและฟิล์มใสกันรอยแบบด้านและแบบเงา สำหรับทั้งฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ มากถึง 11 ตัวเลือก ได้แก่ เคลียร์ แมตต์ (Clear Matte), เคลียร์ กลอส (Clear Gloss), แฟนทอม เกรย์ (Phantom Grey), ซาติน โรส โกลด์ (Satin Rose Gold), ทาลค์ เกรย์ (Talc Grey), มิดไนท์ เพอร์เพิล (Midnight Purple), เอเมอรัล กรีน (Emerald Green), โอลีฟ กรีน (Olive Green), บลู แซฟไฟร์ (Blue Sapphire), แมตต์ เมทัลลิก ซิลเวอร์ (Matte Matallic Silver) และคลาวด์ อควา (Cloud Aqua) เมื่อจองออนไลน์ ผ่าน www.ford.co.th เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบความแตกต่างและกล้าที่จะแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง พร้อมราคาสุดพิเศษ ฟิล์มแบบใสด้าน และแบบใสเงา ราคา 25,000 บาท สำหรับรถฟอร์ด เรนเจอร์ และ 33,000 บาท สำหรับรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ ฟิล์มแบบสี ราคา 35,000 บาท สำหรับรถฟอร์ด เรนเจอร์ และ 40,000 บาท สำหรับรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ พิเศษ! จองรถยนต์ ฟอร์ดทุกรุ่น (ยกเว้นฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น Standard Cab XL และ SWB) พร้อมแร็ปฟิล์ม ผ่านช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2568 และออกรถภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2569 รับฟรี ห้องพักโรงแรม INTERCONTINENTAL PATTAYA RESORT 1 คืน มูลค่า 7,500 บาท สำหรับ 100 คันแรกเท่านั้น

•’ฟอร์ด ช่วยผ่อนคนละครึ่งนาน 1 ปี’ โปรโมชันสุดพิเศษที่ส่งท้ายปี เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและสอดรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ‘คนละครึ่ง’ ของภาครัฐ สำหรับลูกค้าที่จองซื้อและรับมอบรถยนต์ฟอร์ดรุ่นที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2568 จะได้รับการสนับสนุนช่วยผ่อนค่ารถครึ่งหนึ่งของยอดผ่อนชำระต่อเดือนเป็นระยะเวลานาน 1 ปี พร้อมลุ้นรับทองคำแท่งหนัก 10 บาท จำนวน 1 รางวัล และทองคำแท่งหนัก 1 สลึง จำนวน 200 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 3,500,000 บาท

รถฟอร์ดทุกรุ่นมาพร้อมโปรแกรม Ford Care การรับประกันคุณภาพรถใหม่จากโรงงานนาน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และฟรีค่าแรงเช็กระยะ พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี

ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและเงื่อนไขข้อเสนอพิเศษของแคมเปญส่งเสริมการขายจากฟอร์ดได้ที่เว็บไซต์ www.ford.co.th  และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Center โทร 1383

หมายเหตุ:

1 ทีพียู คือ ฟิล์มกันรอยคุณภาพสูง เกรดเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทน (Thermoplastic Polyurethane)

2 พีพีเอฟหรือ Painted Protection Film คือ การแร็ปฟิล์มสีและฟิล์มใสกันรอย n-SHIELD ด้วยวัสดุคุณภาพสูง จากบริษัทเอ็นพี ออโต รีฟินิช จำกัดในเครือนิปปอนเพนต์ ป้องกันมูลนก ฝนกรด โคลน และน้ำสกปรก ทั้งยังสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้สีรถหมองลง (อ้างอิงจาก https://nippon-nshield.com/th/)

มาสด้า พร้อมก้าวสู่ยุคใหม่กับรถไฟฟ้า เปิดจอง MAZDA6e รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก

มาสด้า พร้อมก้าวสู่ยุคใหม่กับรถไฟฟ้า THE ALL-ELECTRIC MAZDA6e เปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ์ Mazda6e Premiere Package

คอนเซ็ปต์ Electrified Perfection in Oneness จุดประกายความสมบูรณ์แบบให้เป็นหนึ่งเดียว iere

NeoFastback กำหนดนิยามใหม่ของยนตรกรรม 5 ประตู

สไตล์ Premium Black ห้องโดยสารตกแต่งภายในด้วยวัสดุหนังสีดำ มอบภาพลักษณ์สปอร์ตทันสมัย

สไตล์ Exclusive Nappa Suede ยกระดับภายในห้องโดยสารด้วยวัสดุหนัง Nappa/Suede สีแทน

แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ชนิด LFP ขนาด 77.9 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ขับขี่ได้ระยะทางไกลกว่า 654 กม.**

รองรับการชาร์จด่วน DC Fast Charging ชาร์จไฟจาก 30%-80% เร็วสูงสุดใน 15 นาที***

ออกแบบตามแนวคิด Kodo-Soul of Motion สง่างามทุกมุมมองทั้งภายนอกและภายใน

โดดเด่นด้วย Flying Signature กระจังหน้าแบบ Electric พร้อมฟังก์ชั่นแสดงสถานะการชาร์จไฟ และ สปอยเลอร์หลังปรับอัตโนมัติ ตามความเร็วรถ

ปรัชญาการขับขี่ “จินบะ-อิตไต” ให้สมรรถนะการขับขี่เป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ

เปิดลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ ด้วยแพ็คเกจระดับพรีเมี่ยม Mazda6e Premiere Package* ซึ่งรวมถึงข้อเสนอพิเศษ และ โปรแกรม Electric Mazda Care มอบความคุ้มครองและดูแลรถนาน 10 ปี

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 28 พฤศจิกายน 2568 – มาสด้าประกาศเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตในประเทศไทยอย่างยั่งยืน ตอกย้ำความพร้อมปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์และก้าวสู่ยุคใหม่กับอนาคตที่สดใส นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ THE ALL-ELECTRIC MAZDA6e พร้อมแนวคิด Electrified Perfection in Oneness” จุดประกายความสมบูรณ์แบบให้เป็นหนึ่งเดียว มั่นใจตอบโจทย์ทุกความต้องการและไขข้อกังวลของลูกค้าให้หมดสิ้นไป นี่คือผลิตภัณฑ์ที่มาสด้าพัฒนาด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ เพื่อให้ได้รถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุดในตลาด อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะ ดีไซน์สง่างามดุจงานศิลปะที่มาสด้าบรรจงสรรสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน พัฒนาร่วมกันโดยทีมวิศวกรของมาสด้าประเทศญี่ปุ่นและยุโรป จนได้มาซึ่งสมรรถนะการขับขี่และเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ เอกลักษณ์อันโดดเด่นของรถยนต์มาสด้า

มร.โทรุ นากาจิม่า Managing Executive Officer มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ในการบริหารงานเกี่ยวกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ได้เดินทางมาร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดบูธมาสด้าในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2025 พร้อมแสดงความมั่นใจต่อการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าครั้งนี้ว่า ประเทศไทย คือตลาดหลักที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการแนะนำรถไฟฟ้า หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในประเทศจีนและยุโรป ทั้งสองตลาดได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง ซึ่งมาสด้าจะเริ่มแนะนำรถยนต์ไฟฟ้าลงสู่ตลาดในประเทศไทย และมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะประสบความสำเร็จอย่างงดงามด้วยเช่นกัน

The All-Electric Mazda6e ได้กำหนดนิยามใหม่ของยนตรกรรม 5 ประตู แบบ NeoFastback สะท้อนแนวคิด New Era of Design and Utility โดยถ่ายทอดเส้นสายอันทรงพลังสไตล์ Fastback ที่เปี่ยมด้วยความสวยงามและความลื่นไหลในการออกแบบตามแนวคิด Kodo-Soul of Motion ที่สำคัญยังคงเอกลักษณ์สมรรถนะในการขับขี่ของรถยนต์มาสด้าไว้ในทุกองค์ประกอบอย่างสมบูรณ์แบบ การแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่รุ่นแรกนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของมาสด้าในการเดินหน้าสู่ยุคการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศไทย เพื่อนำเสนอทางเลือกด้านพลังงานที่หลากหลายให้กับลูกค้า ควบคู่กับการรักษาคุณค่าและจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์มาสด้าไว้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ปรัชญาการขับขี่แบบ จินบะ-อิตไต มอบความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับรถ ให้ความสนุกสนานในการขับขี่ (Joy of Driving) และส่งมอบประสบการณ์ความประทับใจให้กับลูกค้าทั่วโลก

“ด้วยความมุ่งมั่นและคำมั่นสัญญาของมาสด้าที่จะส่งมอบ “ความสุขในการขับขี่” โดยยึดหลัก “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คน และนำมาซึ่ง “ความสุขในการใช้ชีวิต” ให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์ มาสด้าจึงเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ Multi-Solution เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทั่วโลก ด้วยทางเลือกด้านพลังงานที่หลากหลาย ทั้ง HEV, PHEV, BEV รวมถึงรถยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการลดการปล่อยก๊าซ CO₂ เพื่อสนับสนุนการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน” มร. โทรุ นากาจิม่า กล่าวเพิ่มเติม

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “The All-Electric Mazda6e เป็นมากกว่าเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า เพราะรถไฟฟ้าคันนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยดีเอ็นเอของมาสด้าในทุกมิติ คงไว้ด้วยเอกลักษณ์ด้านสมรรถนะความสนุกสนานในการขับขี่สไตล์มาสด้า พัฒนาโดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง มอบความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างผู้ขับขี่กับรถ ตามแนวคิด จินบะ-อิตไต มีการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ให้ความสมดุลและมั่นคงในการขับขี่ ผสานความงดงามตามศิลปะแบบญี่ปุ่น Kodo-Soul of Motion ความสง่างามของการออกแบบรถไฟฟ้ายุคใหม่ โดดเด่นด้วย Flying Signature กระจังหน้าแบบ Electric เอกลักษณ์เฉพาะมาสด้า พร้อมฟังก์ชั่นแสดงสถานะการชาร์จไฟ สปอยเลอร์หลังปรับอัตโนมัติตามความเร็วรถ รถรุ่นนี้ยังมอบสมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มนวล ตอบสนองฉับไว ราบรื่น และเป็นธรรมชาติ ด้วยระบบช่วงล่างอันลือชื่อ แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 77.9 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ขับขี่ได้ระยะทางไกลกว่า 654 กม.** พร้อม DC Fast Charging ชาร์จไฟจาก 30%-80% เร็วสูงสุดใน 15 นาที*** ตอบโจทย์ทุกการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือการเดินทางท่องเที่ยวในระยะทางไกล”

อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว และพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ทุกการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นพลังขับเคลื่อนครั้งสำคัญผลักดันให้ผู้ผลิตต่างเร่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งมาสด้ากำลังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน โดยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความหลากหลายของรูปแบบพลังงาน สอดรับต่อความต้องการที่แตกต่างในแต่ละภูมิภาค แต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ดีเอ็นเอแบรนด์มาสด้าในทุกยนตรกรรม โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ รถยนต์มาสด้าทุกคัน ไม่ว่าจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานรูปแบบใดก็ตามจะยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนาน และสะท้อนจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ไว้อย่างครบถัวน

“ในปัจจุบัน ลูกค้าชาวไทยให้การยอมรับและตื่นตัวอย่างมากเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม มาสด้าให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียด จึงได้เตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสบายใจในการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของมาสด้า อาทิ โชว์รูมและศูนย์บริการที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การบริการหลังการขายที่สะดวกรวดเร็ว ศูนย์กระจายอะไหล่และการสำรองอะไหล่ครบครัน สมรรถนะการขับขี่และระบบช่วงล่าง รูปลักษณ์การออกแบบอันสง่างาม และระยะทางในการขับขี่  ทั้งหมดนี้ เพื่อให้มั่นใจว่า มาสด้าจะสามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุด และพร้อมด้วยสมรรถนะในการขับขี่ (Driving Dynamic) ให้กับลูกค้าชาวไทยและทั่วโลก และนี่คือผลิตภัณฑ์ที่มาสด้าพัฒนาด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ” นายธีร์ กล่าวเสริม

สำหรับในประเทศไทย วันนี้มาสด้าได้เปิดตัวรถไฟฟ้า The All-Electric Mazda6e พร้อมเปิดให้ผู้ที่สนใจ ลงทะเบียนจองสิทธิ์ Mazda6e Premiere Package* มูลค่าสูงสุด 70,000 บาท (จำนวนจำกัด) ก่อนใคร โดยจะได้รับส่วนลดพิเศษ 20,000 บาท แพ็กเกจบำรุงรักษารถ Electric Mazda Care นาน 10 ปี และร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ Mazda6e Premiere Experience ทั้งการทดลองขับ “Premiere Test Drive”, การเข้าร่วมงาน “Premiere Celebration Event” และสิทธิ์รับรถล็อตแรก “Premiere Delivery” เพื่อแทนคำขอบคุณที่ให้ความสนใจและยินดีเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวมาสด้า

ลูกค้าที่สนใจสามารถจองรับ Mazda6e Premiere Package* ได้แล้ววันนี้ที่งาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2025 ณ อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 หรือจองผ่านช่องทางออนไลน์ เรียนเชิญสัมผัสประสบการณ์การขายรูปแบบใหม่ผ่าน Mazda Virtual Showroom บน Mazda Official Website ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกพร้อมกับ The All-Electric Mazda6 ลูกค้าสามารถเลือกจำลองภาพเพื่อดูรถแบบ 360 องศา ทั้งภายนอกและภายในได้ตามต้องการ

ภายในงานฯ นอกจากการแนะนำรถไฟฟ้ารุ่นแรกแล้ว มาสด้ายังได้นำรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นมาจัดแสดงให้ลูกค้าได้สัมผัสและเป็นเจ้าของ พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษภายใต้แคมเปญ MAZDA YEAR-END Party รับส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* นานสูงสุด 60 เดือน ฟรีประกันภัยชั้น 1* ฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ Mazda Ultimate Service (MUS) 7 ปี* ฟรีของพรีเมี่ยมสุดพิเศษจากมาสด้า และพิเศษสุดสำหรับลูกค้า Mazda Family และครอบครัว มาสด้ายังมอบบัตรเติมน้ำมันมูลค่าอีก 50,000 บาท*

หมายเหตุ:

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.mazda.co.th

**อ้างอิงจากผลการทดสอบมาตรฐาน NEDC

***อ้างอิงจากการใช้เครื่องชาร์จเร็ว DC 200 kW ขึ้นไป ระยะเวลาการชาร์จจริงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ณ ขณะชาร์จ เช่น สภาพแบตเตอรี่ อุณหภูมิของแบตเตอรี่และอุณหภูมิแวดล้อม

GWM POER SAHAR DIESEL รุกเขย่าตลาดปิกอัพเมืองไทย

GWM เขย่าตลาดด้วย “NEW GWM POER SAHAR DIESEL” ราคาพิเศษเริ่ม 7.99 แสนบาทและ “NEW GWM TANK 300 DIESEL Desert Storm Limited Edition” ที่ 1.349 ล้านบาท เพียง 300 คัน

กรุงเทพฯ 29 พฤศจิกายน 2568 – GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ภายใต้แนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” หลังจาก GWM (Thailand) เรียกเสียงฮือฮาในงาน Motor Expo 2025 กับการเผยโฉมและเปิดราคา WEY G9 MPV หรูเพียงหนึ่งเดียวของ GWM ล่าสุด ได้สร้างกระแสต่อเนื่องด้วยการปฏิวัติวงการรถกระบะในประเทศไทย เปิดราคาอย่างเป็นทางการของ NEW GWM POER SAHAR DIESEL รถกระบะสมรรถนะสูงขนาดใหญ่ระดับพรีเมียม เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด มาพร้อม 3 รุ่นย่อย ในราคาพิเศษสำหรับช่วงเปิดตัวระหว่าง 7.99 – 9.99 แสนบาท เพียง 300 คันแรกที่ทำการส่งมอบเท่านั้น โดยการมาถึงของรถกระบะที่เปรียบเสมือนเพื่อนคู่ใจทุกการเดินทางอย่าง NEW GWM POER SAHAR DIESEL ได้เข้ามาเติมเต็มรถยนต์ตระกูล GWM DIESEL Family เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายและครอบคลุมให้แก่ผู้ใช้งานชาวไทย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเซอร์ไพรส์กับการเปิดตัวรถออฟโรดระดับไอคอนอย่าง NEW GWM TANK 300 DIESEL Desert Storm Limited Edition ที่ให้สายลุยได้รีบสะสมและเป็นเจ้าของในจำนวนจำกัดเพียง 300 คันเท่านั้น ในราคาเพียง 1.349 ล้านบาท

NEW GWM POER SAHAR DIESEL ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ ผสานระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) ส่งกำลังได้ต่อเนื่องและตอบสนองฉับไว รองรับทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางไกลอย่างมั่นใจ ตัวรถมีมิติยาว 5,445 มิลลิเมตร กว้าง 1,991 มิลลิเมตร สูง 1,924 มิลลิเมตร พร้อมระยะฐานล้อ 3,350 มิลลิเมตร ให้สมดุลทั้งความกว้างขวางและเสถียรภาพในการขับขี่ เสริมศักยภาพการลุยด้วยระยะความสูงใต้ท้องรถ 224 มิลลิเมตร และความสามารถลุยน้ำลึกสูงสุด 800 มิลลิเมตร ด้านดีไซน์ภายนอกเน้นความสปอร์ตดุดันด้วยกระจังหน้าสีดำ ราวหลังคาและบันไดข้างสีดำ กรอบหน้าต่างโทนดำ ไฟหน้า–ไฟท้ายรมดำ จับคู่กับล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R18 ที่ช่วยขับให้บุคลิกภายนอกดูลงตัวและสะดุดตายิ่งขึ้น ดีไซน์ภายในเรียบหรูพรีเมียมด้วยเบาะหนังสังเคราะห์คุณภาพดี พร้อมเบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับเอนได้ถึง 33 องศา และเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่และความปลอดภัยสูงถึง 26 รายการ คุ้มค่าด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ในรุ่น 2WD) และ 13.5 กิโลเมตรต่อลิตร (ในรุ่น 4WD) ตามมาตรฐาน NEDC นอกจากนี้ ยังมาพร้อมดิสก์เบรค 4 ล้อ และการปรับจูนช่วงล่างให้เหมาะกับถนนเมืองไทยและพฤติกรรมการขับขี่ของคนไทยอีกด้วย นอกจากนี้ NEW GWM POER SAHAR DIESEL ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เสมือน “เพื่อนคู่ใจ” ที่พร้อมยกระดับไลฟ์สไตล์ในทุกมิติ ด้วยโครงสร้างและฟังก์ชันที่รองรับการปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ ใช้งานได้ทั้งในวันทำงาน ทริปท่องเที่ยวระยะไกล ไปจนถึงทริปผจญภัยสุดท้าทาย ผสานความพรีเมียมเข้ากับความอเนกประสงค์ไว้ในคันเดียว

NEW GWM POER SAHAR DIESEL มาพร้อมสีภายนอก 3 สี ได้แก่ สีขาว สีดำ และสีเทา ใน 3 รุ่นย่อย โดยมีราคาพิเศษช่วงเปิดตัว กับส่วนลด 50,000 บาท สำหรับ 300 คันแรก ดังนี้

•NEW GWM POER SAHAR Diesel 2WD รุ่น PRO ราคา 799,000 บาท (จากราคา 849,000 บาท)

•NEW GWM POER SAHAR Diesel 2WD รุ่น ULTRA ราคา 899,000 บาท (จากราคา 949,000 บาท)

•NEW GWM POER SAHAR Diesel 4WD รุ่น ULTRA ราคา 999,000 บาท (จากราคา 1,049,000 บาท)

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากกับ NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่เปิดตัวในไทยช่วงปลายเดือนมีนาคม และปัจจุบันมียอดส่งมอบสะสมทะลุ 6,000 คันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการขอบคุณแฟนๆ ชาวไทยกับการตอบรับที่ดีเยี่ยม ล่าสุด  GWM จัดเซอร์ไพรส์พิเศษในงาน Motor Expo 2025 ด้วยการเปิดตัว NEW GWM TANK 300 DIESEL Desert Storm Limited Edition ที่มาพร้อมชุดตกแต่งพิเศษรอบคัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่มองหารถออฟโรดที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร โดยรุ่นพิเศษนี้มาพร้อมสีภายนอก Sand Beige สุดโดดเด่น ผสานกับกระจังหน้าโลโก้ TANK ขนาดใหญ่สีเดียวกับตัวรถ ชุดแต่งฝากระโปรงหน้า คิ้วกันกระแทกประตูด้านข้าง ฝาครอบล้ออะไหล่และฝาครอบไฟท้ายดีไซน์เฉพาะ รวมถึงชุดสเกิร์ตกันชนหน้า–หลังที่ช่วยเพิ่มบุคลิกดุดันและสะท้อน DNA ออฟโรดของ NEW GWM TANK 300 DIESEL ได้อย่างชัดเจน นักสะสมสายออฟโรดต้องไม่พลาดกับรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 300 คันเท่านั้น โดยมีราคาจำหน่ายที่ 1,349,000 บาท

สัมผัส NEW GWM POER SAHAR DIESEL รถกระบะสมรรถนะสูงขนาดใหญ่ระดับพรีเมียม และ NEW GWM TANK 300 DIESEL Desert Storm Limited Edition ได้ ณ บูธ GWM A05 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ถึง 10 ธันวาคม 2568 เวลา 12.00 – 22.00 น. (วันธรรมดา) และ 11.00 – 22.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GWM application และ https://www.gwm.co.th/ หรือ GWM Contact Center 02-668-8888

NEX เปิดตัวรถตู้ไฟฟ้าต้นแบบ NEX VANTASTIC

NEX ชูนวัตกรรม 6-in-1 เปิดตัวรถตู้ไฟฟ้าต้นแบบ ‘NEX VANTASTIC’ ระยะทาง 333 กม. ราคาเริ่ม 1,059,000 บาท พร้อมโชว์ครั้งแรก Motor Expo 2025

NEX รุกสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของไทย เปิดตัว “NEX VANTASTIC” CARGO VAN รถตู้ไฟฟ้า 100% รุ่นต้นแบบ ที่มาพร้อมระยะวิ่งสูงสุดถึง 333 กิโลเมตรต่อการชาร์จ และระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะแบบ 6-in-1 เตรียมอวดโฉมครั้งแรกในงาน Motor Expo 2025 พร้อมเปิดให้จองสิทธิ์ และเตรียมส่งมอบรถได้ภายในช่วงต้นปีหน้า ทั้งยังจัดแสดงไลน์อัพรถไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ครบทุกเซ็กเมนต์ พร้อมข้อเสนอพิเศษสำหรับรถทุกรุ่นภายในงานอีกด้วย

นายธนพัชร์ สุขสุธรรมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX กล่าวว่า “สำหรับการเข้าร่วมงาน Motor Expo 2025 ในปีนี้ NEX มุ่งนำเสนอศักยภาพด้านความเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของไทย โดยเรามีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมตลาดในประเทศอย่างครบวงจร ทั้งรถบัส รถหัวลากแทรกเตอร์ และรถสำหรับงานโลจิสติกส์ประเภทต่างๆ

ปีนี้เราเปิดตัว “NEX VANTASTIC” CARGO VAN รถตู้ไฟฟ้า 100% รุ่นต้นแบบ ขนาด 8 คิว สามารถวิ่งได้ประมาณ 333 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง มาพร้อมระบบ 6-in-1 ที่รวมเทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่มีความปลอดภัยและระบบควบคุมเสถียรภาพระดับเดียวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รุ่นที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ยังคงเป็น พวงมาลัยซ้าย และยังไม่ใช่รุ่นที่วางจำหน่ายจริง โดยบริษัทมีแผนปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดไทยมากที่สุด อย่างไรก็ตาม รถรุ่นต้นแบบยังคง โครงสร้างและมิติตัวถังตามแบบฉบับเดิม เพื่อสะท้อนศักยภาพของผลิตภัณฑ์ได้อย่างครบถ้วน พร้อมเปิดราคาอย่างเป็นทางการที่ 1,059,000 บาท

“NEX VANTASTIC” CARGO VAN เปิดรับจองสิทธิ์ภายในงาน Motor Expo 2025 เพียงวางเงินจอง 9,000 บาท รับส่วนลดทันที 110,000 บาท เหลือเพียง 949,000 บาท พร้อมรับสิทธิพิเศษ E-Voucher ชาร์จไฟมูลค่า 10,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1 ฟรี 1 ปี และสามารถส่งมอบได้ตั้งแต่ต้นปีหน้า

การเข้าร่วมงาน Motor Expo 2025 ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งของ NEX ภายหลังการปรับโครงสร้างองค์กรและยกระดับคุณภาพการให้บริการใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทของเราในฐานะผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เราได้ขยายเครือข่ายการให้บริการหลังการขาย และเพิ่มประสิทธิภาพการซ่อมบำรุงให้รวดเร็วยิ่งขึ้น หากรถของลูกค้าต้องใช้เวลาซ่อมเกิน 3 วัน เรามีบริการจัดหารถทดแทนเพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ”

ไฮไลท์ข้อมูล “VANTASTIC” CARGO VAN ขนาด 8.0 คิว

ตัวรถ “Vantastic” CARGO VAN ถูกออกแบบให้สมดุลทั้งความกว้าง ความสูง และระยะฐานล้อ ได้แก่ ความยาว 5,195 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,810 มิลลิเมตร ความสูง 1,960 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,400 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% แบตเตอรี่ความจุ 66kWh ให้กำลังสูงสุด 125 กิโลวัตต์ และแรงบิด 245 นิวตันเมตร รองรับการชาร์จเร็วระดับ 2C โดยมีอัตราการชาร์จ (DC) 20-80% ภายใน 18 นาที ความจุแบตเตอรี่ขนาด 66 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 333 กิโลเมตร ตัวถังรถเป็นประตูบานเลื่อนด้านข้างเดี่ยว ไฟหน้า LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ มาพร้อมไฟ Daytime Running Light ไฟท้ายแบบฮาโลเจน ระบบช่วงล่างอิสระแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ดิสก์เบรกหน้าและหลัง ล้อขนาด 16 นิ้ว ยางขนาด 195/75R16

เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารเป็นแบบผ้า ที่นั่งคนขับปรับได้ 4 ทิศทาง ที่นั่งผู้โดยสารปรับได้ 2 ทิศทาง มีพอร์ทชาร์ต USB Type A ขนาด 10w 1 จุด และ Type C ขนาด 30w 1 จุด ในส่วนของระบบความปลอดภัยยังมาพร้อมเรดาร์ถอยหลังและกล้องมองหลัง ถุงลมนิรภัยที่นั่งคนขับและที่นั่งผู้โดยสาร สัญญาณแจ้งเตือนการเปิดประตู (ทุกประตู)

นอกจากนี้ภายในบูธยังมีรถที่เป็นไฮไลท์ ได้แก่

1. NEX EV Tractor 423 kWh

เป็นรถหัวลากพลังงานไฟฟ้า 100% ตัวรถถูกออกแบบมาให้มีความแข็งแรงทนทานสูงเพื่องานขนส่งขนาดใหญ่และบรรทุกหนักโดยเฉพาะ โครงสร้างตัวถังเหล็กกล้าความแข็งแรงสูง (High Tensile Steel) น้ำหนักรถเปล่า (Curb weight) 11,010 กิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย/อุปกรณ์เสริม) น้ำหนักลากจูงสูงสุด (GCWR) 50,500 กิโลกรัม มิติโดยรวม (ยาว x กว้าง x สูง): ประมาณ 7,400 x 2,550 x 3,600 มม.

แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน (Lithium-ion) ความจุแบตเตอรี่ 423 kWh กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 410 กิโลวัตต์ ให้กำลังสูงสุด 550 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 2,800 นิวตันเมตร พร้อมระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 6 สปีด มีหัวชาร์จแบบ DC สามารถชาร์จได้พร้อมกัน 2 หัว ระยะทางวิ่งต่อการชาร์จประมาณ 300 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ขับรถ) ระบบเบรกลมแบบวงจรคู่ (Dual Circuit Air Braking System) ใช้ระบบเบรกที่เชื่อถือได้และเป็นมาตรฐานสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ เพื่อประสิทธิภาพในการหยุดรถที่ดี ระบบเบรกเสริม (Regenerative Braking) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ามีระบบช่วยเบรกด้วยการเปลี่ยนพลังงานจลน์กลับไปเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บเข้าแบตเตอรี่ ซึ่งช่วยชะลอความเร็วรถได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังช่วยลดการสึกหรอของเบรกหลักด้วย ระบบเบรกมือ (Parking Brake) เป็นแบบดรัมเบรกเพื่อการจอดรถที่มั่นคง ล้อขนาด 22.5 นิ้ว โดยเป็นขอบล้อที่ออกแบบมาให้ใช้กับยางขนาด 12R22.5 ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานสำหรับรถบรรทุกหนักในประเทศไทย

เทคโนโลยีเสริมความปลอดภัยและการจัดการ มาพร้อมระบบป้องกันล้อล็อก (ABS – Anti-lock Braking System) เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้ในขณะเบรกอย่างกะทันหัน และ ระบบ IVMS Tracking เป็นระบบติดตามและเฝ้าระวังตำแหน่งของรถแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ประกอบการบริหารจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความปลอดภัยในการติดตามทรัพย์สิน มีการใช้ระบบควบคุมทางไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อความแม่นยำและเสถียรภาพในการขับขี่

1. โปรโมชั่น Premium ราคา 3,890,000 บาท รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 500,000 กิโลเมตร

2. โปรโมชั่น Platinum ราคา 4,290,000 บาท รับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี หรือ 1,000,000 กิโลเมตร

โดยมีการเช่าสุดพิเศษ 2 รูปแบบ

1. เช่าซื้อ ผู้เช่าจ่ายค่างวดรถเพียงอย่างเดียว

2. เช่าใช้ ผู้เช่าจ่ายค่างวดรถ หมดกังวลเรื่องค่าบำรุงรักษา

2.กระบะไฟฟ้า NEX BEV PICKUP Single Cab ราคาพิเศษ 989,000 บาท (จำนวนจำกัด)

รถกระบะ 2 ประตู ปิกอัพตอนเดียวพลังงานไฟฟ้า 100% เหมาะสำหรับงานบรรทุกและขนส่งเชิงพาณิชย์  มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 130 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ความจุ 65 kWh ชาร์จเต็มระยะทางวิ่งได้สูงสุด 300 กิโลเมตร ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 245/70 R17

ภายในถูกออกแบบให้เน้นความเรียบง่ายแต่มีฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ มาพร้อมหน้าจอสัมผัส LCD ขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ AUX, USB, และ Bluetooth พร้อมลำโพง 4 ตำแหน่ง กุญแจรีโมทแบบ Keyless Entry เพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกรถ มาพร้อมปุ่ม Push Start พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าไฮดรอลิก (EHPS) กระจกมองข้างสามารถปรับและพับเก็บด้วยไฟฟ้า และระบบเซ็นทรัลล็อกเพื่อความปลอดภัยและการใช้งานที่สะดวก

นอกจากนี้ NEX BEV PICKUP Single Cab ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยสำหรับการใช้งานรถกระบะเชิงพาณิชย์ อาทิ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS – Anti-lock Braking System) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้ในขณะเบรกกะทันหัน ถุงลมนิรภัย (SRS Airbags) คู่หน้า สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า ระบบเซ็นทรัลล็อก (Central Locking System) เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการล็อกประตูรถทั้งหมดพร้อมกัน มาพร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด และมีสัญญาณเตือนเมื่อไม่มีการคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ระบบความปลอดภัยเหล่านี้เน้นการใช้งานที่เชื่อถือได้และตอบโจทย์พื้นฐานของรถกระบะที่เน้นงานบรรทุกเป็นหลัก

“อยากเชิญชวนผู้ประกอบการที่ใช้รถเชิงพาณิชย์เข้ามาเยี่ยมชมบูธของเรา NEX มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและสามารถตอบโจทย์ธุรกิจโลจิสติกส์ได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะ “VANTASTIC” CARGO VAN ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ที่ตลาดไทยยังขาดอยู่ และเชื่อว่าจะช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายธนพัชร์ กล่าวปิดท้าย

พบกับ “VANTASTIC” CARGO VAN รถตู้ไฟฟ้า 100% รุ่นต้นแบบ และรุ่นอื่น ๆ พร้อมจองสิทธิ์และรับข้อเสนอพิเศษมากมาย ได้ที่ บูท เน็กซ์ พอยท์ (B07) ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 42 หรือ Thailand International Motor Expo 2025 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

เกี่ยวกับ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน)

Nex Point ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และระบบขนส่งอัจฉริยะครบวงจรของประเทศไทย ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตรถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า การให้บริการหลังการขาย การชาร์จพลังงาน รวมถึงระบบบริหารจัดการยานยนต์ (Fleet Management System) Nex Point ตระหนักถึงความสำคัญในการรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการพัฒนายานยนต์เชิงพาณิชย์พลังงานไฟฟ้า จัดจำหน่ายรถบัสไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า รถโค้ชไฟฟ้า และรถหัวลากไฟฟ้า เพื่อยกระดับมาตรฐานการเดินทางและการขนส่งของประเทศอย่างยั่งยืน

Leapmotor เปิดตัว C10 รุ่นพิเศษ ในงาน Motor Expo 2025

Leapmotor Thailand เปิดตัวรุ่นพิเศษ C10 Limited Edition Kinetix Model ในราคา 928,000 บาท เพียง 100 คันเท่านั้น มาพร้อมแคมเปญสุดพิเศษในช่วงงาน Motor Expo 2025 ให้ลูกค้าเก่าและใหม่ที่ซื้อรถกับ “พระนครยนตรการ”

•สัมผัสสมรรถนะการขับขี่ที่ปรับจูนโดยวิศวะกรจาก Stellantis และเทคโนโลยี Cell-To-Chassis 2.0

•Leapmotor B10 ได้รางวัลมาตรฐานความปลอดภัย ระดับ 5 ดาว จาก EURO NCAP

•ข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าเก่าและใหม่ที่ซื้อรถกับพระนครยนตรการ

กรุงเทพฯ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 – บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Leapmotor อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมเปิดตัว Leapmotor C10 รุ่นพิเศษ Limited Edition Kinetix Model ในราคา 928,000 บาท มีจำหน่ายเพียงแค่ 100 คันเท่านั้น มาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าเก่าและใหม่ที่ซื้อรถกับ “พระนครยนตรการ” เพียงจองรถในงาน Motor Expo 2025 และออกรถภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2568 นี้เท่านั้น

นายธวัชชัย จึงสงวนพรสุข กรรมการบริหาร บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) กล่าวว่า “สำหรับบูธ Leapmotor ในงาน Motor Expo 2025 ปีนี้ เราได้นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าครบทุกไลน์อัป ทั้งรุ่นที่ได้เปิดตัวไปแล้ว อาทิ C10 Design, B10 รุ่น Style และ Design รวมถึงรุ่นที่อยู่ระหว่างการพิจารณานำเข้ามาทำตลาดในเร็วๆ นี้อย่าง C10 REEV ที่สามารถขับขี่ได้ไกลถึง 1,150 กิโลเมตร ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก Stellantis ในการนำเข้ามาเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสคันจริงภายในงานนี้ พระนครยนตรการ ยังคงยืนหยัดในการให้บริการหลังการขายอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยคลังอะไหล่ที่พร้อมจัดส่งภายใน 1–2 วันทำการ และโชว์รูมพร้อมให้บริการทั่วประเทศกว่า 15 แห่ง

นอกจากนี้ เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนาและอบรมช่างเทคนิคอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าทุกท่านจะได้รับบริการที่มีคุณภาพสูงสุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ พระนครยนตรการ ได้จัดเตรียมแคมเปญพิเศษมากมายสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ Leapmotor ทุกไลน์อัป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกค้าเก่าที่เคยออกรถยนต์จากทุกแบรนด์ภายใต้กลุ่มพระนครยนตรการ จะได้รับสิทธิพิเศษแคมเปญ โปรแกรมบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน มูลค่า 20,000 บาท เพิ่มเติมเมื่อทำการจองรถยนต์ทุกรุ่นภายในงาน Motor Expo 2025 และออกรับรถภายในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งสิทธิประโยชน์นี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่ต้องการดูแลลูกค้าในประเทศไทยอย่างยั่งยืน สำหรับปีหน้า พระนครยนตรการยังมีแผนเปิดตัวรถรุ่นใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมทุกไลน์อัปอย่างครบถ้วน พร้อมเดินหน้าสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าทุกท่านต่อไป”

สำหรับบูธ Leapmotor (B04) ในงาน Motor Expo 2025 ครั้งนี้ เราได้จัดพื้นที่การนำเสนอออกเป็น 3 โซนหลัก เพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสยนตรกรรมของ Leapmotor อย่างครบถ้วน เริ่มจากโซน “Lifestyle” ที่นำเสนอ Leapmotor B10 น้องใหม่ล่าสุดซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเรานำมาให้ชมกันถึง 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Style และ รุ่น Design ให้ทุกท่านได้สัมผัสตัวจริงอย่างใกล้ชิด ถัดมาคือโซน “Creative” ที่จัดแสดงรุ่น C10Design และ B10 Design ซึ่งได้รับการปรับโฉมด้วยชุดแต่งที่ได้ร่วมกันออกแบบและพัฒนาร่วมกับ บริษัท ฟอร์เต้ (ประเทศไทย) จำกัด (FMT) โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Kinetix (คีเนติก) ช่วยเพิ่มเอกลักษณ์และความโดดเด่นให้กับตัวรถได้อย่างลงตัว ปิดท้ายด้วยโซน “Highlight” ที่นำเสนอ C10 REEV หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงาน ด้วยระยะทางขับขี่ได้ไกลถึง 1,150 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ที่ทุกท่านสามารถเข้ามาสัมผัสเทคโนโลยีและสมรรถนะขั้นสูงของ Leapmotor ได้ด้วยตัวเอง

Award for C10 & B10

Leapmotor เดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดีไซน์และความปลอดภัยระดับสากล โดย Leapmotor C10 สามารถคว้ารางวัลการออกแบบระดับนานาชาติได้อย่างต่อเนื่อง ทั้ง International CMF Design Award ในปี 2023 และ 2024 รวมถึงรางวัล French Design Award 2024 ซึ่งล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์และความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ Leapmotor C10 โดดเด่นด้วยแนวคิดการออกแบบที่แปลกใหม่ ผสมผสานเส้นสายแนวนอนและความโค้งมนอย่างลงตัว ไฟหน้า LED แบบ “Angel-Wing” พร้อมไฟส่องสว่างกลางวัน DRL แบบ Sequential, ระบบ Active Grille Shutter (AGS) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิก และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วดีไซน์ “Trident” ที่ช่วยเสริมบุคลิกอันแข็งแกร่งและสมดุลให้กับตัวรถอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากด้านดีไซน์แล้ว Leapmotor C10 ยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว (5 STAR) จากสถาบัน EURO NCAP ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุดของยุโรป ยืนยันถึงความปลอดภัยรอบด้านที่ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่

ขณะเดียวกัน Leapmotor B10 ก็สร้างความสำเร็จครั้งสำคัญอย่างต่อเนื่องหลังการเปิดตัวทั้งในยุโรปและประเทศไทย ด้วยการได้รับมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจาก EURO NCAP เช่นเดียวกัน สะท้อนถึงศักยภาพด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีความปลอดภัยของ Leapmotor ที่มุ่งมั่นพัฒนาเพื่อมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับโลกแก่ผู้บริโภค ผลการทดสอบของ EURO NCAP แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะด้านความปลอดภัยของ Leapmotor B10 ที่สามารถผ่านมาตรฐานยุโรปอันเข้มงวดได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้าง ความปลอดภัยของผู้โดยสาร เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ และระบบป้องกันการชน ด้วยรางวัลระดับนานาชาติ และมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ได้รับการรับรองจากสถาบันชั้นนำของยุโรป Leapmotor ยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค พร้อมมุ่งมั่นพัฒนายานยนต์คุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง

คะแนนด้านความปลอดภัยของ Leapmotor B10 ประกอบด้วย:

•การปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection): 93%

Leapmotor B10 ทำคะแนนได้ 37.3 จาก 40 คะแนน ด้วยโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งและการปกป้องผู้โดยสารยอดเยี่ยม ทั้งในกรณีชนด้านหน้าและการชนด้านข้าง

•การปกป้องผู้โดยสารเด็ก (Child Occupant Protection): 93%

ทำคะแนนได้ 46.0 จาก 49 คะแนน โดยตัวรถนั้น ให้การปกป้องหุ่นจำลองเด็กอายุ 6 และ 10 ปี ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งจากการชนด้านหน้าและด้านข้าง พร้อมระบบ ISOFIX/i-Size และระบบตรวจจับเด็กในรถ (Child Presence Detection)

•การปกป้องผู้ใช้ถนนที่มีความเสี่ยง (Vulnerable Road Users): 84%

ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) ขั้นสูงสามารถตรวจจับคนเดินถนน นักปั่นจักรยาน และผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ รวมถึงระบบป้องกันการเปิดประตูใส่นักปั่นได้อย่างดีเยี่ยม

•ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (Safety Assist): 85%

ทำคะแนน 15.4 จาก 18 คะแนน ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น Intelligent Speed Assistance, Lane Keep Assist, Emergency Lane Keeping และระบบตรวจจับสภาพผู้ขับขี่โดยตรง เพื่อเฝ้าระวังอาการเหนื่อยล้าหรือไม่มีสมาธิ

แคมเปญและข้อเสนอสุดพิเศษ

รายละเอียดแคมเปญ LEAPMOTOR B10 (เฉพาะรุ่น Design และ Style)

แคมเปญทางเลือก ที่ 1แคมเปญทางเลือกที่ 2แคมเปญทางเลือกที่ 3
ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ.
ที่ชาร์จบ้าน Zhida รุ่น G Series พร้อมติดตั้ง
บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชม. นาน 5 ปี
รับประกันคุณภาพรถ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร หรืออย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน
รับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่อย่างใดจะถึงก่อน
 ดอกเบี้ย 0% ดาวน์เพียง 30% ผ่อนยาวถึง 36 งวดช่วยผ่อนนาน 6 เดือน เดือนละ 5,000 บาท

 สิทธิพิเศษเพิ่มเติมสำหรับลูกค้าเก่า พระนครยนตรการ

•สิทธิพิเศษสำหรับ ลูกค้าเก่าที่เคยออกรถยนต์จากทุกแบรนด์ภายใต้กลุ่มพระนครยนตรการ เมื่อจองและออกรถ Leapmotor C10 หรือ Leapmotor B10

•รับฟรี

oโปรแกรมค่าบำรุงรักษาตามระยะ (Free Maintenance Program) ระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร แล้วแต่อย่างใดถึงก่อน

oครอบคลุมการบำรุงรักษาตามระยะทางและระยะเวลาตามตารางของรุ่น C10 และ B10

oมูลค่ารวม 20,000 บาท

ระยะเวลาแคมเปญ

•เพียงจอง ภายในงาน Motor Expo 2025 หรือ ที่โชว์รูม Leapmotor ใกล้บ้านท่าน

•ตั้งแต่ 28 พฤศจิกายน 2568 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2568 และรับรถภายในเดือนธันวาคม 2568

รายละเอียดสีตัวถัง และสีภายใน

•Leapmotor C10 Design มีให้เลือกสีตัวถัง 3 สี ได้แก่ Pearly White, Canopy Grey และ Metallic Black และภายในมี 2 สี ได้แก่ Criollo Brown และ Midnight Aurora

•Leapmotor C10 Style มีให้เลือกสีตัวถัง 2 สี ได้แก่ Pearly White และ Metallic Black และภายในมี 1 สี ได้แก่ Midnight Aurora

•Leapmotor B10 รุ่น Style และ Design มีให้เลือกสีตัวถัง 7 สี ได้แก่ Morning Dew Purple, Starry Night Blue, Tundra Grey, Lightning White, Canopy Grey, Galaxy Silver, Sky Fall Grey และ Metallic Black และภายในมี 2 สี ได้แก่ Dark Feather Black (Fabric) ในรุ่น Life และ Style ส่วน Dark Feather Black ECO Leather และ Bamboo Shadow Grey ECO Leather ในรุ่น Design

ราคาจำหน่าย

1.Leapmotor C10 Limited Edition Kinetix Model ราคาจำหน่าย 928,000 บาท

2.Leapmotor C10 Design ราคาจำหน่าย 898,000 บาท

3.Leapmotor C10 Style ราคาจำหน่าย 818,000 บาท

4.Leapmotor B10 ราคาจำหน่าย

•รุ่น Style ราคาขายอยู่ที่ 758,000 บาท

•รุ่น Design ราคาขายอยู่ที่ 798,000 บาท

การขยายเครือข่ายการขาย

Leapmotor Thailand มีโชว์รูมที่เปิดให้บริการแล้ว 12 สาขา ได้แก่ สาขารัชโยธิน, สาขาลาดร้าว, สาขาอ่อนนุช, สาขานนทบุรี, สาขาชลบุรี, สาขานครราชสีมา, สาขาพิษณุโลก, สาขาเชียงราย, สาขาเชียงใหม่, สาขาอุดร, สาขาขอนแก่น และสาขาหาดใหญ่ พร้อมตั้งเป้าและพร้อมเปิดโชว์รูม Leapmotor อย่างเป็นทางการทั้ง 30 แห่ง ภายในสิ้นปี 2569 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่สนใจรถ Leapmotor อีกด้วย

**สำหรับลูกค้า Leapmotor Thailand สามารถดูรายละเอียดขอ้มูลรถC10 หรือรายละเอียดของแคมเปญพิเศษต่างๆ ได้ที่ www.facebook.com/leapmotorthailand และ Instagram: leapmotorthailand อย่างเป็นทางการ

อนึ่ง บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย และทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2502นับเป็นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มีความเชี่ยวชาญมาเป็นเวลากว่า 60 ปี

กลุ่ม บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) ได้ให้บริการด้านยานยนต์แบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์, การรับจ้างประกอบรถยนต์, การปรับแต่งรถ, การบริหารจัดการฟลีทรถยนต์, การให้เช่ารถยนต์สำหรับองค์กร, การให้สินเชื่อสำหรับผู้ซื้อรถ, การบริหารจัดการศูนย์ PDI (Pre-Delivery Inspection) และการจัดการคลังอะไหล่

MOTOR EXPO 2025 เปิดฉากอลังการ รวมนวัตกรรมยานยนต์ พร้อมโปรแรงส่งท้ายปี

เริ่มแล้ว “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” ชมรถยนต์รุ่นล่าสุด 42 แบรนด์ จักรยานยนต์ 16 แบรนด์ รับโปรโมชั่นเร้าใจ ตั้งแต่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2568

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” เปิดเผยว่า ปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด “อลังการงานแสดง-The Magnificent Motor Expo” จัดแสดงรถยนต์ 42 แบรนด์ รถจักรยานยนต์ 16 แบรนด์ โดยคาดว่า งานนี้จะสร้างยอดขาย กระตุ้นตลาด และอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ ได้ขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้คำนึงถึงความเหมาะสมในการจัดกิจกรรม และการแต่งกายของพริทที เพื่อให้ภาพรวมของงานมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ไฮไลท์ของงาน ได้แก่ GAC GOVY AIRCAB รถบินได้ พลังไฟฟ้า 100 % หรือที่เรียกว่า eVTOL พัฒนาโดย eVTOL ของ GAC GROUP เป็นแบบ 2 ที่นั่ง ติดตั้งใบพัด 6 แกน 12 ใบ บนหลังคา ประตูแบบปีกนก ระยะทางบิน 20-30 กม. ความเร็วสูงสุด (ขณะบิน) 120 กม./ชม. ชาร์จเร็วเต็มได้ใน 25 นาที แพลทฟอร์มขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ L4 มีเครือข่ายดิจิทอลไร้คนขับ 3 มิติ ช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของการปฏิบัติการแบบไดนามิคได้อย่างเต็มที่

_cuva

CHERY QQ3 EV เป็นรุ่นใหม่ที่ใหญ่ และทันสมัยกว่า QQ ICE CREAM มาก เปิดตัวครั้งแรกในงาน 2025 CHENGDU AUTO SHOW สร้างบนแพลทฟอร์ม T12 ของ CHERY มีความยาวกว่า 4,200 มม. และฐานล้อกว้างกว่า 2,700 มม. ภายในหรูหรา เทคโนโลยีสูง จอแสดงผลดิจิทอล และจอควบคุมส่วนกลางขนาดใหญ่ถึง 15.6 นิ้ว ใช้ชิพ QUALCOMM SNAPDRAGON 8155 มอเตอร์ไฟฟ้าหลัง ให้กำลัง 90 กิโลวัตต์/121 แรงม้า

HONDA STEP WGN e:HEV รุ่น SPADA ใหม่ เอมพีวี 7 ที่นั่ง ประตูสไลด์ มิติตัวรถ 4,830 มม. กว้าง 1,750 มม. สูง 1,845 มม. ฐานล้อ 2,890 มม. ขับเคลื่อนระบบฟูลล์ไฮบริด e:HEV เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 184 แรงม้า มอเตอร์แรงบิด 315 นิวทันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 19.5-20 กม./ลิตร

HYUNDAI XRT CONCEPT รถยนต์แนวคิดที่เน้นการลุยทางวิบาก โดยใช้พื้นฐานจาก HYUNDAI SANTA FE มาออกแบบรูปทรงเหลี่ยมใหม่ บึกบึน เน้นการใช้งานจริงนอกถนน ยางแบบ ALL-TERRAIN ดอกยางใหญ่ ช่วงล่างยกสูง

OMODA 4 ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีรุ่นล่าสุดจาก CHERY ส่งออกในนาม OMODA รุ่นนี้เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ เป็นเอสยูวีที่มีขนาดเล็กที่สุด ในตระกูล OMODA โดยวางตำแหน่งไว้ต่ำกว่า OMODA 5 เดิมทีเคยใช้ชื่อว่า OMODA 3 แต่ได้เปลี่ยนมาเป็น OMODA 4

WULING STARLIGHT เอมพีวีไฟฟ้าประตูสไลด์ 7 ที่นั่ง เผยโฉมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ระยะวิ่งไกลถึง 540 กม. ที่นั่งเรียงแถวแบบ CAPTAIN SEAT เจาะกลุ่มเป้าหมายครอบครัวขนาดกลาง ที่มีเด็ก และผู้สูงวัย รวมถึงตลาดรถลีมูซีน VIP TAXI และกลุ่ม RIDE HAILING ที่ต้องการรถหรูหราที่กว้างขวาง และสะดวกสบาย

ZEEKR MIX จากบริษัทแม่ GEELY มิติตัวถังยาว 4,688 มม. กว้าง 1,995 มม. สูง 1,755 มม. ฐานล้อ 3,008 มม. ออกแบบไร้เสากลาง เมื่อเปิดประตู เบาะนั่งคู่หน้าหมุนได้ 270 องศา แบทเตอรีพัฒนาร่วมกับ CATL มีความจุกระแสไฟ 86 กิโลวัตต์ชั่วโมง เหมือนกับ 001 ขนาด 800 โวลท์ รับกระแสชาร์จได้ถึง 360 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทางสูงสุด 702 กม. (CLTC)

นอกจากนี้ มีรถยนต์เปิดตัวครั้งแรกในโลก ได้แก่ TOYOTA HILUX TRAVO

เปิดตัวครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ AVATR 07, BYD Ti7, DENZA B5, GEELY EX2, LEXUS LX 500D

เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย ได้แก่ BMW iX LCI, DFSK E5 PLUS, GWM WEY G9 Hi4, MAXUS eDELIVER 5, MG IM5, NEX CARGO VANTASTIC, NISSAN X-TRAIL e-POWER e-4ORCE และ VOLVO XC60

สำหรับผู้ชมงาน มีสิทธิ์ลุ้นรับฟรีรถยนต์ 3 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน ในรายการ ซื้อรถ…ชิง AVATR 11 รุ่น STANDARD RANGE / ซื้อบัตร…ชิง MITSUBISHI XFORCE รุ่น ULTIMATE / ซื้อมอเตอร์ไซค์…ชิง SUZUKI รุ่น GSX-8R / ชมงานผ่าน MOTOR EXPO APP ชิง WULING BINGUO รุ่น DC ICON

ยิ่งกว่านั้น สามารถชมงานผ่าน MOTOR EXPO APPLICATION อัดแน่นข้อมูลของงาน ทั้งรีวิวรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จาก Influencer ชื่อดัง พร้อมฟีเจอร์ให้ใช้งานหลากหลาย อาทิ ข้อมูลเปรียบเทียบคันต่อคัน  โปรโมชั่น แคมเปญพิเศษ ช่วยในการเลือกซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ดาวน์โหลดโบรชัวร์ จำหน่ายบัตรชมงานทั่วไป และบัตรชมงานแบบวีไอพี MOTOR EXPO EXCLUSIVE VISITOR ฯลฯ

การเดินทางไปชมงานมีบริการ รถรับ-ส่ง ฟรี ! 2 เส้นทาง ดังนี้

1.หมอชิต-IMPACT-หมอชิต BTS สถานีหมอชิต EXIT 2, MRT สถานีจตุจักร EXIT 4

2.รังสิต-IMPACT-รังสิต บริเวณด้านหน้า Big C

ส่วนผู้ต้องการมาเที่ยวงาน MOTOR EXPO 2025 แบบไม่ต้องวนหาที่จอดในอาคาร เรามีบริการ  SHUTTLE BUS รับ-ส่งระยะใกล้ จากลานจอดรถริมทะเลสาบ-ชาลเลนเจอร์ 3

งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” จัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2568 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save