- Advertisement -
30.1 C
Bangkok
Home Blog Page 3

เอ็มจี ร่วมกับ UNEX EV ผลักดันรถอีวีสู่ภาคขนส่งสาธารณะ

เอ็มจี ร่วมกับ UNEX EV ผลักดันรถอีวีสู่ภาคขนส่งสาธารณะ พร้อมชูนวัตกรรมสลับแบตเตอรี่ ในกลุ่มรถยนต์เพื่อการขนส่งสาธารณะอย่าง NEW MG EP PLUS และ NEW MG MAXUS 7 รถ e-MPV แบบ 7 ที่นั่ง

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ร่วมกับ UNEX EV ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ให้ก้าวล้ำอีกขั้น หลังเผยแผนส่งรถยนต์ไฟฟ้าเอ็มจีที่รองรับแพลตฟอร์มขับเคลื่อนอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีการสลับแบตเตอรี่ที่ใช้เวลาเพียง 3 นาที โลดแล่นบนถนนเมืองไทยปลายเดือนเมษายนนี้ หวังเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานรถไฟฟ้าให้สอดรับต่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ นำร่องโดยโมเดลยอดนิยมในกลุ่มรถยนต์เพื่อการขนส่งสาธารณะอย่าง NEW MG EP PLUS และ NEW MG MAXUS 7 รถ e-MPV แบบ 7 ที่นั่ง

เทคโนโลยีการสลับแบตเตอรี่ (Battery Swapping Technology) เป็นอีกหนึ่งแนวทางการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าสู่การขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าและทำให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้นในกลุ่มธุรกิจ และอุตสาหกรรม ซึ่งเทคโนโลยีสลับแบตเตอรี่จะช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถกลับมาพร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาสลับแบตเตอรี่ที่สถานีเพียง 3 นาที เท่านั้น ขณะที่ระยะทางการขับขี่ยังคงเท่าเดิม โดย NEW MG EP PLUS วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 380 กิโลเมตร และ NEW MG MAXUS 7 วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 570 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC อีกทั้งเทคโนโลยีการสลับแบตเตอรี่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ลดเวลาในการจอดชาร์จ แต่ยังคงให้สมรรถนะการขับขี่ดีเช่นเดิม

นายสุโรจน์ แสงสนิท รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า “แผนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่รองรับแพลตฟอร์มขับเคลื่อนอัจฉริยะ เป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กับ UNEX EV ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มขับเคลื่อนอัจฉริยะ โดยมีเป้าหมายเดียวกันในการผลักดันประเทศไทย เข้าสู่ระบบขนส่งพลังงานสะอาดด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานเชิงพาณิชย์ ลดทอนข้อจำกัดให้น้อยลง จึงได้เริ่มต้นพัฒนาเทคโนโลยีการสลับแบตเตอรี่ในรุ่น NEW MG EP PLUS เป็นรุ่นแรก เนื่องจากเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ในภาคการขนส่ง ซึ่งปัจจุบันถูกใช้เป็นรถรับ-ส่งสาธารณะแล้วกว่า 1,000 คัน ด้วยจุดเด่นในเรื่องความสะดวกสบายของห้องโดยสารตามแบบฉบับของรถสไตล์ STATION WAGON และอีกรุ่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนากับ NEW MG MAXUS 7 รถ e-MPV แบบ 7 ที่นั่ง ที่ทั้งกว้างขวาง และสะดวกสบาย รองรับการเดินทางแบบหมู่คณะได้เป็นอย่างดี โดยรถยนต์ไฟฟ้า เอ็มจี ที่มีเทคโนโลยีการสลับแบตเตอรี่จะเริ่มให้บริการในช่วงปลายเดือนเมษายน 2568 และปักหมุดเริ่มที่ภูเก็ตเป็นจังหวัดแรก”

มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี กวาดยอดจองกว่า 1,800 คัน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชัน เริ่มจัดส่ง “ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี” ในประเทศไทย กวาดยอดจองกว่า 1,800 คัน ภายใน 3 สัปดาห์

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชัน (ต่อไปนี้เรียกว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ได้เริ่มจัดส่ง รถคอมแพ็กต์เอสยูวี ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี แบบไฮบริด (HEV) เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา โดยรถรุ่นดังกล่าวผลิตที่โรงงานแหลมฉบังของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี เป็นรถยนต์แบบไฮบริด (HEV) รุ่นที่สองของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ถัดจากรุ่น มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์  ที่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด ด้วยยอดจองกว่า 1,800 คัน ภายหลังจากการเปิดตัวเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

ลูกค้าของมิตซูบิชิที่สั่งจองรถรุ่นนี้ ต่างประทับใจในการออกแบบของตัวรถที่ดูทันสมัยและทรงพลัง ตอบโจทย์การใช้งานของรถเอสยูวีได้อย่างเต็มรูปแบบ ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้ถึง 5 คนอย่างสะดวกสบายแม้จะเป็นรถคอมแพ็กต์เอสยูวี พร้อมด้วยสมรรถนะของรถที่ให้อัตราเร่งที่ทรงพลังและทำงานเงียบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบไฮบริด (HEV) และโดดเด่นด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมในรถยนต์ระดับเดียวกันอีกด้วย โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จะทยอยส่งมอบ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

มร.ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในภาคกลางของประเทศเมียนมาเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า  “ผมขอแสดงความเคารพต่อผู้ที่เสียชีวิตในภัยพิบัติครั้งนี้ และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วยครับ”

“มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปีแล้ว ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย ทำให้เราได้มีส่วนร่วมในการสร้างความก้าวหน้าให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ และเราจะยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยต่อไป พร้อมเดินหน้าดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทยอย่างจริงจังครับ” มร.คาโตะ กล่าว

มิตซูบิชิ คว้ารางวัลแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุด ประจำปี 2568

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย คว้ารางวัล 2025 Thailand’s Most Admired Brand และรางวัล Brand Star ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ จากรถยนต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ทุกรุ่น ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด คว้ารางวัลคุณภาพ แบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุด ประจำปี 2568 (2025 Thailand’s Most Admired Brand) และ รางวัลพิเศษ แบรนด์ที่มีความโดดเด่นน่าจับตามอง (Brand Star) จาก BrandAge ซึ่งเป็นนิตยสารและสื่อออนไลน์ชั้นนำทางด้านการตลาดและธุรกิจ ในหมวดยานยนต์ กลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) จากรถยนต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ทุกรุ่น ที่ครองใจคนไทยทั้งประเทศติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ตอกย้ำถึงคุณภาพและนวัตกรรมของรถยนต์ ที่ได้รับความไว้วางใจ และเลือกใช้มากที่สุดจากผู้บริโภคในกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวแสดงความขอบคุณที่ได้รับรางวัลนี้ว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล ‘2025 Thailand’s Most Admired Brand’ และรางวัล ‘Brand Star’ ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในรถยนต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ทุกรุ่น จนสามารถครองอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ (MPV) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ได้อย่างภาคภูมิใจครับ”

“ความสำเร็จนี้ เป็นผลจากการทำงานร่วมกันอย่างเต็มความสามารถในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำ คือการผลิตจากโรงงานประกอบรถยนต์ที่ได้มาตรฐานระดับโลก ไปจนถึงปลายน้ำ คือผู้จำหน่ายทั่วประเทศกว่า 190 แห่ง ที่มุ่งมั่นส่งมอบคุณภาพและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ความไว้วางใจจากผู้บริโภคคือแรงบันดาลใจสำคัญที่ผลักดันให้เรามุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และการให้บริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าชาวไทยต่อไปครับ” นายสาโรจน์ กล่าวเพิ่มเติม

การสำรวจโดย BrandAge คือเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคที่แท้จริง โดยในปีนี้ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของการวิจัยแบบเดิม ด้วยการผนึกกำลังระหว่างนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ร่วมกับเทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และช่วยฟังเสียงผู้บริโภคบนโลกออนไลน์จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา โดยครอบคลุมในหลายมิติที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ ได้แก่ ด้านนวัตกรรม (Innovation) ด้านสมรรถนะ (Performance) ด้านภาพลักษณ์องค์กร (Image) ด้านการบริหารจัดการ (Management) ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Sustainable Development) และด้านการให้บริการ (Service) ทำให้ผลสำรวจครั้งนี้มีความน่าเชื่อถือ และมีความแม่นยำสูง

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ทุกรุ่น นำความสะดวกสบาย และความอเนกประสงค์ในการใช้งาน มาผสานกับรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยว สะดุดตา พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่บนท้องถนนแบบรถเอสยูวี และถือเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ด้วยส่วนแบ่งตลาดเกือบร้อยละ 40 ในกลุ่มรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก คุณภาพระดับพรีเมียม พร้อมความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารที่ครบครัน และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ได้รับการพัฒนาให้เป็นรถครอสโอเวอร์เอสยูวี ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ที่รักการผจญภัยและมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายอย่างไร้ขีดจำกัด

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เป็นรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ขนาดเล็ก พร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังและมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วยประสบการณ์การขับขี่แบบ MITSUBISHI e:MOTION ที่ผสานระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เพื่อการขับขี่ที่ตอบสนองอย่างยอดเยี่ยมและประหยัดน้ำมัน โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ให้ความปลอดภัย ลุยได้ในทุกสภาพถนน และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจและปลอดภัยมากขึ้นในขณะเข้าโค้ง สำหรับการเดินทางในทุกสภาพถนนและสภาพอากาศทุกรูปแบบ

เมื่อเร็วๆนี้ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ รุ่นพิเศษจำนวนจำกัด ได้ถูกเปิดตัวเพื่อเอาใจครอบครัวรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความทันสมัยและไลฟ์สไตล์แอ็กทีฟ  มีดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมสะกดทุกสายตา ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งสีดำรอบคัน ตัดกับสีรถ ตอกย้ำความแข็งแกร่งและโดดเด่นในการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก

มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ปลอดระดับ 5 ดาว

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ได้รับการจัดอันดับสูงสุดระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP ประจำปี 2024

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชัน (ต่อไปนี้เรียกว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ประกาศว่า รถคอมแพ็กต์เอสยูวี ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี แบบไฮบริด (HEV) รุ่นใหม่ ได้รับคะแนนสูงสุดระดับ 5 ดาว จากการประเมินมาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์ของอาเซียน หรือ ASEAN NCAP1 2024 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ครอบคลุมการทดสอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยของรถยนต์ใหม่ในภูมิภาคอาเซียน โดยได้รับคะแนนสูงสุดเท่ากันจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซินที่ได้รับในช่วงต้นปี 2024

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ยังคงมุ่งมั่นในปรัชญาด้านความปลอดภัย เพื่อก้าวไปสู่สังคมยานยนต์ที่ปราศจากอุบัติเหตุทางถนน โดยพัฒนาและเผยแพร่เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนน

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง Mitsubishi Safety Sensing ซึ่งประกอบด้วย 6 ฟังก์ชันหลัก ได้แก่ ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติถึงจุดหยุดนิ่ง (Adaptive Cruise Control – ACC) ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation – FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตาและขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Warning / Lane Change Assist – BSW / LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert – RCTA) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beam – AHB) ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification – LCDN) นอกจากนี้ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ยังเสริมความปลอดภัยด้วยโครงสร้างตัวถัง RISE2 (Reinforced Impact Safety Evolution) ซึ่งช่วยดูดซับแรงกระแทกและลดการเสียรูปของห้องโดยสารในกรณีเกิดการชน พร้อมถุงลมนิรภัย SRS 6 จุด เพิ่มความปลอดภัยทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2568 โดยพัฒนาต่อยอดจากรุ่น Xforce3  ซึ่งเปิดตัวในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี 2566 และได้รับการติดตั้งระบบไฮบริด (HEV) เป็นครั้งแรก SUV ขนาด 5 ที่นั่งรุ่นนี้พัฒนาภายใต้แนวคิด “เพื่อนคู่ใจ สำหรับชีวิตที่เร้าใจ” โดยใช้ระบบไฮบริดที่ได้รับการพัฒนามาจากเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มอบทั้งอัตราประหยัดน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และอัตราเร่งที่ทรงพลัง เสริมด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และเทคโนโลยีควบคุมล้อทั้งสี่ ช่วยเสริมความปลอดภัยและเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่บนทุกสภาพถนนที่หลากหลาย

หมายเหตุ :

1. โครงการประเมินมาตรฐานความปลอดภัยรถยนต์ใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน

2. เทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยจากแรงกระแทก

3. รถยนต์รุ่นนี้วางจำหน่ายในบางตลาดภายใต้ชื่อ Outlander Sport

มิตซูบิชิ เสริมแกร่งแต่งตั้งผู้บริหารใหม่

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เสริมความแข็งแกร่ง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารใหม่

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรอย่างแข็งแกร่ง เสริมทัพคณะผู้บริหารสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยประกาศแต่งตั้ง 2 ผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ มร.มิโนะรุ คิโนะชิตะ ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการบริษัท ต่อจาก มร.โนโบรุ สึจิ – และ มร.โนบุฮิโกะ โคอิซูมิ ดำรงตำแหน่ง กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ผู้แทนโรงงาน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ต่อจาก มร.เออิจิ โอกาวะ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

มร.มิโนะรุ คิโนะชิตะ เริ่มต้นทำงานกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ในปี 2533 และสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจยานยนต์ในตลาดต่างประเทศมาอย่างยาวนาน อาทิ จีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ ไทย รวมถึงได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบตลาดในหลากหลายประเทศ ในภูมิภาคอาเซียนและโอเชียเนีย (ASEAN & Oceania) ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ (Assistant Executive Vice President) มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ในปี 2567 ในสายงานกลยุทธ์การตลาดสากล (Global Market Strategy) และ กลยุทธ์การขาย (Sales Strategy) ก่อนเดินทางมารับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการบริษัท (Chairman of the Board) มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

ขณะที่ มร.โนบุฮิโกะ โคอิซูมิ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ผู้แทนโรงงาน (Executive Vice President, LCB Representative) มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เริ่มต้นทำงานกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ตั้งแต่ปี 2534 และได้ทำงานอยู่ในสายงานผลิตจนเชี่ยวชาญ โดยมีประสบการณ์การทำงานในสายงานผลิต ในโรงงานที่ประเทศญี่ปุ่น เมืองนาโงยะ (Nagoya) และเมืองโอกาซากิ (Okazaki) รวมถึงในประเทศไทยด้วย จนในปี 2568 ด้วยความเชี่ยวชาญในสายงานผลิตในระดับสูง จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส (Senior Vice President) สายงานผลิต ที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในเดือนมีนาคม ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้มารับตำแหน่ง กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ผู้แทนโรงงาน ในเดือนเมษายนนี้

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญกับประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในฐานะตลาดที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ การเสริมทัพผู้บริหารในครั้งนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ และขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ระดับภูมิภาคและระดับโลก ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นหัวใจสำคัญสู่ยุทธศาสตร์แห่งการเติบโตของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น และเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ ที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น โดยมีโรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์ 1 แห่ง พร้อมด้วยสนามทดสอบรถยนต์แห่งแรกที่ตั้งอยู่นอกประเทศญี่ปุ่น การที่ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงส่งผลให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยกระดับสู่การเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติงานที่สำคัญทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมีการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกจากไทยไปยังกว่า 120 ประเทศทั่วโลก

บางจาก บลูมมิ่ง เทลส์ @พุทธมณฑลสาย 3 เปิดโครงการ ACT Shuttle Bus ลดปัญหาการจราจร

สถานีบริการน้ำมันบางจาก บลูมมิ่ง เทลส์ @พุทธมณฑลสาย 3 สนับสนุนโครงการรถโดยสารกึ่งสาธารณะ ACT Shuttle Bus เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณรอบโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี เปิดโครงการอย่างเต็มรูปแบบ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนในพื้นที่

บรรยายภาพ : (จากซ้ายไปขวา) นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นางสาวจันทร์นภา สายสมร กรรมการบริหาร บริษัท บลูมมิ่ง เทลส์ จำกัด ภารดา ดร.ศักดา สกนธวัฒน์ ผอ.โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี นายส่องแสง ปทะวานิช นายกสมาคมผู้ปกครองและครู ร่วมเปิดโครงการ ACT Shuttle Bus ณ สถานีบริการน้ำมันบางจาก บลูมมิ่ง เทลส์ @พุทธมณฑลสาย 3

โครงการ ACT Shuttle Bus บริการรับ – ส่งนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ให้บริการผู้ปกครองส่งนักเรียนบริเวณใกล้เคียง โดยไม่ต้องเข้าเขตพื้นที่ที่เป็นปัญหาจราจร ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือในการใช้พื้นที่ของสถานีบริการน้ำมันบางจาก บลูมมิ่ง เทลส์ @พุทธมณฑลสาย 3 ด้วยรถตู้บริการที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยตามที่โรงเรียนกำหนด มีตารางเวลาเดินรถ และมาตรการดูแลความปลอดภัยครบถ้วน

ภารดา ดร.ศักดา สกนธวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี กล่าวถึงวัตถุประสงค์โครงการ เพื่อลดจำนวนรถที่เข้าสู่โรงเรียนในช่วงเวลาเร่งด่วน ก่อนและหลังเลิกเรียน รวมถึงเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ปกครอง ประหยัดทั้งเวลา พลังงานและค่าใช้จ่าย สุดท้ายเพื่อลดปัญหาจราจรอันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

นางสาวจันทร์นภา สายสมร กรรมการบริหาร บริษัท บลูมมิ่ง เทลส์ จำกัด เปิดเผยว่า ทางสถานีได้ให้ความร่วมมือด้วยการเปิดให้มีการตั้งสถานีบริการสำหรับรถโดยสารในโครงการ ACT Shuttle Bus ขึ้นภายในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงบางจาก บลูมมิ่ง เทลส์ @พุทธมณฑลสาย 3 ซึ่งเป็นโครงการที่มีการทำงานร่วมกันมาสักระยะหนึ่ง

“ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ทั้งโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี สถานีตำรวจและชุมชนที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาการจราจรที่เกิดขึ้นรอบโรงเรียน จากการที่โรงเรียนเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนมากกว่า 5,500 คน ซึ่งสถานีบริการน้ำมันบางจาก บลูมมิ่ง เทลส์ @พุทธมณฑลสาย 3 ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาดังกล่าวให้กับชุมชนโดยรอบพื้นที่ร่วมกันในครั้งนี้”

โครงการ ACT Shuttle Bus เริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา ด้วยความร่วมมือของ ภารดา ดร.ศักดา สกนธวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี นายส่องแสง ปทะวานิช นายกสมาคมผู้ปกครองและครู รวมถึงผู้บริหารบางจาก บลูมมิ่ง เทลส์ นำโดย นางสาวจันทร์นภา สายสมร กรรมการบริหาร และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นำมาซึ่งการเปิดโครงการอย่างเป็นทางการในที่สุด

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด นำทีมผู้บริหารบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมงาน พร้อมทั้งผู้แทนคณะทำงานจากสถานีตำรวจพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงโรงพยาบาล กลุ่มชุมชนโดยรอบ และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน

สถานีบริการน้ำมันบางจาก บลูมมิ่ง เทลส์ @พุทธมณฑลสาย 3 บนเนื้อที่กว่า 6 ไร่ติดถนน 6 เลนบนถนนพุทธมณฑลสาย 3 เชื่อมต่อเพชรเกษม-บรมราชชนนี และถนนพรานนก-พุทธมณฑลสาย 4 ใจกลางแหล่งที่อยู่อาศัยไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ และสถาบันการศึกษาชั้นนำหลายแห่ง นอกจากให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังพรั่งพร้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหารอร่อย และบริการอื่นๆ มากมายครบครัน อำนวยความสะดวกให้ผู้รับบริการ รวมถึงห้องน้ำสะอาด Blooming Toilet ได้รับป้ายมาตรฐาน  HAPPY TOILET จากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

“ค็อกพิทบางแค” เปิดให้บริการแล้ว

“ค็อกพิทบางแค” เปิดให้บริการแล้ว พร้อมโปรโมชันเด็ด จัดเต็มฉลองเปิดสาขาใหม่

ค็อกพิท (COCKPIT) ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรฟาสต์ฟิต (Fast Fit) ภายใต้การบริหารงานโดยบริษัท บริดจสโตน เอ.ซี.ที (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าขยายสาขาทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ปักหมุดเปิดให้บริการสาขาใหม่ “ค็อกพิทบางแค” ตั้งอยู่ในปั๊มเชลส์ ตรงข้ามห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค จัดเต็มด้วยทัพโปรโมชันเด็ดมากมายฉลองเปิดสาขาใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1-30 เมษายน 2568 เอาใจคนรักรถให้ได้เลือกใช้บริการอย่างครบครัน

พบกับโปรโมชันสุดคุ้มมากมายฉลองเปิดสาขาใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1-30 เมษายน 2568*

ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์

•พบกับยางรถยนต์ BRIDGESTONE, FIRESTONE และ DAYTON ลดสูงสุด 50% ทุกรุ่น ทุกขนาด (สินค้ามีจำนวนจำกัด และเฉพาะยางปี 2566 เท่านั้นที่ร่วมรายการ)

•หรือเลือกรับโปรซัมเมอร์เซฟ เมื่อเปลี่ยนยางรถยนต์ BRIDGESTONE เฉพาะรุ่น ECOPIA H/L001, DUELER A/T 002 หรือ ALENZA 001 ขนาดที่ร่วมรายการ 4 เส้น รับส่วนลดสูงสุด 4,000 บาท

-ยางรถยนต์ขนาด 20 นิ้ว ลดเส้นละ 1,000 บาท

-ยางรถยนต์ขนาด 17-19 นิ้ว ลดเส้นละ 500 บาท

-ยางรถยนต์ขนาด 15-16 นิ้ว ลดเส้นละ 250 บาท

สิทธิพิเศษแบบ 3 ต่อ

-ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน เมื่อเปลี่ยนยางรถยนต์ BRIDGESTONE หรือ FIRESTONE รุ่นที่ร่วมรายการครบ 4 เส้น

-รับฟรี! MAGIC e-Voucher มูลค่า 600 บาท เมื่อเปลี่ยนยางรถยนต์ TURANZA 6 ทุกขนาด ครบ 4 เส้น จำกัดสิทธิ์ 5,000 สิทธิ์ตลอดระยะเวลาโปรโมชั่นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568

-ฟรี! โปรแกรมดูแลยางรถยนต์ B-care One คุ้มครองนาน 1 ปี เปลี่ยนยางรถยนต์ฟรี 1 เส้น เมื่อเกิดความเสียหายในกรณีที่เปลี่ยนยางรถยนต์ BRIDGESTONE รุ่นและขนาดที่ร่วมรายการครบ 4 เส้น ได้แก่ ECOPIA EP150, ECOPIA EP300, ECOPIA H/L001, TURANZA T005A, POTENZA ADRENALIN RE004, ALENZA 001 เฉพาะขนาด 215/60R16, 215/50R17, 215/55R17, 215/55R18, 225/50R18, 225/55R18, 225/45R19 และ 215/60R17

ผลิตภัณฑ์อื่นๆ

•สุดคุ้มกับชุดน้ำมันเครื่อง PTT กึ่งสังเคราะห์ และไส้กรอง เริ่มต้น 750 บาท

-ฟรี! บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

-ฟรี! ไส้กรองรุ่นที่ร่วมรายการ

-ฟรี! บริการตรวจเช็กความปลอดภัยเบื้องต้น

•สินค้าอื่นๆ รับส่วนลด 10% สำหรับแบตเตอรี่ เบรก และโช้คอัพ

-ลดอีกสูงสุด 500 บาท เมื่อเทิร์นแบตเตอรี่เก่า และเมื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ GS/PUMA (เฉพาะรุ่นที่ร่วมรายการ)

-สุดคุ้ม เมื่อเปลี่ยนยางพร้อมล้อแม็ก ผ่อน 0% นาน 10 เดือน

-เมื่อนำล้อแม็กเก่ามาแลกล้อแม็กใหม่ รับส่วนลดสูงสุด 700 บาท/ล้อ

•แพ็คเกจตรวจเช็กระยะ 10,000 กม. เริ่มต้นเพียง 950 บาท ได้ทั้งชุดน้ำมันเครื่อง พร้อมไส้กรอง ตรวจเช็กรถยนต์ 60 รายการ และสลับยางถ่วงล้อ

*หมายเหตุ : โปรโมชั่นระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน 2568 และเงื่อนไขของโปรโมชันเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ข้อมูลค็อกพิทบางแค

ที่ตั้ง: ค็อกพิท บางแค ตั้งอยู่ในปั๊มเชลล์ ปากซอยเพชรเกษม 47/1 ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT สถานีหลักสอง ทางออก 2 และอยู่ตรงข้ามห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/DPMBNToKEr68p1xU7

เวลาเปิดทำการ : ทุกวัน เวลา 08.00 – 20.00 น.

โทรศัพท์: 094-216-6726

มาสด้า ขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนพร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้า

มาสด้า ขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในประเทศไทย ร่วมมือผู้จำหน่ายทั่วประเทศยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุกบริบท

มาสด้า หลอมรวมดีลเลอร์ทั่วประเทศเป็นหนึ่งเดียว ประกาศเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนในประเทศไทย จัดประชุมผู้จำหน่ายประจำปีงบประมาณ 2568 “Mazda Mirai 2025” ภายใต้ธีม Joyful Driving into a New Era เพื่อถ่ายทอดวิสัยทัศน์และนโยบายการบริหารธุรกิจให้เกิดผลกำไร รวมทั้งเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนเพื่อก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ ทั้งเทคโนโลยีแห่งอนาคตและรถยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวลงสู่ตลาดในปีนี้ เน้นสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งภายใต้กลยุทธ์ Brand Value Management และแนวคิด Stakeholder Centric Approach โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับพนักงาน ผู้จำหน่าย และลูกค้า พร้อมวางรากฐานที่สำคัญๆ เพื่อก้าวสู่การเป็น Top Retention Brand ทั้งด้านการขายและบริการหลังการขาย โดยประสานความร่วมมือกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศที่มีศักยภาพสูงทั้งหมด 80 แห่ง พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุกบริบท ตามปรัชญาใหม่ “Joy Drives Lives” ความสุขขับเคลื่อนชีวิต โดยมีผู้จำหน่ายมาสด้าจากทั่วประเทศ ผู้บริหารระดับสูงจาก มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และคณะผู้บริหารจาก มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ณ โรงแรมแอทธินี กรุงเทพฯ

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การประชุมผู้จำหน่ายประจำปีนี้ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่และเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่กำลังจะเปิดตัวในประเทศไทย รวมถึงเป็นการถ่ายทอดนโยบายและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของปีประจำปีงบประมาณ 2568 ให้กับผู้จำหน่ายเพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติในการผลักดันธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยงานประชุม “Mazda Mirai 2025” จัดขึ้นภายใต้ธีม Joyful Driving into a New Era แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม นำเสนอวิสัยทัศน์เพื่อก้าวสู่อนาคตที่สดใสและมั่นคง ตามแผนการดำเนินธุรกิจระยะยาว ทั้งด้านการตลาด การขาย การบริการหลังการขาย การขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ โดยเฉพาะแผนการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ในปีนี้ ที่จะมาพร้อมกับพลังงานทางเลือกหลากหลายรูปแบบ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ตามกลยุทธ์ Multi-solution เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าชาวไทย ด้วยการส่งมอบความสุขในการขับขี่และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน

วันนี้ มาสด้าพร้อมเอาใจใส่ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุดในทุกประสบการณ์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ และมุ่งมั่นเดินหน้าเต็มกำลัง ภายใต้กลยุทธ์ Brand Value Management (BVM) เพื่อให้มาสด้าเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้ามองหา พร้อมสื่อสารภาพลักษณ์องค์กรด้วยการถ่ายทอดปรัชญาใหม่ Joy Drives Lives หรือ ความสุขขับเคลื่อนชีวิต เพราะมาสด้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความสุขที่เกิดจากการขับขี่รถยนต์จะนำมาซึ่งความสุขในการใช้ชีวิต รวมถึงปรับเปลี่ยนประสบการณ์ลูกค้าและสร้าง Customer Journey รูปแบบใหม่ เพื่อนำมาพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกๆ ขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาสด้า จะนำมาซึ่งคุณค่าและประสบการณ์ความสุขจากการเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า พร้อมกันนี้ ยังได้เน้นย้ำถึงกลยุทธ์ที่เป็นมาตรฐานของการทำงาน ซึ่งคือ Stakeholder Centric Approach โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ พนักงาน ผู้จำหน่าย และลูกค้า พร้อมความสำคัญของการทำงานโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางในทุกบริบท

สำหรับการปรับเปลี่ยนของมาสด้าในปีนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย “ผู้คน” โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่คล่องตัว และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก พร้อมสนับสนุนเพื่อปรับวัฒนธรรมองค์กรของผู้จำหน่ายด้วยโปรแกรมพัฒนาทักษะของพนักงาน กลยุทธ์ที่สอง คือ การให้ความสำคัญกับการวางรากฐานด้านเทคโนโลยีและการใช้ข้อมูลเชิงลึก รวมถึงการฟังเสียงของลูกค้าเพื่อนำมาเพิ่มประสิทธิภาพและการสื่อสาร หรือ Voice of Fan และกลยุทธ์ที่สาม คือ การสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อทั้งด้านออนไลน์และออฟไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ คือการปรับโครงสร้างและพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายที่มีอยู่ทั้งหมด 80 แห่ง ให้พร้อมรองรับความต้องการของลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการ ด้วย PMA ใหม่ การกำหนดขอบเขตให้ผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูงขยายพื้นที่ในการดูแลลูกค้าเพิ่มขึ้น ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้มาสด้าสามารถดูแลลูกค้าได้อย่างทั่วถึง ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ มาสด้ายังคงมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ 2030  ด้วยการเป็นบริษัทที่รักรถยนต์ และขับเคลื่อนความสุขผ่านประสบการณ์ในการขับขี่ให้กับลูกค้า เพราะมาสด้าเชื่อเสมอว่า ความสุขคือส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนชีวิต นั่นคือเหตุผลที่มาสด้ามุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่มีความหมาย และส่งมอบความสุขให้กับผู้คน หัวใจหลักสำคัญล้วนเกิดจาก Customer Centric Mindset ปรัชญาที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกในทุกสิ่งที่เราทำ ส่งผลให้มาสด้าสามารถส่งมอบคุณค่าอย่างต่อเนื่อง สร้างความไว้วางใจ และยืนยันได้ว่าลูกค้าจะเกิดความภาคภูมิใจที่เลือกใช้รถยนต์มาสด้า ทั้งวันนี้และต่อไปในอนาคต เพื่อให้มาสด้าเป็นแบรนด์ที่เติบโตเคียงข้างคนไทยและสังคมไทยอย่างยั่งยืน

บรรยายภาพ (จากซ้ายสุดไปขวาสุด) : นางสาวจันทรา โพธิ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี, มร.โชอิจิ ฮิโรตะ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ และพัฒนาธุรกิจ, นายพิเชษฐ์ ปุณณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย, มร.ทาเคชิ ซาโตะ รองประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน, มร.ฮิโรชิ ชิบะ ผู้จัดการทั่วไปสำนักงานธุรกิจภูมิภาคอาเซียน มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น, นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ, นายภพนิพิฐ จิรวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและนวัตกรรมดิจิทัล, นายศราวุฒิ บรรยงค์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า, มร.ทาคายูกิ อิชิฮาร่า ผู้อำนวยการฝ่ายคุณภาพอาเซียน และนางสาวชลทิชา ทาระบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล

“ลามิน่าฟิล์ม” แบรนด์ที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นสูงสุดในประเทศไทย

“ลามิน่าฟิล์ม” ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคารอันดับ 1 รับรางวัล 2025 Thailand’s Most Admired Brand แบรนด์ที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นสูงสุดในประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 จากผลวิจัยด้านแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากนักการตลาดและผู้บริโภค จัดโดยนิตยสารแบรนด์เอจ

นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าทีบริหาร  บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคารลามิน่า รับรางวัล 2025 Thailand’s Most Admired Brand : แบรนด์ที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นสูงสุดในประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11

บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร “ลามิน่า” จากสหรัฐอเมริกา โดย นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับรางวัล Thailand’s Most Admired Brand ด้วยคะแนนโหวตสูงสุดอันดับ 1 ในหมวดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ และเป็นฟิล์มกรองแสงเพียงยี่ห้อเดียวที่ได้รับรางวัลนี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากรักษาตำแหน่งฟิล์มกรองแสงรถยนต์คุณภาพระดับพรีเมียมที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของเมืองไทยมาอย่างยาวนานแล้ว ยังเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคนึกถึงเป็นแบรนด์แรก

 งานวิจัย 2025 Thailand’s Most Admired Brand ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำวิจัยให้สอดคล้องกับการสื่อสารปัจจุบัน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด อีกทั้งสอดคล้องกับพฤติกรรมจริงในการบริโภคปัจจุบันที่มีความหลากหลาย ด้วยการพัฒนาแบบสอบถามสำหรับจัดเก็บข้อมูลวิจัยร่วมกับคณาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ รวมถึงนำหลักการ ESG เข้าไปทุกแพลตฟอร์ม โดยยังคงเน้นเรื่องความถูกต้องแม่นยำตามหลักวิชาการ

การจัดเก็บข้อมูลวิจัยดังกล่าวเริ่มดำเนินการจากการทำ Pre-Test ในพื้นที่วิจัยในภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง กรุงเทพและปริมณฑล และเก็บตัวอย่างจริงในแต่ละพื้นที่จำนวน 1,600 ชุด ซึ่งใช้เวลาในการจัดเก็บข้อมูลประมาณ 1 – 2 เดือน สำหรับ 12 หมวดสินค้า รวม 95 ผลิตภัณฑ์ และทีมวิจัยยังได้เพิ่มหมวดสินค้าบริการเพื่อให้สอดคล้องกับความสนใจและสถานการณ์ทางการตลาดปัจจุบันอีกด้วย

สำหรับ “ลามิน่าฟิล์ม” ในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญฟิล์มกรองแสงตัวจริงมาตลอด 3 ทศวรรษ ให้น้ำหนักการสื่อสารทางออนไลน์ให้เข้าถึงง่าย โดนใจ ตรงจุด รวดเร็ว และเป็นฟิล์มกรองแสงหนึ่งเดียวที่ยืนยันค่า TSER FACT ซึ่งได้รับการรับรองจาก 8 สถาบันระดับโลก เป็นค่าวัดประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนจากแสงแดดรวมที่ถูกต้อง  ไม่โอเวอร์สเปคเกินจริง หรือตบตาใช้ค่าอินฟราเรด (IR) ซึ่งลามิน่าได้สร้างให้ TSER FACT เป็นบรรทัดฐานแสดงถึงฟิล์มคุณภาพตัวจริง ที่พร้อมมอบความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้รถและผู้บริโภคชาวไทยมาตลอด 30 ปี

นอกจากนี้บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูงมืออาชีพระดับเอเชียแปซิฟิค ยังนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์อีกมากมาย อาทิ อุปกรณ์บรรทุกสัมภาระธูเล่ (Thule) จากประเทศสวีเดน ผลิตภัณฑ์ฟิล์มนิรภัยปกป้องสีรถลูมาร์ (LLumar) จากสหรัฐอเมริกา และผลิตภัณฑ์ดูแลรักษายานยนต์ครบวงจรแอลลักซ์ (LLux) คุณภาพเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย อีกทั้ง นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ยังได้รับพระราชทานปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์  สาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ประจำปีการศึกษา 2566 จากผลงานและความสำเร็จในการประกอบสัมมาชีพอันเป็นที่ประจักษ์

SUZUKI CARRY อัดแคมเปญ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ตอกย้ำผู้นำรถกระบะเพื่อเอสเอ็มอี

SUZUKI CARRY ตอบรับมาตรการรัฐ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำตลาดรถกระบะเพื่อ SMEs พร้อมอัดแคมเปญพิเศษส่วนลดสูงสุด 20,000 บาท ดอกเบี้ย 1.99% ผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท มั่นใจดันยอดขายรวม 8,000 คันปีนี้

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตามที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เดินหน้าสนับสนุนธุรกิจ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ “บสย. SMEs PICK-UP” ช่วยให้ผู้ที่ต้องการรถกระบะเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกร ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขนส่งสินค้า ค้าขาย หรือฟู้ดทรักมอบโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน พร้อมตัวช่วยค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ

สำหรับซูซูกิ เรามีผลิตภัณฑ์ SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ ที่พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจ SMEs สอดรับกับมาตรการสนับสนุนดังกล่าว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราเป็นผู้นำในตลาดรถบรรทุกอเนกประสงค์เพื่อธุรกิจ SMEs ถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานรวมถึงรูปลักษณ์ที่พร้อมจะนำไปดัดแปลง พัฒนาต่อยอดให้เข้ากับหลากหลายธุรกิจ ตั้งแต่การขนส่งสินค้า การให้บริการเคลื่อนที่ไปจนถึงการสร้างโอกาสธุรกิจใหม่ๆ จนได้รับการขนานนามว่า Goods Truck และ Service Truck สามารถต่อยอดไปสู่การทำธุรกิจอื่นๆ ได้อีกมากมาย ภายใต้แนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน”  SUZUKI CARRY จึงเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันยอดขายของซูซูกิได้เป็นอย่างดี โดยมียอดขายสะสมภายในประเทศกว่า 61,973 คัน (ปี 2553-มีนาคม 2568)

โครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” เปิดรับคำขอตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน -30 ธันวาคม 2568 ครอบคลุมกลุ่ม SMEs ทั้งแบบนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่จะขอสินเชื่อเพื่อซื้อรถกระบะใหม่เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ ด้วยสิทธิประโยชน์ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก โดยรัฐบาล กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้ ส่วนปีที่ 4-7 คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่ำเพียง 1.5% ต่อปี  พร้อมค้ำประกันนานสูงสุด 7 ปี หรือ 84 งวด วงเงินค้ำประกันสูงสุด 1.5 ล้านบาทต่อราย ภายใต้วงเงินค้ำประกันในระยะแรกจำนวน 5,000 ล้านบาท

“มาตรการดังกล่าวของทางกระทรวงการคลัง และ บสย. เชื่อว่านอกจากจะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังคงมีแนวโน้มทรงตัวให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้นแล้วนั้น จะยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกด้วย เพราะกลุ่มธุรกิจ SMEs และ ผู้ประกอบการรายย่อยเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยมาโดยตลอด” นายวัลลภ กล่าว

โดยในช่วงเวลาของการดำเนินมาตรการดังกล่าว ซูซูกิได้ร่วมกับพันธมิตรทางสถาบันการเงินในการสนับสนุนให้กลุ่มลูกค้า SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย สามารถเป็นเจ้าของรถกระบะอเนกประสงค์ SUZUKI CARRY เพื่อนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมอบข้อเสนอพิเศษส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 20,000 บาท พิเศษมากยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจและเกษตรกรขึ้นทะเบียน รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดอีก 15,000 บาท หรือเลือกรับ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 1.99% นาน 60 เดือน  หรือรับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท และ ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก

โดยเรามีที่ปรึกษาการขายพร้อมบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการออกแบบและตกแต่ง SUZUKI CARRY ในทุกโชว์รูมรถยนต์ซูซูกิ 90 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนั้น ซูซูกิยังได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำเช่น ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และสถาบันการเงินอื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมทีมงานให้คำปรึกษาทางด้านสินเชื่อเพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลเรื่องภาระค่าใช้จ่ายให้สามารถเป็นเจ้าของ SUZUKI CARRY ได้โดยง่ายอีกด้วย

ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่มองหาแนวทางในการต่อยอดธุรกิจ ซูซูกิได้นำเสนอแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ผ่านการจัดแสดง SUZUKI CARRY ในรูปแบบพิเศษภายใต้แนวคิด “ซูเปอร์มาร์เก็ตเคลื่อนที่” นั่นคือการแปลงโฉม SUZUKI CARRY ให้กลายเป็น ร้านสะดวกซื้อเคลื่อนที่ ซึ่งสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ชุมชนที่ห่างไกล หรือซอยเล็กๆ ในเมืองใหญ่ เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว

SUZUKI CARRY ไม่เพียงแต่เป็นรถบรรทุกอเนกประสงค์ แต่ยังเป็น “พาหนะสร้างโอกาส” ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและขยายตัวได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ภายใต้แนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าชมงาน

SUZUKI CARRY รถกระบะอเนกประสงค์ มาพร้อมเครื่องยนต์ K15B ขนาด 1.5 ลิตร มั่นใจทุกเส้นทางกับขุมกำลังเครื่องยนต์ ประหยัดน้ำมันและให้พลังการขับเคลื่อนสูง มีพื้นที่กระบะบรรทุกแบบเรียบขนาดใหญ่ สามารถเปิดได้ทั้ง 3 ด้าน เพิ่มความสะดวกในการขนถ่ายสัมภาระขึ้น-ลงเป็นเรื่องง่าย ด้วยระยะความสูงจากพื้นถึงท้ายกระบะ 750 มม. รองรับการบรรทุกสูงสุดมากถึง 945 กิโลกรัม ช่วงล่างแข็งแกร่ง ภายในห้องโดยสาร สะดวกสบายกับความกว้าง พร้อมระบบปรับอากาศ เครื่องเล่นวิทยุ และ MP เพลิดเพลินตลอดการเดินทาง SUZUKI CARRY มีราคาจำหน่ายเพียง 395,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดแคมเปญพิเศษได้ที่บูธรถยนต์ซูซูกิ ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ณ อาคาร อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 6 เมษายน 2568 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 90 แห่ง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save