- Advertisement -
29.9 C
Bangkok
Home Blog Page 4

“ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025” เปิดฉากยิ่งใหญ่

“ฮอนด้า วันเมคเรซ” เปิดฉากยิ่งใหญ่ เสิร์ฟความมันสนามระดับโลก “ธนาศิวณัฐ-ประพจน์” แบ่งชัยสนามแรกสถานการณ์ลุ้นแชมป์เข้มข้น

ศึกรถยนต์ทางเรียบชั้นนำของไทย รายการ ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 โดย บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดฉากดวลความเร็วสนามแรกของฤดูกาล เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม-1 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายใต้สุดสัปดาห์สุดยิ่งใหญ่ของเรซระดับโลกอย่าง จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย โดยนับเป็นอีกหนึ่งครั้งที่แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยให้ความสนใจอย่างมาก

ไฮไลต์ของ “ฮอนด้า วันเมคเรซ” อยู่ที่การดวลความเร็วของเกม 2 รุ่นอย่าง ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ค วันเมคเรซ และ ฮอนด้า คลับ ซึ่งในปีนี้ มีรถแข่งรวมกันทั้ง 2 รุ่นมากกว่า 40 คัน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับการแข่งขันได้อย่างเต็มเปี่ยม โดยผลการแข่งขันในเรซแรกของ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ค วันเมคเรซ ปรากฏว่าแชมป์เก่าอย่าง “วี” ธนาศิวณัฐ พงสินนัชอาชัญ จาก PT Autobacs X Mugen Thailand ที่ออกสตาร์จากโพลก่อนควบรถแข่งคู่ใจนำโด่งเข้าป้ายเป็นคันแรกด้วยเวลา 21 นาที 19.403 วินาที ประเดิมคว้าชัยชนะเรซแรกของฤดูกาลไปครอง

อันดับ 2 เป็นของนักขับมากประสบการณ์อย่าง “กอล์ฟ” ประพจน์ ชื่นวิจิตร จาก Nexzter rest club ที่แม้จะต้องออกตัวจากกริดที่ 8 แต่สามารถทะยานขึ้นมาคว้าอันดับ 2 ได้อย่างสุดมันส์ ตามหลังผู้ชนะ 25.877 วินาที ตามด้วย “เต้ย” อัฐพล แก้วอาสา จาก B-Quik Racing Team ตามหลังผู้ชนะ 30.849 วินาที ขณะที่อันดับ 4 เป็นของนักขับสาวหน้าใหม่อย่าง “ข้าวฟ่าง” ปิยะวดี พฤฒิสาร จาก A Motorsport Racing Team Tune by OP ตามหลังผู้ชนะ 33.907 วินาที และ “เอิร์ก” วสิษฐ์พล พิทักษ์วาศาภรณ์ จาก PT Autobacs X Mugen Thailand ที่จบอันดับ 7 โอเวอร์ออล์ และอันดับ 5 ในกลุ่มเกียร์ธรรมดา

ด้านผู้ชนะในรุ่นเกียร์อัตโนมัติได้แก่ “เต้” นันทวัฒน์ ชำนาญ ตามด้วย อนันต์ธร ตั้งเนียรนาทชัย และ “ยศ” ทัศไนย พัฒนพุล นักขับหน้าใหม่จาก Armstong Racing Team ในอันดับ 2 และ 3 ขณะที่ เซ็ต วัลดรอน นักขับออสเตรเลียนวัย 16 ปี จาก BENDIX SRT RACING ต้องออกจากการแข่งขันหลังรถแข่งมีปัญหา

ส่วนเรซที่ 2 มีความพลิกผันอย่างมาก เมื่อ ธนาศิวณัฐ ที่ได้ออกตัวจากโพลเจอปัญหารถแข่งเล่นงาน หลังออกตัวไปด้วยอาการ “เพลาหน้าขาด” ส่งผลให้ต้องนำรถเข้าพิตหลังผ่านรอบแรก จากนั้นเป็น ประพจน์ ที่ขยับขึ้นเป็นจ่าฝูงโดยมี อัฐพล ไล่กดดันอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเรซ ซึ่งทั้งคู่ไล่บดกันอย่างหนักจนต้องตัดสินกันถึงโค้งสุดท้าย

ก่อนที่ ประพจน์ จะป้องกันอย่างเหนียวแน่น เข้าป้ายเป็นคันแรกด้วยเวลา 21 นาที 40.830 วินาที คว้าชัยชนะไปครองอย่างสุดมันส์ เฉือน อัฐพล อันดับ 2 เพียง 0.367 วินาทีเท่านั้น ส่วนอันดับ 3 เป็นของ ปิยะวดี ตามหลัง 21.019 วินาที ตามด้วย วสิษฐ์พล อันดับ 4 ขณะที่ ธนาศิวณัฐ ไล่กวดขึ้นมาจบเรซในอันดับ 8 ขณะที่ผลการแข่งขันในรุ่น อัตโนมัติ ปรากฏว่า นันทวัฒน์ ตามด้วย เซ็ต วัลดรอน และ ทัศไนย ในอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ

ผ่านการแข่งขันสนามแรก (2 เรซ) สถานการณ์ลุ้นแชมป์เข้มข้นอย่างมาก โดย ประพจน์ รั้งจ่าฝูงบนตารางแชมเปี้ยนชิพโอเวอร์ออลล์ มีทั้งสิ้น 43 คะแนน เหนืออันดับ 2 อย่าง ธนาศิวณัฐ อยู่ 8 คะแนน อันดับ 3 ได้แก่ อัฐพล ตามหลัง 10 คะแนน

สำหรับผลการแข่งขัน ฮอนด้า คลับ ปรากฏว่าชัยชนะเรซแรกซึ่งดวลกัน 5 รอบสนาม เป็นของ อนันต์ธร ตั้งเนียรนาทชัย ที่โชว์ฟอร์มดุไล่แซงจากกริดที่ 19 เข้าป้ายเป็นคันแรกด้วยเวลา 9 นาที 29.601 วินาที ตามด้วย หทัย ไชยวรรณ อันดับ 2 ตามหลัง 3.629 วินาที ส่วนอันดับ 3 เป็นของ บัณฑิต ลัดดาแย้ม ตามหลัง 21.589 วินาที ขณะที่เรซ 2 ชัยชนะยังคงเป็นของ อนันต์ธร เช่นเคยโดยมี หทัย และ บัณฑิต ในอันดับ 2 และ 3 เช่นเคย

นอกจากนี้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ยังมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ฮอนด้าได้สัมผัสสนามแข่งระดับโลก ด้วยกิจกรรม ฮอนด้า ไดรฟ์วิ่ง คลีนิค และ ฮอนด้า แทร็ก เอ็กซ์พีเรียนซ์ ที่อบรมทักษะการขับขี่ปลอดภัย และนำผู้ใช้รถลงขับในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ สนามแข่งมาตรฐานฟอร์มูล่าวัน และ โมโตจีพี ในเมืองไทย ซึ่งมีการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคน

ทั้งนี้ ศึก ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 สนามถัดไปจะดวลความเร็วต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 มิถุนายนนี้ ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เช่นเคย ซึ่งจะถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งในศึก พีที แม็กซ์นิตรอน เรซซิ่ง ซีรีส์ 2025 สนามเปิดฤดูกาล สำหรับแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ต สามารถรับชมการถ่ายทอดสดความมันส์ การแข่งขันรายการ ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 ผ่านหน้าจอสดๆ ได้เช่นเคย ทางเพจ Honda One Make Race, GP Motorsport และ XO Autosport

GWM ฉลองส่งมอบทะลุ 1,000 คัน TANK 300 DIESELS

GWM จุดพลุฉลอง “NEW GWM TANK 300 DIESEL” กับยอดส่งมอบทะลุ 1,000 คันทั่วไทย เตรียมรับชม Live เจาะลึกเทคโนโลยีดีเซลของ GWM ครั้งแรกในไทย ในงาน “GWM DIESEL TECH NIGHT” เสาร์ที่ 7 มิถุนายนนี้

กรุงเทพฯ 2 มิถุนายน 2568 – GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users) ล่าสุด เดินหน้าสร้างแรงสั่นสะเทือนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอีกครั้ง ด้วยการประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของ “NEW GWM TANK 300 DIESEL” กับยอดส่งมอบทะลุ 1,000 คันทั่วประเทศ ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน หลังจากได้รับการตอบรับจากแฟนๆ ชาวไทยอย่างล้นหลามและเกินความคาดหมาย สะท้อนถึงคุณภาพของรถยนต์ Premium Boxy เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ GWM เตรียมเผยเบื้องหลังแบบเจาะลึกของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชั่นล่าสุด ผ่านไลฟ์สตรีมมิงในช่องทาง Facebook, YouTube และ TikTok ของ GWM Thailand ในวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568 นี้ ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ความสำเร็จของ NEW GWM TANK 300 DIESEL นี้สะท้อนถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ GWM มุ่งมั่นพัฒนายนตรกรรมที่ยึดการรับฟังเสียงของผู้บริโภคและใช้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User Centric) เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ “ดีกว่า” และ “เหนือกว่า” ในทุกมิติ ตลอดช่วงเวลาของการเป็นเจ้าของรถยนต์คุณภาพของ GWM ภายใต้แนวคิด “GWM Go With More”

มร.เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) กล่าวว่า “ขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่เชื่อมั่นในยนตรกรรมคุณภาพอย่าง NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่มาพร้อมเทคโนโลยีดีเซลใหม่ล่าสุดของ GWM ในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา เราได้เพิ่มกำลังการผลิตที่โรงงานอัจฉริยะจังหวัดระยอง และสามารถส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าของเรามากกว่า 1,000 รายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยภายในเดือนมิถุนายน เราจะสามารถส่งมอบรถยนต์ได้เพิ่มอีกประมาณ 1,000 คัน รวมเป็นทั้งสิ้นกว่า 2,000 คัน จากความสำเร็จดังกล่าว เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นของ GWM ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตอบโจทย์การใช้งานของชาวไทยด้วยตัวเลือกพลังงานและเครื่องยนต์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ไฮบริด, ปลั๊กอิน-ไฮบริด, รถยนต์ไฟฟ้า 100% และล่าสุดกับเครื่องยนต์ดีเซลที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ใช้งานชาวไทย GWM เชื่อว่าการดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืนภายใต้ความท้าทายในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ คือ การส่งมอบทุกประสบการณ์ที่ดีกว่า และเหนือกว่าอย่างแท้จริงในทุกด้าน ทั้งด้านการขายและการบริการหลังการขาย เพื่อรอยยิ้มและความไว้วางใจของลูกค้าชาวไทยทั่วประเทศ”

บทพิสูจน์ความสำเร็จของ NEW GWM TANK 300 DIESEL คือ ความโดดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชั่นล่าสุดที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานในทุกการเดินทาง ทั้งในเมืองและนอกเมือง ด้วยเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง มอบพละกำลังและแรงบิดที่เร้าใจ พร้อมความนิ่ง เงียบ และนุ่มนวลในการขับขี่ รวมถึงการประหยัดพลังงาน และด้วยดีไซน์อันโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร เท่ทุกมุมมอง ร่วมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะด้านความปลอดภัย ทำให้รถยนต์ PPV รุ่นนี้กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ตั้งแต่กลุ่มคนรักออฟโรด นักเดินทาง ไปจนถึงผู้ใช้งานในเมืองที่ต้องการรถยนต์ที่ใช้งานได้อย่างหลากหลายและครอบคลุม

GWM เตรียมเผยเทคโนโลยีดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่แบบเจาะลึกของ NEW GWM TANK 300 DIESEL ในงาน GWM DIESEL TECH NIGHT รับชมพร้อมกันทั่วประเทศกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำหน้าของเครื่องยนต์ดีเซล ที่สร้างความแตกต่างจากเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิมๆ และสามารถครองใจผู้ใช้งานชาวไทยภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ติดตามรับชม Live สดกับกิจกรรม GWM DIESEL TECH NIGHT ในวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568 นี้ ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ทาง Facebook, YouTube และ TikTok ของ GWM Thailand

มิตซูบิชิ ไทรทัน เปิดรุ่นปี 2025 ลุคใหม่ เข้มดุดันเต็มขั้น

มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นปี 2025 ลุคใหม่ เข้มเต็มขั้น ดุดันในทุกมิติ กับเอกลักษณ์ที่มีสไตล์ พร้อมฟังก์ชันจัดเต็ม

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เผยโฉม มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นปี 2025 ที่ได้รับการพัฒนาทั้งรูปลักษณ์ที่สะท้อนความดุดันมากยิ่งขึ้น ด้วยชิ้นส่วนสีดำเงารอบคัน ให้ความรู้สึกทรงพลัง โดดเด่น มีสไตล์ เพิ่มระบบอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีที่ช่วยในการขับขี่ เพื่อยกระดับสมรรถนะการขับขี่ให้สนุก เร้าใจ และเหนือชั้นกว่าเคย

มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงรถกระบะสมรรถนะสูง แต่ยังเป็นรถที่มีดีไซน์การออกแบบที่โฉบเฉี่ยว จากการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า เรามีการปรับปรุงทั้งดีไซน์ภายนอก และเพิ่มระบบอำนวยความสะดวกภายในมาอย่างครบครัน เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งในรูปแบบการใช้งานในชีวิตประจำวัน และวันหยุดพักผ่อนในวันสุดสัปดาห์”

นอกจากการพัฒนารถให้ตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยเพิ่มมากขึ้นในทุกมิติแล้ว มิตซูบิชิ ยังมอบความสบายใจให้กับลูกค้า ด้วยบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม จากเครือข่ายผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพ กระจายอยู่กว่า 190 แห่งทั่วประเทศไทย เพื่อให้บริการลูกค้าทุกท่านได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ด้วยมาตรฐานสูงสุด” มร.อินาบะ กล่าวเพิ่ม

มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นปี 2025 ปรับโฉมใหม่ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ในรุ่น มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ พลัส อัลตร้า (รุ่น 4 ประตูยกสูง) ตกแต่งด้วยชิ้นส่วนสีดำเงารอบคัน เพื่อเพิ่มความเข้ม เท่ และดุดันมากกว่าเดิม ด้วยไดนามิก ชิลด์สีดำเงา กรอบไฟตัดหมอกสีดำเงา กระจกมองข้างสีดำเงา มือเปิดประตูด้านนอกสีดำเงา มือเปิดกระบะท้ายสีดำเงา กันชนหลังสีดำตกแต่งด้วยสีไทเทเนียมรมดำ บันไดข้างสีดำ ตกแต่งสีไทเทเนียมรมดำ และล้ออัลลอยสีดำ ขนาด 18 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ภายในห้องโดยสารของ มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ พลัส อัลตร้า (รุ่น 4 ประตู ยกสูง) เพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control : ACC) ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าความเร็วตามที่กำหนด และระบบจะใช้เรดาห์ในการคำนวณเพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าตามที่เหมาะสม และสามารถชะลอความเร็วของรถให้เองโดยอัตโนมัติจนถึงจุดหยุดนิ่ง เพิ่มเติมจากเทคโนโลยีความปลอดภัย ไดมอนด์ เซนส์ (Diamond Sense) และยังยกระดับความพรีเมียมไปอีกขั้น ด้วยระบบฟอกอากาศ nanoeTMX ที่ติดตั้งอยู่กับระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระ ซ้าย-ขวา มีคุณสมบัติในการสร้างอากาศบริสุทธิ์ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ให้ความสดชื่น และลดอาการอ่อนเพลียในการเดินทาง มาพร้อมเบาะที่นั่งหนังสังเคราะห์ มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน (Heat Guard) ให้ความสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ขับขี่เร้าใจไปกับเครื่องยนต์ คลีนดีเซล เทอร์โบ ไฮเปอร์พาวเวอร์ (Hyper Power) ให้พละกำลังที่เหนือกว่าและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ด้วยกำลังสูงสุดที่ 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ผสานช่วงล่างใหม่และแชสซีส์เมกาเฟรมใหม่ที่ใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มสบายเหนือระดับ คล่องตัวทั้งในเมืองและขณะเดินทางไกล

ทั้งนี้ สำหรับรถกระบะรุ่นเรือธง มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) เพิ่มความสะดวกสบายในห้องโดยสารขึ้นกว่าเดิม ด้วยระบบฟอกอากาศ nanoeTMX  สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ตลอดการเดินทาง นอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกที่สะดุดตา สปอร์ต ดุดัน ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์และไม่ซ้ำกับใคร การันตีด้วยรางวัลด้านการออกแบบระดับโลก iF Design Award 2024 แรงขึ้นไปอีกขั้น ด้วยเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์ พาวเวอร์ เอ็กซ์ ทู (Hyper Power X2)” เครื่องยนต์คลีนดีเซล เทอร์โบสองสเตจ (Two-Stage Turbo) ผสานขุมพลังด้วยกำลังสูงสุดที่ 204 แรงม้า โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Super Select 4WD II ที่มีชื่อเสียงของมิตซูบิชิ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการส่งกำลังของเครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อนให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง

นอกจาก สองรุ่นข้างต้น มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ (รุ่น 4 ประตู) มาในลุคใหม่ เข้มเต็มขั้นยิ่งกว่าเดิม ด้วยไฟหน้า และไฟเดย์ไทม์ LED แบบใหม่ พร้อมเสริมความเข้ม ด้วยชิ้นส่วนตกแต่งสีดำเงา ไดนามิก ชิลด์สีดำเงา และกรอบไฟตัดหมอกสีดำเงา กระจกมองข้างสีดำเงา มือเปิดประตูด้านนอกสีดำเงา มือเปิดกระบะท้ายสีดำเงา และกันชนหลังสีดำตกแต่งด้วยสีไทเทเนียมรมดำ ขับสนุกด้วยกำลังสูงสุดที่ 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร

มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นปี 2025 มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 722,000 บาท สำหรับรุ่น มิตซูบิชิ ดับเบิ้ล แค็บ พลัส (รุ่น 4 ประตูยกสูง) มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 914,000 บาท และ มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ขับเคลื่อนสี่ล้อ (4WD) มีราคาจำหน่ายเริ่มต้น 1,299,000 บาท สามารถนัดหมายเพื่อทดลองขับ และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ผู้จำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิทั่วประเทศ หรือ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์  02-079-9500 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

โปรโมชั่นพิเศษ

รุ่นรถยนต์รายการ
มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ พลัส รุ่นปี 2025เลือกรับ ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% นาน 48 เดือน เลือกรับ แพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) มูลค่าสูงสุด
28,300 บาท พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี มูลค่า 8,950 บาท รับฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี มูลค่าสูงสุด 19,100 บาท รับประกันคุณภาพนาน 5 ปี พร้อมฟรีค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี มูลค่าสูงสุด 5,196 บาท ครอบครัวมิตซูบิชิรับส่วนลดเพิ่ม 10,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน M-Drive
มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท
ขับเคลื่อน
4 ล้อ รุ่นปี 2025
เลือกรับ ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% นาน 48 เดือน เลือกรับ แพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) มูลค่าสูงสุด
28,300 บาท พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี มูลค่า 8,950 บาท รับฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี มูลค่าสูงสุด 22,100 บาท รับประกันคุณภาพนาน 5 ปี  พร้อมฟรีค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี มูลค่าสูงสุด 5,196 บาท ครอบครัวมิตซูบิชิรับส่วนลดเพิ่ม 10,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน M-Drive

หมายเหตุ : เงื่อนไขและรายละเอียดเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด หลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

*รางวัล iF DESIGN AWARD ถือเป็นหนึ่งในรางวัลด้านการออกแบบอันทรงเกียรติระดับโลก ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาอย่างยาวนานกว่า 70 ปี ได้รับการก่อตั้งโดยสถาบัน iF International Forum Design GmbH ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ เมืองฮันโนเวอร์ ประเทศเยอรมนี ภายใต้ 5 หลักเกณฑ์การพิจารณา ได้แก่ แนวคิด (idea) รูปทรง (form) การใช้งาน (function) ความโดดเด่นและแตกต่าง (differentiation) และ กระแสตอบรับ (impact)

ตลาดรถยนต์เดือนเมษายน ยอดขาย 47,193 คัน เพิ่มขึ้น 3.6%

ตลาดรถยนต์เดือนเมษายน ยอดขาย 47,193 คัน ตลาดรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น 3.6% ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ยังคงลดลงที่ 0.6%

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนเมษายน 2568 ยอดขายตลาดรวม 47,193 คัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 17,917 คัน เพิ่มขึ้น 3.6% ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 29,276 คัน ลดลง 0.6% และรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขายทั้งหมด 13,896 คัน ลดลง 21.4%

ตลาดรถยนต์เดือนเมษายน 2568 มียอดขาย 47,193 คัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว กลุ่มตลาดรถยนต์นั่งปรับตัวดีขึ้น ด้วยยอดขาย 17,917 คัน เพิ่มขึ้น 3.6% จากปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวลงเล็กน้อย ยอดขาย 29,276 คัน ลดลง 0.6% และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขาย 13,896 คัน ลดลง 21.4% ในส่วนของตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 21,897 คัน คิดเป็นสัดส่วน 46.4% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 43.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ยอดขายรถยนต์ HEV ลดลงที่ 13.4% ด้วยยอดขาย 8,892 คัน และยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 11,280 คัน เพิ่มขึ้น 163.4%

ตลาดรถยนต์เดือนพฤษภาคม มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นจากเดือนเมษายน ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และการทยอยส่งมอบรถยนต์จากช่วงงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46” ซึ่งโตโยต้าเองมียอดจองภายในงานมอเตอร์โชว์ มากกว่า 9,600 คัน โดยโตโยต้าได้ส่งมอบรถ สู่ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลแล้วกว่า 7,600 คัน ในเดือนเมษยนที่ผ่านมา

“นอกจากนี้ โตโยต้าต้องขอขอบคุณภาครัฐสำหรับมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ เช่น โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ “บสย. SMEs PICK-UP” “กระบะพี่มีคลังค้ำ” ที่อาจมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อเพื่อลงทุนในธุรกิจ” นายศุภกร กล่าวในที่สุด

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนเมษายน 2568

  1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 47,193 คัน เพิ่มขึ้น 1%        
  2. -อันดับที่ 1 โตโยต้า        17,900 คัน  ลดลง 7.8% ส่วนแบ่งตลาด         37.9%
  3. -อันดับที่ 2 บีวายดี          6,554 คัน   เพิ่มขึ้น 630.7% ส่วนแบ่งตลาด    13.9%
  4. -อันดับที่ 3 อีซูซุ            5,616 คัน   ลดลง 18.1% ส่วนแบ่งตลาด        11.9%
  5. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 17,917 คัน เพิ่มขึ้น 3.6%     
  6. อันดับที่ 1 โตโยต้า        6,351 คัน   เพิ่มขึ้น 15.5% ส่วนแบ่งตลาด    35.4%
  7. อันดับที่ 2 บีวายดี         2,797 คัน    เพิ่มขึ้น 311.3% ส่วนแบ่งตลาด  15.6%
  8. อันดับที่ 3 ฮอนด้า         2,012 คัน    ลดลง 41.5%                ส่วนแบ่งตลาด  11.2%
  9. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 29,276 คัน ลดลง 0.6%   

อันดับที่ 1 โตโยต้า        11,549 คัน ลดลง 17%    ส่วนแบ่งตลาด         39.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            5,616 คัน ลดลง 18.1%   ส่วนแบ่งตลาด         19.2%

อันดับที่ 3 บีวายดี         3,757 คัน เพิ่มขึ้น 1,631.3% ส่วนแบ่งตลาด    12.8%

  • ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*)  ปริมาณการขาย 13,896 คัน ลดลง 21.4%  

อันดับที่ 1 โตโยต้า        6,410 คัน ลดลง 25.9%   ส่วนแบ่งตลาด 46.1%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            4,865 คัน ลดลง 20.1%   ส่วนแบ่งตลาด  35%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด          1,622 คัน ลดลง 19.5% ส่วนแบ่งตลาด 11.7%

                *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 2,879 คัน

 โตโยต้า 1,190 คัน -– อีซูซุ 885 คัน -– ฟอร์ด 606 คัน – มิตซูบิชิ 164 คัน – นิสสัน 34 คัน

  • ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 11,017 คัน ลดลง 21.7%        

อันดับที่ 1 โตโยต้า 5,220 คัน   ลดลง 28.6%        ส่วนแบ่งตลาด 47.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ     3,980 คัน  ลดลง  21.1%        ส่วนแบ่งตลาด 36.1%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด  1,016 คัน   เพิ่มขึ้น 1.3%        ส่วนแบ่งตลาด 9.2%     

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม –  เมษายน 2568

  1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 200,386 คัน ลดลง 4.8%   
  2. อันดับที่ 1 โตโยต้า 75,583 คัน ลดลง   3.4% ส่วนแบ่งตลาด 37.7%
  3. อันดับที่ 2 อีซูซุ    25,905 คัน ลดลง   17.2% ส่วนแบ่งตลาด         12.9%
  4. อันดับที่ 3 ฮอนด้า 24,725 คัน ลดลง 19.8%  ส่วนแบ่งตลาด                12.3%
  5. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 76,151 คัน ลดลง 8.1%             
  6. อันดับที่ 1 โตโยต้า 25,976 คัน เพิ่มขึ้น 17.4%      ส่วนแบ่งตลาด 34.1%
  7. อันดับที่ 2 ฮอนด้า 12,896 คัน ลดลง   26.9%      ส่วนแบ่งตลาด 16.9%
  8. อันดับที่ 3 บีวายดี 6,965 คัน   ลดลง 19.5%       ส่วนแบ่งตลาด  9.1%
  9. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 124,235 คัน ลดลง 2.6%                

อันดับที่ 1 โตโยต้า 49,607 คัน ลดลง 11.6%        ส่วนแบ่งตลาด 39.9%

อันดับที่ 2 อีซูซุ    25,905 คัน  ลดลง 17.2%        ส่วนแบ่งตลาด20.9%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า 11,829 คัน  ลดลง 10.4%        ส่วนแบ่งตลาด  9.5%

  • ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 63,758 คัน ลดลง 14%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 28,479 คัน ลดลง 16%         ส่วนแบ่งตลาด 44.7%

อันดับที่ 2 อีซูซุ    22,899 คัน  ลดลง 16.9%        ส่วนแบ่งตลาด 35.9%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด  6,556 คัน   ลดลง 17.5%        ส่วนแบ่งตลาด 10.3%

                *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 12,266 คัน โตโยต้า 4,735 คัน – อีซูซุ 4,299 คัน – ฟอร์ด 2,442 คัน – มิตซูบิชิ 646 คัน – นิสสัน 144 คัน

  • ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 51,492 คัน ลดลง 15.1%

อันดับที่ 1 โตโยต้า 23,744 คัน ลดลง 17.9%        ส่วนแบ่งตลาด 46.1%

อันดับที่ 2 อีซูซุ    18,600 คัน   ลดลง  20.4%       ส่วนแบ่งตลาด 36.1%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด  4,114 คัน   ลดลง  14.2%       ส่วนแบ่งตลาด 8% 

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ออกแคมเปญส่วนลดค่าอะไหล่ 30%

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ต้อนรับกลางปีด้วยส่วนลดค่าอะไหล่ 30%* กับแคมเปญ “Shining in June” สำหรับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ให้ความสำคัญในการดูแลลูกค้าที่ใช้รถยนต์มากกว่า 5 ปี ให้คงสภาพการใช้งานให้เหมือนวันแรกที่ใช้งาน เพื่อตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้าที่เข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง ด้วยแคมเปญ “Shining in June” มอบสิทธิพิเศษให้กับเจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกรุ่น (รวมถึงรถ Van) ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี (นับจากวันส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563) รับส่วนลดค่าอะไหล่ 30%* จากราคาขายแนะนำปกติ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เมื่อนำรถเข้ารับบริการหลังการขาย ที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 ถึง 30 มิถุนายน 2568 เพื่อมอบความมั่นใจให้กับลูกค้าคนสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในทุกการเดินทาง

รายละเอียดบริการที่เข้าร่วมรายการตามเงื่อนไขสำหรับลูกค้า ดังนี้

•ลูกค้าที่เข้ารับบริการทุกประเภทงาน ได้แก่ งานเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง รวมถึงงานซ่อมทั่วไป เฉพาะรายการที่ลูกค้าเป็นผู้ชำระเงินค่าอะไหล่/ค่าแรงและค่าบริการด้วยตนเองเท่านั้น

หมายเหตุ : ไม่รวมลูกค้างานรับประกันคุณภาพ (Warranty-วารันตี), งานภายใต้แพ็กเกจ MBSP, การซื้อแพ็กเกจ MBSP, งาน Internal, งานเคลมประกันภัย และงานซ่อมสี/ตัวถัง, การซื้ออะไหล่หน้าร้าน และผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ทุกประเภท, งานบริการหรืองานซ่อมสำหรับรถยนต์ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ (Fleet))

*เงื่อนไขเพิ่มเติม :

1.สิทธิพิเศษลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกรุ่น (รวมรถ Van) ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปีขึ้นไป (โดยนับจากวันส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563) ที่เข้ารับบริการ ณ ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568 และชำระค่าใช้จ่ายภายในระยะเวลาที่กำหนด

2.สิทธิพิเศษนี้เฉพาะงานที่ลูกค้าที่ชำระเงินค่าอะไหล่, ค่าแรงและค่าบริการด้วยตนเองเท่านั้น (ไม่รวมลูกค้างานรับประกันคุณภาพ (Warranty-วารันตี), งานภายใต้แพ็กเกจ MBSP, การซื้อแพ็กเกจ MBSP, งาน Internal, งานเคลมประกันภัย และงานซ่อมสี/ตัวถัง, การซื้ออะไหล่หน้าร้าน และผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ทุกประเภท, งานบริการหรืองานซ่อมสำหรับรถยนต์ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์ (Fleet))

3.สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถแลก เปลี่ยน หรือทอนเป็นเงินสดได้

4.ส่วนลดดังกล่าวไม่รวมค่าแรง

5.เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด กรณีมีข้อโต้แย้ง การตัดสินของบริษัทฯ ถือเป็นที่สิ้นสุด

6.โปรดตรวจสอบรายละเอียดแคมเปญได้ ณ ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ

สอบถามข้อมูลและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ หรือผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://mb4.me/TH_CSSpecialOffers หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้าฯ โทร. 1250

ทั้งนี้ เงื่อนไขให้เป็นไปตามที่บริษัทฯ และศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการกำหนด

โตโยต้า อเปิดศูนย์การเรียนรู้ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ แห่งที่ 7

โตโยต้า เปิดศูนย์การเรียนรู้ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ แห่งที่ 7 ส่งต่อแนวคิด “TSI Way” สู่ผู้ประกอบการในภาคตะวันออก

นายสมพร กาญจน์นิรันดร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วย นายนันทวัฒน์ ศรีวรัตน์อัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นางสาวจริยจันทร์ จันทศาศวัต ผู้บริหาร บริษัท โตโยต้าจันทบุรี (1972) ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด และนางวรรณี บุญสวัสดิ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่ ร่วมเปิด “ศูนย์การเรียนรู้ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ แห่งที่ 7” ณ “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่” จังหวัดจันทบุรี

“โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” เกิดจากการที่โตโยต้าเล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมุ่งหวังที่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา ปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานของธุรกิจชุมชนไทยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มพูนกำไร และดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน จึงได้ดำเนินโครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” มาโดยตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา และมีส่วนช่วยพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไปแล้วกว่า 39 ธุรกิจ ทั่วประเทศ

“วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่” จังหวัดจันทบุรี เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน มีผลิตภัณฑ์ทุเรียนทอดภายใต้ชื่อแบรนด์ “ป้าแกลบ” เป็นสินค้าขึ้นชื่อในจังหวัดจันทบุรี โดยมี คุณวรรณี บุญสวัสดิ์ เป็นผู้บริหาร ซึ่งทางวิสาหกิจฯ ได้เข้าร่วมกิจกรรมปรับปรุงธุรกิจภายใต้โครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ ในปี พ.ศ. 2565 โดยโตโยต้าได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือในลักษณะของการเป็น “พี่เลี้ยงทางธุรกิจ” ด้วยการนำแนวคิด “วิถีชุมชนพัฒน์ หรือ TSI Way” ผสมผสานร่วมกับภูมิปัญญาชุมชน ไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทและความพร้อมของวิสาหกิจฯ และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดียิ่งขึ้น

เริ่มจากการเข้าไปศึกษาดูกระบวนการทำงานจริงของวิสาหกิจฯ มองหาความสูญเปล่าในการดำเนินงานและปรึกษาหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน พร้อมแนะนำวิธีการปรับปรุงพัฒนากระบวนการทำงานต่างๆ โดยใช้องค์ความรู้ด้านการผลิตของโตโยต้า ตลอดจนส่งเสริมการสร้างมาตรฐานเพื่อควบคุมคุณภาพให้สม่ำเสมอ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจใน 5 ด้านหลัก ทั้งในด้านผลิตภาพ (Productivity) คุณภาพ (Quality) การส่งมอบสินค้าที่ตรงเวลา (Delivery) การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory) และต้นทุนในกระบวนการ (Work in process) ซึ่งมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานของวิสาหกิจฯ มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่างๆอย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และสร้างผลกำไร พร้อมทั้งมุ่งหวังให้สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดและพัฒนาอย่างยั่งยืน

“วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่” ได้นำแนวคิด “วิถีชุมชนพัฒน์ หรือ TSI Way” ของโตโยต้ามาปรับปรุงการดำเนินงานในธุรกิจทุเรียนทอดของตนเอง ดังนี้

1.) ปรับปรุงกระบวนการคัดแยกเกรดและผ่าแยกเปลือกทุเรียนดิบ

จากเดิมที่เคยประสบปัญหาการคัดแยกเกรดทุเรียน เนื่องจากมีปริมาณมากและมีหลายเกรดวางปะปนกัน จนทำให้พนักงานไม่สามารถแยกลำดับความสุกและลำดับการนำไปผ่าก่อน-หลังได้ จนทำให้มีจำนวนทุเรียนตกค้างเนื่องจากสุกเกินกว่าจะนำไปผ่าเพื่อทอดเป็นทุเรียนทอด ถือเป็นความสูญเปล่าด้านวัตถุดิบ ทางโตโยต้าจึงแนะนำการปรับปรุงโดยการนำเข่งแยกสีมาใส่ทุเรียนตามเกรดพร้อมกำหนดจุดวางแยกสีให้ชัดเจน (Visualization) เพื่อให้ในการนำไปผ่า สามารถเรียงลำดับตามเกรดได้อย่างชัดเจนตามสีของเข่ง ว่าทุเรียนชุดไหนควรนำไปผ่าก่อน-หลัง มีส่วนช่วยทำให้สามารถลดและป้องกันการตกค้างของทุเรียนได้ พนักงานสามารถคัดแยกทุเรียนที่ต้องนำไปผ่าได้ง่ายและทำงานสะดวกยิ่งยึ้น สามารถลดปริมาณของเสียลงได้ 70% ลดต้นทุนได้ 4.8 แสนบาทต่อปี

2.) ปรับปรุงกระบวนการผ่าแยกทุเรียนไปจนถึงกระบวนการสไลด์แผ่นทุเรียน

จากเดิมที่เคยประสบปัญหาเรื่องการยกเข่งทุเรียนเข้าสู่กระบวนการผ่าแยก ไปจนถึงกระบวนการสไลซ์ให้เป็นแผ่น ซึ่งทำให้พนักงานต้องเสียเวลาในการขนย้ายเข่งทุเรียนเป็นเวลา 2นาที ต่อเข่ง รวมแล้ว 160 นาที ต่อวัน ทางโตโยต้าเล็งเห็นถึงความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในการเคลื่อนย้ายตรงจุดนี้ จึงได้นำแนวคิด Just in time มาปรับปรุงโดยการปรับแผนผังการทำงานในแต่ละขั้นตอนให้มีความต่อเนื่องกัน (Continuous flow) พร้อมเสริมด้วยการนำกลไกคาราคูริ (KARAKURI) ในรูปแบบของรางเลื่อนมาใช้ทุ่นแรงในการขนย้ายเข่งทุเรียนแทนการที่พนักงานต้องยกและเดินไปตามจุดต่างๆด้วยตนเอง สามารถลดเวลาในการเดินลงได้100% พนักงานทำงานสบายขึ้น และช่วยให้ประสิทธิผลในกระบวนการนี้เพิ่มขึ้น 49% จาก 68 กิโลกรัม/คน/ชั่วโมง เป็น  102 กิโลกรัม/คน/ชั่วโมง

3.) ปรับปรุงกระบวนการคัดเกรดทุเรียนหลังการทอด

จากเดิมที่เคยประสบปัญหาเรื่องการเสียเวลาอย่างมากในการร่อนคัดเกรดทุเรียน เนื่องจากมีขั้นตอนเยอะ อุปกรณ์ที่ใช้ร่อนทำได้ในปริมาณน้อย และสิ้นเปลืองกำลังคนที่ต้องใช้ในกระบวนการนี้ 3-4 คน จนเป็นปัญหาคอขวดในกระบวนการผลิต ทางโตโยต้าจึงช่วยออกแบบและสร้างเครื่องร่อนที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทนกำลังคน มาทดลองติดตั้งใช้จริงในกระบวนการ จนสามารถร่อนคัดเกรดทุเรียนได้จำนวนเพิ่มขึ้น 4 เท่า

4.) ปรับปรุงกระบวนการสต็อกทุเรียนก่อนและหลังการอบ

จากเดิมที่เคยประสบปัญหาเรื่องทุเรียนในสต็อกมีหลายเกรดวางปะปนกัน พนักงานไม่ทราบว่าในสต็อกมีทุเรียนแต่ละเกรดจำนวนเท่าไร จะใช้หมดเมื่อไร และจำเป็นต้องเติมสต็อกเมื่อไร ทำให้เสียเวลามากในการค้นหาเพื่อนำไปใช้ ทางโตโยต้าจึงแนะนำการปรับแผนผังการจัดวางสต็อกใหม่ โดยกำหนดจุดวางและทำป้ายกำกับที่เห็นชัดเจน (Visualization) พร้อมทั้งนำแนวคิด Just in time มาทำการปรับจำนวนสต็อกให้สอดคล้องกับปริมาณการขายในแต่ละเดือน รวมถึงกำหนดมาตรฐานการนำเข้าและออกของทุเรียนในสต็อกเพื่อควบคุม FIFO (First in first out) และช่วยลดเวลาการทำงานและค้นหาสินค้าในสต็อกของพนักงานลงได้ 7%

5.) ปรับปรุงการวางแผนการบรรจุและการส่งมอบ

จากเดิมที่เคยประสบปัญหาเรื่องออเดอร์ตกค้างและการบรรจุล่าช้า เนื่องจากมีออเดอร์ลูกค้าที่ส่งมาจากฝ่ายขายเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน โดยใบออเดอร์จะถูกนำมาวางปะปนกัน ไม่รู้ลำดับออเดอร์ก่อน-หลัง ขาดการวางแผนการบรรจุที่ดี ทางโตโยต้าจึงได้แนะนำการปรับปรุงโดยนำระบบควบคุมผ่านการมองเห็น หรือ Visual Control Board มาจัดทำเป็นบอร์ดวางแผนการบรรจุสินค้าให้พนักงานทุกคนได้รับทราบ โดยใบออเดอร์จากฝ่ายขายทุกใบ จะถูกนำมาเรียงลำดับในกล่องที่บอร์ดวางแผนการบรรจุ ช่วยให้ไม่เกิดสินค้าตกค้างจากออเดอร์ตกหล่นหรือหลงลืม พนักงานสามารถทราบยอดออเดอร์และการส่งมอบในแต่ละวัน พร้อมทั้งสื่อสารและติดตามความคืบหน้าของงานในกระบวนการของแต่ละคนได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามงานและสามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ตรงเวลา 100%

โตโยต้าได้ส่งมอบโครงการแก่ “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่” ภายหลังการปรับปรุงเสร็จสิ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2565 และได้ติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พบว่า วิสาหกิจฯ ยังคงรักษาวัฒนธรรมการปรับปรุงและพัฒนาด้วยตนเองตามหลัก “วิถีชุมชนพัฒน์” อย่างต่อเนื่อง มีการจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงบริหารการดำเนินงานได้อย่างมืออาชีพ สามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลา 100% นอกจากนี้ วิสาหกิจฯ ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในการปรับปรุงพื้นที่ดูงาน และการติดตั้งเครื่องร่อนคัดเกรดทุเรียน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานอีกด้วย

จากศักยภาพดังกล่าว บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศ จึงเห็นชอบในการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรีอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ “โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์” แห่งที่ 7 ต่อจากศูนย์การเรียนรู้ 6 แห่ง ที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดสงขลา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสระบุรี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการแบ่งปันประสบการณ์การปรับปรุงธุรกิจแก่ผู้ประกอบการที่สนใจในภาคตะวันออกและพื้นที่ใกล้เคียง ได้นำไปใช้ปรับปรุงธุรกิจของตนต่อไป

ทั้งนี้ โตโยต้ามุ่งหวังให้ศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการถ่ายทอดแนวคิดในการปรับปรุงธุรกิจ ส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งการแบ่งปันความรู้ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กลุ่มธุรกิจชุมชนทั่วประเทศ สามารถนำไปต่อยอดในการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองและสร้างเสถียรภาพแก่เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

GWM ชำแหละเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T

GWM ชำแหละเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนฯ ใหม่ล่าสุดของ GWM TANK 300 DIESEL เผย 7 นวัตกรรมการดีไซน์เครื่องยนต์ ที่สร้างความนิ่ง เงียบ และนุ่มนวลในทุกการเดินทาง

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ตอกย้ำการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่องและความสำเร็จที่ก้าวไปอีกขั้นของ NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่ครองใจพี่น้องชาวไทยด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำที่ยกระดับเครื่องยนต์ดีเซลในประเทศไทยไปอีกขั้น ทั้งด้านพละกำลังและสมรรถนะ การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์จากสื่อมวลชนหลายแขนงและลูกค้าผู้ใช้จริงกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ ที่มีการออกแบบให้ลดเสียงและแรงสั่นสะเทือน มอบประสบการณ์การขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวล แฟนๆ ของ GWM เตรียมสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในงาน “GWM DIESEL TECH DAY” กับปรากฏการณ์ครั้งแรกในประเทศไทยที่เจาะลึกเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลเจนเนอชั่นใหม่ล่าสุด รวมถึงการรวมตัวของเหล่าผู้ใช้งาน GWM TANK 300 จากทั่วประเทศ ที่พร้อมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ไปด้วยกัน ในวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ณ RARIN Bangkok Riverside Venue

เผย 7 จุดเด่นของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลของ GWM ที่ช่วยให้การขับขี่ NEW GWM TANK 300 DIESEL นิ่ง เงียบ นุ่มนวล กว่าที่เคย

•การออกแบบลดแรงสั่นสะเทือนของท่อเชื้อเพลิงแรงดันสูง (High-Pressure Fuel Pipe Vibration Damping Design) ทิศทางการเดินท่อน้ำมันแรงดันสูงได้รับการปรับให้เหมาะสม พร้อมตําแหน่งการยึดที่ได้รับการปรับปรุงให้แข็งแรงยิ่งขึ้น  เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเสียงสะท้อนความถี่และเสียงรบกวนที่ผิดปกติ  ปกติแล้วท่อน้ำมันเชื้อเพลิงแรงดันสูงในเครื่องยนต์ดีเซลมักเกิดเสียงและแรงสั่นสะเทือนขณะทำงาน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของแรงดันน้ำมันในระบบอย่างรวดเร็วจากการเปิดปิดของหัวฉีดและปั๊มน้ำมันเครื่อง การออกแบบนี้ จะสามารถช่วยลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนของท่อน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เพิ่มความรู้สึกนิ่ง เงียบ สบาย ตลอดทั้งการเดินทาง

•วัสดุดูดซับเสียงรอบระบบเชื้อเพลิง (Passive Noise Reduction) บริเวณหัวฉีดและปั๊มเชื้อเพลิงเป็นแหล่งกำเนิดเสียงที่สำคัญในเครื่องยนต์ดีเซล สามารถสังเกตได้จากเวลาสตาร์ทรถ ถ้าเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิมๆ อาจมีเสียง “แกร๊กๆ” ชัดเจน แต่เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนฯ ใหม่ล่าสุดของ GWM ใช้ฉนวนกันเสียงชั้นดีหุ้มบริเวณนี้ เพื่อดูดซับเสียงที่เกิดจากการฉีดเชื้อเพลิงแรงดันสูง และลดเสียงคล้ายการกระแทกเบาๆ ที่อาจได้ยินจากห้องโดยสาร ให้เสียงที่เงียบไม่รบกวนทั้งสมาชิกในบ้านและเพื่อนบ้านรอบข้าง

•การออกแบบระบบไทม์มิ่งที่ปรับปรุงใหม่ (Optimized Timing System Design) GWM มีการออกแบบระบบไทม์มิ่งใหม่ทั้งความตึงสายพานและลูกรอกที่มีการปรับให้เหมาะสม เพื่อช่วยลดเสียงรบกวนของสายพานในขณะทำงาน นอกจากนี้ ฝาครอบเครื่องยนต์ที่ทาง GWM ใช้ ทำจากวัสดุผสมคือ ด้านบนทำจากพลาสติกที่มีความยืดหยุ่น และด้านล่างทำจากอะลูมิเนียมที่ช่วยดูดซับเสียงสะท้อน เหมาะกับการลดเสียงความถี่สูงที่อาจกระจายเข้าห้องโดยสาร เช่น เวลาขับในอุโมงค์หรือลานจอดรถใต้ดิน ด้วยการออกแบบพิเศษนี้ส่งผลให้ผู้ขับขี่ได้ยินแค่เสียงล้อกับถนน ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์สะท้อนกวนใจในระหว่างขับขี่

•เพลาลูกเบี้ยวแบบขนานพร้อมเฟืองพิเศษ ลดเสียงกระแทกของกลไกภายใน (Parallel Camshaft Coupling with Anti-Backlash Gears) กลไกของเครื่องยนต์ เช่น เพลาลูกเบี้ยว (Camshaft) ทำงานด้วยเฟืองที่อาจส่งเสียงขบหรือกระแทกหากออกแบบไม่ดี แต่เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ล่าสุดที่ใช้กับ GWM TANK 300 DIESEL ใช้เพลาขนานและเฟืองที่ออกแบบพิเศษ (Anti-Backlash Gears) เพื่อลดเสียงและแรงกระแทกภายใน จึงทำให้เสียงกลไกขณะเร่งเครื่องนุ่มนวลขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่กำลังเร่งแซงหรือขับขึ้นเขา เสียงเครื่องจะไม่ดังแหลมหรือรัวจนน่ารำคาญ แต่ให้ความรู้สึกที่เงียบและนุ่มนวลมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลแบบทั่วไป

•เพลาสมดุลแบบใหม่ ติดตั้งด้านท้ายเครื่องยนต์เพื่อลดแรงสะเทือนจากการหมุน (Rear-End Gear Drive for Balance Shaft) เครื่องยนต์ดีเซลมักมีแรงสั่นสะเทือนจากการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง ซึ่งอาจส่งไปถึงพวงมาลัยหรือพื้นรถ GWM แก้ปัญหานี้ด้วยการติดตั้งเฟืองเพลาสมดุล (Balance Shaft) ไว้ด้านท้ายของเพลาข้อเหวี่ยง เพื่อควบคุมแรงสั่นให้สมดุลมากที่สุด ทำให้พวงมาลัยนิ่งและจับถนัดมือมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเกร็งมือหรือขยับมือบ่อยๆ

•การออกแบบให้หลีกเลี่ยงการสั่นสะเทือนร่วมกันของชิ้นส่วน (Component Modal Frequency Avoidance) NEW GWM TANK 300 DIESEL มีการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ให้หลีกเลี่ยงความถี่สั่นสะเทือนซ้ำซ้อน ชิ้นส่วนอย่างเสื้อสูบ ฝาสูบ และข้อเหวี่ยงได้รับการออกแบบให้มีค่าความถี่ที่ต่างกัน เพื่อลดโอกาสการเกิดเสียงหรือแรงสั่นสะเทือนที่เสริมกันจนเกิดเป็นเสียงรบกวนในห้องโดยสาร เมื่อขับทางไกลต่อเนื่องเป็นชั่วโมง เสียงเครื่องยนต์จะคงที่ ไม่เกิดเสียงสั่นที่ “แว่วๆ” ให้รู้สึกรำคาญหรือเวียนหัวได้

•ปั๊มน้ำมันเครื่องแบบขับเคลื่อนด้วยโซ่ภายใน (Internal Chain-Driven Oil Pump) หากเปิดกระจกขณะขับผ่านซอยเงียบ ๆ หรือจอดคุยกับเพื่อนบ้าน ผู้ขับขี่จะไม่รู้สึกถึงเสียงเครื่องยนต์แหลมๆ หรือเสียงคล้ายนกหวีด เนื่องมาจากระบบส่งกำลังของปั๊มน้ำมันเครื่อง ใน NEW GWM TANK 300 DIESEL ถูกพัฒนาให้ใช้โซ่แบบภายในเครื่องยนต์แทนสายพานในการขับปั๊มน้ำมันเครื่อง และติดตั้งในตำแหน่งด้านล่างเครื่องยนต์ โดยโซ่จะจุ่มอยู่ในน้ำมันเครื่อง  ทำให้ช่วยลดเสียงความถี่สูงที่มักจะได้ยินจากภายในห้องโดยสาร ทำให้การพูดคุยหรือฟังเพลงในรถแป็นไปอย่างสะดวกสบายและเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง

ทั้งหมดนี้คือ 7 ไฮไลต์ จาก GWM ที่เฝ้าพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี สู่ผลสำเร็จของเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ล่าสุด 2.4T ใน GWM TANK 300 DIESEL เพื่อให้ทุกการเดินทางในทุกๆ เส้นทางได้รับความสะดวกสบายมากกว่า และประสบการณ์ที่เหนือกว่าในทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง

ร่วมเจาะลึกและเผยเบื้องหลังความสำเร็จของเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด ที่อัดแน่นไปด้วยสมรรถนะอันโดดเด่นที่มาพร้อมความนิ่ง เงียบ นุ่มนวล และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมการแชร์ประสบการณ์จากผู้ใช้จริง รวมถึงการทดลองขับ GWM TANK 300 DIESEL ในงาน “GWM DIESEL TECH DAY” ในวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568 นี้ ณ RARIN Bangkok Riverside Venue สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GWM Contact Center หมายเลข 02-668-8888

NEX ระดมทุน 3,300 ล้านบาท เดินหน้าสู่ขนส่งเชิงพาณิชย์สมบูรณ์แบบ

NEX ระดมทุน 3,300 ล้านบาท เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของไทยร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เสริมแกร่ง Total Green Logistics Solution

บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรชั้นนำของไทย ประกาศความสำเร็จของการระดมทุนเพิ่ม 3,327 ล้านบาท เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การขนส่งไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของประเทศ

การเพิ่มทุนครั้งนี้ทำให้ NEX มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5,989 ล้านบาท และทำให้บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 49.99% เป็น 77.77% ความร่วมมือนี้จะช่วยพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทยอย่างครบครัน

นายวสุ กลมเกลี้ยง ประธานกรรมการของ NEX และประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินของ EA กล่าว “ความร่วมมือที่ใกล้ชิดขึ้นนี้ทำให้ EA มีระบบนิเวศ EV ที่สมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเงินทุนเข้าไปที่ NEX เพื่อใช้สำหรับการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขันของเรา”

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะใช้เป็นทุนหมุนเวียนทางธุรกิจครอบการคลุมทั้งการชำระหนี้คงค้าง ลงทุนในโซลูชั่นการขนส่งเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตยั่นยืนต่อไป เพื่อยกระดับให้ NEX ก้าวสู้เป็นผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบ One Stop Service ชั้นนำของไทย โดยนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์, รถโดยสาร-รถบรรทุก และรถหัวลาก นอกจากนี้ยังขยายโครงสร้างพื้นฐานการชาร์ให้มีเครือข่ายสถานีอย่างครอบคลุม และมีบริการหลังการขายที่มีความสามารถด้านการบำรุงรักษาและบริการ

ทั้งนี้บริษัทจะให้บริการหลักแก่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์  หน่วยงานราชการ  องค์กรขนส่งมวลชนและธุรกิจเชิงพาณิชย์ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยลูกค้าได้รับประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดถึง 2 เท่าของอัตราปกติ

นายธนพัชร์ สุขสุธรรมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) กล่าว “เราขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ให้ความเชื่อมั่นในภารกิจของเราอย่างต่อเนื่อง การระดมทุนครั้งนี้ช่วยให้เราสามารถขับเคลื่อนภาคการขนส่งเชิงพาณิชย์ของไทยสู่การใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกันพัฒนาเทคโนโลยีและบริการที่พร้อมสำหรับอนาคต โดยรากฐานทางการเงินที่ขยายตัวของ NEX สนับสนุนความมุ่งมั่นในการเป็นผู้ให้บริการ Total Green Logistics Solution ที่สมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนที่กว้างขึ้นของไทยและการเปลี่ยนแปลงสู่การขนส่งสะอาดทั่วโลก”

เกี่ยวกับ NEX

บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เป็นผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรชั้นนำของไทย เชี่ยวชาญในโซลูชัน EV เชิงพาณิชย์ รวมถึงยานยนต์ โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ และบริการหลังการขายที่สมบูรณ์ บริษัทมุ่งเน้นการเร่งการเปลี่ยนผ่านของไทยสู่การขนส่งเชิงพาณิชย์ที่ยั่งยืน

เกี่ยวกับ EA

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนชั้นนำที่มุ่งมั่นพัฒนาระบบนิเวศพลังงานสะอาด การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ EA ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตเชื้อเพลิงจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดหาผลิตภัณฑ์ และระบบที่ใช้ในการกักเก็บและจำหน่ายไฟฟ้า เช่น ธุรกิจพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ ธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า และรวมถึงธุรกิจประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า รสบัสไฟฟ้า และเรือไฟฟ้า

มิตซูบิชิ มอบรางวัล ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมประจำปี 2567

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มอบรางวัล “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม ปี 2567” ยกย่องความเป็นเลิศด้านการขาย บริการหลังการขาย และการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศผลรางวัลอันทรงเกียรติ “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมประจำปี 2567” (Mitsubishi Excellence Awards 2024) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อยกย่องและแสดงความยินดีแก่ผู้จำหน่ายที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นและเป็นเลิศทั้งในด้านการขาย และบริการหลังการขาย ในปีงบประมาณ 2567 ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่เน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้า เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุด พร้อมกับการพัฒนาคุณภาพการขายและการบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง

ผู้จำหน่ายที่ได้รับรางวัล “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม ปี 2567” ได้แก่ :

1.บริษัท เอเบิล มอเตอร์ส ปากเกร็ด จำกัด (สำนักงานใหญ่) เขตกรุงเทพฯ

2.บริษัท แสงชัยมอเตอร์เซลส์ จํากัด เขตต่างจังหวัด กลุ่มจังหวัดขนาดใหญ่

3.บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด เขตต่างจังหวัด กลุ่มจังหวัดขนาดกลาง

4.บริษัท มิตซูไทยยนต์กลการ จำกัด เขตต่างจังหวัด กลุ่มจังหวัดขนาดเล็ก

5.บริษัท เอเบิล มอเตอร์ส ปากเกร็ด จำกัด (สาขานวนคร) ผู้จำหน่ายใหม่ยอดเยี่ยม เขตกรุงเทพฯ

6.บริษัท มิตซูไทยยนต์ นครศรี จํากัด (สํานักงานใหญ่) ผู้จำหน่ายใหม่ยอดเยี่ยม เขตต่างจังหวัด

นอกจากรางวัล “ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม ประจำปี 2567” มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังมอบรางวัลพิเศษจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ให้กับผู้จำหน่าย ได้แก่

1.รางวัลยอดขายสูงสุด เขตกรุงเทพฯ อันดับที่ 1 ได้แก่ บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด

2.รางวัลส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด เขตต่างจังหวัด กลุ่มจังหวัดขนาดใหญ่ อันดับที่ 1 ได้แก่ บริษัท มิตซูอยุธยา (ไทยธาดา) จำกัด

3.รางวัลส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด เขตต่างจังหวัด กลุ่มจังหวัดขนาดกลาง อันดับที่ 1 ได้แก่ บริษัท ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด

4.รางวัลส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด เขตต่างจังหวัด กลุ่มจังหวัดขนาดเล็ก อันดับที่ 1 ได้แก่ บริษัท มิตซูไทยยนต์กลการ จำกัด

5.รางวัลส่งเสริมการขายโครงการพิเศษ อันดับที่ 1 ได้แก่ บริษัท มิตซู พระนคร ออโต้ จำกัด

มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การแข่งขันในปีนี้มีความสูสีและเข้มข้นเป็นอย่างมาก ทำให้การคัดเลือกผู้จำหน่ายที่ได้รับรางวัลไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีเพราะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้จำหน่ายของเรา ในการพัฒนาและยกระดับการขายและการให้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการดูแลลูกค้า ที่จะส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดและสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าของเราทุกคน ขอแสดงความยินดีกับผู้จำหน่ายที่ได้รับรางวัลต่างๆ ในครั้งนี้”

“เกณฑ์การประเมินผลในปี 2567 มุ่งเน้นที่ความเป็นเลิศด้านการบริการ ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านการขายและบริการหลังการขาย รวมถึงความสามารถในการรักษาและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในแต่ละพื้นที่ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับความพึงพอใจของลูกค้า ผ่านการส่งมอบรถยนต์ที่มีคุณภาพ และการยกระดับมาตรฐานการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายของเราคือการเสริมสร้างความไว้วางใจในแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อต่อยอดความสำเร็จร่วมกับผู้จำหน่ายทุกราย นำไปสู่การเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคง และความสำเร็จที่ยั่งยืนในระยะยาว” มร.อินาบะ กล่าวเพิ่มเติม

นางสาวชัญญาภัค ธนะคุณธนิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเบิล มอเตอร์ส ปากเกร็ด จำกัด (สำนักงานใหญ่) กล่าวว่า “ขอขอบคุณลูกค้าคนสำคัญทุกท่านที่ให้การสนับสนุน เอเบิล มอเตอร์ส ตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สำหรับรางวัลอันทรงเกียรติ รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม เขตกรุงเทพฯ อันดับที่ 1 ที่ได้รับในวันนี้ ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้ เพราะครอบครัว เอเบิล มอเตอร์ส ทุกคนที่ให้ความทุ่มเท และคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้และขอขอบคุณครอบครัวและบุคคลสำคัญทุกท่าน ที่เป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้กันในตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเราทุกคนที่ เอเบิล มอเตอร์ส ยึดมั่นในการให้บริการด้วยความเป็นมืออาชีพ อย่างมีมาตราฐานและเต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ และเราจะยังคงพัฒนาด้านกระบวนการขายอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นสร้างผลการดำเนินงานที่ดียิ่งขึ้นต่อไปค่ะ”

นางสาวเกษสุดา ปิติเจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด กล่าวว่า “ขอขอบคุณมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่มอบรางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม (กลุ่มจังหวัดขนาดกลาง) อันดับที่ 1 ให้กับ มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ และจัดงานมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ให้กับพวกเราค่ะและขอบคุณทีมงานมิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ ที่ส่งกำลังใจมาร่วมลุ้นรางวัลไปด้วยกัน เพราะเราได้ร่วมกันก้าวผ่านทุกความท้าทายตลอดปีที่ผ่านมา รางวัลนี้ถือเป็นสิ่งย้ำเตือนถึงความสำเร็จและจุดแข็งที่พวกเราไม่เพียงมุ่งมั่นทำงานร่วมกันเป็นทีม แต่ยังติดตามการให้บริการหลังการขายอยู่เสมอ ทำให้เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า เราจะรักษามาตรฐานและพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไปค่ะ”

นอกจากรางวัลข้างต้น ยังมีรางวัลพิเศษอีก 2 รางวัล ที่มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มีผลงานโดดเด่น และความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่

1.รางวัลยอดขายสูงสุดระดับประเทศ ปี 2567 ได้แก่ บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด

2.รางวัลยอดขายสูงสุดระดับประเทศติดต่อกันมากกว่า 3 ปี ได้แก่ บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด

นายจักรพงษ์ ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด กล่าวว่า “นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่มิตซูรุ่งเจริญได้รับเกียรติ คว้ารางวัลอันทรงคุณค่าหลายรางวัลในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รางวัลยอดขายสูงสุดในเขตกรุงเทพฯ อันดับที่ 1 รางวัลยอดขายสูงสุดระดับประเทศและรางวัลยอดขายสูงสุดระดับประเทศติดต่อกันมากกว่า 3 ปี ความสำเร็จนี้เกิดจากการสนับสนุนที่ดีของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมด้วยความทุ่มเทของทีมงานมิตซูรุ่งเจริญและที่สำคัญขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจมิตซูรุ่งเจริญ เราจะไม่หยุดพัฒนาเพื่อตอบแทนความไว้วางใจของทุกท่าน เรายึดมั่นในปณิธานการส่งมอบบริการที่เหนือความคาดหมาย ด้วยความเชื่อว่า หัวใจแห่งความสำเร็จคือการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่องด้วยความเชื่อมั่น”

GWM คว้ารางวัล บริการหลังการขายยอดเยี่ยมระดับสากล

GWM (Thailand) คว้ารางวัล “บริการหลังการขายยอดเยี่ยม” จากเวที GWM Global ตอกย้ำมาตรฐานการบริการหลังการขายระดับสากล

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด GWM (Thailand) คว้ารางวัลบริการหลังการขายยอดเยี่ยม (Service Excellence Award) จากเวที Annual GWM Awards 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยรางวัลนี้มอบให้กับประเทศที่มีผลงานด้านการให้บริการหลังการขายที่โดดเด่นในกลุ่มเครือข่าย GWM ทั่วโลก สะท้อนถึงมาตรฐานการบริการที่เป็นเลิศของ GWM (Thailand) และความมุ่งมั่นในการดูแลลูกค้าชาวไทยเพื่อยกระดับประสบการณ์การบริการที่มีคุณภาพที่มากกว่าและเหนือกว่าในทุกมิติ ตามแนวคิด GWM Go With Mor

มร.เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) กล่าวว่า “GWM ให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายมาโดยตลอด เพราะเราเชื่อว่า ‘การขายรถ’ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์กับลูกค้า แต่ ‘การบริการหลังการขาย’ คือสิ่งที่จะรักษาความสัมพันธ์นั้นให้ยั่งยืน GWM (Thailand) ไม่เคยมองว่าบริการหลังการขายเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของการดำเนินธุรกิจ แต่เป็นหัวใจหลักของการสร้างความพึงพอใจและความไว้วางใจระยะยาวของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ซึ่งเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดประเทศไทย”

แม้ว่ารางวัลนี้จะมาจากภายในองค์กร GWM Global แต่กระบวนการคัดเลือกอิงจากเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานจริงอย่างเข้มงวด และเทียบเคียงกันระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระดับความพึงพอใจของลูกค้า การให้บริการตามมาตรฐานที่กำหนด การบริหารจัดการอะไหล่ การตอบสนองต่อข้อร้องเรียน และนวัตกรรมด้านบริการลูกค้า GWM (Thailand) ได้แสดงศักยภาพได้อย่างโดดเด่น ทั้งด้านการให้บริการลูกค้าผ่าน GWM SMART Service การบริหารจัดการอะไหล่ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การดูแลแก้ปัญหาลูกค้าด้วยความใส่ใจและโปร่งใส การรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง คุณภาพการบริการของพาร์ทเนอร์ สโตร์ ฯลฯ นอกจากนี้ รางวัลอันทรงเกียรตินี้ยังถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการที่ GWM (Thailand) เคยสร้างผลงานโดดเด่นในการเป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนเพียงรายเดียวที่ติด Top 3 ในด้านความพึงพอใจบริการหลังการขาย ประจำปี 2567 จากผลการประเมินของ Differential บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาดชั้นนำ ซึ่งเก็บข้อมูลจากผู้ใช้รถยนต์จริงทั่วประเทศตลอดทั้งปีที่ผ่านมา โดยการประเมินครอบคลุมใน 5 มิติหลัก ได้แก่ 1) คุณภาพงานบริการ 2) ราคาและความคุ้มค่า 3) การบริการจากพนักงานและสิ่งอำนวยความสะดวกในศูนย์บริการ 4) การสื่อสารและความชัดเจน และ 5) ความสะดวก และความง่ายในการเข้าถึงบริการ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่สะท้อนถึงคุณภาพของ GWM ในการดูแลลูกค้าหลังการขายอย่างรอบด้าน โดยรางวัลบริการหลังการขายยอดเยี่ยม จากเวที Annual GWM Awards 2025 ในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องพิสูจน์ที่ตอกย้ำถึงความสำเร็จของ GWM (Thailand) ในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกมิติ

หนึ่งในจุดแข็งของ GWM (Thailand) คือเครือข่ายบริการ GWM พาร์ทเนอร์ สโตร์ ที่มีมากถึง 69 แห่งทั่วประเทศ และยังเดินหน้าขยายเพิ่มทั่วประเทศอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อมอบความอุ่นใจให้แก่ผู้ใช้งานรถยนต์ GWM โดยศูนย์บริการเหล่านี้ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ใช้งานทั่วประเทศ ถึงการบริการที่รวดเร็ว สะดวกสบาย และเป็นมากกว่าศูนย์บริการรถยนต์ทั่วไป

“เราไม่ได้มองแค่ยอดขายในแต่ละปี แต่เรามองภาพรวมของความเชื่อมั่นและความพึงพอใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ และประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับในทุกครั้งที่เข้ารับบริการ GWM (Thailand) จะเดินหน้าพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าทุกคนสัมผัสได้ถึงคุณค่าที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นก่อนการขาย ระหว่างการขาย และที่สำคัญที่สุด คือ ‘หลังการขาย’ ซึ่งเป็นจุดที่สร้างคุณค่าและสร้างความแตกต่างให้แบรนด์และผลิตภัณฑ์ของเราอย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม รางวัลนี้คือกำลังใจสำคัญในการเดินหน้าพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยให้เหนือความคาดหมาย ตามแนวคิด GWM Go With More” มร.เวยน์ โจว กล่าวเสริม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save