- Advertisement -
31.9 C
Bangkok
Home Blog Page 5

มาสด้า ส่งมอบ MX-5 รุ่นลิมิเต็ด ฉลอง 35 ปี

มาสด้า ส่งมอบ MX-5 รุ่นลิมิเต็ด ฉลอง 35 ปี มีเพียง 4 คัน ในประเทศไทย

“มาสด้า” ส่งมอบรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอนระดับตำนานเจ้าของรถยนต์ขับสนุกที่สุดในโลก สร้างสถิติเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่ขายดีที่สุดในโลกกว่า 1,200,000 คัน จนได้รับการบันทึกลงใน Guinness World Record สำหรับ New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 35 ปี จำนวนสองคัน ให้กับ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี และ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี โดยมี นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ พร้อมด้วย นายภพนิพิฐ จิรวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและนวัตกรรมดิจิตอล บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนฯ โดยรถรุ่นพิเศษนี้ผลิตขึ้นอย่างจำกัดจำนวน ทั่วโลกมีเพียง 2,559 คัน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 35 ปี นับตั้งแต่รถมาสด้า MX-5 ได้เปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2532 และยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ยอดนิยมของมาสด้าไว้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมความพิเศษสุดในทุกจุดสัมผัสรอบตัวรถ รวมถึงสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม serial number บ่งบอกความพิเศษลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ถูกผลิตขึ้นจำนวนจำกัด และในประเทศไทยมีลูกค้าที่ได้ครอบครองเพียง 4 คัน เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ได้ถูกครอบครองเป็นเจ้าของหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้าขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่ให้การตอบรับรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นด้วยดีเสมอมา เราให้คำมั่นสัญญาว่าจะมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ยานยนต์และการบริการที่ดีที่สุด เพื่อมอบประสบการณ์ความสุขและการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เพราะมาสด้าเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า “ความสุขในการขับขี่รถยนต์” (Joy of Driving) จะนำไปสู่ “ความสุขในการใช้ชีวิต” (Joy of Living) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาสด้าจะนำมาซึ่งคุณค่าและความสุขในการเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า เพื่อสร้างการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าในทุกมิติและสร้างสรรค์สังคมไทยให้ยั่งยืนตลอดไป

อย่างไรก็ตามสำหรับลูกค้าที่ครอบครองรุ่นพิเศษนี้ไม่ทัน มาสด้ายังมีรุ่นปกติ New Mazda MX-5 สปอร์ตโรดสเตอร์ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงใหม่ด้วยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัย ผนวกกับเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อการสื่อสารยุคดิจิตอลและเทคโนโลยี เพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ วางราคาจำหน่าย 3,029,000 บาท

เกี่ยวกับ New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษครบรอบ 35 ปี

รถรุ่นนี้ได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างประณีตใส่ใจในทุกรายละเอียด มอบความสปอร์ตสไตล์คลาสสิก แฝงด้วยความสปอร์ตพรีเมี่ยมในทุกจุดสัมผัส พร้อมความพิเศษกับสีภายนอก Artisan Red Premium เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้า ภายในตกแต่งด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan สะท้อนความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม serial number บ่งบอกความพิเศษที่ผลิตขึ้นจำนวนจำกัด รวมถึงหลังคาเปิดประทุน Hardtop ที่สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สี Bright คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ของมาสด้าไว้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบพรีเมี่ยมสง่างามภายใต้ โคโดะ ดีไซน์ ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา มีไดนามิกในการขับขี่ที่สนุกสนาน พร้อมระบบการควบคุมที่แม่นยำ เครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้สมรรถนะความแรงสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์วางหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง กระจายน้ำหนักหน้า-หลัง แบบ 50:50 มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พัฒนาโดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ตามหลักปรัชญา จินบะ-อิไต (Jinba-Ittai) ที่ถ่ายทอดความรู้สึกความเป็นหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนกับรถ เป็นต้น

GWM โชว์ศูนย์ทดสอบความปลอดภัยใหญ่ที่สุดในเอเชีย

GWM ชู “ศูนย์ทดสอบความปลอดภัย (GWM Safety Lab)” ใหญ่ที่สุดในเอเชียด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 2,300 ล้านบาท คิดค้นระบบอัจฉริยะและนวัตกรรม เพื่อพลิกโฉมมาตรฐานความปลอดภัยในเวทีโลก

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users) ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ “ศูนย์ทดสอบความปลอดภัย” หรือ “GWM Safety Lab” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ณ เมืองเป่าติ้ง ประเทศจีน ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 500 ล้านหยวน หรือประมาณ 2,300 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโยลีและนวัตกรรมสุดล้ำหน้าร่วมกับระบบทดสอบความปลอดภัยขั้นสูง ได้แก่ 1.) พื้นที่ทดสอบแบตเตอรี่ในรถยนต์พลังงานใหม่ด้วยระบบ “Firewall” สุดอัจฉริยะ 2.) กองทัพหุ่นทดสอบการชนเสมือนมนุษย์ มูลค่ากว่า 454 ล้านบาท และ 3.) นวัตกรรมในระบบลากทดสอบความเร็วสูง (Towing System) ที่ GWM คิดค้นขึ้นเอง พร้อมสิทธิบัตรระดับชาติ 11 รายการ โดยความล้ำหน้าและความอัจฉริยะที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการทดสอบความปลอดภัยใน GWM Safety Lab นี้ พิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของการพัฒนารถยนต์ของ GWM ที่เน้นและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรกๆ โดยรถยนต์ของ GWM ทุกรุ่น ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานระดับสากล ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของวงการยานยนต์ระดับโลกให้ล้ำหน้าไปอีกขั้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นจากรถยนต์ GWM แก่ผู้ใช้งานทั่วโลก

35 ปีแห่งความมุ่งมั่น เพราะความปลอดภัย ไม่มีทางลัด

แจ็ค เว่ย ผู้ก่อตั้งบริษัท GWM เน้นย้ำว่า “การผลิตรถยนต์เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ไม่มีทางลัด และ ‘ความปลอดภัย’ ต้องมาเป็นอันดับแรกเสมอ” ด้วยแนวคิดนี้ GWM ได้จัดตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัย GWM Safety Lab พร้อมเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องร่วมกับทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก โดยในปี 2567 GWM ได้ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาคิดเป็นมูลค่ากว่า 51,000 ล้านบาท หรือประมาณ 5.2% ของรายได้ทั้งหมด สะท้อนแนวคิดได้อย่างชัดเจนว่า GWM ไม่ได้เพียงแค่ “ผลิตรถยนต์” แต่กำลัง “ปกป้องชีวิต” ผ่านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยืนหยัดและต่อต้านการลดทอนคุณภาพเพื่อผลประโยชน์ในระยะสั้น และมุ่งสร้างมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่ผู้บริโภคและอุตสาหกรรมสามารถไว้วางใจได้ อาทิ GWM WEY 80 รถยนต์ MPV รุ่นเรือธง ที่ออกแบบให้ผู้โดยสารทั้งสามแถวได้รับการปกป้องได้อย่างเท่าเทียม ร่วมกับถุงลมนิรภัยด้านข้างที่สามารถรักษาแรงดันได้นานถึง 6 วินาที เพิ่มโอกาสในการปกป้องทุกชีวิตภายในรถในทุกสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้เป็นอย่างดี

ศูนย์ทดสอบความปลอดภัย GWM Safety Lab นี้ มาพร้อมกับระบบ Five-Zone และ Eight-Track ที่ประกอบด้วยพื้นที่ทดสอบแรงปะทะ 5 โซน และรางดึงขนาดเล็ก 8 เส้นทาง รองรับการทดสอบการชนของรถยนต์ทั้งความเร็วสูงและต่ำสูงสุดถึง 3 ครั้งต่อประเภทในแต่ละวัน และสามารถทดสอบได้มากถึง 1,500 ครั้งต่อปี นอกจากนี้ ยังสามารถจำลองสถานการณ์การชนที่มีความซับซ้อนได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การชนจากด้านข้างตามมาตรฐานสากล การชนแบบ OMDB (Offset Moving Deformable Barrier) ที่ใช้ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามข้อกำหนดใหม่ในอเมริกาเหนือ รวมถึงการชนจากด้านหน้าในมุมและระดับความเร็วที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีการทดสอบการพลิกคว่ำในรูปแบบต่างๆ เช่น การพลิกคว่ำแบบหมุน การพลิกคว่ำจากการกระแทกขอบถนน การพลิกคว่ำจากการตกหลุมทราย และการตกจากเนินลาด นับว่าเป็นศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ครบครันและสมบูรณ์แบบที่สุด ครอบคลุมทุกสถานการณ์บนท้องถนนอย่างแท้จริง

พื้นที่ทดสอบรถยนต์พลังงานใหม่แห่งอนาคต กับระบบ “Firewall” สุดอัจฉริยะ ควบคุมความปลอดภัยของแบตเตอรี่ขั้นสูงสุด

โซนทดสอบเฉพาะสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด ด้วยระบบติดตามสภาพแบตเตอรี่หลังการชนแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมติดตั้งระบบดับเพลิงอัจฉริยะที่ตอบสนองทันทีเมื่อพบความผิดปกติ โดยตัวรถจะถูกนำลงบ่อน้ำลึก 1.2 เมตรภายใน 30 วินาที เพื่อระบายความร้อนและลดความเสี่ยงจากแบตเตอรี่ ระบบความปลอดภัยจะทำงานโดยอัตโนมัติทันที ทั้งการปิดประตูกันไฟ เปิดช่องระบายอากาศ เปิดไฟส่องสว่าง และฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อควบคุมสถานการณ์ นอกจากนี้ ตัวรถยังสามารถส่งข้อมูลได้แม้อยู่ใต้น้ำ ช่วยให้นักวิจัยสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำ เพื่อใช้ในการพัฒนาและต่อยอดระบบป้องกัน “Firewall” ไปสู่รถยนต์รุ่นอื่นๆ ของ GWM ในอนาคต

กองทัพหุ่นทดสอบเสมือนมนุษย์ มูลค่ากว่า 454 ล้านบาท ผู้พิทักษ์ความปลอดภัยในทุกการชน

หัวใจสำคัญของศูนย์ทดสอบความปลอดภัยแห่งนี้ คือ “กองทัพหุ่นทดสอบ” ที่มีมูลค่ารวมกว่า 454 ล้านบาท โดยประกอบด้วยหุ่นทดสอบสมรรถนะขั้นสูง เช่น Thor Dummy ที่มีมูลค่าสูงกว่า 45 ล้านบาทต่อหน่วย และหุ่น WorldSID ซึ่งใช้สำหรับทดสอบแรงกระแทกจากด้านข้าง โดยมีมูลค่ากว่า 36 ล้านบาทต่อหน่วย หุ่นแต่ละตัวได้รับการออกแบบให้มีลักษณะใกล้เคียงกับสรีระของมนุษย์มากที่สุด ทั้งโครงกระดูก ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ พร้อมติดตั้งเซนเซอร์ภายในจำนวนมาก เพื่อเก็บข้อมูลการทดสอบอย่างละเอียดและแม่นยำ โดยหุ่นเหล่านี้จะถูกถอดประกอบและปรับเทียบใหม่ทุก 5 ครั้งที่ใช้งาน เพื่อคงมาตรฐานสูงสุดด้านความแม่นยำ ปัจจุบัน GWM มีหุ่นทดสอบทั้งหมด 34 ตัว ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “ทีมผู้พิทักษ์ชีวิต” ที่มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาระบบความปลอดภัยจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก้าวล้ำด้วยนวัตกรรมที่ GWM คิดค้นเอง พร้อมสิทธิบัตรระดับชาติ 11 รายการ

ระบบลากทดสอบความเร็วสูง (Towing System) ภายใน GWM Safety Lab นี้ เป็นผลงานการพัฒนาของทีมวิจัย GWM โดยเฉพาะ สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และได้รับการจดสิทธิบัตรในระดับประเทศแล้วถึง 11 รายการ ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ ไปจนถึงการควบคุมระบบแบบครบวงจร อีกหนึ่งไฮไลต์ของศูนย์ฯ คือพื้นที่โซนตรงกลางที่ติดตั้งบ่อกระจกนิรภัยหนาพิเศษขนาด 110 มิลลิเมตร พร้อมกล้องความเร็วสูง เพื่อบันทึกภาพการเปลี่ยนแปลงใต้ท้องรถขณะเกิดการชนได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบการเสียรูปของโครงสร้างรถยนต์ได้อย่างแม่นยำ นับว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

GWM ไม่เพียงแค่มุ่งสู่การเป็นผู้นำแบรนด์รถยนต์ระดับโลก แต่ยังเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างอนาคตแห่งการขับขี่ที่ปลอดภัย อัจฉริยะ และยั่งยืน ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับแนวหน้าที่ให้ความสำคัญกับชีวิตเป็นศูนย์กลางพร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางแห่งอนาคตที่ครบครัน ครอบคลุมทุกความต้องการ และเหนือกว่าในทุกมิติการขับขี่ตามแนวคิด “GWM Go With More” ได้อย่างแท้จริง

GWM เปิดค่าดูแลรักษา GWM TANK 300 DIESEL

GWM เปิดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา GWM TANK 300 DIESEL ประหยัด ทนทาน อุ่นใจ พร้อมการรับประกันเครื่องยนต์ที่ยาวนานถึง 1 ล้านกิโลเมตร

GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)”  ล่าสุดได้เผยความประหยัดคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่ายที่ผู้ใช้งานรถยนต์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญโดยเฉพาะด้านการดูแลรักษา ของรถเอสยูวีทรง BOXY เครื่องยนต์ดีเซลคันแรกของ GWM ในประเทศไทย ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่มาพร้อมเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ที่มอบความคุ้มค่าที่ครอบคลุมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านความทนทาน ประสิทธิภาพการใช้งาน ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ซึ่งล้วนแต่อาจจะเป็นคำถามที่อยู่ในใจของผู้ที่กำลังสนใจรถยนต์รุ่นนี้อยู่

ต้นทุนการดูแลรักษาต่ำ ค่าใช้จ่ายในการเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร เพียง 38,448 บาท*เท่านั้น

สำหรับ NEW GWM TANK 300 DIESEL มีกำหนดเข้ารับการเช็กระยะทุก ๆ 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร เพื่อดูแลรักษาให้รถยนต์อยู่ในสภาพสมบูรณ์และพร้อมใช้งานเสมอ อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น การบำรุงรักษานี้รวมถึงรายการตรวจสอบ และเปลี่ยนอะไหล่ที่ชัดเจนในแต่ละระยะทาง เช่น การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง และการตรวจเช็กระบบต่าง ๆ ที่สำคัญ โดยในช่วงก่อน 80,000 กิโลเมตรแรก หรือปีที่ 4 ค่าใช้จ่ายในการเช็กระยะในแต่ละครั้งจะอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 บาท* หรือ 4,000 บาท* ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะทาง โดยช่วงการเช็กระยะที่ 80,000 กิโลเมตร เป็นระยะที่ต้องมีการเปลี่ยนอะไหล่และของเหลวชุดใหญ่ เช่น น้ำมันเบรก น้ำยาหล่อเย็น น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย ไส้กรองแอร์ และสายพานไทม์มิ่งเครื่องยนต์ เป็นต้น โดยค่าบำรุงรักษาตามระยะทางตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร จะอยู่ที่เพียง 38,448 บาท* หรือเฉลี่ยเพียงปีละประมาณ 7,700 บาท* โดยไม่มีค่าแรงเพิ่มเติมในทุกระยะ พร้อมด้วยบริการที่ประทับใจจากทีมช่างเทคนิคที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐานของ GWM จึงมั่นใจได้ว่ารถยนต์ GWM TANK 300 DIESEL ทุกคันจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในทุกการเดินทาง (*ราคายังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

การรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร

เพื่อมอบความอุ่นใจสูงสุดให้กับผู้ใช้งาน NEW GWM TANK 300 DIESEL มอบการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ไม่ว่าจะใช้งานในเมืองหรือต่างจังหวัด ออนโรดหรือออฟโรด หากพบว่ามีชิ้นส่วนใดหรือระบบใดเสียหายภายใต้เงื่อนไขการรับประกัน GWM พร้อมให้การดูแลอย่างเต็มที่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม ครอบคลุมทั้งอะไหล่และการบริการโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญ อุ่นใจ ไร้กังวลกับการใช้รถยนต์คันนี้ไปได้อย่างยาวๆ

ใช้รถหนักแค่ไหนก็เอาอยู่ กับเครื่องยนต์ดีเซลคุณภาพสูงพร้อมการรับประกันยาวนานที่สุดในไทยถึง 1 ล้านกิโลเมตร

GWM มั่นใจในคุณภาพของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซล ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี จนเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด ที่อยู่ใน NEW GWM TANK 300 DIESEL ผ่านบทพิสูจน์ถึงความทนทานและประสิทธิภาพสูงในสภาพอากาศหนาวและร้อนสุดขั้วถึง 300 ชั่วโมง ทดสอบการทำงานที่ความเร็วรอบสูงสุดมากถึง 500 ชั่วโมง และในสภาพถนนและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึง 76 รูปแบบทั่วโลก โดยมีระยะทางรวมกว่า 6 ล้านกิโลเมตร พร้อมโครงสร้างการออกแบบที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงาน ลดเสียงและการสั่นสะเทือน ทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้มีความทนทานสูง ตอกย้ำว่าในระยะยาวเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่นี้ จะมอบความอุ่นใจคลายกังวลในการดูแลรักษารถยนต์รุ่นนี้ในอนาคต และยังสร้างความเชื่อมั่นด้วยการมอบการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี)

จ่ายสบายกระเป๋ากับเครื่องยนต์ดีเซลคุณภาพสูง พร้อมอัตราการบริโภคน้ำมันที่มีประสิทธิภาพ

จากราคาค่าน้ำมันที่ผันผวนและมีราคาสูง เครื่องยนต์ดีเซลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้ผู้ใช้รถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมาก ด้วยราคาน้ำมันต่อลิตรที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์เบนซิน GWM จึงได้แนะนำ NEW GWM TANK 300 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเข้าสู่ตลาดไทย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่ชื่นชอบรถยนต์สไตล์ BOXY ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล ที่ประหยัดน้ำมันและมีความทนทาน ด้านประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชั่นใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผัน (VGT) ที่มีแรงดันสูงถึง 2,000 บาร์ ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์  ท่อร่วมไอดีแบบคู่ที่ฝาสูบระบบอิเล็กทรอนิกส์ Exhaust Gas Recirculation (EGR) และระบบปั้มน้ํามันเครื่องแบบแปรผัน ทำให้เครื่องยนต์สร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น ช่วยลดการปล่อย์ไอเสีย NOx และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากยิ่งขึ้น โดยอัตราการบริโภคน้ำมันของ NEW GWM TANK 300 DIESEL อยู่ที่ 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ Eco sticker ในประเทศไทย) ซึ่งเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T นี้ จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงในระยะยาว ทำให้ผู้ใช้งานสามารถลดต้นทุนการเดินทางได้ NEW GWM TANK 300 DIESEL จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการขับขี่ คุ้มค่า และประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดียิ่งขึ้น

NEW GWM TANK 300 DIESEL มีด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมสีภายนอกให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ สีเทา สีดำ สีขาว และสีส้ม

•NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T รุ่น PRO ราคา 1,029,000 บาท

•NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T รุ่น ULTRA ราคา 1,179,000 บาท

•NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T ULTRA 4WD ราคา 1,279,000 บาท

ร่วมพิสูจน์เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T ใน GWM TANK 300 DIESEL ได้แล้ววันนี้ พร้อมบอกลาอย่างถาวรกับเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิมๆ สู่ประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งกว่า โดยเฉพาะด้านคุณภาพของเครื่องยนต์ดีเซล ความประหยัด ทนทาน คุ้มค่าในทุกมิติ และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่ต่ำ สัมผัสและทดลองขับด้วยตัวเองได้ที่ GWM พาร์ทเนอร์ สโตร์ 69 สาขาทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แอปพลิเคชัน GWM เว็บไซต์ https://www.gwm.co.th/ หรือ GWM Contact Center หมายเลข 02-668-8888

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดี “วิว กุลวุฒิ” คว้าแชมป์ชายเดี่ยว TOYOTA Thailand Open 2025

โตโยต้าร่วมแสดงความยินดี “วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์” คว้าแชมป์ชายเดี่ยว สมัยที่ 2 พร้อมถ้วยพระราชทานในการแข่งขันแบดมินตันรายการ “TOYOTA Thailand Open 2025”

การแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติ รายการ “TOYOTA Thailand Open 2025” การแข่งขันในระดับ “HSBC BWF World Tour Super 500” ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเงินรางวัลรวม 475,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 16,150,000 บาท เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ท่ามกลางเสียงเชียร์กึกก้องตลอดการแข่งขัน โดยผลการแข่งขันประเภทชายเดี่ยว “วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์” คว้าแชมป์ชายเดี่ยว สมัยที่ 2 ชนะ แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น 2-1 เกม ด้วยสกอร์ 21-16 / 17-21 และ 21-9 หลังจากจบการแข่งขัน นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และกรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล และเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขัน ร่วมกันมอบรางวัล

การแข่งขันรายการนี้จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา/การกีฬาแห่งประเทศไทย/สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เพื่อให้แฟนกีฬาแบดมินตันได้ชมและเชียร์นักกีฬาไทย ให้สร้างผลงานในเวทีระดับโลก ทำการแข่งขันระหว่างวันที่ 13 – 18 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

โดยมีผลการแข่งขันประเภทชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 2 ของโลก พบกับ แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น มือวางอันดับ 2 ของรายการ มืออันดับ 3 ของโลกจากเดนมาร์ก เกมนี้ วิว กุลวุฒิ เล่นได้อย่างสะใจแฟนๆ ในสนาม ก่อนจะเอาชนะไปอย่างสุดมันส์ 2-1 เกม 21-16,17-21,21-9 คว้าแชมป์แบดมินตัน โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น 2025 เวิลด์ทัวร์ ซูเปอรฺ์ 500 ไปครองเป็น สมัยที่ 2 ต่อจากปี 2023 ครองถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมรับเงินรางวัลแชมป์ 35,625 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,175,625 บาท ส่วนรองแชมป์ แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น รับเงินรางวัล 18,050 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 595,650 บาท

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลก พ่ายให้กับ เฉิน ยู่เฟย มือวางอันดับ 2 ของรายการ มืออันดับ 8 ของโลกจากจีน ไป 0-2 เกม 16-21,12-21

เฉิน ยู่เฟย คว้าแชมป์พร้อมครองถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมรับเงินรางวัลแชมป์ 35,625 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,175,625 บาท ส่วนรองแชมป์ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ รับเงินรางวัล 18,050 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 595,650 บาท

ประเภทชายคู่ อารอน เชี๊ยะ กับ โซ วุยยิค คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 5 ของโลกจากมาเลเซีย ชนะ วิลเลี่ยม ไครเจอร์ โบเอ้ กับ คริสเตียน ฟาร์ส เคียร์ คู่มืออันดับ 75 ของโลกจากเดนมาร์ก 2-1 เกม 20-22 , 21-17 , 21-12

อารอน เชี๊ยะ กับ โซ วุยยิค คว้าแชมป์ ครองถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมรับเงินรางวัลแชมป์ 37,525 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,238,325 บาท ส่วนรองแชมป์ วิลเลี่ยม ไครเจอร์ โบเอ้ กับ คริสเตียน ฟาร์ส เคียร์ รับเงินรางวัล 18,050 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 595,650 บาท

ประเภทหญิงคู่  รอบชิงชนะเลิศ เพอรี่ ตัน กับ เทียน่า มูลาริทาราน คู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 4 ของโลกจากมาเลเซีย ชนะ จอง นาอึน กับ ลี ยอนวู คู่มืออันดับ 105 ของโลกจากเกาหลีใต้ 2-0 เกม 21-16 , 21-17

เพอรี่ ตัน กับ เทียน่า มูลาริทาราน คว้าแชมป์ ครองถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมรับเงินรางวัลแชมป์ 37,525 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,238,325 บาท ส่วนรองแชมป์ จอง นาอึน กับ ลี ยอนวู  รับเงินรางวัล 18,050 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 595,650 บาท

ประเภทคู่ผสม เฟิง หยางเจ๋อ กับ หวง ตงปิง คู่มือวางอันดับ 2 ของรายการ คู่มืออันดับ 2 ของโลกจากจีน ชนะ เกา เจียซวน กับ หวู เหม็งหยิง คู่มืออันดับ 79 ของโลกจากจีน 24-22,21-16

เฟิง หยางเจ๋อ กับ หวง ตงปิง คว้าแชมป์ ครองถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมรับเงินรางวัลแชมป์ 37,525 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,238,325 บาท ส่วนรองแชมป์ เกา เจียซวน กับ หวู เหม็งหยิง รับเงินรางวัล 18,050 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 595,650 บาท

สรุปผลการแข่งขันแบดมินตัน TOYOTA Thailand Open 2025

ประเภทนักกีฬาผลการแข่งขันนักกีฬา
ชายเดี่ยว“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชนะ 2-1 (21-16,17-21,21-9)แอนเดอร์ส แอนทอนเซ่น
หญิงเดี่ยวเฉิน ยู่เฟยชนะ 2-0   (21-16,21-12)“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์
ชายคู่อารอน เชี๊ยะ โซ วุยยิคชนะ 2-1 (20-22,21-17,21-12)วิลเลี่ยม ไครเจอร์ โบเอ้ คริสเตียน ฟาร์ส เคียร์
หญิงคู่เพอรี่ ตัน เทียน่า มูลาริทารานชนะ 2-0   (21-16,21-17) จอง นาอึน ลี ยอนวู
คู่ผสมเฟิง หยางเจ๋อ หวง ตงปิงชนะ 2-0 24-22,21-16เกา เจียซวน หวู เหม็งหยิง

“โตโยต้าให้ความสำคัญในการสนับสนุนการกีฬาของไทยอย่างต่อเนื่อง เสมอมา ภายใต้ความมุ่งมั่นที่จะ “ร่วมขับเคลื่อนความสำเร็จให้กับนักกีฬาไทย” จะเห็นได้จากการสนับสนุนทั้งในรูปแบบของการจัดการแข่งขันโดยบริษัทฯเอง และการสนับสนุนสมาคมกีฬาต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพนักกีฬาไทยรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีระดับโลก ตลอดจนพัฒนารากฐานวงการกีฬาให้เกิดความแข็งแกร่ง รวมถึงการเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศมาโดยตลอด ซึ่งทางบริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการกีฬาของไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล” นายศุภกร กล่าวในที่สุด

โตโยต้า ร่วมประกาศเจตนารมณ์สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

โตโยต้า ร่วมประกาศเจตนารมณ์เครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน ปี 2568 (Energy Beyond Standard 2025) หนุนอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยกลุ่มธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรม หน่วยงาน และองค์กรขนาดใหญ่ ร่วมประกาศเจตนารมณ์เครือข่ายอนุรักษ์พลังงาน ปี 2568 (Energy Beyond Standards 2025) เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ณ ห้องออดิทอเรียม อาคาร 50 ปี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน เดินหน้าขับเคลื่อน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีการใช้พลังงานในระดับสูง โดยเร่งดำเนินมาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสนับสนุนการลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net – Zero GHG Emission) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศอย่างยั่งยืน

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พลังงานเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริษัทฯ มีเป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้เป็นศูนย์ในกระบวนการผลิตรถยนต์ บริษัทฯ ใส่ใจทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบการผลิตชิ้นส่วน การขนส่ง การผลิตในโรงงาน การจำหน่าย ตลอดการกำจัดเมื่อหมดอายุการใช้งาน 

อีกหนึ่งแนวทางที่โตโยต้าให้ความสำคัญ คือการลดการใช้และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานด้วยนวัตกรรมและหลักการทางวิศวกรรม ผ่านการพัฒนาแนวคิด Karakuri ซึ่งใช้หลักกลศาสตร์และกลไกธรรมชาติ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงาน พร้อมทั้งมีการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้บริษัท ฯ ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด โดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านการติดตั้งโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์รูฟ ทำให้ตลอด10 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถลดการใช้ไฟฟ้าไปได้กว่า 98,881 เมกะวัตต์ชั่วโมง และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 52,308 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

โตโยต้าเชื่อมั่นว่า เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนให้ภาครัฐสามารถบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานในปี 2025 ตามเจตนารมณ์ร่วมมุ่งลดการใช้ไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานด้านพลังงานของประเทศไทยสู่การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำและขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050

“เลกซัส” จัดโปรโมชั่นเติมเต็มไลฟ์สไตล์ ชวนสัมผัสยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า

“เลกซัส” ชวนสัมผัสยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า จัดเต็มทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษในงาน “LEXUS ELECTRIFIED SHOWCASE” ที่ Central Eastville

กลับมาอีกครั้งกับงาน LEXUS ELECTRIFIED SHOWCASE เลกซัสจัดเต็มทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่กับยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่น นำมาให้คุณได้สัมผัสถึงที่ ลานโปรโมชัน 1 ชั้น 1 เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2568

ภายในงานพบกับรถยนต์เลกซัสพลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ของคนรุ่นใหม่ ตอกย้ำแนวคิดการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน นำโดย Lexus RX / Lexus NX ซึ่งมาพร้อมทางเลือกการขับเคลื่อนทั้งแบบ Hybrid Electric Vehicle (HEV) และ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) และรุ่นใหม่ล่าสุด Lexus LBX พร้อมให้คุณได้ทดลองขับภายในงาน

ข้อเสนอพิเศษภายในงาน

พิเศษ เมื่อจองรถยนต์เลกซัสรุ่นที่ร่วมรายการภายในงาน LEXUS ELECTRIFIED SHOWCASE ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2568 รับ Central Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ**

รถยนต์เลกซัส IS 300h และ UX 300h

รับดอกเบี้ย 0% พร้อมรับฟรี LXP Standard มูลค่า 50,000 บาท และประกันภัยชั้น 1 (1 ปี)

รถยนต์เลกซัส ES 300h

รับดอกเบี้ย 0% พร้อมรับฟรี LXP Standard มูลค่า 50,000 บาท

รถยนต์เลกซัส LBX เกรด Luxury และ Premium

รับดอกเบี้ย 0.99% พร้อมรับฟรี LXP Standard มูลค่า 50,000 บาท และประกันภัยชั้น 1 (1 ปี)

รถยนต์เลกซัส NX 350h, NX 450h+

รับดอกเบี้ย 0.99% พร้อมรับฟรี LXP Standard มูลค่า 50,000 บาท และประกันภัยชั้น 1 (1 ปี)

รถยนต์เลกซัส RX 350h, RX 450h+ และ RX 500h F SPORT

รับดอกเบี้ย 0.99% พร้อมรับฟรี LXP Standard มูลค่า 50,000 บาท และประกันภัยชั้นหนึ่ง (1 ปี)

พิเศษสำหรับสมาชิก Lexus Elite Club เพียงแสดงหน้าแอปพลิเคชัน รับของที่ระลึกสุดพิเศษจากเลกซัส — ถุงหอมจาก PAÑPURI ได้ในงาน

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

– เฉพาะลูกค้าที่จองรถยนต์รุ่นที่ร่วมรายการภายในงาน LEXUS ELECTRIFIED SHOWCASE ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2568 เมื่อดาวน์ที่ 30% และผ่อนชำระ 48 เดือน และรับรถภายใน 90 วันหลังจากทำการจอง

– ยกเว้นรถรับจ้าง รถเช่า รถที่ซื้อขายภายใต้เงื่อนไขพิเศษอื่นๆ และรถขาย Fleet

– สอบถามเงื่อนไขได้ที่ผู้แทนจำหน่ายเลกซัสอย่างเป็นทางการทั้ง 3 แห่ง

• เลกซัส กรุงเทพ (พระราม 9) : 02-716-8999

• เลกซัส ออโต้ ซิตี้ (รามอินทรา กม.2) : 02-521-1111

• เลกซัส ออโต้ ซิตี้ (สุขุมวิท ซอย 18) : 02-260-8123

– รายละเอียดการเช่าซื้อ เงินดาวน์ ค่างวด และอัตราดอกเบี้ย เป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัททางการเงินและธนาคารที่ร่วมโครงการ

– เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กำหนด

NEX POINT หนุนระบบขนส่งรักษ์สิ่งแวดล้อมเมืองภูเก็ต

NEX POINT “โลจิสติกส์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” สนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเมืองภูเก็ต

บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์เชิงพาณิชย์แบบครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย ได้ส่งรถบัสโดยสารซึ่งเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้เป็นรถประกอบการขนส่งผู้โดยสาร อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย เพื่อเข้าร่วมสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างภาพลักษณ์ ที่ดีงดงามของจังหวัดภูเก็ตในเวทีระดับสากล ซึ่งงานนี้จัดโดยสมาคมเพอรานากันประเทศไทย ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตเทศบาลนครภูเก็ต การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต และภาคีเครือข่าย โดยกิจกรรมปีนี้ ได้ยกระดับการท่องเที่ยวทุกรูปแบบในเกาะภูเก็ตอย่างเต็มรูปแบบ

อนึ่ง ทางบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) ได้ที่มีโอกาสนำรถบัสไฟฟ้า เข้าร่วมงานดังกล่าว ซึ่งทาง เน็กซ์ พอยท์ คำนึงถึงคำว่า “โลจิสติกส์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” จึงมีความมุ่งมั่น พยายามและตั้งใจในการขยายเครือข่าย สร้างความสัมพันธ์กับองค์กรธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนางานให้สอดคล้องกับแนวคิดเพื่อสังคมไทยที่น่าอยู่กับการทำธุรกิจยุคใหม่ ที่ห่วงใย ใส่ใจ และเป็นมิตรที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยัง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยให้จัดการระบบขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง “Green Logistics” คือ กุญแจทองสำคัญที่จะนำพาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และโลกของเราไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ซูซูกิ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ออกแคมเปญ Exclusive Maintenance Service บำรุงรักษารถฟรีนาน 7 ปี

ซูซูกิ สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการอีโคคาร์ ยกระดับแคมเปญ Exclusive Maintenance Service บำรุงรักษารถฟรีนาน 7 ปี พร้อมเอกสิทธิ์เหนือระดับ SUZUKI Worry Free Privilege Booklet การันตีคุณภาพคุ้มค่าตลอดการใช้งาน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้แนะนำแคมเปญ SWIFT WORRY FREE PROGRAM 777 ให้แก่ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ SUZUKI SWIFT สปอร์ตแฮทช์แบ็กอีโคคาร์ โดยมุ่งหวังสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความใส่ใจที่เรายึดมั่นมาโดยตลอด นอกจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและคุ้มค่าแล้ว ซูซูกิยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านงานบริการหลังการขาย ซึ่งแคมเปญนี้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ซูซูกิได้อย่างชัดเจน”

โดยซูซูกิสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ในตลาดรถยนต์กลุ่มคอมแพ็คคาร์ แบรนด์แรกที่เปิดตัวแคมเปญสุดพิเศษ SWIFT WORRY FREE PROGRAM 777 เพื่อยกระดับความคุ้มค่าและความอุ่นใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยมอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับผ่านโปรแกรมบำรุงรักษาฟรี 7 ปี (Exclusive Maintenance Service) ที่ไม่เพียงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว แต่ยังเสริมความมั่นใจตลอดระยะเวลาการใช้งาน ว่ารถยนต์ของลูกค้าจะได้รับการดูแลและบำรุงรักษาอย่างมืออาชีพตามมาตรฐานคุณภาพของศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ อีกทั้งยังช่วยบริหารค่าใช้จ่ายด้านการดูแลรักษาให้เป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ สะท้อนถึงความใส่ใจของซูซูกิในทุกองค์ประกอบ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการหลังการขาย

ล่าสุด เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ โปรแกรมบำรุงรักษาฟรี 7 ปี (Exclusive Maintenance Service) จะมาพร้อมกับเอกสิทธิ์เหนือระดับ SUZUKI Worry Free Privilege Booklet ที่จัดทำขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกค้ารถยนต์ซูซูกิที่ได้รับสิทธิ์พิเศษในโปรแกรมดังกล่าว ซึ่งจะอำนวยความสะดวกเมื่อถึงเวลาที่เจ้าของรถมีความประสงค์ต้องการโอนกรรมสิทธิ์หรือขายต่อ โดย SUZUKI Worry Free Privilege Booklet จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ซื้อ และช่วยเพิ่มศักยภาพในการกำหนดมูลค่าให้กับรถยนต์ของผู้ขายได้อย่างมีนัยยะสำคัญ เป็นจุดแข็งที่ช่วยให้การซื้อขายรถยนต์มือสองตอบโจทย์ทั้งในด้านความมั่นใจและความคุ้มค่าอย่างแท้จริง

โดยสมุดคู่มือ SUZUKI Worry Free Privilege Booklet จะมีวัตถุประสงค์ดังนี้

1.อธิบายสิทธิประโยชน์จากโปรแกรมบำรุงรักษาฟรี 7 ปี

2.อธิบายสิทธิประโยชน์จากเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพตัวรถ 7 ปี

3.อธิบายสิทธิประโยชน์การให้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง 7 ปี

นายวัลลภ กล่าวว่า “SUZUKI SWIFT เจเนอเรชันล่าสุด ยังคงครองใจลูกค้าในฐานะรถยนต์นั่งขนาดเล็กรุ่นยอดนิยม นับตั้งแต่การเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปี 2561 ด้วยดีไซน์สปอร์ตที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานกับสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจและสนุกทุกจังหวะบนท้องถนน พร้อมความประหยัดคุ้มค่าและราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้ SUZUKI SWIFT ยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องตลอดมา การมอบสิทธิพิเศษผ่านแคมเปญ SWIFT WORRY FREE PROGRAM 777 จึงไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นความสนใจและเพิ่มแรงจูงใจในการตัดสินใจเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงความใส่ใจของซูซูกิที่ต้องการมอบประสบการณ์การใช้งานที่คุ้มค่าและมั่นใจในระยะยาวให้กับลูกค้าทุกคนอีกด้วย”

สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ SUZUKI SWIFT สปอร์ตอีโคคาร์รุ่นยอดนิยม ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 567,000 บาท โดยมีโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม 2568 ดังนี้

รับสิทธิพิเศษฟรี SWIFT WORRY FREE PROGRAM 777

-ฟรี Exclusive Maintenance Service 7 ปี

-ฟรี Suzuki Warranty 7 ปี

-ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 7 ปี

•หรือ เลือกรับบริการผ่อนด้วย ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลานาน 60 เดือน

•หรือ เลือกรับส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 50,000 บาท สำหรับรุ่น GL และ GLX หรือ รับส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 45,000 บาท สำหรับรุ่น GL NEXT พร้อมเลือกรับข้อเสนอ ขับฟรี 90 วัน หรือเลือก ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 4,999 บาท หรือเลือก ผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน เพียงเดือนละละ 5,781 บาท

•ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก 

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การส่งมอบทั้งคุณภาพของสินค้าและงานบริการที่ดี คือหัวใจสำคัญในการตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้กับซูซูกิด้วยดีเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ SUZUKI SWIFT ที่ยังคงเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กซึ่งครองใจกลุ่มลูกค้าที่มองหารถที่สะท้อนตัวตนที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน และตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบที่ลงตัว”

การจัดแคมเปญ “SWIFT WORRY FREE PROGRAM 777” พร้อมมอบสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมการบำรุงรักษารถนานถึง 7 ปี รวมถึงคุณภาพตัวรถฟรี 7 ปี และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินฟรี 7 ปี ถือเป็นการตอกย้ำถึงความตั้งใจของซูซูกิในการสร้างมาตรฐานงานบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่า ซูซูกิพร้อมดูแลรถของลูกค้าในระยะยาวด้วยมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ประกอบกับการนำเสนอแคมเปญพิเศษ  “SUZUKI WORRY FREE” หนึ่งในแผนการดำเนินธุรกิจ ที่ซูซูกิได้ทำการประกาศไปก่อนหน้า จึงเป็นการตอกย้ำถึงการสร้างความเชื่อมั่นว่าซูซูกิจะสามารถรองรับการดูแลลูกค้าด้วยคุณภาพและมาตรฐานของซูซูกิได้อย่างแท้จริง มีรายละเอียดดังนี้

1. ขยายการรับประกันอะไหล่และงานบริการ

•อุ่นใจไร้กังวล กับการขยายการรับประกันงานซ่อมและอะไหล่แท้ทุกชิ้น นานถึง 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) จากเดิมที่รับประกันเพียง 3 เดือน หรือ 5,000 กิโลเมตร

2. บริการพิเศษรถสำรองใช้ระหว่างซ่อม

•รถยนต์ที่อยู่ในระยะรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ไร้ความกังวลเรื่องไม่มีรถใช้งานระหว่างซ่อม ด้วยบริการพิเศษ ‘รถสำรองใช้ระหว่างซ่อม’ สำหรับรถยนต์ซูซูกิที่ต้องใช้เวลาตรวจเช็กมากกว่า 1 วัน (ไม่รวมระยะเวลาวิเคราะห์ปัญหา) และไม่รวมกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ

3. HELLO SUZUKI APPLICATION ยกระดับงานบริการแบบ S-Solution

•HELLO SUZUKI คือ แอปพลิเคชัน ที่จะเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานกับลูกค้า อำนวยความสะดวกสบายและความมั่นใจในงานบริการทุกขั้นตอน ทั้งการนัดหมายนำรถเข้ารับบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รายงานการการตรวจสอบและดูแลรถในทุกขั้นตอน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซมที่ศูนย์บริการของซูซูกิทั่วประเทศ

4. ระบบการจัดการอะไหล่ มีเป้าหมายรองรับบริการได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี

•การจัดการเตรียมระบบจัดการอะไหล่รถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายภายในประเทศ ช่วยให้ลูกค้าคลายความกังวลเรื่องการขาดแคลนอะไหล่ในการบำรุงรักษารถ โดยมีเป้าหมายรองรับความต้องการของลูกค้าได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่สิ้นสุดการผลิต

•บริการจัดส่งอะไหล่แบบเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่อื่นๆ ภายใน 48 ชั่วโมง 

•คุ้มค่าต่อการใช้งาน ด้วยอะไหล่ในราคาที่เข้าถึงง่าย

5. ศูนย์บริการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

6. ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังตามมาตรฐานของซูซูกิ 

อย่างไรก็ตาม แคมเปญ “SWIFT WORRY FREE PROGRAM 777” ยังคงดำเนินภายใต้ปรัชญา “SUZUKI Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ คุ้มค่า คุ้มราคา สะท้อนแนวทางของซูซูกิที่มุ่งมั่นในการนำเสนอรถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในราคาที่เข้าถึงได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนางานบริการในทุกมิติ เพื่อยกระดับมาตรฐานของผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

“ฮอนด้า – กรังด์ปรีซ์” ประกาศสานต่อ “ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025”

“ฮอนด้า – กรังด์ปรีซ์” ประกาศสานต่อ “ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025” เสิร์ฟความมัน 4 สนาม เปิดฤดูกาลอีเวนต์ระดับโลก “จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์”

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน )โปรโมเตอร์มอเตอร์สปอร์ตแถวหน้าของไทย แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ สานต่อสุดยอดการแข่งขัน “ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025” (Honda One Make Race 2025)  คอนเฟิร์มชิงชัยทั้งสิ้น 4 สนามตลอดทั้งปี ประกาศความพร้อมเต็มร้อยเสิร์ฟความมันสนามแรกในอีเวนต์ระดับโลกอย่าง “จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย 2025” (GT World Challenge Asia Powered by AWS) ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม-1 มิถุนายนนี้ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ พร้อมจัด Honda One Make Race 2025 Exclusive Trip เชิญชวนลูกค้ารถยนต์ฮอนด้าผู้โชคดีสัมผัสความมันส์ของการแข่งขัน พร้อมร่วมกิจกรรมสุดพิเศษ “ฮอนด้า ไดรฟ์วิ่ง คลีนิค” (Honda Driving Clinic)  และ “ฮอนด้า แทร็ก เอ็กซ์พีเรียนซ์” (Honda Track Experience) มอบประสบการณ์สุดพิเศษแก่ลูกค้าฮอนด้า

งานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของศึก ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 มีขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมี คุณพฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเรืองฤทธิ์ นายกสมาคม ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬา คุณรัชนี จิรถาวรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปสายงานวางแผนธุรกิจ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด และคุณอโณทัย เอี่ยมลำเนา กรรมการบริหาร/ประธานเจ้าหน้าที่สายการผลิต บริษัท กรังด์ปรีซ์  ร่วมประกาศความพร้อมสำหรับฤดูกาลใหม่

ศึก ฮอนด้า วันเมคเรซ ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย โดยมีไฮไลต์อยู่ที่การแข่งขันในรุ่น ฮอนด้า ซิตี้ แฮ็ทช์แบ็ค วันเมคเรซ (Honda City Hatchback One Make Race) ด้วยการนำรถยนต์ ฮอนด้า ซิตี้ แฮ็ทช์แบ็ค (Honda City Hatchback) มาปรับแต่งตามมาตรฐานความปลอดภัย เสริมสมรรถนะทั้งพละกำลัง และการยึดเกาะถนน มาประชันความเร็วกันอย่างดุเดือด บนสนามแข่งระดับโลก

เสน่ห์ของศึก ฮอนด้า ซิตี้ แฮ็ทช์แบ็ค วันเมคเรซ อยู่ที่ความเข้มข้นของการขับเคี่ยวในเรซ ด้วยรถแข่งที่มีสมรรถนะเท่าเทียมกัน โดยนักแข่งจะต้องเค้นทักษะการขับขี่อย่างสุดความสามารถเพื่อชี้ขาดผู้แพ้ผู้ชนะ และด้วยฝีมือของนักแข่งที่ใกล้เคียงกันส่งผลให้ผู้ชมได้สัมผัสเกมที่สนุกตื่นเต้นตลอดทั้งเรซ

ขณะเดียวกันยังมีการแข่งขัน ฮอนด้า คลับ เรซ (Honda Club Race) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของคอความเร็วที่มีใจรักในรถยนต์ฮอนด้า นำรถแข่งฮอนด้าหลากหลายรุ่น มาร่วมประลองความเร็วกันในสนามแข่งมาตรฐาน ซึ่งในรุ่นนี้จะเป็นประตูสำหรับนักแข่งหน้าใหม่ ที่จะได้มีโอกาสก้าวเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ต ได้ร่วมการแข่งขันที่มีมาตรฐาน และเปลี่ยนจาก “นักซิ่ง” สู่ “นักแข่ง” อย่างแท้จริง

รัชนี จิรถาวรกุล

นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานจัดการแข่งขัน ฮอนด้า วันเมคเรซ กล่าวว่า “ในฤดูกาล 2025 กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต ในฐานะฝ่ายจัดการแข่งขันยินดีที่จะประกาศให้ทราบว่าเราจะสานต่อความมันส์ ฮอนด้า วันเมคเรซ ร่วมกับ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเดินหน้าสร้างประสบการณ์ด้านมอเตอร์สปอร์ตให้แฟนชาวไทย ปีนี้เราจะเริ่มต้นสนามแรกกับเรซระดับโลกอย่าง จีที เวิลด์ ชาลเลนจ์ เอเชีย ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่แฟนๆ จะได้เห็นรายการของไทยร่วมสุดสัปดาห์เดียวกัน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าเราสามารถจัดการแข่งขันเคียงข้างในมาตรฐานระดับสูงเช่นกัน โดยฤดูกาลนี้ ฮอนด้า มุ่งมั่นอย่างมากที่จะยกระดับประสบการณ์ในกีฬาความเร็วให้แฟนๆ ชาวไทย เรายังคงมี ฮอนด้า ซิตี้ แฮ็ทช์แบ็ค วันเมคเรซ เป็นตัวชูโรง พร้อมด้วย ฮอนด้า คลับ เรซ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในวงการมอเตอร์สปอร์ตให้ผู้มีใจรักก้าวสู่การแข่งขันระดับอาชีพ ผมเชื่อว่าเกมการแข่งขันทุกรุ่นจะยังเข้มข้นสุดมันเหมือนเดิม”

นอกจากความมันส์ในสนามแล้ว ฮอนด้า ยังได้จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าคนพิเศษ Honda One Make Race 2025 Exclusive Trip เชิญชวนลูกค้ารถยนต์ฮอนด้าผู้โชคดีร่วมชมการแข่งขันแบบใกล้ชิดติดขอบสนาม พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ อาทิ “ฮอนด้า ไดรฟ์วิ่ง คลีนิค” เวิร์กช็อปการขับขี่เชิงเทคนิค ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าฮอนด้าได้เรียนรู้ทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัยและถูกต้อง พร้อมเทคนิคการควบคุมรถในสไตล์สปอร์ต ถ่ายทอดความรู้โดยทีมผู้ฝึกสอนมืออาชีพ และ “ฮอนด้า แทร็ก เอ็กซ์พีเรียนซ์” สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในการนำรถยนต์ฮอนด้าคู่ใจขับขี่บนสนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามแข่งรถที่ได้รับมาตรฐานการรับรองสูงสุด จากสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ หรือ FIA

ขณะเดียวกัน ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025 จะยังคงจับมือกับศึก พีที แม็กซ์นิตรอน เรซซิ่ง ซีรีส์ 2025 (PT Maxnitron Racing Series) ดวลความเร็วในฤดูกาลนี้ โดยจะถูกบรรจุเป็นสนามที่ 2 ระหว่างวันที่ 6-7 มิถุนายนนี้ ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ต่อด้วยสนาม 3 ในวันที่ 29-31 สิงหาคมนี้ ในสนามเดียวกัน และปิดท้ายกันที่ สนามเฉพาะกิจ พีที สงขลา สตรีท เซอร์กิต ระหว่างวันที่ 16-19 ตุลาคมนี้ ในศึก สงขลา กรังด์ปรีซ์

สำหรับแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ต  สามารถรับชมการถ่ายทอดสดความมันการแข่งขันรายการ ฮอนด้า วันเมคเรซ 2025  ผ่านหน้าจอสดๆ ได้เช่นเคย ทางเพจ Honda One Make Race, GP Motorsport และ XO Autosport

กำหนดการแข่งขัน  Honda One Make Race 2025 มีดังนี้

• Event 1 (Race1-2) วันที่ 31 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2568

แข่งขันในรายการ Fanatec GT World Challenge Asia, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

• Event 2 (Race 3-4) วันที่ 6-7 มิถุนายน 2568

แข่งขันในรายการ PT Maxnitron Racing Series, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

• Event 3 (Race 5-6) วันที่ 29 -31 สิงหาคม 2568

แข่งขันในรายการ PT Maxnitron Racing Series, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

• Event 4 (Race 7-8) วันที่ 16-19 ตุลาคม 2568

แข่งขันในรายการ PT Maxnitron Racing Series, สนามเฉพาะกิจ พีที สงขลา สตรีท เซอร์กิต

งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47 จัดยิ่งใหญ่ เอาใจทุกเจนฯ

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ จัด “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47” ภายใต้แนวคิด “ความหวังยุคหลังสงคราม-The Post-War Hope” ชมรถโบราณทรงคุณค่า หายากกว่า 100 คัน พร้อมกิจกรรมดึงคนรุ่นใหม่ ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ระหว่างวันที่ 18-22 มิถุนายน 2568

ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “งานประกวดรถโบราณ เป็นงานระดับประเทศที่จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 47 โดยแนวคิดของงานปีนี้คือ “ความหวังยุคหลังสงคราม-The Post-War Hope” ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ ช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 สิ้นสุด ผู้คนต่างตั้งความหวังถึงอนาคตที่สดใส จากบรรดาสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ทั้งประชากรเจเนอเรชันใหม่ สถาปัตยกรรมเมืองใหม่ แฟชันสไตล์ใหม่ ภาพยนตร์ ดนตรีแนวใหม่ รวมถึงรถยนต์รุ่นใหม่ ที่สะท้อนความหวังยุคหลังสงคราม ผ่านความหรูหรา สะดวกสบาย และเทคโนโลยีระดับสูง”

กัลยา กมลรัตน์ ผู้อำนวยการด้านการตลาด ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค กล่าวว่า “ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ไม่ได้เป็นเพียงชอพพิงเดสติเนชันเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์การค้าที่ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชัน โดยงานประกวดรถโบราณนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของเจเนอเรชัน โดยจะมีการจัดแสดงรถโบราณ และรถคลาสสิคกว่า 100 คัน บนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร

งานนี้นอกจากจะถ่ายทอดเสน่ห์ของยานยนต์ระดับตำนาน เพื่อดึงดูดความสนใจคนรุ่นใหม่ให้มาชมงาน แล้วยังมอบประสบการณ์พิเศษด้วยกิจกรรมสนุกสุดสร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย อาทิ Game Jigsaw Challenge, Rally Scan, เวิร์คชอพทำพวงกุญแจรถคลาสสิค และอื่นๆ อีกมากมาย”

การประกวดรถโบราณแบ่งเป็น 7 ประเภท ตามมาตรฐานของสมาพันธ์รถโบราณสากล (FIVA) ได้แก่ รถรุ่นบรรพบุรุษ (ก่อนปี 1904) รถรุ่นผ่านศึก (ปี 1905-1918) รถโบราณ (ปี 1919-1930) รถรุ่นก่อนสงคราม (ปี 1931-1945) รถรุ่นหลังสงคราม (ปี 1946-1960) รถคลาสสิค (ปี 1961-1970) และรถคลาสสิคร่วมสมัย (ปี 1971-ปัจจุบัน ย้อนหลัง 30 ปี)

นอกจากนั้น ยังมีการประกวดอีกหลายประเภท อาทิ รถจำลอง รถดัดแปลง รถประดิษฐ์พิเศษ รถแจกวาร์ รถมีนี รถโฟล์คสวาเกน รถอเมริกัน และรถเฟียต พร้อมรถที่นำมาแสดงเป็นพิเศษ อีกทั้งมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย เช่น การประกวด ราชินีแห่งความสง่างาม (CONCOURS D’ELEGANCE- กงกูรส์ เดเลอกองศ์) เสวนาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับรถโบราณ คอนเสิร์ทเพลงฮิทในอดีต จำหน่ายสินค้าวินเทจ หนังสือ นิตยสาร แสตมป์รถโบราณ รถโบราณจำลอง ฯลฯ

ผู้สนใจสามารถส่งรถเข้าประกวดได้ที่ imc.co.th/vintagecarclub/vcct ภายในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 หรือสอบถามรายละเอียดที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/VintageCarClub และเชิญชมงานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ระหว่างวันที่ 18-22 มิถุนายน 2568

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save