- Advertisement -
27 C
Bangkok
Home Blog Page 8

ฟอร์ด ออกแคมเปญ “โปรยิ้มกว้าง” เพื่อเกษตรกร

ฟอร์ด ออกแคมเปญ “โปรยิ้มกว้าง” ข้อเสนอสุดยืดหยุ่นเพื่อเกษตรกร ดาวน์เริ่มต้นเพียง 5% ผ่อนนานสูงสุด 84 เดือน

ฟอร์ด ประเทศไทย เดินหน้าเคียงข้างเกษตรกรไทย เปิดตัวแคมเปญ “โปรยิ้มกว้าง” ด้วยเงื่อนไขการชำระค่างวดที่ยืดหยุ่น ออกแบบมาเพื่อสอดรับกับรอบฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรและการจัดการสภาพคล่องของครัวเรือนอย่างแท้จริง ลูกค้าเกษตรกรที่สนใจซื้อรถยนต์ฟอร์ดทุกรุ่น ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568 สามารถร่วมแคมเปญสินเชื่อพิเศษ เลือกชำระค่างวดล่วงหน้าได้แบบ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 12 เดือน ดาวน์เริ่มต้นเพียง 5% ผ่อนนานสูงสุด 84 เดือน

“ฟอร์ดเข้าใจดีว่ารูปแบบรายได้ของเกษตรกรไทยมีความเฉพาะตัว จึงได้ทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ และนำมาออกแบบโปรแกรมการจัดสินเชื่อที่ตอบโจทย์จริง มอบทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้การเป็นเจ้าของรถฟอร์ดเป็นเรื่องง่ายขึ้นและตอบสนองความต้องการของเกษตรกรมากที่สุด ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการดูแลลูกค้า เสมือนคนในครอบครัว” เมธัส ลิขิตสัจจากุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว

แคมเปญ “โปรยิ้มกว้าง” มอบข้อเสนอพิเศษด้านสินเชื่อ ดังนี้

•เลือกชำระค่างวดล่วงหน้าได้ 3 แบบ ตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 12 เดือน พร้อมรับส่วนลดดอกเบี้ยพิเศษ ตามเงื่อนไขของธนาคารที่ร่วมรายการของฟอร์ด ลีสซิ่ง

•ดาวน์เริ่มต้นเพียง 5% ผ่อนนานสูงสุด 84 เดือน

•ผู้เข้าร่วมแคมเปญต้องจองรถ และจัดไฟแนนซ์กับฟอร์ด ลีสซิ่ง

ข้อเสนอพิเศษแคมเปญ “โปรยิ้มกว้าง” ครอบคลุมรถฟอร์ดทุกรุ่นที่มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานหลากหลาย และเทคโนโลยีชาญฉลาดตอบทุกโจทย์งานเกษตร อาทิ

•ฟอร์ด เรนเจอร์ XLS กระบะ 4 ประตูยกสูง เกียร์อัตโนมัติ มาพร้อมพื้นที่กระบะบรรทุกผลผลิตทางการเกษตรได้ปริมาณมากด้วยฐานล้อกว้าง และรองรับพาเลตสินค้าขนาดมาตรฐาน มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่รองรับการใช้หลายรูปแบบ อาทิ บันไดเหยียบข้างกระบะท้าย พื้นที่กระบะท้ายเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานเคลื่อนที่ได้ มีจุดยึดอุปกรณ์ช่าง 2 จุด พร้อมไม้บรรทัดวัดขนาดแบบบิลท์อิน กล้องมองหลังขณะถอยจอด ช่วยให้ผู้ขับขี่ถอยจอดแบบเข้าซองได้อย่างปลอดภัย ผ่านหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 10.1 นิ้ว บนคอนโซลกลาง

•ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์แทรค วี 6 มาพร้อมสมรรถนะที่ให้พละกำลังและแรงบิดสูง เหมาะกับการลากจูงและการขับขี่แบบออฟโรด อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ 4A 4WD และระบบไฟส่องสว่างแบบแบ่งโซน ที่ช่วยให้เกษตรกรลุยงานในสวนหรือฟาร์มได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

•ฟอร์ด เรนเจอร์ สปอร์ต กระบะ 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ ตอบโจทย์ทุกการใช้งานทั้งสายลุยและการใช้งานในเมือง รถฟอร์ดทุกรุ่นยังมาพร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง และการรับประกันคุณภาพรถใหม่จากโรงงาน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

คอนเสิร์ท 62 ปี The Youngsters

คอนเสิร์ท 62 ปี The Youngsters สนุก ประทับใจ ผู้ชมชื่นมื่น

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน MOTOR EXPO หนึ่งในสมาชิกวง The Youngsters จัดงาน “คอนเสิร์ท 62 ปี • Young Heart Never Dies” บรรยากาศคอนเสิร์ทผ่านพ้นไปอย่างน่าประทับใจ มีวง ”From Here to the Moon” มาเพิ่มความสนุก และมีตัวแทนบริษัทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ตลอดจนเพื่อนๆ มาร่วมให้กำลังใจอย่างคับคั่ง ที่พิพิธภัณฑ์คนรักรถ “Auto Rendezvous Museum-Bangkok” ชั้น 1 สำนักงาน บริษัท สื่อสากล จำกัด เมื่อเร็วๆ นี้

Toyota Hilux Revo 10 เซียนประจัญบาน 2025 พร้อมระเบิดศึกออฟโรดยิ่งใหญ่ระดับอาเซียน

Toyota Hilux Revo 10 เซียนประจัญบาน เป็นการแข่งขันรถยนต์ออฟโรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และได้รับการยอมรับว่าเป็นรายการที่มีเสน่ห์โดดเด่น จัดต่อเนื่องมาอย่างยาวนานถึง 23 ปี นับตั้งแต่จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) โดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ Grand Prix Motor Park ในเครือ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีจุดประสงค์ในการรวบรวมเหล่านักแข่งออฟโรดระดับแถวหน้าของประเทศจากทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงนักแข่งชาวต่างชาติ เพื่อเข้าร่วมประลองฝีมือในสนามเดียวกันเพื่อเฟ้นหา 10 อันดับเซียนออฟโรดของประเทศ โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12–15 มิถุนายน 2568 ณ สนาม Grand Prix Motor Park อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี

default

Toyota Hilux Revo 10 เซียนประจัญบาน เดิมใช้ชื่อว่า “10 เซียนประจัญบาน” เมื่อได้รับการสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการจากโตโยต้า จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “Toyota Hilux Vigo 10 เซียนประจัญบาน” ต่อมาเปลี่ยนชื่อรายการอีกครั้งเป็น “Toyota Hilux Revo 10 เซียนประจัญบาน” จนถึงปัจจุบัน มีการพัฒนารูปแบบการแข่งขัน กฎ กติกา อย่างมีมาตรฐานสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนา และยกระดับการแข่งขันมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่มาตรฐานในระดับสากล ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับอาเซียน มีนักแข่งเข้าร่วมในรายการมากกว่า 150 คน จาก 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย เมียนม่า กัมพูชา มาเลเซีย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 4 รุ่น ได้แก่

1.Toyota Hilux Revo 10 เซียนประจัญบาน 2025

2.Super Open 10 เซียนประจัญบาน 2025

3.เที่ยวป่า Open 10 เซียนประจัญบาน 2025

4.Off Road Club Team 10 เซียนประจัญบาน 2025

สนามสุดโหด ที่วัดใจทั้งนักแข่ง รถแข่ง ทีมเซอร์วิส บอกเลยว่าศึกนี้ไม่ได้วัดแค่พละกำลัง ความพร้อม ความอึด แต่คือบทพิสูจน์ของ “จิตวิญญาณนักแข่งออฟโรดตัวจริง” ใครจะเป็นหนึ่งในตำนาน 10 เซียนประจัญบาน 2025 ร่วมลุ้น ร่วมเชียร์ไปพร้อมกัน วันที่ 12–15 มิถุนายน 2568 ณ สนาม Grand Prix Motor Park อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี และคุณจะไม่พลาดทุกวินาทีของการแข่งขัน โดยชมการถ่ายทอดสดผ่านทางทีวีดิจิตอล และ Live Streaming กันสดๆ แบบเกาะติดขอบสนามจากกล้องหลากหลายมุมตลอดทั้ง 4 วันทาง Facebook : GRAND PRIX MOTOR PARK, Off Road Magazine รวมทั้งช่อง YouTube ของ GRAND PRIX MOTOR PARK และสื่อพันธมิตรต่างๆ

นายก สรยท. ประกาศแผนงานปี 2568 รุกกิจกรรมเสริมแกร่งวิชาชีพ หนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

สรยท.จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีนายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association : TAJA เป็นประธาน พร้อมเปิดแผนการทำงานของปีที่ 2 มุ่งยกระดับความเข้มข้นของทุกกิจกรรมขึ้นจากปีที่ผ่านมาให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ เดินหน้าจัดงานรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2568 โดยทุกกิจกรรมล้วนยึดผลประโยชน์ที่ทางสมาคมฯ และสมาชิกของสมาคมฯ จะได้รับผ่านทางกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ อันหลากหลายเพื่อเสริมแกร่งทักษะวิชาชีพสื่อมวลชนสายยานยนต์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย พร้อมขอบคุณสมาชิกสมาคมที่เข้าร่วมประชุมคับคั่ง และให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่สมาคมจัดขึ้นมาโดยตลอด

นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย หรือ สรยท. เปิดเผยว่า “ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณสมาชิก ที่มองเห็นความสำคัญของการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ของทางสมาคมฯ ซึ่งในปีนี้ มีสมาชิกเข้าร่วมประชุมถึง 145 คน แน่นอนว่านอกเหนือจากการรายงานการทำงานของคณะกรรมการวาระปี 2567-2569 ในช่วงปีแรกแล้ว ในโอกาสเดียวกันสมาคมฯ ยังประกาศแผนในการทำงานของปีที่ 2 ออกมาอีกด้วย โดยยังยึดหลักในเรื่องที่ยึดผลประโยชน์ที่ทางสมาคมฯ และสมาชิกของสมาคมฯ จะได้รับผ่านทางกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ทั้งการสัมมนาเชิงวิชาการ และโปรเจกต์ฝึกอบรมต่างๆ ที่สมาคมฯ จะจัดขึ้นมาเพื่อเพิ่มพูนทักษะในหลายๆ ด้านให้กับสมาชิก ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสื่อยุคปัจจุบัน” นายสุรศักดิ์ กล่าว

นอกจากนั้น ในเรื่องของการจัดงาน THAILAND CAR OF THE YEAR, THAILAND EV OF THE YEAR และ THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR ปี 2025 นั้น ทางสมาคมฯ ได้เร่งกระบวนการทำงานให้เร็วขึ้น พร้อมกับมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการคัดเลือกและตัดสินขึ้นมาทำงานจำนวน 26 ท่าน ในการพิจารณาถึงกฎและกติกาที่จะใช้ในการคัดเลือกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เข้าเกณฑ์ ซึ่งในปี 2025 นี้ ทางคณะอนุกรรมการมีความเห็นตรงกันในการพิจารณาถึงการปรับปรุงกฎระเบียบที่จะให้มีการครอบคลุมถึงรถที่ “ปรับโฉม” หรือ “Minor Change” ด้วย แต่จะต้องมีกรอบในการพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ

“ตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราได้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดรถยนต์ไทย จำนวนรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เป็นโมเดลเชนจ์ (Model change) ซึ่งทางสมาคมใช้เป็นเกณฑ์หลักในการพิจารณานั้นเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน และบริษัทรถยนต์เริ่มขยายระยะเวลาในการทำตลาดรถยนต์รุ่นเดิมนานขึ้น ทำให้คณะอนุกรรมการทำงานในปีนี้มีความเห็นว่าน่าจะต้องนำหัวข้อนี้มาพิจารณาใหม่เพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงทั้งในปีนี้และในอนาคต”

วัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงกติกาในปี 2025 คือ

๏ เพื่อสอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยในปัจจุบัน ซึ่งรถยนต์สันดาปภายใน และรถจักรยานยนต์มีรุ่นใหม่ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนโฉมหรือ Model Change มีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ในแต่ละปี และมีแนวโน้มว่าบริษัทรถยนต์จะยืดอายุในการทำตลาดผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้นานขึ้น

๏ เพื่อให้รถยนต์ที่เป็นแค่การปรับโฉม หรือ Minor Change แต่มาพร้อมกับการเพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือนวัตกรรมที่น่าสนใจได้มีโอกาสเข้าเป็นส่วนหนึ่งที่เข้าเกณฑ์ของการตัดสินในแต่ละปี

๏ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์ได้นำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าสนใจและมีความทันสมัยมาใช้กับรถยนต์ที่จำหน่ายในเมืองไทย ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้บริโภคชาวไทยที่จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้

“รถยนต์ใหม่ที่เป็นโมเดลเชนจ์ยังเข้าเกณฑ์เหมือนเดิม แต่เราคิดว่าจะต้องเพิ่มหัวข้อเพื่อเปิดโอกาสรถยนต์รุ่นปรับโฉมมีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณา แต่ทั้งนี้ในกรอบการพิจารณาจะมีความเข้มงวดกว่าด้วยการกำหนดให้รถยนต์รุ่นปรับโฉมจะต้องมีความเปลี่ยนแปลง 3 ใน 5 หัวข้อที่ทางอนุกรรมการตั้งเอาไว้ นั่นคือ ระบบขับเคลื่อน (Powertrain), ความเปลี่ยนแปลงภายนอกหรือภายใน (Exterior/Interior) ระบบความปลอดภัย (Safety System) นวัตกรรมที่น่าสนใจ (Innovation System) และระดับค่ามลพิษที่ลดลง-ความประหยัดน้ำมันที่เพิ่มขึ้น (Emission/Fuel Consumption) ซึ่งเกณฑ์ในแต่ละหัวข้อ ทางอนุกรรมการปีนี้กำลังเร่งทำงานในการกำหนดเป็นกรอบในการพิจารณา และจะมีการประกาศอีกครั้งในเร็วๆ นี้” นายสุรศักดิ์ กล่าวสรุป

ด้านนายสุรมิส เจริญงาม อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย กล่าวว่า การจัดงานรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2568 หรือ THAILAND CAR EV & MOTORCYCLE OF THE YEAR 2025 ในปีนี้ยังยึดหลักการเดิมในการพิจารณาคัดเลือกตามที่เคยถือปฏิบัติมา แต่ในปีนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้หยิบยกประเด็นพิจารณาถึงการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่จะให้มีการครอบคลุมถึงรถยนต์รุ่น “ปรับโฉม” (Minor Change) โดยเพิ่มหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกให้มีความเหมาะสมเป็นธรรมกับรถทุกรุ่น

“การคัดเลือกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2568 ยังยึดระยะเวลารถที่เปิดตัวในช่วง 1 ตุลาคม 2567 – 30 กันยายน 2568 พร้อมเปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการสู่ตลาด นอกจากนี้ต้องเป็นไปตามกติกาที่คณะอนุกรรมการกำหนด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับแก้กติกาเงื่อนไขการคัดเลือกรถที่จะเข้าร่วมรับรางวัลให้สอดคล้องกับทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเข้ามามีบทบาทกับตลาดรถยนต์ในบ้านเราเป็นอย่างมาก” นายสุรมิส กล่าวในที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางสาวหทัยชนก  ทองมณี ผู้จัดการสมาคมฯ

โทร 06 1223 7516, 08 9996 4666  Line OA : @tajathailand

GWM ทุ่ม 500 ล้านหยวน ตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัยใหญ่ที่สุดในเอเชีย

GWM สยายปีกสู่เวทีระดับโลก เปิด 3 กลยุทธ์สำคัญ ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ทุ่ม 500 ล้านหยวน ตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

GWM ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” โดยในงาน Auto Shanghai 2025 ครั้งที่ 21 นอกจากจะได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้เข้าชมงานทั่วโลกด้วยทัพยนตรกรรมกว่า 40 รุ่น จาก 6 แบรนด์หลัก GWM ยังได้ประกาศ 3 กลยุทธ์สำคัญเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในระดับโลกอีกด้วย ได้แก่

1.) ยกระดับมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ พร้อมตอบความต้องการในทุกตลาดด้วยนวัตกรรมที่หลากหลายและครอบคลุม

2.) พัฒนานวัตกรรมระบบขับเคลื่อนที่ล้ำหน้าและหลากหลายของตนเองเพื่อผู้ใช้ทั่วโลก

3.) สร้างระบบนิเวศร่วมกับชุมชนทั่วโลก พร้อมทุ่มงบประมาณกว่า 500 ล้านหยวน (2,300 ล้านบาทโดยประมาณ) เพื่อจัดตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

ทั้งหมดนี้ คือการมุ่งสร้างการเติบโตในระดับสากลของ GWM เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับโลกที่ล้ำหน้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง มอบประสบการณ์อัจฉริยะในการเดินทางเพื่ออนาคตที่ครอบคลุมกว่าและเหนือกว่าในทุกมิติอย่างแท้จริง

มร.มู่ เฟิง ประธาน GWM กล่าวว่า “ภารกิจของ GWM คือการก้าวข้ามขีดจำกัดในทุกมิติ เพื่อมอบยนตรกรรมอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานทั่วโลก โดยในครั้งนี้บริษัทฯ มาพร้อมกับ 3 กลยุทธ์สำคัญที่กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัย การพัฒนาและผลิตเครื่องยนต์อย่างครบวงจร รวมทั้งการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ที่ยั่งยืนในตลาดต่างๆ ทั่วโลก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกๆ ด้าน GWM จะยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้บุกเบิกทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมสร้างไลฟ์สไตล์ยานยนต์ที่สอดคล้องกับแนวคิด ‘เทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยความรัก และโลกที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต” (Tech With More Love. World With More Life) เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วโลก”

3 กลยุทธ์สำคัญในการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจในระดับโลกของ GWM ประกอบด้วย

Consistency & Diversity : ยกระดับมาตรฐานสากล “อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ” พร้อมย้ำ “ความปลอดภัย” คือหัวใจหลักของแบรนด์

GWM ตอกย้ำความเป็นผู้นำในระดับโลกผ่านกลยุทธ์ “มาตรฐานระดับโลกควบคู่กับการปรับให้เหมาะสมในแต่ละท้องถิ่น” (Global Standards + Local Customization Strategy) โดยมุ่งยกระดับทั้งคุณภาพและความปลอดภัยของรถยนต์ตามมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง ยืนยันความสำเร็จด้วยคะแนน 5 ดาวจากการทดสอบชั้นนำในหลากหลายเวทีทั่วโลก สะท้อนความมุ่งมั่นในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกได้อย่างแท้จริง มอบความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับกลยุทธ์ดังกล่าว ในปี 2568 นี้ GWM ได้มีการลงทุนกว่า 500 ล้านหยวน หรือกว่า 2,300 ล้านบาท ในการก่อตั้งศูนย์ทดสอบความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ในเมืองเป่าติ้ง ประเทศจีน อีกทั้งยังได้มีการจัดแสดงแบบจำลองของศูนย์ทดสอบความปลอดภัยและห้องปฏิบัติการอุโมงค์ลม ภายในงาน Auto Shanghai 2025 เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นและความทุ่มเทด้านความปลอดภัยของยานยนต์พลังงานใหม่ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

นอกจากด้านมาตรฐานระดับโลกแล้ว GWM ยังเสริมสร้างรากฐานของแบรนด์ให้แข็งแกร่งในทั้ง 3 มิติผ่าน “ตัวตน คุณภาพ และการบริการ” (Character, Quality, and Service) ร่วมกับการยกระดับเอกลักษณ์แบรนด์ในทั้ง 3 ด้าน “ผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม” (Product, Technology, and Culture) ด้วยการพัฒนาและปรับผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดต่างๆ ได้อย่างตรงจุด เช่น GWM TANK 300 รุ่น Middle East Edition ที่มาพร้อมเพดานดวงดาวระยิบระยับเสมือนบรรยากาศท้องฟ้าในยามราตรี และ GWM ORA รุ่น Nordic Edition ที่แต่งแต้มบรรยากาศด้วยไฟหลากสีสันราวกับแสงเหนืออันตระการตา รวมถึงการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับภูมิภาคต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริงผนวกกับการสร้างการรับรู้และขยายชื่อเสียงของแบรนด์และการยอมรับในระดับนานาชาติได้อย่างแข็งแกร่ง

Powerful Powertrains for Globalization : พัฒนานวัตกรรมระบบขับเคลื่อนที่ล้ำหน้าของตนเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสมรรถนะ

ก่อนที่ GWM จะประสบความสำเร็จจนสามารถสร้างชื่อเสียงอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศจีนและระดับโลกในปัจจุบันนั้น GWM ก้าวสู่ความสำเร็จจากการเปิดตัวรถกระบะรุ่น “Deer” ในปี 2538 และเริ่มขยายไปยังตลาดต่างประเทศในปี 2540 หลังจากที่ แจ็ค เว่ย ผู้ก่อตั้ง GWM ได้รับแรงบันดาลใจจากการเติบโตของตลาดรถกระบะหลังจากที่ได้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย จนนำไปสู่การริเริ่มและพัฒนาธุรกิจ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเครื่องยนต์ที่ล้ำหน้าสำหรับรถกระบะเพื่อจัดจำหน่ายในประเทศจีน และขึ้นครองตำแหน่งแบรนด์ที่มียอดขายรถกระบะสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันถึง 26 ปีซ้อนในที่สุด ในปี 2545 GWM รุกตลาดรถยนต์เอสยูวีผ่านรุ่น GWM Safe และ GWM HAVAL H6 จนพัฒนาจาก “ผู้นำในตลาดรถยนต์เอสยูวีของจีน” สู่การเป็น “เพื่อนร่วมทางสำหรับบรรดาครอบครัวทั่วทุกมุมโลก” GWM ยังได้มีการขยายแบรนด์ให้ครอบคลุมในหลากหลายทุกเซกเมนต์มากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เช่น GWM WEY ที่ได้เปิดประตู GWM ให้ก้าวเข้าสู่ตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม GWM ORA กับการเปิดตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และ GWM TANK ที่ผงาดขึ้นเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ในตลาดออฟโรดระดับโลกที่เต็มไปด้วยคาแรกเตอร์ที่แตกต่าง แข็งแกร่ง และพรีเมียม

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในระดับโลก GWM มุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “การพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี” (Technological Self-Reliance) กับการวิจัยและพัฒนา ผลิต ตลอดจนซ่อมบำรุง และการดูแลอย่างครบวงจรด้วยตนเอง เพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น GWM ยังมาพร้อมกับกลยุทธ์ “การพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างครอบคลุม” (Broad Internal Combustion) เพื่อพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์ เกียร์ และระบบการขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง นำไปสู่การสร้างระบบขับเคลื่อนไฮบริดสี่ล้ออัจฉริยะหลากหลายรูปแบบ อาทิ Hi4, Hi4 Performance Edition, Hi4-Z, Hi4-T และ Hi4-G ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไปจนถึงรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ ตอบโจทย์การเดินทางและการใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าทั่วโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม

An Ecological Community : สร้างระบบนิเวศร่วมกับชุมชนทั่วทุกมุมโลก เพื่อบูรณาการในชุมชนทั่วโลกอย่างยั่งยืน

การพัฒนาและการปรับผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจผู้บริโภคอาจยังไม่เพียงพอ การร่วมมือกับท้องถิ่นจึงเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะทำให้ GWM สามารถดำเนินและขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลกได้อย่างยั่งยืน นำไปสู่แนวคิด “อยู่ในท้องถิ่น เพื่อตลาดท้องถิ่น และบูรณาการกับชุมชนท้องถิ่น” (Being in the Local Market, For the Local Market, and Integrating into the Local Community) ด้วยการดำเนินธุรกิจในกว่า 170 ประเทศ ครอบคลุมทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา เอเชียแปซิฟิก และแอฟริกา โดย GWM มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของตลาดแต่ละแห่งด้วยความเข้าใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ในตลาดนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังได้มีการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ร่วมกับซัพพลายเออร์ระดับนานาชาติและพันธมิตรในอุตสาหกรรมไฮเทคชั้นนำกว่า 300 รายทั่วโลก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ GWM นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับกลยุทธ์ “การขยายระบบนิเวศในต่างประเทศ” (Ecosystem Expansion Abroad) ที่ครอบคลุมตั้งแต่ด้านการวิจัยและการพัฒนา การผลิต ห่วงโซ่อุปทาน การขาย และการบริการหลังการขายในตลาดต่างประเทศอย่างไร้ขีดจำกัด ล่าสุด GWM ได้เปิดตัวโลโก้ใหม่ “GWM Beacon” ที่สื่อถึงพันธสัญญาอันแน่วแน่ในการขยายตัวสู่ระดับโลก สอดคล้องกับแนวคิด “One GWM” ที่สะท้อนให้เห็นว่า GWM เป็นแบรนด์ที่มีความเชื่อมโยงทั่วโลก อีกทั้งจะยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้งผ่าน “การขยายระบบนิเวศควบคู่การเจาะลึกในตลาดท้องถิ่น” (Ecosystem Expansion + Deep Localization) สู่การส่งมอบยนตรกรรมคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคในตลาดต่างๆ ทั่วโลก

จากจุดเริ่มต้นในประเทศจีน GWM พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าขยายตัวสู่ตลาดโลกอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ที่เหนือระดับให้กับผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการขับเคลื่อนสุดอัจฉริยะและนวัตกรรมยานยนต์อันล้ำสมัยโดยมีประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการดำเนินธุรกิจเพื่อผลิตและส่งออกไปสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เอ็กซ์เผิง จัดงาน “XPENG ROADSHOW 2025” พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษแห่งปี

เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย จัดงาน “XPENG ROADSHOW 2025” เชิญชวนสัมผัสอนาคตแห่ง AI MOBILITY ผ่านยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ รุ่น G6 และ X9 อย่างใกล้ชิด พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษแห่งปี

เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค “เอ็กซ์เผิง” อย่างเป็นทางการ จัดงานใหญ่ “XPENG ROADSHOW 2025” ให้ผู้สนใจได้สัมผัสอนาคตแห่ง AI MOBILITY กับ เอ็กซ์เผิง G6 และ X9 พร้อมจัดหนักข้อเสนอสุดพิเศษ เพิ่มโอกาสเป็นเจ้าของยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ณ ศูนย์การค้าชั้นนำในกรุงเทพมหานคร ตลอดช่วงเดือนพฤษภาคม–กรกฎาคม 2568

นางสาวอภิวันท์ สิงห์ทวีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย กล่าวว่า “XPENG ROADSHOW ครั้งนี้ นับเป็นงานใหญ่ ที่ผู้สนใจนวัตกรรมแห่งอนาคต จะได้สัมผัส AI MOBILITY ผ่านยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค รุ่นยอดนิยม อย่าง เอ็กซ์เผิง G6 เจ้าของรางวัล Thailand Car of the year, Thailand BEST EV SUV (RWD) และ เอ็กซ์เผิง X9 เจ้าของรางวัล 2025 The Most Exciting MPV EV Award จากงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งล่าสุด พร้อมเพิ่มโอกาสเป็นเจ้าของรุ่นที่ใช่ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ ที่จัดสรรให้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ”

งาน XPENG ROADSHOW 2025 จัดเต็มไฮไลท์ครบครัน ได้แก่ เอ็กซ์เผิง G6 รุ่น Standard Range และ Long Range พร้อมด้วย เอ็กซ์เผิง X9 รุ่น Luxury และ Premium โดดเด่นด้วยดีไซน์ ไฮเทคโนโลยี เปี่ยมสมรรถนะ

เริ่มจาก G6 ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ Ultra Smart Coupe SUV ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากนักเขียนนิยายไซ-ไฟ (Sci-Fi) มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง แบ่ง 2 รุ่นย่อย คือ Standard Range ชาร์จไฟเต็ม ขับได้ไกลสุด 505 กิโลเมตร (NEDC) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 6.9 วินาที และ Long Range ชาร์จไฟเต็ม ขับได้ไกลสุด 625 กิโลเมตร (NEDC)

X9 Luxury เบาะหนังแท้แนปป้า (Nappa) ผสาน Zero-gravity Seat หรูหรามีระดับ เบาะนั่งแถวสองปรับไฟฟ้า 18 ทิศทาง พร้อม Wireless Charger 50W เทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดถึง 317 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ NCM ขนาด 101 กิโลวัตต์ ชาร์จไฟเต็มขับได้ไกลสุด 690 กิโลเมตร (NEDC)

X9 Premium รุ่นย่อยใหม่ของรถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ เพิ่มความอเนกประสงค์ในการใช้งานมากยิ่งขึ้น กับ ‘Walkthrough Access’ ช่องทางเดินกลางห้องโดยสาร เบาะหนังพรีเมียม เบาะแถวสองปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง เทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ รองรับความเร็วในการชาร์จสูงสุดถึง 283 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ LFP ขนาด 84 กิโลวัตต์ ชาร์จไฟเต็มขับได้ไกลสุด 580 กิโลเมตร (NEDC)

รับข้อเสนอพิเศษสุดคุ้ม เมื่อจองและรับรถ เอ็กซ์เผิง ภายในเดือนพฤษภาคมนี้

XPENG G6, SMART DEAL, SMART DRIVE

•ฟรี ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 60 เดือน* (ดาวน์ขั้นต่ำ 25%)

•ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 3 ปี*

•ฟรี Wall Box Charger พร้อมติดตั้ง*

XPENG X9, ULTRA SMART COUPE MPV

•ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี*

•ฟรี Wall Box Charger พร้อมติดตั้ง*

ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ เอ็กซ์เผิง ทุกคัน มาพร้อมการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ HV และมอเตอร์ขับเคลื่อน นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร*, รับประกันคุณภาพสินค้า 5 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร*, บริการช่วยเหลือ ฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี*

มั่นใจกับเครือข่ายพาร์ทเนอร์ เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุด

เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการทำตลาดในประเทศไทย ด้วยการเดินหน้าขยายเครือข่ายพาร์ทเนอร์จัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ตลอดจนจังหวัดหลักในแต่ละภูมิภาค นำโดย เอ็กซ์เผิง รามคำแหง โชว์รูมต้นแบบอัจฉริยะ พร้อมศูนย์บริการครบวงจร ต่อด้วย สุขุมวิท, ประดิษฐ์มนูธรรม, แจ้งวัฒนะ, ราชพฤกษ์, พัทยา, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, เชียงใหม่, ภูเก็ต และที่จะเปิดดำเนินการในเร็วๆนี้ คือ วิภาวดี-รังสิต, ศรีนครินทร์ และ ตลิ่งชัน รวมทั้งหมด 13 แห่ง โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพการบริการที่เป็นมาตรฐานผสานเครื่องมืออันทันสมัย และคลังเก็บอะไหล่ ‘XPENG Parts Center’ บริเวณถนนบางนา-ตราด ที่มีการจัดเก็บอะไหล่เพียบพร้อมและเป็นระบบ เพื่อประสิทธิภาพการให้บริการและความพึงพอใจของลูกค้า พร้อมเดินหน้าขยายเครือข่ายพร้อมศูนย์บริการมาตรฐาน เพื่อการดูแลลูกค้าอย่างทั่วถึง

 โดยงานในงาน XPENG ROADSHOW 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-14 พฤษภาคม 2568 ชั้น 1 โซน C เช็นทรัล ลาดพร้าว, วันที่ 11-17 มิถุนายน 2568 ชั้น 1 โซน P1F เซ็นทรัล เวสต์เกต, วันที่ 19-25 มิถุนายน 2568 ชั้น 1 โซน Mega Plaza เมกา บางนา และวันที่ 16-23 กรกฎาคม 2568 นี้ ชั้น 1 โซน B เซ็นทรัล ลาดพร้าว

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ซูซูกิ ส่งแคมเปญเด็ดกระตุ้นยอดขาย CELERIO ช่วยผ่อน 50%

ซูซูกิ ส่งบิ๊กแคมเปญกระตุ้นยอดขาย “ผ่อนหนักทำไม จัดไปคนละครึ่ง” SUZUKI CELERIO ขับวันนี้ สบายกระเป๋า ซูซูกิช่วยผ่อน 50% นานสูงสุด 20 เดือน หรือเริ่มต้นเบาๆ เดือนละ 3,302 บาท นาน 99 เดือนพร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดยานยนต์ในช่วงต้นปี 2568 แม้จะยังไม่ถือว่าคึกคักมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน และความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม การจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้กับตลาดได้ในระดับหนึ่ง โดยมียอดจองรถยนต์รวมภายในงานสูงถึง 77,379 คัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงมีความต้องการในการซื้อรถยนต์ใหม่อยู่ไม่น้อย

“เรามองว่ารถยนต์ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะพาหนะที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างรายได้ของผู้บริโภค ทำให้ยังมีความต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์เพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน ถึงแม้บางส่วนยังมีความกังวลในเรื่องภาวะเศรษฐกิจและภาระค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ดี ความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคยังคงเน้นไปที่รถยนต์ที่มีคุณภาพดี ดูแลรักษาง่าย ประหยัดพลังงาน และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างคุ้มค่าในทุกด้าน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ซูซูกิให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง”

ซูซูกิเล็งเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังมองหารถยนต์คุณภาพดีที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย คุ้มค่า ประหยัดพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ภายใต้แนวคิด “SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง แต่การมีรถยนต์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งในฐานะพาหนะเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ ซูซูกิจึงเตรียมสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ ด้วยการเปิดตัวแคมเปญสุดร้อนแรงแห่งปี “ผ่อนหนักทำไม จัดไปคนละครึ่ง” ซื้อ SUZUKI CELERIO ซูซูกิช่วยผ่อน 50% หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของรถได้ง่ายขึ้น และใช้งานได้อย่างคุ้มค่าในทุกมิติของการใช้ชีวิต

สำหรับแคมเปญ “ผ่อนหนักทำไม จัดไปคนละครึ่ง” ซูซูกิช่วยผ่อน 50% หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน มอบให้กับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ SUZUKI CELERIO รถยนต์นั่งขนาดเล็กคุณภาพเกินตัว ซึ่งเป็นความตั้งใจของซูซูกิในการเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริโภคในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ แต่ยังมีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการจัดแคมเปญช่วยผ่อนสูงถึง 50% ต่อเดือน นานสูงสุด 20 เดือน หรือสามารถเลือกอีกหนึ่งโปรโมชันยอดนิยม คือผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน เพียงเดือนละ 3,302 บาท พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 3 ปี ซูซูกิยังมุ่งมั่นที่จะคอยดูแลลูกค้าในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกซื้อรถยนต์จนถึงการให้บริการหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านมั่นใจในคุณภาพและความคุ้มค่าอย่างเต็มที่ โดยมีเงื่อนไขเฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญาเช่าซื้อผ่านสถาบันการเงินที่ร่วมโครงการ ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ

สำหรับ SUZUKI CELERIO ตอบสนองการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ มอบให้ทั้งประโยชน์ใช้สอยและความประหยัด ขนาดห้องโดยสารที่กว้างสบายอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยพื้นที่บริเวณเหนือศีรษะและพื้นที่วางขาสบายทั้งที่นั่งตอนหน้าและตอนหลัง และมีพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ จัดวางสิ่งของได้มากเกินคาด ทั้งยังสามารถพับเบาะหลังได้ 60:40 (ในรุ่น GX) เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของได้หลากหลาย ตอบโจทย์ด้านประโยชน์ใช้สอยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอบรับทุกการใช้งานที่ครบครัน ด้วยจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่นวิทยุที่รองรับการเล่นไฟล์ MP3 และ WMA ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทั้งระบบ Apple Carplay และ Android Auto (ในรุ่น GX)

ผู้ขับขี่ยังมั่นใจได้ในสมรรถนะด้วยเครื่องยนต์ K10B ขนาด 1.0 ลิตร คอมแพคคาร์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ มอบพละกำลังและความสามารถเกินตัว มีสมรรถนะการขับที่ดี คล่องตัว ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  รูปลักษณ์ภายนอกและภายในห้องโดยสารที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นสะดุดตา เสริมความอุ่นใจด้วยระบบและอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยมาตรฐาน ตอกย้ำภาพลักษณ์ของซูซูกิเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตรถอีโคคาร์

SUZUKI CELERIO ตอบสนองการใช้งานด้วย 4 รุ่นทางเลือก พร้อมให้ใช้ 4 สี ได้แก่ สีเทา สีดำ สีแดง และสีขาว พิเศษเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงราคาที่เหมาะสม ดังนี้

•SUZUKI CELERIO GA/MT ราคาจำหน่าย 319,900 บาท

•SUZUKI CELERIO GL/CVT ราคาจำหน่าย 379,900 บาท

•SUZUKI CELERIO GL UP/CVTราคาจำหน่าย 391,900 บาท

•SUZUKI CELERIO GX/CVT ราคาจำหน่าย 399,900 บาท

ทั้งนี้ โปรโมชันพิเศษดังกล่าว มอบให้สำหรับผู้ที่จองและรับรถยนต์ซูซูกิภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น โดยซูซูกิยังคงยึดมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มาพร้อมความคุ้มค่า ทั้งในด้านราคาและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่เป็นมิตร เข้าถึงได้ง่าย เพื่อมอบประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า อีกทั้ง ซูซูกิยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนางานบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด และเดินหน้าสร้างแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค พร้อมเติบโตเคียงข้างคนไทยในทุกเส้นทาง

วิริยะประกันภัย – กรมการขนส่งทางบก จัดอบรมใบขับขี่ ประจำปี 2568

วิริยะประกันภัย – กรมการขนส่งทางบก จัดอบรมใบขับขี่ ประจำปี 2568 เปิดอบรม 4 รุ่น ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค “กรุงเทพฯ – ชลบุรี – มหาสารคาม”

วิริยะประกันภัย ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก เดินหน้าจัดโครงการ “อบรมเสริมความรู้ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์” ประจำปี 2568 มุ่งเสริมสร้างวินัยทางการจราจร และปลูกฝังจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่มือใหม่ ซึ่งในปีนี้กำหนดจัดขึ้น 4 รุ่น เริ่มต้นสนามแรกที่ กรุงเทพฯ “7 – 8 มิ.ย. และ 2 – 3 ส.ค.” สนามถัดไป ชลบุรี “19 – 20 ก.ค.” และมหาสารคาม “16-17 ส.ค.” เปิดรับสมัครเฉพาะผู้ไม่เคยมีใบอนุญาตขับรถยนต์มาก่อน

 นายพงศ์พันธ์ ประภาศิริลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน ถือเป็นภารกิจหลักที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่บริหารความเสี่ยงภัยให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ ดำเนินโครงการรณรงค์ทางถนนทั้งเชิงรุกและเชิงป้องกัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุ และสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมจราจรปลอดภัยอย่างแท้จริง

ด้วยตระหนักถึงการส่งเสริมมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน บริษัทฯ จึงได้ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก จัดโครงการ “อบรมเสริมความรู้ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์” ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มาอย่างต่อเนื่องกว่า 35 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 เพื่อให้กลุ่มผู้ขับขี่รถยนต์มือใหม่ และผู้ขับขี่ที่ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎจราจรที่ถูกต้อง พร้อมส่งเสริมให้บุคคลเหล่านี้ มีความตระหนักรู้ถึงการขับขี่อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันและลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยให้ลดน้อยลง

สำหรับ ปี 2568 บริษัทฯ มีกำหนดจัดโครงการอบรมเสริมความรู้ให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ ทั้งหมด 4 รุ่น แบ่งเป็น “รอบส่วนกลาง” ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นที่ 379 วันที่ 7 – 8 มิ.ย. 68 และ รุ่นที่ 380 วันที่ 2 – 3 ส.ค. 68 ณ อาคาร 4 กรมการขนส่งทางบก จตุจักร และ “รอบส่วนภูมิภาค” ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นที่ 162 วันที่ 19 – 20 ก.ค. 68 ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดชลบุรี และ รุ่นที่ 163 วันที่ 16 -17 ส.ค. 68 ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดมหาสารคาม

โดยผู้เข้ารับอบรมฯ จะได้รับความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขับรถ จิตสำนึกและมารยาทในการขับรถ ตลอดจนข้อปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งภายหลังอบรมเรียบร้อยแล้ว ผู้เข้าอบรมฯ จะมีสิทธิ์เข้ารับการทดสอบข้อเขียนระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-exam) และทดสอบปฏิบัติขับรถยนต์ ตามมาตรฐานความปลอดภัยและระเบียบเดียวกับการขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์ในวันเวลาราชการ หากสอบผ่านจะได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ทันที

ทั้งนี้ ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์มาก่อน ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต จิตฟั่นเฟือน ไม่เป็นผู้ที่มีร่างกายพิการ หรือมีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายขณะขับขี่ยานพาหนะ และต้องไม่อยู่ระหว่างการถูกยึด หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถยนต์ พร้อมเตรียมเอกสารประกอบการสมัคร ได้แก่ ใบสมัครเข้าร่วมโครงการ  สำเนาบัตรประชาชน และใบรับรองแพทย์ (อายุไม่เกิน 1 เดือน นับจากวันที่ออกเอกสารจนถึงวันเข้าอบรม) โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) แผนกกิจกรรมเพื่อสังคม โทรศัพท์หมายเลข 02-129-8888 ต่อ 7419, 7422, 7443

โตโยต้า ประกาศความร่วมมือ “นวัตกรรมจัดการขยะอาหาร” มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

โตโยต้า ประกาศความร่วมมือ “นวัตกรรมจัดการขยะอาหาร” ผ่านเครือข่าย Food Waste Platform เพื่อลดปริมาณขยะและมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

 นายนันทวัฒน์ ศรีวรัตน์อัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมประกาศเจตนารมณ์ร่วมขับเคลื่อนการจัดการขยะอาหาร ผ่านเครือข่าย Food Waste Platform เพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้และแนวทางการจัดการขยะอาหารอย่างยั่งยืน พร้อมด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ นางสาวปรียาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมหน่วยงานพันธมิตรรวม 29 องค์กร เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

แพลตฟอร์มการเผยแพร่นวัตกรรมการจัดการขยะอาหาร หรือ Food Waste Platform เป็นความร่วมมือจาก 29 หน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ร่วมกันศึกษานำขยะอาหารกลับมาใช้ประโยชน์อย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของประเทศไทย ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การพัฒนาเทคโนโลยี พร้อมทั้งกระตุ้นให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการลดปริมาณขยะอาหาร ผ่านโครงการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน

โตโยต้ามุ่งให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ใส่ใจทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การผลิตชิ้นส่วน การขนส่ง การผลิตในโรงงาน การจำหน่าย ตลอดการกำจัดเมื่อหมดอายุการใช้งาน และอีกหนึ่งแนวทางที่โตโยต้าให้ความสำคัญควบคู่ไปพร้อมกันคือ การจัดการขยะอาหารที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกบริษัท โดยมุ่งผลักดันแนวทางการจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การลดปริมาณและป้องกันขยะจากต้นทาง การนำกลับมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งการกำจัดอย่างถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

โตโยต้าเชื่อมั่นว่า การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเผยแพร่ข้อมูลและนวัตกรรมการจัดการขยะอาหารในครั้งนี้ จะเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ที่สามารถเชื่อมโยงภาคส่วนต่างๆ สู่การมีส่วนร่วมในการลดขยะและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้สังคมไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้อย่างยั่งยืน

ตลาดรถยนต์เดือนมีนาคม ยอดขาย 55,798 คัน

ตลาดรถยนต์เดือนมีนาคม ยอดขาย 55,798 คัน ลดลง 0.5% โตโยต้าเผย ยอดจองมอเตอร์โชว์พุ่ง เป็นสัญญาณชี้ตลาดรถยนต์ฟื้นตัว

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนมีนาคม 2568 ยอดขายตลาดรวม 55,798 คัน ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 21,054 คัน ลดลง 5.8% ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 34,744 คัน เพิ่มขึ้น 2.9% และรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขายทั้งหมด 18,355 คัน ลดลง 6.6%

ตลาดรถยนต์เดือนมีนาคม 2568 มียอดขาย 55,798 คัน ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง ทำยอดขายได้ 21,054 คัน ลดลง 5.8%  ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้น ด้วยยอดขาย 34,744 คัน เติบโตขึ้น 2.9% และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 18,355 คัน ลดลง 6.6% ในส่วนของตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 23,123 คัน คิดเป็นสัดส่วน 41.4% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 23.1% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว รถยนต์ HEV ทำยอดขายได้ 13,196 คัน เติบโตขึ้น 3.6% และยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 8,598 คัน เพิ่มขึ้น 66.9%

ตลาดรถยนต์เดือนเมษายน มีแนวโน้มในการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ภายใต้ปัจจัยชี้วัดสำหรับตลาดในเดือนเมษายนมาจากยอดจองรถยนต์ในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46” ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 44.8%

ทั้งนี้ ยอดจองของโตโยต้าทั่วประเทศทั้งหมดในช่วงมอเตอร์โชว์ มีมากกว่า 21,000 คัน ซึ่งเป็นยอดจองภายในงานมอเตอร์โชว์ มากกว่า 9,600 คัน และจากยอดจอง 9,600 คัน อยู่ในระหว่างขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยโตโยต้าคาดว่าจะสามารถส่งมอบรถ สู่ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลกว่า 7,600 คัน ภายในเดือนเมษายน ทำให้เราคาดว่า เป็นสัญญาณบอกของตลาดรถยนต์ที่กำลังฟื้นตัว ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดขายปรับตัวดีขึ้นในช่วงปีนี้

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมีนาคม 2568

  1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 55,798 คัน ลดลง 0.5%                       
  2. อันดับที่ 1 โตโยต้า      21,575 คัน       ไม่เปลี่ยนแปลง            ส่วนแบ่งตลาด               38.7%
  3. อันดับที่ 2 ฮอนด้า       7,909 คัน       ลดลง     3.8%            ส่วนแบ่งตลาด               14.2%
  4. อันดับที่ 3 อีซูซุ         7,320 คัน        ลดลง   17.4%           ส่วนแบ่งตลาด     13.1%
  5. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 21,054 คัน ลดลง 5.8%   
  6. อันดับที่ 1 โตโยต้า      7,159 คัน        เพิ่มขึ้น    8.4%           ส่วนแบ่งตลาด               34%
  7. อันดับที่ 2 ฮอนด้า       4,029 คัน        ลดลง   17.3%           ส่วนแบ่งตลาด             19.1%
  8. อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ      1,442 คัน        ลดลง   29.3%            ส่วนแบ่งตลาด             6.8%
  9. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 34,744 คัน เพิ่มขึ้น 2.9%                                

อันดับที่ 1 โตโยต้า      14,416 คัน       ลดลง     3.7%            ส่วนแบ่งตลาด             41.5%

อันดับที่ 2 อีซูซุ         7,320 คัน       ลดลง   17.4%               ส่วนแบ่งตลาด   21.1%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า       3,880 คัน       เพิ่มขึ้น  15.8%            ส่วนแบ่งตลาด             11.2%

  • ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*)

ปริมาณการขาย 18,355 คัน ลดลง 6.6%                                

อันดับที่ 1 โตโยต้า      8,491 คัน        ลดลง     1.6%            ส่วนแบ่งตลาด             46.3%

อันดับที่ 2 อีซูซุ          6,429 คัน        ลดลง   18.3%            ส่วนแบ่งตลาด     35%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด        1,734 คัน        ลดลง   0.6%             ส่วนแบ่งตลาด             9.4%

            *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,360 คัน

โตโยต้า 1,429 คัน – อีซูซุ 1,182 คัน – ฟอร์ด 553 คัน – มิตซูบิชิ 162 คัน – นิสสัน 34 คัน

  •  ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 14,995 ลดลง 7.5%    

อันดับที่ 1 โตโยต้า      7,062 คัน       ลดลง     4.1%           ส่วนแบ่งตลาด           47.1%

อันดับที่ 2 อีซูซุ           5,247 คัน      ลดลง        21.7%      ส่วนแบ่งตลาด             35%

อันดับที่ 3  มิตซูบิชิ     1,219 คัน        เพิ่มขึ้น  80.9%           ส่วนแบ่งตลาด             8.1%     

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม –  มีนาคม 2568

  1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 153,193 คัน ลดลง 6.5%      
  2. อันดับที่ 1 โตโยต้า      57,683 คัน       ลดลง     1.9%            ส่วนแบ่งตลาด             37.7%
  3. อันดับที่ 2 ฮอนด้า       21,369 คัน       ลดลง   14.9%            ส่วนแบ่งตลาด             13.9%
  4. อันดับที่ 3 อีซูซุ          20,289 คัน       ลดลง     17%          ส่วนแบ่งตลาด   13.2%
  5. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 58,234 คัน ลดลง 11.2%  
  6. อันดับที่ 1 โตโยต้า      19,625 คัน       เพิ่มขึ้น    18%            ส่วนแบ่งตลาด             33.7%
  7. อันดับที่ 2 ฮอนด้า       10,884 คัน       ลดลง   23.3%            ส่วนแบ่งตลาด             18.7%
  8. อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ      3,434 คัน       ลดลง   30.7%            ส่วนแบ่งตลาด           5.9%
  9. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 94,959 คัน ลดลง 3.2%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      38,058 คัน       ลดลง   9.8%             ส่วนแบ่งตลาด        40.1%

อันดับที่ 2 อีซูซุ          20,289 คัน       ลดลง   17%              ส่วนแบ่งตลาด   21.4%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า       10,485 คัน       ลดลง   3.9%              ส่วนแบ่งตลาด        11%

  • ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*)

ปริมาณการขาย 49,862 คัน ลดลง 11.6%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      22,069 คัน       ลดลง   12.6%            ส่วนแบ่งตลาด     44.3%

อันดับที่ 2 อีซูซุ         18,034 คัน       ลดลง     16%              ส่วนแบ่งตลาด   36.2%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด        4,934 คัน       ลดลง   16.8%            ส่วนแบ่งตลาด    9.9%

              *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 9,387 คัน

โตโยต้า 3,545 คัน – อีซูซุ 3,414 คัน – ฟอร์ด 1,836 คัน – มิตซูบิชิ 482 คัน – นิสสัน 110 คัน

  • ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 40,475 คัน ลดลง 13.2%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      18,524 คัน       ลดลง    14.2%           ส่วนแบ่งตลาด    45.8%

อันดับที่ 2 อีซูซุ         14,620 คัน       ลดลง    20.2%           ส่วนแบ่งตลาด   36.1%

อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ      3,183 คัน       เพิ่มขึ้น  68.2%           ส่วนแบ่งตลาด    7.9% 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save