- Advertisement -
24.6 C
Bangkok
Home Blog Page 8

GWM เตรียมเปิดตัวและประกาศราคา TANK 500 DIESEL

GWM เตรียมเปิดตัวและประกาศราคา NEW GWM TANK 500 DIESEL รถยนต์ PPV ระดับพรีเมียม 24 กรกฎาคมนี้

ร่วมชม LIVE สด พร้อมกันทั่วประเทศได้ทาง Facebook หรือ YouTube หรือ TikTok : GWM Thailand ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป

กรุงเทพฯ 14 กรกฎาคม 2568 – GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ยกระดับตลาด PPV ในประเทศไทย เตรียมนำสุดยอดรถยนต์ระดับพรีเมียม NEW GWM TANK 500 DIESEL ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ใช้งานในประเทศไทย ฉีกกฏการขับขี่และทุกความเชื่อเดิมๆ ของเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน ด้วยการเป็น PPV เพียงหนึ่งเดียวในไทยจาก GWM ที่ผสานพลังดีเซลใหม่กับความหรูหรา สง่างาม สะดวกสบาย และอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อมอบนิยามใหม่ของ PPV พรีเมียมอัจฉริยะในทุกมิติ สร้างมาตรฐานใหม่สู่การขับขี่ระดับพรีเมียมในทุกเส้นทางอย่างแท้จริง พร้อมเปิดตัวเป็น “ประเทศแรกในโลก” อย่างเป็นทางการ 24 กรกฎาคม 2568 นี้ รับชมการถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์พร้อมกันทั่วประเทศผ่านทาง Facebook, YouTube หรือ TikTok : GWM Thailand ตั้งแต่เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป

นอกเหนือจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการพิสูจน์จากความสำเร็จของ GWM TANK 300 DIESEL ที่มอบสมรรถนะการขับขี่ที่เต็มประสิทธิภาพ ทรงพลัง แรง แต่เงียบกว่า นิ่งกว่า และนุ่มนวลกว่าแล้วนั้น NEW GWM TANK 500 DIESEL ยังเตรียมยกระดับการเดินทางทั้ง 4 ด้านให้แก่ลูกค้าชาวไทย ได้แก่ 1.) ความพรีเมียมตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน 2.) ความสบายเหนือระดับ 3.) เทคโนโลยีอัจฉริยะอันล้ำสมัย และ 4.) ความปลอดภัยที่อัดแน่นสร้างความมั่นใจให้ในทุกเส้นทาง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง ทั้งเพื่อธุรกิจ การเดินทางกับครอบครัว หรือทริปผจญภัย โดย NEW GWM TANK 500 DIESEL คือ นิยามมาตรฐานใหม่ของรถ PPV 7 ที่นั่ง ระดับโลกอย่างแท้จริง

NEW GWM TANK 500 DIESEL ให้พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด มอบการขับขี่ที่ลื่นไหล คล่องตัว โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอก-ภายในระดับพรีเมียม ห้องโดยสารตกแต่งด้วยเบาะหนัง Nappa และไฟ Ambient Light เพิ่มบรรยากาศพรีเมียมทุกมิติ มาพร้อมหน้าจอสัมผัสกลางขนาด 12.3 นิ้ว และ 14.6 นิ้ว รองรับ Smart Dual Screen Interaction เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่เชื่อมโยงอย่างลงตัว รวมถึงกล้องแสดงภาพรอบคัน 540 องศา (กล้อง 360 องศาพร้อมระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ) เสริมด้วยฟังก์ชันระดับวีไอพี เช่น Welcome Seat พร้อมระบบนวด, ระบบเสียงรอบทิศจากลำโพง 12 ตำแหน่ง, พื้นที่เก็บสัมภาระจุใจ 795 ลิตร และระบบกรองอากาศ N95 รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับ L2+ ที่อัดแน่นและโครงสร้างตัวถังแบบ Cage-Type ที่แข็งแกร่ง ทนทานต่อการชนและแรงกระแทก พร้อมรับทุกความท้าทายในการเดินทางอย่างมั่นใจ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนทั้ง 2WD และ 4WD พร้อมโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 8 รูปแบบ (ในรุ่น 2.4T ULTRA 4WD) โดยมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ 2.4T PRO, 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD* เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน โดยเฉพาะรุ่น ULTRA และ ULTRA 4WD ที่มาพร้อมสีตกแต่งพิเศษ “Black Warrior” ถ่ายทอดอารมณ์เข้ม ดุดัน และทรงพลังได้อย่างมีเอกลักษณ์ (*ผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นมีข้อมูลและอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน โปรดศึกษารายละเอียดของแต่ละรุ่นย่อยเพิ่มเติม)

เตรียมนับถอยหลังไปด้วยกัน กับการเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการของ NEW GWM TANK 500 DIESEL ยนตรกรรม PPV พรีเมียมอัจฉริยะ ที่พร้อมจะปลดล็อกทุกข้อจำกัดและเขียนนิยามบทใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ PPV เมืองไทย ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 นี้

GWM ร่วมมือแอดมินคลับผู้ใช้จริง ทดลองขับ สอบ TANK 500 DIESEL

GWM (Thailand) ตอกย้ำกลยุทธ์ User-Centric ร่วมมือแอดมินคลับผู้ใช้จริง ทดสอบ “NEW GWM TANK 500 DIESEL” พรีเมียม PPV ขุมพลังดีเซล 2.4T รุ่นล่าสุด เผยเสียงตอบรับดีเกินคาด

กรุงเทพฯ 9 กรกฎาคม 2568 – GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด เปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จัดกิจกรรมสุดพิเศษสำหรับ GWM Family กลุ่มแรกในประเทศไทยได้ร่วมทดสอบขับ “NEW GWM TANK 500 DIESEL” โดยเชิญเหล่าลูกค้าและแอดมินคลับผู้ใช้งานจริงจากหลาหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น GWM TANK 300, GWM ORA Good Cat, GWM HAVAL H6 และ GWM HAVAL Jolion รวม 17 ท่าน ร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ของรถ PPV พรีเมียมอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ บนเส้นทางกรุงเทพฯ – สระบุรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา พร้อมพิสูจน์การขับขี่อันเหนือระดับ ตอบโจทย์ทุกเส้นทางทั้งในเมืองและนอกเมือง ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม การขับขี่ที่นุ่มนวล นิ่ง เงียบ และอัตราการบริโภคน้ำมันที่เหนือความคาดหมายเมื่อเทียบกับขนาดและน้ำหนักของตัวรถ

กิจกรรมเริ่มต้นขบวนคาราวานที่โชว์รูม GWM ซีซีซี ออโต้ วัชรพล โดยมีการบรรยายให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เชี่ยวชาญของ GWM (Thailand) ก่อนมุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรี ที่ได้ขับขี่ผ่านเส้นทางที่หลากหลายเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองขับจริง พร้อมทดสอบเทคโนโลยีอัจฉริยะ ฟังก์ชันช่วยขับขี่ และโหมดการขับขี่ต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ตลอดการเดินทางลูกค้าได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศธรรมชาติและจุดพักที่คาเฟ่สไตล์ฟาร์ม ก่อนปิดท้ายด้วยการขับขี่แบบ Free Run ที่เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ในสไตล์ของตนเองอย่างอิสระ บรรยากาศของกิจกรรมเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่าง GWM Family สะท้อนความแข็งแกร่งของคอมมูนิตี้ผู้ใช้รถยนต์ GWM ที่ผูกพันและภาคภูมิใจในแบรนด์เดียวกัน

NEW GWM TANK 500 DIESEL คือ ยนตรกรรมที่พร้อมมอบที่สุดแห่งประสบการณ์การขับขี่อัจฉริยะแบบครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.) ความพรีเมียมตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน 2.) ความสบายเหนือระดับด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย 3.) เทคโนโลยีอัจฉริยะอันล้ำสมัย และ 4.) ความปลอดภัยที่อัดแน่นสร้างความมั่นใจให้ในทุกเส้นทาง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง ทั้งเพื่อธุรกิจ การเดินทางกับครอบครัว หรือทริปผจญภัย โดย NEW GWM TANK 500 DIESEL คือ นิยามมาตรฐานใหม่ของรถ PPV 7 ที่นั่ง ระดับโลกอย่างแท้จริง มาพร้อมขุมพลังดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ สมรรถนะทรงพลัง ขับขี่นิ่ง เงียบ นุ่ม และประหยัดน้ำมัน แม้ตัวรถจะมีขนาดใหญ่กว่ารถ PPV ทั่วไป ผู้ร่วมกิจกรรมต่างชื่นชมถึง ความนั่งสบายของเบาะหลัง การควบคุมที่มั่นใจ และความหรูหราพรีเมียมของดีไซน์ โดยเฉพาะรุ่นตกแต่งพิเศษสีดำ Black Warrior ที่โดดเด่นด้วยลุคเท่ ดุดัน สะกดทุกสายตา

นางสาวศุภรางศุ์ อนุชปรีดา ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร GWM (Thailand) กล่าวว่า “GWM ขอขอบคุณลูกค้าคนสำคัญและแอดมินคลับทุกท่านที่มอบความเชื่อมั่นและไว้วางใจให้กับแบรนด์ของเราด้วยดีเสมอมา กิจกรรมนี้ คือส่วนหนึ่งในการหลอมรวมผู้ใช้รถของเราจากทุกรุ่นมาเป็นครอบครัว GWM Family ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเราในการสร้างชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง สะท้อนถึงแนวทางการพัฒนาแบรนด์และผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืนในประเทศไทยตามแนวคิด ‘ผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง’ หรือ User-Centric อย่างแท้จริง สำหรับ GWM การทดลองขับในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันมีค่าในการรับฟังความคิดเห็น ประสบการณ์ตรง และความต้องการที่แท้จริงจากผู้ใช้ เพื่อนำไปต่อยอดการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง เราพร้อมแล้วที่จะมอบทางเลือกใหม่ให้กับคนไทย ผ่าน NEW GWM TANK 500 DIESEL ยนตรกรรมที่หลอมรวมความหรูหรา สง่างาม ความสะดวกสบายเหนือระดับ เทคโนโลยีอัจฉริยะ และความปลอดภัยอันล้ำสมัย ผ่านพลังขับเคลื่อนอันทรงพลัง พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง รถคันนี้ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่คือสัญลักษณ์ของความก้าวหน้า และความภาคภูมิใจที่เราอยากให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสด้วยตนเอง”

GWM ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและส่งมอบยนตรกรรมที่ตอบโจทย์ครบทุกมิติของชีวิต พร้อมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับลูกค้าผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ของ GWM Family อย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่าชุมชนที่ดี อบอุ่น และสร้างสรรค์จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนและการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น

เตรียมนับถอยหลังสู่งานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “NEW GWM TANK 500 DIESEL” ในเดือนกรกฎาคมนี้ พร้อมยกระดับประสบการณ์ PPV พรีเมียมให้กับผู้บริโภคชาวไทยอย่างแท้จริง สำหรับผู้ที่สนใจสามารถทดลองขับก่อนใครได้แล้ววันนี้ ที่ GWM Partner Store ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GWM Application, www.gwm.co.th หรือ GWM Contact Center 02-668-8888

NEX POINT ประชุมผู้จำหน่ายปี 2568 เดินหน้า สร้างความเชื่อมั่นลูกค้า EV

NEX POINT ประชุม Dealer Conference ปี 2568 เดินหน้าพัฒนาบริการหลังการขายสร้างความเชื่อมั่นลูกค้า EV

เมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) ประกาศศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์เชิงพาณิชย์ครบวงจรในประเทศไทย และผู้นำนวัตกรรมยานยนต์เชิงพาณิชย์พลังงานไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ดัง Nex Point โดย 4 ผู้บริหาร นำโดย นายธนพัชร์ สุขสุธรรมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายวิเชียร อยู่พูนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ, นายเอกพล สกุลพลไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบัญชีและการเงิน และนายณัฏฐ์สิทธิ์ เทพไพฑูรย์ ผู้อำนวยการสายการขายและการตลาด บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดประชุม Dealer Conference ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีและมิตรภาพที่ดีแก่ผู้จัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศ ภายในงานแสดงพลัง และศักยภาพที่พร้อมเดินหน้าในการขับเคลื่อนธุรกิจ Nex Point ก้าวไปสู่ Commercial EV ภายในปี 2569 และเพื่อเป็นกำลังใจที่ดี บริษัทฯ ได้มีการ มอบโล่รางวัลเกียรติคุณ จำนวน 12 รางวัล ได้แก่ บริษัท เออีวี คอนเน็ก จำกัด, บริษัท เอ็มพี อี-พาวเวอร์ จำกัด ,บริษัท อ.ยนต์เจริญมอเตอร์ จำกัด, บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) , บริษัท อนุภาษ เน็กซ์ จำกัด, บมจ. เอส.ซี.แอล. มอเตอร์ พาร์ท, บริษัท เค เอ เจ เวิลด์ซัพพลาย จำกัด, บริษัท ภาวีกิต ทรัค เซลส์ จำกัด, บริษัท แฟร์แฟร์ จำกัด, บริษัท ศรีราชาเอ็นจีวีและบริการ จำกัด, บริษัท เจเอชซี มาสเตอร์ ทรัค จำกัด และ บริษัท ลัญจกรพานิช จำกัด รวมทั้ง มอบรางวัลผู้จำหน่ายดีเด่น จำนวน 5 รางวัล ได้แก่ บริษัท เอ็มพี อี-เพาว์เวอร์ จำกัด, บริษัท ภาวีกิต ทรัค เซลส์ จำกัด, บริษัท อ.ยนต์เจริญมอเตอร์ จำกัด, บริษัท ศรีราชา เอ็นจีวีและบริการ จำกัด และ บริษัท เค เอ เจ วิล์ดซับพลาย จำกัด

ที่สำคัญ ทุกรางวัลมีคุณค่าที่มีส่วนส่งเสริม และสนับสนุนการขาย เพราะทุกท่าน คือ คนสำคัญเป็นความภูมิใจของ Nex Point  ในอนาคตก้าวต่อไปของ NEX จะมุ่งมั่น พัฒนา “บริการหลังการขาย” ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ และต้องดีที่สุดสร้างความเชื่อมั่น เพราะลูกค้าเป็นหัวใจหลักของ Nex Point ทุกคน ที่เป็นเสมือนครอบครัว NEX ตลอดเวลาที่ผ่านมา 

Leapmotor ยอดขายกลุ่มสตาร์ทอัพ เบอร์ 1 ในจีน

Leapmotor สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ครองอันดับ 1 ยอดขายกลุ่มสตาร์ทอัพ NEV ในจีน ทั้งเดือนมิถุนายนและครึ่งปีแรก 2025

Leapmotor ก้าวสู่จุดสูงสุดในสมรภูมิรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ด้วยการคว้า อันดับ 1 ด้านยอดขายรวม ในกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพผู้ผลิตรถยนต์ NEV ของจีน ประจำเดือนมิถุนายน 2025 พร้อมครองแชมป์ยอดขายรวม ตลอดครึ่งปีแรกของปี 2025 ตอกย้ำศักยภาพการเติบโตแบบก้าวกระโดด ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เดือนมิถุนายน 2025 ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ Leapmotor กับยอดส่งมอบ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 48,006 คัน เติบโตถึง 138% เมื่อเทียบปีต่อปี (YoY) และยังเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันที่ โดย Leapmotor มีตัวเลขการส่งมอบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 25,170 คัน ในเดือนมกราคม สู่ 48,006 คัน ในเดือนมิถุนายน หรือเพิ่มขึ้นถึง 91% ในช่วงครึ่งปีแรก

ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงการดำเนินงานที่เป็นระบบ ทั้งในด้าน การจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจผู้บริโภค และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแบรนด์ Leapmotor ยอดขายสะสมของ Leapmotor ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 รวมกว่า 221,664 คัน ขึ้นแท่น อันดับ 1 ในกลุ่มสตาร์ทอัพ NEV ของจีนอย่างมั่นคง Leapmotor ยังคงเดินหน้าสานต่อความสำเร็จจากปี 2024 ซึ่งสามารถส่งมอบรถได้ถึง 293,724 คัน เติบโตเกือบเท่าตัวจากปี 2023 เปลี่ยนสถานะจากผู้ท้าชิง สู่ผู้นำเบอร์หนึ่ง ของกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่สตาร์ทอัพจีนอย่างเต็มภาคภูมิ

Leapmotor ไม่เพียงแค่เติบโต แต่กำลังขับเคลื่อนอนาคตใหม่ของวงการยานยนต์ไฟฟ้าในจีนอีกด้วย

นิสสันเสริมทัพนาวารา รุ่นปี 2025 เพิ่ม 3 รุ่นใหม่ ราคาเร้าใจ

นิสสันเพิ่มทางเลือกให้กับนิสสัน นาวารา คาลิเบอร์ กระบะยกสูงยอดนิยม 3 รุ่นย่อยใหม่ ได้แก่ รุ่นคิงแค็บ คาลิเบอร์ SL 7AT รุ่นดับเบิลแค็บ คาลิเบอร์ SL 6 MT และรุ่นดับเบิลแค็บ คาลิเบอร์ SL 7AT ที่มาพร้อมสมรรถนะแบบ “ทน พร้อม ลุย” กับราคาที่โดนใจ ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ง่ายยิ่งขึ้น

•นิสสันเพิ่มทางเลือกให้กับนาวารา สำหรับลูกค้าที่มองหากระบะ “ทน พร้อม ลุย” ตอบโจทย์ทุกรูปแบบของการใช้งาน

•ราคาเริ่มต้นนิสสัน นาวารา คิงแค็บ คาลิเบอร์ กระบะยกสูง 758,000 บาท และ 792,000 บาท สำหรับรุ่นดับเบิลแค็บ คาลิเบอร์

•พร้อมโปรโมชั่นหลากหลาย ผ่อนเริ่มต้นเพียง 4,999 บาท ต่อเดือน หรือดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นที่ 0.89% หรือ เลือกผ่อนได้นานสูงสุดถึง 84 เดือน

มร.โทชิฮิโระ ฟูจิคิ ประธานนิสสัน ประเทศไทย และนิสสัน อาเซียน กล่าวว่า “นิสสัน นาวารา เป็นหนึ่งในรถกระบะยอดนิยมรวมถึงรถยนต์รุ่นหลักของนิสสันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความเชื่อถือ และวางใจได้ กับความทนทาน และมากด้วยประโยชน์ใช้สอย พร้อมดีไซน์ทันสมัย การเปิดตัวนิสสัน นาวารา คาลิเบอร์ กระบะยกสูง 3 รุ่นย่อยใหม่นี้ จะเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่กำลังมองหารถกระบะที่ “ทน พร้อม ลุย” ได้เป็นเจ้าของรถกระบะที่สามารถใช้งานได้อเนกประสงค์ ทั้งการเดินทางสำหรับทุกคนในครอบครัว หรือการใช้งานในด้านธุรกิจ ภายใต้ราคาที่ดีมากๆ”

นิสสัน นาวารา ทั้ง 3 รุ่นย่อยใหม่ มาพร้อมราคาที่เร้าใจ ได้แก่

•คิงแค็บ คาลิเบอร์ SL 7AT ราคา 758,000 บาท

•ดับเบิลแค็บ คาลิเบอร์ SL 6MT ราคา 792,000 บาท

•ดับเบิลแค็บ คาลิเบอร์ SL 7AT ราคา 842,000 บาท

โดยทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมสมรรถนะ และความทรงพลัง ในแบบฉบับของรถกระบะยกสูง ด้วยเครื่องยนต์ที่เรียกแรงบิดมหาศาลได้ตั้งแต่ 1,500 รอบต่อนาที โดยรุ่นคิงแค็บ คาลิเบอร์ SL 7AT และ ดับเบิลแค็บ คาลิเบอร์ SL 7AT มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ ที่ให้พละกำลัง 190 แรงม้า (PS) แรงบิดมหาศาล 450 นิวตัน-เมตร (Nm) ขณะที่รุ่น ดับเบิลแค็บ คาลิเบอร์ SL 6MT มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.3 ลิตร เทอร์โบแปรผัน ให้พละกำลัง 160 แรงม้า (PS) แรงบิด 403 นิวตัน-เมตร (Nm) ด้วยพละกำลัง สมรรถนะการใช้งาน และความอเนกประสงค์ ทำให้นิสสัน นาวารา คาลิเบอร์ กระบะยกสูงเหมาะสำหรับการใช้งานทั้งทางธุรกิจ และการเดินทางสำหรับครอบครัว

นิสสัน นาวารา คาลิเบอร์ กระบะยกสูงทั้ง 3 รุ่นย่อยใหม่ มาพร้อมกระจังหน้าสีดำเสริมความดุดัน กันชนสีเดียวกับตัวรถ ตกแต่งด้วยขอบสีดำสุดเท่ และล้อขนาด 17 นิ้ว

นิสสัน นาวารา คาลิเบอร์ กระบะยกสูง 3 รุ่นย่อย ในเกรด SL ยังมาพร้อมความทนทาน ให้ความมั่นใจในทุกสภาพการขับขี่ด้วยสมรรถนะอันโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของนิสสัน นาวารา  ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลงด้านหลังเป็นแหนบพร้อมโช้คอัพ ระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน และดรัมเบรกด้านหลัง ช่วยหยุดรถได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้จะบรรทุกน้ำหนักมากก็ตาม

นอกจากนี้ ยังคงให้ความอุ่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้รถไหลถอยหลังขณะออกตัวบนเนิน ระบบเบรก ABS พร้อม EBD และ BA  ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เทคโนโลยีป้องกันการลื่นไถลขณะถนนลื่น (Active Brake Limited Slip – ABLS)  เทคโนโลยีควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC)  เทคโนโลยีป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System – TCS) เทคโนโลยีควบคุมเสถียรภาพของรถ ขณะลากจูง (Trailer Stability Assist – TSA) แผงลวดไล่ฝ้ากระจกหลัง  ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ที่ให้ความปลอดภัย และมองเห็นได้ชัดเจน  และเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง พร้อมระบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ

นิสสัน นาวารา คาลิเบอร์ ทั้ง 3 รุ่นใหม่ เพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise control) ระบบ Push Start และกุญแจรีโมทอัจฉริยะ มีสีตัวถังภายนอกให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีดำ Black Star  สีขาว White Pearl สีเงิน Brilliant Silver สีเทา Twilight Grey และสีทองแดง Forged Copper

ทั้งนี้ นิสสันมอบโปรโมชั่นพิเศษฉลองเปิดตัว* สำหรับลูกค้านิสสัน นาวาราทั้ง 3 รุ่นย่อยใหม่ เพื่อให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ผ่อนสบาย รายเดือนเริ่มต้นเพียง 4,999 บาท หรือดอกเบี้ยอัตราพิเศษเริ่มต้นที่ 0.89% พร้อมประกันภัยชั้นหนึ่ง หรือเงินดาวน์ต่ำเริ่มต้นเพียง 19,999 บาท ผ่อนนาน 84 เดือน ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมนิสสันทั่วประเทศ หรือ โทร. 0-2401-9600

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

บีวายดี ประเทศไทย ส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่คันที่ 90,000

บีวายดี ประเทศไทย ก้าวสู่อีกบทพิสูจน์ความสำเร็จ ด้วยการส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่คันที่ 90,000 คันในประเทศไทย พร้อมฉลองโรงงานผลิตครบรอบ 1 ปี

•บีวายดี ประเทศไทย ส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ครบ 90,000 คัน ในประเทศไทย พร้อมฉลองโรงงานผลิตครบรอบ 1 ปี

•รถยนต์ที่โรงงาน บีวายดี ประเทศไทย ส่งมอบเป็นคันที่ 90,000 คือ DENZA D9 ให้กับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย

•BYD SEAL 5 DM-i รถยนต์ขุมพลัง PHEV รุ่นแรกของไทยในกลุ่ม B-Segment จะผลิตขึ้นที่โรงงานนี้

กรุงเทพฯ – 7 กรกฎาคม 2568 – บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานใหม่ BYD และ DENZA อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ร่วมฉลองความสำเร็จของ บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ก้าวสู่อีกบทพิสูจน์ความสำเร็จ เนื่องในโอกาสโรงงานผลิตรถยนต์ BYD ในประเทศไทย ดำเนินการผลิตครบรอบ 1 ปี พร้อมส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยไปแล้ว 90,000 คัน นับเป็นส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อน อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานสะอาด ไปพร้อมกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยไม่ได้มีผลแค่ในประเทศไทยแต่ยังไปถึงระดับโลก ในพิธีแถลงข่าว มีผู้บริหารจากหลายหน่วยงานร่วมแถลงความสำเร็จ ดังนี้

รายนามผู้บริหารจาก เรเว่และบีวายดี

•นายหวัง ฉวนฝู ประธานกรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทบีวายดี  (ที่ x จากซ้าย)

•นายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด (ที่ x จากซ้าย)

•นายหยู่ปิน เคอ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดี (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ x จากซ้าย)

•นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ (ที่ x จากซ้าย)

รายนามผู้บริหารจาก ภาครัฐและหน่วยงานอื่น

•นายกัฬชัย เทพวรชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง (ที่ x จากขวา)  

•นายนฤฒม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (ที่ x จากขวา)

•นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ที่ x จากขวา)

•นางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย (ที่ x จากขวา)

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “เรเว่ ขอแสดงความยินดีกับทาง บีวายดี ประเทศไทย ในโอกาสที่ก้าวสู่อีกบทพิสูจน์ความสำเร็จในครั้งนี้ และ เรเว่ ยังภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จดังกล่าว โดยไม่เพียงแต่ส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ ที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมสู่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานสะอาด ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนสำหรับเราทุกคน”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “ความสำเร็จของ บีวายดี ประเทศไทย ในครั้งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้บริโภคชาวไทยได้ให้การยอมรับนวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยี เพื่ออากาศที่สะอาดกว่า ซึ่งอัดแน่นอยู่ในรถยนต์ BYD ทั้งยังให้การยอมรับในคุณภาพรถยนต์ BYD ที่ประกอบขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน ที่สำคัญ นี่คือบทพิสูจน์ความสำเร็จถึงขีดความสามารถโรงงาน บีวายดี ประเทศไทย ที่สามารถส่งมอบรถยนต์เป็นจำนวนมากขนาดนี้ได้ ภายในเวลา 12 เดือนแรกของการดำเนินงาน”

อีกก้าวความสำเร็จของโรงงาน บีวายดี ประเทศไทย ในการดำเนินงานครบ 1 ปี

โรงงาน บีวายดี ประเทศไทย ได้เฉลิมฉลองในโอกาสที่ดำเนินงานครบ 1 ปี โดยเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 โรงงานได้ส่งมอบรถยนต์คันแรกอย่างเป็นทางการรุ่น BYD DOLPHIN ทั้งยังเป็นรถยนต์พลังงานใหม่คันที่ 8,000,000 ของโลก ที่ BYD ส่งมอบด้วย นอกจากนั้น โรงงานแห่งนี้ยังเป็นโรงงานแห่งแรกของ BYD ที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีน และมีกำลังการผลิตสูงสุด 150,000 คัน/ปีปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ มีการลงทุนในประเทศไทยแล้วรวมประมาณ 35,925 ล้านบาท และมีการจ้างงาน 6,100 อัตรา ในจำนวนนี้เป็นพนักงานสัญชาติไทยราว 88%

เป้าหมายของโรงงานแห่งนี้ มีทั้งผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศและเพื่อการส่งออก ส่วนการผลิตรถยนต์มี 3 รุ่นด้วยกัน ประกอบด้วย BYD DOLPHIN, BYD ATTO 3 และ BYD SEALION 6 DM-i มีสัดส่วน Local Content ประมาณ 45-50% ทั้งยังมีรถยนต์ 2 รุ่นที่ได้รับใบรับรอง Made in Thailand และในอนาคตอันใกล้ จะมีการเพิ่มรุ่นที่ 4 อย่าง BYD SEAL 5 DM-i ซึ่งจะเปิดตัวในฐานะรถยนต์ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด PHEV ในกลุ่ม B-Segment รุ่นแรกของไทย และผลิตขึ้นที่โรงงานแห่งนี้เช่นกัน

รถยนต์ BYD คันที่ 90,000 ซึ่งส่งมอบในประเทศไทย

โรงงาน บีวายดี ประเทศไทย ได้ส่งมอบรถยนต์ครบ 90,000 คัน โดยคันดังกล่าวคือ DENZA D9 และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว บีวายดี ประเทศไทย ได้มอบรถยนต์พลังงานใหม่คันนี้ให้กับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ถึงความร่วมมือระหว่างฟุตบอลทีมชาติ ที่จะมีขึ้นกับ เรเว่ และ บีวายดี ประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

สัมผัสและทดลองขับรถยนต์ BYD ที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย รวมถึงรุ่นอื่นที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและคุณภาพได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ BYD และ DENZA ใกล้บ้านท่านทั้ง 164 สาขาทั่วประเทศ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมของรถยนต์ทุกรุ่นได้ที่ reverautomotive.com สำหรับรถยนต์ BYD หรือ denzathailand.com สำหรับรถยนต์ DENZA พร้อมติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวล่าสุดได้ที่ Official Facebook Page: BYD REVER Thailand และ DENZA REVER Thailand

มาสด้า ราชาออโต้เซลส์ ทุ่มทุนกว่า 500 ล้านบาท เปิดโชว์รูมใหม่ 4 แห่ง

มาสด้าราชาออโต้เซลส์หนึ่งเดียวในโคราชฉลองครบรอบ 58 ปี ทุ่มลงทุนกว่า 500 ล้านบาท เปิดโชว์รูมแห่งใหม่ 4 สาขา

มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ประสานความร่วมมือกับกลุ่มราชาออโต้เซลส์ ผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าในจังหวัดนครราชสีมาที่มีประวัติความเป็นมายาวนานในประเทศไทย จัดพิธีเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ พร้อมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 58 ปี จัดกิจกรรมพิเศษมอบข้อเสนอที่ดีที่สุด รับส่วนลดพิเศษ ฟรีประกันชั้นหนึ่ง ฟรีบัตรน้ำมัน ฟรีของพรีเมี่ยม และลุ้นรับรางวัลพิเศษมากมาย เมื่อจองรถทุกรุ่นภายในงานฯ หรือที่โชว์รูมทั้งสี่สาขาในจังหวัดนครราชสีมา พร้อมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ไฮไลท์สุดพิเศษ New Mazda CX-3 Essential มาให้ลูกค้าได้สัมผัสและจับจองเป็นเจ้าของก่อนใคร ในระหว่างวันที่ 4-6 ก.ค. 68 พร้อมกันทั้ง 4 สาขา การเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการใหม่ครั้งนี้ยังถือเป็นการยกระดับศักยภาพของมาสด้าราชาออโต้เซลส์ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในจังหวัดนครราชสีมา และพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตามกลยุทธ์การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของผู้จำหน่ายมาสด้าในประเทศไทย เพื่อส่งมอบการบริการอันแสนประทับใจให้กับลูกค้ามาสด้าทุกคน

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดโชว์รูมครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่าง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และมาสด้าราชาออโต้เซลส์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายเก่าแก่ที่สุดของแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งมอบบริการที่ครอบคลุมให้กับลูกค้าในจังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าเมื่อมาเข้ารับบริการ เนื่องด้วยจังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดที่ลูกค้ามาสด้าอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มีประชากรมากกว่า  2 ล้านคน และมีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้น การเปิดโชว์รูมใหม่ครั้งนี้ จึงส่งเสริมแผนธุรกิจของมาสด้าในการก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อให้แบรนด์มาสด้าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ตามนโยบายการส่งเสริมเครือข่ายผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูงให้สามารถขยายพื้นที่การให้บริการ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสำคัญของแบรนด์ นั่นคือ การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention ที่มุ่งเน้นการส่งมอบประสบการณ์ความสุขในทุกช่วงเวลาให้กับลูกค้ามาสด้าทุกคน

มาสด้าราชาออโต้เซลส์ ถือเป็นผู้จำหน่ายมาสด้าอย่างเป็นทางการแห่งเดียวในจังหวัดนครราชสีมา มีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพสูงในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นประตูสู่ภาคอีสาน เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คน และมีฐานลูกค้าอยู่เป็นจำนวนมาก มีประสบการณ์การทำงานอันเป็นเลิศและมีประวัติความเป็นมายาวนานมากที่สุดในประเทศไทย โดยมาสด้าราชาออโต้เซลส์เริ่มเข้ามาเป็นผู้จำหน่ายมาสด้าอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 ในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานถึง 58 ปี จึงทำให้มาสด้าราชาออโต้เซลส์มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถยนต์มาสด้าเป็นอย่างดีทั้งด้านการขายและการบริการ พรั่งพร้อมไปด้วยทีมช่างเทคนิคและที่ปรึกษาการขายที่มีความรู้ความสามารถสูง พร้อมให้การดูแลรถยนต์ของลูกค้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ลูกค้ามั่นใจอย่างยิ่งว่ามาสด้าราชาออโต้เซลส์ทุกสาขาในโคราชจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะช่วยผลักดันแบรนด์มาสด้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน และส่งมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้าในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เป็นอย่างดี

พิธีเปิดโชว์รูมอย่างเป็นทางการของมาสด้าราชาออโต้เซลส์ได้รับเกียรติอย่างสูงจาก นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วย นางสาวอัญรินทร์ วงศ์อัครพัฒนา รองประธานสโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี, นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ มร. ทาเคชิ ซาโตะ รองประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน และคณะผู้บริหารระดับสูงจาก บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย นางสาวทัศนียา พัฒนจิตวิไล กรรมการผู้จัดการ และทีมผู้บริหาร บริษัท ราชาออโต้เซลส์ จำกัด พร้อมด้วยทีมงานสตาฟโค้ชและนักฟุตบอลจากสวาทแคท รวมทั้งลูกค้าและผู้มีเกียรติเข้าร่วมเป็นสักขีพยานอย่างคับคั่ง

พร้อมกันนี้ ทางผู้บริหารมาสด้าราชาออโต้เซลส์ ยังได้มอบเงินบริจาคให้กับโรงพยาบาล 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลมหาราช โรงพยาบาลเทพรัตน์ โรงพยาบาลพิมาย และโรงพยาบาลปากช่อง เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยเนื่องในโอกาสการเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ รวมถึงมีการจัดกิจกรรมเพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าแบบอัดแน่นตลอดทั้งวัน อาทิ การจับฉลากรางวัลพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อรถมาสด้าทุกรุ่น พร้อมด้วยไฮไลท์พิเศษกับกิจกรรม Meet & Greet นักเตะจากทีมสวาทแคท อาทิ เดนนิส มูริลโล่, ธณชัย หนูราช, ณัฐวุฒิ เจริญบุตร และนักเตะดาวรุ่งอีกมากมาย ที่มาสร้างสีสันด้วยการเล่นเกมส์มอบรางวัลพิเศษให้กับลูกค้าและแฟนคลับที่มาร่วมงาน ซึ่งสร้างสีสันให้กับงานในช่วงบ่ายได้เป็นอย่างดี

นางสาวทัศนียา พัฒนจิตวิไล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ราชา ออโต้เซลส์ จำกัด กล่าวว่า มาสด้าราชาเป็นธุรกิจที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อสานต่อธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าและมั่นคง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรมและเอื้อประโยชน์ต่อสังคมตามเจตนารมณ์ของ คุณเลอพงศ์ พัฒนจิตวิไล ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ พร้อมส่งมอบรถยนต์มาสด้าและการบริการที่ดีที่สุด เพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้าที่ให้ความเชื่อถือและไว้วางใจต่อมาสด้าราชามาตลอดเกือบ 60 ปี จากการดำเนินธุรกิจเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าเพียงยี่ห้อเดียวในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งการเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ครั้งนี้ทำให้มาสด้าราชาออโต้เซลส์มีโชว์รูมและศูนย์บริการรองรับลูกค้ามาสด้าในจังหวัดรครราชสีมา ถึง 4 สาขา และเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าเพียงหนึ่งเดียวในจังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย สำนักงานใหญ่ในตัวเมือง ใกล้กับอนุสาวรีย์ย่าโม สาขาอำเภอพิมาย สาขาอำเภอปากช่อง และสาขาสามแยกปักธงชัย ซึ่งในปีนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่มาสด้าราชาออโต้เซลส์ได้มีโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบการดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 58 ปี ในประเทศไทย แสดงถึงความมุ่งมั่นและมั่นคงของบริษัทฯ ในการเดินหน้าเพื่อส่งมอบงานขายและงานบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้ามาสด้าทุกคนในโคราชและพื้นที่ใกล้เคียง

“การขยายการลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ ทางบริษัทได้เพิ่มเงินงบประมาณอีกกว่า 200 ล้านบาท ประกอบด้วยการเพิ่มโชว์รูมแห่งใหม่สองสาขา คือ สาขาอำเภอปากช่องและสาขาสามแยกปักธงชัย รวมทั้งสิ้น 4 สาขา รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท แน่นอนว่าทางบริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของทำเลที่ตั้งที่มีกลุ่มลูกค้ามาสด้าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์มาสด้าที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ตลอดระยะเวลากว่า 58 ปี ที่บริษัทฯ ได้เข้ามาเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าทำให้เรามั่นใจในแบรนด์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปรัชญาของแบรนด์มาสด้าที่ไม่ได้มุ่งเพียงแต่เป็นบริษัทที่ผลิตรถยนต์เพื่อการขับขี่ แต่ยังพัฒนาการขับขี่รถยนต์เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานในทุกๆ ด้าน พร้อมส่งมอบความสนุกสนานในการขับขี่ และปรัชญาการพัฒนารถยนต์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่กับรถเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมถึงการประกาศเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมของ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ครั้งล่าสุดอีก 5,000 ล้านบาท ในประเทศไทย ทำให้ลูกค้าและผู้จำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจของมาสด้าทุกภาคส่วนมีความมั่นใจในแบรนด์มาสด้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้น การเปิดโชว์รูมแห่งใหม่ในครั้งนี้ จึงตอกย้ำถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมของมาสด้าราชาออโต้เซลส์ที่มีต่อแบรนด์มาสด้าได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่ามาสด้ากำลังเดินหน้าตามแผนธุรกิจระยะยาวเพื่อมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย” นางสาวทัศนียา กล่าวเกี่ยวกับการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้

ปัจจุบัน มาสด้าราชาออโต้เซลส์ เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าหนึ่งเดียวในจังหวัดนครราชสีมา โดยมีทั้งหมด 4 สาขา สามารถรองรับงานบริการได้ถึง 2,000 คันต่อเดือน ทั้งนี้ยังพร้อมให้บริการแบบครบวงจร ด้วยศูนย์ซ่อมสีและตัวถังมาตรฐาน มีช่องบริการตรวจเช็กตามระยะแบบเร่งด่วน (Fast Track) และมีรถยนต์ Mazda CPO (Certified Pre-Owned) ไว้เป็นทางเลือกเพื่อบริการลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์มาสด้ามือสองคุณภาพดีที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากมาสด้าอีกด้วย

มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และ มาสด้าราชาออโต้เซลส์ ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เราให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในทุกส่วนงาน ด้วยการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เพื่อให้รถยนต์มาสด้าเป็นมากกว่ายานพาหนะ และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความสุขในการใช้ชีวิตทุกด้านให้กับลูกค้ามาสด้าทุกคน เพื่อสร้างความรัก ความผูกพัน และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกค้าและครอบครัวไปตลอดอายุการใช้งาน

อนึ่ง มาสด้าราชาออโต้เซลส์ เป็นผู้จำหน่ายรถยนต์มาสด้าอย่างเป็นทางการ ที่ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2510 จนถึงปัจจุบัน มาสด้าราชาออโต้เซลส์มีโชว์รูมและศูนย์บริการ ทั้งหมด 4 สาขา ในจังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย

สาขาที่ 1: มาสด้าราชาออโต้เซลส์ สำนักงานใหญ่ อำเภอเมืองนครราชสีมา  ให้บริการทั้งด้านการขายและงานบริการ สามารถรองรับงานบริการได้กว่า 1,100 งานต่อเดือน พร้อมบริการตรวจเช็กตามระยะแบบเร่งด่วน หรือ Fast Track โทรศัพท์ 044-259-485-7

สาขาที่ 2: มาสด้าราชาออโต้เซลส์ อำเภอพิมาย รองรับงานขายและงานบริการซ่อมบำรุง รองรับลูกค้าได้กว่า 200 งานต่อเดือน โทรศัพท์ 044-756-549

สาขาที่ 3: มาสด้าราชาออโต้เซลส์ อำเภอปากช่อง ตั้งอยู่บริเวณตัวเมืองปากช่อง สามารถให้บริการทั้งงานขายและงานบริการช่องซ่อมบำรุง รองรับลูกค้าได้กว่า 300 งานต่อเดือน โทรศัพท์ 044-000-739 หรือ 088-568-7255

สาขาที่ 4: มาสด้าราชาออโต้เซลส์ สามแยกปักธงชัย ให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร ทั้งโชว์รูม ศูนย์บริการ และศูนย์ซ่อมตัวถังและสีมาตรฐาน สามารถรองรับงานบริการได้กว่า 300 งานต่อเดือน รวมถึง Mazda CPO จำหน่ายรถยนต์มาสด้ามือสองคุณภาพดี โทรศัพท์ 044-000-288

GWM เปิดสเปกจัดเต็มของ NEW GWM TANK 500 DIESEL

GWM เปิดสเปกจัดเต็มของ NEW GWM TANK 500 DIESEL หรูหรา สง่างาม และสะดวกสบาย มอบนิยามใหม่ของ PPV พรีเมียมอัจฉริยะ พร้อมรุ่นย่อยสุดดุดัน “Black Warrior”

กรุงเทพฯ 7 กรกฎาคม 2568 – GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ด้วยแนวคิด “ครอบคลุมทุกการใช้งาน (All Scenarios) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน (All Powertrains) สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง (All Users)” ล่าสุด เผยสเปกพรีเมียมและอัจฉริยะแบบรอบด้าน รวมถึงสมรรถนะทรงพลังของเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ใน NEW GWM TANK 500 DIESEL ที่ให้ประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีเยี่ยม สานต่อความสำเร็จต่อเนื่องจาก NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากบรรดา TANKER ชาวไทยทั่วประเทศ นอกเหนือจากเครื่องยนต์ดีเซลใหม่และลุคพรีเมียมที่หล่อ ดุดัน ด้วยสีใหม่อย่าง Black Warrior แล้ว NEW GWM TANK 500 DIESEL คือ ยนตรกรรมที่พร้อมมอบที่สุดแห่งประสบการณ์การขับขี่อัจฉริยะแบบครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.) ความพรีเมียมตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน 2.) ความสบายเหนือระดับด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวกมากมาย 3.) เทคโนโลยีอัจฉริยะอันล้ำสมัย และ 4.) ความปลอดภัยที่อัดแน่นสร้างความมั่นใจให้ในทุกเส้นทาง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง ทั้งเพื่อธุรกิจ การเดินทางกับครอบครัว หรือทริปผจญภัย โดย NEW GWM TANK 500 DIESEL คือ นิยามมาตรฐานใหม่ของรถ PPV 7 ที่นั่ง ระดับโลกอย่างแท้จริง

NEW GWM TANK 500 DIESEL พร้อมลบภาพจำเดิมของรถดีเซล PPV อย่างสิ้นเชิง ทั้งเสียงดัง แรงสั่นสะเทือน และการสิ้นเปลืองด้วยขุมพลังดีเซล 2.4T เจเนอเรชันใหม่ ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ เทอร์โบแปรผัน (VGT), หัวฉีดแรงดันสูง 2,000 บาร์, ระบบ EGR อิเล็กทรอนิกส์ และเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ที่เปลี่ยนเกียร์สูงได้แม้ในความเร็วต่ำ ผลลัพธ์คือการส่งกำลังที่ลื่นไหล ตอบสนองทันใจ พร้อมให้กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ที่มาในรอบต่ำเพียง 1,500–2,500 รอบ/นาที ขับขี่คล่องตัวทั้งในเมือง นุ่มนวลเมื่อเร่งแซง และมั่นคงบนทางไกล

NEW GWM TANK 500 DIESEL มาพร้อม 3 รุ่นย่อย ได้แก่

•รุ่น NEW GWM TANK 500 DIESEL 2.4T PRO

•รุ่น NEW GWM TANK 500 DIESEL 2.4T ULTRA*

•รุ่น NEW GWM TANK 500 DIESEL 2.4T ULTRA 4WD*

(*ทั้ง ULTRA และ ULTRA 4WD มาพร้อมสีพิเศษ Black Warrior)

พร้อมตัวเลือกสีภายนอก 3 สี ได้แก่ สีขาว, สีดำ, สีเทา และรุ่นตกแต่งพิเศษ Black Warrior (เฉพาะรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD) ส่วนภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีดำสุดหรู ตอกย้ำตัวตนของยนตรกรรมที่หลอมรวมความพรีเมียมเหนือระดับไว้อย่างลงตัว เพื่อยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับตลาด PPV อย่างแท้จริง

นอกจากสมรรถนะที่น่าทึ่ง NEW GWM TANK 500 DIESEL ยังมาพร้อมมิติตัวถังขนาดใหญ่สะดุดตา กว้าง 1,934 มม. ยาว 4,886 มม. สูง 1,905 มม. และระยะฐานล้อ 2,850 มม. เสริมภาพลักษณ์ของรถ PPV หรูหราที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งและมั่นคงในทุกมิติ โดยในรุ่น 2.4T PRO มาพร้อมล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว จับคู่กับยาง Westlake ขนาด 265/60 R18 พร้อมยางอะไหล่ ขณะที่รุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD ยกระดับขึ้นอีกขั้นด้วยล้ออัลลอยสีดำขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง Continental ขนาด 265/50 R20 และยางอะไหล่เช่นกัน

4 นิยามใหม่ของยนตรกรรมพรีเมียมระดับผู้นำ กับ NEW GWM TANK 500 DIESEL

•ความพรีเมียมตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน: NEW GWM TANK 500 DIESEL ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อสะท้อนถึงความหรูหราและความทันสมัย ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนัง Nappa ที่ให้สัมผัสนุ่มนวลและหรูหราอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันจอ 14.6 นิ้ว Touch screen infotainment ขนาดใหญ่ก็ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถควบคุมทุกฟังก์ชันได้อย่างง่ายดายและทันสมัย การติดตั้ง Multi-color ambient lighting ช่วยเพิ่มบรรยากาศสุดพิเศษภายในห้องโดยสารที่สามารถปรับเปลี่ยนสีแสงได้ตามความต้องการ ระบบเสียงระดับพรีเมียมจากลำโพง 12 ตัว พร้อมระบบ Surround sound ให้ได้สัมผัสประสบการณ์เสียงที่ลึกซึ้งและชัดเจนที่สุด พร้อมการป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกด้วยกระจกสองชั้นแบบ Double Layer Laminated Glass ที่ทำให้การเดินทางเงียบสงบไร้กังวล นอกจากนี้ ระบบ Active Noise Cancellation (ANC) ยังช่วยลดเสียงรบกวนเพิ่มเติม เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นประสบการณ์ที่เหนือระดับ

•ความสบายเหนือระดับ: มอบความสบายเหนือระดับด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ โดยในรุ่น 2.4T ULTRA และ ULTRA 4WD เริ่มต้นด้วยเบาะที่นั่งสามารถปรับไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง มาพร้อมระบบ Welcome Seat, Massage Seat และ VIP Switch ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการปรับเบาะให้เหมาะสมตามสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และระบบเบาะระบายอากาศทั้งในที่นั่งแถว 1 และแถว 2 (เฉพาะรุ่น ULTRA 4WD) ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง ห้องโดยสารกว้างขวางยิ่งขึ้นด้วยระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,850 มม. และ พื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ 795 ลิตร ทำให้สามารถจัดเก็บสัมภาระได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกลหรือท่องเที่ยว พร้อมด้วย ซันรูฟพาโนรามา ที่ช่วยเติมเต็มความโปร่งสบายให้ห้องโดยสาร นอกจากนี้ เทคโนโลยีความบันเทิงภายในรถได้รับการออกแบบให้ทันสมัยด้วยหน้าจอสัมผัสที่รองรับมัลติมีเดียได้อย่างครบครัน พร้อมระบบเสียงรอบทิศทางที่มีลำโพงถึง 12 ตำแหน่ง (รุ่น PRO 8 ตำแหน่ง) เพื่อมอบประสบการณ์การฟังที่สมจริงและเต็มอิ่ม ห้องโดยสารยังมีระบบปรับอากาศด้านหน้าแบบแยกอิสระซ้าย-ขวา และระบบปรับอากาศด้านหลัง พร้อมด้วยระบบกรองอากาศ N95 และ ระบบ ionizer ที่ช่วยฟอกอากาศและสร้างบรรยากาศที่สดชื่นภายในรถ เพิ่มความสะดวกสบายอีกระดับด้วยม่านบังแดดสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้โดยสาร

•เทคโนโลยีอัจฉริยะอันล้ำสมัย: เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น เริ่มจากหน้าจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และ หน้าจอสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว ที่รองรับระบบ Smart Dual Screen Interaction ช่วยให้การใช้งานทั้งสองจอมีความสะดวกและเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมี Windshield Head-Up Display ที่แสดงข้อมูลการขับขี่บนหน้ากระจกเพื่อให้การขับขี่ปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเพลิดเพลินกับ Wireless Charging ขนาด 50 วัตต์ ที่ด้านหน้า และระบบกล้องแสดงภาพ 540 องศา (กล้อง 360 องศา และระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ) เพิ่มความสะดวกในการมองเห็นรอบทิศทางอย่างครบถ้วน ระบบการควบคุมรถจากทางไกลผ่านแอปพลิเคชัน GWM และระบบสั่งงานด้วยเสียง ช่วยให้การควบคุมรถง่ายและทันสมัย สำหรับรุ่น 2.4T PRO และ ULTRA มาพร้อม 3 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต และโหมดประหยัด สำหรับรุ่น 2.4T ULTRA 4WD มีโหมดการขับขี่ทั้งหมด 8 โหมด ได้แก่ โหมด 2H 4H 4L โหมดพื้นหิมะ โหมดพื้นโคลน โหมดพื้นทราย โหมดพื้นหิน และโหมดผู้เชี่ยวชาญ พร้อมฟีเจอร์ออฟโรดสุดล้ำ เช่น Tank Turn ที่ช่วยให้การกลับรถในที่แคบเป็นเรื่องง่าย, Off-road Cruise Control, และ ระบบล็อกเฟืองหน้า-หลัง ให้คุณมั่นใจในทุกเส้นทาง สำหรับการจอดรถ NEW GWM TANK 500 DIESELรุ่น ULTRA และ ULTRA 4WD ยังมีระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบอีกด้วย

•ความปลอดภัยที่อัดแน่นสร้างความมั่นใจให้ในทุกเส้นทาง: NEW GWM TANK 500 DIESEL มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยขับขี่ระดับ L2+ ที่รวมระบบ ACC, Lane Change Assist, Forward Collision Warning, Lane Keeping Assist, และ Intelligent Cruise Assist/Traffic Jam Assist ช่วยให้การขับขี่ในเมือง, ทางด่วน, และการจราจรติดขัดเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเสริมด้วยระบบเตือนการชนและเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ RCTA + RCTB, MEB, กล้องรอบคัน 540 องศา, และเซนเซอร์ 12 จุด เพื่อเพิ่มความมั่นใจในทุกการขับขี่ ด้านโครงสร้างตัวถังของ NEW GWM TANK 500 DIESEL ถูกออกแบบให้แข็งแกร่งและทนทาน สามารถทนต่อแรงยุบ แรงชน แรงบิด และแรงกระแทกได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยตัวถัง Cage-Type ผลิตจากเหล็กกล้าแรงดึงสูงพิเศษ รองรับแรงกดหลังคาได้ถึง 96.58 กิโลนิวตัน และแรงบิดสูงสุด 23,076 นิวตันเมตร พร้อมระบบปลดล็อกอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่มอบความปลอดภัยแบบครบวงจร เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทาง

ขุมพลังดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด เอกสิทธิ์เดียวจาก GWM ที่มาพร้อม 4 จุดเด่น ฉีกกฏเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิมๆ

•แรง ประหยัด คุ้มค่า: ขุมพลัง 2.4T พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGT และหัวฉีดแรงดันสูง 2,000 บาร์ ให้การเผาไหม้สมบูรณ์ ลดไอเสีย ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น

•นิ่ง เงียบ นุ่มนวล: เทคโนโลยี NVH ลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนได้อย่างยอดเยี่ยม มีระดับเสียงในห้องเครื่องที่ idle time ต่ำกว่า 68 เดซิเบล

•ตอบสนองฉับไว: กำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำ ขับขี่คล่องตัวในเมือง และมั่นใจทุกเส้นทาง

•ทนทาน มั่นใจ: ผ่านการทดสอบสมรรถนะกว่า 6 ล้านกิโลเมตรทั่วโลก รับประกันเครื่องยนต์นานถึง 1 ล้านกิโลเมตร หรือ 8 ปี

NEW GWM TANK 500 DIESEL สีดำ Black Warrior อัศวินรัตติกาล หล่อ เข้ม ดุดัน ลึกลับ และสง่างาม

“สีดำ (Black Warrior)” มีให้เลือกเฉพาะใน NEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA และรุ่น 2.4T ULTRA 4WD โดยถ่ายทอดอารมณ์ของความหล่อเข้ม  ลึกลับ สง่างาม และทรงพลังได้อย่างมีเอกลักษณ์ ผ่านดีไซน์ภายนอกสีดำเงาเข้มขรึม กระจังหน้าสีดำพิเศษ ผสานกับล้ออัลลอยสีดำ และห้องโดยสารภายในโทนสีดำที่สะท้อนความพรีเมียมและความดุดันในทุกมุมมอง ความโดดเด่นของสีดำ (Black Warrior) ไม่ได้มีแค่รูปลักษณ์ที่ดูสง่างามและน่าเกรงขาม แต่ยังเสริมคาแรคเตอร์ให้รถดูนิ่ง สุขุม และทรงพลังในแบบที่แฝงความลึกลับไว้อย่างมีชั้นเชิง ยามโลดแล่นบนท้องถนนจะยิ่งเผยเสน่ห์เฉพาะตัวที่สะกดทุกสายตาได้อย่างไม่ค้านสายตา NEW GWM TANK 500 DIESEL สีดำ (Black Warrior) จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้นำหรือผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตที่มีบุคลิกชัดเจน ชอบความแตกต่างที่ไม่ตามใคร แต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราในแบบพรีเมียม อัศวินรัตติกาลคันนี้พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เต็มไปด้วยความภูมิฐาน นุ่มลึก และเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างแท้จริง

เหนือกว่าในทุกมิติ! สิ่งที่ NEW GWM TANK 500 DIESEL พัฒนาจากรุ่นไฮบริด

NEW GWM TANK 500 DIESEL ได้รับการพัฒนารุ่น 2WD โดยเฉพาะสำหรับตลาดไทย เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย ด้วยการปรับช่วงล่างให้เหมาะสมกับสภาพถนนและพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ในประเทศ จึงมั่นใจได้ว่า NEW GWM TANK 500 DIESEL จะมอบความสะดวกสบายและการขับขี่ที่นุ่มนวลทั้งในเมืองและเส้นทางต่าง ๆ การออกแบบภายในห้องโดยสารยังคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้โดยสาร โดยเฉพาะในเบาะแถวที่ 2 ซึ่งได้รับการปรับปรุงการใส่วัสดุโฟมเพื่อเพิ่มความนุ่มสบายในการนั่ง ทำให้ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินกับการเดินทางได้ยาวนานโดยไม่รู้สึกเมื่อยล้านอกจากนี้ ยังมีการย้ายตำแหน่งยางอะไหล่ไปไว้ที่ด้านใต้ตัวรถ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเปิดประตูหลังและการจอดรถในพื้นที่ที่จำกัด รวมถึงช่วยให้การจัดเก็บสัมภาระภายในรถมีความสะดวกยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนาทั้งด้านการออกแบบและฟังก์ชันการใช้งาน NEW GWM TANK 500 DIESEL จึงพร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคน

ผู้สนใจสามารถสัมผัสและทดลองขับ NEW GWM TANK 500 DIESEL ได้ที่ GWM พาร์ทเนอร์ สโตร์ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสามารถลงทะเบียนจองเวลาทดลองขับได้ที่ https://mall.gwm.co.th/testDrive

เตรียมพบกับ NEW GWM TANK 500 DIESEL พร้อมเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้ กับ 3 รุ่นย่อย: 2.4T PRO, 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD ที่จะยกระดับมาตรฐานรถยนต์ PPV พรีเมียมในไทยอย่างแท้จริง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GWM Application, www.gwm.co.th หรือ GWM Contact Center 02-668-8888

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ของ NEW GWM TANK 500 DIESEL

ขอความกรุณาท่านสื่อมวลชนเผยแพร่ข้อมูลผลิตภัณฑ์ของ NEW GWM TANK 500 DIESEL ในเอกสารนี้ได้ตั้งแต่ วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป

NEW GWM TANK 500 DIESEL

NEW GWM TANK 500 DIESEL รถยนต์ PPV ยุคใหม่ขุมพลังดีเซลระดับพรีเมียม ผนวกกับที่สุดของประสบการณ์การขับขี่อัจฉริยะทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.) ที่สุดของความหรูหราตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน 2.) ที่สุดของความสบายเหนือระดับด้วยฟังก์ชันอำนวยความสะดวก 3.) ที่สุดของเทคโนโลยีอัจฉริยะ และ 4.) ที่สุดของความปลอดภัยสร้างความมั่นใจให้ในทุกเส้นทาง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อธุรกิจ การเดินทางกับครอบครัว หรือทริปผจญภัย พร้อมนิยามมาตรฐานใหม่ของรถ PPV ระดับโลกอย่างแท้จริง

สิ่งที่ NEW GWM TANK 500 DIESEL มีการพัฒนาจากรุ่นไฮบริด

•พัฒนารุ่น 2WD สำหรับตลาดไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย

•ปรับช่วงล่างให้เหมาะกับสภาพถนนเมืองไทย พฤติกรรมการขับขี่ของคนไทย

•เพิ่มความสบายในเบาะแถว 2 โดยการปรับการใส่วัสดุโฟม เพื่อเพิ่มความนุ่มสบายในการนั่งให้มากยิ่งขึ้น

•ย้ายตำแหน่งยางอะไหล่ ไปไว้ด้านใต้ตัวรถ เพื่อให้สะดวกกับการเปิดประตูหลังและการจอดในพื้นที่จำกัด

รุ่นและสีรถยนต์

•NEW GWM TANK 500 DIESEL สีขาว สีดำ และสีเทา มาพร้อม 3 รุ่น ได้แก่

oรุ่น NEW GWM TANK 500 DIESEL 2.4T PRO

oรุ่น NEW GWM TANK 500 DIESEL 2.4T ULTRA*

oรุ่น NEW GWM TANK 500 DIESEL 2.4T ULTRA 4WD*

* มาพร้อมรุ่นพิเศษ Black Warrior

•สีภายใน: สีดำ

สมรรถนะ NEW GWM TANK 500 DIESEL

•NEW GWM TANK 500 DIESEL ทั้ง 3 รุ่นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) และเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9AT) ให้กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร รองรับการเดินทางไกลด้วยระยะทางขับขี่รวมมากกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันหนึ่งครั้ง

•พร้อมเสริมประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบหัวฉีดคอมมอนเรลแรงดันสูง 2,000 บาร์, ปั๊มน้ำมันเครื่องแบบปรับอัตราการไหล และระบบ EGR ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ ลดมลพิษ และประหยัดเชื้อเพลิงยิ่งขึ้น

•ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ (Body Transparent) เพิ่มทัศนวิสัยและความปลอดภัยในทุกสถานการณ์

•รองรับโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 8 โหมด

oNEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T PRO และ 2.4T ULTRA มาพร้อม 3 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต และโหมดประหยัด

oNEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 4WD มาพร้อม 8 โหมดการขับขี่ ได้แก่

โหมด 2H, โหมด 4H, โหมด 4L, โหมดพื้นหิมะ, โหมดพื้นโคลน, โหมดพื้นทราย, โหมดพื้นหิน และโหมดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรองรับทุกสภาพเส้นทางทั้งบนถนนและออฟโรดอย่างมั่นใจ

นอกจากนี้ รุ่น 2.4T ULTRA 4WD ยังยกระดับความคล่องตัวและความมั่นใจในการขับขี่ด้วยฟีเจอร์ล้ำสมัย อาทิ ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ (Tank Turn), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติสำหรับทางออฟโรด (Off-road Cruise Control) ระบบล็อกเฟืองด้านหน้าและด้านหลัง (Front and Rear Differential Lock)

แพลตฟอร์มของ NEW GWM TANK 500 DIESEL

•NEW GWM TANK 500 DIESEL พัฒนาบนโครงสร้างแชสซีแบบตัวถังวางบนเฟรม (Body-on-Frame) ที่ออกแบบขึ้นเฉพาะสำหรับรถยนต์ในตระกูล GWM TANK มอบความแข็งแกร่งเหนือระดับ พร้อมระยะความสูงใต้ท้องรถ 224 มม. รองรับทุกสภาพเส้นทาง พร้อมส่งมอบความมั่นใจในทุกการเดินทาง

•ในรุ่น 2.4T ULTRA 4WD มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ตไทม์ เสริมด้วยระบบล็อกเฟืองด้านหน้าและหลังควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า เพิ่มขีดความสามารถในการลุยเส้นทางทุรกันดารอย่างแท้จริง

•ด้านระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ (Double-Wishbone) มอบความแม่นยำในการควบคุมทิศทาง ส่วนด้านหลังใช้ช่วงล่างแบบมัลติลิงก์ ช่วยสร้างสมดุลระหว่างสมรรถนะการควบคุมและความนุ่มนวลในการขับขี่อย่างลงตัว

การออกแบบภายนอก (Exterior Design)

NEW GWM TANK 500 DIESEL รถยนต์อเนกประสงค์ PPV ระดับพรีเมียม ถ่ายทอดผ่านเส้นสายตัวถังที่แข็งแกร่งและทรงพลัง สื่อถึงความสง่างามและความภูมิฐาน

•มิติตัวถังขนาดใหญ่ กว้าง 1,934 มม. ยาว 4,886 มม. และสูง 1,905 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม.

•ไฟหน้าแบบ LED อัจฉริยะ มาพร้อมไฟส่องสว่างกลางวัน (Daytime Running Lights), ฟังก์ชัน “Follow-Me-Home” และระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน

•ล้ออัลลอยสีดำ

oในรุ่น 2.4T PRO ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง Westlake ขนาด 265/60 R18 และยางอะไหล่

oในรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง Continental ขนาด 265/50 R20 และยางอะไหล่

การออกแบบภายใน (Interior Design)

การออกแบบภายในของห้องโดยสาร NEW GWM TANK 500 DIESEL โดดเด่นด้วยบรรยากาศอันโอ่อ่าและหรูหราภายใต้แนวคิด “ห้องโดยสารอัจฉริยะ” ผสานความล้ำสมัยเข้ากับความสบายอย่างลงตัว ด้วยวัสดุพรีเมียมและการออกแบบพื้นที่ที่ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์การใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทางร่วมกับครอบครัว

ทุกรุ่นย่อยของ NEW GWM TANK 500 DIESEL มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน ดังนี้

oหน้าจอคู่ ประกอบด้วยหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล TFT (TFT Digital Driving Display) ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอสัมผัสมัลติมีเดียขนาด 12.3 นิ้ว ในรุ่น 2.4T PRO และขนาด 14.6 นิ้ว ในรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD รองรับการเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน การเล่นเพลง และแสดงผลแบบแยกหน้าจอได้

oระบบชาร์จไร้สาย 50W พร้อมพอร์ต Type-A/C ด้านหน้า และ Type-A ด้านหลัง รองรับการชาร์จอุปกรณ์หลายชิ้นอย่างรวดเร็ว

oเบาะนั่งออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ช่วยลดความเมื่อยล้าระหว่างเดินทางไกล รองรับสรีระผู้ขับขี่และผู้โดยสารอย่างลงตัว

oระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมระบบกรองอากาศ N95 เพื่อคุณภาพอากาศภายในห้องโดยสารที่ดีต่อสุขภาพ

oพื้นที่เก็บสัมภาระแบบยืดหยุ่น เบาะหลังพับได้แบบ 50:50 รองรับปริมาณสัมภาระสูงสุด 795 ลิตร

oแพดเดิลชิฟต์บนพวงมาลัย เพิ่มความคล่องตัวในการควบคุมเกียร์ รองรับการขับขี่ที่หลากหลาย

NEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA เพิ่มอุปกรณ์ดังต่อไปนี้

oตกแต่งด้วยหนัง Nappa ระดับพรีเมียม มาตรฐานเดียวกับรถยนต์หรู เพื่อความรู้สึกพรีเมียมทั้งภาพลักษณ์และการใช้งาน

oระบบเสียงรอบทิศทางแบบพื้นฐาน จำนวน 12 ลำโพง ให้คุณภาพเสียงเหนือระดับ เสริมอรรถรสในการขับขี่

oระบบบันทึกตำแหน่งพร้อมระบบ Welcome seat ฟังก์ชันปรับเบาะไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อม VIP สวิตช์ สำหรับเบาะผู้โดยสารด้านหน้า ช่วยให้ง่ายต่อการขึ้น-ลงรถ

oระบบเบาะนวดไฟฟ้า สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ลดความเมื่อยล้าระหว่างการขับขี่ พร้อมยกระดับความสบาย

oหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา เพิ่มแสงธรรมชาติและมุมมองอันกว้างขวาง สร้างบรรยากาศโปร่งโล่งสบายภายในห้องโดยสาร

NEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 4WD เพิ่มอุปกรณ์ดังต่อไปนี้

oระบบเบาะระบายอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าและแถวสอง เพื่อยกระดับความสบายของผู้โดยสารด้านหลังมากยิ่งขึ้น

ระบบอัจฉริยะใน NEW GWM TANK 500 DIESEL

NEW GWM TANK 500 DIESEL ทั้ง 3 รุ่นย่อย มาพร้อมระบบอัจฉริยะที่ครอบคลุมทั้งด้านความบันเทิง ความปลอดภัย การขับขี่ และเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ อาทิ

•ระบบอัปเกรดเฟิร์มแวร์แบบ FOTA (Firmware Over-the-Air) รองรับการอัปเดตระบบเกียร์ อัตราเร่ง ระบบช่วยขับขี่ ความบันเทิง และการควบคุมภายในห้องโดยสารผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเข้าศูนย์บริการ เช่น ปรับอัลกอริธึมโหมดออฟโรด และอัปเดตอินเทอร์เฟซของตัวรถ

•ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Interaction System) รองรับคำสั่งภาษาไทย และอังกฤษ สำหรับควบคุมเครื่องปรับอากาศ ซันรูฟ ระบบนำทาง และความบันเทิง

•ระบบควบคุมรถจากระยะไกล (Remote Vehicle Control) ฟังก์ชันพื้นฐาน ได้แก่ สตาร์ทรถหรือดับเครื่อง จากระยะไกล, เปิด-ปิดแอร์, เปิด-ปิดประตู ปิดหน้าต่างและซันรูฟ, และตรวจสอบสถานะรถ เช่น แรงดันลมยาง และระดับน้ำมันเชื้อเพลิง

•ฟังก์ชันด้านความปลอดภัย (Security Features) ประกอบด้วยระบบติดตามตำแหน่งรถ, การตั้งขอบเขตพื้นที่การใช้งาน (E-Fencing), และระบบแจ้งเตือนความผิดปกติ (เช่น เช็กสถานะการเปิดประตู หรือหน้าต่าง)

•ระบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้งาน (HMI Interaction)

oNEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA : จอคู่แบบอินเทอร์แอคทีฟ แสดงแผนที่แบบแบ่งหน้าจอ, การมิเรอร์สื่อมัลติมีเดีย, และข้อมูลโหมดออฟโรด

oNEW GWM TANK 500 DIESEL รุ่น 2.4T ULTRA 4WD : หน้าจอ UI พิเศษสำหรับออฟโรด แสดงค่าความลาดเอียงภูมิประเทศ สถานะการล็อกดิฟเฟอเรนเชียล และโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อแบบเรียลไทม์ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลุยเส้นทางสมบุกสมบัน

ระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยสำหรับการขับขี่อัตโนมัติระดับ L2+

•การขับขี่อัตโนมัติระดับ L2+ (Level L2+ Automated Driving) มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วยเสริมความปลอดภัยและลดภาระผู้ขับขี่ในหลากหลายสถานการณ์ ได้แก่

oระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Full-speed Range ACC) : รองรับความเร็ว 0–150 กม./ชม. คงระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า ช่วยลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่และเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน

oระบบช่วยเปลี่ยนเลน (LCA – Lane Change Assist) : ตรวจจับรถที่อยู่ในจุดบอดของกระจกข้าง หรือรถที่วิ่งมาเร็วจากเลนข้างเคียง พร้อมแสดงไฟเตือนฝั่งที่มีความเสี่ยง เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงการชนจากการเปลี่ยนเลน (เฉพาะรุ่น 2.4T ULTRA และ ULTRA 4WD)

oระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW – Forward Collision Warning) : ช่วยลดความเสี่ยงจากการเบรกไม่ทัน เพิ่มความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า

oระบบช่วยควบคุมให้อยู่ในเลน (LKA – Lane Keeping Assist) : ช่วยปรับพวงมาลัยอัตโนมัติหากรถเบี่ยงออกนอกเลน เพื่อให้รถคงอยู่ในเส้นทางที่ปลอดภัย

oระบบควบคุมอัจฉริยะบนทางด่วน / ระบบช่วยในสภาพการจราจรติดขัด (HWA/TJA – Highway Assist / Traffic Jam Assist): ช่วยควบคุมรถทั้งในช่วงขับขี่ทางตรงยาวนานหรือในสภาพรถติด โดยรักษารถให้อยู่กลางเลน และตามความเร็วหรือระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างแม่นยำ ลดภาระผู้ขับขี่และเพิ่มความปลอดภัยบนทางด่วน

ระบบความปลอดภัยเชิงรุก (Active Safety)

oLDW (Lane Departure Warning) : ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน โดยตรวจจับเส้นจราจรผ่านกล้องแบบเรียลไทม์ หากรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วตั้งแต่ 60 กม./ชม. ขึ้นไป และเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะแจ้งเตือนผ่านเสียง ภาพ และการสั่นภายใน 0.5 วินาที

oHSA (Hill Start Assist) : ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ป้องกันรถไหลถอยหลัง

oELK (Emergency Lane Keeping) : ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยอัตโนมัติเมื่อตรวจพบว่ามีรถใกล้เคียงในระหว่างเปลี่ยนเลน เพื่อหลีกเลี่ยงการชน เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ในเมือง

oRCTA (Rear Cross-Traffic Alert) : ระบบเตือนรถสัญจรขณะถอยหลัง โดยตรวจจับรถที่เคลื่อนที่จากด้านข้าง (เฉพาะรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD)

oRCTB (Rear Cross-Traffic Braking) : ระบบเบรกฉุกเฉินขณะถอยหลัง หากผู้ขับไม่ตอบสนองต่อการเตือน ระบบจะเบรกอัตโนมัติเพื่อลดความเสี่ยงในการชน (เฉพาะรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD)

oMEB (Mild Off-Road Braking) : ระบบเบรกอัตโนมัติในความเร็วต่ำ (≤8 กม./ชม.) ขณะลุยทางออฟโรด หากตรวจพบสิ่งกีดขวางด้านข้าง ระบบจะเบรกเพื่อหลีกเลี่ยงการชน เหมาะกับสถานการณ์ลุยสุดขีด

oHDC (Hill Descent Control) : ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ช่วยให้รถลงทางชันหรือพื้นที่ลื่นได้อย่างมั่นคง ลดภาระผู้ขับขี่

oEBD (Electronic Brake-force Distribution) : ระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบสภาพล้อแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับแรงเบรกอย่างเหมาะสม เพิ่มความมั่นคงขณะเบรก

oBAS (Brake Assist System) : ระบบเสริมแรงเบรกอัตโนมัติเมื่อผู้ขับเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน เพื่อลดระยะเบรกและลดความเสี่ยงจากการชน

oRMI (Roll Movement Intervention) : ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ โดยตรวจสอบท่าทางของรถอย่างต่อเนื่อง และลดแรงบิดรวมถึงเบรกอัตโนมัติเพื่อรักษาสมดุล

oTCS (Traction Control System) : ระบบควบคุมการลื่นไถลของล้อ โดยตรวจจับความเร็วของล้อขับเคลื่อน หากล้อหมุนฟรี ระบบจะปรับแรงบิดให้เหมาะสม เพื่อให้รถมีแรงยึดเกาะที่ดีขึ้น

oเซนเซอร์จอดด้านหน้า 6 จุด / ด้านหลัง 6 จุด : ตรวจจับสิ่งกีดขวางรอบคัน ช่วยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ระหว่างจอดรถ (เฉพาะรุ่น 2.4T ULTRA และ 2.4T ULTRA 4WD)

oระบบกล้องมองภาพรอบคัน 540° : ความละเอียดระดับเมกะพิกเซล แสดงภาพรอบคันแบบเรียลไทม์ เพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่และจอดรถ

oTPMS (Tire Pressure Monitoring System) : ระบบตรวจสอบแรงดันลมยางแบบเรียลไทม์ แสดงข้อมูลแรงดันและอุณหภูมิของยางแต่ละเส้น พร้อมแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติ

•ระบบความปลอดภัยเชิงรับ (Passive Safety)

oโครงสร้างตัวถังออกแบบในรูปแบบโครงนิรภัย (Cage-Type) เพื่อสร้างช่องทางการถ่ายเทแรงกระแทกรอบทิศทาง ช่วยกระจายแรงปะทะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริเวณโครงสร้างรับแรงหลักใช้เหล็กกล้าแรงดึงสูงพิเศษ (Ultra-High Strength Steel) ที่มีค่าความเค้นสูงสุด (Yield Strength) เกิน 1,500 MPa เพื่อลดการยุบตัวของหลังคาในกรณีเกิดแรงกระแทก

oโครงสร้างหลังคาสามารถรองรับแรงกดได้สูงถึง 96.58 กิโลนิวตัน ขณะที่ตัวถังมีความแข็งแรงต่อแรงบิด (Torsional Stiffness) สูงถึง 23,076 นิวตันเมตร และความแข็งแรงต่อการดัดงอ (Bending Stiffness) 5,602 นิวตันเมตร ซึ่งสามารถทนต่อแรงกดบนหลังคาได้มากกว่ามาตรฐานถึง 4 เท่า

oแชสซีแบบตัวถังบนเฟรมที่ใช้เหล็กกล้าแรงสูงเป็นพิเศษ ช่วยลดการยุบตัวของห้องโดยสารขณะเกิดการชน เสริมความปลอดภัยสูงสุดให้แก่ผู้โดยสาร

oคอพวงมาลัยแบบยุบตัวดูดซับแรงกระแทกได้ (Crushable Energy-Absorbing Steering Column) ช่วยลดแรงที่ส่งถึงคนขับเมื่อเกิดการชน ปกป้องความปลอดภัยของผู้ขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ

oมาพร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า ด้านข้าง และม่านนิรภัย) โดยม่านนิรภัยใช้กระบวนการขึ้นรูปแบบ OPW (One-Piece Woven) เพื่อรักษาความดันลมอย่างมั่นคงและเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้อง

oเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ 1 จุด (Dual Pretensioners) ช่วยรัดบริเวณเชิงกรานและหน้าอกของผู้โดยสารทันทีในช่วงเริ่มต้นของการชน ลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ

oฟังก์ชันปลดล็อกประตูอัตโนมัติและตัดระบบจ่ายน้ำมันเมื่อเกิดการชน: รถจะทำการปลดล็อกประตูโดยอัตโนมัติ เปิดไฟฉุกเฉินและไฟเบรก พร้อมตัดวงจรปั๊มน้ำมันทันที เพื่อหยุดการทำงานของเครื่องยนต์และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

บีเอ็มดับเบิลยู เผยโฉมบีเอ็มดับเบิลยู iX1 รุ่นฐานล้อยาว

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เผยโฉมบีเอ็มดับเบิลยู iX1 รุ่นฐานล้อยาวที่มาพร้อมเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupé ใหม่ มอบความแตกต่างอย่างมีสไตล์

(ในภาพจากซ้าย) คุณกวี ธนวัฒน์เดช ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย มร.ธอมัส กอเรียน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย คุณชนินทร์ ฐิติจารุไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และคุณกฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย นำโดย มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX1 พร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupé ใหม่ ที่มาพร้อมความปราดเปรียว ยกระดับวิสัยทัศน์ของบีเอ็มดับเบิลยูสู่การขับเคลื่อนในเมืองที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย พร้อมนำนักขับทั่วเมืองออกเดินทางสู่ประสบการณ์ใหม่ กับการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ 2 รุ่นที่พร้อมตอบสนองจังหวะชีวิตที่หลากหลาย ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ครั้งแรกในประเทศไทยของ SAV ไฟฟ้ารุ่นฐานล้อยาว ที่ครบครันทั้งสไตล์และประโยชน์ใช้สอยในรูปลักษณ์สดใหม่ และบีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro รุ่นล่าสุดของตระกูลซีรีส์ 2 ที่เปี่ยมด้วยคาแรกเตอร์เฉพาะตัวในสไตล์สปอร์ต พร้อมยกระดับทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยีแบบรอบคัน

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “ประสบการณ์การขับขี่ในเมืองยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตามทั้งจังหวะชีวิตของผู้คน การพัฒนาและเติบโตของตัวเมือง และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยขึ้น แน่นอนว่าบีเอ็มดับเบิลยูยังคงพัฒนายานยนต์ของเราให้ก้าวล้ำนำหน้าความคาดหวังของลูกค้าในทุกโอกาส ในวันนี้ เราพร้อมที่จะต่อยอดความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupé ในประเทศไทย ด้วยรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างบีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ที่เหนือกว่า ทั้งประสิทธิภาพ และความสะดวกสบาย ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู iX1 รุ่นฐานล้อยาวจะสร้างมาตรฐานใหม่ด้วยความนุ่มสบายที่เหนือกว่าและพื้นที่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่มากกว่า ควบคู่ไปกับการขับขี่ในระบบไฟฟ้า เพิ่มทางเลือกใหม่ในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้ากว่า 13 รุ่น ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด”

บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่

ราคา: 2,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ ยกระดับการขับขี่สู่ระบบไฟฟ้าล้วน ด้วยดีไซน์ที่ได้รับการปรับแต่งต่างจากบีเอ็มดับเบิลยู X1 ในรุ่นมาตรฐาน และยังเพิ่มพื้นที่ภายในตัวรถให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ด้วยตัวรถที่ยาวขึ้นเป็น 4,616 มิลลิเมตร และฐานล้อยาว 2,800 มิลลิเมตร หรือเท่ากับตัวรถยาวกว่า X1 รุ่นมาตรฐาน 116 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวขึ้น 110 มิลลิเมตร ขนาดตัวรถที่เพิ่มขึ้นนี้ ผสมผสานกับบุคลิกที่บึกบึนและแข็งแกร่งในแบบของ SAV ได้อย่างลงตัว ทั้งยังโดดเด่นเตะตากว่าที่เคยด้วยกระจังหน้าแบบปิดโฉมใหม่ในทรงสามมิติ เข้าชุดกับไฟหน้า Adaptive LED ที่ทอดยาวไปยังด้านข้างของตัวรถ ส่วนเส้นสายด้านข้างตัวถัง ให้อารมณ์ความสปอร์ตและดุดันตลอดคัน ก่อนเติมความหรูด้วยชุดแต่ง M Sport ที่รวมถึงส่วนกรอบหน้าต่าง high-gloss Shadowline ที่เงาวับ จับสายตาได้ไม่แพ้ราวหลังคาอลูมิเนียมผิวด้านที่ทอดยาวอยู่ด้านบน และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วในดีไซน์ Double-spoke Bicolour

ด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ จึงมอบความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ทั้งจากพื้นที่ที่กว้างขึ้น 81 มิลลิเมตรสำหรับการวางขา และ 107 มิลลิเมตรที่ระดับเข่า สำหรับผู้โดยสารเบาะหลัง รวมถึงตัวเบาะหลังที่บุโฟมนุ่มขึ้น พร้อมขยายความกว้างของตัวเบาะขึ้น 15 มิลลิเมตร ยกระดับความสบายในการนั่งได้ยิ่งขึ้น ขณะที่ระบบช่วงล่างก็ผ่านการปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มความนุ่มสบายบนทุกเส้นทาง เบาะหลังของ iX1 รุ่นฐานล้อยาวนี้ ยังคงแบ่งสัดส่วนเป็น 3 ตอนแบบ 40:20:40 เช่นเดิม และสามารถพับลงได้เพื่อขยายพื้นที่เก็บสัมภาระจาก 490 ลิตรเป็น 1,600 ลิตร ระบบ Comfort Access 2.0 ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วยการปลดล็อกรถเมื่อเจ้าของรถเดินเข้ามาใกล้ และล็อกรถอัตโนมัติเมื่อเดินออกห่างตัวรถ เช่นเดียวกับระบบ BMW Digital Key Plus ที่เปิดโอกาสให้เจ้าของรถใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจรถ และปลดล็อกรถอัตโนมัติได้เพียงนำสมาร์ทโฟนเข้ามาใกล้ ส่วนหลังคากระจก Panorama Glass Roof ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์นี้ ก็เติมบรรยากาศให้ห้องโดยสารยิ่งรู้สึกโปร่งและโอ่อ่าขึ้นไปอีก

ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ เอาใจผู้ขับขี่ไม่แพ้ผู้โดยสารด้วยพวงมาลัยหนังสไตล์ M พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ครบครันจากแพ็คเกจ Driving Assistant Plus และ Parking Assistant Plus (รวมระบบกล้องมองรอบคัน Surround View) พร้อมรองรับการอัปเกรดสู่ Parking Assistant Professional ที่เพิ่มความสามารถในการควบคุมการจอดรถได้ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และสามารถจดจำรูปแบบการจอดรถอัตโนมัติได้ถึง 10 แบบ รวมระยะทาง 600 เมตร พร้อมด้วยฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถเลือกซื่อเพิ่มเติมได้ผ่าน BMW Connected Drive Store นอกจากนี้ iX1 eDrive20L M Sport ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 9 รุ่นล่าสุด ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานควบคุมได้ผ่านหน้าจอ Control Display ขนาด 10.7 นิ้ว พร้อมด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้วและ BMW Head-Up Display พร้อมป้อนข้อมูลสำคัญให้ผู้ขับขี่ได้รับทราบโดยไม่ต้องละสายตาจากเส้นทางข้างหน้า ส่วนชุดเครื่องเสียงไฮเอนด์จาก Harman Kardon พร้อมเติมความรื่นรมย์ให้กับทุกขณะของการเดินทาง

ระบบส่งกำลังแบบไฟฟ้าล้วน เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 เป็นหัวใจที่ขับเคลื่อนบีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ ให้โลดแล่นบนท้องถนนด้วยการตอบสนองที่ฉับไวในทุกจังหวะ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลัง 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ช่วยให้ iX1 รุ่นฐานล้อยาวนี้ใช้เวลาเพียง 8.6 วินาทีในการเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยขณะขับขี่ ฟังก์ชัน BMW IconicSounds Electric สร้างเสียงเครื่องยนต์แบบจำลองที่ตอบสนองกับทุกการควบคุม ส่วนแบตเตอรี่แรงดันสูงขนาด 66.5 kWh มอบพลังงานไฟฟ้าเพียงพอสำหรับการขับขี่เป็นระยะทางสูงสุด 402-433 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ทั้งยังรองรับการชาร์จระบบไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ที่กำลังไฟสูงสุด 130 กิโลวัตต์ จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 32 นาที และเมื่อชาร์จไฟในระบบกระแสสลับ (AC) iX1 รุ่นนี้ก็มาพร้อมกับเทคโนโลยี AC Charging Plus ที่รองรับกำลังไฟสูงสุด 11 กิโลวัตต์ ให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% ถึง 100% ได้ในเวลา 6 ชั่วโมง 45 นาที ลูกค้าที่เลือกเป็นเจ้าของบีเอ็มดับเบิลยู iX1 ใหม่ ยังสามารถเลือกชาร์จรถจากเครือข่ายสถานีชาร์จ BMW Charging Station ทั้งยังได้รับส่วนลด 20% เมื่อเติมเงินค่าชาร์จในแอป EVolt

บีเอ็มดับเบิลยู iX1 eDrive20L M Sport ใหม่ พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ในสีดำ Carbon Black Metallic, ขาว Mineral White Metallic และเทา Skyscraper Grey Metallic โดยทั้งสามสีมาพร้อมกับห้องโดยสารที่หุ้มเบาะด้วยวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศในสีน้ำตาล Mocha

บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่

ราคา: 2,199,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและแพ็คเกจ BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 Gran Coupé กลับมาอีกครั้งพร้อมรูปลักษณ์ใหม่ล่าสุดในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ที่ยกระดับทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยีแบบรอบด้าน เตรียมเติมสีสันให้คุณได้เพลินไปกับการเดินทางในทุกวัน

บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ ยังคงเปี่ยมด้วยคาแรกเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลซีรีส์ 2 สวยสะดุดตาตั้งแต่หัวจรดท้าย เริ่มจากกระจังหน้าที่กว้างขึ้น และยังติดตั้งระบบไฟ BMW Iconic Glow มาเป็นครั้งแรกในซีรีส์ 2 เพื่อขับเน้นรูปทรงของกระจังหน้าให้สวยเด่นยิ่งขึ้น ไฟหน้าแบบ Adaptive LED มาในทรงทอดยาวออกด้านข้าง ช่วยดึงดูดสายตาไปยังทรวดทรงสไตล์สปอร์ตเต็มขั้นของตัวรถ ซึ่งผสมหลังคาทรงโค้งแบบรถคูเป้เข้ากับห้องโดยสารแบบ 4 ประตูในแบบรถซีดาน ชุดแต่ง M Sport Pro ยิ่งขับเน้นความโฉบเฉี่ยวของบีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ด้วยชุดโคมไฟหน้า M Lights Shadowline และกรอบหน้าต่างแบบเรียบหรู M high-gloss Shadowline สอดรับกับล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว ดีไซน์ Y-spoke Bicolour พร้อมคาลิเปอร์เบรก M Sport สีแดงเงาแบบ 4 ลูกสูบ

ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ ยังคงมาพร้อมกับหลังคากระจก Panorama Glass Roof เช่นเดียวกับซีรีส์ 2 Gran Coupé รุ่นก่อนหน้า แต่ได้รับการปรับโฉมแบบรอบด้านในส่วนอื่น นับตั้งแต่เบาะนั่งแบบสปอร์ตที่หุ้มด้วยวัสดุ Veganza ชุดแต่งภายในแบบ Illuminated ในโทนสีเทา-ดำ Aluminium Graphite ที่มาพร้อมไฟแต่งห้องโดยสารในตัว และตะเข็บบนพื้นผิวต่างๆ ในห้องโดยสารที่ใช้ด้ายสีแดง น้ำเงิน ขาว อันเป็นสีประจำตัวของบีเอ็มดับเบิลยู M ผู้ขับขี่สามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของตัวรถได้ครบครัน ผ่านชุดอุปกรณ์ BMW Live Cockpit Professional ที่รวมถึงการแสดงข้อมูลสำคัญบนหน้าจอ BMW Head-Up Display ให้ไม่ต้องละสายตาจากถนนด้านหน้า บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ ยังมีระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 9 รุ่นล่าสุด ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน จึงสามารถควบคุมและตั้งค่าตัวรถได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมให้เรียกใช้ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงอย่าง Driving Assistant Plus และ Parking Assistant Plus ในพริบตา ขณะที่ฟังก์ชัน BMW Digital Key Plus อำนวยความสะดวกด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนของคุณให้เป็นกุญแจรถ รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ผ่านโทรศัพท์มือถือ Samsung นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกซื้ออัปเกรดเพิ่มเติมผ่านทางระบบ BMW ConnectedDrive ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชัน Remote Engine Start สำหรับสตาร์ทเครื่องล่วงหน้าก่อนเดินถึงตัวรถด้วยสมาร์ทโฟน และชุดฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมายในแพ็คเกจเสริม BMW Digital Premium

บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ มีขุมพลังที่ยกระดับสมรรถนะเพิ่มขึ้น ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ที่มอบพละกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ / 204 แรงม้า ที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่รอบเครื่อง 1,450-4,500 รอบต่อนาที ทำงานผสานกับเกียร์ Steptronic คลัตช์คู่แบบ 7 สปีดอย่างลงตัว จึงทำให้ซีรีส์ 2 รุ่นใหม่เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 7.3 วินาที หากต้องการเพิ่มความแรงขึ้นไปอีกขั้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเรียกใช้ฟังก์ชัน M Sport Boost ได้จากแป้นเปลี่ยนเกียร์บริเวณพวงมาลัย เพื่อเพิ่มแรงบิดสูงสุดให้สูงขึ้นไปอีกสำหรับการออกตัวที่ปราดเปรียวอย่างเหนือชั้น ส่วนช่วงล่างแบบ Adaptive M ก็สามารถปรับตัวรับแรงกระแทกที่แตกต่างกันตามความถี่การสั่นสะเทือนของตัวรถ จึงช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยู 220 M Sport Pro ใหม่ ตอบโจทย์ทั้งในด้านความคล่องตัวและความนุ่มสบายขณะขับขี่

บีเอ็มดับเบิลยู 220 Gran Coupé M Sport Pro ใหม่ มีให้เลือกจับจองได้ใน 4 สี ได้แก่ ดำ Black Sapphire Metallic, ขาว Alpine White Solid, เทา Brooklyn Grey Metallic (จับคู่กับเบาะหุ้มวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศ สีแดง Coral Red ตัดดำ) และน้ำเงิน Portimao Blue Metallic (พร้อมเบาะหุ้มวัสดุ Veganza แบบเจาะรูระบายอากาศ สีดำล้วน)

การปรับราคาใหม่สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิบางรุ่น

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประกาศปรับราคารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิรุ่น

ต่างๆ ในกลุ่มคอมแพ็คคลาส โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

รุ่นรถยนต์ราคาใหม่พร้อมแพ็คเกจ
BSI/MSI Standard (บาท)
สิทธิประโยชน์จากแพ็คเกจ BSI/MSI Standard
MINI Countryman S ALL4 – Hightrim2,499,000บริการดูแลบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม.การรับประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทางการบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่เป็นระยะเวลาสูงสุด 5 ปี
บีเอ็มดับเบิลยู X1 sDrive20i M Sport2,399,000

ไทยฮอนด้า เผยโฉม “New Honda CUV e:” รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อคนเมืองยุคใหม่

ไทยฮอนด้า เผยโฉมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า “New Honda CUV e:” เพื่อคนเมืองยุคใหม่ ดีไซน์ล้ำสมัย ขับขี่สบาย ไร้มลพิษ พร้อมให้คนไทยเช่าใช้งานแล้ววันนี้

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดประสบการณ์ใหม่ของการเดินทางในเมือง ด้วย New Honda CUV e: รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด Smart Ride, Future Ready ที่ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์ของคนเมืองยุคดิจิทัลโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะไปทำงาน เที่ยวคาเฟ่ หรือใช้ชีวิตในทุกวัน ก็พร้อมตอบโจทย์ด้วยดีไซน์ทันสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และบริการที่รองรับการใช้งานอย่างครบวงจร

New Honda CUV e: คือตัวแทนของวิถีชีวิตคนเมืองยุคดิจิทัล ทั้งในด้านดีไซน์ สมรรถนะ และการเชื่อมต่ออัจฉริยะ โดยพร้อมให้คนทั่วไปสามารถเช่าใช้งานได้แล้ววันนี้ ในราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 3,500 บาท/เดือน

ขับขี่คุ้มค่า ไร้มลพิษ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100%

New Honda CUV e: ให้การขับขี่ที่นุ่ม เงียบ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีไอเสียและเสียงรบกวน ขับขี่สบายใจได้ในทุกพื้นที่ โดยมาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Honda Mobile Power Pack e: จำนวน 2 ลูก ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล UNR 136 และสำหรับ Honda e: SWAP STATION มีระบบควบคุม BMS ที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิและการจ่ายพลังงานให้เสถียรอีกด้วย ไม่ต้องจ่ายค่าบำรุงรักษา ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมัน สะดวกและคุ้มค่า

สลับแบตไวใน 1 นาที ขับขี่ได้ไกลมากกว่า 70 กิโลเมตรต่อการชาร์จ

New Honda CUV e: รองรับระยะทางการขับขี่ได้มากกว่า 70 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้อย่างสะดวกรวดเร็วภายใน 1 นาที ที่ Honda e: SWAP STATION ซึ่งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ครอบคลุมแล้วกว่า 44 ตู้ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยสามารถค้นหาเส้นทางไปยังสถานีใกล้ที่สุดผ่านแอปพลิเคชัน Honda e: SWAP STATION ได้ทันที

ไปไหนก็สนุก ดีไซน์ล้ำสมัย ขับขี่ง่าย พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ

New Honda CUV e: ออกแบบมาให้ขับขี่ง่าย เหมาะกับการใช้งานในเมือง มาพร้อมไฟหน้า-ท้ายแบบ LED โดดเด่น นวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของยานยนต์ไฟฟ้าและหน้าจอแสดงผล TFT ขนาด 5 นิ้ว (รุ่น Standard) และ 7 นิ้ว (รุ่น Connectivity) ที่รองรับโหมดกลางวัน-กลางคืน หรือปรับอัตโนมัติ อีกทั้งรองรับการเชื่อมต่อผ่านระบบอัจฉริยะ Honda RoadSync Duo (เฉพาะรุ่น Connectivity) ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนกับตัวรถผ่าน Bluetooth และ Wi-Fi เพื่อใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ บนหน้าจอ TFT ได้ เช่น การนำทาง รับสายเข้า-ออก ฟังเพลง การแจ้งเตือน และค้นหาสถานีแบตเตอรี่ใกล้ตัว

ขับขี่ได้หลายโหมด ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่

New Honda CUV e: มีโหมดขับขี่ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ ECON, Normal และ Sport ยังมาพร้อม ระบบ Reverse Assist สำหรับช่วยถอยหลังในพื้นที่จำกัด และขับขี่มั่นใจด้วยระบบช่วยกระจายแรงเบรก CBS (Combine Braking System)

New Honda CUV e: มีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Standard และ รุ่น Connectivity มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ (Mat Gunpowder Black Metallic) และ สีขาว (Pearl Jubilee White) ราคาเช่าเริ่มต้น 3,500 บาท/เดือน โดย New Honda CUV e: พร้อมให้คนไทยสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ได้จริงแล้ววันนี้ ลงทะเบียนเช่าใช้งานและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/4hvNzqD

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Honda e:Swap Thailand สำหรับค้นหาสถานี e:SWAP

iOS: https://bitly.cx/8ptzI

Android: https://bitly.cx/2TEt

#CUVe #SmartRideFutureReady #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #มอเตอร์ไซค์ฮอนด้า #HondaMotorcycle #ThaiHonda #ไทยฮอนด้า #HowWeMoveYou

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save