- Advertisement -
30.3 C
Bangkok
Home Blog Page 7

ยามาฮ่า ฉลองครบรอบ 70 ปี ประกาศความยิ่งใหญ่กลางงาน Japan Mobility Show 2025

ยามาฮ่า ฉลองครบรอบ 70 ปี ความยิ่งใหญ่ ประกาศเข้าร่วม Japan Mobility Show 2025 อวดโฉม 16 โมเดลสุดล้ำ ภายใต้คอนเซปต์ Feel the Future of Human-Machine Mobility

บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ฉลองครบรอบ 70 ปี อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการยกทัพยานยนต์สุดล้ำเข้าร่วมโชว์นวัตกรรมและเทคโนโลยีในงาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Automobile Manufacturers Association, Inc.) ณ Tokyo Big Sight ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้ธีม “Feel. Move.” สัมผัส ทุกการเคลื่อนไหว นำพาหัวใจให้ตอบสนอง ช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้น ประกายแห่งแรงบันดาลใจเหล่านี้ — นำพาความสุขมาสู่ชีวิต และส่องแสงสว่างให้กับวันที่จมอยู่กับกิจวัตรประจำวัน

โดยบูธ “Feel. Move.” ของ ยามาฮ่า มอเตอร์ ตั้งอยู่ใน East Hall 5 และถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “สัมผัสอนาคตของการเดินทางระหว่างมนุษย์ และเครื่องจักร (Feel the Future of Human-Machine Mobility) โดยมีการจัดแสดงโมเดล 16 สุดล้ำของนวัตกรรมยานยนต์ พร้อมทั้งอวดโฉม 6 โมเดลครั้งแรกของโลก ด้วยรถยานยนต์ต้นแบบสุดล้ำ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและระบบไฮบริด, จักรยานไฟฟ้า (eBikes), และโมเดลแนวคิดสำหรับรถเข็นไฟฟ้าได้แก่ MOTOROiD:Λ (โมโตรอยด์ แลมบ์ดา) รถจักรยานยนต์ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองแบบอัตโนมัติ, TRICERA proto ยานยนต์ 3 ล้อต้นแบบ ที่ใช้ระบบเลี้ยวได้ทั้ง 3 ล้อ, PROTO BEV มอเตอร์ไซค์ EV SuperSport, H2 Buddy Porter Concept เครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่ร่วมกันพัฒนากับโตโยต้าเพื่อพลังงานที่สะอาด, Y-00B จักรยานไฟฟ้าที่เรียบหรูและทันสมัย และ e-Axle for Automotive Drive Unit ชุดขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าที่ใช้โครงสร้างแบบผสานรวมกับมอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ และชุดเกียร์เข้าด้วยกัน

นอกจากนี้ บริษัท ยามาฮ่า คอร์ปอเรชั่น ยังให้ความร่วมมือโดยมี ฮัตสึเนะ มิกุ ผู้มีชื่อเสียงจาก VOCALOID มาเป็นผู้ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์บูธ พร้อมทั้งจัดแสดงเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ และทำการแสดงด้วยเครื่องดนตรีเหล่านั้น รวมถึงนำเสนอการแสดงบนเวทีที่เต็มไปด้วยพลังโดยใช้เทคโนโลยีอะคูสติก 3 มิติของยามาฮ่าอีกด้วย

WORLD PREMIERE MODELS ทั้ง 6 รุ่น ที่ทำการเปิดตัวในครั้งนี้ได้เแก่ MOTOROiD:Λ (แลมบ์ดา)

MOTOROiD เป็นโครงการที่ยามาฮ่าได้พัฒนาขึ้นมาภายใต้แนวคิด “ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร” โดยได้เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2017 ที่ยามาฮ่าได้เผยโฉม MOTOROiD รุ่นต้นแบบ (Proof of Concept) ที่สามารถยืนทรงตัว และโต้ตอบกับผู้ขี่ได้อย่างอิสระ จากนั้นในปี 2023 MOTOROiD2 ได้พัฒนาไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในการสื่อสาร และตอบสนองซึ่งกันและกันระหว่างผู้ขี่กับตัวรถ เสมือนกับเป็น “คู่หู” ที่เข้าใจกัน และในปี 2025 ยามาฮ่าได้พัฒนา MOTOROiD ขึ้นไปอีกขั้นโดยมีชื่อว่า MOTOROiD:Λ(โมโตรอยด์ แลมบ์ดา) มาพร้อมกับระบบที่สามารถ “เรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเอง” ผ่านเทคโนโลยี Reinforcement Learning ที่รถจะทำการฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง (Virtual Environment) และนำทักษะที่ได้มาใช้จริงด้วยเทคนิค Sim2Real เพื่อให้สามารถตัดสินใจ และตอบสนองได้ด้วยตนเอง

MOTOROiD:Λ(โมโตรอยด์ แลมบ์ดา) จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของวิวัฒนาการ ที่เปิดโอกาสให้ “ยานยนต์สามารถเรียนรู้ไปพร้อมกับผู้ขี่ใช้งาน” ด้วยจุดเด่นของรุ่นนี้คือการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ และคล่องตัว ซึ่งได้จากการเรียนรู้ของระบบ AI รวมถึงโครงสร้างภายนอก (Exoskeleton) ที่เบา และมีความแข็งแรง รองรับการทดลอง และการพัฒนาซ้ำอย่างต่อเนื่องในกระบวนการเรียนรู้ด้วยการผสานโลกของ “การขับเคลื่อน” เข้ากับ “การเรียนรู้ของเครื่องจักร” MOTOROiD:Λ(โมโตรอยด์ แลมบ์ดา) มีเป้าหมายที่จะสร้างนิยามใหม่ให้กับโลกของยานยนต์สองล้อ และปูทางสู่อนาคตแห่งการขับเคลื่อนรูปแบบใหม่อย่างแท้จริง

TRICERA proto (ไทรเซร่า โปรโต)

TRICERA proto คือรถยานยนต์ไฟฟ้าสามล้อแบบเปิดประทุนที่สะท้อนแนวคิด “ความสนุกในการขับขี่” ที่สามารถใช้งานได้จริง มาพร้อมระบบบังคับเลี้ยวสามล้อ (3WS – Three-Wheel Steering System) ที่มอบทั้งสมรรถนะการเข้าโค้งอันเร้าใจ และ “ประสบการณ์การควบคุมแบบใหม่” ที่ทำให้การเรียนรู้วิธีขับขี่กลายเป็นความสนุกในตัวมันเอง ด้วยแรงบันดาลใจจากความรู้สึกตอบสนองที่รวดเร็วและการเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับกับตัวรถในขณะเข้าโค้ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถระบบบังคับเลี้ยวทุกล้อ (All-Wheel Steering), TRICERA proto ได้รับการปรับจูนระบบควบคุมการเลี้ยวให้ตอบโจทย์มุมมองด้าน “Human Research” เพื่อมอบความเพลิดเพลินสูงสุดและสร้างความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับเครื่องยนต์ในระดับใหม่ รถต้นแบบคันนี้ยังติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมเสียง αlive AD sound control ที่ปรับแต่งเสียงของมอเตอร์ไฟฟ้าให้มีมิติและเร้าอารมณ์ยิ่งขึ้น เพิ่มความตื่นเต้นและดึงให้ผู้ขับ “มีส่วนร่วมกับประสบการณ์ขับขี่” อย่างเต็มที่ ในด้านการออกแบบดีไซน์ เน้นที่เส้นโค้งของเฟรมกลาง (Center Frame) ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างสามล้อที่โดดเด่น ขณะที่การตัดกันระหว่าง “พื้นที่ของผู้ขับ” และ “พื้นที่ฟังก์ชันการทำงาน” จะทำให้ความรู้สึกแตกต่างกันช่วยสร้างภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นและล้ำยุคอย่างแท้จริง

PROTO BEV (โปรโต บีอีวี)

PROTO BEV รถต้นแบบที่สามารถใช้งานได้จริงคันนี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “ความสนุกที่มีได้เฉพาะในรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ความจุสูง” เพื่อยกระดับความสนุกในการขับขี่ให้ถึงขีดสุด และได้ประสบการณ์ขับขี่ที่สนุกสูงสุด ของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบรถซูเปอร์สปอร์ต ยามาฮ่าจึงให้ความสำคัญในการดีไซน์ “ความเบา และขนาดที่กะทัดรัด” ส่งผลให้เกิดเป็นรถ EV Supersport ที่ขี่ง่าย คล่องตัว และควบคุมได้อย่างง่ายดายซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยามาฮ่า จากรถเครื่องยนต์สันดาปรุ่นต่างๆ เข้ากับ “ความเรียบลื่น และความแรงเร่งอันทรงพลัง” ของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ตอบสนองคันเร่งได้อย่างเป็นเส้นตรงและแม่นยำ นอกจากนี้ ระบบ Human–Machine Interface (HMI) ยังถูกออกแบบให้ช่วยให้ผู้ขับ “โฟกัสกับการขี่ในสนามได้อย่างเต็มที่” ด้วยปุ่มควบคุมที่จัดวางให้อยู่ในตำแหน่งใช้งานสะดวกที่ปลายนิ้ว พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ Visualizer และระบบเสียงที่สื่อสารสถานะของรถทั้งในรูปแบบภาพและเสียง

PROTO BEV จึงเป็นการผสานเทคโนโลยีไฟฟ้าเข้ากับจิตวิญญาณแห่งความเร้าใจของยามาฮ่า เพื่อสร้างนิยามใหม่ของ “ความสนุกในการขับขี่” ในยุคแห่ง EV อย่างแท้จริง

H2 Buddy Porter Concept (เอชทู บัดดี้พอร์ตเตอร์)

เครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง Yamaha Motor และ Toyota Motor Corporation ได้ร่วมกันสร้าง “ถังเก็บไฮโดรเจนแรงดันสูงแบบใหม่” ที่มีขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับรถจักรยานยนต์ และสกู๊ตเตอร์ และได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการมุ่งสู่ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)” โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้รถจักรยานยนต์เครื่องยนต์ไฮโดรเจนสามารถใช้งานบนถนนสาธารณะได้ในอนาคต โดยยามาฮ่ารับหน้าที่หลักในการพัฒนาเครื่องยนต์ไฮโดรเจน โครงสร้างตัวถัง และชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ซึ่งทำให้เมื่อเติมเชื้อเพลิงเต็มถังแล้ว H2 Buddy Porter Concept จะสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรต่อการเติมเชื้อเพลิงเต็มถังหนึ่งครั้ง ต้นแบบคันนี้ยังได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึง “ข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับการใช้งานบนถนนจริง” ตามมาตรฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน และผ่านการรับรองมาตรฐานมลพิษ Euro 5 รวมถึงข้อกำหนดด้าน NOx อย่างครบถ้วน

Y-00B:Base / Y-00B:Bricolage 

Y-00B:Base (วายศูนย์ศูนย์บี เบส) คือคอนเซ็ปต์ eBike รูปแบบใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อให้เจ้าของสามารถ “แสดงตัวตนได้อย่างอิสระ” ดีไซน์เฟรมแบบ Dual Twin ที่บางเบา และมินิมอล ผสานแบตเตอรี่และชุดขับเคลื่อนขนาดกะทัดรัดไว้อย่างกลมกลืน ให้ภาพลักษณ์ที่เรียบหรูและทันสมัย

ด้วยโครงสร้างที่ “ยืดหยุ่นต่อการปรับแต่ง” และ “ขยายศักยภาพได้ในอนาคต” ทำให้ Y-00B:Base เติบโตไปพร้อมกับเจ้าของ สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และรสนิยมของแต่ละคนได้อย่างอิสระ กลายเป็น “คู่หู” ที่เชื่อถือได้ในทุกเส้นทาง นอกจากนี้ ยังมาพร้อม USB-PD Converter สำหรับชาร์จอุปกรณ์ได้ทุกที่ระหว่างการเดินทาง และแบตเตอรี่ทรงเพรียวที่ช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้น

Y-00B:Bricolage (วายศูนย์ศูนย์บี บริโคลาจ) คือเวอร์ชันคัสตอมสุดพิเศษของ Y-00B:Base ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 70 ปีของ Yamaha Motor โดยได้รับแรงบันดาลใจจากผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์รุ่นแรกของยามาฮ่าอย่าง YA-1 (ปี 1955) ผสานสุนทรียศาสตร์การออกแบบ ให้เข้ากับ เทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างลงตัว สร้างสรรค์รูปลักษณ์ และสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริง

e-Axle for Automotive Drive Unit (อีแอคเซิล ออโตโมทีฟไดร์ฟ)

ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า (Electric Drive Unit) ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในอนาคต ด้วยโครงสร้างแบบพิเศษ 3-in-1 ที่ผสานมอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ และระบบเกียร์เข้าไว้ในชุดเดียวกัน ทำให้สามารถให้กำลังขับที่สูง ในขณะที่ตัวของเครื่องยนต์มีน้ำหนักเบา และมีขนาดที่กะทัดรัด โดยระบบ e-Axle นี้ออกแบบให้รองรับการใช้งานได้กับรถยนต์หลายประเภท โดยสามารถทำงานกับแรงดันไฟตั้งแต่ 350V ถึง 800V และให้กำลังขับได้สูงสุดถึง 450 kW

เทคโนโลยีนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของยามาฮ่าในการพัฒนานวัตกรรมด้านการขับเคลื่อน เพื่อรองรับโลกยานยนต์ยุคไฟฟ้าในอนาคตอย่างแท้จริง

PROTO HEV (โปรโต เอชอีวี)

รถต้นแบบไฮบริด Series–Parallel Hybrid (SPHEV) ที่มอบประสบการณ์ “ความสนุกในการขับขี่” ที่แตกต่าง ด้วยความสามารถในการสลับระหว่างโหมดการขับขี่เป็นสองรูปแบบอย่างอิสระได้แก่ “Serene” และ “Spirited” ด้วยการใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผสานโหมดการขับขี่ที่หลายกหลายได้อย่างลงตัว ให้ความเงียบ และนุ่มนวลในการขับขี่ในเมือง พร้อมมอบสมรรถนะที่ทรงพลังและมั่นใจในขณะขับขี่นอกเมือง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระบบ power and energy management technology ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า 35%* เมื่อเทียบกับรถจักรยานยนต์ในระดับเดียวกัน อ้างอิงจากการทดสอบภายในองค์กร ภายใต้โหมด WMTC2-2

PROTO PHEV (โปรโต พีเอชอีวี)

รถต้นแบบเพื่อการวิจัย และพัฒนา (R&D) ที่ผสานรวมกับเสน่ห์ของเครื่องยนต์สันดาปภายในให้เข้ากับเทคโนโลยีไฟฟ้า (EV) เพื่อขยายขอบเขตแห่งความสนุกในการขับขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ ให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยความสามารถในการสลับการทำงานระหว่าง เครื่องยนต์ (Engine Mode) และระบบไฟฟ้า (Electric Drive Mode) ผู้ขี่สามารถเลือกใช้งานได้ทั้งแบบ EV เต็มรูปแบบ หรือ Hybrid Mode ได้ตามสถานการณ์ PROTO PHEV ยังคงรักษาด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีเยี่ยม ควบคู่ไปกับ “ความสนุกในการขับขี่สไตล์สปอร์ต” ที่เป็นเอกลักษณ์ของยามาฮ่า เชื่อมโยงศักยภาพของเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับอนาคตแห่งการขับเคลื่อนอย่างกลมกลืน

NACTUS VS TRE-X

NACTUS VS TRE-X คือต้นแบบรถวีลแชร์สามล้อที่ ร่วมมือกับ Nissin Medical Industries มาพร้อมกับชุดขับเคลื่อนแบบเสริมกำลังด้วยไฟฟ้ารุ่น JWX-2 Electric Power-Assist Unit ที่ออกแบบมาเพื่อมอบ “อิสระในการเคลื่อนไหว” รูปแบบใหม่ ด้วยยางขนาดใหญ่ 26 นิ้วแบบ Mountain Bike Off-Road ที่โดดเด่นด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ให้ความเสถียรอันเป็นเอกลักษณ์ของรถวีลแชร์สามล้อ ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายแม้บนเส้นทางขรุขระและเส้นทางที่ไม่ได้ลาดยางที่รถวีลแชรทั่วไปมักจะประสบปัญหา นอกจากโครงสร้างที่จัดวางคานกลางที่ผสมผสานความแข็งแกร่งเข้ากับความสง่างามแล้ว NACTUS VS TRE-X ยังมาพร้อมคุณสมบัติที่ใช้งานได้จริงมากมาย เช่น แร็คสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ใส่สัมภาระด้านหน้า กล่องใส่แบตเตอรี่กันน้ำ และที่วางเท้าที่กว้างขวาง

ONE-MAX Urban / Historical

รถเข็นไฟฟ้าทั้งสองรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อความสมบูรณ์แบบในการเดินทาง และมีเอกลักษณ์” โดยติดตั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า JWG-1 Wheelchair Electric Power Unit ที่ให้ทั้งความคล่องตัวและความมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วยระบบยึดติด (Attachment System) ที่ยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปลักษณ์และฟังก์ชันของรถเข็นให้เหมาะกับจุดหมายปลายทางหรือสไตล์การใช้งานของตนเองได้อย่างอิสระ

ONE-MAX Urban เหมาะสำหรับการเดินทางระยะใกล้ ด้วยโครงสร้างขนาดกะทัดรัด และเบาะนั่งแบบตาข่ายที่ช่วยลดความเมื่อยล้าของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีกล่องเก็บของขนาดเล็กและอุปกรณ์เสริมสำหรับติดตั้งสมาร์ทโฟน ส่วนรุ่น ONE-MAX Historical เป็นรุ่นทางเลือกที่โดดเด่นด้วยดีไซน์หรูหรา ให้ความรู้สึกเหมือน “กระเป๋าเดินทางที่สรรสร้างขึ้นอย่างประณีต” ตัวถังช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างมั่นคงและราบรื่น การข้ามทางม้าลาย รวมถึงการเดินทางบนถนนฟุตบาทที่ปูด้วยหินหรือคอนกรีตตัวหนอน ในขณะที่เบาะนั่งหุ้มหนังและรายละเอียดอื่นๆ แสดงให้เห็นความประณีตในทุกมิติ

ตัวถังถูกออกแบบให้มั่นคงบนพื้นผิวไม่เรียบ เช่น พื้นศาลเจ้า วัด หรือถนนหินโบราณ ขณะที่เบาะหนังเทียมและรายละเอียดงานออกแบบเผยให้เห็นความประณีตในทุกมิติ

โดย ONE-MAX Urban และ ONE-MAX Historical  เป็นความร่วมมือระหว่างยามาฮ่าและ Matsunaga Manufactory Co., Ltd.

พร้อมกันนี้ภายในบูธ “Feel. Move.” ยังมีพื้นที่ที่ ยามาฮ่ามอเตอร์ ได้ร่วมมือกับทาง ยามาฮ่า คอปเปอร์เรชั่น ร่วมกันจัดแสดงด้วย Sound xR เป็นโซลูชั่นที่จะให้ความดื่มด่ำไปกับการสร้างสภาพแวดล้อมทางเสียงที่สมจริง และดึงดูดใจอย่างลึกซึ้ง ทั้งในพื้นที่จริงและพื้นที่เสมือนจริง เพื่อปรับแต่งเสียงก้อง (reverberation) ของพื้นที่ และใช้ AFC Image เพื่อควบคุมการกำหนดตำแหน่งภาพเสียง (sound image localization) ได้อย่างอิสระ ระบบทั้งสองนี้ทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของการผลิตเสียงที่ซับซ้อนในการใช้งานที่หลากหลาย เช่น ละครเวที, โอเปร่า และคอนเสิร์ต รวมถึงมอบประสบการณ์การฟังที่สมจริง และนำอุปกรณ์ทางดนตรีมาร่วมจัดแสดงได้แก่

FGDP-30 / FGDP-50

drum pads ที่สามารถเล่นด้วยนิ้วมือ ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเพลิดเพลินไปกับการตีกลองที่ให้ความรู้สึกเสมือนจริงได้อย่างง่ายดาย โดยใช้เพียงแค่นิ้วสร้างจังหวะ เพื่อประสบการณ์การตีกลองด้วยนิ้วที่ง่าย และสนุก

N3X AvantGrand เปียโนไฮบริด เรือธงของยามาฮ่า ที่ให้ความรู้สึกในการเล่นเหมือนกับการเล่นแกรนด์เปียโน แต่มาพร้อมความสะดวกสบายที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมกับกลไกคีย์นำเสนอเสียงแกรนด์เปียโนระดับโลกถึงสองรุ่นไว้ในเครื่องเดียวให้ผู้ที่เล่นได้เพลิดเพลินกับเสียงของแกรนด์เปียนโน ระดับโลกของ YAMAHA คือรุ่น CFX และ Bösendorfer Imperial ที่มีชื่อเสียงด้านโทนเสียงที่ทุ้มลึก และอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์จากกรุงเวียนนา

DTX10K-X BLACK FOREST กลองชุดไฟฟ้าที่ผสานฟังก์ชันการทำงานของกลองชุดอะคูสติก (กลองจริง) เข้ากับความสวยงาม อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับมือกลอง กลองชุด DTX ไม่เพียงแต่ทำให้การฝึกซ้อมที่บ้านเป็นเรื่องสนุกเ แต่ยังเหมาะสำหรับการใช้งานในสตูดิโอบันทึกเสียงหรือบนเวทีอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงรถที่ผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อย่าง YAMAHA

TRACER9 GT+ Y-AMT รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตทัวร์ริ่งระดับท็อปที่ล้ำสมัยที่สุดของยามาฮ่าในตระกูล Tracer ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีของเกียร์ที่มีกลไกการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว และตอบสนองได้อย่างฉับไว มอบการขับขี่ที่นุ่มนวล สบาย และสปอร์ตในหลากหลายสถานการณ์ ตั้งแต่การขับขี่ในชีวิตประจำวัน การเดินทางไกล ไปจนถึงการขับขี่แบบสปอร์ตเร้าใจ

YAMAHA FAZZIO HYBRID รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์ 125 ซีซี ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน โดยยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด จะเป็นโมเดลที่เตรียมวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในเวลาอันใกล้นี้อีกด้วย

YAMAHA YZF-R1 รถแข่งในศึกการแข่งขัน Coca-Cola Suzuka 8 Hours Endurance 2025 ที่มีนักแข่งระดับโลกนำโดย แจ็ค มิลเลอร์ นักแข่งชาวออสเตเรีย จากพรีม่าพรามัค โมโตจีพี อันเดรีย โลคาเตลลี่ นักแข่งจากการแข่งขันเวิร์ด ซูเปอร์ไบค์ และนักแข่งจอมเก๋าชาวญี่ปุ่น คัสซึยูกิ นากาซึกะ ร่วมลงทำการแข่งขันในรายการที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น

YAMAHA TY-E 3.0 รถจักรยานยนต์ Trial พลังงานไฟฟ้าที่ยามาฮ่าได้พัฒนา และลงทำการแข่งขันในระดับโลก ในรายการ “FIM Trial-E Cup” ที่ประเทศฝรั่งเศส และรายการ “Comblain au Pont” ประเทศเบลเยี่ยม และยังสามารถคว้าแชมป์ได้ที่ประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย 

และทั้งหมดนี้ก็คือ กองทัพเทคโนโลยียานยนต์สุดล้ำเข้าของยามาฮ่าที่เข้าร่วมโชว์ตัวในงาน Japan Mobility Show 2025 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของยามาฮ่าในงาน Japan Mobility Show 2025 ได้ที่ Facebook : YAMAHA Society Thailand

ฮอนด้า เผยโฉม Super-ONE รถยนต์ Compact EV เป็นครั้งแรกในโลก

ฮอนด้า เผยโฉม Super-ONE รถยนต์ Compact EV ต้นแบบ เป็นครั้งแรกในโลก ณ งาน Japan Mobility Show 2025 พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ EV รูปแบบใหม่ ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เร้าใจและพร้อมเติมเต็มความรู้สึกของผู้คนในทุกวัน

(กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น – 29 ตุลาคม 2568) : บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เผยโฉม Super-ONE รถยนต์ Compact EV ต้นแบบ เป็นครั้งแรกในโลก ในงาน Japan Mobility Show 2025 โดยจะจัดแสดง ณ บูทฮอนด้า ตลอดระยะเวลาการจัดงาน (รอบสื่อมวลชน วันที่ 29 – 30 ตุลาคม 2568 และรอบบุคคลทั่วไป วันที่ 31 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน 2568)

                                Super-ONE Prototype

รถยนต์ Compact EV ต้นแบบ Super-ONE ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด “e: Dash BOOSTER” โดยสร้างสรรค์ให้เป็นรถไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับการเดินทางในชีวิตประจำวัน ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนาน น่าตื่นเต้น มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความสุขภายในห้องโดยสารและการขับขี่ โดยชื่อ Super-ONE สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของฮอนด้าที่จะสร้างยนตรกรรมที่ก้าวข้ามขีดจำกัดและมาตรฐานแบบเดิมๆ (“super”) พร้อมส่งมอบคุณค่าอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะจากฮอนด้า (“one and only”) ให้กับลูกค้า

นอกจากสมรรถนะด้านสิ่งแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม และความสะดวกในการใช้งานในชีวิตประจำวัน Super-ONE รถยนต์ Compact EV ต้นแบบ ยังมุ่งเน้นการส่งมอบประสบการณ์ “ความสนุกในการขับขี่” (fun of driving) อันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า โดยยังมาพร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 เพื่อมอบ “ความสนุกในการขับขี่” (joy of driving) ให้ความรู้สึกสปอร์ตที่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดจะสามารถทำได้ ทำให้รถยนต์ต้นแบบ Super-ONE สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้นและเร้าใจให้แก่ผู้ใช้อย่างแท้จริง

Super-ONE รถยนต์ Compact EV ต้นแบบ มาพร้อมแพลตฟอร์มน้ำหนักเบาที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรถในกลุ่ม N Series มอบการขับขี่ที่คล่องตัวและสปอร์ตอย่างแท้จริง อีกทั้ง ช่วงล่างที่กว้างและระยะฐานล้อที่ขยายออกไป มาพร้อมซุ้มล้อโป่งนูน ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับรุ่นนี้ ช่วยให้รถมีเสถียรภาพและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทรงพลัง เร้าใจในทุกเส้นทาง

นอกจากนี้ Boost Mode ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้เครื่องยนต์สามารถมอบสมรรถนะได้อย่างเต็มกำลัง พร้อมผสานการทำงานกับระบบจำลองเกียร์ 7 สปีด และระบบ Active Sound Control เพื่อสร้างเสียงเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและความรู้สึกในการเปลี่ยนเกียร์ที่เฉียบคม เสมือนกำลังขับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่มีระบบเกียร์หลายจังหวะแบบดั้งเดิม

ทั้งนี้ การขับขี่ใน Boost Mode จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสของผู้ขับขี่ ทั้งการมองเห็น การได้ยิน รวมถึงความรู้สึกด้านสัมผัสจากการเร่งความเร็วและการสั่นสะเทือน เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ตื่นเต้น เร้าใจในรูปแบบใหม่

Super-ONE รถยนต์ Compact EV ต้นแบบ ได้ผ่านการทดสอบบนพื้นผิวถนนที่หลากหลายอย่างครอบคลุม ภายใต้สภาพอากาศที่แตกต่างกัน ทั้งในประเทศญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และประเทศอื่นๆ ทั่วทวีปเอเชีย เพื่อพัฒนาสมรรถนะการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น โดยในเดือนกรกฎาคม 2568 รถยนต์ต้นแบบ Super EV Concept ซึ่งเป็นโมเดลแนวคิดต้นกำเนิดของรถยนต์ต้นแบบ Super-ONE  ได้ถูกนำไปจัดแสดงและร่วมการขับขี่เชิงไดนามิกบนสนามแข่งไต่เขาอันโด่งดังในงาน Goodwood Festival of Speed 2025 ณ เวสต์ซัสเซกซ์ สหราชอาณาจักร ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง Super EV Concept ได้แสดงให้โลกได้เห็นถึงมิติใหม่ของ “ความสนุกในการขับขี่” ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ไฟฟ้าฮอนด้า

ฮอนด้ามีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นผลิตจริง ที่พัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ต้นแบบ Super-ONE ในประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป ตามด้วยภูมิภาคอื่นๆ ที่มีความต้องการต่อรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัด เช่น สหราชอาณาจักร และประเทศต่างๆ ในเอเชีย*

*รถรุ่นผลิตจริง จะเปิดตัวภายใต้ชื่อที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค โดยในประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย จะใช้ชื่อว่า ‘Super-ONE’ ขณะที่บางประเทศในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย จะใช้ชื่อว่า ‘Honda Super-ONE’ และในสหราชอาณาจักรจะเปิดตัวภายใต้ชื่อ ‘Super-N’

ดีไซน์ภายนอก

การออกแบบภายนอก ได้รับการออกแบบมาเพื่อถ่ายทอดอารมณ์และให้ทุกคนได้สัมผัสความตื่นเต้นและประสบการณ์การขับขี่ที่แท้จริง ด้วยซุ้มล้อแบบลิสเตอร์ที่โดดเด่นโอบล้อขนาดใหญ่ไว้อย่างลงตัว ส่งผลให้ตัวรถมีลักษณะเตี้ยและกว้าง สื่อถึงความเร้าใจในการขับขี่อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ได้มีการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์โดยเฉพาะสำหรับรุ่นนี้ มาพร้อมช่องระบายอากาศด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของอากาศ และระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดีไซน์ภายนอกนับเป็นการผสมผสานระหว่างฟังก์ชันที่รองรับสมรรถนะการขับขี่ระดับสูงให้เข้ากับความงามที่มาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งานที่ลงตัว สะท้อนถึงประสบการณ์การขับขี่ที่รถคันนี้พร้อมมอบให้

ดีไซน์ภายใน

ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นความรู้สึกตื่นเต้นและประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยม พร้อมทั้งช่วยให้ผู้ขับสามารถดื่มด่ำกับทุกช่วงเวลาของการขับขี่ได้อย่างเต็มที่

เบาะนั่งสไตล์สปอร์ตได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ โดยจะโอบกระชับลำตัวของผู้ขับขี่อย่างมั่นคง เพื่อให้ได้ตำแหน่งและท่าทางการขับขี่ที่นิ่งและมั่นใจได้ตลอดการขับขี่ ทั้งนี้ การเลือกวัสดุพื้นผิวสีฟ้าและออกในลักษณะ Asymmetric Layout ยังช่วยเพิ่มลูกเล่นที่สนุกสนานให้ห้องโดยสารอย่างมีสไตล์ รวมถึงการออกแบบแผงหน้าปัดในแนวระนาบ ยังช่วยลดสิ่งรบกวนสายตา มอบทัศนวิสัยที่ชัดเจน ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิมากยิ่งขึ้น

Boost Mode – โหมดขับขี่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ

Super-ONE รถยนต์ Compact EV ต้นแบบ มาพร้อมกับโหมดการขับขี่ “Boost Mode” ซึ่งพัฒนาขึ้นพิเศษโดยเฉพาะสำหรับรุ่นนี้ เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้ตื่นเต้น เร้าใจยิ่งขึ้น โดย Boost Mode จะช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้เครื่องยนต์สามารถปลดปล่อยสมรรถนะได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้อัตราเร่งที่ทรงพลังและเฉียบคม

ระบบจะผสานการทำงานระบบเกียร์จำลองแบบ 7 สปีด ซึ่งจะถ่ายทอดความรู้สึกในการเปลี่ยนเกียร์เสมือนรถยนต์ที่ใช้ระบบเกียร์หลายจังหวะแบบดั้งเดิม เข้ากับระบบ Active Sound Control ที่สร้างเสียงเครื่องยนต์เสมือนจริงภายในห้องโดยสารตามการเหยียบคันเร่งและเบรก มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจราวกับอยู่หลังพวงมาลัยของรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป แต่ยังคงความโดดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าไว้ด้วย

นอกจากนี้ Boost Mode ยังมีการตั้งค่าพิเศษสำหรับฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น มาตรวัดแบบสามช่อง และการปรับเปลี่ยนโทนแสงภายในห้องโดยสาร ทั้งหมดนี้ทำให้รถยนต์ต้นแบบ Super-ONE สามารถกระตุ้นความรู้สึกของผู้ขับขี่ได้ครบทุกประสาทสัมผัส ทั้งการมองเห็น การได้ยิน รวมถึงความรู้สึกด้านสัมผัสจากการเร่งความเร็วและการสั่นสะเทือน เพื่อมอบ “ความสนุกในการขับขี่” สู่ยุคแห่งการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

มาสด้า เผยโฉมยนตรกรรมต้นแบบ Vision Models 2 รุ่น ครั้งแรกของโลก มุ่งสู่อนาคตปี 2035

มาสด้า เผยโฉมยนตรกรรมต้นแบบ Vision Models 2 รุ่น ครั้งแรกของโลก ในงาน Japan Mobility Show 2025 ตอบโจทย์แนวคิด “The Joy of Driving Fuels a Sustainable Tomorrow” มุ่งสู่อนาคตปี 2035

ฮิโรชิม่า – ประเทศญี่ปุ่น, 29 ตุลาคม 2568 – มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น เผยโฉมยนตรกรรมยานยนต์ต้นแบบ Vision Model 2 รุ่น ได้แก่ MAZDA VISION X-COUPE (มาสด้า วิชั่น ครอส-คูเป้) และ MAZDA VISION X-COMPACT (มาสด้า วิชั่น ครอส-คอมแพ็ก) ในการแถลงข่าวรอบสื่อมวลชนในงาน Japan Mobility Show 2025*1 ซึ่งยานยนต์ต้นแบบทั้งสองรุ่นได้รับการถ่ายทอดแนวคิด “The Joy of Driving Fuels a Sustainable Tomorrow” เพื่อมุ่งสู่อนาคตปี 2035 และสอดคล้องกับธีมของการจัดแสดงรถยนต์มาสด้าในปีนี้

คอนเซ็ปต์คาร์ MAZDA VISION X-COUPE (มาสด้า วิชั่น ครอส-คูเป้) คือยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ ที่ถ่ายทอดแนวทางการออกแบบตามแนวคิด KODO-Soul of Motion ที่ได้รับการยกระดับขึ้นไปอีกขั้น โดยมาพร้อมระบบ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ผสานกับเครื่องยนต์โรตารี่เทอร์โบแบบ 2 โรเตอร์ เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ รถยนต์รุ่นนี้ให้พละกำลังสูงสุด 510 แรงม้า (PS) และมีระยะทางการขับขี่ที่ 160 กิโลเมตร เมื่อขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ จะทำให้รถรุ่นนี้มีระยะทางการขับขี่ได้ไกลสูงสุดถึง 800 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผสานกับพลังงานเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนที่ได้จากสาหร่ายขนาดเล็ก (Microalgae) และ เทคโนโลยีการดักจับ CO2 ของมาสด้าในชั้นบรรยากาศ ที่เรียกว่า “Mazda Mobile Carbon Capture” จะทำให้ยิ่งขับมากขึ้น จะยิ่งเป็นการช่วยลดปริมาณ CO2 ในชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย

MAZDA VISION X-COUPE (มาสด้า วิชั่น ครอส-คูเป้)

อีกหนึ่งรุ่น คือรถต้นแบบ MAZDA VISION X-COMPACT (มาสด้า วิชั่น ครอส-คอมแพ็ก) เป็นยนตรกรรมที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อยกระดับความรู้สึกเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันยิ่งขึ้นระหว่างคนกับรถ ด้วยการผสมผสานระหว่างโมเดลดิจิทัลที่จำลองระบบการรับรู้ของมนุษย์ กับ AI เข้าไว้ด้วยกัน เปรียบเสมือนเป็นเพื่อนที่รู้ใจ สามารถสื่อสารกับผู้ขับขี่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยังช่วยแนะนำเส้นทางให้กับผู้ขับขี่ สิ่งเหล่านี้ แสดงถึงความมุ่งพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะแห่งโลกอนาคตของมาสด้า ที่รถยนต์และผู้ขับขี่สอดประสานเชื่อมโยงกันทางด้านอารมณ์ความรู้สึก เสมือนกับความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและจริงใจ

MAZDA VISION X-COMPACT (มาสด้า วิชั่น ครอส-คอมแพ็ก)

ยิ่งไปกว่านั้น มาสด้ายังได้นำยนตรกรรม ALL-NEW MAZDA CX-5 (รุ่นสเปกยุโรป)*2 มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน โดยมาพร้อมห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด โคโดะ ดีไซน์ และปรัชญาการขับขี่ จินบะ-อิไต (ความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ) เอกลักษณ์ด้านสมรรถนะการขับขี่ของมาสด้าที่ได้รับการยกระดับไปอีกขั้น โดยรถยนต์รุ่นนี้แสดงออกถึงวิวัฒนาการของรถยนต์ที่ขายดีที่สุดกว่า 4.5 ล้านคัน*3 ทั่วโลก ในแต่ละภูมิภาค กว่า 100 ประเทศ รถรุ่นใหม่ล่าสุดที่นำมาจัดแสดงนี้ได้รับการออกแบบด้วย MAZDA E/E ARCHITECTURE+ ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้าแบบใหม่ และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Architecture) เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น

มร.มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ธีม “The Joy of Driving Fuels a Sustainable Tomorrow” ไม่ได้ถ่ายทอดเพียงแค่สปริตของมาสด้าเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการมุ่งสู่อนาคต เพราะมาสด้าเชื่อว่า ความสุขในการขับขี่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสังคมและโลกของเรา เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอันเป็นพันธกิจที่เรามีร่วมกัน มาสด้าจะยังคงตอบสนองต่อความปรารถนาของผู้คนที่รักในรถยนต์ และชื่นชอบในการขับขี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

มาสด้าจะยังคงส่งมอบ “ความสุขในการขับขี่” ผ่านคุณค่าหลักของเราในการให้ความสำคัญกับ “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” เพื่อส่งมอบ “ความสุขในการใช้ชีวิต” ด้วยประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำให้กับชีวิตประจำวันของลูกค้ามาสด้าทุกคน

ข้อมูลเกี่ยวกับ MAZDA VISION X-COUPE และ MAZDA VISION X-COMPACT

รุ่นMAZDA VISION X-COUPEMAZDA VISION X-COMPACT
ความยาว5,050 มิลลิเมตร3,825 มิลลิเมตร
ความกว้าง1,995 มิลลิเมตร1,795 มิลลิเมตร
ความสูง1,480 มิลลิเมตร1,470 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ3,080 มิลลิเมตร2,515 มิลลิเมตร

*1 จัดขึ้นโดยสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ญี่ปุ่น (Japan Automobile Manufacturers Association, Inc.)

รอบสื่อมวลชน : วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568 เวลา 08:00 – 18:00 น. และวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2568 เวลา 08:00-13:00 น.

รอบประชาชนทั่วไป วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2568 – วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2568

*2 ข้อมูลเกี่ยวกับ ALL-NEW MAZDA CX-5 สามารถดูได้ที่

https://newsroom.mazda.com/en/publicity/release/2025/202507/250710a.html

*3 รถยนต์มาสด้ารุ่นที่ขายดีที่สุด ระหว่างปี 2018 – 2024

มิตซูบิชิ จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ลูกค้า

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และ มิตซูไทยยนต์กลการ จัดกิจกรรม “มิตซูบิชิ Xperience Day” ตอกย้ำความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ และบริการหลังการขาย พร้อมใส่ใจรับฟังเสียงของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

{“ARInfo”:{“IsUseAR”:false},”Version”:”1.0.0″,”MakeupInfo”:{“IsUseMakeup”:false},”FaceliftInfo”:{“IsChangeEyeLift”:false,”IsChangeFacelift”:false,”IsChangePostureLift”:false,”IsChangeNose”:false,”IsChangeFaceChin”:false,”IsChangeMouth”:false,”IsChangeThinFace”:false},”BeautyInfo”:{“SwitchMedicatedAcne”:false,”IsAIBeauty”:false,”IsBrightEyes”:false,”IsSharpen”:false,”IsOldBeauty”:false,”IsReduceBlackEyes”:false},”HandlerInfo”:{“AppName”:2},”FilterInfo”:{“IsUseFilter”:false}}

กรุงเทพฯ – 28 ตุลาคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย มิตซูไทยยนต์กลการ จังหวัดพัทลุง จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “มิตซูบิชิ  Xperience Day” ชวนลูกค้าสัมผัสประสบการณ์อีกขั้นของการเป็นเจ้าของรถยนต์ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ผ่านกิจกรรมหลากหลาย ทั้งด้านเทคนิคการขับขี่ การบริการหลังการขาย และเวิร์กชอปฝึกการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเบื้องต้น โดยมีลูกค้าเข้าร่วมกว่า 30 คน พร้อมด้วยผู้บริหารจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ผู้จำหน่าย และช่างผู้เชี่ยวชาญ ที่มาร่วมพูดคุย และให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดในบรรยากาศเป็นกันเอง เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขาย ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์ระหว่างมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ผู้จำหน่าย และลูกค้า ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

มิตซูบิชิ Xperience Day เริ่มต้นด้วยกิจกรรม “Driving Experience” ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เรียนรู้เทคนิคและเคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญของมิตซูบิชิ ลงลึกถึงคุณสมบัติเด่นของ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี อย่างระบบฟูลไฮบริดเจนเนอเรชันใหม่ โหมดการขับขี่ทั้ง 7 รูปแบบ พร้อมสาธิตการเลือกใช้งานโหมดการขับขี่รูปแบบต่างๆ ให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต และสภาพถนนจริงในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการขับบนถนนเปียกลื่น หรือลุยโคลน เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในสมรรถนะการขับขี่ เทคโนโลยี และความปลอดภัยสูงสุดในทุกสภาพเส้นทาง

ต่อด้วยกิจกรรม “Service Experience” ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมพื้นที่ให้บริการในส่วนต่างๆ ของศูนย์บริการอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานการบริการหลังการขาย ภายใต้สโลแกน “เราดูแล…คุณแค่ขับ” ซึ่งมุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ไร้กังวลให้แก่ลูกค้าทุกคนตลอดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมอบความสบายใจ

ให้ลูกค้าอีกขั้น ด้วยการรับประกันคุณภาพรถยนต์ โดยลูกค้าที่ซื้อรถใหม่ และเลือกรับ แพ็กเกจบำรุงรักษา Mitsubishi Service Package สามารถนำรถเข้ารับการบริการเช็กระยะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งครอบคลุมค่าน้ำมันเครื่อง อะไหล่ เคมีภัณฑ์ และค่าแรง นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ตลอด 5 ปี และการรับประกันคุณภาพรถยนต์ นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

นอกจากนี้ ยังมีสิทธิพิเศษโปรแกรม “M-CARE” ที่มอบให้กับลูกค้าที่นำรถเข้ารับบริการเช็กระยะอย่างต่อเนื่องผ่านแนวคิด “ยิ่งเข้าเช็กระยะต่อเนื่อง ยิ่งได้รับสิทธิพิเศษที่มากกว่า” โดยลูกค้าจะได้รับคูปองส่วนลดสูงสุดถึง 15%* เมื่อเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมิตซูบิชิกว่า 191 แห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถรับสิทธิพิเศษดังกล่าวและนัดหมายเข้ารับบริการผ่านแอปพลิเคชัน M-Drive ได้อีกหนึ่งช่องทางด้วยเช่นกัน เพื่อความสะดวกสบาย และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิตอล ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการบริการต่างๆ ได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงาน ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก คือ “Emergency Response Experience” หรือ การเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทีมช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกค้าได้เรียนรู้ ในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้ายามเกิดเหตุฉุกเฉิน อาทิ ยางรั่ว พร้อมทั้งทำความเข้าใจการใช้งานสำหรับการช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน กิจกรรมนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะในการดูแลรถเบื้องต้นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้าง ความมั่นใจและความอุ่นใจในการขับขี่ ให้เจ้าของรถสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที

ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว มิตซูบิชิ Xperience Day ยังเป็นพื้นที่สำคัญในการรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าในฐานะผู้ใช้งานจริง เพื่อสะท้อนประสบการณ์ตรงและมุมมองต่อผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขาย ช่วยให้แบรนด์นำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ไปต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น สะท้อนแนวทาง “การรับฟังลูกค้าอย่างต่อเนื่อง” อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส

คุณสุรางรัตน์ สะระ ลูกค้าเจ้าของรถยนต์ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวแสดงความประทับใจว่า “งานวันนี้บรรยากาศดี ประทับใจมากค่ะ ทีมงานต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง ได้ความรู้เยอะมาก ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและการใช้งานจริงของรถ หลายอย่างไม่เคยรู้มาก่อน แต่พอมาวันนี้เข้าใจขึ้นเยอะเลย ซึ่งที่บ้านใช้รถมิตซูบิชิมาเกือบ 20 ปีแล้ว พอมาวันนี้ก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจในมาตรฐานของแบรนด์มากขึ้น โดยในส่วนของตัวรถนั้น เรียกได้ว่ามีสมรรถนะดี แรง และประหยัดน้ำมัน รวมถึงดีไซน์ก็ทันสมัยมาก ขับแล้วรู้สึกมั่นใจ ปลอดภัย และโฉบเฉี่ยวค่ะ”

คุณทวีศักดิ์ ปัญญาใส อีกหนึ่งลูกค้าเจ้าของรถยนต์ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ที่ใช้งานมาแล้วกว่า 6,700  กิโลเมตร ภายในระยะเวลา 3 เดือน กล่าวถึงประสบการณ์การใช้งานจริงว่า “จริง ๆ ทางบ้านผมใช้รถมิตซูบิชิมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อแล้วครับ เชื่อมั่นในสมรรถนะและความปลอดภัยของแบรนด์อยู่แล้ว ซึ่งพอได้มาใช้รถรุ่นนี้ก็รู้สึกว่าขับสนุก นุ่มนวล ตอบโจทย์ผมในฐานะพ่อบ้านยุคใหม่ครับ และระบบความปลอดภัยต่างๆ ก็ใช้งานได้จริง โดยเฉพาะกล้องมองภาพรอบคันที่ช่วยให้ภรรยาผมขับได้มั่นใจขึ้น ที่สำคัญงานวันนี้ดีมากครับ ได้ทั้งความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เข้าใจเทคโนโลยีของรถลึกขึ้น และยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นในแบรนด์มิตซูบิชิมากกว่าเดิม ต้องขอบคุณทางมิตซูบิชิที่ใส่ใจลูกค้าทุกเจนเนอเรชันจริงๆ ครับ”

มิตซูบิชิ Xperience Day ถือเป็นกิจกรรมรูปแบบใหม่ที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดขึ้นร่วมกับผู้จำหน่าย โดยมีแผนจะขยายการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องไปยังผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และบริการหลังการขายอย่างครบวงจร ด้วยความโปร่งใส มาตรฐาน และความใส่ใจในทุกรายละเอียด บริษัทฯ ตระหนักถึงความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ที่ไม่ได้มองหารถยนต์เพียงเพื่อการขับขี่ สมรรถนะเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับ ประสบการณ์การเป็นเจ้าของที่ราบรื่น คุ้มค่า และเต็มไปด้วยความมั่นใจในทุกการเดินทาง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงมุ่งพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีคุณภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้าง ความสุข ความพึงพอใจ และความอุ่นใจสูงสุด ให้แก่ลูกค้าชาวไทย

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

MGC-ASIA รับข่าวดี “XPENG X9” ขึ้นแท่นผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้า MPV

MGC-ASIA รับข่าวดี “XPENG X9” ขึ้นแท่นผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้า MPV ไตรมาส 3 ปี 2568 ในไทย

บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA รับข่าวดี ยอดจดทะเบียน “XPENG รุ่น X9” ทะลุเป้า หนุนไตรมาส 3/2568 คว้ายอดจดทะเบียนอันดับ 1 ขึ้นแท่นผู้นำตลาด ยานยนต์ไฟฟ้าอเนกประสงค์ MPV ในประเทศไทย พร้อมขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนสู่อนาคต

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA เปิดเผยว่า เอ็กซ์เผิง ประเทศไทย ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค “เอ็กซ์เผิง” ภายใต้ MGC-ASIA ได้รับแจ้งข่าวดี โดยในไตรมาส 3/2568 “XPENG รุ่น X9” รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ ทะยานขึ้นอันดับ 1 สำหรับยอดจดทะเบียนของกลุ่มตลาดยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถอเนกประสงค์ MPV ในประเทศไทย หลังจากเดือนกันยายนที่ผ่านมา มียอดจดทะเบียนสะสมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากการอ้างอิงข้อมูลภายใต้การรวบรวมตัวเลขยอดจดทะเบียนช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2568 จากกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม แสดงตัวเลขให้เห็นว่า “XPENG  รุ่น X9” มียอดจดทะเบียนสะสมรวมสูงถึง 488 คัน ซึ่งถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการยอมรับของผู้บริโภคชาวไทย

ทั้งนี้ ด้วยจุดเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ XPENG ที่ให้ความสำคัญกับการผสาน AI เข้ากับเทคโนโลยีอัจฉริยะของยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยการนำมาใช้คำนวณและบริหารจัดการการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมให้อยู่กลางเลน ระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ฯลฯ ประกอบกับการปรับปรุงและพัฒนาซอฟต์แวร์ XOS อย่างต่อเนื่อง จากการเก็บข้อมูลและเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งาน เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนาซอฟต์แวร์ให้รถยนต์ฉลาดขึ้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม

ยานยนต์ไฟฟ้าของ XPENG จะมีการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำงานคล้ายกับสมาร์ทโฟนที่มีการอัปเดตข้อมูลระบบปฏิบัติการและเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง สมรรถนะของยานยนต์ไฟฟ้าจึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่แบตเตอรี่และมอเตอร์เท่านั้น 

“นี่คือหนึ่งในก้าวสำคัญที่เราจะขับเคลื่อนสู่อนาคตไปพร้อมกับคนไทยทุกคน ด้วยเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ล้ำหน้า พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นนำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ยกระดับไปอีกขั้น รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในประเทศไทย” นายสัณหวุฒิ กล่าวในที่สุด

โตโยต้า แนะนำ Fortuner Leader G Plus ใหม่ ชิงส่วนแบ่งตลาดปลายปี

โตโยต้า แนะนำ Fortuner Leader G Plus ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “New Smart Luxury” ผสมผสานความหรูหราและความคุ้มค่า เสริมทัพผู้นำตลาดรถอเนกประสงค์ PPV

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ใหม่ล่าสุด Fortuner Leader G Plus เติมเต็มไลน์อัพ ตอกย้ำความเป็นผู้นำตัวจริงในตลาด PPV เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่มีความหรูหราและความคุ้มค่า อัปเกรดสเปกการใช้งานประจำวันให้ครบครันยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ในราคาที่จับต้องได้ง่าย เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงความพรีเมียมของ Fortuner ได้มากกว่าเดิม คุ้มค่าด้วยระบบความปลอดภัยขั้นสูง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย พร้อมกันนี้ในรุ่นย่อย 2.4 Leader ทั้งหมดยังได้ยกระดับระบบช่วยเหลือความปลอดภัยเชิงป้องกัน เพื่อมอบความมั่นใจสูงสุดในการขับขี่ให้แก่ลูกค้า

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ประเภท Pick-Up Passenger Vehicle (PPV) เข้าสู่ตลาดเมืองไทยครั้งแรกในปี พ.ศ.2547 ในนาม “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” ซึ่งประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น ทันสมัย และที่สำคัญสมรรถนะการขับขี่อันยอดเยี่ยม ตลอดจนอรรถประโยชน์ใช้สอยที่คุ้มค่า สร้างความภูมิใจในการเป็นเจ้าของด้วยความเหนือระดับอย่างแท้จริง และสร้างปรากฏการณ์เป็นผู้นำตลาด ด้วยยอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้นมากกว่า 466,000 คัน* (*ข้อมูลยอดขายสะสมของฟอร์จูนเนอร์ภายใต้โครงการ IMV ตั้งแต่ปี 2547 – สิงหาคม 2568) ยืนยันความสำเร็จด้วยยอดขาย อันดับ 1 ในตลาด PPV 13 ปีติดต่อกัน (พ.ศ. 2555 – 2567) อีกทั้งยังส่งออกจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศ สร้างชื่อเสียงอันเป็นที่ยอมรับในคุณภาพการผลิตมาตรฐานระดับโลก

เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า พร้อมกับตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โตโยต้าเติมเต็มไลน์อัพกับอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่มีความหรูหราและความคุ้มค่า โดยภูมิใจแนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ใหม่ล่าสุด Fortuner Leader G Plus ที่โดดเด่นด้วย ดีไซน์ภายนอก ที่รองรับทุกบทบาทของผู้นำ ความสะดวกสบายรอบด้าน สมรรถนะที่ทรงพลัง และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน

Fortuner Leader G Plus “NEW SMART LUXURY”

ราคา 1,439,000 บาท

ดีไซน์ภายนอก รองรับทุกบทบาทของผู้นำ

-ใหม่! ล้ออัลลอยสีพิเศษเฉพาะ Leader G Plus ขนาด 18 นิ้ว

-ไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED พร้อม Daytime Running Lights

-ไฟท้ายแบบ LED Light Guiding

ไว้วางใจกับความสะดวกสบายรอบด้าน

-ใหม่! ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ

-เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง

-หน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto

-มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอแสดงข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว

-ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมแผ่นกรองปรับอากาศ PM2.5

ไว้วางใจด้วยสมรรถนะทรงพลัง

-เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร 150 แรงม้า 400 นิวตันเมตร

-ประหยัดน้ำมัน 14.3 กม. / ลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker)

-ระบบควบคุมพวงมาลัยแปรผันตามระดับความเร็ว

-ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ช่วยซับแรงสั่นสะเทือน

-ช่วงล่างด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง มั่นคงและนุ่มนวลยิ่งขึ้น    

ไว้วางใจด้วยระบบความปลอดภัยครบครัน

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor 360°

-ใหม่! ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning)

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Traffic Movement Notification)

-ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)

-ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert)

-ถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 ตำแหน่ง รอบคัน

พร้อมกันนี้ในรุ่นย่อย 2.4 Leader ทั้งหมดยังได้ยกระดับ ระบบช่วยเหลือความปลอดภัยเชิงป้องกัน เพื่อมอบความมั่นใจสูงสุดในการขับขี่ให้แก่ลูกค้า

ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning)

-ระบบเสียงเตือนที่มีไว้เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่รับรู้ถึงความเสี่ยงในการชนสิ่งกีดขวางด้านหน้า

มาพร้อมช่องจ่ายไฟ USB Type-C

-รุ่นที่ติดตั้ง: 2.4 Leader S / 2.4 Leader G / ใหม่!…2.4 Leader G Plus

ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Traffic Movement Notification)

-ระบบจะช่วยเตือนผู้ขับขี่ด้วยเสียง เมื่อรถของผู้ขับยังคงจอดนิ่ง ขณะที่รถคันหน้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไป

-รุ่นที่ติดตั้ง: 2.4 Leader S / 2.4 Leader G / ใหม่!…2.4 Leader G Plus

ขยายการติดตั้งระบบ TSS (Toyota Safety Sense)

สู่รุ่น 2.4 Leader V (ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ)

-ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-collision System)

-ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert)

-ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control)

ขยายการติดตั้งระบบ BSM และ RCTA สู่รุ่น 2.4 Leader S

-ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)

-ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert)

เลือกเป็นเจ้าของ FORTUNER LEADER มาพร้อม 4 สีให้เลือก

-สีขาว PLATINUM WHITE PEARL

-สีดำ ATTITUDE BLACK MICA

-สีเงิน SILVER METALLIC

-สีเทา DARK GREY METALLIC

 (*LEADER S สามารถเลือกได้ 3 สี 1. Platinum White Pearl เพิ่ม 12,000 บาท, 2. Attitude Black Mica, 3.Silver Metallic)

เติมเต็มไลน์อัพ ราคาสุดคุ้ม ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา

-2.4 Leader V เกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อ                  1,600,000 บาท

-2.4 Leader V เกียร์อัตโนมัติ                                     1,530,000 บาท

-ใหม่!…2.4 Leader G Plus เกียร์อัตโนมัติ                 1,439,000 บาท

-2.4 Leader G เกียร์อัตโนมัติ                                    1,400,000 บาท

-2.4 Leader S เกียร์อัตโนมัติ                                     1,239,000 บาท

อีกทั้งยังปรับเพิ่มสเปกให้ครบครันยิ่งขึ้นใน Fortuner Leader ทุกรุ่นย่อย

แต่ยังคงราคาจำหน่ายเท่าเดิม เพื่อมอบความคุ้มค่าสูงสุดแก่ลูกค้า

เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นด้วยเงื่อนไขพิเศษ

ทางเลือกที่ 1 : ผ่อนเริ่มต้น 9,884 บาทต่อเดือน*

คำนวณจาก Fortuner รุ่น Leader S ราคา 1,239,000 บาท ที่ดาวน์ 30% ผ่อนนาน 96 เดือน ดอกเบี้ย 3.25% เฉพาะ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด

หมายเหตุ : *ผ่อนเริ่มต้น 9,884 บาทต่อเดือน สำหรับปีแรก (โดยคำนวณจากการรวมโปรแกรมช่วยผ่อน 1,500 บาทต่อเดือน นาน 12 เดือน) และผ่อน 11,384 บาทต่อเดือน สำหรับปีที่สองถึงปีที่แปด

ทางเลือกที่ 2 : ดอกเบี้ยพิเศษ 0.89% พร้อมประกันภัยชั้นหนึ่ง TOYOTA Care PHYD

*เงื่อนไขทั้งหมดเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด กรุณาตรวจสอบเงื่อนไขและสถาบันการเงินที่ร่วมรายการที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่าย โตโยต้าใกล้บ้านท่าน หรือศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าโตโยต้า 1486 บริการด้วย Voice Bot 24 ชม. ทุกวัน บริการข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต www.toyota.co.th หรือ Line ID : @toyotathailand

แนะนำอุปกรณ์ตกแต่งแท้โตโยต้า ตอบโจทย์หลากหลายการใช้งานอย่างที่ต้องการ พร้อมการรับประกันสูงสุด 3 ปี หรือ 100,000 กม.*

•อุปกรณ์ช่วยผ่อนแรงเปิด-ปิดฝากระโปรงหน้า           ราคา          2,400           บาท*

•โลโก้ Fortuner (Hood Emblem)                             ราคา          1,500           บาท*

•ถาดใส่ของท้ายรถ (Luggage Tray)                         ราคา          800    บาท*

•อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger)     ราคา          3,990           บาท*

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.toyota.co.th/accessories/fortuner

หมายเหตุ:

* ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แต่ไม่รวมค่าแรงติดตั้ง

** อุปกรณ์ตกแต่งแท้โตโยต้ารับประกันสูงสุด 3 ปีหรือ 100,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน อ้างอิงจากคู่มือรับประกันคุณภาพ

    รถยนต์ โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.toyota.co.th/accessories/warranty/tga

Fortuner Leader G Plus มาพร้อมบริการจาก T-Connect

ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง

ปลอดภัย อุ่นใจด้วยบริการ Find My Car รู้ตำแหน่งรถยนต์แบบเรียลไทม์ SOS ช่วยประสานงานติดตามรถหายและช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้ง TCFR Plus+ ขยายระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์สูงสุด 8 ปี หรือ 225,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) เมื่อเช็กระยะตามที่กำหนด พร้อมรับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรม ALIVE-X สะสมทุกยอดค่าใช้จ่ายเป็นคะแนน The1 และแลกส่วนลดได้ที่ศูนย์บริการโตโยต้าทั่วประเทศ  ประกันภัยขับดี ลดให้ (PHYD) คุ้มค่าด้วยส่วนลดต่อประกันภัยด้วยส่วนลดสูงสุด 40% และอีกกว่า 20 บริการจากแอป T-Connect ดาวน์โหลดฟรี “ใช้แล้วเวิร์ก ใช้ได้ทุกวัน ใช้ T-Connect”

สามารถศึกษาข้อกำหนดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ www.t-connect.in.th

สัมผัสประสบการณ์ขับขี่ใหม่ กับบริการเสริมที่หลากหลาย

ผ่านเทคโนโลยี T-CONNECT ด้วย 3 คุณสมบัติหลัก ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง

1. Always Located & Protected ให้คุณอุ่นใจ ปลอดภัยไร้กังวลในการเดินทาง

– Find My Car บริการเช็กตำแหน่งรถแบบเรียลไทม์ หมดปัญหาจำที่จอดไม่ได้ หารถไม่เจอ

– TheftTrack บริการตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม และประสานความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง

– SOS บริการประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง

– Geo-Fencing บริการแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนออกจากจุดจอดหรือขอบเขตที่คุณกำหนดไว้

2. Telematics Care ดูแลรถได้ง่ายๆ สะดวก พร้อมออกเดินทาง

– TCFR Plus+ สิทธิขยายระยะรับประกันคุณภาพรถยนต์สูงสุด 8 ปี หรือ 225,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)  

– Maintenance Reminder บริการแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเข้าศูนย์บริการ พร้อมนัดหมายศูนย์บริการออนไลน์

– Vehicle Information บริการข้อมูลรถ แสดงสถานะรถ เช็กประวัติ และสถานะงานซ่อมเรียลไทม์

– PHYD Insurance ประกันภัย “ขับดี ลดให้” ที่ทำให้ลูกค้าสนุกกับคะแนนการขับขี่และส่วนลดเพิ่มเติม จากค่าเบี้ยประกันภัยพิเศษที่คำนวณจากพฤติกรรมและระยะทางการขับขี่ของลูกค้า

3. Happiness Mobility บริการเติมเต็มความสุข ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

– Toyota Alive-X โปรแกรมสะสมคะแนน The 1 ใช้แลกเป็นส่วนลดในการเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการโตโยต้า

– Connect You บริการแจ้งสิทธิพิเศษที่คัดสรรสำหรับลูกค้า T-Connect

– Concierge Services บริการผู้ช่วยส่วนตัว ให้คุณสอบถามเส้นทาง จองร้านอาหาร และอื่นๆอีกมากมาย

หมายเหตุ : การให้บริการของ T-Connect ต้องดาว์โหลดแอปพลิเคชัน และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรถเพื่อเข้าใช้งาน สามารถศึกษาข้อกำหนดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ www.t-connect.in.th

KINTO ทางเลือกในการเป็นเจ้าของ Fortuner Leader G Plus รูปแบบใหม่

มีรถใช้ แบบไม่ต้องซื้อ บริการให้เช่ารถยนต์ระยะยาวจากโตโยต้าที่ออกแบบมาเพื่อให้ชีวิตการขับขี่สะดวกสบายและง่ายดายยิ่งขึ้น จ่ายราคาเดียวเท่ากันทุกเดือน ในราคาเริ่มต้นเพียง 22,570 บาท ต่อเดือน พร้อมบริการครบวงจร ประกันภัยชั้น 1 การบำรุงรักษา ต่อ พรบ. ภาษี ให้ตลอดอายุสัญญา

สัมผัสความหรูหรา ความคุ้มค่า และความเหนือระดับแบบผู้นำ

ทดลองขับ Fortuner Leader G Plus ได้แล้ววันนี้

ที่ Toyota ALIVE บางนา และโชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ

จองทดลองขับ Fortuner Leader G Plus และรถรุ่นอื่นๆ บนสนามทดสอบ

เต็มรูปแบบได้ที่ https://www.toyota.co.th/alive/testdrive-reservation 

พบกับกิจกรรมพิเศษต่างๆ ช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2568

o Fortuner Leader G Plus, The Live Plus Fest

ระหว่างวันที่ 18 ตุลาคม –  2 พฤศจิกายน 2568 ณ โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ

o งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42 Thailand International Motor Expo 2025                     

ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี

โตโยต้า เปิดเวทีให้นักศึกษาวิศวกรรมรุ่นใหม่ ประชันไอเดีย

โตโยต้า เปิดเวทีให้นักศึกษาวิศวกรรมรุ่นใหม่ ประชันไอเดียสร้างสรรค์ ใน “TOYOTA YOUNG ENGINEER CAR CONTEST สตาร์ตแพชชัน ปั้นไอเดีย” ชิงทุนรวมกว่า 600,000 บาท

นายสมุทร ตังคชวนะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดรถยนต์นั่ง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเปิดโครงการ “TOYOTA YOUNG ENGINEER CAR CONTEST สตาร์ตแพชชัน ปั้นไอเดีย” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อมุ่งเดินหน้าสนับสนุนศักยภาพคนรุ่นใหม่ ผ่านการเชิญชวนนิสิตนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ ร่วมประกวดออกแบบชุดแต่งรถยนต์ ที่ผสานดีไซน์สวยงาม โดดเด่น มีเอกลักษณ์ พร้อมหลักอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics) ที่เหมาะสม ชิงทุนการศึกษารวมมูลค่ากว่า 600,000 บาท เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568 ณ TOYOTA ALIVE ถนนบางนา-ตราด กม.3

โครงการ “TOYOTA YOUNG ENGINEER CAR CONTEST สตาร์ตแพชชัน ปั้นไอเดีย” คือโครงการที่โตโยต้าได้เริ่มจัดขึ้นเป็นปีแรกใน พ.ศ. 2568 โดยได้ทำการเปิดรับสมัครนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อให้โครงการนี้เป็นเวทีสำคัญในการปลุกพลังและแรงบันดาลใจของนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ โดยเฉพาะความเข้าใจในศาสตร์ด้านอากาศพลศาสตร์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาและออกแบบรถยนต์สมัยใหม่ นำไปสู่การสร้างสรรค์ชุดแต่งที่มีทั้งความสวยงามและสมรรถนะที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานยุคใหม่อย่างแท้จริง

ในกิจกรรมครั้งนี้ โตโยต้าได้นำรถยนต์ยอดนิยม 2 รุ่น ได้แก่ YARIS ATIV (รถยนต์แบบซีดาน 4 ประตู) และ YARIS CROSS (รถยนต์แบบ SUV 5 ประตู) มาเป็นโจทย์หลักในการออกแบบ โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงศักยภาพทางวิศวกรรมควบคู่กับแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และสามารถต่อยอดสู่ธุรกิจหรือนวัตกรรมด้านยานยนต์ในอนาคต

สำหรับเกณฑ์การตัดสิน และการให้คะแนน ทางคณะกรรมการจะพิจารณาในหัวข้อต่างๆ ประกอบด้วย

1. Styling โดยมีหัวข้อในการให้คะแนนย่อย ดังนี้

1.1 Design & Perspective มุ่งเน้นให้ผู้ออกแบบชิ้นส่วนนำเสนอที่มาและคอนเซปต์ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์และความโดดเด่นของชิ้นงาน

1.2 Regulations โดยคณะกรรมการจะให้คะแนนทั้งในส่วนของจำนวนชิ้นแต่ง ที่ครบตามกำหนด จำนวน 5 ชิ้น, น้ำหนักของชิ้นงานทุกชิ้นรวมไม่เกิน 10 กิโลกรัม และขนาดชิ้นงานโดยรวมยื่นจากตัวรถไม่เกิน 10 เซนติเมตร

1.3 User Value เพื่อประเมินว่าชุดแต่งที่สร้างขึ้นสามารถใช้งานได้ในสภาวะการขับขี่จริง

2. Engineering ประกอบด้วย การวัดค่า Drag Coefficient และการวัดค่า Downforce

3. Product Development Plan ความสอดคล้องของการตั้งเป้าหมายการออกแบบและผลลัพธ์

โดยในปี 2568 ได้มีมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ จำนวน 7 แห่งที่แสดงความสนใจเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

มหาวิทยาลัยสยาม

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช

นอกจากทุนการศึกษาแล้ว ผู้เข้าร่วมยังมีโอกาสพิเศษในการเข้าร่วม หลักสูตรอบรมขับขี่จาก Toyota Gazoo Racing Academy Thailand เพื่อพัฒนาทักษะด้านยานยนต์อย่างรอบด้าน

รายละเอียดของรางวัล แบ่งออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ YARIS ATIV และ YARIS CROSS

รุ่นละ 3 รางวัล รวมทั้งสิ้น 6 รางวัล ชิงทุนการศึกษามูลค่ารวม 600,000 บาท ดังนี้

1. รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ในแต่ละรุ่น

ทุนการศึกษา 150,000 บาท พร้อมเข้าร่วมโครงการ Toyota Gazoo Racing Academy Thailand

2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่1 ในแต่ละรุ่น

ทุนการศึกษา 100,000 บาท

3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ในแต่ละรุ่น

ทุนการศึกษา 50,000 บาท

สำหรับกิจกรรมนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยเติมเต็มการเรียนรู้และยกระดับผลงานให้มีคุณภาพสูงสุดแล้ว โตโยต้ายังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม การออกแบบชุดแต่งสำหรับรถยนต์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านซอฟแวร์จาก CADFEM (Thailand) ผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูงที่ลงทุนในสตาร์ทอัพและผลักดันเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยดำเนินการในกว่า 40 ประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการแต่งรถ อาทิ คุณเบียร์ ใบหยก และคุณแบงค์ Streetmetal มาร่วมเป็นที่ปรึกษาและกรรมการในกิจกรรมครั้งนี้

ทั้งนี้ โตโยต้าเชื่อมั่นว่าแนวคิดสร้างสรรค์จากคนรุ่นใหม่ในวันนี้ คือพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในอนาคต

ขอเชิญทุกท่านร่วมติดตามและเป็นกำลังใจให้กับเหล่านักออกแบบรุ่นใหม่

ตลอดระยะเวลาการจัดกิจกรรม ระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม – 13 ธันวาคม 2568

ผ่านทาง เฟซบุ๊กแฟนเพจ Toyota Motor Thailand

SUZUKI CARRY รถสร้างอาชีพคู่คิด SMEs ฉลองยอดขายเกิน 50,000 คัน

รถสร้างอาชีพตัวจริง SUZUKI CARRY ตอกย้ำภาพลักษณ์รถคู่คิด SMEs พร้อมหนุนคนไทย “Carry Your Dream” ฉลองยอดขายสะสมเกิน 50,000 คัน ด้วยดอกเบี้ย 1.99% หรือ ผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่แนะนำ SUZUKI CARRY ออกสู่ตลาดประเทศไทย นับเป็นรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่ได้รับการตอบและความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคและกลุ่มธุรกิจ SME ว่าสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย คุ้มค่า คุ้มราคา เพราะเป็นรถที่ถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง พร้อมสำหรับการดัดแปลงและพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับทุกแนวทางของชีวิตและทุกรูปแบบธุรกิจ ความอเนกประสงค์และความคุ้มค่าในการลงทุน ทำให้ SUZUKI CARRY เป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินลงทุนไม่มาก ด้วยอัตราการผ่อนชำระที่เข้าถึงได้ง่าย ผู้ประกอบการทั้งรายย่อยและรายใหญ่จึงสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ทันที

“SUZUKI CARRY ยังคงเติบโตด้วยแนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน ”เรามีเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนรถกระบะบรรทุกให้เป็นรถขนส่งความสุขเคียงข้างทุกเส้นทางฝันทั้งในด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตส่วนตัว รวมถึงการช่วยเหลือสังคมเหมาะสมกับการเป็นรถที่ครองใจผู้ประกอบการตัวจริง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วจากหลากหลายธุรกิจที่นำไปตกแต่งและพัฒนาต่อยอดเป็น รถขายอาหาร (Food Truck) ร้านตัดผม ร้านซักรีดเสื้อผ้า ร้านอาบน้ำสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว, ร้านตรวจและตัดแว่นสายตา หรือแม้แต่การบรรทุกสินค้าและบริการอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของรถกระบะคันนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดขายสะสมในประเทศจำนวนมากถึง 51,452 คัน”

SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ที่ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ที่พร้อมจะนำไปดัดแปลงและพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับทุกแนวทางของการดำเนินชีวิต จนกลายเป็นโมเดลต้นแบบของรถประกอบธุรกิจในทุกรูปแบบ จนถูกเรียกว่า Goods Truck และ Service Truck สามารถต่อยอดในการทำธุรกิจอื่นๆ เสมือนดั่งพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ใช้ด้วยความจริงใจ พร้อมเดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่งสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ราคาจำหน่ายเพียง 395,000 บาท

โดยได้นำเสนอแคมเปญพิเศษเพื่อเป็นการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจขนาดย่อมที่กำลังเติบโต แก่ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของ SUZUKI CARRY สามารถเลือกรับข้อเสนอสุดคุ้ม ส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่ง มูลค่ารวมสูงสุด 20,000 บาท หรือ เลือกรับดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 1.99% นาน 60 เดือน หรือ รับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท พร้อม ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก

อย่างไรก็ตาม ซูซูกิยังคงเดินหน้ากิจกรรมเพื่อสังคม “Carry Your Dream Carry Your Life” ตอกย้ำเจตนารมณ์ของซูซูกิในการนำศักยภาพของรถกระบะอเนกประสงค์ SUZUKI CARRY ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “Good Truck” มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม โดยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการที่เป็นพันธมิตรและผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิ ทำการดัดแปลงรถกระบะเพื่อการพาณิชย์อเนกประสงค์ SUZUKI CARRY ให้กลายเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่ Suzuki Carry Barber Truck พร้อมด้วย Food Truck เพื่อนำไปให้บริการ ณ มูลนิธิคนตาบอดแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งจัดกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อมอบความสุขให้แก่ผู้พิการทางสายตาและผู้ที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯ ดังกล่าว นอกจากนี้ ยังได้มีการมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้แก่ทางมูลนิธิฯ ไว้ใช้ประโยชน์ โดยมี ดร.ประสงค์ สุบรรณพงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสอนคนตาบอด เป็นผู้รับมอบในโอกาสนี้

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เรามุ่งมั่นจะทำเพื่อเป็นการดูแลและตอบแทนลูกค้าทุกท่านในยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ เราดำเนินการภายใต้แนวคิด “SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” เราพร้อมจะเดินหน้าเพื่อเข้าไปช่วยแบ่งเบาและบรรเทาปัญหาของสังคมด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีแก่พนักงานและมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ด้วยความมุ่งหวังให้องค์กรและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

SUZUKI FRONX ส่งมอบลูกค้ากลุ่มแรก

ALL NEW SUZUKI FRONX เริ่มส่งมอบถึงมือลูกค้ากลุ่มแรก ตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวไทย ยังไว้ใจในคุณภาพและความคุ้มค่า พร้อมเชิญชวนลูกค้าทดลองขับรถยนต์สไตล์สปอร์ตเอสยูวี สัมผัสสมรรถนะสุดเร้าใจและความปลอดภัยครบครัน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากซูซูกิได้แนะนำ “ALL NEW SUZUKI FRONX ยนตรกรรมสไตล์สปอร์ตแบบ SUV ออกสู่ตลาดรถยนต์เมืองไทย พร้อมกับสร้างปรากฎการณ์ด้วยความสนใจจากกลุ่มลูกค้าทั้งที่เป็นลูกค้าปัจจุบันที่ใช้รถยนต์ซูซูกิ และลูกค้าใหม่ ในการลงทะเบียนจองสิทธิ์เป็นเจ้าของ ALL NEW SUZUKI FRONX ผ่านช่องทางออนไลน์ ที่เปิดให้จองตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม – 24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา มีตัวเลขการลงทะเบียนจองสิทธิ์สูงถึง 5,364 คัน นับเป็นการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งยังมีความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าว่าจะสามารถมอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เป็นเจ้าของรถอย่างแท้จริง

ล่าสุด ซูซูกิ ร่วมกับผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั้ง 86 แห่งทั่วประเทศ ดำเนินการส่งมอบ ALL NEW SUZUKI FRONX แก่ลูกค้าที่ตัดสินใจจับจองเป็นเจ้าของทันที ซึ่งนับว่าเป็นการส่งมอบรถถึงมือผู้บริโภคอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับต่อความต้องการในการใช้งานรถยนต์รุ่นใหม่จากซูซูกิ เพียงไม่กี่วันหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเชิญชวนลูกค้าให้ได้มาร่วมสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่แห่งการขับขี่ ด้วยการทดลองขับ ALL NEW SUZUKI FRONX  ยนตรกรรมสไตล์สปอร์ตแบบ SUV ที่มอบให้ทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจ และมอบระบบความปลอดภัยให้คุณมั่นใจได้อย่างเหนือระดับ โดยเฉพาะกลุ่มที่จองสิทธิ์ล่วงหน้ายังแสดงความสนใจในคุณภาพและสมรรถนะของ ALL NEW SUZUKI FRONX ด้วยการเข้าร่วมทดลองขับเพื่อประกอบการตัดสินใจในการเป็นเจ้าของอย่างต่อเนื่อง

“ซูซูกิ ยังคงยึดมั่นต่อการนำเสนอสินค้าคุณภาพดี ที่มาพร้อมกับงานบริการหลังการขายที่เป็นเลิศแก่ผู้บริโภค การตอบรับต่อความต้องการอย่างรวดเร็วที่เรามอบให้แก่ลูกค้า จึงเป็นหนึ่งในความตั้งใจที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและจริงใจต่อลูกค้าทุกรายที่ยังคงเชื่อมั่นและไว้วางใจในสินค้าและบริการของซูซูกิเป็นอย่างดีเสมอมา ความมุ่งมั่นดังกล่าวเป็นดังเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่า เรายังมีความมั่นคงต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และมุ่งหวังจะให้บริการต่อคนไทยได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อว่า ALL NEW SUZUKI FRONX จะเข้ามาเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของทุกคน ด้วยความโดดเด่นที่มากกว่าในทุกด้านอย่างแท้จริง” นายวัลลภ กล่าว

โดยบรรยากาศการส่งมอบรถยนต์ ALL NEW SUZUKI FRONX นอกจากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มองหาความคุ้มค่าจากผลิตภัณฑ์และไว้วางใจได้ในเรื่องของงานบริการแล้วนั้น กลุ่มลูกค้าเดิมที่ใช้งานรถยนต์ซูซูกิมายาวนาน ยังคงเชื่อมั่นและตัดสินเปลี่ยนมาใช้ ALL NEW SUZUKI FRONX ให้สานต่อการเป็นยานพาหนะที่เปรียบเสมือนเพื่อนคู่ใจในยามเดินทางสำหรับครอบครัวอีกด้วย

คุณยัพ กล่าวว่า “ผมเป็นลูกค้าของซูซูกิมานาน เลือกใช้และไว้วางใจในคุณภาพของรถยนต์ซูซูกิมาหลายรุ่น นับตั้งแต่ SUZUKI VITARA, SUZUKI GRAND VITARA, SUZUKI CARIBIAN, SUZUKI SX4, SUZUKI SWIFT 1.5L, SUZUKI  JIMNY ล่าสุดตัดสินใจเลือก ALL NEW SUZUKI FRONX รุ่น GL เข้ามาเป็นอีกหนึ่งสมาชิกของครอบครัว นอกจากจะตอบโจทย์ในการใช้งานสำหรับครอบครัวแล้ว ผมยังเชื่อมั่นว่า ซูซูกิเป็นรถที่มีความทนทาน ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาไม่สูง อีกทั้งศูนย์บริการยังเป็นศูนย์บริการที่ผมมั่นใจในการดูแลลูกค้าอย่างมืออาชีพอีกด้วย”

คุณจูน กล่าวว่า “ครอบครัวเลือกใช้งาน SUZUKI SWIFT มาตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน เลือกมาออกรถ ALL NEW SUZUKI FRONX GLX PLUS ที่ศูนย์บริการบ้านซูซูกิ สาขาพระราม 2 เพื่อไปใช้งานอีก 1 คัน เพราะมั่นใจในคุณภาพของตัวรถซูซูกิ ใช้งานง่าย ไม่จุกจิก และมอบความคุ้มค่าให้ครอบครัวในระยะยาว อีกทั้งยังอุ่นใจด้วยศูนย์บริการซูซูกิที่มีอยู่ทั่วประเทศไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็มั่นใจได้ว่ามีบริการดูแลใกล้ตัวเสมอ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

คุณนุและคุณอ๋อม “เราเป็นลูกค้า SUZUKI SWIFT มาตั้งแต่ปี 2018 ใช้งานแล้วประทับใจมาก ทั้งสมรรถนะ ความคุ้มค่า และความสบายใจที่ได้จากแบรนด์นี้ พอถึงเวลาที่อยากเปลี่ยนรถ ก็ยังมั่นใจใน SUZUKI เหมือนเดิม ติดตามข่าวสารของ ALL NEW SUZUKI FRONX ตั้งแต่เปิดตัวในต่างประเทศ ตัดสินใจเลือกใช้รุ่น GLX เพราะมั่นใจในคุณภาพ และอยากเป็นเจ้าของตั้งแต่แรกเริ่ม”

คุณพลอย กับคุณแพร “เราใช้ SUZUKI XL7 มาตั้งแต่ปี 2020 และมั่นใจในคุณภาพกับความทนทานของรถซูซูกิอยู่แล้ว พอได้เห็น ALL NEW SUZUKI FRONX ก็ตัดสินใจซื้อเพิ่มอีกคันทันทีเพื่อใช้ในครอบครัว สิ่งที่โดนใจที่สุดคือเรื่อง ดีไซน์ของ FRONX มีความสปอร์ต รูปทรงดูเป็น SUV ที่ทันสมัย มีเอกลักษณ์โดดเด่น และเข้ามาเติมเต็มการใช้งานของครอบครัวเราได้อย่างลงตัวที่สุด”

ทั้งนี้ ALL NEW SUZUKI FRONX มาพร้อมแนวคิด “THE ICONIC DRIVE นิยามใหม่ของการขับขี่…ในแบบที่เป็นคุณ” ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอกย้ำความสำเร็จในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจผู้บริโภค ด้วยจุดเด่นของสมรรถนะ ความคล่องตัวทุกการขับขี่ ทั้งยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน

ดีไซน์ภายนอก สะดุดตาด้วยไฟหน้าพร้อม Daytime Running Light กระจังหน้าทรงพลังเสริมความพรีเมียมด้วยลายเส้นโครเมียม และไฟท้าย LED เชื่อมต่อเต็มแนวโดดเด่นในทุกมุมมอง ภายในห้องโดยสารออกแบบให้มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์มอบความสบายในทุกตำแหน่งที่นั่งพวงมาลัย Multifunction ดีไซน์สปอร์ต Paddle Shift ขับสนุกตลอดทาง จอระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย ระบบ Keyless Push Start แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และช่องปรับอากาศสำหรับที่นั่งด้านหลัง พร้อม USB Charger

ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งในรูปแบบเครื่องยนต์ K15B ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้น พร้อมยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ K15C ที่มาพร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดคู่ (DUALJET) ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Smart Hybrid Vehicle (SHVS) เอกสิทธิ์เฉพาะของซูซูกิ ที่มีความทนทานและบำรุงรักษาง่าย ทำให้มีความมั่นใจในการขับขี่ พร้อมรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.8 เมตร โครงสร้างตัวถัง TECT เหล็กกล้าน้ำหนักเบา มีความแข็งแรง ทนทานต่อการสึกหรอเป็นพิเศษ แพลตฟอร์ม HEARTECT เอกสิทธิ์เฉพาะของซูซูกิ

ระบบความปลอดภัยครบครันด้วยเทคโนโลยี SUZUKI SAFETY SUPPORT 

•ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Dual Sensor Brake Support II (DSBSII)

•จอแสดงข้อมูล Head-up display (HUD)

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC)

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist (LKA)

•ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW)

•ระบบช่วยป้องกันรถออกนอกเลน Lane Departure Prevention (LDP)

•ระบบเตือนเมื่อรถส่าย Vehicle Sway Warning

•ระบบเตือนสิ่งกีดขวางในจุดอับสายตา Blind Spot Monitor (BSM)

•ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert (RCTA)

•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist (HBA)

•กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา Surround View Monitor

•เซนเซอร์ถอยหลังพร้อมสัญญาณเตือน Parking Sensor

ราคารถยนต์ ALL NEW SUZUKI FRONX

•รุ่น GL                            ราคา 689,000 บาท

•รุ่น GLX                          ราคา 749,000 บาท

•รุ่น GLX PLUS               ราคา 799,000 บาท

*หมายเหตุ สี Pearl Snow White เพิ่ม 5,000 บาท และ สี Two-tone (รุ่น GLX PLUS) เพิ่ม 10,000 บาท

ALL NEW SUZUKI FRONX ในรุ่น GL, GLX และ GLX PLUS มาพร้อมหลากหลายเฉดสี ได้แก่

•Pearl Snow White

•Silky Silver Metallic

•Metallic Magma Gray

•Cool Black Metallic

•Savanna Ivory Metallic

ALL NEW SUZUKI FRONX ยังมีสีพิเศษในรุ่น GLX PLUS แบบ Two-tone อีก 3 สี ได้แก่

•Pearl Snow White / Cool Black Metallic (เพิ่มเงินจำนวน 15,000 บาท)

•Savanna Ivory Metallic / Cool Black Metallic

•Ice Grayish Blue Metallic / Cool Black Metallic

เพื่อเป็นการฉลองการเปิดตัว ALL NEW SUZUKI FRONX ซูซูกิจัดเต็มข้อเสนอสุดพิเศษที่มอบความคุ้มค่าสูงสุด ให้แก่ลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 31 ธันวาคม 2568 เท่านั้น โดยลูกค้าจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้:

•ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 1.99%

•ฟรี! ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก

•ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี

นอกจากนี้ ซูซูกิยังมอบทางเลือกที่คุ้มค่าตลอดการใช้งาน คลายกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ และเพื่อมอบความอุ่นใจสูงสุดให้กับลูกค้า ซูซูกิขอนำเสนอโปรแกรมพิเศษ SUZUKI FRONX Worry Free Maintenance Package ในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 27,999 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนของการบำรุงรักษารถยนต์ ALL NEW SUZUKI FRONX ตามระยะทาง นานถึง 7 ปี ซึ่งเป็นความคุ้มค่าที่ช่วยให้ลูกค้าวางแผนค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และมีความมั่นใจในการครอบครองรถในระยะยาว

ทั้งนี้ ซูซูกิยังสร้างความเชื่อแก่ผู้บริโภคด้านงานบริการ ด้วยการมีโชว์รูมรถยนต์ซูซูกิครอบคลุม 86 แห่งทั่วประเทศ พร้อมด้วยศูนย์ซ่อมตัวถังและสีมาตรฐาน 47 แห่ง พร้อมบริการ “Mobile Service” ที่พร้อมดูแลรถยนต์นอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตรวจสอบระบบเบรก แบตเตอรี่ หรือการบำรุงรักษาพื้นฐานต่างๆ พร้อมด้วยการขยายเครือข่ายศูนย์บริการมาตรฐาน 2S (Service & Spare Parts) เพื่อให้บริการควบคู่ไปกับศูนย์บริการหลักประเภท 3S (Sales, Service & Spare Parts) เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ซูซูกิเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ทุกรุ่นของซูซูกิยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค เพราะนอกจากเป็นรถยนต์ที่มอบให้แต่ความคุ้มค่าและยังเป็นรถที่บำรุงรักษาง่าย ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาไม่สูง ซึ่งเรายังมีความมุ่งมั่นในการยกระดับงานบริการให้ดียิ่งขึ้นเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน สอดคล้องกับในแนวทาง ‘SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ’ ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้ซูซูกิเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือและไว้วางใจเดินคู่เคียงข้างคนไทยต่อไปในอนาคต อีกทั้งเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน

ไทยฮอนด้า เผยโฉมรุ่นคลาสสิก Super Cub & FUJISAN Limited Edition

ไทยฮอนด้า รวมพลคนรักความคลาสสิก เปิดตัว All New Honda Super Cub และ FUJISAN Limited Edition เติมเสน่ห์เรโทรเหนือกาลเวลาในงาน “Super Cub THE ORIGINAL CLUB MEETING” ย่านทรงวาด

ไทยฮอนด้า จัดงานสุดพิเศษ “Super Cub THE ORIGINAL CLUB MEETING” รวมพลคนรักความคลาสสิกเฉลิมฉลองตำนานออริจินัลที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 60 ปี พร้อมเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด All New Honda Super Cub ที่มาพร้อม 2 สีทูโทนใหม่ สีฟ้า-ขาว และ สีเหลือง-ขาว สไตล์เรโทรสุดคลาสสิกสะท้อนความเป็นตัวตนได้เต็มที่ ภายใต้คอนเซปต์ “Find Your Original ถึงเวลาออริจินัล” และรุ่นพิเศษ All New Super Cub FUJISAN Limited Edition ดีไซน์เรโทรมินิมอลสะท้อนความเป็นญี่ปุ่น ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันเท่านั้น ท่ามกลางบรรยากาศสุดอบอุ่นที่รวบรวมเหล่าสาวก Super Cub จากทั่วประเทศที่ยกพลมาร่วมเฉลิมฉลองความคลาสสิกกว่า 200 คัน ณ Mahapho Riverview อีเวนต์สเปซริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านทรงวาด

All New Honda Super Cub มาพร้อมคอนเซปต์ “Find Your Original ถึงเวลาออริจินัล” ยังคงเอกลักษณ์ความเรโทรสุดคลาสสิกที่สะท้อนตัวตนผู้ขับขี่ไว้ครบถ้วน พร้อมเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ ระบบ Combined Brake System (CBS) ที่ช่วยกระจายแรงเบรกหน้าและหลังอย่างสมดุล พร้อม ดิสก์เบรกหน้า ช่วยให้เบรกได้แม่นยำขึ้น มอบความมั่นใจในทุกจังหวะการขับขี่ ขับเคลื่อนด้วย เครื่องยนต์ Honda Smart Engine 110 ซีซี. ระบบหัวฉีด PGM-FI ที่ให้ทั้งความประหยัด สมรรถนะ และความทนทานเหนือชั้น อีกทั้งโดดเด่นด้วย ไฟหน้า LED และกระจกทรงกลมดีไซน์คลาสสิก สำหรับ All New Honda Super Cub มาพร้อม 2 สีทูโทนใหม่ สะท้อนเสน่ห์เรโทรอย่างลงตัว เลือกเผยความเป็นตัวตนได้ตามต้องการ โดยพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้ ทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีฟ้า-ขาว (SBW), สีเหลือง-ขาว (Y-W), สีเขียว (GRN) และ สีเทา-ขาว (G-W) ในราคาแนะนำ 50,600 บาท

อีกหนึ่งไฮไลต์คือการนำเสนอความโดดเด่นไม่ซ้ำใครไปกับ All New Super Cub FUJISAN Limited Edition ที่ออกแบบมาเพื่อคนรักอิสระและหลงใหลการเดินทาง ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากบรรยากาศเส้นทางท่องเที่ยวของภูเขาไฟฟูจิในฤดูหนาว ผ่านดีไซน์เรโทรมินิมอลสะท้อนความเป็นญี่ปุ่น ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันทั่วประเทศ

รุ่นพิเศษนี้มาพร้อมชุดแต่งเฉพาะที่สร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งบังลมหน้าสีฟ้าใส Blue Wind Shield ดีไซน์มินิมอลเข้ากับตัวรถ เพิ่มมิติความเท่สไตล์ญี่ปุ่นและช่วยลดแรงลมปะทะ รวมถึงสติกเกอร์ลายกราฟิกภูเขาไฟฟูจิและพระอาทิตย์ Fuji San Body Sticker โทนสีฟ้า-ขาวตัดแดง สะท้อนความเป็น Japanese Retro มาพร้อมกันลายและตะแกรงเหล็กหน้า Blue Body Protector & Front Carrier สีน้ำเงินเข้าชุด เพิ่มความสะดวกและเสริมลุคคลาสสิก อีกทั้งของพิเศษที่ออกแบบมาเข้าธีมเดียวกันคือ เสื้อแจ็กเกต Fuji San Jacket และ หมวกกันน็อกทรงคลาสสิก Fuji San Classic Helmet ที่ได้แรงบันดาลใจจากวิวภูเขาไฟฟูจิในฤดูหนาว มอบความโดดเด่นในทุกเส้นทาง ในราคาแนะนำ 54,000 บาท

ภายในงาน Super Cub THE ORIGINAL CLUB MEETING เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเรโทรสุดคลาสสิกในแบบฉบับ Super Cub โดยมีรถ Super Cub กว่า 200 คัน จากทั่วประเทศมาร่วมอวดโฉมในลานรวมรถสุดยิ่งใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สะท้อนพลังแห่งคอมมูนิตี้คนรักความออริจินัลที่มาร่วมเฉลิมฉลองความคลาสสิกไปด้วยกัน ผู้เข้าร่วมได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่จัดเต็มในสไตล์ Super Cub ไม่ว่าจะเป็นโซนอาหารและเครื่องดื่มสุดชิคให้ชิลกันฟรี กิจกรรม DIY สุดคูล การประกวดรถแต่งสวยจำกัดผู้เข้าประกวด 30 คัน การประกวดแต่งตัวออริจินัลสไตล์ รวมถึงการแสดงดนตรีสดและดีเจที่เพิ่มสีสันแห่งความสนุก พร้อมพบปะเหล่าอินฟลูเอนเซอร์สายคลาสสิกที่มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟน Super Cub ได้อบอุ่นและประทับใจตลอดงาน

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษที่สะท้อนจิตวิญญาณของ Super Cub ผ่านโซนคอมมูนิตี้ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ขับขี่ได้พบปะและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความประทับใจ พร้อมร่วมสนุกกับการแจกของรางวัลและเซอร์ไพรส์มากมาย โดยไทยฮอนด้ายังมอบของที่ระลึกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Super Cub Original Club Bandana Limited Edition” ให้กับลูกค้า Super Cub ทุกรุ่นที่ลงทะเบียนและขี่รถมาร่วมงาน 100 ท่านแรก เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของคอมมูนิตี้คนรักความออริจินัล งานนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของไทยฮอนด้าในการตอกย้ำความสำเร็จของ Super Cub รถจักรยานยนต์ออริจินัลที่อยู่ในใจคนไทยมายาวนาน พร้อมส่งต่อดีไซน์คลาสสิกเหนือกาลเวลา ควบคู่กับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การขับขี่ในทุกยุค

สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ All New Honda Super Cub และ All New Super Cub FUJISAN Limited Edition สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Honda Wing Center ทุกสาขาทั่วประเทศ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save