- Advertisement -
26.1 C
Bangkok
Home Blog Page 69

โตโยต้า เปิดตัว SUV ยอดนิยม โคโรลล่า ครอส ใหม่

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV รุ่น “โคโรลล่า ครอส” ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2563 โดยเป็นรถที่ได้รับการออกแบบภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว และมีความแข็งแกร่ง ภายในห้องโดยสารเพียบพร้อมด้วยพื้นที่กว้างขวาง สะดวกสบายพร้อมด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระ ที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ซึ่งนับตั้งแต่การแนะนำโคโรลล่า ครอสนั้น ถือเป็นรถรุ่นที่ประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดีเสมอมา ด้วยยอดขายสะสมที่ 71,160 คัน ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ปี 2563 ถึง เดือน ธันวาคม ปี 2566

นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ยอดนิยม เพื่อนำเสนอประสบการณ์การขับเคลื่อนที่มาพร้อมเทคโนโลยีและฟังก์ชันอำนวยความสะดวก มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ กับ “โคโรลล่า ครอส ใหม่” เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ลาน Eden ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับโคโรลล่า ครอสใหม่ ได้มีการปรับปรุงในทุกรุ่นย่อย เพื่อมอบประสบการณ์ในการขับเคลื่อนที่ดียิ่งกว่า โดยดีไซน์ใหม่นี้ เป็นการเปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในโลก ด้วยดีไซน์กระจังหน้าแบบ “Multi-Dimensional Design” ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp และ ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential เหนือระดับ ด้วยหลังคา Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาอิสระ ทั้งยังมาพร้อมกับการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และช่องต่อ USB แบบ type C โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ Parking Support Brake, ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Tire Pressure Monitoring System, กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° View, สัญญาณเตือนกะระยะ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ รวมทั้ง ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold  อีกด้วย

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในปีที่ผ่านมา พร้อมแนะนำแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ว่า “ในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยต้องเผชิญความยากลำบากและการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยลดลง 9% โดยเฉพาะเซกเมนต์รถกระบะที่ลดลงถึง 32% ในขณะที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนได้เข้าสู่ตลาด และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ถึง 11% ซึ่งภายใต้ส่วนแบ่งตลาดดังกล่าว สัดส่วนการขายของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เติบโตขึ้นจาก 1% เป็น 10%

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว โตโยต้ายังคงมีรถหลายรุ่น ได้แก่ คัมรี ฟอร์จูนเนอร์ เวลอซ และไฮเอซ ที่เป็นผู้นำในเซกเมนต์ต่างๆ นอกจากนั้น ยาริสและเอทีฟก็สามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในเซกเมนต์อีโคคาร์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 45% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา สำหรับเซกเมนต์รถเอนกประสงค์ SUV โตโยต้ากลับมาครองยอดขายสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาหลังจากการแนะนำยาริส ครอส รวมถึง รถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% เป็นสัดส่วนที่สูงสุดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของโตโยต้าอยู่ที่ 34.3% สูงที่สุดนับตั้งแต่พ.ศ. 2558 และสูงกว่า พ.ศ. 2565 ที่ 0.3% ซึ่งเราขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่ได้ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของโตโยต้าเป็นอย่างดีเสมอมา

ทั้งนี้เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โดยโตโยต้ายังคงมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งความหลากหลายของลูกค้า การใช้งาน ข้อจำกัดในแต่ละภูมิประเทศ อาทิ โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน สภาพถนน ข้อจำกัดทางด้านพลังงาน เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โตโยต้ามีความต้องการที่จะมุ่งเติมเต็มชีวิตของผู้คน และนำมาซึ่งรอยยิ้มของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เราจึงเลือกกลยุทธ์ Multiple Pathway ตามปรัชญา “Mobility for All” โดยที่จะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (No One leaves behind)

โดยในปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ในประเทศไทยได้เติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฮบริด (HEV) ก็เติบโตขึ้น และยังกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้าชาวไทย สำหรับประเภทรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ด้วยเหตุผลที่สามารถใช้งานได้จริงอย่างเหมาะสม ลูกค้ามีความอุ่นใจขณะใช้งาน และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ  รวมไปถึงมีมูลค่าในการขายต่อที่ดี โดยในปีที่แล้ว ส่วนแบ่งตลาดของรถไฮบริด อยู่ที่มากกว่า 12% และในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 17%

อีกหนึ่งกระแสสำคัญในประเทศไทย คือ ความนิยมในรถยนต์ประเภท SUV โดยในปีที่แล้วนั้น ส่วนแบ่งตลาดของ SUV เพิ่มขึ้นที่ 38% แม้ว่าตลาดรถยนต์รวมจะหดตัวลง 9% ทั้งนี้เนื่องมาจากประโยชน์ใช้สอยของรถ SUV เอง ที่สามารถตอบสนองรูปแบบการใช้งานอันหลากหลาย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันในรูปแบบคนเมือง จนถึงการออกไปใช้ชีวิตแบบผจญภัยในช่วงวันหยุด  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อความสำเร็จในประเทศไทยต่อไป และนำรอยยิ้มของลูกค้าชาวไทยมาให้มากขึ้น และนี่คือการเปิดตัวรอบ World Premiere ของ Corolla Cross ใหม่ ที่ได้รับการอัพเกรด เพื่อมอบความพรีเมี่ยม เหนือระดับ ด้วยการออกแบบภายนอกที่ล้ำสมัยและได้มาตรฐานของสเปกที่ต้องการ ซึ่งผมหวังอย่างยิ่งว่า โคโรลล่า ครอส ใหม่ จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี เหมือนดังเช่นเคย”

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และจุดเด่นของโคโรลล่า ครอสใหม่ ว่า “โคโรลล่า ครอส รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2567 มีการปรับเปลี่ยนยกระดับดีไซน์ทั้งภายนอกและภายใน ปรับปรุงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และในขณะเดียวกัน ก็ยังรักษาจุดเด่นของตัวรถด้านประสิทธิภาพการขับขี่ และความประหยัดน้ำมันเอาไว้ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าครอบครัวคนรุ่นใหม่”

“ดีไซน์ภายนอก มีการปรับภายใต้คอนเซปต์ Urban x Premium ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ใช้งานในเมือง ด้วยไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp มาพร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential ดูหรูหรา ล้ำสมัย และให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ กันชนหน้า และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Multi-dimensional ที่ทำให้ตัวรถดูกว้าง ทันสมัย และทรงพลัง ล้ออัลลอยสีทูโทน ดีไซน์ใหม่”

“ภายในปรับเปลี่ยนให้มีความพรีเมียมยิ่งขึ้น ด้วยสีภายในแบบทูโทน มีทั้งหมด 2 สี คือสีดำ และสีใหม่ สี Dark Rose ให้ความรู้สึกหรูหรา เหนือระดับ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Frameless Panoramic Roof ขนาดใหญ่ พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า EPB มาตรวัดแบบ Full Digital พร้อมจอแสดงผลข้อมูลขับขี่ ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลากหลาย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และอุปกรณ์ ชาร์จไฟแบบไร้สาย”

“ด้านความปลอดภัย รุ่น HEV ทุกรุ่นติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense ที่มาพร้อมกับ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed พร้อม Stop & Go ลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่ง และเร่งกลับสู่ระดับที่ตั้งไว้ เมื่อคันหน้าเคลื่อนตัว กล้องมองรอบคัน PVM ให้ภาพที่เคลียร์ชัด ที่มากับระบบ PKSB ช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ ทำให้การจอดรถในทุกทิศทาง 360 องศา ทำได้ง่าย และปลอดภัย ติดตั้งระบบเตือนมุมอับสายตา BSM และช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย”

“ด้านสมรรถนะการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และ เครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร มีพละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งาน พร้อมอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.3 กม.ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด โครงสร้างตัวถัง และช่วงล่างถูกพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานตัวถัง TNGA ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล และมั่นใจ”

“ในรุ่นใหม่ มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี พร้อมกับสีใหม่อย่าง Cement Gray Metallic ที่หรูหรา และทันสมัย ด้วยการปรับปรุงในครั้งนี้ เรามั่นใจว่า Corolla Cross จะสามารถตอบโจทย์ และพร้อมพาลูกค้าทุกท่าน ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อีกครั้ง”

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแผนการตลาดว่า “ในปีที่ผ่านมา เราได้มีการแนะนำ YARIS CROSS ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่มีความเต็มที่ในทุกด้าน และในปีนี้ เพื่อให้ Corolla Cross เป็นยนตรกรรมที่สามารถตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งเป็น “ผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Corolla Cross ใหม่ จึงได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นเดิม ให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์แบบมากขึ้นในหลายๆ ด้าน”

“Corolla Cross ใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคอนเซปท์ “Complete your life ตอบ…ทุกความหมายชีวิต” โดยเรามีพรีเซนเตอร์ครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของกลุ่มลูกค้า Corolla Cross ที่ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ กับครอบครัว”

“โดยเราวางเป้าหมายการขายของ Corolla Cross ใหม่ ไว้ที่ 1,500 คันต่อเดือน และจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป”

โคโรลล่า ครอส ใหม่ มาพร้อมทางเลือกสีภายนอก 5 สี และสีภายใน 2 สี

สีภายนอก

รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium และ 1.8 Sport Plus

-ใหม่! สีเทา Cement Gray Metallic                          

-สีเทา Celestite Gray Metallic

-สีขาว Platinum White Pearl

-สีเงิน Metal Stream Metallic

-สีดำ Attitude Black Mica

รุ่น HEV GR Sport

-สีขาว Platinum White Pearl พร้อมหลังคาดำ

-สีแดง Red Mica Metallic พร้อมหลังคาดำ

-สีดำ Attitude Black Mica

สีภายใน

-ใหม่! สี Dark Rose 

เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Platinum White Pearl, สี Celestite Gray Metallic, สี Attitude Black Mica

-สี Black

เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Cement Gray Metallic และ สี Metal Stream Metallic และรุ่น 1.8 Sport Plus

-สี GR Sport Black

เฉพาะรุ่น GR Sport

เป็นเจ้าของ โคโรลล่า ครอส ใหม่ วันนี้ รับข้อเสนอสุดพิเศษ!

• ดอกเบี้ยพิเศษ ช่วงแนะนำ เริ่มต้นเพียง 1.79%* (ดาวน์ 25%, 48 เดือน) พร้อมประกันภัยชั้น 1 PHYD รวมทั้งข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าปัจจุบันของโตโยต้า ด้วยส่วนลดดอกเบี้ย 0.3%

•สะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายกับเทคโนโลยี Connected ทั้งด้านประกันภัย การบำรุงรักษา และ การสะสมคะแนนแลกสิทธิพิเศษมากมาย

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด เกียร์อัตโนมัติ

-HEV GR-Sport      ราคา         1,254,000 บาท**

-HEV Premium Luxury     ราคา         1,204,000 บาท**

-HEV Premium      ราคา           1,094,000 บาท**

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เกียร์อัตโนมัติ

-1.8 Sport Plus      ราคา          999,000 บาท**

*สำหรับสีพิเศษ

รุ่น GR-Sport สี Platinum White Pearl พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 15,000 บาท, สี Red Mica Metallic พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 10,000 บาท

รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium, 1.8 Sport Plus สี Platinum White Pearl และ Cement Gray Metallic เพิ่ม 10,000 บาท

**ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม

เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

เชิญสัมผัสและทดลองขับ โคโรลล่า ครอส ใหม่

“COMPLETE YOUR LIFE ตอบ…ทุกความหมายชีวิต”

ได้ที่งาน “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH ELEGANCE”

ที่ CENTRAL WORLD ชั้น 1 โซน EDEN ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์

สนุกกับกิจกรรมเปิดตัวสุดพิเศษ “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH LOVE”

ณ โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์ 2567

พบกิจกรรมทดลองขับพร้อมรับของที่ระลึกกระเป๋าอเนกประสงค์ (จำนวนจำกัด)

และสามารถสัมผัสโคโรลล่า ครอส ใหม่ ได้ที่ TOYOTA ALIVE บางนา

ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่

https://www.toyota.co.th/ Facebook: Toyota Motor Thailand

LINE ID: @ToyotaThailand  TikTok: @ToyotaMotorTH

X(Twitter): @ToyotaMotorTH Instagram: @toyotamotorthailandofficial               

ข้อมูลผลิตภัณฑ์  โคโรลล่า ครอส ใหม่

สเปกใหม่ในทุกรุ่น

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

รุ่น HEV GR-Sport

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

-ใหม่! อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° view

-ใหม่! กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (4) หลัง (4) รวม 8 ตำแหน่ง

รุ่น HEV Premium Luxury

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Head Lamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 18 นิ้ว

-ใหม่! Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

-ใหม่! อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° view

-ใหม่! กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว

-ใหม่! เบาะภายในสี Dark Rose  *ตามสีภายนอก

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (4) หลัง (4) รวม 8 ตำแหน่ง

รุ่น HEV Premium

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 18 นิ้ว

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! เบาะภายในสี Dark Rose  *ตามสีภายนอก

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบความปลอดภัย TOYOTA SAFETY SENSE

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (2) หลัง (4) รวม 6 ตำแหน่ง

รุ่น 1.8 Sport Plus

เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจกมองข้างพร้อมระบบ Reverse Link

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (2) หลัง (4) รวม 6 ตำแหน่ง

ยามาฮ่า จัดกจกรรมยิ่งใหญ่กลางสยามสแควร์เอาใจสายออโตเมติกแฟชั่น

ยามาฮ่า จัดหนักปิดสยามสแควร์จัดกิจกรรมใหญ่เอาใจสายออโตเมติกแฟชั่นกับ YAMAHA BFF พร้อมคอนเสิร์ตสุดมันกับ 4 ศิลปินชื่อดัง

นายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า นางสาวบัวทิพย์ จันทร์ดำรงกุล ผู้จัดการใหญ่ด้านการเงิน นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธน์ รองผู้จัดการใหญ่ด้านวางแผนการค้าและการตลาด นายอัตถากรณ์ สิงห์น้อย รองผู้จัดการใหญ่ด้านการผลิต และนายจิรภัทร สายเพชร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดกลุ่มรถออโตเมติก บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกันกับมิลลิ ทิลลี่เบิร์ด และเปเปอร์เพลน ในการเปิดกิจกรรม YAMAHA Best Automatic Fashion Festival 2024 รวมพลคนรักยามาฮ่า ออโตเมติก แฟชั่น

โดยภายในงานมีกิจกรรม และเกมสุดมันมากมาย พร้อมการประกวด Random Dance ประกวดเต้นสุดชิค Fashion Ride On Contest ประกวดการแต่งกายคู่กับรถคู่ใจ พรัอมกับ Art Piece BFF ที่เนรมิตผลงานโดย โก๋เอ็ม บุดดาเบลส นายกิตติพงษ์ คำศาสตร์ จุดถ่ายรูปเช็กอินสุดเก๋ พร้อมเกม และกิจกรรมให้ร่วมสนุกพร้อมของรับของรางวัลอย่างมากมาย

พร้อมกันนี้ยังมีบูธจำหน่ายรถจักรยานยนต์จากร้านรุ่งโรจน์มหานคร นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติกของยามาฮ่ามาร่วมออกบูธพร้อมโปรโมชันพิเศษภายในงาน บูธเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์ยามาลู้ป พร้อมบูธพันธมิตรทางการค้าหมวกกันน็อก INDEX ร้านจำหน่ายไฟหน้าและชุดโคมโปรเจคเตอร์ Sunbeam และ Asaki นำอุปกรณ์ไอทีมาร่วมจัดจำหน่าย

ปิดท้ายความยิ่งใหญ่กับคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ นำโดย MILLI ศิลปินสุดปัง Paper Planes ศิลปินป็อปร็อคแถวหน้าของแก๊งวัยรุ่นฟันน้ำนม Tilly Bird 3 หนุ่มบอยแบนด์ขนเพลงดังมาแบบจัดเต็ม ปิดทัายกับ Getsunova ตำนานดนตรีโพสต์พังก์และบริตป็อปกับเพลงฮิตทั่วเมืองไทย มาร่วมสร้างความสนุกสุดมัน

โดยกิจกรรม YAMAHA Best Automatic Fashion Festival 2024 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เอาใจชาวออโตเมติกแฟชั่นของยามาฮ่า ใจกลางสยามสแควร์ เมื่อเร็วๆ นี้

ไทยฮอนด้า เปิดตัวนักแข่ง และทีมโค้ชลุยศึกมอเตอร์สปอร์ต 2024

“ไทยฮอนด้า” เปิดตัวนักแข่ง และทีมโค้ชมอเตอร์สปอร์ต 2024 ตั้งเป้าสุดท้าทาย มุ่งสร้างผลงานในระดับโลก ”ก้อง-สมเกียรติ” นำทัพสู้ศึกโมโตทู ปีที่ 6 “ก๊องส์-ธัชกร” ลุยโมโตทรีเต็มฤดูกาลครั้งแรก

“ไทยฮอนด้า” ผู้นำวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย ประกาศแผนมอเตอร์สปอร์ตปี 2024 ยกระดับนักบิดไทยภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” สู่ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ส่ง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ลุยศึกชิงแชมป์โลกรุ่นโมโตทู ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ด้วยเป้าหมายสุดท้าทายในการจบอันดับท็อปทรี พร้อมดัน “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี อีกหนึ่งนักบิดฝีมือดี ลงแข่งขันโมโตทรี แบบเต็มฤดูกาลเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับการผลักดันนักแข่งดาวรุ่งอย่าง “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร ลุยศึกเยาวชนชิงแชมป์โลก รายการ “เอฟไอเอ็ม จูเนียร์จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” และ รายการ “เรดบูล โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ” เพื่อสร้างนักแข่งรุ่นใหม่สู่การเป็นนักแข่งระดับโลกในรุ่นต่อไป ภายใต้แนวคิด “The Next Successor To Become The World Class Riders”

มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ผู้นำวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย กล่าวว่า “ในปี 2023 ที่ผ่านมา นักแข่งจากทีม “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ต่างพากันสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม ทั้งหมดเป็นผลจากการทำงานอย่างเป็นระบบภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ที่ทำให้เราสามารถพัฒนานักแข่งได้อย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าในปีนี้ เราจะมีนักแข่งลงชิงชัยในศึกชิงแชมป์โลกถึงสองคน นั่นคือ “สมเกียรติ จันทรา” และ “ธัชกร บัวศรี” ในขณะเดียวกัน เราได้ผลักดันนักแข่งดาวรุ่งอีกมากมายลงแข่งในระดับนานาชาติและระดับเอเชีย ซึ่งอีกหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการส่งนักแข่งและทีมแข่งเข้าร่วมการแข่งขันที่มีความเข้มข้นอย่างรายการ “มาเลเซีย ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ” เป็นครั้งแรก รวมถึงการมอบตำแหน่ง ”เรซโค้ช” ให้กับ “มุกข์ลดา สารพืช” เข้ามาดูแลนักแข่งและถ่ายทอดประสบการณ์ร่วมกับ “รัฐภาคย์ วิไลโรจน์” และ “สิทธิศักดิ์ อ่อนเฉวียง” โดยมีที่ปรึกษาอย่าง มร.ชินอิจิ อิโต อดีตนักแข่งระดับเวิลด์กรังด์ปรีซ์ มาร่วมวางแผนการฝึกที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้นักแข่งของเราสร้างผลงานได้อย่างต่อเนื่องในทุกระดับ เราเชื่อว่าการแข่งขันในปีนี้จะมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก และไทยฮอนด้าพร้อมแล้วที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย ขอฝากแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยร่วมติดตามและส่งกำลังใจเชียร์ทีมแข่ง “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” และนักแข่งฮอนด้าทุกคนด้วยครับ”

เริ่มจากการแข่งขันในรายการที่เป็นที่สุดของโลก อย่างรายการ เวิลด์กรังด์ปรีซ์ ในปีนี้ ไทยฮอนด้าได้ส่ง 2 นักแข่ง เข้าร่วมชิงชัย “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา” หมายเลข 35 เจ้าของรางวัล นักกีฬาอาชีพชายดีเด่นสองปีซ้อน จากการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่คว้าอันดับ 6 ของโลกในเวิล์ดกรังด์ปรีซ์ 2023 รุ่นโมโตทู ลงแข่งขันรุ่นโมโตทู เป็นปีที่ 6 ภายใต้สังกัด “อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย” ด้วยเป้าหมายสุดท้าทาย นั่นคือการคว้าท็อปทรีให้ได้ ตามด้วย “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี หมายเลข 5 ลงสู้ศึก เวิลด์กรังด์ปรีซ์ใน รุ่นโมโตทรี แบบเต็มฤดูกาล ด้วยเป้าหมายคว้าท็อปเท็น

สำหรับการแข่งขันระดับเยาวชนชิงแชมป์โลก ไทยฮอนด้า ส่ง “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร หมายเลข 20 นักบิดดาวรุ่งเข้าแข่งขันในรายการ “เอฟไอเอ็ม จูเนียร์จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” และ “เรดบลู โมโตจีพี รุกกี้ส์ คัพ” โดยวางเป้าหมายไว้ที่การจบท็อปเท็นในทั้งสองรายการ

ในระดับเอเชีย เริ่มจากรายการ “เอเชีย ทาเลนต์ คัพ” ไทยฮอนด้า ส่ง 3 นักบิดดาวรุ่งไทย อย่าง “จิมมี่” บูรพา วันมูล พร้อมด้วย “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงษ์ และ “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง ลงแข่งขันเพื่อปูทางสู่ระดับโลกตามรอยรุ่นพี่ในการสร้าง “The Next Successor To Become The World Class Riders”

ตามด้วยรายการใหญ่ระดับเอเชียอย่าง “เอเชีย โร้ด เรซซิ่ง” ไทยฮอนด้า ส่ง “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ ภายใต้สังกัด “ฮอนด้า เอเชีย ดรีม เรซซิ่ง วิท แอสติโม” และ “แชมป์” ภาสวิชญ์ ฐิติวรารักษ์ ภายใต้สังกัด “แอสติโม เอสไอ เรซซิ่ง วิท ไทยฮอนด้า” ลงขับเคี่ยวกับนักแข่งแถวหน้าระดับเอเชีย ในรุ่น เอเชีย ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี นอกจากนั้นยังเดินหน้าผลักดันนักบิดรุ่นใหม่ “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงศ์ ลงเก็บประสบการณ์ในเวทีระดับเอเชีย ร่วมกับทีมเมทอย่าง “มิกซ์” ธนัช ละอองปลิว ในรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี

ส่วนรายการ “ออลเจแปน โร้ด เรซ แชมเปี้ยนชิพ” ไทยฮอนด้า ส่งนักบิดอีก 2 คนประกอบด้วย “จิมมี่” บูรพา วันมูล ผนึกกำลังกับ “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง” บิด NSF250R ลงสู้ศึก ในรุ่น J-GP3 ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเก็บประสบการณ์และเสริมความแข็งแกร่ง

พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการยกระดับในระดับนานาชาติให้กับนักบิดไทย และทีมช่าง ไทยฮอนด้าได้ประกาศส่งทีม “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ลงชิงชัยในศึก “มาเลเซีย ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ” เต็มฤดูกาล นำโดย “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ และ “แชมป์” ภาสวิชญ์ ฐิติวรารักษ์ ในรุ่น 1000 ซีซี  พร้อมส่ง “มิกซ์” ธนัช ละอองปลิว ลงขับเคี่ยวในรุ่น 600 ซีซี ตามด้วยรุ่นน้องดาวรุ่งฝีมือดี จากโครงการ “ไทยแลนด์ ทาเลนต์ คัพ” ประกอบด้วย “อุ้ม” นพรุธพงษ์ บุญประเวศ “คลาสดี” พิชญางกูฬ์ อินทร์จักร์” และ “ไฮเปค” กฤษฎา ธนะโชติ ร่วมชิงชัยในรุ่น 250 ซีซี

นอกจาการแข่งขันทางเรียบแล้ว ไทยฮอนด้ายังได้ส่งนักแข่งทางฝุ่นฝืมือดีอย่าง “แซงค์” กฤษฎา จำรูญจารีต เจ้าของแชมป์ประเทศไทย 4 สมัย ลงไล่ล่าแชมป์สมัยที่ 5 ในรายการ “เอฟเอ็มเอสซีที ไทยแลนด์ โมโตครอส” รุ่น MX-2A 

สำหรับแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของนักบิดไทยในโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” และ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ แชมเปี้ยน” รวมถึงส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้าทุกคนได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH

#ThaiHonda #MotoGP #Moto2 #Moto3 #SC35 #TB5 #JP20 #JuniorGP #Motorsport #RoadToMotoGP #RaceToTheOne #RaceToTheDream #RaceToTheChampion #HondaRacingThailand #HondaAcademy #HondaThailandTalentCup #AsiaTalent #ARRC #AllJapan #Malaysiasuperbike #FMSCT #ThailandMotocross

MMS มอบรางวัลรถยนต์ เปอโยต์ 2008 แก่ผู้โชคดี

MMS ศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร มอบรางวัลรถยนต์ เปอโยต์ 2008 แก่ผู้โชคดี จากแคมเปญฉลองครบรอบ 15 ปี พร้อมเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่ รองรับการเติบโต

บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) สำหรับรถญี่ปุ่นและยุโรปที่หมดระยะการรับประกัน จัดพิธีมอบรางวัลที่หนึ่ง รถยนต์ ‘เปอโยต์ 2008’ เอสยูวีสไตล์ฝรั่งเศส จากแคมเปญ MMS ฉลองครบรอบ 15 ปี ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ร่วมชิงรางวัลต่างๆ กว่า 2,000 รางวัล นับเป็นการตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้า ที่มีต่อบริการอันเป็นเลิศของ MMS เรื่อยมา

ขนิษ วงศ์จินดารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับลูกค้าผู้โชคดีทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับรางวัลใหญ่ รถยนต์ เปอโยต์ 2008 เอสยูวีดีไซน์และสมรรถนะเยี่ยมจากฝรั่งเศส แคมเปญนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการขอบพระคุณลูกค้า ที่มอบความไว้วางใจให้ MMS ด้วยดี ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา โดยตลอดระยะเวลาการจัดแคมเปญกว่า 8 เดือน มีผู้สนใจเข้าร่วมลุ้นโชคกว่า 12,000 ราย พร้อมกับเป็นการสมนาคุณลูกค้าที่ไว้วางใจเข้ารับบริการกับ MMS จากทั้ง 22 สาขา และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้นี้”

ผู้โชคดีรับรางวัลใหญ่ นักเทคโนโลยีรางวัลพระราชทาน 2559 สร้างงานศึกษาและพัฒนาอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม

รศ.ดร วีระศักดิ์ สุระเรืองชัย อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และสถาบันวิทยาศาสตร์การวิเคราะห์และตรวจการกีฬา มหาวิยาลัยมหิดล มีภารกิจการศึกษาวิจัยด้านเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ การศึกษาในการพัฒนาเยาวชนที่มีความสามารถสูงพิเศษ และได้รับรางวัลพระราชทาน นักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2559 โดย รศ.ดร วีระศักดิ์ กล่าวว่า “มาใช้บริการที่นี่เป็นประจำ เพราะตอบโจทย์ความต้องการ ในด้านซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ที่ครอบคลุม และรู้สึกดีใจที่ทาง MMS มีการจัดแคมเปญคืนกำไรให้กับลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่า ได้รับรางวัลใหญ่เป็นรถยนต์ เปอโยต์ ที่เคยรับรู้ถึงมาตรฐานด้านสมรรถนะและการขับขี่ที่ปลอดภัย ที่สำคัญดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์แบบฉบับฝรั่งเศส ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ขอขอบคุณ MMS สำหรับรางวัลนี้ พร้อมกับบริการที่เป็นเยี่ยม สร้างความน่าเชื่อถือและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง”

เดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่ ชูศักยภาพการแข่งขัน พร้อมขยายสาขารองรับการเติบโต

MMS เดินหน้าปรับภาพลักษณ์ของแต่ละสาขาให้ทันสมัยขึ้น เริ่ม 4 สาขาแรกในไตรมาสที่ 2 ได้แก่ รามอินทรา, งามวงศ์วาน, สุขาภิบาล 3 และลำลูกกา ต่อเนื่องอีก 4 สาขา พร้อมเพิ่มความสะดวกสบายของห้องรับรองลูกค้า ขณะที่การขยายสาขายังดำเนินการตามแผนเดิมที่ตั้งไว้ และจากสภาวการณ์เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา อีกทั้งการแข่งขันสูง ในปีนี้ MMS ต้องการชูศักยภาพ พร้อมความเข้มข้นในด้านต่างๆ อาทิ ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและกรณีซ่อมหนัก โดยเฉพาะรถยุโรป โดยมีเครื่องมือวิเคราะห์ พร้อมทีมที่ปรึกษาสายด่วน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้า

การเป็นตัวแทนจำหน่าย ทูนแนป (TUNAP) ผลิตภัณฑ์บำรุงรักษารถยนต์และเครื่องยนต์จากเยอรมนี ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมบริการเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเครื่อง ไปถึงการทำความสะอาดระบบปรับอากาศ โดยไม่ต้องถอดตู้แอร์ และใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดเชื้อแบคทีเรีย ระบบ airco well ลิขสิทธ์เฉพาะทูนแนป รวมถึงการเป็นผู้แทนจำหน่ายผ้าเบรกและจานเบรก BOSCH แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยผ้าเบรก BOSCH BLUE LINE รุ่นใหม่ รองรับรถยนต์ในท้องตลาดหลากรุ่น จุดเด่นคือความเงียบ ลดการเกิดฝุ่น พร้อมประสิทธิภาพในการเบรกที่ดีเยี่ยม นับเป็นอีกปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจของ MMS Bosch Car Service ตลอดจนในส่วนธุรกิจ Parts Wholesale

มา MMS ที่เดียวจบ ครบทุกบริการแบบ ‘One-Stop Service’

เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ให้บริการภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘หนัก-เบา เราซ่อมได้’ อาทิ การตรวจสภาพพร้อมบำรุงรักษาตามระยะทาง, ทำความสะอาดระบบปรับอากาศ, เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, แบตเตอรี่, ยาง, เบรก ไปจนถึงการซ่อมช่วงล่าง, เกียร์อัตโนมัติ เครื่องยนต์ และระบบไฮบริด โดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากสถาบัน มาสเตอร์ ออโตโมทีฟ เทรนนิ่ง พร้อมการรับประกันคุณภาพงานซ่อมสูงสุด 1 ปี หรือ 20,000 กม. ลูกค้าสามารถผ่อนชำระ 0% ได้หลายรายการ หรือแม้แต่โปรแกรมที่ปรึกษา ช่วยดูแลรถยนต์สำหรับลูกค้าองค์กร เพื่อช่วยในการควบคุมค่าใช้จ่าย ตอบโจทย์การบำรุงรักษารถยนต์แบบครบวงจร อีกทั้งให้ความสำคัญกับความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ทั้งในส่วนของลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่ ที่เข้ามาใช้บริการ

ปัจจุบัน เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ มีเครือข่ายพร้อมให้บริการทั้งหมด 22 สาขา คือ เกษตร-นวมินทร์, ประดิษฐ์มนูธรรม, พระราม 4, รามอินทรา, งามวงศ์วาน, สุขาภิบาล 3, สำโรง, เพชรเกษม, ราชพฤกษ์, ลำลูกกา, รังสิต, รามคำแหง, คู้บอน, พุทธบูชา, กาญจนาภิเษก, ศรีนครินทร์, พระรามที่ 5, ระยอง, บางแสน, พัทยา, อุบลราชธานี และภูเก็ต

สอบถามข้อมูล โทร.1396 MMS CAR SERVICES AND TYRES

LINE Official: @mmsbosch

Facebook: MMSBoschcarservice

www.mmsboschcarservice.com

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทย

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทยคว้าแชมป์ ถ้วยพระราชทาน “ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024”  

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทยคว้าแชมป์ การแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ระดับนานาชาติ “ปรินเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024” ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูปเปอร์ 300  ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนสะสมระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,240,000 บาท ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ปทุมวัน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวในการแถลงข่าวว่า “ในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของรายการ โตโยต้ามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันไทย และต้องขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของนักกีฬาและทีมผู้ฝึกสอนที่ทำผลงานและคว้าแชมป์ในครั้งนี้ ซึ่งผมได้เห็นถึงความพยายามอย่างหนัก ความตั้งใจในการฝึกฝนจนทำให้นักกีฬาสามารถเอาชนะและสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อมอบความสุขให้กับแฟนกีฬาแบดมินตันไทยอีกครั้ง พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยให้หันมาสนใจเล่นกีฬาแบดมินตันให้มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญผมขอขอบคุณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยใน

พระบรมราชูปถัมภ์ ที่ได้ให้โอกาส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ในการเป็นผู้สนับสนุนหลักสำหรับการจัดการแข่งขัน “ปริ๊สเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024” ครั้งนี้”

                  “โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

โตโยต้า เผยยอดขายรถยนต์ปี 2566

โตโยต้า แถลงยอดขายรถยนต์ปี 2566 คาดการณ์ตลาดรวมปี 2567 ที่ 800,000 คัน พร้อมตั้งเป้าประมาณการขายโตโยต้าที่ 277,000 คัน

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2566 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2567 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567

สถิติการขายรถยนต์ในปี 2566

ปี 2566 ถือเป็นปีที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว โดยตลาดภายในประเทศยังคงมีทิศทางที่ชะลอตัว ในขณะที่ภาคการส่งออกโดยรวมมีการขยายตัวที่ดีขึ้น ทั้งนี้ มีปัจจัยหลากหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดในปีที่ผ่านมา ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้อที่ชะลอตัวลงจากหนี้ครัวเรือนสูง ตลอดจนการชะลอซื้อรถยนต์ของภาคธุรกิจเพื่อรอความชัดเจนจากมาตรการรัฐซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ขณะเดียวกันสถาบันการเงินก็เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม ยังพอมีปัจจัยด้านบวกอื่นๆ ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม อาทิ สัดส่วนการขายของตลาดรถยนต์นั่งในประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยได้กระแสความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ได้อานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนด้านราคาของภาครัฐ ตลอดจนตัวเลขการส่งออกรถยนต์ของไทยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการผลิตเพื่อส่งออกในช่วงที่ผ่านมา เพื่อชดเชยการส่งมอบรถที่ล่าช้าจากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญจนทำให้การผลิตล่าช้าออกไปในปีก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว ได้สะท้อนมายังตลาดรถยนต์ในประเทศ โดยมีตัวเลขยอดขายรวมในปี 2566 อยู่ที่ 775,780 คัน หรือลดลง 9% เมื่อเทียบกับปี 2565

สถิติการขายรถยนต์ในปี 2566ยอดขายปี 2566การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2565
ปริมาณการขายรวม 775,780 คัน-9%
รถยนต์นั่ง  292,505 คัน                 +10%
รถเพื่อการพาณิชย์483,275 คัน                 -17%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)325,024 คัน                 -29%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)264,738 คัน                 -32%

สำหรับยอดขายของโตโยต้าในปี 2566 มียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 265,949 คัน หรือลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หากแต่ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 34.3% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์นั่งของโตโยต้ามีการเติบโตสูงขึ้นจากปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถอีโคคาร์ที่ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ได้อย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จด้านยอดขายของรถยนต์ Yaris ATIV รวมถึงการมีรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง  Yaris Cross ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า นอกจากนี้ การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการมีผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่หลากหลายของโตโยต้า ก็มีส่วนทำให้สามารถเข้าถึงและใกล้ชิดกับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายต่างๆได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

นอกเหนือจากรถยนต์ภายใต้แบรนด์โตโยต้า ในปี 2566 ที่ผ่านมา แบรนด์เลกซัส ประเทศไทย ประสบความสำเร็จ มียอดขายสูงสุด อยู่ที่ 1,012 คัน นับเป็นครั้งแรกที่ เลกซัส ประเทศไทย สามารถสร้างยอดขายได้สูงสุดถึงระดับกว่า 1,000 คัน แสดงถึงความไว้วางใจ และความมั่นใจของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อแบรนด์เลกซัส

สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2566ยอดขายปี 2566การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2565ส่วนแบ่งตลาด
ปริมาณการขายโตโยต้า265,949 คัน-8%34.3%
รถยนต์นั่ง99,292 คัน+20%33.9%
รถเพื่อการพาณิชย์ 166,657 คัน-19%34.5%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 128,689 คัน-27%39.6%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 106,601 คัน-28%40.3%

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2567

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2567 คาดว่าจะยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมๆ กับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด โดยมีปัจจัยรอบด้านที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวม อาทิ การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น นโยบายของภาครัฐที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายให้เร่งตัวขึ้น การขยายตัวของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายในประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลในด้านการส่งออก ตลอดจนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง และทิศทางของนโยบายอัตราดอกเบี้ยอีกด้วย ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2567 จะอยู่ที่ 800,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2567ยอดขายประมาณการ ปี 2567เปลี่ยนแปลงเทียบกับ ปี 2566
ปริมาณการขายรวม800,000 คัน +3%
รถยนต์นั่ง296,500 คัน +1%
รถเพื่อการพาณิชย์503,500 คัน +4%

สำหรับโตโยต้า ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 277,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 4% โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 34.6%

ประมาณการยอดขายรถยนต์โตโยต้าในปี 2567ยอดขายประมาณการ ปี 2567เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2566ส่วนแบ่งตลาด
ปริมาณการขายโตโยต้า277,000 คัน +4%34.6%
รถยนต์นั่ง81,700 คัน -18%27.6%
รถเพื่อการพาณิชย์195,300 คัน +17%38.8%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)133,264 คัน +4%41.2%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)114,500 คัน +7%42.1%

ปริมาณการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2566

ในปี 2566 โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปจำนวน 379,044 คัน เพิ่มขึ้น 0.2% จากปี 2565 โดยยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกในปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 621,156 คัน หรือลดลง 5.8% จากปี 2565

ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของ โตโยต้าในปี 2566ปริมาณในปี 2566เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2565
ปริมาณการส่งออก379,044 คัน +0.2%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 621,156 คัน -5.8%

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2567

สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปี 2567 คาดการณ์ว่ายังต้องเผชิญกับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ตลอดจนภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าที่ยังคงชะลอตัว ส่งผลให้โตโยต้าตั้งเป้าปริมาณการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 358,800 คัน หรือลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และได้ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของปี 2567 อยู่ที่ราว 615,700 คัน หรือลดลง 0.9% จากปีที่ผ่านมา

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของโตโยต้าปี 2567ปริมาณในปี 2567เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2566
ปริมาณการส่งออก358,800 คัน -5.0%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ615,700 คัน -0.9%

การดำเนินงานในด้านอื่นๆของโตโยต้าในประเทศไทย

ในปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจยานยนต์แล้ว โตโยต้ายังได้มีในการดำเนินงานในด้านต่างๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้าง “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) โดยได้มีการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” เพื่อทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่สำคัญ อาทิ

1)การลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น / เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP / บริษัท ทรู ลีสซิ่ง / บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCG, และ Commercial Japan Partnership Technologies Corporation หรือ CJPT เพื่อเร่งความร่วมมือในการมุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในประเทศไทย โดยได้เริ่มต้นดำเนินการทดลองใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านข้อมูลด้านการเดินทาง และด้านพลังงาน ซึ่งในปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินความร่วมมือที่เห็นเด่นชัดคือ การเปิดตัวเครื่องผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซชีวภาพที่ได้มาจากมูลสัตว์ในฟาร์มสัตว์ปีกและเศษอาหารของซีพี และอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหารของโตโยต้า โดยนำพลังงานนั้นมาใช้กับรถพลังงานไฮโดรเจน ทั้งนี้ ความท้าทายต่อไป คือการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน และการลดต้นทุนในกระบวนการทั้งหมดของขั้นตอน “การผลิต” “การขนส่ง” และ “การใช้” พลังงานโดยการใช้พลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับสภาพ และการใช้งานในประเทศไทย นอกจากนี้ เพื่อปรับปรุงให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการใช้ข้อมูล จะมีการนำข้อมูลด้านค้าปลีก และขนส่งจาก ซีพีและเอสซีจี รวมถึงการนำเทคโนโลยี “Digital Twin” (การสร้างโมเดลเสมือนจริงจากพื้นที่จริง) ของโตโยต้า มาเพิ่มประสิทธิภาพของ “การเดินทาง การขนส่ง และพลังงาน” โดยร่วมมือกับระบบทางสังคม เช่น การจัดการพลังงานและการควบคุมการจราจร เป็นต้น

2)การต่อยอดโครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ ที่โตโยต้าร่วมมือกับเมืองพัทยาในการจัดสร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์พลังงานทางเลือกที่จัดเตรียมไว้ให้ผู้คนในเมืองพัทยาได้ทดลองใช้งานในการเดินทางรูปแบบต่างๆ ได้มีการต่อยอดไปสู่การเตรียมความพร้อมในการนำรถกระบะต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง Hilux REVO BEV มาให้บริการในรูปแบบรถโดยสารประจำทางสาธารณะแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยา โดยพร้อมที่จะเริ่มทดลองให้บริการได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของรถในโครงการทั้งหมดมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4,000 ตัน ต่อปี

นอกจากนี้ ในด้านกิจกรรมสังคมอื่นๆ โตโยต้าก็ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนสังคมไทย สู่ “ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมที่ดี ผ่านการดำเนินกิจกรรมและขยายผลการดำเนินงานในโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแสวงหาแนวทางการประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อมีส่วนช่วยผลักดันในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป

               โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต

โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ ฉลองครบรอบ 10 ปี ยกระดับธุรกิจชุมชนไทยครบวงจร

โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ ฉลองความสำเร็จครบรอบ 10 ปี พร้อมลงนามความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับการพัฒนาธุรกิจชุมชนไทยอย่างครบวงจร ควบคู่สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายนันทวัฒน์ ศรีวรัตน์อัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเป็นเกียรติภายในงานฉลองความสำเร็จครบรอบ 10 ปี โครงการโตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ และพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับ การพัฒนาธุรกิจชุมชนไทยอย่างครบวงจร ควบคู่สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ณ TOYOTA ALIVE เมื่อวันอังคารที่ 30 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ริเริ่มโครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดยเกิดจากความมุ่งหวังที่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา ปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานของธุรกิจชุมชนไทย อันเป็น ภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มพูนกำไร และดำเนินธุรกิจด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน

โดยตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา โครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือธุรกิจชุมชนในลักษณะของการเป็น “พี่เลี้ยงทางธุรกิจ” โดยร่วมศึกษาถึงสาเหตุของปัญหา พร้อมนำองค์ความรู้และปัจจัยแห่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้า ได้แก่ วิถีโตโยต้า (Toyota Way) ระบบการผลิตแบบโตโยต้า (TPS : Toyota Production System) และหลักการไคเซ็น (Kaizen) เข้าไปถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทและความพร้อมของธุรกิจชุมชนต่างๆ มีส่วนช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเหล่านี้มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่างๆอย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และสร้างผลกำไร พร้อมทั้งได้มีการยกระดับไปสู่การเปิดเป็น “ศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” 6 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ครบทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

นอกจากนี้ โตโยต้ายังได้มีการขยายผลโดยนำองค์ความรู้และประสบการณ์จากการดำเนินโครงการ ไปถ่ายทอดเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ โดยความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ อาทิ ความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ในการดำเนินงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมในจังหวัดกรุงเทพฯ นครราชสีมา ชลบุรี และโครงการ ชุมชนดีพร้อม ตลอดจนการจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศอีกด้วย ทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การขยายผลต่อยอดองค์ความรู้ของโครงการโตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ ได้มีส่วนช่วยในการพัฒนาธุรกิจต่างๆ ไปแล้ว 2,089 ธุรกิจ ช่วยเพิ่มพูนผลกำไรได้เป็นมูลค่ารวม 805 ล้านบาท และส่งต่อองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้คนทั่วไปที่สนใจเรียนรู้ไปแล้วกว่า 100,000 คน

สำหรับการก้าวสู่ปีที่ 11 ของโครงการ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ มีความมุ่งหวังที่จะยกระดับการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อช่วยปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจชุมชนไทยให้ครอบคลุมในทุกมิติของการดำเนินงานอย่างครบวงจร ควบคู่ไปกับการส่งเสริมแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จึงนำมาสู่การลงนามความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ในการส่งเสริมความร่วมมือและสนับสนุนโครงการต่างๆ เช่น

1.การถ่ายทอดความรู้เชิงขั้นตอนให้กับผู้ประกอบการชุมชน ผ่านโครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการชุมชน ในการบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ได้มาตรฐาน พร้อมเสริมความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ ร่วมกับการเสริมทักษะในด้านอื่นๆ ที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ โดยการสนับสนุนจากกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

2.กิจกรรมพัฒนาสถานประกอบการด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติผ่านกลไกความร่วมมือ Global Player ซึ่งจัดขึ้นโดยกองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ภายใต้การดำเนินการร่วมกับบริษัทโตโยต้า ออโต้ บอดี้ ประเทศไทย จำกัด ตลอดระยะเวลา 3 ปี กับอีก 23 บริษัท โดยการนำองค์ความรู้ทั้งด้านการจัดการการผลิตและการนำเทคโนโลยีเครื่องจักรอัตโนมัติ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ และลดต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการไทย

3.การร่วมดําเนินโครงการอื่นๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน

ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการไทย ผ่านองค์ความรู้ด้านการผลิตที่เป็นจุดเด่นของโตโยต้า โดยส่งเสริมทั้งในด้านผลิตผล คุณภาพ การส่งมอบสินค้า การบริหารสินค้าคงคลัง และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งส่งเสริมแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวทาง   ของภาครัฐ ที่ส่งเสริมนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนสู่ระดับชุมชน ในขณะที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมซึ่งพร้อม ให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการไทยอย่างรอบด้าน จะเป็นส่วนที่ช่วยเติมเต็มการพัฒนาในด้านอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการไทยต้องการ อาทิ ทักษะการบริหารจัดการของผู้ประกอบการ การตลาด การเงินการบัญชี การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ระบบโลจิสติกส์ ตลอดจนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ โดยองค์ประกอบทางความรู้ต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทย ในการพัฒนาศักยภาพการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองได้อย่างครบวงจร เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐสู่อุตสาหกรรม 4.0 และช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งในกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และสร้างเสถียรภาพแก่เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

“โรเตอร์-ทองเจือ” เซ็นลุยศึก Super Race 2024

“โรเตอร์” ไพชยนต์ ทองเจือ ยอดนักขับดาวรุ่งชาวไทยวัย 15 ปี สร้างประวัติศาสตร์เซ็นสัญญาร่วมทีมดังเกาหลีใต้อย่าง AMC Motorsport ลุยศึกมอเตอร์สปอร์ตอันดับหนึ่งแดนกิมจิ “Super Race Championship 2024” หลังสร้างผลงานกระหึ่มในปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าล่าแชมป์ประจำปีสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย

(5 กุมภาพันธ์ 2567- กรุงเทพฯ, ประเทศไทย) ผู้บริหารระดับสูง คุณยอม ฮอน จุน YUM HYUN JUN ทีมแข่งมอเตอร์สปอร์ตชื่อดังจากประเทศเกาหลีใต้ AMC Motorsport บินด่วน ร่วมลงนามในพิธีเซ็นสัญญา กับทีม RZ Racing / Thailand ของนักแข่งและนักแสดงชื่อดัง “พีท ทองเจือ” เพื่อคว้าตัว “โรเตอร์ – ไพชยนต์ ทองเจือ” เข้าร่วมทีมในการแข่งขัน “Super Race Championship” ฤดูกาล 2024 ณ ประเทศเกาหลีใต้ ท่ามกลางผู้สนับสนุนและแฟนความเร็วจำนวนมากมาร่วมเป็นสักขีพยาน โดยที่ขาดไม่ได้คือครอบครัวทองเจือ ทั้งคุณแม่เจง วิไลลักษณ์ ทองเจือ และลูกสาว เซย่า ณิชฏา ทองเจือ รวมทั้งคุณปู่ ภิญโญ ทองเจือ และนี่คือเวลาแห่งการจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบของไทยอีกครั้ง กับน้องโรเตอร์ ไพชยนต์ ทองเจือ ที่จะก้าวสู่การเป็นนักแข่งมืออาชีพระดับโลก เพื่อทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทย

“โรเตอร์ – ไพชยนต์ ทองเจือ” นับเป็นนักแข่งรถคนไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปร่วมการแข่งขันกับทีม AMC Motorsport / Korea หลังสร้างผลงานอย่างโดดเด่นในฤดูกาลที่ผ่านมา

การเข้าร่วมแข่งขันในศึก Super Race 2024 ซึ่งถือเป็นการแข่งขันรถยนต์เบอร์หนึ่งของ “เกาหลีใต้” เป็นการขยับตัวครั้งใหญ่ของ “โรเตอร์ – ไพชยนต์ ทองเจือ” ในฐานะนักแข่งไทย และเป็นการสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ “โรเตอร์ – ไพชยนต์ ทองเจือ” จะลงแข่งขันในรุ่น Super 6000 ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศเกาหลีใต้ โดยจะดวลความเร็วทั้งสิ้น 8 สนาม ในฤดูกาล 2024 ประเดิมสนามแรกในวันที่19-21 เมษายนนี้

สำหรับในปี 2023 ที่ผ่านมา “โรเตอร์ – ไพชยนต์ ทองเจือ” ได้เข้าร่วมการแข่งขันในศึก Super Race Championship ในรุ่น Radical SR1 ที่ประเทศเกาหลีใต้ มาแล้ว โดยนับเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดเพียง 14 ที่ลงแข่งขัน

โดยนักขับดาวรุ่งชาวไทยสร้างผลงานอย่างโดดเด่น ตลอด 7 สนามของปีที่ผ่านมา ด้วยการคว้าชัยชนะมาได้ทั้งสิ้น 5 เรซ และ อันดับ 2 อีก 1 สนาม โดยหนึ่งในนั้นคือการคว้าดับเบิลแชมป์มาได้ 1 ครั้ง ส่งผลให้สามารถคว้าแชมป์ประจำปีไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ จนได้รับความสนใจจาก AMC MOTORSPORT ทีมยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ เซ็นสัญญาเข้าร่วมทีมในฤดูกาลนี้ เพื่อไล่ล่าความสำเร็จร่วมกัน

สำรวจ EV Ecosystem ยานยนต์ไฟฟ้าไทย : นวัตกรรมและการพัฒนา EV ที่ควรรู้

ปัญหาด้านมลพิษ ความผันผวนของราคาน้ำมัน และสภาพอากาศที่แปรปรวนเป็นปัจจัยเร่งให้รัฐบาลหลายประเทศหันมารณรงค์และส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แทนที่รถเครื่องยนต์สันดาป (ICE) กันมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ที่มาแรงและน่าจับตามอง รวมถึงเป็นแรงหนุนให้ฝั่งผู้ผลิตยานยนต์ต่างเร่งพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมอันทันสมัย เพื่อรองรับความต้องการการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะเห็นได้ว่า ในประเทศไทยเฉพาะปี 2566 เพียงปีเดียว ก็สามารถทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศไปได้กว่า 77,684 คัน ซึ่งเติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 555%

ด้วยแนวโน้มของผู้บริโภคที่หันมาที่ตัวเลือกรถยนต์ไฟฟ้ากันมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน ค่ายรถยนต์หลายแห่งจึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันทันสมัย ทั้งภายนอกและภายในรถยนต์เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Ecosystem ของรถยนต์ไฟฟ้าในไทยปัจจุบันมีความคืบหน้าอะไรที่ผู้บริโภคควรรู้ ไปดูกัน

ประสิทธิภาพแบตเตอรี่

หนึ่งในชิ้นส่วนสำคัญหลักที่อยู่เบื้องหลังขุมพลังของรถยนต์ไฟฟ้านั่นก็คือ แบตเตอรี่ที่เป็นขุมพลังหลักเช่นเดียวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์สันดาป ข้อมูลจาก Krungthai Compass ระบุว่า ระยะทางการขับขี่ที่ไกลขึ้นเป็นปัจจัยที่ช่วยให้คนตัดสินใจปรับเปลี่ยนมาใช้รถยนต์เครื่องยนต์ไฟฟ้า 100% (Battery Electric Vehicle: BEV) กันมากขึ้น โดยข้อมูลจาก International Energy Agency (IEA) ยังระบุว่า ในปี 2560 รถยนต์ BEV มีระยะทางขับขี่โดยเฉลี่ยต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อยู่ที่ 243 กิโลเมตร และในปี 2561 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 280 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง จนถึงปี 2565 วิ่งได้ระยะทางเฉลี่ยเพิ่มเป็น 395 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หรือเพิ่มขึ้นกว่า 41% โดยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนนั้น มีการใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 42% เนื่องจากสามารถเก็บประจุไฟฟ้า (Energy Density) ได้มาก อยู่ที่ราว 50-260 Wh/kg จ่ายไฟได้เสถียร มีอายุการใช้งานนานกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่น โดยสามารถรองรับเทคโนโลยี Fast Charge ส่วนใหญ่นั้นวิ่งได้ประมาณ 300-400 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง แน่นอนว่าในปัจจุบัน ด้านของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเองก็ยังคงมีการพัฒนานวัตกรรมกักเก็บพลังงานอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยสโฟวล์ท

เอเนอจี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) ในเครือ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ล่าสุดได้นำผลิตภัณฑ์แรกคือ ชุดแบตเตอรี่ SVOLT LCPT ออกจากสายการผลิตของโรงงานผลิตแบตเตอรี่ SVOLT Energy Module Pack ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยเป็นชุดแบตเตอรี่ลิเธียม ไออน ฟอสเฟตมีความจุพลังงาน 60 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนได้มากกว่า 500 กิโลเมตร มีต้นทุนการผลิตต่ำ แต่มีประสิทธิภาพการใช้งานสูงและให้กำลังไฟฟ้าที่มาก ถือเป็นตัวเลือกที่เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทยใน

เซ็กเมนต์รถยนต์ส่วนบุคคลขนาดเล็ก (A Segment) โดยตั้งแต่มีนาคมปีนี้เป็นต้นไป สโฟวล์ท ได้วางแผนที่จะเริ่มใช้แบตเตอรี่ชุดประกอบในไทยกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น New GWM ORA Good Cat ที่เพิ่งมีการเปิดตัวและประกาศราคาออกจากสายการผลิตในประเทศไทยเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา

นอกจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้น ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผันผวนยังส่งผลให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่ และพิจารณารถยนต์ไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เนื่องจากค่าพลังงานของรถยนต์ไฟฟ้าต่อกิโลเมตร มีราคาถูกกว่ารถยนต์สันดาปถึง 4 เท่า เช่น หากปกติรถเครื่องยนต์สันดาปมีค่าน้ำมันเดือนละ 4,000 บาท เมื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดเท่ากัน เราจะเสียค่าไฟฟ้าเพียงเดือนละไม่ถึง 1,000 บาทเท่านั้นในกรณีที่ชาร์จที่บ้านเป็นหลัก

ความคืบหน้าของสถานีชาร์จ

ข้อมูลจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) พบว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 จำนวนสถานีชาร์จ EV ในไทย อยู่ที่ 2,222 แห่ง โดยเป็นจุดชาร์จ EV แบบกระแสสลับ (AC) ทั้งสิ้น 4,806 หัวจ่าย แบบกระแสตรง ประเภท DC CCS2 3,540 หัวจ่าย และแบบกระแสตรงประเภท DC CHAdeMO 356 หัวจ่าย รวมทั้งสิ้น 8,702 หัวจ่าย (ไม่รวมสถานีชาร์จสาธารณะที่ให้บริการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาใกล้เคียงกันของปี 2565 ณ วันที่ 20 กันยายน 2565 ประเทศไทยมีจำนวนหัวจ่ายรวมเพียง 2,572 หัวจ่าย โดยแบ่งเป็น แบบกระแสสลับ (AC) 1,384 หัวจ่าย แบบกระแสตรง ประเภท DC CCS2 942 หัวจ่าย และแบบกระแสตรงประเภท DC CHAdeMO 246 หัวจ่าย จากสถานีชาร์จเพียง 869 แห่ง จะเห็นได้ว่าในช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งปี ประเทศไทยมีจำนวนสถานีชาร์จเพิ่มขึ้นถึง 1,353 สถานี และมีจำนวนหัวจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 6,130 หัวจ่าย จากปีที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของหัวจ่ายประเภท DC CCS2 ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 2,598 หัวจ่าย หรือคิดเป็นการเติบโต 354% และในปัจจุบันเราได้เห็นทั้งการร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการร่วมกันวางโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งของรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอบรับกระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นให้ประชาชนไทยสามารถเข้าถึงได้อย่างครอบคลุม

โดยทางฝั่งของภาครัฐ กรมธุรกิจพลังงานมีแผนกำหนดกรอบการให้บริการติดตั้งสถานีชาร์จ EV และการลงนาม MOU กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ในปัจจุบันก็ยังได้เห็นการร่วมมือของภาคเอกชนในการขยายสถานีชาร์จ กระจายความทั่วถึงให้กับผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ด้าน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้เล่นของยานยนต์พลังงานใหม่ตระหนักถึงความต้องการเหล่านี้ พร้อมมุ่งมั่นในการขยายสถานีชาร์จเพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ชาวไทย ได้มีการลงนามความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในการขยายและพัฒนาระบบของสถานีชาร์จให้ครอบคลุม รวมถึงได้มีการรวบรวมสถานที่ตั้งสถานีชาร์จทั่วประเทศเข้ามาอยู่ใน GWM application เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าชาวไทยอีกด้วย โดยจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ขยายการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบเร็ว (DC Fast Charge) รวมทั้งสิ้น 24 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 17 จังหวัด ไม่ว่าจะเป็น สมุทรปราการ ปทุมธานี เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก สระบุรี อุบลราชธานี นครราชสีมา ระยอง ชลบุรี จันทบุรี กระบี่ สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต โดยบริษัทฯ มีแผนการดำเนินงานขยายเพิ่มอีกให้ครบ 71 สถานีชาร์จ ภายในปี 2567

สถานการณ์ความพร้อมของฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

จากกระแสความนิยมทำให้ค่ายรถหลายรายเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย โดยเฉพาะแบรนด์ผู้ผลิตจากจีนที่ถือเป็นผู้บุกเบิกยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า ล่าสุด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า New GWM ORA Good Cat จากโรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จังหวัดระยอง โดยการเปิดสายการผลิตภายในประเทศนี้ ถือเป็นครั้งแรกของไทยที่มีการผลิตเพื่อจัดจำหน่ายจำนวนมาก (Mass production) ตอบรับนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ

ในปี 2567 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีแผนที่ต้องผลิตชดเชยตามมาตรการ EV 3.0 จำนวนประมาณ 15,000 คันภายในปี 2568 โดยตั้งเป้าหมายว่าจะผลิตประมาณ 8,000 คันในปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เพิ่มอัตราจ้างงาน พร้อมฝึกอบรม พัฒนาทักษะการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านเทคนิคการผลิตรถยนต์ EV ให้กับพนักงานชาวไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโรงงาน GWM Smart Factory แห่งนี้ถือเป็นโรงงานผลิตแบบเต็มรูปแบบแห่งที่สอง นอกประเทศจีนของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ และได้ผ่านการรับรอง มาตรฐานสากล ISO 9001 14001 และ 45001 เรียบร้อยแล้ว จึงเชื่อมั่นได้ว่ารถที่ผลิตจากโรงงานแห่งนี้ได้คุณภาพภายใต้กระบวนการผลิตที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่จะเป็นผู้นำด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV Leader) พร้อมเดินหน้าส่งมอบรถยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ควบคู่กับส่งมอบความสะดวกสบาย ไร้กังวล และสร้างความประทับใจตลอดการเดินทางถืงมือลูกค้าชาวไทยทุกคน

เกีย เปิดแผนธุรกิจวาง Plan S-5 รุกตลาดเมืองไทย

เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย กางแผน ‘Plan S-5’ บุกตลาดระยะยาว พร้อมเร่งทำตลาด EV ด้วยแผนเปิดตัว Kia EV9 และยกระดับกลยุทธ์ด้านบริการ ด้วยการรับประกันคุณภาพรถนานถึง 7 ปี

เกีย คอร์ปอเรชัน ประกาศตั้งบริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจของเกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ในปี 2567 ภายใต้วิสัยทัศน์ที่จะพลิกโฉมแบรนด์ และสร้างการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาวผ่านกลยุทธ์ระดับองค์กรของเกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ในชื่อ ‘Plan S-5’ เพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายปี 2567-2571

นายจุน โอ อี ประธาน บริษัท เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “วันนี้นับเป็นโอกาสอันดีสำหรับก้าวแรกของการดำเนินงานของ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ในการเข้าสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แผนกลยุทธ์ Kia Plan S ของเราที่ใช้ในการดำเนินงานทั่วโลก มีรากฐานอยู่บนเสาหลัก 3 ประการ คือ โลก (Planet) ผู้คน (People) และผลกำไร (Profit) เพื่อหล่อเลี้ยงความไว้วางใจ และการมีส่วนร่วมระหว่างพนักงานของเรากับชุมชน เราจึงวางตำแหน่งของตนเองในฐานะ ‘Sustainable Mobility Solutions Provider’ หรือ ‘แบรนด์ที่มุ่งตอบโจทย์การเดินทางอย่างยั่งยืน’ ซึ่งถือเป็นปรัชญาประจำองค์กรของเราเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต ในส่วนของ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) เราได้วางแผนการดำเนินงานขององค์กรไว้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของเราสำหรับปี 2567-2571 โดยให้ชื่อว่ากลยุทธ์ ‘Plan S-5’ ซึ่งประกอบด้วยเป้าหมายหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1) ครองส่วนแบ่ง 5% ของตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, 2) เพิ่มการทำตลาดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวให้มีสัดส่วนคิดเป็น 50% ของยอดจำหน่ายทั้งหมด, 3) ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบแบรนด์ที่มีการรับรู้สูงที่สุด 5 อันดับแรก และ 4) ขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศให้เติบโตขึ้น 5 เท่าตัว”

นายณัฏฐ์ชัย สุรวรรธนกุล รองประธานฝ่ายขาย เครือข่ายผู้จำหน่าย และบริการหลังการขาย เปิดเผยว่า “ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นและขาลงสลับสับเปลี่ยนกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่โดยรวมทั้งตลาดอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 800,000 คัน เนื่องจากเซ็กเมนต์รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แม้ว่าเซ็กเมนต์รถยนต์นั่งส่วนบุคคลจะมีการเติบโตก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เรามองว่าตลาดรถยนต์ในไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้นในปี 2567 นี้ โดยคาดว่ายอดจำหน่ายจะขยับตัวขึ้นเป็น 850,000 – 860,000 คันจากอานิสงส์ของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่มียอดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น สำหรับ เกีย เซลส์ (ประเทศไทย) ในปี 2566 เรามีผู้จำหน่าย และศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ 19 แห่ง เราจะเร่งสร้างการเติบโตของยอดขายด้วยการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ประเดิมด้วยผู้จำหน่ายใหม่ 10 รายที่จะเข้ามาร่วมงานกับเราในปี 2567 นี้ นอกจากนี้เรายังยกระดับ กลยุทธ์ด้านบริการของเราอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้บริโภคชาวไทย โดยนโยบายใหม่ของเราจะมอบการรับประกันคุณภาพรถเป็นระยะเวลา 7 ปีให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ที่ทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 เป็นต้นไป การรับประกันตามมาตรฐานใหม่ของเราจะมาควบคู่กับการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 7 ปี”

นายฌ็อง–ดาวิด คริสติญอง อาเรล รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และการตลาด ระบุว่า “รถยนต์รุ่น Carnival ของเราที่ใช้งานอยู่บนท้องถนนในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 10,000 คัน ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความไว้วางใจในตัวรถยนต์ Carnival และผู้จำหน่ายของเราอย่างมาก ฐานลูกค้าในปัจจุบันของเราจะเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งในการสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ของเราได้เป็นอย่างดี เราจะขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นครอบครัวคนรุ่นใหม่ โดยมีการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ของเราให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ดังกล่าว เกียเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง มิใช่เฉพาะในด้านคุณภาพ และสมรรถนะของรถยนต์รุ่นต่างๆ ของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมอบคุณค่าที่เรายึดมั่นอีกด้วย ปรัชญาของแบรนด์ที่ว่า ‘Movement that inspires’ หรือ ‘การเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจ’ สะท้อนถึงทัศนคติใหม่ของเราในการเชื่อมโยงกับชีวิตจิตใจของผู้บริโภคชาวไทย เราต้องการนำเสนอพลังที่แบรนด์ของเรามีอยู่ในระดับโลก รวมถึงมรดกในแบบเกาหลีของเราซึ่งเป็นที่ชื่นชมอย่างกว้างขวางในประเทศไทย สู่สายตาของผู้บริโภคชาวไทย”

“เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว เราจึงออกแบบการสื่อสารของเราในประเทศไทย โดยวางตำแหน่งแบรนด์ให้มีภาพลักษณ์ของรถยนต์ ‘Premium Smart’ โดยที่คำว่า ‘Premium’ สื่อถึงการมุ่งส่งมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยม ตั้งแต่ทัชพอยท์แรกทางอินเทอร์เน็ตไปจนถึงทุกๆ ช่องทางที่ลูกค้าจะได้สัมผัสกับแบรนด์ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องรวมถึงศูนย์บริการและผู้จำหน่ายของเราด้วย เราจะมุ่งเน้นใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงาน (Digital Transformation) และใช้ข้อมูลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสร้างปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะบุคคลกับลูกค้า ส่วนคำว่า ‘Smart’ สื่อถึงการที่เรามุ่งหวังให้ลูกค้าชาวไทยได้รับประสบการณ์ใหม่ล่าสุดในการขับขี่ โดยการนำเสนอรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่ประสบความสำเร็จรุ่นใหม่ล่าสุดของเรา พร้อมกับเพิ่มรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวี และเอ็มพีวี และนำเอาโซลูชันด้านการเชื่อมต่อรูปแบบต่างๆ มาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้” นายฌ็อง–ดาวิด คริสติญอง อาเรล กล่าว “กลยุทธ์ ‘Plan S-5’ ของเราได้วางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนที่จะขึ้นแท่นเป็นแบรนด์รถยนต์ 1 ใน 5 อันดับแรกในแง่ของการรับรู้แบรนด์ และเพิ่มสัดส่วนยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบให้เป็น 50% เส้นทางของเราในการทำตลาดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ พร้อมเริ่มต้นขึ้นแล้วในวันนี้ด้วยการประกาศทำตลาด Kia EV9 ของเรา โดย Kia EV9 จะเป็นรถยนต์เอสยูวีขนาดใหญ่รุ่นแรกในประเทศไทยที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติม และพบกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มีนาคม (รอบสื่อมวลชน) และ 2 มีนาคม (รอบคนทั่วไป) ที่จะถึงนี้ สำหรับคนทั่วไปที่สนใจเข้าชม Kia EV9 ในวันที่ 2 มีนาคม สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าร่วมงานได้ที่ https://bit.ly/ev9ourallelectricicon โดยงานจะจัดขึ้น ณ ห้องบอลรูม 1-2 ชั้น 1 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์” นายฌ็อง–ดาวิด คริสติญอง อาเรล กล่าวทิ้งท้าย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save