- Advertisement -
29.5 C
Bangkok
Home Blog Page 68

ไทยฮอนด้า ครองอันดับ 1 ทุกเซกเมนต์

ไทยฮอนด้า ครองอันดับ 1 ทุกเซกเมนต์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทย ปิดยอดจำหน่าย 2023 ดัวยตัวเลข 1.47 ล้านคัน กลุ่มเอ.ที.เติบโตต่อเนื่อง

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดเผยยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าปี 2023 ภาพรวมตลาดแตะระดับ 1.88 ล้านคัน ฮอนด้าคว้ายอดจดทะเบียนสูงสุดที่ 1.47 ล้านคัน ครองอันดับที่ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 35 พร้อมคว้ายอดจดทะเบียนสูงสุด 5 อันดับแรก ตอกย้ำความสำเร็จจากผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกไลฟ์สไตล์

มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยปี 2023 มีแนวโน้มที่ดี โดยตลาดรวมมียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 1.88 ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา 4% โดยกลุ่มรถเอ.ที. ได้รับความนิยมสูงที่สุดมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 49% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5% ถือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากการใช้งานที่สะดวกสบาย และมีสไตล์ให้เลือกอย่างหลากหลาย ในขณะที่อันดับรองลงมาเป็นรถครอบครัว โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 47% และกลุ่มรถสปอร์ตมีสัดส่วนอยู่ที่ 3%”

ในปี 2023 รถจักรยานยนต์ฮอนด้ามียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 1.47 ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า 6% และเติบโตมากกว่าตลาดรวม 2% จากการที่ฮอนด้าได้เปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ไปพร้อมกับการผลักดันกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการขายไปทั่วประเทศ รวมถึงรถรุ่นใหม่อย่าง New Honda Giorno+ ที่เปิดตัวไปได้ไม่นาน ก็เป็นหนึ่งในรุ่นรถที่สามารถสร้างกระแสในกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยผลักดันให้กลุ่มเอ.ที.มีการเติบโตในปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ฮอนด้ายังคว้ายอดจดทะเบียนสูงสุด 5 อันดับแรก นำโดย Honda Wave110i ที่มีตัวเลขอยู่ที่ 511,659 คัน ตามด้วยอันดับที่ 2 คือ Honda Wave125i จำนวน 254,141 คัน อันดับที่ 3 เป็น Honda Scoopy จำนวน 218,113 คัน อันดับที่ 4 คือ Honda PCX160 จำนวน 146,212 คัน และอันดับที่ 5 Honda Click Series ที่มียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 114,202 คัน

ตัวเลขดังกล่าวยังทำให้ฮอนด้าคว้าอันดับ 1 ในทุกเซกเมนต์อีกด้วย โดย Honda Wave110i ครองความเป็นที่ 1 ในกลุ่มรถครอบครัว ในขณะที่ Honda Scoopy ครองอันดับ 1 ในกลุ่มรถเอ.ที. และในส่วนของกลุ่มรถสปอร์ต Honda CRF300L มียอดจำหน่ายสูงสุดในกลุ่มนี้ที่ 7,840 คัน

มร.ชิเกโตะ คิมูระ กล่าวต่อว่า “สำหรับในปี 2024 ด้วยปัจจัยของสภาวะเศรษฐกิจของโลกที่ไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงในเรื่องกฎหมายด้านการเงิน ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อสินค้า และส่งผลให้ความต้องการในตลาดลดลง จึงคาดการณ์ว่าตลาดรถจักรยานยนต์ไทยจะมียอดจดทะเบียนอยู่ที่ประมาณ 1.70 – 1.75 ล้านคัน โดยฮอนด้าวางเป้าจำหน่ายไว้ที่ 1.30 -1.35 ล้านคัน

ในส่วนของตลาดรถบิ๊กไบค์ หรือรถจักรยานยนต์ขนาด 400cc ขึ้นไป ตลอดปี 2023 มียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 15,468 คัน ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ฮอนด้ามีตัวเลขอยู่ที่ 7,035 คัน เติบโตขึ้น 7% มากกว่าตลาดรวม และในปี 2024 นี้ คาดว่าตลาดรวมจะอยู่ที่ระดับ 15,000 คัน ในขณะที่ฮอนด้าตั้งเป้ายอดจำหน่ายไว้ที่ 7,000 คัน โดยปัจจัยบวกที่ทำให้ฮอนด้าเติบโตประกอบไปด้วยการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่อย่าง Honda E-Clutch ในรถตระกูล 650Series และการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ใช้”

“ปี 2024 นี้ ฮอนด้าพร้อมที่จะสร้างความคึกคักให้กับตลาด ผ่านการส่งมอบประสบการณ์ในการขับขี่ที่ไม่รู้จบ ทั้งรถจักรยานยนต์ที่เหมาะกับการใช้ชีวิตของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย และการจัดกิจกรรมให้กับผู้ใช้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยทุกกิจกรรมถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อให้ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด”

เอ็มจี เผยภาพ ALL NEW MG3 ก่อนเปิดตัวครั้งแรกในงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2024

MG MOTOR GLOBAL เผยภาพ ALL NEW MG3 รถยนต์ขนาดเล็กที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริด เตรียมเปิดตัวครั้งแรกในงาน GENEVA INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 ในวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในโลกของรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นสำคัญของ เอ็มจี โดยจะเริ่มแนะนำให้กับลูกค้าทวีปยุโรปเป็นที่แรกของปีนี้

ในช่วงที่ผ่านมาเทรนด์รถยนต์พลังงานทางเลือกได้เข้ามามีบทบาทต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของลูกค้ามากขึ้น ทำให้รถยนต์พลังงานทางเลือกได้เข้ามาทดแทนรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิง ในหลายประเทศรวมถึงในสหราชอาณาจักร การมาของ ALL NEW MG3 ขุมพลังไฮบริดจึงกลายเป็นจุดสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ของ เอ็มจี ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยีไฮบริดใหม่กับครั้งแรกที่ผสมผสานประสิทธิภาพการขับขี่ ควบคู่ไปกับ “NET ZERO EMISSIONS” หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก

ALL NEW MG3 รถยนต์ไฮบริด 5 ประตูในกลุ่ม B-SEGMENT สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ในการมอบผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพของการขับขี่ การประหยัดน้ำมัน ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ รวมถึงความประณีตของงานดีไซน์ ฟีเจอร์เพื่อความบันเทิงครบครัน อาทิ หน้าจอคู่แบบใหม่ และการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมครบทุกรูปแบบ ซึ่งโมเดลนี้จะตอบโจทย์ความคุ้มค่าของลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี

หากพูดถึงรถยนต์ MG3 ในประเทศไทย รถรุ่นนี้ ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่สร้างชื่อให้กับ เอ็มจี ประเทศไทย ด้วยขนาดรถที่เล็กปราดเปรียว มีเอกลักษณ์ โดดเด่นด้วยดีไซน์ การขับขี่ และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน ซึ่งทำให้มียอดขายสะสมในประเทศมากกว่า 33,000 คัน

Millennium Auto อุบลราชธานี ปรับโฉมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษ

Millennium Auto อุบลราชธานี ปรับโฉมครั้งใหญ่ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ รองรับลูกค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำเสนอประสบการณ์สุดพิเศษ ผ่านยนตรกรรมในเครือ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป

บริษัท มิลเลนเนียม ออโต๊ กรุ๊ป จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน)หนึ่งในผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร ตอกย้ำความแข็งแกร่งของเครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ปรับโฉมครั้งใหญ่ให้กับโชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ อุบลราชธานี ภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ เป็นแห่งแรกในภาคอีสานตอนล่าง นำเสนอประสบการณ์สุดพิเศษ ผ่านยนตรกรรมในเครือ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป อาทิ รถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมบริการหลังการขายแบบครบวงจร รองรับความต้องการของลูกค้าในภาคอีสาน

มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมฉลองในพิธีเปิดโชว์รูมโฉมใหม่ ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการมอบบริการอันเป็นเลิศ ให้กับลูกค้าในอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียง พร้อมสัมผัสนวัตกรรมและบริการที่ดีที่สุด จาก บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ ที่ผสมผสานจุดเด่นทางกายภาพและดิจิทัล พร้อมส่งมอบประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ขณะที่ปีนี้ ก็นับเป็นโอกาสในการเปิดรับความท้าทายใหม่ๆ พร้อมไปกับการยกระดับมาตรฐาน และตอกย้ำคำมั่นสัญญา

ที่เราได้ให้ไว้กับลูกค้า ขอขอบคุณทีมงาน มิลเลนเนียม ออโต้ฯ สำหรับความมุ่งมั่นและผลงานอันดีเยี่ยมมาตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการนำเราก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งในกลุ่มยนตรกรรมพรีเมียมถึง 4 ปีซ้อน ผมมั่นใจว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และ มิลเลนเนียม ออโต้ฯ จะร่วมทางกันไปอย่างมั่นคง พร้อมบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ในอนาคต”

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “MGC-ASIA คือ หนึ่งในผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ผ่านระบบนิเวศทางธุรกิจ (business ecosystem) ที่ครบวงจร รวมถึงกลยุทธ์ในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการเชื่อมต่อทุกธุรกิจเข้าด้วยกัน ซึ่ง มิลเลนเนียม ออโต้ อุบลราชธานี เป็นเสมือนศูนย์กลางของเราในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในอุบลราชธานี รวมถึงจังหวัดอำนาจเจริญ, ศรีสะเกษ, ยโสธร และจังหวัดใกล้เคียง ครอบคลุมหลากเซกเมนท์กับหลายยนตรกรรมในเครือ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป โดยในโอกาสนี้ เราได้มีการปรับปรุงรูปลักษณ์ใหม่ เพื่อยกระดับการให้บริการที่เหนือมาตรฐาน ภายใต้หลักการ Customer Centric หรือการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และในโอกาสนี้ เราได้มีการทำกิจกรรมเพื่อสังคมโดยมอบหมวกนิรภัยและเสื้อสะท้อนแสงให้กับตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพลตำรวจตรี ประสงค์ เรืองเดช ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ ขอเชิญชวนลูกค้าในอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียง แวะเข้ามาชมและใช้บริการที่ มิลเลนเนียม ออโต้ อุบลราชธานี ครับ”

Millennium Auto ปรับโฉมภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ แห่งแรกในภาคอีสานตอนล่าง

มิลเลนเนียม ออโต้ อุบลราชธานี ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการ ปรับโฉมครั้งสำคัญ โดยเป็นโชว์รูมแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ พร้อมรังสรรค์ประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ให้ลูกค้าได้สัมผัสยนตรกรรมจาก บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า พร้อมรังสรรค์ประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว โดยเน้นบรรยากาศผ่อนคลาย คล้ายอยู่ในแกลเลอรีหรือห้องนั่งเล่นที่บ้าน จัดวางรถยนต์ในองศาที่หลากหลาย รายล้อมด้วยโซฟาและเก้าอี้สำหรับลูกค้า เรียกว่า ‘Customer Stage’ เพิ่มความใกล้ชิดระหว่างลูกค้ากับรถยนต์มากยิ่งขึ้น สัมผัสและทดลองขับยนตรกรรมไฮไลท์ภายในงาน อาทิ บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 sport,

i4 eDrive35 M Sport, i5 M60 xDrive, i7 xDrive60 M Sport, 530e M Sport Plug-In Hybrid รวมถึง มินิ John Cooper Works Hatch และ CE 04 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าล้ำยุค จาก บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมสตาร์ทความสนุกต้อนรับปีมังกร กับแคมเปญพิเศษ ‘THE DRAGON OF LUX’ ขับ ฟิน ช้อป ฟรี รวมมูลค่าสูงสุด 70,000 บาท ตลอดเดือนมกราคม

•ขับฟรี-รับคูปองเช่ารถจาก Sixt มูลค่าสูงสุด 25,000 บาท*

•ฟินฟรี-ที่พัก 2 วัน 1 คืน จาก InterContinental มูลค่าสูงสุด 30,000 บาท*

•ช้อปฟรี-รับ Gift Voucher จาก Central มูลค่าสูงสุด 20,000 บาท*

•ลงทะเบียนเพื่อรับของที่ระลึก และรับประทานอาหารมื้อพิเศษ*

พร้อมรับเพิ่มสิทธิพิเศษต่อที่ 2

•ลุ้นรับทองคำ 10 บาท รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท* (สำหรับลูกค้าที่จองตั้งแต่วันที่

8 มกราคม ถึง 29 กุมภาพันธ์ และออกรถภายใน 29 กุมภาพันธ์ 2567)

พิเศษสำหรับลูกค้า Central Ubon Ratchathani เมื่อออกรถกับ มิลเลนเนียม ออโต้ อุบลราชธานี รับฟรี! ปากกา Lamy พร้อมสลักชื่อ มูลค่า 5,000 บาท* (เฉพาะ 10 ท่านแรก) และสามารถใช้คะแนนสะสม MGC-Mobilife 21,600 คะแนน แลกปากกา Lamy Special Edition Set มูลค่า 2,700 บาท* (ระหว่างวันที่ 25 มกราคม ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567)

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

วิริยะประกันภัย ครบรอบ 77 ปี ตอกย้ำองค์กรแห่งความมั่นคงและเป็นธรรม

นางสุวพร ทองธิว ประธานกรรมการบริหาร และนายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) นำคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในโอกาสครบรอบ 77 ปี แห่งการก่อตั้งบริษัทฯ ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2490 เพื่อความเป็นสิริมงคลเจริญรุ่งเรือง ตลอดจนเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรของบริษัททุกภาคส่วนที่ได้มุ่งมั่นทุ่มเทในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบาย “ความเป็นธรรม คือ นโยบาย” พร้อมทั้งดำเนินงานตามแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีธรรมาภิบาลและความโปร่งใส และอุดมการณ์แห่งการแบ่งปัน มุ่งมั่น และแน่วแน่ในการสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสังคมไทยอย่างยั่งยืน โดยพิธีทำบุญดังกล่าวจัดขึ้น ณ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ในโอกาสนี้ สาขาและศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทนของวิริยะประกันภัยทั่วประเทศต่างพร้อมใจร่วมกันจัดพิธีทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย

ตลอดระยะเวลา 77 ปี บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องด้วยประสบการณ์ด้านประกันวินาศภัย ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการบริการประกันภัย ตลอดจนพัฒนาปรับปรุงเครือข่ายศูนย์บริการสินไหมทั่วประเทศให้แข็งแกร่ง เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความพึงพอใจอย่างสูงสุด เหนือสิ่งอื่นใดความสำเร็จเหล่านี้ล้วนมาจากความร่วมมือของผู้เกี่ยวทุกภาคส่วนทั้งลูกค้า ผู้เอาประกันภัย ตัวแทนประกันวินาศภัย คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทฯ ตลอดไปถึงคณะกรรมการบริษัท ผู้บริหาร และพนักงาน ที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย ดั่งพันธกิจที่ว่า “ให้บริการที่สร้างความอบอุ่นและพึงพอใจ จากเครือข่ายที่ครบวงจรทั่วประเทศ ด้วยกระบวนงานที่ทันสมัยสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยทีมงานที่มีจรรยาบรรณเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจได้”

วิริยะประกันภัย ร่วมกับ ททท. สำนักงานกาญจนบุรี จัดท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

วิริยะประกันภัย ร่วมกับ ททท. สำนักงานกาญจนบุรี เปิดพื้นที่โรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี จัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นางสาวสรียา บุญมาก ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี นางจารีรัตน์ บุญประดิษฐ รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี และนายอนุสรณ์ ตรียะเวชกุล ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการภาค 4 (ภาคกลางและภาคตะวันตก) ด้านสาขา บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดงานแถลงข่าว “งานศิลป์ อาหารถิ่นกาญจน์” (KAN Paper Mill 2024 : The Moment of Arts & Local Flavours) เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาเสพงานศิลป์ ผ่านนิทรรศการภาพถ่ายเรื่องราวอันทรงคุณค่าของโรงงานกระดาษ สะท้อนมุมมองศิลปะของศิลปินที่มีต่ออาคารโรงงานกระดาษ เพื่อบันทึกไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำจากทีมงานช่างภาพมืออาชีพ นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการออกร้านจำหน่ายอาหารถิ่นขึ้นชื่อของเมืองกาญจน์ และสินค้าพื้นเมืองที่คัดสรรมาแล้วเกือบ 30 บูท โดยงานจัดขึ้นในวันที่ 2 – 4 กุมภาพันธ์ 2567 ณ โรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี

สำหรับ “งานศิลป์ อาหารถิ่นกาญจน์” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนจัดขึ้นครั้งนี้ เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ สอดคล้องกับเจตนารมย์ของ บริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญการดำเนินงานภารกิจเพื่อสังคมหลากหลายมิติ ผ่านเครือข่ายวิริยะจิตอาสาซึ่งมีอยู่ทั่วไทย โดยเฉพาะการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ผู้คนในชุมชนสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

วิริยะประกันภัย มอบทุนสนับสนุนการศึกษาเยาวชนไทย

วิริยะประกันภัย มอบทุนสนับสนุนการศึกษา “สุขที่ให้…เพื่อน้องได้เรียน” ปีที่ 4 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

นายสุรพงษ์ กิจชิต ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการภาค 6 (ภาคกรุงเทพฯ) ด้านสาขา บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทนประกันวินาศภัย และศูนย์ซ่อมมาตรฐาน ในสังกัด มอบทุนสนับสนุนการศึกษา ภายใต้โครงการ “สุขที่ให้…เพื่อน้องได้เรียน” ปีที่ 4 รวมจำนวน 184 ทุน เป็นเงิน 210,000 บาท ให้แก่ โรงเรียน 4 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ โรงเรียนวัดตาล อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี จำนวน 50 ทุน เป็นเงิน 50,000 บาท โรงเรียนบ้านบึง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 50 ทุน จำนวน 50,000 บาท โรงเรียนวัดศรีคงคาราม อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 26 ทุน เป็นเงิน 52,000 บาท และโรงเรียนเทศบาล 1 (บางครุอุปการราษฏร์) อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 58 ทุน เป็นเงิน 58,000 บาท พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้นำกลุ่มวิริยะจิตอาสามอบอุปกรณ์การเรียนและอุปกรณ์กีฬา รวมถึงจัดกิจกรรมนันทนาการและจัดอาหารกลางวันให้กับน้องๆ นักเรียนอีกด้วย

สำหรับโครงการ “สุขที่ให้…เพื่อน้องได้เรียน” บริษัทฯ จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ด้วยตระหนักในความสำคัญของการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดำเนินภารกิจเพื่อสังคม โดยเฉพาะด้านการศึกษา อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของเด็กและเยาวชนไทย ให้เติบโตไปเป็นพลเมืองที่ดีมีคุณภาพของสังคมและเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป โดยในปี 2566 บริษัทฯ ร่วมกับ ตัวแทน/นายหน้าประกันวินาศภัย ศูนย์ซ่อมมาตรฐาน และพันธมิตรทางธุรกิจ มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียน จำนวน 1,564 คน รวมเป็นเงินจำนวน 2,520,654 บาท ในโรงเรียน 75 แห่งทั่วประเทศ

วิริยะประกันภัย จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567

ชมรมศูนย์ซ่อมฯ วิริยะประกันภัย จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 เพื่อรายงานการบริหารงานของชมรมศูนย์ซ่อมฯ ในรอบปีที่ผ่านมา อีกทั้งเปิดโอกาสให้สมาชิกชมรมศูนย์ซ่อมฯ และผู้บริหารจากวิริยะประกันภัย ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งรับฟังนโยบายจากส่วนงานต่างๆ

นายสมพจน์ เจียมพานทอง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ภายใต้หัวข้อ “ความเป็นธรรมคือนโยบาย รวมใจให้เป็นหนึ่ง” จัดโดยชมรมศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัยภาค 6 (ภาคกรุงเทพฯ) เพื่อรายงานผลการดำเนินงานของชมรมศูนย์ซ่อมฯ ในรอบปีที่ผ่านมา อีกทั้งเปิดโอกาสให้สมาชิกชมรมศูนย์ซ่อมฯ และผู้บริหารจากวิริยะประกันภัย ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งรับฟังนโยบายจากส่วนงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเป้าหมายการดำเนินงานด้านการให้บริการจัดซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ของศูนย์ซ่อมฯ สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดไปถึงแนวทางการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อันก่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้รับบริการ พร้อมกันนี้ นายณรงค์ อินถึก ประธานชมรมศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัยภาค 6 (ภาคกรุงเทพฯ) ได้นำสมาชิกชมรมฯ และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทนของวิริยะประกันภัย ในสังกัด ฝ่ายปฏิบัติการภาค 6 (ภาคกรุงเทพฯ) รวมกว่า 150 ศูนย์ เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องประชุม เดอะแบงเควทฮอลล์ (นาทอง) ถนนประชาอุทิศ แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ฉลองครบรอบ 3 ปี พร้อมตั้งเป้าสู่ Top 3

กรุงเทพฯ 9 กุมภาพันธ์ 2567 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศความสำเร็จของการดำเนินงาน รวมถึงแถลงกลยุทธ์ด้านต่าง ๆ เพื่อก้าวขึ้นสู่ 3 อันดับแรก ของแบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ในประเทศไทย ภายในระยะเวลา 3 ปี หรือภายในปี 2569 ภายในงานเฉลิมฉลองครบรอบ 3 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย หรือ GWM 3rd Brand Anniversary ณ โรงภาพยนตร์ ICONSIAM Cineconic ศูนย์การค้า ICONSIAM พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในอาเซียนอย่างยั่งยืน

ภายในงาน ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ นำโดย มร. ไคล์ด เฉิง ประธาน นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียน และ นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) พร้อมคณะผู้บริหาร พาร์ทเนอร์ ลูกค้า และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน พร้อมรับฟังการแถลงกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 2567 และสรุปภาพรวมความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

ในปี 2567 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ คาดว่าตลาดรถยนต์ไทยจะมียอดขายโดยประมาณทั้งสิ้น 820,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 6% โดยกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือกลุ่ม xEV จะเติบโตขึ้นประมาณ 40% หรือคิดเป็น 33 % ของตลาดทั้งหมด และมียอดขายประมาณ 270,000 คัน นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้า 100% จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐ EV 3.5 และการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ ๆ  โดยคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 130,000 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 16% ของตลาดรวมทั้งหมด เพิ่มขึ้นเกือบ 70% จากปี 2566 ที่ผ่านมา

นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของเราที่ได้เข้ามาจุดกระแสและผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม เราได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์และเรื่องราวน่าประทับใจมากมาย เราได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของคนไทย พร้อมนำรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ หรือ New Retail Business ด้วยนโยบายราคาเดียว หรือ One Price Policy มาปฏิวัติแนวทางปฏิบัติของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และเป็นมาตรฐานใหม่ของระบบการขายของผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเป็นแบรนด์แรกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังด้านรถยนต์พลังงานใหม่ และเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์แรก ๆ ที่ได้ลงนามกับกรมสรรพสามิตเพื่อเข้าร่วมนโยบายการส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้ง EV 3.0 และ EV 3.5 จน ORA Good Cat ได้ขึ้นแท่นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจดทะเบียนสูงที่สุดในประเทศไทยในปี 2565  นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในปีที่ 3 ด้วยการบรรลุ Mission 9 in 3 หรือการเปิดตัวรถยนต์ครบ 9 รุ่น ภายในระยะเวลา 3 ปี อย่างงดงาม ในการก้าวเข้าสู่การดำเนินงานปีที่ 4 เราจะยังคงมุ่งมั่นส่งมอบรถยนต์ที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและคุ้มค่าคุ้มราคาสำหรับลูกค้าชาวไทย รวมถึงผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคและในระดับโลกต่อไป”

นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเผยถึงเป้าหมายสำคัญของบริษัทฯ ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำ 3 อันดับแรกของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ภายใน 3 ปี โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 2567 อยู่ที่ 25,000 คัน และวาง 3 กลยุทธ์หลักเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่

• ด้านผลิตภัณฑ์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถือเป็นแบรนด์ที่มีจุดแข็งด้านผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงงานใหม่ที่ครอบคลุม ทั้งไฮบริด

ปลั๊กอิน-ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในหลายเซ็กเมนต์ โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายใหม่ด้วยการเพิ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ xEV ในประเทศไทยให้ครบทั้งสิ้น 15 รุ่น ภายในปี 2568 และในปี 2567 บริษัทฯ วางแผนที่จะเปิดตัวยานยนต์พลังงานใหม่อย่างน้อย 3 รุ่นในไทย รวมถึงวางแผนที่จะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่เป็นเอสยูวี และศึกษาการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับสูง เช่น Hi-4 และ Coffee Intelligence System มาพัฒนาร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะแนะนำสู่ตลาดไทยในอนาคตอีกด้วย

• ด้านการขาย มุ่งเน้นการยกระดับประสบการณ์ให้ลูกค้าโดยยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User-centric) และนโยบายราคาเดียว (One Price Policy) โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะเดินหน้าต่อยอดธุรกิจฟลีทในกลุ่มหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น รวมถึงการต่อยอดธุรกิจรถยนต์ใช้แล้ว (GWM Certified Pre-Owned) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการขายรถ หรือต้องการประเมินราคาขายรถใช้แล้ว และลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของรถ GWM คุณภาพดี ด้านการจัดจำหน่าย ในปี 2567 เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีแผนที่จะขยายเครือข่าย GWM Partner Store ให้ครบ 101 แห่งทั่วประเทศ และการขยาย Partner Store ขนาด S ในจังหวัดขนาดเล็ก และ XS รูปแบบใหม่ในอำเภอรองของจังหวัดใหญ่ เพื่อสร้างเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ควบคู่กับการขยายสถานีชาร์จ (DC Fast Charge) ให้ครบ 55 แห่ง ภายในปี 2567

• ด้านการบริการหลังการขาย เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัทฯ ในการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภครอบด้าน ด้วย GWM Smart Service ระบบการบริการอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยในการยกระดับการบริการแก่ลูกค้า การบริหารจัดการอะไหล่ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายพื้นที่คลังอะไหล่และเพิ่มขีดความสามารถในการจัดส่งอะไหล่ให้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น และการพัฒนาศักยภาพช่างเทคนิค โดยบริษัทฯ มีแผนเปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่ เพื่อรองรับการฝึกอบรมให้กับช่าง GWM ทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ในความรู้และทักษะในการซ่อมบำรุงรักษารถ GWM ได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล รวมถึงการสร้างความอุ่นใจในการเป็นเจ้าของรถยนต์ GWM โดยรถยนต์ของ GWM ทุกคันมาพร้อมแพ็คเกจการบำรุงรักษาตามระยะทาง ฟรี ทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และ 5 ปี 75,000 กิโลเมตร ควบคู่กับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (Roadside Assistance) ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังจัดตั้ง EV Battery Rapid Team หรือหน่วยงานวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้คำแนะนำและตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่หลังเกิดอุบัติเหตุ และ GWM BATTERY HOTLINE สายด่วนเพื่อรับแจ้งปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่และการเคลมโดยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านยานยนต์พลังงานใหม่ (xEV Leader) เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ การบริการ ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้บริโภค โดยการพัฒนาขีดความสามารถให้ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการจำหน่าย สู่มาตรฐานในระดับสากล ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving) ควบคู่กับการขยายเครือข่ายการลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ รอบโลกอย่างต่อเนื่อง เช่น ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปเอเชีย โดยปัจจุบันเรามีโรงงานผลิตรวมแล้วกว่า 13 แห่ง สาขาอีกกว่า 700 สาขา ครอบคลุมกว่า 170 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในปี 2566 มียอดขายรถยนต์ทั่วโลกทั้งหมด 1.23 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นปีที่ 8 ที่เรามียอดขายทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านคันอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของผู้บริโภคทั่วโลกที่มีต่อบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี บริษัทฯ ยังได้ขยายการดำเนินธุรกิจสู่ตลาดภูมิภาคอาเซียน 9 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม และกัมพูชา ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จีนรายแรกที่มีการขยายธุรกิจครอบคลุมตลาดหลักในภูมิภาคอาเซียนได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ในปี 2567 และปีถัด ๆ ไป เราจะไม่หยุดยั้งในการพัฒนานวัตกรรมที่เต็มเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และการดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ เพื่อขอบคุณการสนับสนุนจากแฟน ๆ อันดีเสมอมา”

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) และบริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก (Global Intelligent Technology Company) มุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยการเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในปี 2567 รวมถึงปีถัด ๆ ไป ให้ตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภคชาวไทย ควบคู่กับการเติมเต็มระบบนิเวศและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ทัดเทียมระดับสากล

ฮอนด้า ส่งความคุ้มค่า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ชิงส่วนแบ่งตลาดต้นปี 2567

ฮอนด้า ปรับโฉม “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่” ขับฟรีสูงสุด 6 เดือน** ผ่อนเริ่มต้นเพียง 5,484 บาทต่อเดือน** เพิ่มรุ่นย่อย e:HEV SV มอบความคุ้มค่าตลอดการใช้งาน

•ชูเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ให้ลูกค้าเข้าถึงง่าย ด้วยราคาใหม่ รุ่น e:HEV RS 799,000 บาท และเพิ่มรุ่นย่อย e:HEV SV ราคา 729,000 บาท

•รุ่นขุมพลัง VTEC TURBO อัปเกรดความปลอดภัยอีกขั้นกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ด้วยราคา 599,000 – 749,000 บาท

•มอบข้อเสนอพิเศษ** Double Smile Plus ขับฟรีสูงสุด 6 เดือน** ผ่อนเริ่มต้นเพียง 5,484 บาท ต่อเดือน**

•ปรับดีไซน์สปอร์ตใหม่รอบคัน กระจังหน้าสไตล์สปอร์ต กันชนหน้า-กันชนหลัง และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ สัมผัส

อีกขั้นของความสปอร์ตเท่กับสีภายนอกน้ำเงิน บริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำแบบ Two-tone ใหม่*

•ห้องโดยสารกว้างสบาย มาพร้อมเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR Seat) ที่ปรับพับเพิ่มสเปซการใช้งานได้ดั่งใจ พร้อมระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch ที่เพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย* และใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง*

•2 ขุมพลังการขับเคลื่อนที่ทรงพลัง ทั้งระบบฟูลไฮบริด e:HEV มอบสมรรถนะการขับขี่ที่แรงเกินคลาส กับแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 253 นิวตัน-เมตรตั้งแต่ออกตัว และให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมยิ่งขึ้นที่ 27.8 กม./ลิตร และขุมพลัง VTEC TURBO ขับสนุกทุกย่านความเร็ว เร่งแซงทันใจ ตอบสนองได้ทันคิดด้วยกำลังสูงสุด 122 แรงม้า

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มาพร้อมราคาพิเศษ ทั้งรุ่นระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่เข้าถึงง่ายขึ้นด้วยราคาใหม่ รุ่น e:HEV RS 799,000 บาท และเพิ่มรุ่นย่อย e:HEV SV ราคา 729,000 บาท พร้อมด้วยรุ่นขุมพลัง VTEC TURBO ที่เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานและอัปเกรดความปลอดภัยอีกขั้นกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ด้วยราคา 599,000 – 749,000 บาท พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ** อาทิ Double Smile Plus ขับฟรีสูงสุด 6 เดือน** ดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 29,950 บาท** หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 5,484 บาท** เพื่อให้ลูกค้าเป็นเจ้าของ ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ง่ายยิ่งขึ้น เสริมความมั่นใจในรุ่น e:HEV รับเพิ่มการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง** เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 – 30 เมษายน 2567 ดีไซน์ภายนอกของ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ปรับโฉมสปอร์ตใหม่รอบคัน โดดเด่นปราดเปรียวในสไตล์รถแฮทช์แบ็ก ภายในห้องโดยสารกว้างสบาย มาพร้อมเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR Seat) อันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ที่สามารถปรับพับเพิ่มสเปซการใช้งานได้ดั่งใจ พร้อมเพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch ที่เพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย* และใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง* อีกทั้งหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย ขับเคลื่อนสู่ทุกเส้นทางอย่างทรงพลังกับ 2 ขุมพลัง ทั้งระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยเกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ตอบสนองดั่งใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 253 นิวตัน-เมตร และให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมยิ่งขึ้นที่ 27.8 กม./ลิตร และขุมพลัง VTEC TURBO 1.0 ลิตร ขับสนุกทุกอัตราเร่งด้วยกำลังสูงสุด 122 แรงม้า พิเศษกับสีภายนอกน้ำเงิน บริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำแบบ Two-tone ใหม่ เฉพาะรุ่น e:HEV RS และ e:HEV SV พร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป

นายฮิเดโอะ คาวาซากะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้า ซิตี้ นับเป็นรถยนต์รุ่นยอดนิยมของฮอนด้า โดย ซิตี้ แฮทช์แบ็ก เป็นยนตรกรรมภายใต้ไลน์อัป City Series ที่เป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มคนที่ชอบซิตี้คาร์ในสไตล์รถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู โดยเป็นรถที่ครองใจลูกค้าด้วยจุดเด่นทั้งด้านดีไซน์ ความสะดวกสบาย และเบาะนั่งอัลตราซีทอันเป็นเอกลักษณ์ด้านความอเนกประสงค์ของฮอนด้าที่ลูกค้าชื่นชอบ มาพร้อมขุมพลัง VTEC TURBO ที่ขับสนุกตอบสนองไลฟ์สไตล์ในทุกวัน และระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่เป็นรถที่เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบันและชีวิตประจำวัน ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่นจากการผสานพลังขับเคลื่อนหลักจากมอเตอร์ไฟฟ้า และมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม และในวันนี้เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับเทคโนโลยี e:HEV จากฮอนด้าได้ง่ายขึ้น ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มาพร้อมราคาพิเศษ ทั้งรุ่น e:HEV RS 799,000 บาท และเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ e:HEV SV ราคา 729,000 บาท และรุ่นเทอร์โบ เพิ่มเติมฟังก์ชันพร้อมอัปเกรดความปลอดภัยกับ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ด้วยราคา 599,000 – 749,000 บาท”

ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มีให้เลือก 2 ขุมพลังขับเคลื่อน รวม 5 รุ่นย่อย แบ่งเป็น

•รุ่นขุมพลังฟูลไฮบริด e:HEV มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย

-รุ่น e:HEV RS                  ราคา 799,000 บาท

-รุ่น e:HEV SV                   ราคา 729,000 บาท

•รุ่นขุมพลัง VTEC TURBO มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย

-รุ่น RS                              ราคา 749,000 บาท

-รุ่น SV                              ราคา 679,000 บาท

-รุ่น S+                              ราคา 599,000 บาท

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่

•สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) (Brilliant Sporty Blue Metallic) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำทูโทน (Two-tone) ใหม่! (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (Ignite Red Metallic) (เฉพาะรุ่น RS และ e:HEV RS)

•สีขาวแพลทินัม (มุก) (Platinum White Pearl) (เฉพาะรุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

•สีดำคริสตัล (มุก) (Crystal Black Pearl)

•สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) (Meteoroid Gray Metallic)

•สีเทาโซนิค (มุก) (Sonic Gray Pearl)

•สีขาวทาฟเฟต้า (Taffeta White) (เฉพาะรุ่น S+)

โดย ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ*** เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 – 30 เมษายน 2567

-รุ่น VTEC TURBO เลือกรับข้อเสนออย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

oดอกเบี้ย 0%*** พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และฟรี Honda Ultimate Care (ฮอนด้า อัลติเมท แคร์) ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร ต่อจากการรับประกันคุณภาพรถใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร สิ้นสุด รวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

oDouble Smile Plus ดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 29,950 บาท** หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 5,484 บาท** พิเศษ! รับสิทธิ์ Honda Free Drive ขับฟรี 6 เดือน พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี เพิ่มเติมเฉพาะลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า (Honda Loyalty), ลูกค้า You’re the One, ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มอาชีพพิเศษ และลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ที่เข้าร่วมรายการ**

-รุ่นฟูลไฮบริด e:HEV เลือกรับข้อเสนออย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

oดอกเบี้ย 0.99%*** พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี

oDouble Smile Plus ดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 36,450 บาท** หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 6,674 บาท** พิเศษ! รับสิทธิ์ Honda Free Drive ขับฟรี 3 เดือน เพิ่มเติมเฉพาะลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า (Honda Loyalty), ลูกค้า You’re the One, ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มอาชีพพิเศษ และลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ที่เข้าร่วมรายการ**

oทุกทางเลือก มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ พร้อมพาคุณไปในทุกเส้นทางได้อย่างที่เป็นคุณ

เป็นทุกอย่างที่อยากให้เป็น… Move It Your Way ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้น สปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยดีไซน์ภายนอกใหม่รอบคัน กับกระจังหน้า กันชนหน้าและกันชนหลัง และล้ออัลลอยในดีไซน์ใหม่ เสริมลุคสปอร์ตเท่เต็มขั้นกับรุ่น RS และ e:HEV RS ที่มาพร้อมกระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ กันชนหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่ สปอยเลอร์หลังสไตล์สปอร์ตแบบ RS และเพิ่มสเกิร์ตข้างใหม่ อีกทั้งไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ดีไซน์ใหม่ ห้องโดยสารกว้างขวาง มาพร้อมเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR) ที่สามารถปรับพับเพื่อเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้หลากหลายให้ตอบรับทุกการใช้งาน อีกทั้งเพิ่มเติมฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ ใหม่! ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย* ที่ได้พัฒนาการแสดงผลสีของหน้าจอให้คมชัดยิ่งขึ้น พร้อมปรับโฉม Interface ใหม่ ให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง*  ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง*  ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) มาพร้อม 2 ขุมพลังการขับเคลื่อนที่ขับสนุก ทรงพลัง และยังประหยัดน้ำมัน ตอบโจทย์การขับขี่ทุกเส้นทางในชีวิตประจำวัน มั่นใจในทุกการเดินทางกับ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ที่มาพร้อมฟังก์ชันใหม่ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) และเพิ่มระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ* (with Low-Speed Follow: with LSF) มีเฉพาะในรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS ครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)* ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ถุงลม 6 ตำแหน่ง* กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ* (Multi-Angle Rearview Camera) ที่มีการพัฒนาคุณภาพของกล้องให้มีความละเอียดสูงขึ้น เป็นต้น

ดีไซน์ใหม่ อัปลุคสปอร์ตขึ้นอีกขั้น สะดวกสบายไปกับห้องโดยสารกว้างขวาง

-การออกแบบภายนอก โดดเด่นโฉบเฉี่ยวสไตล์รถสปอร์ตแฮทช์แบ็ก

•ใหม่! กันชนหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่

•ใหม่! กระจังหน้าโครเมียมดีไซน์ใหม่ (รุ่น S+, SV และ e:HEV SV)

•ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ (รุ่น S+, SV และ e:HEV SV) พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED

•ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ

•โลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และโลโก้ e:HEV ที่ด้านท้าย เอกลักษณ์เฉพาะรถ e:HEV ของฮอนด้า (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•มือจับเปิดประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ

•กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ฝาครอบกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ (รุ่น S+, SV และ e:HEV SV)

•เสาอากาศแบบครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ (รุ่น S+, SV และ e:HEV SV)

•ใหม่! ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 15 นิ้ว (รุ่น S+) ขนาด 15 นิ้วแบบทูโทน (รุ่น SV) และแบบทูโทนขนาด 16 นิ้ว (รุ่น e:HEV SV)

-การออกแบบภายใน กว้างขวาง โปร่งโล่ง มอบความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง

•ใหม่! วัสดุหุ้มเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์ตกแต่งด้วยแถบสีเทา (รุ่น SV และ e:HEV SV)

•วัสดุตกแต่งคอนโซลหน้าสีดำ Piano Black

•มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์ในแบบของตัวเองด้วยเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR) แยกพับ 60:40 ที่สามารถปรับพับเพื่อเพิ่มสเปซการใช้งานอเนกประสงค์ได้ดั่งใจ พร้อมด้วยห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของฮอนด้า โดยปรับเปลี่ยนได้ถึง 4 โหมด ได้แก่

•Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง

•Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว

•Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง

•Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด

-เสริมสปิริตความสปอร์ตขึ้นอีกขั้น ด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคัน ในรุ่น RS และ รุ่น e:HEV RS

•ใหม่! กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ สไตล์สปอร์ตแบบ RS

•ใหม่! กันชนหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่ สไตล์สปอร์ตแบบ RS

•ใหม่! เพิ่มสเกิร์ตข้าง สไตล์สปอร์ตแบบ RS

•สปอยเลอร์หลังสไตล์สปอร์ตแบบ RS

•ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED

•ใหม่! ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ดีไซน์สปอร์ตใหม่

•ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำเงา

•เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำเงา

•ใหม่! ล้ออัลลอยสีดำแบบสปอร์ตขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์ใหม่

•ใหม่! วัสดุหุ้มเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์ตกแต่งด้วยแถบสีแดง

มูฟไปข้างหน้าอย่างมีพลังในทุกเส้นทาง กับ 2 ขุมพลังการขับเคลื่อน

•ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ที่มอบสมรรถนะการขับขี่ทรงพลัง ตอบโจทย์ในทุกเส้นทางด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบการตอบสนองได้ดั่งใจตั้งแต่ออกตัวกับแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที และประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมยิ่งขึ้นที่ 27.8 กม./ลิตร มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม/กิโลเมตร และรองรับน้ำมัน E20 ทั้งนี้ ระบบฟูลไฮบริด e:HEV จะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ให้โดยอัตโนมัติตามความเหมาะสมและสถานการณ์การขับขี่ ประกอบด้วย 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)

•พร้อมเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ e:HEV SV เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่เทคโนโลยีฟูลไฮบริดจากฮอนด้าในรถซิตี้คาร์ ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

•ขุมพลัง TURBO กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว ที่มาพร้อม Turbocharger ขับสนุกทุกเส้นทาง มอบอัตราเร่งแรงเร้าใจได้ตามคิดด้วยกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) อีกทั้งประหยัดน้ำมันเกินคาดด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันที่สูงถึง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 100 กรัม/กิโลเมตร และรองรับน้ำมัน E20

มั่นใจในทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน รองรับทุกการขับขี่

ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน จักรยาน และจักรยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 6 ฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้

•ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)

•ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)

•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC) (รุ่น S+, SV และ RS) พร้อม ใหม่! ระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (with Low-Speed Follow: with LSF) (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ใหม่! ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) พร้อมด้วยเทคโนโลยีด้านการขับขี่และความปลอดภัยที่ครบครัน* อาทิ

•ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (รุ่น e:HEV RS)

•กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS) ที่มีการพัฒนาคุณภาพของกล้องให้มีความละเอียดสูงขึ้น

•ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ระบบ Auto Brake Hold (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ถุงลมคู่หน้า

•ถุงลมด้านข้างคู่หน้า

•ม่านถุงลมด้านข้าง (รุ่น RS และ e:HEV RS)

•ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)

•ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)

•ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)

•ระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

•ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า

•ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)

•เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ

•เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าและหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง

•ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย

•ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)

•จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)

•ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)

•ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)

•สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)

หลากหลายเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและฟังก์ชันล้ำสมัยเชื่อมต่อรถกับผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว

•ใหม่! ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS) ที่ได้พัฒนาการแสดงผลสีของหน้าจอให้คมชัดยิ่งขึ้น พร้อมปรับโฉม Interface ใหม่ ให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

•ใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS) และด้านหน้า 1 ตำแหน่ง (รุ่น S+)

•มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth

•พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์

•พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง

•ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) (รุ่น RS)

•ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ปุ่ม ECON

•ลำโพง 8 ตำแหน่ง (รุ่น RS และ e:HEV RS)

•กระจกมองหลังแบบตัดแสง

•แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า (รุ่น RS และ e:HEV RS)

•ไฟอ่านแผนที่และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร

•ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย

•พนักเท้าแขนด้านหน้า (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

•พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว (รุ่น RS และ e:HEV RS)

•ช่องเก็บของหลังเบาะนั่งคนขับและหลังเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมช่องเก็บของขนาดเล็ก (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System)

•ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System)

•ยกระดับชีวิตให้สมาร์ตขึ้นไปอีกขั้นกับ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ (รุ่น RS และ e:HEV RS) ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ที่ประกอบด้วย 8 ฟังก์ชันล้ำสมัยเชื่อมต่อและรองรับทุกการใช้งานของทุกไลฟ์สไตล์

1.My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป

2.Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และบันทึกการเดินทางที่สามารถเลือกทริปโปรดและแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์เดิม) เป็นต้น

3.WiFi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง

*ลูกค้าสามารถสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย

4.Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น

5.Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และแจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ

6.Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และการสั่งดับเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน

7.Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย

8.Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน

ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง

เสริมความโดดเด่นสไตล์สปอร์ตอีกขั้นด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) รอบคัน ที่มาพร้อมกับแนวคิด “More Enhanced Sporty” โดยมีหลากหลายไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก เช่น ชุดโลโก้สีดำ หน้า-หลัง ราคา 1,200 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท  ชุดป้องกันรอยบริเวณที่เปิดประตู ราคา 1,100 บาท 

ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง ราคา 5,500 บาท  ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว* ราคา 3,900  บาท  ปลอกท่อไอเสีย (สำหรับรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS) ราคา 1,275 บาท  ม่านบังแดดผู้โดยสารตอนหลัง ราคา 2,400 บาท และแผ่นกันรอยเบาะพนักพิงหลัง ราคา 1,700 บาท

นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกในรูปแบบแพ็กเกจ ทั้งหมด 2 แพ็กเกจ ได้แก่

•Black Package ราคา 16,000 บาท ประกอบด้วยล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว* และชุดโลโก้สีดำ หน้า-หลัง

•Modulo Aero Sport Package ราคา 23,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น และชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง

ลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสและทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลจากที่ปรึกษาการขายทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า

24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดทาง www.honda.co.th/cityhatchback โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับผ่าน www.honda.co.th/testdrive ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ถึง 30 เมษายน 2567 จะได้รับฟรี Happy Puffy Bag มูลค่า 250 บาท***

หมายเหตุ:

*อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

**ให้บริการสินเชื่อโดย บริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ ณ เวลาที่ยื่นขอสินเชื่อ ตลอดจนเงื่อนไขอื่นๆเป็นไปตามที่ บริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

-สีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท

-สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) หลังคาสีดำ (ทูโทน)  สีดำคริสตัล (มุก) และสีเทาโซนิค (มุก) เพิ่มเงิน 6,000 บาท

-ราคาล้ออัลลอย รวม 4 วง ไม่รวมราคายาง

-ราคาอุปกรณ์ตกแต่งรวมค่าแรงติดตั้ง ไม่รวม VAT 7%

-กรณีติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งพร้อมรถยนต์ใหม่ รับประกันอุปกรณ์ตกแต่งนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

โตโยต้า เปิดตัวโคโรลล่า ครอส ใหม่ “เพิ่มของราคาเดิม”

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV รุ่น “โคโรลล่า ครอส” ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2563 โดยเป็นรถที่ได้รับการออกแบบภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว และมีความแข็งแกร่ง ภายในห้องโดยสารเพียบพร้อมด้วยพื้นที่กว้างขวาง สะดวกสบายพร้อมด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระ ที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ซึ่งนับตั้งแต่การแนะนำโคโรลล่า ครอสนั้น ถือเป็นรถรุ่นที่ประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดีเสมอมา ด้วยยอดขายสะสมที่ 71,160 คัน ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ปี 2563 ถึง เดือน ธันวาคม ปี 2566

นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ยอดนิยม เพื่อนำเสนอประสบการณ์การขับเคลื่อนที่มาพร้อมเทคโนโลยีและฟังก์ชันอำนวยความสะดวก มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ กับ “โคโรลล่า ครอส ใหม่” เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ลาน Eden ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับโคโรลล่า ครอสใหม่ ได้มีการปรับปรุงในทุกรุ่นย่อย เพื่อมอบประสบการณ์ในการขับเคลื่อนที่ดียิ่งกว่า โดยดีไซน์ใหม่นี้ เป็นการเปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในโลก ด้วยดีไซน์กระจังหน้าแบบ “Multi-Dimensional Design” ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp และ ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential เหนือระดับ ด้วยหลังคา Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาอิสระ ทั้งยังมาพร้อมกับการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และช่องต่อ USB แบบ type C โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ Parking Support Brake, ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Tire Pressure Monitoring System, กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° View, สัญญาณเตือนกะระยะ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ รวมทั้ง ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold  อีกด้วย

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในปีที่ผ่านมา พร้อมแนะนำแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ว่า “ในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยต้องเผชิญความยากลำบากและการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยลดลง 9% โดยเฉพาะเซกเมนต์รถกระบะที่ลดลงถึง 32% ในขณะที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนได้เข้าสู่ตลาด และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ถึง 11% ซึ่งภายใต้ส่วนแบ่งตลาดดังกล่าว สัดส่วนการขายของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เติบโตขึ้นจาก 1% เป็น 10%

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว โตโยต้ายังคงมีรถหลายรุ่น ได้แก่ คัมรี ฟอร์จูนเนอร์ เวลอซ และไฮเอซ ที่เป็นผู้นำในเซกเมนต์ต่างๆ นอกจากนั้น ยาริสและเอทีฟก็สามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในเซกเมนต์อีโคคาร์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 45% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา สำหรับเซกเมนต์รถเอนกประสงค์ SUV โตโยต้ากลับมาครองยอดขายสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาหลังจากการแนะนำยาริส ครอส รวมถึง รถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% เป็นสัดส่วนที่สูงสุดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของโตโยต้าอยู่ที่ 34.3% สูงที่สุดนับตั้งแต่พ.ศ. 2558 และสูงกว่า พ.ศ. 2565 ที่ 0.3% ซึ่งเราขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่ได้ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของโตโยต้าเป็นอย่างดีเสมอมา

ทั้งนี้เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โดยโตโยต้ายังคงมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งความหลากหลายของลูกค้า การใช้งาน ข้อจำกัดในแต่ละภูมิประเทศ อาทิ โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน สภาพถนน ข้อจำกัดทางด้านพลังงาน เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โตโยต้ามีความต้องการที่จะมุ่งเติมเต็มชีวิตของผู้คน และนำมาซึ่งรอยยิ้มของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เราจึงเลือกกลยุทธ์ Multiple Pathway ตามปรัชญา “Mobility for All” โดยที่จะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (No One leaves behind)

โดยในปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ในประเทศไทยได้เติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฮบริด (HEV) ก็เติบโตขึ้น และยังกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้าชาวไทย สำหรับประเภทรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ด้วยเหตุผลที่สามารถใช้งานได้จริงอย่างเหมาะสม ลูกค้ามีความอุ่นใจขณะใช้งาน และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ  รวมไปถึงมีมูลค่าในการขายต่อที่ดี โดยในปีที่แล้ว ส่วนแบ่งตลาดของรถไฮบริด อยู่ที่มากกว่า 12% และในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 17%

อีกหนึ่งกระแสสำคัญในประเทศไทย คือ ความนิยมในรถยนต์ประเภท SUV โดยในปีที่แล้วนั้น ส่วนแบ่งตลาดของ SUV เพิ่มขึ้นที่ 38% แม้ว่าตลาดรถยนต์รวมจะหดตัวลง 9% ทั้งนี้เนื่องมาจากประโยชน์ใช้สอยของรถ SUV เอง ที่สามารถตอบสนองรูปแบบการใช้งานอันหลากหลาย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันในรูปแบบคนเมือง จนถึงการออกไปใช้ชีวิตแบบผจญภัยในช่วงวันหยุด  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อความสำเร็จในประเทศไทยต่อไป และนำรอยยิ้มของลูกค้าชาวไทยมาให้มากขึ้น และนี่คือการเปิดตัวรอบ World Premiere ของ Corolla Cross ใหม่ ที่ได้รับการอัพเกรด เพื่อมอบความพรีเมี่ยม เหนือระดับ ด้วยการออกแบบภายนอกที่ล้ำสมัยและได้มาตรฐานของสเปกที่ต้องการ ซึ่งผมหวังอย่างยิ่งว่า โคโรลล่า ครอส ใหม่ จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี เหมือนดังเช่นเคย”

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และจุดเด่นของโคโรลล่า ครอสใหม่ ว่า “โคโรลล่า ครอส รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2567 มีการปรับเปลี่ยนยกระดับดีไซน์ทั้งภายนอกและภายใน ปรับปรุงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และในขณะเดียวกัน ก็ยังรักษาจุดเด่นของตัวรถด้านประสิทธิภาพการขับขี่ และความประหยัดน้ำมันเอาไว้ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าครอบครัวคนรุ่นใหม่”

“ดีไซน์ภายนอก มีการปรับภายใต้คอนเซปต์ Urban x Premium ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ใช้งานในเมือง ด้วยไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp มาพร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential ดูหรูหรา ล้ำสมัย และให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ กันชนหน้า และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Multi-dimensional ที่ทำให้ตัวรถดูกว้าง ทันสมัย และทรงพลัง ล้ออัลลอยสีทูโทน ดีไซน์ใหม่”

“ภายในปรับเปลี่ยนให้มีความพรีเมียมยิ่งขึ้น ด้วยสีภายในแบบทูโทน มีทั้งหมด 2 สี คือสีดำ และสีใหม่ สี Dark Rose ให้ความรู้สึกหรูหรา เหนือระดับ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Frameless Panoramic Roof ขนาดใหญ่ พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า EPB มาตรวัดแบบ Full Digital พร้อมจอแสดงผลข้อมูลขับขี่ ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลากหลาย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และอุปกรณ์ ชาร์จไฟแบบไร้สาย”

“ด้านความปลอดภัย รุ่น HEV ทุกรุ่นติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense ที่มาพร้อมกับ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed พร้อม Stop & Go ลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่ง และเร่งกลับสู่ระดับที่ตั้งไว้ เมื่อคันหน้าเคลื่อนตัว กล้องมองรอบคัน PVM ให้ภาพที่เคลียร์ชัด ที่มากับระบบ PKSB ช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ ทำให้การจอดรถในทุกทิศทาง 360 องศา ทำได้ง่าย และปลอดภัย ติดตั้งระบบเตือนมุมอับสายตา BSM และช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย”

“ด้านสมรรถนะการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และ เครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร มีพละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งาน พร้อมอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.3 กม.ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด โครงสร้างตัวถัง และช่วงล่างถูกพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานตัวถัง TNGA ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล และมั่นใจ”

“ในรุ่นใหม่ มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี พร้อมกับสีใหม่อย่าง Cement Gray Metallic ที่หรูหรา และทันสมัย ด้วยการปรับปรุงในครั้งนี้ เรามั่นใจว่า Corolla Cross จะสามารถตอบโจทย์ และพร้อมพาลูกค้าทุกท่าน ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อีกครั้ง”

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแผนการตลาดว่า “ในปีที่ผ่านมา เราได้มีการแนะนำ YARIS CROSS ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่มีความเต็มที่ในทุกด้าน และในปีนี้ เพื่อให้ Corolla Cross เป็นยนตรกรรมที่สามารถตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งเป็น “ผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Corolla Cross ใหม่ จึงได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นเดิม ให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์แบบมากขึ้นในหลายๆ ด้าน”

“Corolla Cross ใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคอนเซปท์ “Complete your life ตอบ…ทุกความหมายชีวิต” โดยเรามีพรีเซนเตอร์ครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของกลุ่มลูกค้า Corolla Cross ที่ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ กับครอบครัว”

“โดยเราวางเป้าหมายการขายของ Corolla Cross ใหม่ ไว้ที่ 1,500 คันต่อเดือน และจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป”

โคโรลล่า ครอส ใหม่ มาพร้อมทางเลือกสีภายนอก 5 สี และสีภายใน 2 สี

สีภายนอก

รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium และ 1.8 Sport Plus

-ใหม่! สีเทา Cement Gray Metallic                          

-สีเทา Celestite Gray Metallic

-สีขาว Platinum White Pearl

-สีเงิน Metal Stream Metallic

-สีดำ Attitude Black Mica

รุ่น HEV GR Sport

-สีขาว Platinum White Pearl พร้อมหลังคาดำ

-สีแดง Red Mica Metallic พร้อมหลังคาดำ

-สีดำ Attitude Black Mica

สีภายใน

-ใหม่! สี Dark Rose 

เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Platinum White Pearl, สี Celestite Gray Metallic, สี Attitude Black Mica

-สี Black

เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Cement Gray Metallic และ สี Metal Stream Metallic และรุ่น 1.8 Sport Plus

-สี GR Sport Black

เฉพาะรุ่น GR Sport

เป็นเจ้าของ โคโรลล่า ครอส ใหม่ วันนี้ รับข้อเสนอสุดพิเศษ!

• ดอกเบี้ยพิเศษ ช่วงแนะนำ เริ่มต้นเพียง 1.79%* (ดาวน์ 25%, 48 เดือน) พร้อมประกันภัยชั้น 1 PHYD รวมทั้งข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าปัจจุบันของโตโยต้า ด้วยส่วนลดดอกเบี้ย 0.3%

•สะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายกับเทคโนโลยี Connected ทั้งด้านประกันภัย การบำรุงรักษา และ การสะสมคะแนนแลกสิทธิพิเศษมากมาย

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด เกียร์อัตโนมัติ

-HEV GR-Sport      ราคา         1,254,000 บาท**

-HEV Premium Luxury     ราคา         1,204,000 บาท**

-HEV Premium      ราคา           1,094,000 บาท**

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เกียร์อัตโนมัติ

-1.8 Sport Plus      ราคา          999,000 บาท**

*สำหรับสีพิเศษ

รุ่น GR-Sport สี Platinum White Pearl พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 15,000 บาท, สี Red Mica Metallic พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 10,000 บาท

รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium, 1.8 Sport Plus สี Platinum White Pearl และ Cement Gray Metallic เพิ่ม 10,000 บาท

**ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม

เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

เชิญสัมผัสและทดลองขับ โคโรลล่า ครอส ใหม่

“COMPLETE YOUR LIFE ตอบ…ทุกความหมายชีวิต”

ได้ที่งาน “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH ELEGANCE”

ที่ CENTRAL WORLD ชั้น 1 โซน EDEN ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์

สนุกกับกิจกรรมเปิดตัวสุดพิเศษ “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH LOVE”

ณ โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์ 2567

พบกิจกรรมทดลองขับพร้อมรับของที่ระลึกกระเป๋าอเนกประสงค์ (จำนวนจำกัด)

และสามารถสัมผัสโคโรลล่า ครอส ใหม่ ได้ที่ TOYOTA ALIVE บางนา

ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่

https://www.toyota.co.th/ Facebook: Toyota Motor Thailand

LINE ID: @ToyotaThailand  TikTok: @ToyotaMotorTH

X(Twitter): @ToyotaMotorTH Instagram: @toyotamotorthailandofficial               

ข้อมูลผลิตภัณฑ์  โคโรลล่า ครอส ใหม่

สเปกใหม่ในทุกรุ่น

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

รุ่น HEV GR-Sport

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

-ใหม่! อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° view

-ใหม่! กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (4) หลัง (4) รวม 8 ตำแหน่ง

รุ่น HEV Premium Luxury

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Head Lamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 18 นิ้ว

-ใหม่! Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

-ใหม่! อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° view

-ใหม่! กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว

-ใหม่! เบาะภายในสี Dark Rose  *ตามสีภายนอก

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (4) หลัง (4) รวม 8 ตำแหน่ง

รุ่น HEV Premium

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 18 นิ้ว

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! เบาะภายในสี Dark Rose  *ตามสีภายนอก

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบความปลอดภัย TOYOTA SAFETY SENSE

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (2) หลัง (4) รวม 6 ตำแหน่ง

รุ่น 1.8 Sport Plus

เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจกมองข้างพร้อมระบบ Reverse Link

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (2) หลัง (4) รวม 6 ตำแหน่ง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save