- Advertisement -
34.2 C
Bangkok
Home Blog Page 68

GWM เปิดตัวเปิดราคา ORA 07 กลางเวที Motor Expo 2023

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัวและประกาศราคา ORA 07 อย่างเป็นทางการ เริ่มต้น 1.299–1.499 ล้านบาท พร้อมจัดเต็มทัพยานยนต์ไฟฟ้าคุณภาพ โดยยกทัพรถยนต์คอมแพคเอสยูวียอดนิยม HAVAL H6 HEV, HAVAL H6 PHEV และเจ้าสิงโตอารมณ์ดี HAVAL JOLION และข้อเสนอพิเศษมากมายในงาน Motor Expo 2023

 29 พฤศจิกายน 2566 : เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศความสำเร็จของ Mission 9 in 3 ส่งยานยนต์ไฟฟ้า 100% เรือธงรุ่นล่าสุดสู่ตลาดไทย เปิดตัวและประกาศราคา ORA 07 อย่างเป็นทางการภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 หรือ Motor Expo 2023 เสริมทัพไลน์อัปยานยนต์พลังงานใหม่คุณภาพลำดับที่ 9 สู่ตลาดประเทศไทย โดยราคาอย่างเป็นทางการของ ORA 07 รุ่น LONG RANGE อยู่ที่ 1,299,000 บาท และราคาของ ORA 07 รุ่น PERFORMANCE อยู่ที่ 1,499,000 บาท โดยลูกค้าที่สนใจสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน GWM และเว็บไซต์ www.gwm.co.th นอกจากนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสและทดลองขับ ORA 07 คันจริงได้ที่ GWM Partner Store อีกด้วย พร้อมกันนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังขนทัพยานยนต์ไฟฟ้าขวัญใจชาวไทยอีกหลากหลายรุ่นมาจัดแสดง และจัดเต็มข้อเสนอสุดพิเศษพร้อมกิจกรรมสุดสนุกอีกมากมายภายในงาน Motor Expo 2023

มร.ไคลด์ เฉิง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประจำภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในการเข้ามา ดำเนินธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในภูมิภาคอาเซียน การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยนี้ได้เข้ามายกระดับมาตรฐานการดำเนินงานทั้งทางด้านการขายและการผลิต ในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาค เรามุ่งมั่นสร้างรากฐานที่เข้มแข็งของแบรนด์ในตลาดอาเซียน ตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้นำและความตั้งใจของเราในการพัฒนารถยนต์พลังงานใหม่อย่างยั่งยืน เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ขับขี่ที่ดีที่สุดให้กับผู้ขับขี่ยานยนต์ทั่วภูมิภาคผ่านบริการและรถยนต์พลังงานใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย”

นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “จนถึงปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสู่ครอบครัวชาวไทยไปแล้วมากกว่า 27,000 คัน จากรถยนต์ทั้งหมด 8 รุ่น ที่ได้เปิดตัวและจำหน่ายไปแล้ว โดยการเปิดตัวและประกาศราคา ORA 07 อย่างเป็นทางการภายในงาน Motor Expo 2023 ในวันนี้ นับเป็นความสำเร็จต่อความมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และบรรลุเป้าหมาย Mission 9 in 3 หรือการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 9 รุ่นภายใน 3 ปี ที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เคยประกาศไว้เมื่อ 3 ปีก่อน นอกจากนี้ความสำเร็จในวันนี้ยังแสดงถึงการเดินหน้าเพื่อเติมเต็มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย พร้อมมอบทางเลือกใน D-Segment ของรถยนต์ไฟฟ้าซีดาน รวมถึงการส่งเสริมการยกระดับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าระดับท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง โดยยานยนต์พลังงานไฟฟ้าที่บริษัทฯ เลือกมาเปิดตัวในประเทศไทยครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฮบริด, ปลั๊กอิน-ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ 100% ซึ่งเป็นจุดแข็งของการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การใช้ยานยนต์พลังงานใหม่และสนับสนุนสังคมสีเขียวในประเทศไทย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนและความไว้วางใจที่ทุกท่านมอบให้ด้วยดีเสมอมา เราจะยังคงมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและยกระดับการบริการและประสบการณ์ของลูกค้าไปอีกขั้น และยังคงมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำและเป็นส่วนหนึ่งและการเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านผลิตภัณฑ์และกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นอีกมากมายที่เตรียมไว้ให้กับผู้ขับขี่ชาวไทยในปี 2567 ที่จะถึงนี้”

ORA 07 รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง รุ่นเรือธงล่าสุดภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ ORA เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ มาพร้อมกับตัวเลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น LONG RANGE และรุ่น PERFORMANCE โดยรุ่น LONG RANGE มาพร้อมระบบขับเคลื่อนด้านหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มอบพละกำลัง 204 แรงม้า หรือ 150 กิโลวัตต์ แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 340 นิวตัน-เมตร ระยะทางวิ่งสูงสุด 640 กิโลเมตร (NEDC Standard) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รุ่น PERFORMANCE มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มอบพละกำลัง 408 แรงม้า หรือ 300 กิโลวัตต์ แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 680 นิวตัน-เมตร ระยะทางวิ่งสูงสุด 550 กิโลเมตร (NEDC Standard) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 83.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง และ โหมดการขับขี่ถึง 6 รูปแบบ (สำหรับรุ่น PERFORMANCE) ได้แก่ โหมดประหยัด โหมด WELL BEING โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดสปอร์ตพลัส และโหมดส่วนบุคคล

ORA 07 มาพร้อมกับเฉดสีภายนอกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว (Jade White) สีเทา (Amethyst Grey) และสีพิเศษ ม่วง (Crystal Purple) ในรุ่น PERFORMANCE เฉดสีภายในมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ และสีน้ำตาล ซึ่งเบาะสีน้ำตาลจะเป็นสีพิเศษสำหรับรุ่น PERFORMANCE ซึ่งเลือกจับคู่ได้กับสีภายนอกสีม่วงและสีเทาเท่านั้น นอกจากนี้ ORA 07 ยังมาพร้อมการรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือระยะทาง 180,000กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) สำหรับผู้ที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของ ORA 07 เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังได้จัดเตรียมข้อเสนอสุดพิเศษให้กับแฟน ๆ ชาวไทย อาทิ

•ดอกเบี้ย 1.68%* เมื่อดาวน์ 30% ผ่อน 48 เดือน

•ฟรี GWM โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้ง

•ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง GPSI ภายในระยะเวลา 5 ปี หรือ 75,000 กิโลเมตร

•ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี

•ฟรี บริการแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตและระบบสั่งการภายในรถ เป็นระยะเวลา 3 ปี

*ธนาคารทีเอ็มบีธนชาติ ดอกเบี้ย 1.68% สำหรับผู้ที่ทำการจองตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2566 ธนาคารทิสโก้ ดอกเบี้ย 1.68% สำหรับผู้ที่ทำการจองตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2566 เท่านั้น และจะปรับดอกเบี้ยเป็น 1.85% สำหรับผู้ที่ทำการจองตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม – 31 ธันวาคม 2566

นอกจากการเปิดตัวและประกาศราคาของ ORA 07 แล้ว เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าและความมุ่งมั่นในการส่งมอบรถยนต์คุณภาพให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ยกขบวนพาเหรดยนตรกรรมไฟฟ้า (xEV) หลากหลายรุ่นมาเพื่อจัดแสดงภายในงาน Motor Expo 2023 ได้แก่ รถยนต์คอมแพคเอสยูวียอดนิยม HAVAL H6 HEV, HAVAL H6 PHEV, เจ้าสิงโตอารมณ์ดี HAVAL JOLION Hybrid SUV เจ้าเหมียวไฟฟ้าขวัญใจชาวไทย ORA Good Cat, ORA Good Cat GT และเจ้าเหมียวไฟฟ้ารุ่นล่าสุด ORA 07 รวมถึงรถยนต์สำหรับเอสยูวีออฟโรดระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ TANK อย่าง All New GWM TANK 500 HEV และ All New GWM TANK 300 HEV

ภายในงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เตรียมไฮไลต์ชุดตกแต่งออฟโรดฉบับพิเศษสำหรับ All New GWM TANK 300 HEV ที่ผสานการตกแต่งแบบสปอร์ตออฟโรดและความลักซ์ชัวรีไว้อย่างลงตัว สร้างแรงบันดาลใจให้เป็นมากกว่ารถเอสยูวี แต่พร้อมเป็นยานพาหนะคู่ใจที่จะพาผู้ขับขี่ผจญภัยไปในทุกเส้นทางทั้งออฟโรดและออนโรด สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นตัวเองด้วยตัวรถสีเขียวเข้มแบบด้านตัดกับอะไหล่บอดี้สีดำ ปรับดีไซน์ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่สีดำ ผสานโลโก้ TANK รับกับไฟหน้าทรงกลมดูโดดเด่น

ครอบฝากระโปรงหน้าสีดำดีไซน์ X ตัดช่องลมเพิ่มความดุดัน รับกับกระจกมองข้างดีไซน์ใหม่ด้วยครีบตัดอากาศ กันชนด้านหน้าและหลังสีดำคาดลายรังผึ้งพร้อมชายล่างและไฟ LED เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ด้วยท่อไอดีบนฝากระโปรงหน้าสำหรับลุยน้ำได้ดียิ่งขึ้น ล้ออัลลอย 2 โทนขนาด 20 นิ้ว พร้อม ยาง A/T ที่เหมาะสมกับการลุยในเส้นทางออฟโรด พร้อมปรับโช้คอัพยกความสูงขึ้น 3 นิ้ว ชุดตกแต่งซุ้มล้อและบันไดข้างดีไซน์ทันสมัย สอดรับกันชนด้านหน้าและหลัง เสริมชั้นวางสัมภาระบนหลังคาดีไซน์ X พร้อมกันแดดและสปอยเลอร์ และบันไดหลังคาพับออกเมื่อต้องการใช้งาน ฝาครอบยางอะไหล่ดีไซน์ X รับดีไซน์จากฝากระโปรงหน้าและหลังคา ตอบโจทย์การขับขี่ออฟโรดและการผจญภัยของ All New GWM TANK 300 HEV ได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมี ORA 07 ชุดตกแต่งพิเศษเสริมรูปลักษณ์ความสปอร์ตสุดเร้าใจ เปลี่ยนโฉมด้วยฟิล์มสีดำทั้งคัน พร้อมล้ออัลลอยสีดำขนาด 19 นิ้ว และแป้นเหยียบคันเร่งแบบสปอร์ต

ยิ่งไปกว่านั้น พบกับข้อเสนอที่ดีที่สุดส่งท้ายปีสำหรับสาวกเจ้าเหมียวไฟฟ้า กับโอกาสสุดท้ายในการเป็นเจ้าของ ORA Good Cat และ ORA Good Cat GT เกรท วอลล์ มอเตอร์ ช่วยผ่อนระยะเวลานานถึง 12 เดือน รวมมูลค่าสูงสุด 120,000 บาท เฉพาะสีและรุ่นที่กำหนด ให้กับผู้ขับขี่ชาวไทย หมดแล้ว หมดเลย พร้อมกับสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ รถยนต์ ORA Good Cat ทั้ง 2 รุ่น จะได้รับฟรี ค่าจดทะเบียนรถยนต์และค่าดำเนินการ มูลค่า 3,500 บาทอีกด้วย ข้อเสนอสุดพิเศษนี้ สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2566 นี้ หรือจนกว่าสินค้าจะหมดเท่านั้น

ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุด ORA 07 และทัพยานยนต์พลังงานใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและเทคโนโลยีล้ำสมัย รวมถึงร่วมกิจกรรมสนุกๆ มากมายจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ สามารถเยี่ยมชมได้ที่ บูธหมายเลข A12 ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 (Motor Expo 2023) อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ได้ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 – 11 ธันวาคม 2566 เวลา 12.00 – 22.00 น. (วันธรรมดา) และ 11.00 – 22.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ)

อนึ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) หรือ GWM ผู้ผลิตรถเอสยูวีและรถกระบะระดับโลก จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อปี 2546 และ

ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2554 มีบริษัทย่อยที่ถือหุ้นมากกว่า 80 บริษัทและมีพนักงานกว่า 70,000 คน ปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทำยอดขายได้กว่าหนึ่งล้านคันต่อปี เป็นเวลาหกปีติดต่อกัน ซึ่งนอกจากในประเทศจีน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังส่งมอบรถยนต์คุณภาพไปให้กว่า 60 ประเทศและภูมิภาค และมีเครือข่ายในต่างประเทศกว่า 500 แห่งอีกด้วย

มาสด้า โชว์ Mazda6 รุ่นพิเศษ และมาสด้าทุกรุ่นที่งาน Motor Expo 2023

มาสด้า เปิดตัวรถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานระดับไฮเอนด์ที่หรูหราภูมิฐาน นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมาให้คนไทยได้สัมผัสและจองสิทธิ์เป็นเจ้าของ Mazda6 20th Anniversary Edition ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของมาสด้า6 โดยจะนำเข้ามาเพียง 100 คัน กำหนดส่งมอบเดือนเมษายนปีหน้า ราคาขายประมาณ 2.4 ล้านบาท พร้อมแพ็กเกจสุดคุ้ม Mazda Ultimate Service นานสูงสุด 7 ปี ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ โปรโมชั่นสุดคุ้มส่งท้ายปีอีกมากมาย

นอกจากมาสด้าจะนำ Mazda6 20th Anniversary Edition มาแนะนำและเปิดให้จองสิทธิ์ภายในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 แล้ว มาสด้ายังได้นำยนตรกรรมมาสด้าทุกรุ่นมาจัดแสดงให้ลูกค้าได้จับจองเป็นเจ้าของ พร้อมกับเซอร์ไพรส์พิเศษ ด้วยการนำรถ New Mazda2 ในแบบแฮชท์แบ็ค 5 ประตู ที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Sci-Fi** มาจัดแสดงให้แฟนๆ ได้ยลโฉม นอกจากนั้นยังนำ New Mazda2 ในแบบซีดาน 4 ประตู ที่ได้รับการเนรมิตโฉมแบบใหม่ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Clap Pop Sedan** มาจัดแสดงให้เป็นไอเดียให้ลูกค้าที่ชอบความมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใครได้นำไปเป็นแบบอย่างในการแต่งรถอีกหนึ่งรุ่น

ที่สำคัญมาสด้ายังมอบข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมาย อาทิ ลูกค้า 300 ท่านแรก ที่จองขั้นต่ำ 5,000 บาท ภายในงานฯ และออกรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 รับฟรีของพรีเมี่ยมสุดพิเศษจากมาสด้า พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับเจ้าของรถมาสด้าและครอบครัว เมื่อออกรถใหม่ รับ ฟรี บัตรน้ำมัน มูลค่า 10,000 บาท*** รวมถึงมอบข้อเสนอมากมายส่งท้ายปี อาทิ ดอกเบี้ย 0% ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษารถตามระยะ Mazda Care 5 ปี (รวมค่าแรง ค่าอะไหล่ และของเหลว) ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service

ลูกค้าที่สนใจรถยนต์นั่ง Mazda6 20th Anniversary Edition รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 20 ปี ที่มีให้ครอบครองเป็นเจ้าของเพียง 100 คัน ในประเทศไทย สามารถยลโฉมคันจริงได้ที่งาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 – 11 ธันวาคม 2566 นี้ เท่านั้น สำหรับลูกค้าที่สนใจรถยนต์มาสด้าทุกรุ่น ทุกคัน รับข้อเสนอพิเศษดีๆ เช่นนี้เฉพาะช่วงปลายปี สามารถเข้าชมและจับจองได้ภายในงานฯ หรือที่โชว์รูมมาสด้าใกล้บ้านทั่วประเทศ

คณะผู้บริหารมาสด้าและผู้มีเกียรติร่วมถ่ายภาพกับ Mazda6 20th Anniversary Edition ประกอบด้วย มร.ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร, มร.คาซูทากะ โมริ รองประธานกรรมการบริหาร, นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส และ มร.ทาเคชิ มิคามิ รองประธานบริหารส่วนงานวางแผนกลยุทธ์และปฏิบัติการ พร้อมคณะผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 ประกอบด้วย นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน มหกรรมยานยนต์, นายประพงษ์ ไม้เจริญ รองประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ และนางสาวชไมพร ปภัสร์พงษ์ รองประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ และสื่อมวลชนกิตติมศักดิ์ ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์, นายจรวย ขันมณี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยานยนต์สแควร์ กรุ๊ป จำกัด และประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซลส์, นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ประธานบริษัท แอดวานซ์ แอคทิวิตี้ จำกัด และ ประธานจัดงาน Fast Auto Show Thailand, นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ สายกิจกรรมพิเศษ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และรองประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์, นายรณฤทธิ์ ซื่อวาจา รองประธานจัดงานแบงค็อก ออโต ซาลอน และกรรมการผู้จัดการ บริษัท คอร์โน แอนด์ แนช จำกัดและนายวชิระ เรืองมาลัย นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.)

GAC AION ปรับลดราคา AION Y Plus 490 Premium สู้ศึกรถอีวี

GAC AION เปิดตัว AION Y Plus 490 Premium ที่งาน Thailand International Motor Expo 2023 หั่นราคาสู้ศึกรถอีวีลง 100,000 บาท เหลือ 999,900 บาท ถึงวันที่ 11 ธ.ค.นี้ พร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย นอกจากนี้ยังได้เผยโฉม Hyper GT, Hyper HT และ Hyper SSR แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ของ GAC AION รวมถึง AION ES รถยนต์ซีดานไฟฟ้ารุ่นแรกในอุตสาหกรรมรถโดยสารสาธารณะของประเทศไทย ที่ได้เปิดตัวพร้อมกันทั้งไทยและต่างประเทศ

นายโอเชี่ยน หม่า (Ocean Ma) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า  ถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของ AION ในงาน Motor Expo ซึ่งเรามาพร้อมกับความจริงใจ และเปี่ยมล้นด้วยความคาดหวัง วันนี้เรามีความพร้อมที่จะนำเอานวัตกรรมที่ล้ำสมัยและรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นมาจัดแสดงภายในงาน Motor Expo 2023 ซึ่งถือเป็นการเล็งเห็นความสำคัญของตลาดรถในประเทศไทย และความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดในอนาคต

ซึ่งงาน Motor Expo ครั้งนี้ บริษัทได้เปิดตัว AION Y Plus 490 Premium โฉมใหม่ด้วยราคาสุดพิเศษ 999,900 บาท จากราคา 1,099,900 บาท ถึงวันที่ 11 ธ.ค. 2566 นี้เท่านั้น โดยได้รับการอัปเกรดออปชัน อย่างเต็มรูปแบบทั้งหมด 24 รายการ ภายนอกมาพร้อมกับระบบไฟสูงอัจฉริยะ พร้อมประตูฝาท้ายระบบไฟฟ้า และฟังก์ชัน VTOL ภายใน มีการเพิ่มระบบระบายอากาศเบาะที่นั่งคนขับ เบาะผู้โดยสารตอนหน้าสามารถปรับได้ 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารสามารถปรับได้ตามจังหวะดนตรี เบาะหลังมีการติดตั้งพนักพิงศีรษะและที่วางแขนตรงกลาง  รวมถึงระบบการขับขี่อัจฉริยะและระบบความบันเทิง มีการอัปเกรดเพิ่มขึ้นถึง 12 รายการ ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะระดับ L2+ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ นอกจากนี้เรายังได้แถมสาย Emergency Charging ให้กับลูกค้าที่ซื้อ AION Y Plus 490 Premium อีกด้วย

ในส่วนของเทคโนโลยี AION Y Plus 490 Premium ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้า AEP ซึ่งมาพร้อมกับคุณสมบัติที่โดดเด่นและทำให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง  มาพร้อมอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถได้อย่างมั่นใจและได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งตำแหน่งการวางแบตเตอรี่ไว้ที่จุดศูนย์กลางของตัวรถ ทำให้มีความปลอดภัยสูง ส่งผลให้ตัวรถทำงานควบคู่กับระบบอัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวแบตเตอรี่ขนาด 63.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุดมากถึง 490 กม. พร้อมด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในโลกอย่าง Magazine Battery ที่ผ่านการทดสอบโดยการใช้กระสุนปืนยิงทะลุแบตเตอรี่มากกว่า 980,000 ครั้ง ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางของรอยกระสุนที่ใหญ่กว่าการทดสอบแบบทั่วไปมากกว่า 7-8 เท่า ผลลัพธ์คือแบตเตอรี่ไม่มีการติดไฟหรือเกิดการระเบิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แนวคิดการออกแบบ AION Y Plus 490 Premium ได้คำนึงถึงความสะดวกสบายและการใช้งานจริงเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็ได้รวมเอาความทันสมัย และฟังก์ชั่นการขับขี่อัจฉริยะเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร AION Y Plus 490 Premium มีระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,750 มิลลิเมตร พร้อมด้วยพื้นที่วางขาด้านหลัง 1,022 มิลลิเมตร ทำให้มั่นใจได้ถึงความสะดวกสบายของผู้โดยสาร เบาะนั่งคู่หน้าสามารถพับราบเป็นเตียงขนาดใหญ่ได้ 1.8 เมตร มอบทางเลือกในการพักผ่อนที่มากกว่าและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางระยะไกล เบาะโดยสารด้านหลังสามารถพับลงกลายเป็นพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มากถึง 1,200 ลิตร สามารถรองรับสัมภาระจำนวนมากได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์ผู้ที่มีสัมภาระเป็นจำนวนมาก

AION Y Plus 490 Premium มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ ACC with Stop & Go และระบบ ICA ที่ช่วยให้การขับขี่ในความเร็วสูงทั้งทางตรงและทางโค้งได้มีประสิทธิภาพ และฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ในสภาพจราจรติดขัด  TJA (Traffic Jam Assist) ที่จะช่วยควบคุมเบรกและคันเร่งให้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดภาระของผู้ขับขี่จากสถานการณ์รถติด ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องรถติดอีกต่อไป และยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยอื่นๆอีกมากมาย เช่น FCW, AEB, LDW และ LKA ซึ่งทำหน้าที่แจ้งเตือนการขับขี่และช่วยเหลือผู้ขับในสภาวะที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ตัวรถยังมาพร้อมกับระบบแสดงภาพพาโนรามา 540 องศา กำจัดจุดบอดในการมองเห็น และมีระบบสั่งการด้วยเสียงสามารถรองรับได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังมีระบบชาร์จมือถือแบบไร้สาย ระบบนำทางและฟังก์ชั่นฟังเพลงแบบออนไลน์ รวมถึงระบบควบคุมรถระยะไกลผ่าน Application เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้รถ

ในขณะนี้ AION กำลังก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC จังหวัดระยอง ด้วยเงินลงทุนสูงถึง 2.3 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตมากกว่า 50,000 คันต่อปี โดยจะก่อสร้างเป็น 2 เฟส คาดว่าโครงการเฟสแรกจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2567 ปัจจุบัน AION ทำงานใกล้ชิดกับกลุ่มตัวแทนจำหน่ายหลายกลุ่มในประเทศไทย และมีศูนย์บริการแล้ว 35 แห่ง โดย 27 แห่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และภายในสิ้นปี 2566 นี้ AION มีแผนการที่จะขยายศูนย์จำหน่ายและศูนย์บริการให้ถึง 50 แห่ง

GAC AION มุ่งมั่นที่จะให้บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันศูนย์สต๊อกอะไหล่ของเราได้เริ่มเปิดให้บริการแล้ว สามารถส่งอะไหล่ได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั่วประเทศไทย ในราคาที่เอื้อมถึงได้ง่าย และในวันที่ 15 ธันวาคม จะมีการเปิดตัวแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลต่างๆของแบรนด์ สามารถค้นหาตัวแทนจำหน่ายและนัดหมายทดลองขับได้ภายในคลิ๊กเดียว รวมถึงบริการหลังการขาย นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบควบคุมรถจากระยะไกล เช่น การล็อครถ และการเปิดแอร์ เป็นการมอบประสบการณ์การบริการดิจิทัลที่สะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้

ปัจจุบัน GAC AION กำลังเร่งดำเนินกลยุทธ์ในระดับโลก และกำหนดให้ประเทศไทยเป็นฐานการพัฒนาและการผลิตที่สำคัญในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ AION ได้ให้ประเทศไทยเป็นประตูสำคัญสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์สู่ตลาดระดับโลก การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของ GAC AION ประเทศไทย ถือเป็นก้าวแรกที่มั่นคงในการพัฒนาสู่ระดับโลก และหลังจากการดำเนินการในประเทศไทย AION ได้วางแผนที่จะขยายขอบเขตธุรกิจและกำหนดเป้าหมายไปยังยุโรป อเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระดับโลกและความมุ่งมั่นในการขยายตลาด

นอกจากนี้ในงาน Motor Expo 2023 AION ยังได้นำแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ของ GAC AION มาโชว์ด้วย อย่างเช่น Hyper GT รถสปอร์ตซีดานไฟฟ้า ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดูดุดันและสง่างาม เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ด้วยราคาประมาณ 1,100,000 – 1,700,000 บาท (ในประเทศจีน) สร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก และทำยอดขายไปได้มากถึง 2,000 คันในเดือนแรกของการเปิดตัว ถือเป็นรถสปอร์ตซีดานไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ที่ทำยอดขายได้เร็วที่สุดนับตั้งแต่เปิดตัว ดีไซน์ภายนอกและภายในของ Hyper GT แฝงไว้ด้วยเส้นสายที่ดูสปอร์ต ผสานกับความหรูหราไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยประตูแบบปีกผีเสื้อ (Butterfly Doors) ที่สามารถเปิด-ปิด ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว รวมถึงสปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟ ที่จะทำงานเมื่อถึงความเร็วที่กำหนด หรือเลือกเปิด – ปิด ได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่

ขุมพลังของ Hyper GT จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว มอบพละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิด 320 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.9 วินาที ขับเคลื่อนล้อหลัง จับคู่กับแบตเตอรี่ขนาด 80 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 710 กิโลเมตร (มาตรฐาน CLTC) นอกจากนี้ยังได้ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ NDA ทำงานควบคู่กับกล้อง LIDAR 3 ตัวที่สามารถปรับโฟกัสสำหรับการตรวจหาวัตถุได้ทั้งในระยะใกล้และระยะไกล พร้อมด้วยชิปประมวลผล AI คุณภาพสูงจาก Huawei มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบาย และปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้ขับและผู้โดยสาร

และ Hyper HT เอสยูวีขุมพลังไฟฟ้า 100% ระดับไฮเอนด์ รุ่นแรกจาก Hyper แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงจาก GAC AION ที่มาพร้อมกับดีไซน์ สมรรถนะ และออปชั่น ที่เหนือกว่า โดยรถคันนี้ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม AEP 3.0 ที่ทาง GAC AION วิจัยและพัฒนาขึ้นมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ พร้อมด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ Xingling ซึ่งจะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์มากถึง 39 ตัว, ทำงานควบคู่กับกล้อง LIDAR 3 ตัว ให้ความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ขับและผู้โดยสาร

Hyper HT ได้สร้างมาตรฐานใหม่ ในตลาดเอสยูวีไฟฟ้า 100% โดยได้ชูจุดเด่น 4 ประการได้แก่ ดีไซน์และการออกแบบที่หรูหรา, วัสดุและการตกแต่งระดับพรีเมียม, สมรรถนะการขับที่ยอดเยี่ยม และระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ชาญฉลาด มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ขับและผู้โดยสาร สอดคล้องกับ DNA ของแบรนด์ Hyper ได้แก่ Advanced, Trendy, Fun, High-grade

ปิดท้ายด้วย Hyper SSR ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า 100% ระดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ถือเป็นรถซูเปอร์คาร์สมรรถนะสูงระดับไฮเอนด์รุ่นแรก ภายใต้แบรนด์ Hyper จาก GAC AION บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ระดับแถวหน้าจากประเทศจีน

Hyper SSR มาพร้อมกับดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยวและเป็นเอกลักษณ์ ตัวถังภายนอกผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คุณภาพสูง 100% ให้ความแข็งแรงและมีน้ำหนักที่เบากว่าเหล็กทั่วไปมากถึง 2.5 เท่า โดดเด่นด้วยประตูแบบปีกผีเสื้อ (Butterfly Doors) ที่สามารถเปิดหรือปิดเพียงแค่กดปุ่มบริเวณประตู, หรือเหยียบแป้นเบรกให้ลึกขึ้นในขณะจอดรถ ประตูก็จะเปิดโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบ Active Spoiler ซึ่งสามารถสร้างแรงกดบริเวณท้ายรถได้มากถึง 100 กิโลกรัม และไม่น่าเชื่อว่า Hyper SSR มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (cd) เพียงแค่ 0.146 เท่านั้น

ขุมพลังของ Hyper SSR จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ให้พละกำลังสูงสุดมากถึง 1,225 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 1.9 วินาที ให้ผู้ขับได้สัมผัสแรงกระชากในระดับ 1.7 G

ตัวรถ Hyper SSR ถูกคิดค้น วิจัย และพัฒนา โดยทีมวิศวกรของ Hyper ทั้งหมด และถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับสูง ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์จีน และยังเป็นรถซูเปอร์คาร์ไฟฟ้ารุ่นแรกๆ ที่เริ่มวางขายในประเทศจีนอีกด้วย

มิตซูบิชิ ชวนลูกค้าสัมผัส ออล-นิว ไทรทัน ทุกรุ่น ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40”

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ชวนลูกค้าชมโฉม ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ครบทุกรุ่น ครั้งแรก ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40″ นำทัพโดย ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท และ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัลตร้า เกียร์อัตโนมัติ  ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II เอกลักษณ์เฉพาะมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (4H) เจ้าแรกในตลาดกระบะไทย ใหม่ล่าสุดด้วย 7 โหมดการขับขี่ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC)  ขับขี่คล่องตัวด้วยความปลอดภัยสูงสุดบนทุกสภาพถนน พร้อมสัมผัสกลุ่มรถกระบะออล-นิว ไทรทัน ตัวเตี้ย ครบทุกแค็บ ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ที่ประหยัดน้ำมันกว่า แชส์ซีส์ใหม่ “เมกา เฟรม” สุดแกร่งที่ใหญ่กว่าเดิม ทั้งยังจับมือสำนักแต่งรถทุกสายทั้งแนวเรซซิ่ง แนวแคมป์ปิ้ง 4WD และเชิงพาณิชย์ จัดแสดงรถแต่งทรงต่างๆ สร้างแรงบันดาลใจ ทั้งกระบะตัวเตี้ยแต่งเต็มสไตล์เรซซิ่งสุดเท่ คอกซิ่งสุดหล่อ และติดตั้งตู้ทึบสำหรับใช้งานเชิงพาณิชย์ รวมถึงกระบะยกสูงจัดทรงสายแรลลี่ สายแคมป์ปิ้ง มอเตอร์โฮม และอื่นๆ มาให้ยลโฉมอีกด้วย

บรรยายภาพ : มร.เออิอิชิ โคอิโตะ (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และ มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์การตลาด สายงานกลยุทธ์การตลาด สายงานขาย สายงานพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย และสายงานบริการหลังการขาย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมจัดแสดง ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ครบทุกรุ่น สำหรับลูกค้าชาวไทย ครั้งแรก ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40″ หรือ “Motor Expo 2023”

มร.เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่เราได้เปิดตัวรถยนต์ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ในงานเวิลด์พรีเมียร์ที่ประเทศไทย ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา งานนี้ถือเป็นครั้งแรกของการจัดแสดงรถยนต์ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ครบทุกรุ่น ที่เกิดมาเพื่อปฏิวัติความเชื่อ เป็นได้มากกว่า ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม ด้วยจุดเด่นด้านความสะดวกสบายสุดหรูของห้องโดยสารที่เทียบเคียงได้กับรถเอสยูวี ควบคู่กับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ที่ให้พละกำลังสูงแต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถกระบะยุคใหม่ได้ดี เหมาะทั้งสำหรับใช้เป็นรถเพื่อประกอบอาชีพสร้างผลกำไร และเติมเต็มความสนุกเร้าใจในการใช้งานส่วนตัว”

บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40″แบ่งการจัดแสดงรถไว้ทั้งหมด 3 โซน ประกอบด้วย เพลย์โซน (Play Zone) เวิร์คโซน (Work Zone) และ ไลฟ์สไตล์โซน (Lifestyle Zone) เพื่อสะท้อนถึงอรรถประโยชน์มากมายของรถมิตซูบิชิหลากหลายรุ่น ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม

ไฮไลท์ของ เพลย์โซน (Play Zone) ณ บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ออกแบบเพลย์โซน (Play Zone) โดยมุ่งเน้นการจัดแสดงยนตรกรรมเพื่อคนรักการผจญภัย เน้นโชว์รถกระบะตัวท็อป และตัวแต่ง อาทิ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ ไฮเปอร์พาวเวอร์ เอ็กซ์ทู (Hyper Power X2) เทอร์โบสองสเตจ ด้วยพละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร ภายใต้การออกแบบสไตล์สปอร์ตสุดล้ำ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ชื่นชอบการผจญภัย พร้อมความสะดวกสบายสุดหรูของห้องโดยสาร สะกดทุกสายตาของผู้ชื่นชอบรถกระบะด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ด้วยแนวคิด “บีสต์ โหมด” (BEAST MODE) ที่ผสมผสานความปราดเปรียวเข้ากับการออกแบบที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อสร้างสรรค์รูปลักษณ์อันโดดเด่นสะดุดตา พร้อมสะท้อนความบึกบึนและทรงพลังในแบบฉบับรถกระบะที่แท้จริง การันตีด้วยรางวัลออกแบบยอดเยี่ยม หรือ Good Design Award 2023 ที่จัดโดยสถาบันส่งเสริมการออกแบบแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Institute of Design Promotion)

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ได้หลอมรวมความเป็น “ที่สุด” แห่งดีเอ็นเอของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (Mitsubishi Motors-ness) เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ไดมอนด์ เซนส์ ที่มาพร้อมกับระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Diamond Sense with Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) ระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA) ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Auto High Beam: AHB) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM)  ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ควบคุมด้วยระบบ AI ได้รอบคัน พร้อมด้วยระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering: EPS)

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทุกรุ่นย่อย จะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู” (Super Select 4WD II) เป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดดเด่นด้วยโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (Full-Time All Wheel Control) เจ้าแรกในตลาดกระบะไทย ซึ่งสามารถเปลี่ยนจากโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ (4H) ได้ทันที แม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (Shift-on-the-Fly) เสริมความปลอดภัยให้ขับขี่คล่องตัวพร้อมตะลุยทุกสภาพอากาศและทุกรูปแบบของพื้นผิว ด้วย 7 โหมดการขับขี่ ได้แก่ โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัดเชื้อเพลิงและรักษ์โลก (Eco), โหมดขับขี่บนทางลูกรังหรือทางฝุ่น (Gravel), โหมดขับขี่บนพื้นหิมะหรือขณะฝนตกผิวถนนเปียกลื่น (Snow), โหมดขับขี่ลุยโคลนหรือผิวทางที่เหนียวลื่น (Mud), โหมดขับขี่ตะลุยทรายหรือผิวทางที่ดินร่วน (Sand), โหมดไต่หินหรือขับขี่บนผิวทางที่เป็นหินขรุขระ (Rock) แตกต่างอย่างเหนือกว่าด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ช่วยให้ขับขี่คล่องตัว ควบคุมได้ดังใจ

นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพลย์โซน (Play Zone) คือ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ อัลตร้า เกียร์อัตโนมัติ และออล-นิว ไทรทัน รุ่นตัวเตี้ย ทั้งเมกะ แค็บ ตอนครึ่ง และดับเบิ้ล แค็บ สี่ประตู ตัวเตี้ย ซึ่งพร้อมส่งมอบในช่วงปักษ์แรกของเดือนธันวาคม 2566 โดยจัดแสดงแบบแต่งเต็มหล่อเข้มเต็มพิกัด จัดทรงโชว์ความเท่สไตล์เรซซิ่งบวกอารมณ์สปอร์ต ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างและผู้รักความเร็วสไตล์มอเตอร์สปอร์ต

ภายในงาน ยังมีการนำเสนอเทคโนโลยี มิตซูบิชิ คอนเนค (MITSUBISHI CONNECT) ที่เชื่อมต่อและควบคุมตัวรถได้จากระยะไกล สามารถรองรับได้ทั้งระบบ iOS และ Android ผ่านการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน “My MITSUBISHI CONNECT” เพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัย เพิ่มความอุ่นใจในทุกมิติ ทั้งระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ผ่านตัวรถ (e-call) ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน นอกจากนี้ยังให้ความสะดวกสบายด้วยฟังก์ชันการสั่งการจากระยะไกล ทั้งการควบคุมเครื่องปรับอากาศจากระยะไกล การล็อกและปลดล็อกประตูรถได้จากระยะไกล การควบคุมแตรรถและการเปิดปิดไฟหน้าจากระยะไกล รวมถึงการรายงานและตรวจสอบสถานะของรถยนต์ เช่น ระดับน้ำมันคงเหลือและระยะทางที่วิ่งต่อได้ ความดันลมยาง และมีฟังก์ชันความปลอดภัยอื่นๆ อาทิ การขอความช่วยเหลือบนท้องถนน (Roadside Assistance) การระบุตำแหน่งรถยนต์ และการช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม (Stolen Vehicle Assistance)

ไฮไลท์ของ เวิร์คโซน (Work Zone) ณ บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส

การจัดแสดงรถในเวิร์คโซน (Work Zone) มุ่งฉายภาพโอกาสทางธุรกิจให้กับเจ้าของกิจการ ผู้ประกอบการ และหน่วยงานองค์กรต่างๆ ผ่านการปรับทัพรถกระบะให้ครองใจเจ้าของธุรกิจและผู้ขับขี่ได้ดีขึ้นในราคาที่จับต้องได้ ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมของออล-นิว ไทรทัน ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ที่ให้พละกำลังสูงแต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม แชสซีส์ใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แข็งแกร่งทนทานยิ่งกว่า และขนาดกระบะท้ายที่ใหญ่ที่สุดในบรรดารถกระบะด้วยกัน จึงสามารถรองรับโหลดบรรทุกในแต่ละรอบได้มากขึ้น ทั้งยังบำรุงรักษาง่ายในงบประมาณที่ประหยัดกว่า พร้อมจับมือพาร์ทเนอร์ในการติดตั้งตู้ทึบ หรือเสริมคอกบรรทุกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และด้วยจุดเด่นด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและการตกแต่งภายในที่ช่วยสวยงาม ภายใต้แนวคิด ‘มิตซูบิชิ ทัช’ โดยเฉพาะเบาะนั่งของออล-นิว ไทรทัน ที่ออกแบบเป็นพิเศษให้ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่และผู้โดยสารเมื่อต้องเดินทางไกล รถกระบะออล-นิว ไทรทัน ที่แต่งเชิงพาณิชย์จึงเป็นได้มากกว่ารถขนส่ง โดยรุ่นที่นำมาจัดแสดง ได้แก่ ออล-นิว ไทรทัน รุ่นซิงเกิ้ล แค็บ ตัวเตี้ย รุ่นเมกะ แค็บ ตัวเตี้ย และรุ่นเมกะ แค็บ ยกสูง

นอกจากนี้ ภายใน เวิร์คโซน (Work Zone) ยังน้นโชว์สมรรถนะและฟังก์ชันความสะดวกสบายของตัวรถ รวมถึงศักยภาพการบรรทุกและการใช้งานด้านต่างๆ ของ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้งานเชิงพาณิชย์ของลูกค้าชาวไทย จากการศึกษาตลาดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส อย่างต่อเนื่อง ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ 4N16  ที่ทรงพลังกว่าเดิม ด้วยกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ “ไฮเปอร์เพาเวอร์” (Hyper Power) 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร สำหรับรุ่นซิงเกิ้ล แค็บ ประหยัดน้ำมันที่ดียิ่งขึ้น มาพร้อมแชสซีส์ใหม่ “เมกา เฟรม” ที่ได้รับการออกแบบให้ใหญ่และแข็งแกร่งกว่าเดิม ตัวถังมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงมีพื้นที่ในห้องโดยสารกว้างขึ้น และมีพื้นที่กระบะท้ายกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ผสานช่วงล่างใหม่ ตอบรับทุกการใช้งาน มั่นใจทุกการบรรทุกได้เต็มพิกัด ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ดีและมีความทนทานกว่า นำไปสู่ผลกำไรที่สูงขึ้นสำหรับลูกค้าที่ใช้งานเพื่อการพาณิชย์

ภายในห้องโดยสารของ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่น ซิงเกิ้ล แค็บ และ รุ่น เมกะ แค็บ ยังได้รับการออกแบบให้มีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูงให้ความนุ่มนวลทุกสัมผัส จับถนัดคล่องตัวและสะดวกสบาย เสริมด้วยเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ที่โอบอุ้มสรีระ เน้นให้ขับขี่ทางไกลได้อย่างไม่เหนื่อยล้า ร่วมด้วย พวงมาลัยและสวิทช์ควบคุมต่างๆ ที่ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานได้ง่ายขึ้น แม้ขณะสวมถุงมือ เพื่อให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในการขับขี่อย่างเต็มที่ พร้อมติดตั้งชุดเครื่องเสียงและหน้าจอสัมผัสขนาด10 นิ้ว ที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบที่มุ่งครองใจเจ้าของกิจการและผู้ใช้งานจริง

นอกเหนือจากสมรรถนะและความสะดวกสบายเหนือระดับแล้ว ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ทุกรุ่น ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครันที่สุด เมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน โดยในรถทุกรุ่นย่อยรวมถึงรุ่นเริ่มต้น มีระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS) ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL) และระบบแอคทีฟลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้ายแบบควบคุมด้วยเบรก (Active LSD)

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ทุกรุ่น จึงเป็นเสมือนหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าของกิจการไทย ที่พร้อมรองรับการดัดแปลงเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ได้หลากหลาย มีความสะดวกสบายเต็มพิกัดขณะใช้งาน ทั้งยังบำรุงรักษาง่ายในงบประมาณที่ประหยัดกว่า เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถสร้างผลกำไรได้เร็วที่สุด

ไฮไลท์ของ ไลฟ์สไตล์โซน (Lifestyle Zone) ณ บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส

สัมผัสกับรถยนต์มิตซูบิชิ มอเตอร์ส อีกหลากหลายรุ่น ใน ไลฟ์สไตล์โซน (Lifestyle Zone) ได้แก่ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต อีลีท เอดิชัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ติดตั้งเต็นท์แคมป์ปิ้ง เพื่อสะท้อนความเป็นเพื่อนคู่ใจที่ดีที่สุดบนทุกเส้นทางที่มุ่งมั่นตะลุย พร้อมด้วย มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต GT-Plus ที่โดดเด่นในสไตล์สปอร์ต

นอกจากนี้ ภายในไลฟ์สไตล์โซน (Lifestyle Zone) ยังมีการจัดแสดง มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ รถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง สไตล์หรูหราที่ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้มากกว่า และผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบการผจญภัยยังสามารถเลือกชม มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ในสไตล์สุดหรูพร้อมลุย โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยอันเหนือระดับ อาทิ ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ให้ความมั่นใจในการขับขี่ เข้าโค้งกระชับเฉียบคมบนทุกสภาพถนนและสภาพอากาศ อีกทั้งยังจัดแสดง มิตซูบิชิ แอททราจ สเปเชียล เอดิชัน รถยนต์อีโคคาร์ดีไซน์โดดเด่น คุ้มค่า เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ใช้ชีวิตในเมือง

ผู้สนใจสามารถชมโฉม ออล-นิว ไทรทัน ทุกรุ่น พร้อมทดลองขับรถยนต์มิตซูบิชิหลากหลายรุ่น ได้ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” หรือ “MOTOR EXPO 2023” ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 11 ธ.ค. 2566 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 – 3 เมืองทองธานี พร้อมพบกับโปรโมชั่นมากมายและข้อเสนอสุดพิเศษ อาทิ แคมเปญดอกเบี้ย 0% และข้อเสนอพิเศษกว่า 120,000 บาท สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส

ต.สยาม ยกทัพยาง TOYO TIRES บุก Motor Expo 2023

ต.สยาม ยกทัพยาง TOYO TIRES บุก Motor Expo 2023 เปิดตัว “Toyo Proxes Sport 2” ยางสปอร์ตอัลตร้าพรีเมี่ยม ครั้งแรกในไทย พร้อมนำผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ Toyo Tires และ Nitto Tire ทั้งในส่วนสำหรับรถยนต์โดยสารทั่วไป รถกระบะ รถ SUV รวมถึงรถตู้ มาร่วมจัดแสดง

บริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายยาง Toyo Tires , Nitto Tire และศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร “กริพ” ยกทัพยาง Toyo Tires และ Nitto Tire เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 หรือ Thailand International Motor Expo 2023 ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2566 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี พร้อมเปิดตัว ยางสปอร์ตอัลตร้าพรีเมี่ยม “Proxes Sport 2” รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Toyo Tires ภายในงานนี้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยภายในงาน ทางบริษัทฯ ได้นำผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ Toyo Tires และ Nitto Tire ทั้งในส่วนสำหรับรถยนต์โดยสารทั่วไป รถกระบะ รถ SUV รวมถึงรถตู้ มาร่วมจัดแสดง พร้อมกิจกรรมต่างๆ ในบูธ

โดยไฮไลต์สำคัญ คือการเปิดตัวยางรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล PROXES ของ Toyo Tires ในรุ่น “Proxes Sport 2” ยาง Generation 2 จาก Proxes Sport ที่เป็นยางสปอร์ตที่ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยมจากผู้ขับขี่ โดยในส่วนของ “Proxes Sport 2” นี้นับได้ว่าเป็นยาง สปอร์ต อัลตร้าพรีเมี่ยม ที่ให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน และการควบคุมทั้งในถนนแห้งและเปียกแบบยางสปอร์ต พร้อมส่วนผสมเนื้อยางคอมพาว์ดเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่เนื้อยางและหน้ายางสัมผัสแนบแน่นกับพื้นถนน เสริมสมรรถนะการขับขี่ และประสิทธิภาพการเบรกได้เป็นอย่างดีเยี่ยม นุ่มสบายยิ่งขึ้นตลอดการเดินทางด้วยการออกแบบโครงสร้างยางและแก้มยางที่แข็งแกร่งแต่นุ่มนวล ช่วยลดอาการสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี

นายอภิชัย ตั้งวงศ์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด กล่าวว่า สำหรับการเข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 นี้ เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสถึงประสิทธิภาพ รวมถึงคุณภาพและมาตรฐานของสินค้ายางรถยนต์ที่ทางบริษัทฯ ได้นำเข้ามาจัดจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Toyo tires หรือ Nitto Tire ซึ่งสินค้าที่ทางบริษัทฯ ได้นำเข้ามาจำหน่ายทุกรุ่นนั้นทางบริษัทฯ ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการและเหมาะสมกับการขับขี่บนท้องถนนในประเทศไทยมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทย ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่มีคุณภาพสูง เพื่อความปลอดภัยทุกการเดินทางไปทุกจุดหมายไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยวและการเดินทางทั้งในรูปแบบออฟโรด หรือรวมถึงรถตู้โดยสารไฮเอนด์สำหรับครอบครัวรุ่นต่าง ๆ และสำหรับในงาน Motor Expo 2023 นี้ทางบริษัทฯ จึงได้ทำการเปิดตัวพร้อมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “Toyo Proxes Sport 2” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสถึงการออกแบบดอกยาง โครงสร้างยาง รวมทั้งความพิถีพิถันและความใส่ใจในวัตถุดิบ และเทคโนโลยี พร้อมด้วยมาตรฐานในการผลิต สำหรับยางรุ่นดังกล่าว ที่จะมาทำตลาดและวางจัดจำหน่ายในช่วง Q1 ปี 2567 นี้ สำหรับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบการขับขี่ที่ท้าทาย เร้าใจ แต่ยังคงต้องการความนุ่ม  เงียบ และปลอดภัยตลอดการเดินทาง

โดยสำหรับยาง “Toyo Proxes Sport 2” นี้ จะมีการเริ่มนำเข้ามาจัดจำหน่ายโดยมีขนาดเริ่มต้นสำหรับล้อขนาด 18 นิ้วเป็นต้นไป รวมกว่า 79 ขนาด และมีราคาเริ่มต้นเพียง 6,100 บาท / เส้น ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายที่ ศูนย์บริการยางรถยนต์ “กริพ” และ ตัวแทนจำหน่ายยางรถยนต์อย่างเป็นทางการของบริษัทฯ ทั่วประเทศกว่า 350 ร้านค้า ใน Q1 ปี 2567 นี้

มาสด้า สร้างเซอร์ไพรส์เปิดรับจองสิทธิ์ Mazda6 รุ่นฉลองครบรอบ 20 ปี

มาสด้าสร้างเซอร์ไพรส์นำ Mazda6 20th Anniversary Edition ฉลองครบรอบ 20 ปี เปิดรับจองสิทธิ์เพียง 100 คัน ในประเทศไทย

บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่จะประกาศให้ลูกค้าชาวไทยทราบว่า วันนี้ การรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อมาสด้าเตรียมนำเข้ารถยนต์นั่งสปอร์ตซีดานระดับไฮเอนด์ที่ให้ความหรูหราภูมิฐานจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสและเป็นเจ้าของ กับการเผยโฉมครั้งแรกของ Mazda6 20th Anniversary Edition ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของมาสด้า6 โดยจะนำเข้ามาเพียง 100 คัน เท่านั้น เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ผู้บริหารระดับผู้นำสูงสุดขององค์กร โดยจะเริ่มเปิดให้ลูกค้าจองสิทธิ์เพื่อเป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผ่านผู้จำหน่ายทั่วประเทศไทย และมีกำหนดส่งมอบให้กับลูกค้ารายแรกในช่วงเดือนเมษายนปี พ.ศ. 2567 โดยจะวางราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณการณ์ 2.4 ล้านบาท พร้อมแพ็กเกจพิเศษเพื่อเอาใจใส่ดูแลลูกค้าแบบพิเศษสุดกับโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ Mazda Ultimate Service นานสูงสุด 7 ปี และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย

มร.ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้า6 เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ไอคอนที่สำคัญของมาสด้า ภายใต้สโลแกน “Zoom-Zoom” โดยนับตั้งแต่ มาสด้า6 เจเนอเรชั่นแรก (หรือที่รู้จักในชื่อ Mazda Atenza ในประเทศญี่ปุ่น) ได้วางจำหน่ายเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 ในประเทศญี่ปุ่น ก็เรียกได้ว่าเป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางที่เติมเต็มความสุขในการขับขี่ให้กับลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่ามาสด้า6 ผ่านการออกแบบใหม่ทั้งหมดมาแล้วสองครั้ง แต่ยังคงเอกลักษณ์ตัวตนที่ชัดเจนในด้านการส่งมอบความสุขในการขับขี่ ด้วยการนำเสนอคุณค่าในระดับสากลที่รถยนต์สามารถมอบให้ได้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมและกลายเป็นรถที่ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทั่วโลกมาแล้วกว่า 4 ล้านคัน

เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้ามาสด้า และร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของ มาสด้า6 เจเนอเรชั่นแรก เมื่อปี พ.ศ. 2545 เช่นเดียวกับ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และแฟนมาสด้าทั่วโลก ทาง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จึงเตรียมนำรถยนต์ Mazda6 20th Anniversary Edition เข้ามาเปิดตัวแนะนำ เพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้าที่เชื่อมั่นในแบรนด์มาสด้า เพื่อให้แฟนมาสด้าได้เป็นเจ้าของด้วยความภาคภูมิใจ โดยรถที่จะนำเข้ามานี้เป็นรถโมเดลเดียวกับที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นและผลิตจากโรงงานมาสด้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งยังคงความสนุกสนานในการขับขี่สไตล์มาสด้าเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม ผสานกับการออกแบบที่มีสไตล์ทำให้เกิดรูปลักษณ์อันสง่างาม พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด จนกลายเป็นรถยนต์ที่ไม่ธรรมดา และให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์ 20 ปี ของรถยนต์รุ่นนี้

มาสด้ายังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่สร้างความรักความผูกพันอันแน่นแฟ้นกับลูกค้า โดยมุ่งเน้นไปที่แก่นแท้ของรถยนต์ นั่นคือ “ความสุขในการขับขี่” หรือ Joy of Driving และมุ่งมั่นที่จะรักษาโลกของเราให้ยังคงสวยงาม ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน และสร้างสังคมที่น่าอยู่ เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของทุกคน ในโอกาสพิเศษนี้ มาสด้าจึงนำเข้า Mazda6 20th Anniversary Edition ไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับลูกค้าและแฟนๆ มาสด้าในประเทศไทย เพื่อให้รถยนต์มาสด้าเป็นยานพาหนะคู่ใจของทุกคนในครอบครัว โดยมาสด้าจะเริ่มเปิดให้จองสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 และโชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ โดยจำกัดจำนวนเพียง 100 คัน เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด รถยนต์นั่งสุดหรู Mazda6 20th Anniversary Edition มาพร้อมแนวคิด “The Ultimate Maturation of Sportiness and Elegance” โดยเป็นรถที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ด้านสมรรถนะในการขับขี่ เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่และฟีเจอร์อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกออกแบบให้มีความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ในรูปแบบสปอร์ตซีดาน 4 ประตู โดดเด่นด้วยล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ไฟหน้าแบบ LED และหลังคาซันรูฟไฟฟ้า มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.5 ลิตร เจเนอเรชั่นใหม่ พร้อมเทคโนโลยี Cylinder Deactivation อัจฉริยะ ที่เปิดตัวแนะนำเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยระบบสามารถคำนวณและลดการทำงานของกระบอกสูบตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงความเร็ว จาก 4 สูบ ให้เหลือเพียง 2 สูบ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่าถึง 14.3 กม./ลิตร* ให้พละกำลังสูงสุด 192 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 223 กม./ชั่วโมง พร้อมเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด และแมนนวลโหมด ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go ปรับเพิ่ม-ลดความเร็วตามรถคันหน้าแบบอัตโนมัติจนถึงจุดหยุดนิ่ง

*ทดสอบตามมาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ

ในด้านการออกแบบนั้น Mazda6 20th Anniversary Edition ได้รับการถ่ายทอดภาพลักษณ์ความภูมิฐาน ที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวและความหรูหราสง่างามในรูปแบบสปอร์ตซีดาน ภายในตกแต่งอย่างประณีตด้วยวัสดุคุณภาพสูง ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยหนัง Faux Suede Leganu® สีแทน พรีเมี่ยมทุกจุดสัมผัส รวมถึงเบาะหนัง Nappa สีแทน ระบบเสียง Bose® คุณภาพพรีเมี่ยม ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย i-Activsense ครบทุกระบบ พร้อมสัญลักษณ์บ่งบอกความพิเศษบริเวณต่างๆ ของตัวรถ ได้แก่ สัญลักษณ์พิเศษครบรอบ 20 ปี ที่พนักพิงศีรษะเบาะคู่หน้า และชุดพรมปูพื้นห้องโดยสาร ป้ายสัญลักษณ์พิเศษครบรอบ 20 ปี ที่ซุ้มล้อหน้าซ้าย-ขวา และกุญแจรีโมทตามสีภายนอก บ่งบอกถึงการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 20 ปี ทำให้รถยนต์รุ่นพิเศษนี้แตกต่างโดดเด่นจากรถรุ่นอื่นอย่างชัดเจน โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม นักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ผู้บริหารระดับผู้นำสูงสุดขององค์กร แฟนพันธุ์แท้มาสด้า และผู้ที่ชื่นชอบคาแร็กเตอร์ของรถมาสด้า ที่มอบความสนุกสนานในการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลงตัว

ไม่เพียงเท่านี้ มาสด้ายังได้พัฒนา Mazda6 20th Anniversary Edition ให้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น ด้วยการเลือกสีตัวถังพิเศษที่เรียกว่า สีแดง Artisan Red Premium และ สีขาว Rhodium White Premium เป็นสีใหม่ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีการพ่นสีขั้นสูง ประกอบด้วยเกล็ดอลูมินัมที่มีความบางเป็นพิเศษแต่มีหนาแน่นสูง ด้วยเทคโนโลยี Takuminuri โดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เป็นสีที่ได้รับการพัฒนาเพื่อถ่ายทอดความงดงามในทุกมุมมองเรียบลื่นราวกับผ้าไหม บ่งบอกถึงความพรีเมี่ยมเหนือระดับ

นอกจากมาสด้าจะนำ Mazda6 20th Anniversary Edition มาแนะนำและเปิดให้จองสิทธิ์ภายในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 แล้ว มาสด้ายังได้นำยนตรกรรมมาสด้าทุกรุ่นมาจัดแสดงให้ลูกค้าได้จับจองเป็นเจ้าของ พร้อมกับเซอร์ไพรส์พิเศษ ด้วยการนำรถ New Mazda2 ในแบบแฮชท์แบ็ค 5 ประตู ที่ตกแต่งด้วยชุดแต่ง Sci-Fi** มาจัดแสดงให้แฟนๆ ได้ยลโฉม โดยเลือกใช้สีภายนอกโทนเข้มและหลังคาสีดำ ที่ตัดกับชุดตกแต่งสีเขียว Lime Green บนชุดสปอยเลอร์หลัง คิ้วตกแต่งกระจังหน้าและกันชนหลัง มาพร้อมชุดสติกเกอร์ Sci-Fi บริเวณกระจังหน้า ชุดครอบกระจกมองข้างและฝาครอบล้อสีดำ ที่มอบความเรียบง่าย สนุกสนาน และเต็มไปด้วยลูกเล่นที่โดดเด่นลงตัว นอกจากนั้นยังนำ New Mazda2 ในแบบซีดาน 4 ประตู ที่ได้รับการเนรมิตโฉมแบบใหม่ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Clap Pop Sedan** ชุดครอบกระจกมองข้าง สีขาว Ceramic Metallic ชุดฝาครอบล้อ สีขาว Ceramic Metallic และหลังคาสีขาว มาจัดแสดงให้เป็นไอเดียให้ลูกค้าที่ชอบความมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำแบบใครได้นำไปเป็นแบบอย่างในการแต่งรถอีกหนึ่งรุ่น ที่สำคัญมาสด้ายังมอบข้อเสนอสุดพิเศษอีกมากมาย อาทิ ลูกค้า 300 ท่านแรก ที่จองขั้นต่ำ 5,000 บาท ภายในงานฯ และออกรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 รับฟรีของพรีเมี่ยมสุดพิเศษจากมาสด้า พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับเจ้าของรถมาสด้าและครอบครัว เมื่อออกรถใหม่ รับ ฟรี บัตรน้ำมัน มูลค่า 10,000 บาท*** รวมถึงมอบข้อเสนอมากมายส่งท้ายปี ไม่ว่าจะเป็น

-New Mazda2: ดอกเบี้ย 0%1, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 หรือ ดอกเบี้ย 0.59%3, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 หรือ ดอกเบี้ย 1.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษารถตามระยะ Mazda Care 5 ปี (รวมค่าแรง ค่าอะไหล่ และของเหลว)5

-Mazda3 และ Mazda3 Carbon Edition: ดอกเบี้ย 2.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)6 หรือ ดอกเบี้ย 1.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2

-New Mazda CX-3: ดอกเบี้ย 2.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษารถตามระยะ Mazda Care 5 ปี (รวมค่าแรง ค่าอะไหล่ และของเหลว)5 หรือ ดอกเบี้ย 1.19%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2

-Mazda CX-30 และ Mazda CX-30 Carbon Edition: ดอกเบี้ย 0%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 หรือ ดอกเบี้ย 0.99%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)6

-Mazda CX-5: ดอกเบี้ย 2.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)6 หรือ ดอกเบี้ย 1.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2

-Mazda CX-8: ดอกเบี้ย 2.39%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)6 หรือ ดอกเบี้ย 1.49%4, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2

ลูกค้าที่สนใจรถยนต์นั่ง Mazda6 20th Anniversary Edition รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 20 ปี ที่มีให้ครอบครองเป็นเจ้าของเพียง 100 คัน ในประเทศไทย สามารถยลโฉมคันจริงได้ที่งาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 – 11 ธันวาคม 2566 นี้ เท่านั้น

สำหรับลูกค้าที่สนใจรถยนต์มาสด้าทุกรุ่น ทุกคัน รับข้อเสนอพิเศษดีๆ เช่นนี้เฉพาะช่วงปลายปี สามารถเข้าชมและจับจองได้ภายในงานฯ หรือที่โชว์รูมมาสด้าใกล้บ้านทั่วประเทศ

หมายเหตุ ;

1 ดาวน์ 25%, ผ่อนนาน 48 เดือน ยกเว้น New Mazda2 รุ่น 1.3 C/C Sports ราคา 599,000 บาท

2 บริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการ ได้แก่ (1) บมจ. วิริยะประกันภัย (2) บมจ. ธนชาตประกันภัย (3) บมจ. ประกันภัยไทยวิวัฒน์ (4) บมจ. กรุงไทยพานิชประกันภัย (เพิ่มเติม บมจ. แอกซ่าประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป)

3 ดาวน์ 25%, ผ่อนนาน 48 เดือน เฉพาะ New Mazda2 รุ่น 1.3 C/C Sports ราคา 599,000 บาท

4 ดาวน์ 25%, ผ่อนนาน 48 เดือน

5 ฟรีค่าแรง ค่าอะไหล่ และค่าผลิตภัณฑ์ของเหลว จากการบำรุงรักษารถตามระยะนาน 5 ปี หรือระยะทาง 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ยกเว้น New Mazda2 รุ่น 1.3 C/C Sports ราคา 599,000 บาท

6 ขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ตามเงื่อนไขโปรแกรมขยายรับประกันคุณภาพรถ เป็น 5 ปี, ฟรี ค่าแรง ค่าอะไหล่ และค่าผลิตภัณฑ์ของเหลว จากการบำรุงรักษารถตามระยะนาน 5 ปี หรือระยะทาง 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี

เงื่อนไขเพิ่มเติม ;

•เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามข้อกำหนดของ บมจ. ธนาคารทิสโก้ และ ทีเอ็มบีธนชาต เท่านั้น

•ข้อเสนอดังกล่าวสำหรับผู้เช่าซื้อที่ผ่านการอนุมัติตามเงื่อนไขของ บมจ. ธนาคารทิสโก้ และ ทีเอ็มบีธนชาต ที่จองและออกรถภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2566 เท่านั้น

**ชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ Sci-fi และ Clap Pop Sedan จำหน่ายเป็นอุปกรณ์เสริมไม่รวมกับราคารถ

***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.mazda.co.th

เมอร์เซเดส-เบนซ์ สื่อสารความเท่าเทียมผ่านดีไซน์บูธ “FUTURE FOR ALL” พร้อมส่ง 4 ยนตรกรรมรุ่นล่าสุด จัดแสดงครั้งแรกในงาน Motor Expo 2023

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เชิญชวนลูกค้าชาวไทยสัมผัสมิติใหม่ของการออกแบบบูธจัดแสดงรถยนต์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “FUTURE FOR ALL” ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 (Motor Expo 2023) สะท้อนถึงความเท่าเทียมของลูกค้าที่มีความหลากหลาย ด้วยการออกแบบบูธที่ไร้ทางต่างระดับแบบ Universal Design ให้ทุกคนเข้าถึงบูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างไร้รอยต่อ

พร้อมรับประสบการณ์ที่เหนือระดับผ่านทัพยนตรกรรมหลากหลายรุ่น นำโดย 4 รุ่นล่าสุดอย่าง GLC 220 d 4MATIC Avantgarde, EQE 350 4MATIC SUV Electric Art, GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic, C 220 d AMG Line และยนตรกรรมอีกกว่า 15 รุ่น ที่มาพร้อมข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าคนพิเศษทุกคนที่เข้าชมบูธภายในงาน หรือไปที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2566

มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์
(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
 “ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เราให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกคนเป็นอันดับแรกเสมอ นอกจากการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นคือการเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของทุกคน ในงาน Motor Expo ปีนี้ เราจึงมาพร้อมคอนเซ็ปต์ “FUTURE FOR ALL” ที่ย้ำจุดยืนในเรื่องความหลากหลาย (Diversity) ความเท่าเทียม (Equity) และการเคารพถึงความแตกต่าง (Inclusion) และเป็นที่มาของการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของบูธให้ดีกว่าเดิม โดยเราตัดสินใจนำทางต่างระดับของบูธออกไปและทำให้ดีไซน์ของบูธตรงตามหลักการออกแบบอย่างเท่าเทียม หรือ Universal Design ซึ่งจะรองรับการเข้าถึงของผู้ที่ใช้วีลแชร์ ทั้งกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ หรือคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กและใช้รถเข็นเด็ก ทำให้ทุกคนเข้ามาที่บูธของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างสะดวกสบายและรับประสบการณ์แบบเดียวกัน โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ”

จากคอนเซ็ปต์ “FUTURE FOR ALL” ที่สะท้อนผ่านดีไซน์การออกแบบบูธตามหลัก Universal Design อีกหนึ่งความโดดเด่นภายในบูธของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คือการนำเสนอโมเดลรถรุ่นใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่หลากหลายและมีไลฟ์สไตล์การใช้งานที่แตกต่างกัน โดยมีทั้งรถเอสยูวีรุ่นขายดีตลอดกาลของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่าง The new GLC ที่เสริมไลน์อัพด้วยเครื่องยนต์ดีเซลพร้อมขุมพลังแบบ Mild Hybrid ในรุ่น “GLC 220 d 4MATIC Avantgarde”“EQE 350 4MATIC SUV Electric Art” เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นเริ่มต้นจากตระกูล EQE SUV ที่ขับขี่ได้ไกลถึง 558 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง, “The new GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic” ที่สุดแห่งยนตกรรรมเอสยูวีสุดหรูที่ผสานสมรรถนะอันทรงพลังและความสะดวกสบายได้อย่างไร้ที่ติ และ “C 220 d AMG Line” รุ่นย่อยล่าสุดจาก The new C-Class อีกหนึ่งไลน์อัพรถซีดานยอดนิยมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มาพร้อมเอกลักษณ์ดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน

ข้อมูลเบื้องต้น – GLC 220 d 4MATIC Avantgarde (ราคาจำหน่าย 3,720,000 บาท)

อีกหนึ่งทางเลือกเครื่องยนต์จาก The new GLC “GLC 220 d 4MATIC Avantgarde” ยนตรกรรมที่พร้อมก้าวสู่โลกแห่งอนาคตอย่างเต็มรูปแบบด้วยเครื่องยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM654M แบบ 4 สูบเรียง ขนาด 1,993 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศ turbochargers ที่ระบายความร้อนด้วยระบบ Water-cooled turbocharger ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้านี้จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ในขณะเบรก สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์แบบเงียบ ช่วยเพิ่มความนุ่มนวลและลดการสั่นในการสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะใช้งาน Eco Start/Stop และยังช่วยเพิ่มแรงบิดและรอบเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิต่ำ โดยมอบพละกำลังได้สูงถึง 17 กิโลวัตต์ ทำให้รถยนต์คันนี้มีกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 197 แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ยังทรงพลัง และสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 6.5%

ข้อมูลเบื้องต้น – EQE 350 4MATIC SUV Electric Art (ราคาจำหน่าย 4,850,000 บาท)

EQE SUV รถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เปิดตัวในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นเริ่มต้น “EQE 350 4MATIC SUV Electric Art” รุ่นกลาง “EQE 350 4MATIC SUV AMG Line” และรุ่นท็อป “EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic” มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่แบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motors) ติดตั้งบริเวณเพลาขับหน้าและหลัง มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 765 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.6 วินาที ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูง 396V แบบ Lithium-ionที่มีความจุมากถึง 89 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 558 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 10 – 80% เพียง 32 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ
(AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 30 นาที

ข้อมูลเบื้องต้น – GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic (ราคาจำหน่าย 5,590,000 บาท)

GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic ตัวแทนด้านขุมพลังแห่งสมรรถนะและความสะดวกสบายอันเหนือระดับ สะท้อนตัวตนความเป็นรถยนต์สไตล์ออฟโรดดีไซน์เฉียบคมได้อย่างลงตัว ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล OM654M แบบ 4 สูบเรียงขนาด 1,993 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศแบบ turbochargers ที่ระบายความร้อนด้วยระบบ Water-cooled turbocharger ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system ให้พละกำลังสูงถึง 15 กิโลวัตต์ ทำให้ The new GLE มีกำลังแรงม้ารวมสูงสุดถึง 269 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,200 รอบต่อนาที สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 6.9 วินาที ผสานการทำงานกับระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ยังทรงพลังในทุกโมเมนต์

ข้อมูลเบื้องต้น – C 220 d AMG Line (ราคาจำหน่าย 2,880,000 บาท)

C 220 d AMG Line ถือเป็นรถยนต์ซีดานดีไซน์โฉบเฉี่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM654M แบบ 4 สูบเรียง ขนาด 1,993 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศแบบ turbochargers ที่ระบายความร้อนด้วยระบบ Water-cooled turbocharger ผสานการทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system ให้พละกำลังสูงถึง 17 กิโลวัตต์ ทำให้รถยนต์คันนี้มีกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 197 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบต่อนาที สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 7.3 วินาที พร้อมจับคู่กับระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลอย่างเหนือระดับ และสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 6.5% พร้อมนำเสนออีกขั้นของเครื่องยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยเข้ากับยุคแห่งดิจิทัล

นอกเหนือจากการนำเสนอยนตรกรรม 4 รุ่นล่าสุดแล้ว ภายในบูธยังมีการจัดแสดงกล้อง Mercedes-Benz Drive Recorder 360 องศา อุปกรณ์ตกแต่งใหม่ล่าสุด (MB Accessories) ที่มีดีไซน์ผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์ มาให้ทุกคนได้สัมผัสเป็นครั้งแรก โดยกล้องตัวนี้สามารถบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวรถในระหว่างการเดินทางและขณะจอดรถ โดยประกอบไปด้วยกล้อง 3 ตัว ได้แก่ กล้องด้านหน้า QHD, Surround sQHD และกล้องด้านหลัง FHD ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถจับภาพวิดีโอได้รอบทิศทาง ทั้งภายนอกและภายในรถยนต์ของคุณ มาพร้อมการรับประกันความคุ้มครอง 2 ปี ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเดินทางได้อย่างปลอดภัยเหนือระดับ โดยมีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 4 ธันวาคม 2566 ในราคาแนะนำ 19,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (ไม่รวมค่าแรงในการติดตั้ง) ณ ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

พบกับสุดยอดยนตรกรรมทุกรุ่นจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษมากมายได้ที่งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 (Motor Expo 2023) ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี ในระหว่างวันที่ 1 – 11 ธันวาคม 2566 นี้ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษเดียวกับ Motor Expo ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รถยนต์รุ่นต่าง ๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ www.mercedes-benz.co.th หรือที่ศูนย์บริการ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารอัพเดทผ่านทาง Facebook: Mercedes-Benz Thailand IG: @MercedesBenzThailand และ LINE: @mercedesbenzth

MOTOR EXPO 2023 เริ่มแล้ววันนี้ ฉลอง 40 ปี รวมยานยนต์ครบวงจร

“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” รถ เรือ อากาศยาน เปิดฉากยิ่งใหญ่ ตื่นตาตื่นใจกับรถต้นแบบ รถรุ่นล่าสุด 40 แบรนด์ จักรยานยนต์ 23 แบรนด์ พร้อมเรือ และอากศยาน เชิญชมได้ตั้งแต่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคม 2566 นี้

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นโอกาสครบรอบ 40 ปีของการจัดงาน โดยมีแนวคิด “ยานยนต์: ความหมายที่มากกว่า – Mobility: Imagination and Beyond” จัดแสดงรถยนต์ 40 แบรนด์ จาก 11 ประเทศ รถจักรยานยนต์ 23 แบรนด์ จาก 7 ประเทศ คาดจะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10-15 % ยิ่งกว่านั้น ยังมีพื้นที่แสดงยานยนต์ที่กำลังได้รับความนิยมอีก 2 ประเภท นั่นคือ เรือ และอากาศยาน

ไฮไลท์ในงาน ได้แก่ รถต้นแบบ IONIQ SEVEN CONCEPT รถไฟฟ้าอเนกประสงค์ ประตูรถแบบไร้เสาด้านผู้โดยสาร พร้อมระบบ VISION ROOF DISPLAY วัสดุตกแต่งห้องโดยสารด้วยวัสดุที่ปลอดภัย MINERAL PLASTER ไม้ไผ่ และพรมไบโอเรซิน สีตัวรถผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

HYUNDAI N VISION 74 ได้แรงบันดาลใจจาก PONY COUPE สัญลักษณ์แห่งดีไซจ์นคลาสสิคเหนือกาลเวลา ห้องโดยสารสไตล์ห้องนักบินทรงลูกสูบที่มีคนขับเป็นศูนย์กลาง

HYUNDAI I20 WRC 2020 รถแข่งแรลลี คว้าตำแหน่งผู้ผลิต WRC ยอดเยี่ยมเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ด้วยชัยชนะจาก 3 สนาม ทั้งที่มนเต การ์โล เอสโตเนีย และซาร์ดินีอา

รถที่เปิดตัวครั้งแรกในไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ HYUNDAI ELANTRA N รถที่เปิดตัวครั้งแรกในไทย ได้แก่ HYUNDAI SANTA FE และยังมีรถรุ่นใหม่มากมาย อาทิ AUDI A7 SPORTBACK 55 TFSI E QUATTRO, BENTLEY FLYING SPUR HYBRID ODYSSEAN EDITION, BMW XM LABEL RED, YANGWANG U8 PLUG-IN HYBRID SUV, FORD RANGER, HONDA ACCORD, ISUZU D-MAX, JEEP GRAND CHEROKEE, KIA SORENTO, LEXUS RX, MASERATI GRECALE, MAZDA CX-3, MERCEDES-BENZ GLC 220 D 4MATIC AVANTGARDE, MINI CLUBMAN COOPER S FINAL EDITION, MITSUBISHI TRITON ATHLETE, MOKE, NISSAN GT-R, PEUGEOT 2008 SUV, PORSCHE CAYENNE, SUBARU FORESTER, SUZUKI SWIFT, TATA SUPER ACE MINT, TOYOTA YARIS CROSS ฯลฯ

ส่วนรถอีวีรุ่นล่าสุด ได้แก่ AION Y PLUS, CHANGAN L07, ORA 07, LOTUS ELETRE R, MG4 ELECTRIC ICON, NETA GT, NEX BEV PICKUP TRUCK DOUBLE CAB, POCCO, TESLA MODEL 3, VOLVO EX30 PURE ELECTRIC, WULING MINI EV ฯลฯ

ผู้จอง / ซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และสินค้าในงาน  มีสิทธิ์ลุ้นชิงรถยนต์ 3 คัน และรถจักรยานยนต์ 2 คัน ในรายการ ซื้อรถ…ชิง NEW MG HS PHEV D / ซื้อบัตร…ชิง NETA V / ซื้อสินค้า…ชิง MITSUBISHI ATTRAGE 1.2 ACTIVE CVT A/T / ซื้อมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์ HONDA รุ่น XL750 TRANSALP 2023 / ชมงานผ่าน MOTOR EXPO APP ชิงรถจักรยานยนต์ ALPHA VOLANTIS รุ่น HORIZON300

บริการพิเศษ MOTOR EXPO EXCLUSIVE VISITOR แพคเกจชมงานแบบวีไอพี เพียง 700 บาท รับสิทธิพิเศษ ที่จอดรถ ฟรีค่าจอด 3 ชม. พื้นที่รับรองพิเศษ บัตรเข้าชมงาน ULTIMATE VIP 2 ใบ บริการนำชมรถโดยพนักงานขายของแบรนด์ที่ลูกค้าสนใจ และซื้อสินค้าที่ระลึก MOTOR EXPO ลด 10 %

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงยานยนต์อีก 2 ประเภท ได้แก่

JOIN BOAT PLATFORM จัดแสดงเรือยอชต์ เรือยนต์ สปีดโบท สกูเตอร์ และธุรกิจทางน้ำ

AVIATION ZONE จัดแสดงอากาศยานประเภทต่างๆ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. นวัตกรรม และเทคโนโลยีการบิน 2. สถาบันฝึกอบรมด้านการบิน 3. งานบริการภาคพื้น และธุรกิจเครื่องบินเช่าเหมาลำ

ส่วนการแสดง และกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ภายในอาคาร มีดังนี้

SKILL DRIVING EXPERIENCE พื้นที่เล่นเกม และทดสอบทักษะการขับขี่

PHOTO SHOOTING จุดถ่ายภาพสวยงาม กับ THEME CONCEPT ของงาน

มุมมอเตอร์สปอร์ต จัดแสดงรถแข่งหลากหลายสไตล์ สามารถถ่ายภาพได้อย่างใกล้ชิด

นิทรรศการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย จัดแสดงรถโบราณ และรถคลาสสิค พร้อมเปิดให้ร่วมโหวทรางวัล PEOPLE’S CHOICE AWARD 2023

กิจกรรมภายนอกอาคาร

ลานทดลองขับ พื้นที่ทดลองขับรถรุ่นที่ผู้ชมสนใจ

TEST TRACK FOR AUTOMATED DRIVER ASSIST SYSTEM พื้นที่สำหรับทดลองใช้งานระบบช่วยเหลือ ที่ติดตั้งมากับรถ เช่น ระบบถอยจอดอัตโนมัติ ระบบเบรคอัตโนมัติ ฯลฯ

SPIRIT OF THE 4×4 DRIVING SCHOOL โรงเรียนพัฒนาทักษะการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ พบกับทีมครูฝึกมากประสบการณ์ ที่จะแนะนำหลักสูตรสำหรับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมทั้งมีสนามจำลองสถานการณ์ต่างๆ ให้ทดลองนั่งรถ 4X4 ที่ขับโดยผู้เชี่ยวชาญ

ชุมนุมรถสวย ชมรถยนต์รุ่นดัง หลากหลายค่าย จากสมาชิกคาร์คลับทั่วประเทศ

ชมผลงานจากเยาวชนที่หลากหลาย และร่วมกิจกรรมมากมาย ได้แก่ นิทรรศการศิลปินน้อย MOTOR EXPO, SKILL DRIVING EXPERIENCE JUNIOR, F1 IN SCHOOLS, HOT WHEELS 2023, มูลนิธิ “ลมหายใจไร้มลทิน” โครงการนวัตกรรมยานยนต์

การเดินทางไปชมงานมีบริการ รถรับ-ส่ง ฟรี ! 4 เส้นทาง ดังนี้

1.รังสิต-IMPACT-รังสิต ประตูทางออก G12 ฝั่งร้าน AIS (ถัดจากท่ารถตู้)

2.หลักสี่-IMPACT-หลักสี่ จุดจอดรถรับ/ส่ง BTS รถไฟฟ้าสายสีเเดง สถานีหลักสี่ EXIT 3 และ EXIT 4

3.หมอชิต-IMPACT-หมอชิต MRT สถานี BTS EXIT 2, MRT EXIT 4

4.หัวลำโพง-IMPACT-หัวลำโพง ลานจอดรถของสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง)

พบกับงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี วันที่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคม 2566 ติดตามข้อมูล MOTOR EXPO ได้ทาง motorexpo.co.th, FB : MotorExpo,  IG : Motorexpoth, Youtube : IMCOnlineTH,   Line : Motorexpo และ Twitter : MotorExpoTH

มิตซูบิชิ ประกาศราคารุ่นย่อยออล-นิว ไทรทัน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ประกาศราคารุ่นย่อยออล-นิว ไทรทัน ที่สายแต่งรอคอย ไทรทัน ตัวเตี้ย ครบทุกแค็บ และตอนครึ่ง ยกสูง ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และเชิงพาณิชย์

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศราคารถกระบะไทรทันใหม่ ในรุ่นตัวเตี้ยครบทั้งไลน์อัพ ทั้งรุ่น “ดับเบิ้ล แค็บ” สี่ประตู รุ่นตอนครึ่ง “เมกะ แค็บ” และรุ่นตอนเดียว “ซิงเกิ้ล แค็บ” รวมถึงรุ่นตอนครึ่ง ยกสูง “เมกะ แค็บ พลัส” โดยรถกระบะออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน เมกะ แค็บ พลัส (All-New Mitsubishi Triton Mega Cab Plus) และ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ซิงเกิ้ล แค็บ โปร ตัวเตี้ย (All-New Mitsubishi Triton Single Cab Low Rider Pro) มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่สุดแกร่ง “ไฮเปอร์พาวเวอร์” (Hyper Power) 2.4 ลิตร มอบพละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ขณะที่ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ตัวเตี้ย รุ่นอื่นๆ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่อันทรงพลัง “โฟร์-เอ็น-วัน-ซิกส์” (4N16)  2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร

ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ที่แรงขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม ประกอบกับแชสซีส์ใหม่ “เมกาเฟรม” (Mega Frame) ที่ใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งทนทานกว่า ทว่าน้ำหนักเบา พร้อมช่วงล่างใหม่ที่จัดได้ว่าดีที่สุดในรถรุ่นเดียวกัน ทำให้ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ให้สมรรถนะการขับขี่ที่นุ่มนวลบนทุกสภาพถนน เกาะถนนได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในทางตรงทางโค้ง ควบคุมได้อย่างคล่องตัวแม้ในขณะที่บรรทุกของหนัก โดยมีพื้นที่กระบะท้ายสำหรับการบรรทุกมากขึ้น อาทิ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ซิงเกิ้ล แค็บ ตอนเดียว ทุกรุ่น สามารถบรรจุตะกร้าสินค้าเกษตรขนาดมาตรฐาน หรือตะกร้าผลไม้ ได้มากถึง 13 ใบ ในการจัดเรียง 1 ชั้น ซึ่งเป็นขนาดกระบะท้ายที่ใหญ่ที่สุดในบรรดารถปิคอัพในไทย ขณะที่ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นเมกะ แค็บ ตอนครึ่ง สามารถรองรับตะกร้าสินค้าเกษตรได้มากถึง 9 ใบ ในการจัดเรียง 1 ชั้น นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ออกแบบออล-นิว ไทรทัน ทุกรุ่นขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อตอบโจทย์ความเป็นรถปิกอัพส่วนตัวสำหรับคนยุคใหม่ ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและไลฟ์สไตล์ โดยเน้นที่ความสะดวกสบายหรูหราของห้องโดยสาร พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน อาทิ หน้าจอสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว ที่รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto เป็นต้น

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมส่งมอบรถล็อตแรกที่ประกาศราคาในครั้งนี้ ในช่วงปักษ์แรกของเดือนธันวาคม 2566 โดยรถกระบะไทรทันใหม่ มีจุดเด่น และราคาจำหน่ายที่คุณสัมผัสได้แบบสุดคุ้ม ดังนี้:

– ออล-นิว ไทรทัน ซิงเกิ้ล แค็บ ตัวเตี้ย (All-New Mitsubishi Triton Single Cab Low Rider) มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นโปร (Pro) รุ่นแอคทีฟ (Active) และรุ่นแอคทีฟ เฉพาะแค็บและแชสซีส์ (Active with only cab & chassis) วางจำหน่ายที่ราคาเริ่มต้น 565,000 บาท

– ออล-นิว ไทรทัน เมกะ แค็บ ตัวเตี้ย (All-New Mitsubishi Triton Mega Cab Low Rider) มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นโปร (Pro) และรุ่นแอคทีฟ (Active) วางจำหน่ายที่ราคาเริ่มต้น 622,000 บาท

– ออล-นิว ไทรทัน ดับเบิ้ล แค็บ โปร ตัวเตี้ย (All-New Mitsubishi Triton Double Cab Low Rider Pro) มีราคาจำหน่ายที่ 712,000 บาท

– ออล-นิว ไทรทัน เมกะ แค็บ พลัส (All-New Mitsubishi Triton Mega Cab Plus) ตอนครึ่ง ยกสูง มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นอัลตรา (Ultra) รุ่นไพรม์ (Prime) และรุ่นโปร (Pro) วางจำหน่ายที่ราคาเริ่มต้น 740,000 บาท

เตรียมพบกับ ออล-นิว ไทรทัน ทุกรุ่น พร้อมทดลองขับได้ที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” หรือ “MOTOR EXPO 2023″ ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 11 ธ.ค. 2566 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 – 3 เมืองทองธานี

มิตซูบิชิ จัดวิ่งการกุศลบริจาคเงิน 700,000 แก่โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย บริจาคเงิน 700,000 บาท จากการจัดงานมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ชวนวิ่งการกุศล ครั้งที่ 4 ให้แก่ โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จ.ชลบุรี

บรรยายภาพ : มร.เออิอิชิ โคอิโตะ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ ประธานมูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมด้วย มร.โนโบรุ สึจิ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานคณะกรรมการบริษัท บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มร.เรียวอิจิ อินาบะ (ขวาสุด) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์การตลาด สายงานขาย สายงานพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย และสายงานบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ มร.ชิน คุโบะ (ซ้ายสุด) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์องค์กร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมบริจาคเงิน 700,000 บาท จากการจัดงาน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ชวนวิ่งการกุศล ครั้งที่ 4 หรือ Mitsubishi Motors Charity Run 2023 #4 เพื่อจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ ให้แก่โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี โดยมี พญ.สุดานี บูรณเบญจเสถียร (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม เป็นตัวแทนรับมอบ

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ มูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย บริจาคเงิน 700,000 บาท จากการจัดงาน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ชวนวิ่งการกุศล ครั้งที่ 4 หรือ Mitsubishi Motors Charity Run 2023#4 เพื่อจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ ให้แก่โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี ตอกย้ำความมุ่งมั่นของแผนการดำเนินงานเพื่อสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” ใน 3 ด้านหลัก คือ การศึกษา สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

มร.เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ ประธานมูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดงานวิ่งการกุศล Mitsubishi Motors Charity Run เป็นปีที่ 4 ในปีนี้ ซึ่งงานนี้ไม่ได้เพียงช่วยส่งเสริมการมีสุขภาพดีให้กับนักวิ่งที่มาร่วมงานเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนท้องถิ่น ผ่านการสมทบทุนซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ของโรงพยาบาล ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นต่อการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้หลักสำคัญด้านสุขภาพของเราอีกด้วย”

พญ.สุดานี บูรณเบญจเสถียร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม กล่าวว่า “ทางโรงพยาบาลขอขอบคุณ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ มูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่ได้มอบเงินบริจาคจำนวน 700,000 บาท จากการจัดงานวิ่งการกุศลในครั้งนี้ รวมถึงขอขอบคุณผู้สนับสนุนการจัดงาน และนักวิ่งทุกท่านที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดงานวิ่งในครั้งนี้ โดยเราจะนำเงินที่ได้รับมอบนี้ไปจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนการให้บริการ และขยายขีดความสามารถในการดูแลคนในชุมชนและผู้ที่เข้ามาใช้บริการตลอด 24 ชั่วโมงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ในปีนี้ มีนักวิ่งเกือบ 5,000 คนเข้าร่วมงานวิ่งการกุศล Mitsubishi Motors Charity Run 2023 #4 ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ฟันรัน (Fun Run) ระยะทาง 5 กิโลเมตร และ มินิมาราธอน (Mini Marathon) ระยะทาง 10 กิโลเมตร โดยเส้นทางวิ่งเริ่มต้นจากวิหารเซียน มุ่งไปทางเขาชีจรรย์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีทิวทัศน์ที่งดงามตลอดเส้นทาง

นายมนัส ไชยปลื้ม หนึ่งในนักวิ่งที่เข้าร่วมงานวิ่งประเภท มินิมาราธอน กล่าวว่า “เนื่องจากได้ยินเสียงชื่นชมจากนักวิ่งที่ได้มาร่วมงานวิ่งการกุศล Mitsubishi Motors Charity Run ในปีก่อนๆ ทำให้ปีนี้จึงได้ตัดสินใจมาร่วมวิ่งในงานนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกประทับใจในการจัดงาน บรรยากาศ และสถานที่จัดงานเป็นอย่างยิ่ง โดยการเข้าร่วมวิ่งในงานนี้ยังได้มีส่วนช่วยทำบุญให้กับทางโรงพยาบาลอีกด้วย”

นางสาวภัทรฐิตา เทียบศรี หนึ่งในนักวิ่งที่เข้าร่วมงานวิ่งประเภท ฟันรัน กล่าวว่า “ได้มาร่วมวิ่งในงานนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เหตุผลที่อยากมาร่วมงานนี้ นอกเหนือจากเป็นงานวิ่งเพื่อการกุศลแล้ว รู้สึกประทับใจในการจัดงานที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเส้นทางวิ่งและบรรยากาศของงานวิ่งปีนี้สวยงามมาก ตั้งใจว่าปีหน้าจะมาร่วมงานอีกแน่นอน”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save