- Advertisement -
34.2 C
Bangkok
Home Blog Page 66

โตโยต้า เผยโฉม HILUX CHAMP ที่งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2023

โตโยต้า ชวนพบการเปิดตัวครั้งแรกของ “HILUX CHAMP” รถกระบะมหาชนให้ทุกโอกาสเป็นไปได้ เป็นเจ้าของรถยนต์โตโยต้าเพื่อทุกไลฟ์สไตล์ “ทุกเส้นทางขับเคลื่อน มุ่งมั่นเพื่อโลกที่ดีกว่า” พลาดไม่ได้กับแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี! “โตโยต้า โปรใหญ่ ใจสั่นเว่อร์” ซื้อรถ ลุ้นรถ

นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการ ร่วมกับ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และคณะผู้บริหารระดับสูง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเปิดบูธโตโยต้าในงาน “ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023” หรือมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 ภายใต้แนวคิด “ทุกเส้นทางขับเคลื่อน มุ่งมั่นเพื่อโลกที่ดีกว่า” ตอกย้ำเป้าหมายสำคัญเพื่อส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน และส่งเสริมความสุขของคนไทย สัมผัสอย่างใกล้ชิดกับ “ALL NEW HILUX CHAMP” รถกระบะขวัญใจมหาชนรุ่นใหม่ล่าสุด และรถยนต์กลุ่ม HEV รวมทั้ง Eco-car ยอดนิยม เลือกเป็นเจ้าของรถยนต์โตโยต้าที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้า พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษแห่งปีในงาน และที่ผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ 30 พฤศจิกายน ถึง 11 ธันวาคม 2566 ศกนี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

โดย มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวในการแถลงข่าวเบิดบูธว่า “ปีนี้เราจัดแสดงรถยนต์ภายใต้แนวคิด “Multiway for a better world” ภายในบูธโตโยต้าจึงจัดแสดงยานยนต์ภายใต้ 2 แกนหลักของแนวคิด “Mobility for All” และ “Leave No One Behind” โดยเราเชื่อว่ามีความจำเป็นต้องจัดเตรียมเทคโนโลยีเพื่อเป็นทางเลือกสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยพิจารณาจากความต้องการของลูกค้า ระบบสาธารณูปโภคที่รองรับ และการผสมผสานทางพลังงานที่เหมาะสม”

“ดังนั้นสิ่งแรกก็คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสังคมแห่งความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยโตโยต้าได้แนะนำ CAMRY HEV สู่ตลาดในปี พ.ศ.2552 โดยเป็นรถรุ่นแรกที่นำระบบไฟฟ้ามาใช้ ทำให้ยอดขายสะสมของรถ HEV บรรลุ 173,000 คันในปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้นเราได้นำเสนอความสบายใจในทุกด้านสำหรับการใช้งานให้กับลูกค้า ทั้งตัวผลิตภัณฑ์ การบริการหลังการขาย และแพคเกจทางด้านสินเชื่อ นำโดย All-New YARIS CROSS ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างสูงจากลูกค้า และขอขอบคุณการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากท่านสื่อมวลชน นอกจากนั้นยังมีรถยนต์ในกลุ่ม HEV ที่หลากหลายตั้งแต่ SUV ไปจนถึงรถยนต์ซีดาน ได้แก่ INNOVA ZENIX, COROLLA CROSS, CAMRY และ COROLLA ALTIS โดยปัจจุบันโตโยต้ามีรถยนต์ในกลุ่ม HEV จำหน่ายทั้งสิ้นถึง 7 รุ่น และยังมีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ที่สำคัญกว่านั้นต้องเป็นรถยนต์ที่ส่งเสริมการลดคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยเช่นกัน ส่วนแกนหลักที่ 2 ก็คือ ผลิตภัณฑ์ของเราต้องส่งเสริมความสุขของผู้ใช้ โดยนอกจาก HEV เรายังนำเสนอรถยนต์อีโคคาร์ยอดนิยม อย่างเช่น YARIS ATIV, YARIS Hatchback และ MPV 7 ที่นั่ง VELOZ โดยอีกหนึ่งไฮไลท์บนเวทีแห่งนี้ก็คือ All New HILUX CHAMP ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา”

มร.ยามาชิตะ กล่าวถึงความสำคัญของรถกระบะรุ่นใหม่นี้ว่า “อย่างที่ทราบกันดีว่า HILUX CHAMP แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะส่งมอบความขอบคุณสู่คนไทยทุกคนในฐานะรถกระบะมหาชน โดยเมื่อตอนเริ่มต้นโครงการ ท่านประธาน มร.อากิโอะ โตโยดะ ได้กล่าวไว้ว่า “โครงการนี้ไม่ใช่แค่การแนะนำรถรุ่นใหม่ แต่เป็นโครงการที่จะสร้างอนาคตที่ดี และสดใสยิ่งขึ้นร่วมกับคนไทย ด้วยคำพูดดังกล่าวเราจึงพัฒนา HILUX CHAMP ให้กลับสู่แนวคิดหลักของโครงการ IMV อีกครั้ง นั่นคือต้องเป็นรถมีราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตของลูกค้า และยังสามารถปรับแต่งได้ไม่สิ้นสุดตามความต้องการของลูกค้า ภายใต้ความร่วมมืออันดียิ่งจากผู้ประกอบการดัดแปลงรถยนต์ในประเทศหลายราย ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรทางธุรกิจ เราได้จัดเตรียมบริการใหม่ที่มีราคาเข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย”

“นอกจากนี้เรายังจัดแสดง HILUX REVO ซึ่งได้รับความเชื่อถือ และการตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าชาวไทย ความปรารถนาสูงสุดของเราก็คือ HILUX CHAMP และ HILUX REVO จะนำรอยยิ้ม และความสุขมาสู่ คนไทยยิ่งๆ ขึ้นไปในฐานะ “รถกระบะมหาชนของคนไทย” พร้อมจัดแสดงรถยนต์ทุกรุ่นเพื่อให้โดนใจลูกค้า และยังนำเสนอแคมเปญหลากหลายที่น่าสนใจ เชิญแวะชมที่บูธโตโยต้า พนักงานขายของเราพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่นี่คือช่วงเวลาพิเศษสุดแห่งปีในการเป็นเจ้าของรถยนต์โตโยต้า” มร.ยามาชิตะ กล่าวเชิญชวนลูกค้าสู่บูธโตโยต้า

มร.ยามาชิตะ กล่าวปิดท้ายว่า “นอกจากนี้ยังมีอีก 2 งานสำคัญ ขอเชิญทุกท่านร่วมสนุกกับการแสดง “Fun of Car” ความทุ่มเทของเราสู่ “Make Ever Better Cars” รวมทั้ง “Multiple Pathway Strategy” ผ่านความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยงานแรกคือ “GR Festival” จัดที่ TOYOTA ALIVE ในวันที่ 19 ธันวาคม และงานที่ 2 TOYOTA GAZOO RACING MOTOR SPORT สนามสุดท้ายที่บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคมนี้”

จองรถในงาน รับแคมเปญ “โตโยต้า โปรใหญ่ ใจสั่นเว่อร์” ซื้อรถ ลุ้นรถ

พิเศษ!! จอง และออกรถยนต์โตโยต้าทุกรุ่นในงาน ลุ้นรับรางวัล และข้อเสนอสุดพิเศษส่งท้ายปี

รวมทั้งสิ้น 300 รางวัล มูลค่ารวม 8,418,000 บาท (1 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566)

รางวัลที่ 1 GR 86                                  มูลค่า 2,949,000 บาท จำนวน 1 รางวัล

รางวัลที่ 2 FORTUNER GR Sport          มูลค่า 1,959,000 บาท จำนวน 1 รางวัล

รางวัลที่ 3 COROLLA ALTIS GR Sport มูลค่า 1,129,000 บาท จำนวน 1 รางวัล

รางวัลที่ 4 แพ็กเกจทัวร์ ฮ่องกง                 มูลค่า 45,000 บาท      จำนวน 20 รางวัล

รางวัลที่ 5 iPhone 15 (128 GB)              มูลค่า 32,900 บาท     จำนวน 30 รางวัล

รางวัลที่ 6 ของที่ระลึก GR Merchandise มูลค่า 2,000 บาท       จำนวน 247 รางวัล

พร้อมรับแคมเปญพิเศษ! ช่วยให้ออกรถง่ายขึ้น “โตโยต้าใจดี ช่วยผ่อน 10 เดือน” (ตามรุ่นที่กำหนด)

รับเพิ่มแคมเปญพิเศษ! ในการดูแลรถสำหรับลูกค้าปัจจุบัน ที่รถอายุมากกว่า 5 ปี (ตามรุ่นที่กำหนด)

-เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เริ่มต้น 730 บาท + เช็กฟรี 38 รายการ

(นัดหมายล่วงหน้ากับผู้แทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ)

-เปลี่ยนยาง 3 แถม 1 (เฉพาะยี่ห้อ/รุ่นที่กำหนด)

รับเพิ่มอีกแคมเปญพิเศษ! Online

-จองรถผ่าน Facebook Live ในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ รับโค๊ดส่วนลดพิเศษเพิ่ม 2,000 บาท นำไปใช้ที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าได้ถึง 6 มกราคม ปีหน้า (จำนวนจำกัด 1,000 คัน)

-จองรถผ่านช่องทาง Online ของผู้แทนจำหน่าย รับบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 2,000 บาท (จำนวนจำกัด)

เชิญสัมผัสยานยนต์ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

ส่งเสริมความสุขตามไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของคนไทย

เลือกเป็นเจ้าของรถยนต์หลากหลายรุ่น พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ

ในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป ครั้งที่ 40

30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม ศกนี้ ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

พลาดไม่ได้กับข้อเสนอสุดพิเศษในงาน และผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ

ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่

https://www.toyota.co.th/ Facebook: Toyota Motor Thailand LINE ID: @ToyotaThailand

TikTok: @ToyotaMotorTH Instagram: @toyotamotorthailandofficial   X(Twitter): @ToyotaMotorTH

ไทยฮอนด้า เปิดตัว ‘New Honda ADV350’ 3 โทนสีใหม่

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดตัว ‘New Honda ADV350’ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘EXPLORE YOUR EXTRAORDINARY ออกไปท้าทาย ให้มากกว่าที่เคย’ เพิ่มความเข้ม เท่ ดุดันยิ่งขึ้นด้วยโทนสีที่ปรับเฉดใหม่ถึง 3 เฉดสี ได้แก่ ‘สีเทา-ดำ MISTY GREY’ ‘สีดำ NIGHTFALL BLACK’ และ ‘สีแดง-ดำ RED TWILIGHT’ เสริมความเป็น Premium SUV Bike มากกว่าเดิม มาพร้อมกับเครื่องยนต์ eSP+ ขนาด 330 ซีซี 4 วาล์ว และเทคโนโลยีล้ำหน้าครบครันแบบฉบับ SUV Bike ที่ขับขี่ สนุกเร้าใจ รองรับการใช้งานทั้งในเมืองหรือทางไกลแบบทัวริ่ง

AW HONDA ADV

New Honda ADV350 ได้รับการออกแบบให้มีความเท่ ในสไตล์ Premium SUV Bike เสริมความโดดเด่นด้วยโทนสีใหม่ที่เข้ม และดุดันมากขึ้น สะดุดตาด้วยชุด Emblem สีเงินใหม่พร้อมกับเทเปอร์แฮนด์บาร์ที่ปรับเป็นสีดำพร้อมการ์ดแฮนด์เสริมความแข็งแรง โฉบเฉี่ยวด้วยชุดไฟรอบคันแบบ LED พร้อมลุยด้วยโช้กหน้าแบบหัวกลับ และโช้กหลังติดตั้งซับแทงค์คู่จาก SHOWA วินด์สกรีนปรับความสูงได้ถึง 4 ระดับ ไม่หวั่นทุกเส้นทางด้วยระยะ Ground Clearance ที่สูงถึง 155 มิลลิเมตร สะดวกสบายทุกการเดินทางด้วยพื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 48 ลิตร ใส่หมวกกันน็อกแบบเต็มใบได้ถึง 2 ใบ รวมถึงช่องเก็บของด้านหน้า มาพร้อมเทคโนโลยีที่เหนือชั้นด้วยหน้าปัดเรือนไมล์แบบ Full LCD แสดงข้อมูลการขับขี่ครบถ้วน รวมถึงช่องชาร์จไฟ USB Type C และรีโมตอัจฉริยะ Honda Smart Key สตาร์ตเครื่องยนต์โดยไม่ต้องใช้กุญแจ สามารถระบุตำแหน่งพร้อมป้องกันการขโมย รองรับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล

New Honda ADV350 มาพร้อมเครื่องยนต์ eSP+ ขนาด 330 ซีซี 4 วาล์ว ส่งกำลังการขับขี่ที่ต่อเนื่องในทุกสภาพถนน อัตราเร่งติดมือไม่ว่าจะเป็นการออกตัวหรือเร่งแซง รวมถึงระบบป้องกันรถเสียการทรงตัว HSTC (Honda Selectable Torque Control) มอบความมั่นใจในการขับขี่มากขึ้นด้วยระบบเบรก ABS หน้า-หลัง อีกทั้งล้ออะลูมิเนียม X-Shaped แบบ 6 ก้าน น้ำหนักเบาสามารถไปได้ทั้งทางเรียบและทางลุยสไตล์ Dual-Purpose

ไทยฮอนด้าพร้อมวางจำหน่าย New Honda ADV350 รุ่น Standard Type ทั้ง 3 เฉดสีใหม่ ได้แก่ สีเทา-ดำ MISTY GREY’ ‘สีดำ NIGHTFALL BLACK’ และ ‘สีแดง-ดำ RED TWILIGHT’ ราคาแนะนำ 186,400 บาท ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ

มิตซูบิชิ ไทรทัน แกร่งสูงสุดระดับ 5 ดาว

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ประกาศความสำเร็จ จากการที่ ออล-นิว ไทรทัน1 รถกระบะขนาด 1 ตัน ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาว2 จากการทดสอบการชนของรถยนต์ใหม่ โดย อาเซียน เอ็นแคป (ASEAN NCAP)3 ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อประเมินสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ ที่วางจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มุ่งมั่นสานต่อปรัชญาของบริษัทฯ ในการนำเสนอมาตรฐานด้านความปลอดภัย เพื่อนำไปสู่สังคมแห่งการเดินทางที่มีสถิติอุบัติเหตุเป็นศูนย์ ผ่านความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัย และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านการจราจร

ออล-นิว ไทรทัน มาพร้อมระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE4 ที่มีความแข็งแกร่งสูง สามารถรองรับแรงปะทะและลดการเปลี่ยนแปลงสภาพของห้องโดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด พร้อมด้วยเข็มขัดนิรภัยและถุงลม SRS5 ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง มอบความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อปกป้องผู้โดยสาร และสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยเชิงป้องกัน ด้วยระบบความปลอดภัยสุดล้ำ อาทิ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC – Active Stability Control) ระบบควบคุมการลื่นไถล (TCL – Traction Control System) ระบบลิมิเต็ดสลิปแบบควบคุมด้วยเบรก (LSD – Active Limited Slip Differential Brake Control Type) และระบบเตือนการชนหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM – Forward Collision Mitigation) เพื่อปกป้องความปลอดภัยของคนเดินถนน 

ออล-นิว ไทรทัน เป็นรถกระบะขนาด 1 ตันของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่มีต้นกำเนิดมาจากรุ่นฟอร์เต้ (Forte) ซึ่งเปิดตัวในปี 2521 ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา รถกระบะรุ่นนี้ได้รับการผลิตมาแล้วกว่า 5.6 ล้านคัน ครอบคลุมทั้งหมด 5 เจนเนอเรชั่น วางจำหน่ายใน 150 ประเทศทั่วโลก ทำให้รถกระบะรุ่นนี้เป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส

ออล-นิว ไทรทัน เป็นรถกระบะเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคัน และเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “พลังแกร่งคู่ใจสายลุย” (Power for Adventure) ออล-นิว ไทรทัน ได้รับการพัฒนาพร้อมปรับโฉมใหม่ทั้งหมดในทุกมิติ ตั้งแต่การออกแบบภายในห้องโดยสารและรูปลักษณ์ภายนอก ไปจนถึงแชสซีส์ เฟรมหรือโครงรถแบบขั้นบันได และเครื่องยนต์ โดยเริ่มวางจำหน่ายแล้วในประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตของรถกระบะรุ่นนี้ เป็นที่แรกในโลก และ เตรียมเปิดตัวในญี่ปุ่น ในช่วงต้นปี 2567

1. จำหน่ายในชื่อ แอล 200 (L200) ในบางประเทศ

2. รวมทุกรูปแบบตัวถัง ได้แก่ ซิงเกิ้ล แค็บ เมกะ แค็บ และดับเบิ้ล แค็บ

3. ASEAN NCAP คือโปรแกรมทดสอบเพื่อประเมินสมรรถนะของรถยนต์รุ่นใหม่ สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (New Car Assessment Program for Southeast Asian Countries)

4. โครงสร้างตัวถัง RISE หรือ Reinforced Impact Safety Evolution

5. ขึ้นอยู่กับรูปแบบตัวถังและรุ่นย่อย

เอ็มจี เผยโฉม MG CYBERSTER และ IM LS6 โชว์ตัวในงาน Motor Expo 2023

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย สร้างสีสันช่วงโค้งสุดท้ายของปี ส่งตรง 2 ยนตรกรรมในกลุ่มพรีเมียมอีวีมาจัดแสดงครั้งแรกในไทยและอาเซียนนำโดย MG CYBERSTER สปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้าแบบเปิดประทุน 2 ที่นั่ง และ IM LS6 รถเอสยูวีคูเป้ไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ ในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 หรือ Motor Expo 2023 พร้อมทัพยนตรกรรมคุณภาพครบทุกรุ่นทุกรูปแบบด้วยหลากข้อเสนอสุดพิเศษ เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์ เอ็มจี ได้ง่ายขึ้น ณ บูธ เอ็มจี หมายเลข A14 อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม พ.ศ. 2566

งาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 หรือ Thailand International Motor Expo 2023 ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญช่วงปลายปีของ เอ็มจี โดยในปีนี้ เอ็มจี ได้นำนวัตกรรมยานยนต์ที่สะท้อนความก้าวล้ำของเทคโนโลยีและงานดีไซน์แห่งโลกอนาคตมาจัดแสดงเป็นยนตรกรรมไฮไลท์ กับครั้งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียนของ MG CYBERSTER รถสปอร์ตโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกซึ่งสร้างสรรค์ให้มีความลงตัวของงานดีไซน์และสมรรถนะอันทรงพลัง รังสรรค์เป็นโรดสเตอร์พลังงานไฟฟ้าแบบเปิดประทุน 2 ที่นั่ง โดดเด่นด้วยประตูปีกนก (Scissor Doors) แบบปุ่มสัมผัสเปิด-ปิด ภายในห้องโดยสารให้ลุคสปอร์ตด้วยการใช้สีแดง Wine-red วัสดุคุณภาพระดับพรีเมียม พร้อมระบบการเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย มอบความความรู้สึกแห่งการขับขี่รถสปอร์ตสไตล์ Convertible โดยรุ่นที่ปรากฏตัวภายในงานเป็นรุ่นพวงมาลัยซ้าย มอเตอร์คู่ 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 725 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.2 วินาที แบตเตอรี่ความจุ 77 kWh ช่วงล่างด้านหน้าอิสระปีกนกคู่และหลังอิสระมัลติลิงค์ ทั้งนี้ เอ็มจี ได้เปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถจองสิทธิ์เป็นเจ้าของรถสปอร์ตโรดสเตอร์ไฟฟ้ารุ่นนี้ได้อีกครั้ง ภายใต้แคมเปญ MG CYBERSTER Prestige Reservation โดยสามารถทำการจองผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น* ที่ bit.ly/MGPrestigeReservation (ไม่รับจองที่ศูนย์บริการทุกสาขา) ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม 2566 ด้วยเงื่อนไข จอง 10,000 บาท สามารถแลกรับส่วนลดได้ 50,000 บาท

และอีกหนึ่งรุ่นที่สร้างสีสันให้กับบูธของ เอ็มจี ในครั้งนี้ คือ IM LS6 รถเอสยูวีคูเป้ไฟฟ้า อีกแบรนด์ภายใต้การ ร่วมทุนระหว่าง SAIC Motor กับ Alibaba และ Shanghai Zhangjiang Hi-Tech โดดเด่นด้วยงานออกแบบภายนอกตัวรถภายใต้คอนเซ็ปต์ “Gentle Sculpture” ที่พลิ้วไหว และงานออกแบบภายในที่ล้ำสมัย ผนวกกับฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Ai Cabin ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่จาก SAIC Motor ตอกย้ำให้เห็นถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดนิ่งในการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ใหม่ๆ ของบริษัทแม่ของ เอ็มจี โดย IM LS6 นี้ มีขนาดมิติตัวถังที่ 4.9 เมตร ฐานล้อกว้าง 2.950 เมตร สมรรถนะของรถคันนี้มาพร้อมกับ มอเตอร์คู่ 579 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุดที่ 800 นิวตันเมตร วิ่งในระยะทาง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.48 วินาที

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “งาน Motor Expo 2023 ครั้งนี้ เอ็มจี มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Evolution is NOW” สะท้อนความแข็งแกร่งในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำที่สร้างแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของสังคมยานยนต์ไฟฟ้าในไทย รวมถึงความตั้งใจในการยกระดับและสร้างมาตรฐานใหม่ๆ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ครอบคลุมในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกสไตล์ของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ในปีนี้ เอ็มจี ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการเดินหน้าแผนงานอีวีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (MG EV ECOSYSTEM) ให้ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งการสร้างและเปิดโรงงานแบตเตอรี่อีวี HASCO-CP BATTERY SHOP ที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ Cell-To-Pack ได้มากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี และเป็นแบรนด์แรกๆ ที่เดินสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าด้วยกำลังการผลิตสูงสุดที่ 100,000 คันต่อปี กับความตั้งใจเพื่อเป็น “ฮับอีวี” สำหรับผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพแก่ผู้บริโภคภายในประเทศรวมทั้งการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ประเดิมด้วยการผลิตและจัดจำหน่ายโมเดลแรกด้วย NEW MG4 ELECTRIC ซึ่งเป็นรถแฮทช์แบคพลังงานไฟฟ้าที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ที่ล่าสุดได้รับการการันตีคุณภาพ ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปี 2566 (THAILAND EV OF THE YEAR 2023) โดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ซึ่งได้พิจารณาและตัดสินจากคุณสมบัติต่างๆ ของรถยนต์ อาทิ รูปลักษณ์การออกแบบทั้งภายนอกและภายใน สมรรถนะการขับขี่ รวมไปจนถึงความคุ้มค่าคุ้มราคาเมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ในตลาด เอ็มจี ยังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในเรื่องบริการหลังการขายด้วยการขยายพื้นที่คลังอะไหล่เป็น 25,000 ตารางเมตร เพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บอะไหล่รถยนต์เอ็มจีให้เพียงพอและลดระยะเวลารอคอยอะไหล่ให้สั้นลง ด้วยระบบ TRACK & TRACE ช่วยให้ผู้จำหน่ายสามารถติดตามอะไหล่ วางแผนการซ่อมและส่งมอบรถที่พร้อมใช้งานให้กับลูกค้าได้เร็วขึ้น

พร้อมกันนี้ เอ็มจี ยังได้จัดเตรียมข้อเสนอสุดพิเศษให้ผู้สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์คุณภาพแบรนด์ เอ็มจี ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกดาวน์เริ่มต้น 8% หรือเลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 1.88% พร้อมฟรี! ประกันภัยชั้น 1 และ พ.ร.บ. คุ้มครองนาน 1 ปี ในทุกรุ่นทุกรูปแบบการขับเคลื่อน ทั้งยังมีข้อเสนอสุดคุ้มเพิ่มเติม สำหรับลูกค้าที่จองตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2566 และรับรถยนต์กับผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีอย่างเป็นทางการทุกแห่งทั่วประเทศภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ไม่ว่าจะเป็น

กลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

• รับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ในทุกรุ่นและพิเศษเฉพาะรุ่น NEW MG MAXUS9 รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

• ฟรี MG Home Charger พร้อมค่าติดตั้งทุกรุ่น

• NEW MG4 ELECTRIC ราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 769,000 บาท และ NEW MG ZS EV เริ่มต้นที่ 859,000 บาท

• พิเศษสำหรับ NEW MG EP Plus และ NEW MG ES ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. นาน 2 ปี

• สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถไฟฟ้า ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 สามารถชาร์จไฟที่ MG SUPER CHARGE ทั้ง 146 แห่งทั่วประเทศไทย โดยเอ็มจีจ่ายคืนให้เท่ากับที่ยอดเติม 100%

กลุ่มรถยนต์พลังงานทางเลือก และรถยนต์เครื่องสันดาปภายใน

• ขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร

• ราคาพิเศษสำหรับ NEW MG ZS เริ่มต้นที่ 629,000 บาท NEW MG VS HEV เริ่มต้นที่ 739,000 บาท และ NEW MG HS รุ่น D สี SCARLET RED ราคาพิเศษ 899,000 บาท

• พิเศษ กับ Trade in Campaign เปลี่ยนรถยนต์ยี่ห้อใดก็ได้เป็น NEW MG5 คันใหม่ รับส่วนลดเพิ่ม 20,000 บาท* ในทุกรุ่นย่อย ยกเว้น MG5 10th Anniversary Special Edition

*หมายเหตุ: เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

NETA อัดโปรโมชั่นส่งท้ายมาตรการ EV 3.0 ที่งาน Motor Expo 2023

NETA ตอกย้ำพันธกิจ “สรรสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อทุกคน” (Popularizer of Smart EV) ขนทัพยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% ร่วมงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 40 นำโดย “NETA V” (เนต้า วี) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ City Car พร้อมโชว์ “NETA GT Speedster” (เนต้า จีที สปีดสเตอร์) รถต้นแบบสไตล์ Roadster เปิดประทุน “NETA GT” (เนต้า จีที) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสไตล์สปอร์ตที่มาพร้อมอัตราเร่ง 0 ถึง 100 กม. ภายในเพียง 3.7 วินาที  “NETA X” (เนต้า เอ็กซ์) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ Crossover SUV ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และพบกับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับ City EV รุ่น NETA V พร้อมโปรโมชันต่างๆ อีกมากมายที่บูธหมายเลข B05 อาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 11 ธันวาคม 2566 นี้

มร.หวัง เฉิงเจี่ย (Mr. Wang ChengJie) รองประธาน บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ เซลส์ จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ NETA เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคันแรกในปี 2561 บริษัทฯ ได้สานต่อภารกิจในการสรรสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ (Popularizer of Smart EV) ด้วยการแนะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ที่มาพร้อมนวัตกรรมที่ทันสมัย และมียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา NETA มียอดขายรวมต่อปีมากกว่า 150,000 คัน ก้าวขึ้นสู่ระดับแนวหน้าของผู้ประกอบการรถยนต์พลังงานใหม่ที่มีศักยภาพมากที่สุดในประเทศจีน ณ เดือนตุลาคม ปี 2566 ที่ผ่านมา NETA ได้ส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดกว่า 110,000 คัน ตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์ NETA ด้วยยอดขายสะสมที่มากกว่า 360,000 คัน

“NETA กำลังมุ่งขับเคลื่อนการเติบโตของแบรนด์เข้าสู่เวทีในระดับสากลด้วยการขยายสู่ตลาดต่างประเทศในภูมิภาคต่างๆ ครอบคลุมทั้ง ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ อเมริกาใต้ และยุโรป โดยในปี 2567 NETA  มีแผนจัดตั้งเครือข่ายการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมกว่า 50 ประเทศทั่วโลก พร้อมตั้งเป้าการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศไว้  100,000 คัน โดยมีประเทศไทยเป็นเป้าหมายหลักภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว ซึ่งปัจจุบัน NETA ในประเทศไทย สามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น NETA V ให้กับคนไทยรวมแล้วกว่า 10,000 คัน มีตัวเลขยอดจดทะเบียนของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นอันดับที่ 2 และครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20% ในขณะที่โรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า NETA ในประเทศไทยเตรียมเปิดสายพานการผลิต NETA V ในเร็วๆ นี้” มร.หวัง กล่าว

มร.เป่า จ้วงเฟย (Mr. Bao Zhuangfei) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เผยว่าบริษัทฯ รู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทยและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องให้รุดหน้าทัดเทียมกับตลาดโลก โดยเรายังคงมุ่งมั่นสานต่อการสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมกันสําหรับผู้บริโภคทุกคนในทั่วโลก และมีเป้าหมายขยายไลน์อัพนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 100% ของเราในตลาดประเทศไทยให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการนำเสนอตัวเลือกที่ครอบคลุมและสามารถรองรับไลฟ์สไตล์และความต้องการด้านการใช้งานของผู้บริโภคคนไทย ยิ่งไปว่านั้น เราจะเพิ่มโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการมาตรฐานภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าของเราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเรามีเป้าหมายในการจัดตั้งตัวแทนจําหน่ายจากปัจจุบัน 43 แห่ง ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมากยิ่งขึ้นในปี 2567

“ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 40 นี้ NETA ได้นำความพิเศษต่างๆ มากมายมาจัดแสดงในบูธ โดยเราขอเชิญชวนให้ทุกท่านมาร่วมสัมผัสประสบการณ์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% แบรนด์ NETA นำโดย ‘NETA V’ (เนต้า วี) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นยอดนิยมสไตล์ City Car ‘NETA KID’ (เนต้า คิด) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์สปอร์ตที่ถอดแบบมาจาก NETA S ซึ่งเปิดรับจองภายในงานและพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าในประเทศไทย ‘NETA GT’ (เนต้า จีที) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในสไตล์สปอร์ตแบบ 2 ประตู 4 ที่นั่ง ที่โดดเด่นด้วยสมรรถนะที่เร็ว แรง และปราดเปรียว มาพร้อมอัตราเร่ง 0 ถึง 100 กม. ภายในเพียง 3.7 วินาที ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการจัดแสดงรถต้นแบบ ‘NETA GT Speedster’ (เนต้า จีที สปีดสเตอร์) รถต้นแบบสไตล์ Roadster เปิดประทุนที่ผสานนวัตกรรมทางวิศวกรรมศาสตร์เข้ากับศิลป์แห่งการดีไซน์ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยรุ่น ‘NETA X’ (เนต้า เอ็กซ์) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ Crossover SUV ที่มาพร้อมพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยทางบริษัทฯ พร้อมที่จะมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดส่งท้ายมาตรการ EV 3.0 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 นี้ มาพร้อมโปรโมชันอีกมากมายเพื่อให้ทุกท่านเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่น NETA V ได้อย่างง่ายดาย พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมและรับของรางวัลภายในงานนี้ที่บูธ NETA ของเรา”

ข้อเสนอที่ดีที่สุดส่งท้ายมาตรการ EV 3.0 พิเศษเฉพาะช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โปนี้เท่านั้น

ลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ NETA V รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 549,000 บาท ในระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2566 ดังนี้ :

•ส่วนลดมูลค่า 50,000 บาท

•ฟรี! เครื่องชาร์จ NETA WALLBOX และฟรีค่าติดตั้ง

•ฟรี! รับประกันรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร

•ฟรี! รับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร

•ฟรี! ค่าแรงและค่าอะไหล่รถยนต์เมื่อเช็คระยะ 1 ปี หรือ 10,000 กิโลเมตร

•ฟรี! ชุดแต่งรอบคัน

พร้อมข้อเสนออื่นๆ อีกมากมาย

** เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนเปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

พบกับสุดยอดนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 100% พร้อมข้อเสนอที่น่าสนใจมากมายจาก NETA ได้ที่บูธหมายเลข B05 อาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์เอ็กซ์โป ครั้งที่ 40 ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2566 นี้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ NETA CALL CENTER โทร. 02-023 9968 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของNETA ได้ที่ช่องทางต่อไปนี้:

●       Facebook              : Neta Auto Thailand

●       Neta Line Official  : @netaautothailand

●       Website                 : www.neta.co.th

เกี่ยวกับบริษัทเนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด

NETA AUTO เป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จากประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ผู้คนเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่คุณภาพและนวัตกรรมขั้นสูงได้อย่างเท่าเทียม ปัจจุบันมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ทำตลาดรวม 6 รุ่น ได้แก่ NETA U, NETA V, NETA AYA, NETA S, NETA GT และ NETA X โดยมียอดจำหน่ายรถยนต์รวมกว่า 360,000 คัน อีกทั้งยังอยู่ในกลุ่มบริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มียอดขายที่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่องในตลาดรถยนต์ประเทศจีน โดยในปี 2564 มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 362% ทั้งนี้ NETA ได้ขยายธุรกิจสู่ตลาดประเทศไทยในปี 2565 ในนามบริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด โดยมีเป้าหมายเพี่อให้คนไทยสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มาพร้อมนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยในราคาที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กรในการ “สรรสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า…เพื่อทุกคน”

ฮุนได อวดโฉมยนตรกรรมในงาน MOTOR EXPO 2023

ฮุนได สร้างปรากฏการณ์สุดยิ่งใหญ่ใน MOTOR EXPO 2023 อลังการกับธีมบูธ PIXEL CLOUD ครั้งแรกของโลก เปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นแรก พร้อมเสริมทัพโมเดลใหม่ ครอบคลุมตลาดกว่าที่เคยสัมผัสความยิ่งใหญ่ ณ บูธฮุนได A07 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ – 11 ธันวาคม 2566

•ฮุนไดยกทัพขบวนโมเดลล่าสุด มาเปิดตัวให้ครอบคลุมตลาดกว่าที่เคย ตอกย้ำศักยภาพแบรนด์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่รถครอบครัวไปจนถึงยานยนต์สมรรถนะสูงที่มีเทคโนโลยีจากสนามแข่ง

•“IONIQ 5” รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในไทยจากแบรนด์ IONIQ โดดเด่นด้วยการผสานสไตล์ล้ำเข้ากับความคลาสสิก เจ้าของ 3 รางวัลใหญ่จากเวที World Car Award 

•“Hyundai Santa Fe” เอสยูวี 7 ที่นั่ง เปี่ยมประสิทธิภาพของการขับขี่ พร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูง มอบรูปลักษณ์ภูมิฐานหรูหรา การันตีด้วยรางวัลระดับโลก

•นำเสนอแบรนด์ยานยนต์สมรรถนะสูง “Hyundai N” ที่อัดแน่นด้วยดีเอ็นเอมอเตอร์สปอร์ตสู่รถยนต์บนท้องถนน เพื่ออีกระดับของประสบการณ์การขับขี่เร้าใจ

•สัมผัสธีมบูธใหม่ “PIXEL CLOUD” เปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลก

ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย (HMT) เขย่าวงการยานยนต์ไทยใน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40” (Motor Expo 2023) ระเบิดความยิ่งใหญ่ด้วยธีมบูธสุดล้ำ “PIXEL CLOUD” ภายใต้แนวคิด “Exploring the Future” เผยโฉมในงานนี้เป็นครั้งแรกของโลก พร้อมยกขบวนโมเดลใหม่เจ้าของรางวัลมาเปิดตัวกันอย่างคับคั่ง ชูไฮไลต์ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า IONIQ 5 และเอสยูวีอย่าง Hyundai Santa Fe รวมถึงสุดยอดยานยนต์สมรรถนะสูง Hyundai N เสริมทัพด้วยยนตรกรรมยอดนิยมครบทุก Line-up และ Segment อาทิ Staria S พร้อม Body Kit เฉพาะรุ่น, Stargazer รถ MINI-MPV ยอดนิยมซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบ 6 และ 7 ที่นั่ง รวมถึงรุ่น Stargazer X ที่เหนือกว่าด้วยอุปกรณ์พิเศษหลายรายการ, Creta รถ B-SUV อันโดดเด่นด้วยออปชั่นครบครัน และ H-1 Elite FE ลิมิเต็ดอิดิชันผลิตจำนวนจำกัด และอีกหลากหลายรุ่น ตอกย้ำวิสัยทัศน์บริษัทแม่เดินเกมรุกตลาดไทยสู่การเป็น Premium Lifestyle Brand เต็มรูปแบบ พร้อมเซอร์ไพรส์ใหญ่ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษส่งท้ายปี สำหรับลูกค้าที่สั่งจองรถยนต์ที่บูธฮุนไดหมายเลข A07 อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 ธันวาคม 2566

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของไทยในการเป็นตลาดหลักของภูมิภาคเอเชีย และมุ่งมั่นมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ปีนี้เราจึงได้นำเสนอแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของฮุนไดอย่าง “IONIQ” ประเดิมด้วยรุ่น IONIQ 5 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดที่คว้ารางวัลมาแล้วจากนานาประเทศ รวมถึงเวที World Car Awards สู่ตลาดเมืองไทย และอีกหนึ่งไฮไลต์อย่าง Hyundai Santa Fe เอสยูวีครอบครัว 7 ที่นั่งเจ้าของรางวัลระดับโลก เพียบพร้อมด้วยความหรูหราสะดวกสบาย และความปลอดภัยเพื่อการขับขี่ทางไกลอย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ เรายังนำ SUV และ MPV หลากหลายรุ่นมานำเสนอในงาน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนา “ความก้าวหน้าเพื่อมวลมนุษยชาติ (Progress for Humanity)” ซึ่งเป็นปรัชญาการออกผลิตภัณฑ์ใหม่พร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อมอบโซลูชันของการเดินทางแห่งอนาคตที่ยั่งยืน”

นายเจ ฮยุน กวาง หัวหน้าทีมกลยุทธ์ของแบรนด์ N จากสำนักงานใหญ่ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ กล่าวว่า “ปัจจุบัน นอกจากการเป็นแบรนด์รถ MPV และ SUV ชั้นนำของตลาด ฮุนไดยังมีศักยภาพในด้านนวัตกรรมยานยนต์สมรรถนะสูง ซึ่งเปิดตัวสู่ตลาดโลกแล้วภายใต้ แบรนด์ ‘N Performance’ ยานยนต์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกีฬามอเตอร์สปอร์ต ผสานความสะดวกสบายเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่ครอบคลุม โดยเราเลือกนำ Elantra N มาเปิดตัวในงานนี้ เป็นครั้งแรกของเมืองไทยและตลาดต่างประเทศ เพราะเป็นยานยนต์ตระกูล N ที่ทันสมัยและสมดุลที่สุด สมบูรณ์แบบทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวันและในสนามแข่ง ซึ่งเรายังมีแผนเปิดตัวยานยนต์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่ สู่เมืองไทยต่อไปอย่างต่อเนื่อง”

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในปีนี้ ฮุนไดเปิดเกมรุกตลาดยานยนต์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ในทุกเซกเมนต์ และตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าชาวไทย หลังบริษัทแม่ของฮุนไดเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยด้วยตัวเอง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเราได้ยกระดับการนำเสนอทั้งบริการและผลิตภัณฑ์ เพื่อมอบประสบการณ์แก่ผู้ขับขี่ ด้วยนวัตกรรมและโซลูชันแบบบูรณาการใหม่ๆ ได้อย่างครบถ้วนและยั่งยืน รวมถึงการขยายเครือข่ายดีลเลอร์ให้ครอบคลุมขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีนี้เพิ่มดีลเลอร์รายใหญ่อีกเกือบ 10 ราย เพื่อให้ฮุนไดสามารถมอบบริการแก่ลูกค้าชาวไทยอย่างทั่วถึงในระยะยาว รวมถึงงานในครั้งนี้ เราได้จัดเตรียมหลากหลายข้อเสนอพิเศษ จึงขอเชิญชวนสายรถยนต์ทุกท่านมาร่วมสัมผัสนวัตกรรมยานยนต์ และรับสิทธิประโยชน์มากมายจากฮุนไดได้ที่ งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 ธันวาคม ครับ”

IONIQ 5 – ผสานเสน่ห์รถคลาสสิกเข้ากับนวัตกรรมรถไฟฟ้าแห่งอนาคต

IONIQ 5 รถยนต์ไฟฟ้าอีวี 100% ชูคอนเซ็ปต์การผสมผสานดีไซน์ยานยนต์คลาสสิกอย่าง Hyundai Pony เข้ากับ Parametric Pixels Design ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมเส้นสายที่สะอาดตาและเฉียบคม เน้นเส้นเหลี่ยมสันสร้างรูปลักษณ์ที่เพรียวบาง นับเป็นการผสานความล้ำสมัยเข้ากับความคลาสสิกอย่างลงตัว ด้านหน้ารถออกแบบเป็นรูปตัว V กระจังหน้าทรงปิดทึบ ฝากระโปรงหน้าแบบ Clamshell Bonnet มือเปิดประตูด้านข้างแบบซ่อนเก็บได้ในตัว ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือการออกแบบของ จิออเกตโต จูเจียโร่ (Giorgetto Giugiaro) นักออกแบบชื่อดังชาวอิตาลี ซึ่งกลับมาร่วมมือกับฮุนไดอีกครั้ง เพื่อปลุกตำนานอันโด่งดังให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในวันนี้

IONIQ 5 สมบูรณ์แบบด้วยระบบวิศวกรรมและฟีเจอร์อัจฉริยะอันล้ำสมัย มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 2 ล้อที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent magnet พลังงานจากแบตเตอรี่ Lithium-Ion ติดตั้งระบบชาร์จเร็ว 350 kW Ultra-fast Charging สามารถชาร์จไฟจาก 10-80% ได้ภายใน 17 นาทีเท่านั้น มอบความสะดวกสบายได้มากกว่ารถไฟฟ้าแบรนด์อื่นๆ พร้อมฟีเจอร์ไฮเทคครบครันทั้ง ระบบเครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกจาก BOSE และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Hyundai SmartSense ท้งยังพร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการด้วยสองทางเลือก

•แบตเตอรี่แรงดันสูงสุด 58 กิโลวัตต์-ชั่วโมง กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม. ระยะทางขับเคลื่อนไฟฟ้าสูงสุด 384 กม. ตามมาตรฐาน WLTP

•แบตเตอรี่แรงดันสูงสุด 72.6 กิโลวัตต์-ชั่วโมง กำลังสูงสุด 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม. ระยะทางขับเคลื่อนไฟฟ้าสูงสุด 481 กม. ตามมาตรฐาน WLTP

การันตีคุณภาพ IONIQ 5 ด้วยการคว้ารางวัลจากเวทีนานาชาติทั่วโลกรวมทั้ง World Car of the Year, World EV of the Year และ World Car Design of the Year จากเวที World Car Awards

โปรโมชัน IONIQ 5 เฉพาะในงาน MOTOR EXPO 2023

พบข้อเสนอทางการเงินสุดพิเศษและสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ ฟรีค่าแรงเช็คระยะครั้งที่ 1-10 (นาน 10 ปี หรือ 150,000 กม.) รับประกันแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงดันสูง (High Voltage Battery) 8 ปี หรือ 160,000 กม. รับประกันตัวรถ (Warranty) 5 ปี หรือ 150,000 กม. สิทธิประโยชน์รับบริการ V2V จำนวน 2 ครั้งต่อปี ระยะเวลา 5 ปี (ภายในกรุงเทพฯ) บริการยก/ลากไม่จำกัดจำนวนครั้งและระยะทาง ในระยะเวลา 5 ปี ฟรีโฮมชาร์จเจอร์พร้อมค่าแรงติดตั้ง และรับประกันการติดตั้ง 1 ปี

Hyundai Santa Fe –เอสยูวี 7 ที่นั่ง อีกระดับของประสิทธิภาพและความหรูหรา

Hyundai Santa Fe เอสยูวีพร้อมเบาะแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ใน Segment D-SUV เจ้าของรางวัลรถยนต์ระดับโลกหลายเวที เปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2023 เป็นครั้งแรกของประเทศไทย นำเสนอยานยนต์ที่เหนือระดับของประสิทธิภาพและปรับสไตล์ใหม่หมดจด มอบความหรูหราที่แตกต่าง และตอบโจทย์การเป็นรถสำหรับครอบครัวอย่างลงตัว ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Hybrid ที่ผสานมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ขนาด 1.6 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 230 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดแบบ Combined System 350 นิวตันเมตร ที่ 1,000 – 4,500 รอบต่อนาที พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Active On-demand โดยใช้ล้อ Aero type alloy ขนาด 19 นิ้ว ส่วนกระจังหน้าเป็นโครเมียมแบบ Cascade ที่สอดรับกับมือจับประตููที่ตกแต่งด้วยโครเมียมเช่นกัน หลังคาพาโนรามิกซันรูฟ โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ Dual LED Projector T-design และไฟ LED ส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Lights ด้านหลังสง่างามด้วยการตกแต่งสปอยเลอร์หลังพร้อมเสริมไฟท้าย LED ด้วยไฟเบรก LED ดวงที่ 3 เพิ่มความสว่างและการมองเห็นที่ชัดเจน

ห้องโดยสารภูมิฐานสง่างาม จากการตกแต่งด้วยหนังแท้ทั้งเบาะและพวงมาลัย และใช้วัสดุอลูมิเนียมเกรดสูง สมบูรณ์แบบทั้งในแง่สุนทรียภาพแห่งความงาม เบาะนั่่งคู่หน้าเป็นระบบปรับไฟฟ้าแบบ Ventilated seat พร้อมระบบความบันเทิงครบครัน สั่งการได้ง่ายด้วยหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงพรีเมียม Harman Kardon™ ที่มากับลำโพงคุณภาพสูงกว่า 10 ตำแหน่ง รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto ได้อย่างสะดวกสบาย รองรับการชาร์จมือถือแบบไร้สาย Wireless Charger และไฟเรืองแสงรอบห้องโดยสาร (Ambient Mood Light) ที่เพิ่มความหรูหราแก่ห้องโดยสารในทุกตารางนิ้ว

Hyundai Santa Fe ติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อันล้ำสมัย ทั้งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์แบบ Push Start Button ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control พร้อมปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ทั้งแบบ Eco, Sport และ Smart และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shifter ตลอดจนเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะครบครันที่ทำให้ Santa Fe เป็นสุดยอด D-SUV ที่ตอบโจทย์การเดินทางทุกรูปแบบทั้งการขับขี่ในเมืองใหญ่ และการขับขี่ทางไกลเพื่อพักผ่อนในวันหยุดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ครบครันกับระบบความปลอดภัยเหนือชั้นอย่าง Hyundai SmartSense

Elantra N – ดีเอ็นเอจากสนามแข่งขันสู่ยานยนต์บนท้องถนน

Hyundai N แบรนด์รถยนต์สมรรถนะสูงล่าสุดจากฮุนได พัฒนาขึ้นด้วยความหลงใหลในสมรรถนะขั้นสูงของกีฬามอเตอร์สปอร์ตบนพื้นฐานแนวคิด “Never Just Drive” โดยรถยนต์ N ทุกรุ่น ผ่านการออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญของศูนย์วิจัยและพัฒนา Hyundai Motor Namyang R&D Center ก่อนจะส่งรถยนต์ N ไปทดสอบที่สนาม Nürburgring ในเยอรมนี ซึ่งได้รับการขนานนามเป็นหนึ่งในสนามแข่งที่โหดที่สุดในโลก จนเป็นที่มาของแบรนด์ N ซึ่งตั้งตามชื่อเมือง Namyang และสนามแข่ง Nürburgring นั่นเอง ส่วนเส้นสายของโลโก้ N นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากโค้งสนามแข่งขันในตำนานเช่นกัน

Elantra N มอบศักยภาพแห่งการขับขี่ที่เปี่ยมพลังด้วยเครื่องยนต์ Theta-II 2.0 T-GDi เทอร์โบ กำลังสูงสุด 280 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 392 นิวตันเมตร ที่ 2,100 – 4,700 รอบต่อนาที ใช้ระบบส่งกำลังแบบ N 8-speed Wet Dual Clutch Transmission (DCT) ทั้งยังมีระบบผู้ขับขี่เปลี่ยนเกียร์ได้เอง ขับเคลื่อนล้อคู่หน้า มาพร้อมเทคโนโลยีระบบวาล์วท่อไอเสียแบบแปรผันที่สร้างเสียง Pop-corn Sound และระบบกันสะเทือนแบบ Adaptive ใช้ระบบบังคับเลี้ยวแบบ Rack-mounted Motor Driven Power Steering (R-MDPS) และเบรกอย่างแม่นยำ ด้วยระบบดิสก์เบรกประสิทธิภาพสูงพร้อมช่องระบายความร้อนขนาด 360 x 30 มม. (ล้อหน้า) และขนาด 314 x 20 มม. (ล้อหลัง)

ทุกองค์ประกอบของ Elantra N ถือเป็นดีไซน์ใหม่ในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า สเกิร์ตข้าง สปอยเลอร์หลัง ไปจนถึงดิฟฟิวเซอร์และท่อไอเสียที่ดูโฉบเฉี่ยวด้วยดีไซน์สปอร์ตใหม่หมดจด ภายในยังมอบความหรูหราด้วยหลังคา Sunroof พร้อมกระจกกันความร้อน Solar Glass ปลุกทุกประสาทสัมผัสไปกับโหมดการขับขี่อัจฉริยะทั้ง N, N Custom 1 และ N Custom 2 พร้อมระบบเฟืองท้าย e-LSD (electronic-Limited Slip Differential) ที่ทำงานร่วมกับะบบช่วงล่างไฟฟ้า ECS (Electronically Controlled Suspension) และระบบปรับเสียงท่อไอเสียแบบ Active Variable Exhaust ที่ให้เสียงเร้าใจเสมือนโลดแล่นในสนามแข่ง นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูง ตามมาตรฐานรถยนต์ระดับพรีเมียมและ Hyundai SmartSense ที่มีทั้งระบบเตือนและเบรกฉุุกเฉินอัตโนมัติ FCA (Forward Collision-avoidance Assist), ระบบควบคุุมรถในเลน LKA (Lane Keeping Assist), ระบบเตือนและคุุมพวงมาลัยเมื่อมีรถในจุดอับสายตา BCA (Blind-spot Collision-avoidance Assist), ระบบเตือนและเบรกอัตโนมัติขณะถอยรถ RCCA (Rear Cross-traffic Collision-avoidance Assist) และอีกมากมาย

Elantra N เปิดตัวครั้งแรกในไทย นับเป็นประเทศแรกในตลาดต่างประเทศของโลกที่จำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้ ทั้งยังเป็นยานยนต์ตระกูล N รุ่นที่ทันสมัยและสมดุลที่สุด สมบูรณ์แบบทั้งการขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวันและในสนามแข่ง ให้ผู้ขับสัมผัสประสบการณ์แห่งความแรงสุดเร้าใจ พร้อมฟีเจอร์ความปลอดภัยและอุปกรณ์อื่นอันเหนือชั้น Elantra N จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งประสบการณ์กีฬามอเตอร์สปอร์ต บนท้องถนนที่แท้จริง

ผู้เยี่ยมชมบูธฮุนไดยังจะได้สัมผัสกับนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตรุ่นอื่นอีกมากมาย ทั้งจากแบรนด์ IONIQ อาทิ IONIQ 6 รถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อจาก Prophecy Concept EV สวยงามด้วยรูปทรงเพรียวบาง พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยและการเชื่อมต่อเทคโนโลยีขั้นสูงครบครันด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ จนได้รับรางวัล 2023 World Car of the Year รวมถึงยานยนต์สมรรถนะสูงจาก N Brand ทั้งรถยนต์ต้นแบบ N Vision 74 สมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยและการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อการขับขี่ที่รื่นรมย์, รถแข่งแรลลี่ดีกรีเจ้าสนาม I20 WRC ซึ่งคว้าตำแหน่งผู้ผลิต WRC ยอดเยี่ยมเป็นปีที่ 2 ติดกัน จากชัยชนะ 3 สนาม ทั้งมอนติคาร์โล เอสโทเนีย และซาร์ดิเนีย

พิเศษ! ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย มอบข้อพิเศษแก่ผู้จองรถยนต์รุ่นต่างๆ ในงาน ด้วยแคมเปญข้อเสนอพิเศษแห่งปี อาทิ ดอกเบี้ย 0% ผ่อนนานสูงสุด 48 เดือน และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง พร้อม พ.ร.บ. นาน 1 ปี1 ทั้งยังมอบความมั่นใจในทุกการเดินทางด้วยการรับประคุณภาพรถยนต์นาน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร2 (ข้อเสนอและสิทธิประโยชน์อาจมีความแตกต่างกันตามรุ่นรถยนต์และแพ็กเกจบริการ ลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดได้จากพนักงานฮุนได)

อีกหนึ่งความพิเศษนอกเหนือจากรถยนต์หลากหลายโมเดล ฮุนไดยังสร้างปรากฏการณ์ด้วยการเปิดตัวธีมบูธใหม่ล่าสุดครั้งแรกในโลก “PIXEL CLOUD” ซึ่งนำแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “Pixel by Pixel” แคมเปญโฆษณาที่ชูความล้ำสมัยของนวัตกรรมไฟส่องสว่าง Parametric Pixel ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีเฉพาะในรถยนต์ไฟฟ้าของฮุนได สื่อสารผ่านเทคโนโลยี “พิกเซล” ที่เชื่อมโยงระหว่างอดีต (ระบบอนาล็อก) มาจนถึงปัจจุบัน และมุ่งสู่อนาคต (ระบบดิจิทัล) พร้อมนำเสนอปรัชญาการออกแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของฮุนได นั่นคือ “การสร้างสรรค์ยานยนต์แห่งอนาคต ผ่านแรงบันดาลใจจากมรดกตกทอดอันล้ำค่าของบริษัท”

ผู้เข้าชมงานสามารถร่วมเดินทาง และสัมผัสกับประวัติศาสตร์ของการพัฒนายานยนต์ฮุนได ในทุกรายละเอียดได้ที่บูธหมายเลข A07 ทั้งยังเพลิดเพลินไปกับการเลือกชมยานยนต์ สินค้าไลฟ์สไตล์ และของที่ระลึกจากฮุนไดโมบิลิตี้ ประเทศไทย พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมมากมาย และลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษในงาน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้น ยังสามารถแวะพักได้ที่ Staria Premium Lounge ซึ่งพร้อมต้อนรับทุกท่านอย่างอบอุ่นตลอดงาน

ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมบูธรถยนต์ฮุนไดที่บูธหมายเลข A07 งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2566 พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษที่แตกต่างกัน สำหรับรถยนต์แต่ละรุ่นได้ตลอดงาน โดยท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านเว็บไซต์  http://worldwide.hyundai.com หรือ http://globalpr.hyundai.com

1 เงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทฯ กำหนด

2 แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน

เกี่ยวกับ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ จำกัด

ฮุนได มอเตอร์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้ดำเนินธุรกิจในมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก และมีบุคลากรร่วมงานมากกว่า 120,000 ตำแหน่ง พร้อมอุทิศตนให้กับการรับมือความท้าทายด้านโมบิลิตี้ในทุกพื้นที่ ฮุนได มอเตอร์ เร่งเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการดำเนินธุรกิจ สู่การเป็นผู้ให้บริการด้านสมาร์ทโมบิลิตี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ก้าวไปข้างหน้าเพื่อมนุษยชาติ” (Progress for Humanity) บริษัทยังลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงด้านหุ่นยนต์ และยานพาหนะเพื่อการขนส่งทางอากาศ เอเอเอ็ม (AAM – Advanced Air Mobility) เพื่อเร่งเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ของบริการขนส่งแห่งอนาคต ซึ่งจะมาปฏิวัติวงการโมบิลิตี้ ฮุนไดยังเดินหน้าเปิดตัวยานพาหนะไร้มลพิษ ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีระดับชั้นนำอย่างพลังงานไฮโดรเจนและพลังงานไฟฟ้า เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของโลก สำหรับข้อมูลอื่นของ ฮุนได มอเตอร์ รวมถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่: http://worldwide.hyundai.com หรือ http://globalpr.hyundai.com

เกี่ยวกับ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย)

ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน 2566 ในฐานะบริษัทในเครือของฮุนได มอเตอร์ โดยมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำวงการรถยนต์และผู้ให้บริการด้านโมบิลิตี้ นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมมอบเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ที่เป็นประโยชน์และรองรับทุกไลฟ์สไตล์ให้กับผู้บริโภค ด้วยผลิตภัณฑ์ด้านโมบิลิตี้ที่ครบถ้วนในทุกมิติ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) พร้อมแล้วที่จะเติบโตไปกับลูกค้าทุกท่าน และพร้อมดูแลผู้บริโภคชาวไทย ในฐานะเพื่อนร่วมทางที่แท้จริงในทุกการเดินทาง

เรเว่ ยกทัพรถยนต์ไฟฟ้า BYD โชว์นวัตกรรมในงาน Motor Expo 2023

บ.เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ยกทัพรถยนต์ไฟฟ้า BYD จัดโชว์นวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อตอกย้ำ ความเป็นเอกลักษณ์ของ BYD ที่ทำตลาดครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาแล้วถึง 3 รุ่น BYD ATTO 3, BYD DOLPHIN, BYD SEAL พร้อมมอบแคมเปญสุดพิเศษส่งท้ายแทนคำขอบคุณลูกค้าเก่าและใหม่ ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 และภายในบูธ ยังนำนวัตกรรมพรีเมียมและล้ำสมัยมาโชว์ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสอีก 2 รุ่นภายใต้แบรนด์ Yangwang และ Denza

แบรนด์ Yangwang (หย่างว่าง)

Yangwang U8 (หย่างว่าง ยูเอท) เป็นแบรนด์ไฮเอ็นท์ที่สุดของ Luxury SUV ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสุด ด้วยระบบเทคโนโลยี ล้ำสมัย ที่จะพาคุณเดินทางไปได้ในทุกสภาพถนน ยังมากับระบบความปลอดภัยอย่างเต็มพิกัดและเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ BYD  กับ ระบบ DiSus Intelligent Body Control System เป็นระบบควบคุมเสถียรภาพของระบบช่วงล่าง มีระบบไฮดรอลิก และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อให้สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ของรถได้ทุกทิศทุกทาง และยังมีระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวระบบทำความสะอาดจานเบรก  ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ ระบบป้องกันการล๊อกตายของล้อ อีกด้วย  และภายในงานเราได้นำเทคโนโลยีใน Yangwang U8 มาโชว์คือ การหมุนกลับรถแบบ 360 องศา โดยควบคุมและคำนวณรอบการหมุนของมอเตอร์อิสระ 4 ล้อ เป็นครั้งแรกของไทย

รายละเอียดของ Yangwang U8

•สามารถขับขี่ใน Mode Off Road และขับลงน้ำลึกได้ 1 เมตร ได้นานสูงสุด 30 นาที

•เทคโนโลยี e4(อีโฟร) แพลตฟอร์มมอเตอร์ ไฟฟ้า แยกอิสระ 4 ล้อ

• ระบบ Plug-in Hybrid ให้กำลังสูงถึง 880 kWh (1,180 แรงม้า)

• แรงบิดสูงสุด 1,280 นิวตันเมตร

•อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 3.6 วินาที

•เทคโนโลยี Blade Battery/ ขนาด 49.05 kWh

•ชาร์จไฟเต็ม 100% สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 630 กม. ตามมาตรฐาน CLTC

•ใช้เวลาชาร์จ DC จาก 30-80% ภายในเวลาเพียง 18 นาที

•ส่วนดีไซน์ภายนอกแบบ Ladder-frame

•ด้านหน้าออกแบบให้มีมิติที่เข้ากับเม็ดไฟ LED ไฟหน้า LED แบบ Interstellar Matrix (พร้อมการปรับความสูงแบบอัตโนมัติ) มาพร้อมแถบไฟตกแต่ง 6 แถบที่บริเวณ ตำแหน่งเสา D ของตัวรถ

•มิติรถยาว 5,319 มม.  ระยะฐานล้อ 3,050 มม.

•ห้องโดยสารภายใน จอแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 23.6 นิ้ว

และ จอ Infotainment ขนาด 12.8 นิ้ว

•ตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้ Nappa และลายไม้ African Sapele Wood

•ระบบเสียงจาก Dynaudio ลำโพง 22 ตำแหน่ง และซับวูฟเฟอร์

•Wireless Charger 3 ตำแหน่ง

•เรดาห์อัลตราโซนิค 12 ตำแหน่ง

แบรนด์ DENZA (เดนซ่า)

อีก 1 แบรนด์ ที่จัดโขว์ในบูธ BYD ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 นี้ อยากให้ทุกท่านได้ชมและรู้จักรถยนต์ไฟฟ้า DENZA N7 (เดนซ่า เอ็น เซเว่น) ซึ่งเป็น Premium Sedan คูเป้ หรูหรา มีระดับและสะดวกสบายด้วยระบบอัจฉริยะต่างๆ

DENZA N7 (เดนซ่า เอ็น เซเว่น) เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มอเตอร์คู่ แรงบิดสูงสุด 670 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร เพียง 3.9 วินาทีสามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้า ได้ถึง 630 กิโลเมตร ประหยัดเวลาในนาทีเร่งด่วน ด้วย Dual DC charger 150 กิโลวัตต์ และ 230 กิโลวัตต์ ให้คุณชาร์จได้ 2 หัวพร้อมกัน  มาพร้อมฟังก์ชั่น  Vehicle to Vehicle เพื่อเป็นแหล่ง ชาร์จไฟให้กับรถคันอื่นได้ด้วย

DENZA N7 (เดนซ่า เอ็น เซเว่น) มาพร้อม

•4 รูปแบบการขับขี่ ทั้งแบบ standard sport ประหยัด และการขับขี่ในหิมะหรือน้ำแข็ง

•ระบบอัจฉริยะรอบคัน เช่น กล้องมองภาพ 360 องศา แบบ 3 มิติ

•ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ Denza Pilot

•ระบบช่วยเหลือการจอดแบบอัตโนมัติ

•ระบบปรับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ

•ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง

•ระบบกันขโมยอัจฉริยะแบบอิเล็กทรอนิกส์

•ระบบควบคุมการทรงตัวของรถขณะเข้าโค้ง และระบบการกระจายแรงเบรคแบบไฟฟ้า

ส่วนภายในห้องโดยสารหรูหรา ด้วยเบาะหนังแท้ Nappa เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง โดยเบาะคู่หน้า มาพร้อมกับ ระบบอุ่นเบาะ ระบบระบายอากาศ และจดจำตำแหน่งการปรับตำแหน่ง หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า เสริมด้วยแสงไฟเพื่อสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารกว่า 128 เฉดสี  หน้าจออินโฟเทนเม้นท์ ขนาด 17.3 นิ้ว มีความ ละเอียดถึง 2.5K และยังมีระบบแสดงผลบนกระจกหน้า Head up display เพลิดเพลินกับเครื่องเสียงที่มาในระดับ Hi – end Devialet (เดอ เว เล) ที่จะร่วมสร้างความบันเทิงและประสบการณ์ที่น่าจดจำทุกการเดินทาง

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ เรเว่ กล่าวว่า “ระยะเวลา 1 ปี ผมขอขอบคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุนและมอบไว้วางใจ จนเราได้เป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดไทย ซึ่งมียอดจดทะเบียน 22,391 คันในปี 2566 (ม.ค. – ต.ค. 2566) กลุ่มบริษัทเรเว่มีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ ด้วยวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ “NEW FUTURE YOUR WAY” จะช่วยผลักดัน NEV Nation ในด้านนวัตกรรมพลังงานใหม่ โดยผลิตภัณฑ์ยานยนต์ทุกรุ่นภายใต้แบรนด์ BYD จะเปิดตัวครอบคลุมทุกเซกเมนต์ในตลาดไทย เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ EV และ NEV Ecosystem ด้วยนวัตกรรมด้านความปลอดภัยทั้งตัวยานยนต์ และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำของแบตเตอรี่รถยนต์ อันเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า

ด้านนางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ เรเว่ กล่าวเสริมในเรื่องบริการหลังการขาย “ดิฉันขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านอีกครั้งที่ให้ความไว้วางใจมาร่วมสร้างครอบครัว BYD ร่วมกัน และตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่าที่ผ่านมา ครอบครัว BYD ของเราใหญ่ขึ้น นั่นแสดงถึง ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น  ดิฉันจึงขอเชิญชวนครอบครัว BYD มาเฉลิมฉลองกับโปรโมชั่นที่เรามอบให้กับสมาชิก BYD เก่า และเชิญชวนลูกค้าใหม่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ให้โลกของเรา ขับเคลื่อนสู่สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นและยั่งยืนไปด้วยกันเพื่ออนาคตลูกหลานของเรา ด้วยโปรโมชั่นพิเศษ”

ภายในบูธบีวายดี งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 นี้ ทางเรเว่ จัดโปรโมชั่นขอบคุณสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าบีวายดีทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือลูกค้าใหม่ ด้วยภายใต้แคมเปญ “Big Thanks” ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า บีวายดีทุกรุ่น ทุกคันตั้งแต่คันแรกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 – 31 ธันวาคม 2566  ลุ้นรับรถ 3 คัน มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท (โดยกรอกแบบสอบถามผ่านทาง RÊVER Application ได้ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 66 – 31 ธ.ค. 66) และยังมีโปรโมชั่นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นของบีวายดีอีกด้วย

BYD ATTO 3 มีวางจำหน่าย 2 รุ่น

  • BYD ATTO 3 Standard Range                ราคา1,099,900   บาท
  • BYD ATTO 3 Extend Range                   ราคา 1,199,900   บาท

  • แคมเปญส่งเสริมการขาย สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD ATTO 3
รุ่นรถยนต์สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 – 31 ธันวาคม 2566
  BYD ATTO 3  ฟรี ! Cash Back 100,000 บาท ฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. เป็นระยะเวลา 1 ปี จากบริษัทประกันภัยชั้นนำ* ฟรี ! สมาร์ทโฮมชาร์จเจอร์ ยี่ห้อ ABB สิทธิพิเศษ ! RÊVER Care
รุ่นรถยนต์สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 28 พฤศจิกายน 2566
BYD ATTO 3ฟรี ! Cash Back 50,000 บาท ฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. เป็นระยะเวลา 2 ปี จากบริษัทประกันภัยชั้นนำ* ฟรี ! สามาร์ทโฮมชาร์จเจอร์ ยี่ห้อ ABB สิทธิพิเศษ ! RÊVER Care

BYD DOLPHIN มีวางจำหน่าย 2 รุ่น

  • BYD DOLPHIN Extended Range 490 KM   ราคา   859,999 บาท
  • แคมเปญส่งเสริมการขาย สำหรับรถยนต์ ไฟฟ้า BYD DOLPHIN
รุ่นรถยนต์สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 31 ธันวาคม 2566
BYD DOLPHINฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 พร้อมพ.ร.บ. เป็นระยะเวลา 2 ปี จากบริษัทประกันภัยชั้นนำ ฟรี ! โฮมชาร์จเจอร์ ฟรี ! ค่าแรงติดตั้งโฮมชาร์จเจอร์พร้อมอุปกรณ์ ฟรี ! ค่าจดทะเบียนรถ ฟรี ! บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ 8 ปี หรือ 160,000 กม. สิทธิพิเศษ ! RÊVER Care
รุ่นรถยนต์สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ตั้งแต่คันแรก วันที่ 7 กรกฎาคม 2566 – 31 ตุลาคม 2566
BYD DOLPHINรับสิทธิพิเศษ ! บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ 8 ปี หรือ 160,000 กม.
(กรณีที่ลูกค้าเข้ารับบริการเช็คระยะ และได้ชำระค่าใช้จ่ายไปแล้วนั้น ลูกค้าสามารถนำใบเสร็จมารับเงินคืนได้ที่ศูนย์บริการที่ลูกค้าเข้ารับบริการ ภายในวันที่ 31 มกราคม 2567)

BYD SEAL มีวางจำหน่าย 3 รุ่น

  • BYD SEAL Dynamic Range         510 Km.           ราคา  1,325,000  บาท
  • BYD SEAL Premium Range         650 Km.            ราคา  1,449,000  บาท
  • BYD SEAL AWD Performance Range 580 Km.    ราคา  1,599,000  บาท       
  • แคมเปญส่งเสริมการขาย สำหรับรถยนต์ ไฟฟ้า BYD SEAL Dynamic
รุ่นรถยนต์สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 – 31 ธันวาคม 2566
  BYD SEAL
รุ่น Dynamic  
ฟรี ! ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. เป็นระยะเวลา 2 ปี จากบริษัทประกันภัยชั้นนำ* ฟรี ! โฮมชาร์จเจอร์ ยี่ห้อ ABB ฟรี ! ค่าแรงติดตั้งโฮมชาร์จเจอร์พร้อมอุปกรณ์ สิทธิพิเศษ ! RÊVER Care  
  • สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD SEAL Dynamic ตั้งแต่คันแรก ระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2566 – 28 พฤศจิกายน 2566 จากฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. 1 ปี ขยายความคุ้มครองประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. เป็นระยะเวลา 2 ปี

•สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD SEAL Dynamic ตั้งแต่คันแรก ระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2566 – 28 พฤศจิกายน 2566 จากฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. 1 ปี ขยายความคุ้มครองประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. เป็นระยะเวลา 2 ปี

อนึ่ง บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยในเดือนกรกฎาคม 2565 บริษัทฯ ได้นำรถยนต์ไฟฟ้า BYD รุ่นแรก “BYD ATTO 3” เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างล้นหลามด้วยยอดจำหน่ายและส่งมอบมากกว่า 30,000 คัน ในปีแรกที่เข้าสู่ตลาด ในเดือนกรกฎาคม 2566 ได้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า รุ่นที่ 2 “BYD DOLPHIN” และล่าสุดเสริมสร้างผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าซีดาน รุ่นที่ 3 “BYD SEAL” ในเดือนกันยายน ทำให้สามารถสร้างปรากฏการณ์เป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจดทะเบียนมากที่สุดในปี 2566 บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะนำยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ (NEV: New Energy Vehicle) เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เข้าสู่วงการขับขี่ในประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น และมอบทางเลือกที่ความประหยัดในภาวะที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่ง 4 รุ่นล่าสุด จัดแสดงครั้งแรกในงาน Motor Expo 2023

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เชิญชวนลูกค้าชาวไทยสัมผัสมิติใหม่ของการออกแบบบูธจัดแสดงรถยนต์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “FUTURE FOR ALL” ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 (Motor Expo 2023) สะท้อนถึงความเท่าเทียมของลูกค้าที่มีความหลากหลาย ด้วยการออกแบบบูธที่ไร้ทางต่างระดับแบบ Universal Design ให้ทุกคนเข้าถึงบูธเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างไร้รอยต่อ พร้อมรับประสบการณ์ที่เหนือระดับผ่านทัพยนตรกรรมหลากหลายรุ่น นำโดย 4 รุ่นล่าสุดอย่าง GLC 220 d 4MATIC Avantgarde, EQE 350 4MATIC SUV Electric Art, GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic, C 220 d AMG Line และยนตรกรรมอีกกว่า 15 รุ่น ที่มาพร้อมข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าคนพิเศษทุกคนที่เข้าชมบูธภายในงาน หรือไปที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2566

มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เราให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกคนเป็นอันดับแรกเสมอ นอกจากการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นคือการเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของทุกคน ในงาน Motor Expo ปีนี้ เราจึงมาพร้อมคอนเซ็ปต์ “FUTURE FOR ALL” ที่ย้ำจุดยืนในเรื่องความหลากหลาย (Diversity) ความเท่าเทียม (Equity) และการเคารพถึงความแตกต่าง (Inclusion) และเป็นที่มาของการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของบูธให้ดีกว่าเดิม โดยเราตัดสินใจนำทางต่างระดับของบูธออกไปและทำให้ดีไซน์ของบูธตรงตามหลักการออกแบบอย่างเท่าเทียม หรือ Universal Design ซึ่งจะรองรับการเข้าถึงของผู้ที่ใช้วีลแชร์ ทั้งกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ หรือคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กและใช้รถเข็นเด็ก ทำให้ทุกคนเข้ามาที่บูธของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างสะดวกสบายและรับประสบการณ์แบบเดียวกัน โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ”

จากคอนเซ็ปต์ “FUTURE FOR ALL” ที่สะท้อนผ่านดีไซน์การออกแบบบูธตามหลัก Universal Design อีกหนึ่งความโดดเด่นภายในบูธของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คือการนำเสนอโมเดลรถรุ่นใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่หลากหลายและมีไลฟ์สไตล์การใช้งานที่แตกต่างกัน โดยมีทั้งรถเอสยูวีรุ่นขายดีตลอดกาลของเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่าง The new GLC ที่เสริมไลน์อัพด้วยเครื่องยนต์ดีเซลพร้อมขุมพลังแบบ Mild Hybrid ในรุ่น “GLC 220 d 4MATIC Avantgarde”, “EQE 350 4MATIC SUV Electric Art” เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นเริ่มต้นจากตระกูล EQE SUV ที่ขับขี่ได้ไกลถึง 558 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง, “The new GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic” ที่สุดแห่งยนตกรรรมเอสยูวีสุดหรูที่ผสานสมรรถนะอันทรงพลังและความสะดวกสบายได้อย่างไร้ที่ติ และ “C 220 d AMG Line” รุ่นย่อยล่าสุดจาก The new C-Class อีกหนึ่งไลน์อัพรถซีดานยอดนิยมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มาพร้อมเอกลักษณ์ดีไซน์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน

ข้อมูลเบื้องต้น – GLC 220 d 4MATIC Avantgarde (ราคาจำหน่าย 3,720,000 บาท)

อีกหนึ่งทางเลือกเครื่องยนต์จาก The new GLC “GLC 220 d 4MATIC Avantgarde” ยนตรกรรมที่พร้อมก้าวสู่โลกแห่งอนาคตอย่างเต็มรูปแบบด้วยเครื่องยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM654M แบบ 4 สูบเรียง ขนาด 1,993 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศ turbochargers ที่ระบายความร้อนด้วยระบบ Water-cooled turbocharger ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้านี้จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ในขณะเบรก สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์แบบเงียบ ช่วยเพิ่มความนุ่มนวลและลดการสั่นในการสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะใช้งาน Eco Start/Stop และยังช่วยเพิ่มแรงบิดและรอบเครื่องยนต์ขณะที่เครื่องยนต์มีอุณหภูมิต่ำ โดยมอบพละกำลังได้สูงถึง 17 กิโลวัตต์ ทำให้รถยนต์คันนี้มีกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 197 แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ยังทรงพลัง และสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 6.5%

ข้อมูลเบื้องต้น – EQE 350 4MATIC SUV Electric Art (ราคาจำหน่าย 4,850,000 บาท)

EQE SUV รถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เปิดตัวในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นเริ่มต้น “EQE 350 4MATIC SUV Electric Art” รุ่นกลาง “EQE 350 4MATIC SUV AMG Line” และรุ่นท็อป “EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic” มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่แบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motors) ติดตั้งบริเวณเพลาขับหน้าและหลัง มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 765 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.6 วินาที ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูง 396V แบบ Lithium-ionที่มีความจุมากถึง 89 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 558 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 10 – 80% เพียง 32 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 30 นาที

ข้อมูลเบื้องต้น – GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic (ราคาจำหน่าย 5,590,000 บาท)

GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic ตัวแทนด้านขุมพลังแห่งสมรรถนะและความสะดวกสบายอันเหนือระดับ สะท้อนตัวตนความเป็นรถยนต์สไตล์ออฟโรดดีไซน์เฉียบคมได้อย่างลงตัว ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล OM654M แบบ 4 สูบเรียงขนาด 1,993 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศแบบ turbochargers ที่ระบายความร้อนด้วยระบบ Water-cooled turbocharger ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system ให้พละกำลังสูงถึง 15 กิโลวัตต์ ทำให้ The new GLE มีกำลังแรงม้ารวมสูงสุดถึง 269 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,200 รอบต่อนาที สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 6.9 วินาที ผสานการทำงานกับระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ยังทรงพลังในทุกโมเมนต์

ข้อมูลเบื้องต้น – C 220 d AMG Line (ราคาจำหน่าย 2,880,000 บาท)

C 220 d AMG Line ถือเป็นรถยนต์ซีดานดีไซน์โฉบเฉี่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM654M แบบ 4 สูบเรียง ขนาด 1,993 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศแบบ turbochargers ที่ระบายความร้อนด้วยระบบ Water-cooled turbocharger ผสานการทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system ให้พละกำลังสูงถึง 17 กิโลวัตต์ ทำให้รถยนต์คันนี้มีกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 197 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบต่อนาที สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 7.3 วินาที พร้อมจับคู่กับระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ที่ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลอย่างเหนือระดับ และสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 6.5% พร้อมนำเสนออีกขั้นของเครื่องยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยเข้ากับยุคแห่งดิจิทัล

นอกเหนือจากการนำเสนอยนตรกรรม 4 รุ่นล่าสุดแล้ว ภายในบูธยังมีการจัดแสดงกล้อง Mercedes-Benz Drive Recorder 360 องศา อุปกรณ์ตกแต่งใหม่ล่าสุด (MB Accessories) ที่มีดีไซน์ผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์ มาให้ทุกคนได้สัมผัสเป็นครั้งแรก โดยกล้องตัวนี้สามารถบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวรถในระหว่างการเดินทางและขณะจอดรถ โดยประกอบไปด้วยกล้อง 3 ตัว ได้แก่ กล้องด้านหน้า QHD, Surround sQHD และกล้องด้านหลัง FHD ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถจับภาพวิดีโอได้รอบทิศทาง ทั้งภายนอกและภายในรถยนต์ของคุณ มาพร้อมการรับประกันความคุ้มครอง 2 ปี ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเดินทางได้อย่างปลอดภัยเหนือระดับ โดยมีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 4 ธันวาคม 2566 ในราคาแนะนำ 19,000 บาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (ไม่รวมค่าแรงในการติดตั้ง) ณ ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

พบกับสุดยอดยนตรกรรมทุกรุ่นจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษมากมายได้ที่งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 (Motor Expo 2023) ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี ในระหว่างวันที่ 1 – 11 ธันวาคม 2566 นี้ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษเดียวกับ Motor Expo ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566

สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รถยนต์รุ่นต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ www.mercedes-benz.co.th หรือที่ศูนย์บริการ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารอัพเดทผ่านทาง Facebook: Mercedes-Benz Thailand IG: @MercedesBenzThailand และ LINE: @mercedesbenzth

อาวดี้ เปิดไฮไลท์งาน Motor Expo 2023 อัดโปรแรงสุด

เปิดไฮไลท์ บูธอาวดี้ งาน Motor Expo อัดโปรแรงสุด สร้างความคึกคัก พร้อมถล่ม 3 ดีล สุดพิเศษ ดาวน์ 0 บาท พร้อมผ่อนดอกเบี้ย 0% หรือเลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% สูงสุด 6 ปี หรือฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 5 ปี

อาวดี้ลุย Motor Expo ถล่ม 3 ดีล ส่งท้ายปี อัดโปรฯแรง ดาวน์ 0 บาท พร้อมผ่อนดอกเบี้ย 0% หรือเลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% สูงสุด 6 ปี หรือฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 5 ปี พร้อมรับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าชมรถยนต์ Audi ได้ที่บูธ Audi (B 06) อาคารชาลเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-11 ธันวาคมนี้ หรือที่โชว์รูมอาวดี้ทั่วประเทศ

นายกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด หรือ อาวดี้ ประเทศไทย เปิดเผยว่า “อาวดี้ ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และต้องขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ยังคงเชื่อมั่นในอาวดี้ จากยอดจองและยอดส่งมอบรถในทุกเซกเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า 100% รถปลั๊กอินไฮบริด High Performance อย่างตระกูล RS รวมไปถึงรุ่นยอดฮิต อย่าง A5 Coupé และ Sportback TT Coupé และ Q3 ช่วงปลายปีงาน Motor Expo ถือเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สำคัญที่ลูกค้ารอคอย อาวดี้ได้นำรถรุ่นใหม่ล่าสุดและรุ่นยอดนิยมมาจัดแสดงในงานรวมกว่า 20 รุ่น พร้อมแคมเปญส่งเสริมการขายส่งท้ายปี 3 ทางเลือก ออกรถไม่ต้องดาวน์ ผ่อนไม่มีดอกเบี้ย หรือ ดอกเบี้ย 0% สูงสุด 6 ปี หรือเลือกรับฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 5 ปี นับเป็นโอกาสดีสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบเครื่องยนต์สันดาป ที่จะได้ชมรถยนต์ Audi ครบทุกเซกเมนต์ พลาดไม่ได้กับรถในตระกูล RS กับเทคโนโลยีที่ดีที่สุด พร้อมขุมพลังสมรรถนะสูง ถือเป็นการพัฒนาอย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งเส้นสายดีไซน์ที่สวยงาม รูปลักษณ์ที่โดดเด่น ไม่เหมือนใครตามสไตล์ของอาวดี้

ในส่วนของงานบริการ อาวดี้ ประเทศไทย ยังคงมุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าด้วยคุณภาพรถยนต์นำเข้าทุกรุ่นทุกคันมาตรฐานเยอรมัน พร้อมโปรแกรม Audi Protection รับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน สำหรับรถไฟฟ้า e-tron และรถ Plug-in Hybrid TFSI e Audi ใหม่ ทุุกรุ่น รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี ที่พร้อมจะดูแลรถทุกคันด้วยสิทธิพิเศษแบบครบวงจร”

ภายในงานลูกค้าสามารถเลือกชมรถอาวดี้หลากหลายรุ่น ผ่อนเริ่มต้นเพียง 36,000 บาท/เดือน ไม่มีดอกเบี้ยสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์คุณภาพนำเข้าทั้งคันที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปที่ดีที่สุด ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ quattro มาตรฐานการประกอบรถคุณภาพสูง วัสดุที่ใช้ภายในรถที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นโมเดลยอดฮิตอย่าง A5 Coupé และ Sportback 45 หรือ TT Coupeé Icon Black ที่มาพร้อมข้อเสนอ 3 ดีลส่งท้ายปี ดาวน์ 0 บาท พร้อมผ่อนดอกเบี้ย 0% หรือเลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% สูงสุด 6 ปี หรือฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 5 ปี

บูธ Audi ภายในงาน Motor Expo ครั้งที่ 40 อาวดี้จัดแสดงรถครอบคลุมหลากหลายเซกเมนต์

รถพลังงานไฟฟ้า 100% มีวางจำหน่าย 2 รุ่น

• RS e-tron GT ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า 100% ราคาเริ่มต้น 10,190,000 บาท

• Q8 e-tron ราคาเริ่มต้น 4,699,000 บาท

ไฮไลท์เด่นในงาน Motor Expo ปีนี้ต้องยกให้ RS Q8 ที่มาพร้อมประสบการณ์ขับขี่แบบสปอร์ตจากเครื่องยนต์ที่เหนือชั้น สมรรถนะ Supercar อันทรงพลัง เทคโนโลยีล้ำสมัยและจุดเด่นของรถในตระกูล RS ที่สร้างเสียงฮือฮาเขย่าตลาดด้วยราคาต่อแรงม้าที่คุ้มค่าที่สุด ราคาเริ่มต้น 11,900,000 บาท ถือเป็นรถในกลุ่ม High performance ที่กำลังอยู่ในกระแสร้อนแรงที่สุดของอาวดี้ พร้อมอวดโฉมกองทัพ RS Model ในราคาสุดเร้าใจ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพิเศษ Competition Edition ที่นำมาจัดแสดงให้ชมในงาน

•RS 5 Coupé quattro competition สปอร์ตคูเป้ตัวแรง ราคาเริ่มต้น 6,599,000 บาท

•RS 4 Avant quattro competition ราคาเริ่มต้น 6,499,000 บาท

•TT RS Coupé ราคา 5,449,000 บาท

พร้อมยกทัพรถ Plug-in Hybrid เทคโนโลยีไฟฟ้าล่าสุด มาแสดงอย่างครบครัน ซึ่งเป็นการผสมผสานความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีของ Audi ด้วยการนำข้อดีของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแบบสันดาปมารวมกัน เทคโนโลยี PHEV ที่ลงตัวกับการใช้งานใน A7 55 TFSI e แรง ขับสนุก ขุมพลังกว่า 367 แรงม้า วิ่งได้ไกลถึง 69 กิโลเมตร ด้วยไฟฟ้าล้วน และใช้เวลาชาร์จเพียง 2 ชั่วโมง เท่านั้น พร้อม Plug-in hybrid ในตระกูล SUV ไม่ว่าจะเป็น Q5 55 TFSI e quattro SUV ขนาดที่ลงตัวกับครอบครัวยุคใหม่ Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition และ Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition

พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ของการขับอาวดี้กับกิจกรรมทดลองขับตลอดงาน Motor Expo เพื่อให้แฟนอาวดี้ที่ชื่นชอบสมรรถนะได้สัมผัสกับสมรรถนะการขับขี่ที่โดดเด่นของ quattro ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ พร้อมความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองการใช้งานอันครบครัน

Audi เป็นรถยนต์นำเข้าประกอบนอกทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถอาวดี้ทุกรุ่นได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตรแล้วแต่ระยะใดถึงก่อน

รถไฟฟ้า e-tron และรถ Plug-in Hybrid TFSI e Audi ใหม่ทุุกรุ่น รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี

ลูกค้าที่สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ Facebook / Instagram: Audi Thailand / www.audi.co.th และโชว์รูมและศูนย์บริการที่พร้อมดูแล 8 แห่งทั่วประเทศ

Audi Centre Thailand 02-765-8888

Audi New Petchburi 02-023-4888

Audi Pattaya 038-197-888

Audi Phuket 076-646-666

Audi Service Chiang Mai 052-081-188

Audi Service Ratchapruek 02-034-5888

Audi Udonthani 093-161-5588

Audi Korat 044-017-888

ลามิน่า ส่ง Lamina Power Sunroof จับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่

Lamina Films ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคยานยนต์ยุคใหม่ ส่ง Lamina Power Sunroof ฟิล์มกรองแสงที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับการติดตั้งให้ซันรูฟโดยเฉพาะ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งด้านการกันความร้อน แข็งแกร่งและทนทาน พร้อมขยายไลน์ฟิล์มกรองแสงดิจิทัลบูสต์เพิ่ม 4 ซีรีส์ ครอบคลุมความต้องการลูกค้ารอบด้าน อัดแคมเปญพิเศษในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 ในปีนี้

นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร “ลามิน่า” ฟิล์มกลุ่มพิเศษคุณภาพสูง “ลูมาร์” ผลิตโดย อีสท์แมน เพอร์ฟอร์แมนซ์ฟิล์ม สหรัฐอเมริกา และอุปกรณ์บรรทุกสัมภาระ “ธูเล่” จากประเทศสวีเดน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ดูแลรักษารถยนต์ครบวงจร “แอลลักซ์” คุณภาพเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้เดินหน้าขยายไลน์สินค้ารุ่นใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปอย่างตลอดเวลาของผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของรถยนต์ ที่มีการนำระบบอัจฉริยะต่างๆ เข้ามาใช้งานกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฟิล์มกรองแสงเองก็ต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่ง “ลามิน่า” ได้เปิดตัวสินค้าในกลุ่ม Lamina Digital Boost เป็นรายแรกของประเทศไทยมาก่อนหน้านี้

ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 นี้ บริษัทได้เปิดตัวสินค้าใหม่ที่เป็นที่ต้องการของตลาดรถยนต์ เนื่องจากรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มีการใช้งานหลังคาพาโนรามิกซันรูฟ หรือหลังคากระจกกลาสรูฟกันมากขึ้น โรงงานผู้ผลิตได้ตัดสินใจพัฒนาฟิล์มกรองแสงที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการใช้งานในส่วนของหลังคากระจกโดยเฉพาะ และเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดตัวฟิล์มกรองแสงสำหรับซันรูฟ Lamina Power Sunroof ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

สำหรับฟิล์มกรองแสงสำหรับซันรูฟในตระกูล Lamina Power Sunroof เป็นฟิล์มกรองแสงกันร้อนสูง ที่มาพร้อมนวัตกรรมรูปแบบใหม่สำหรับการติดตั้งบนซันรูฟหรือกลาสรูฟโดยเฉพาะ คุณสมบัติเนื้อฟิล์มชนิดพิเศษ Power NanoPlus ที่ออกแบบมาให้ฟิล์มมีความสามารถในการกันร้อนสูง ป้องกันยูวีได้สูงสุด มีความเข้มให้เลือกหลากหลาย และเหนือกว่าด้วยความแข็งแกร่งและทนทาน พร้อมการรับประกันยาวนานสูงสุด 7 ปีหลังการติดตั้ง

“ที่ผ่านมา ลูกค้าที่ใช้รถยนต์ที่ใช้หลังคากระจกรูปแบบต่างๆ สามารถเลือกติดตั้งฟิล์มกรองแสงรถยนต์บนหลังคาเหล่านี้ได้ และลามิน่าต้องการตอบสนองความต้องการเฉพาะด้าน จึงได้นำเข้านวัตกรรมลามิน่า พาวเวอร์ ซันรูฟเข้ามาทำตลาดเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า เพราะรถยนต์ที่ใช้หลังคากระจกจะมีพื้นที่รับแสงแดดและความร้อนมากกว่าปกติ หากไม่ได้ติดตั้งฟิล์มกรองแสงที่กันความร้อนและยูวีได้ดี ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน”

นอกจากคุณสมบัติด้านการกันความร้อนและกันยูวีแล้ว ฟิล์มกรองแสงสำหรับซันรูฟโดยเฉพาะนี้ ยังมีรุ่น Power Plus Protection ฟิล์มนิรภัยที่มีความแกร่งเป็นพิเศษ ด้วยเนื้อฟิล์มที่มีความหนาและเหนียวสูงสุดถึง 4 มิล (100 ไมครอน) ซึ่งหนากว่าฟิล์มกรองแสงทั่วไปที่หนา 1.5 มิล (37.5 ไมครอน) จึงช่วยปกป้องการแตกกระจายของกระจกซันรูฟ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือมีวัสดุตกใส่หลังคา ปกป้องผู้โดยสารและผู้ขับขี่ให้มีความปลอดภัยในการใช้รถยนต์เหล่านี้อย่างสูงสุด

ฟิล์มกรองแสงสำหรับซันรูฟ Lamina Power Sunroof ยังมาพร้อมความทนทานที่ยอดเยี่ยม มีอายุการใช้งานยาวนาน แม้จะต้องเผชิญกับภาวะแสดงแดดจัดหรือรังแสงยูวีที่เข้มข้น ไม่น้อยกว่า 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะไม่แห้งกรอบ หลุดลอก แตกหรือเป็นฟองอากาศ ซึ่งบริษัทจะรับประกันคุณภาพสินค้าทั้งแบบ 1 ตอน 2 ตอน หรือหลังคากระจกยาวนานสูงสุด 7 ปีเต็ม โดยมีราคาเริ่มต้นพร้อมติดตั้งที่ 4,000 บาท

นอกจากฟิล์มสำหรับหลังคากระจกแล้ว ในปีนี้ ลามิน่าได้ต่อยอดการทำตลาดฟิล์มกรองแสงเทคโนโลยีดิจิทัลบูสต์ ด้วยการพัฒนาสินค้าเพิ่มอีก 4 ซีรีส์ เปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ ประกอบด้วย Lamina Digital Special Boost, Lamina Digital Executive Boost, Lamina Digital Genius Boost และ Lamina Digital POP Boost เพื่อเสริมไลน์สินค้ากลุ่มเทคโนโลยีพิเศษ ที่มีการเปิดตัวเพื่อตลาดไปก่อนหน้านี้แล้ว 6 ซีรีส์สำหรับตลาดประเทศไทย

นางสาวจันทร์นภา กล่าวต่อว่า ลามิน่าตอกย้ำในการเป็นผู้นำในตลาดฟิล์มกรองแสงดิจิทัลอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งเรื่องของการแนะนำสินค้าใหม่ๆ การพัฒนาและอบรมช่างติดตั้งฟิล์มกรองแสงทั่วประเทศ รวมถึงการปรับในส่วนของตัวแทนจำหน่ายและศูนย์ติดตั้งให้เหมาะสม ซึ่งในปีนี้ บริษัทได้เปิดตัวฟิล์มกรองแสงดิจิทัลเพิ่มขึ้นอีก 4 ซีรีส์เป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค

ทำให้บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีในช่วงที่ผ่านมา จากการที่รถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างรถยนต์ไฮบริดหรือรถยนต์ไฟฟ้า มีการติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณดิจิทัล ทั้งเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งาน การสื่อสารและความบันเทิงแบบครบวงจร ซึ่งฟิล์มกรองแสงลามิน่า ดิจิทัลบูสต์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่รบกวนสัญญาณเหล่านี้แต่อย่างใด ทำให้การใช้งานของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทำได้อย่างมีเสถียรภาพและไหลลื่นเหนือกว่าฟิล์มกรองแสงอื่นๆ

สำหรับในปีนี้ นอกเหนือจากการเปิดตัวฟิล์มกรองแสงรุ่นใหม่แล้ว ลามิน่าได้เข้าร่วมออกบู๊ธในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 ภายใต้แนวคิด BoostStart … กดปุ่ม บูสต์พลังดิจิทัล พร้อมจัดโปรโมชั่นเหนือใครตลอดการจัดงานในปีนี้ ด้วยแพคเกจพิเศษ เพียงจองฟิล์มกรองแสงและฟิล์มรุ่นพิเศษที่ร่วมรายการ รับไปเลยทันที ไอโฟน 15 รุ่นใหม่ล่าสุด โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

สำหรับภาพรวมของธุรกิจฟิล์มกรองแสงรถยนต์ในประเทศไทยปีนี้ น่าจะเห็นการชะลอตัวของธุรกิจต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการหดตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวไม่เต็มที่ การท่องเที่ยวที่ยังไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ ขณะเดียวกัน อัตราหนี้ครัวเรือนก็ยังอยู่ในระดับสูง และผู้ประกอบการไฟแนนซ์ ก็ยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มรถเชิงพาณิชย์

“ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดรถยนต์รวมหดตัวลงไปราว 7% โดยตลาดรถปิกอัพหดตัวไป 25.7% ในขณะที่ตลาดรถยนต์นั่งได้อานิสงส์จากรถยนต์ไฟฟ้าก็เติบโตอยู่ที่ 10% ซึ่งมีการประเมินว่าตลาดรถยนต์รวมในประเทศไทยปีนี้น่าจะอยู่ที่ 8 แสนคัน ลดลงไป 6% จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจฟิล์มกรองแสงโดยรวมน่าจะหดตัวที่ 5% แต่ลามิน่าจะยังคงรักษาสัดส่วนการตลาดโดยมียอดจำหน่ายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 730 ล้านบาท ในปีนี้”

ผู้ที่สนใจจะติดตั้งฟิล์มกรองแสงลามิน่า ห้ามพลาดการเข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ หรือ Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 40 ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม พ.ศ.2566 นี้ ซึ่งบริษัทได้เข้าร่วมแสดงสินค้าที่บูธหมายเลข H09 อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพค เมืองทองธานี ซึ่งภายในงานจะมีการแสดงสินค้า โปรโมชั่นที่น่าสนใจต่างๆ อย่างครบครัน ห้ามพลาดกันอย่างแน่นอน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save