- Advertisement -
26.9 C
Bangkok
Home Blog Page 64

เปิดจุดเด่น ORA 07 LONG RANGE ULTRA และ ORA 07 LONG RANGE ต่างตรงไหน..?

เปิดข้อสรุป 5 ความต่างของ ‘ORA 07 LONG RANGE ULTRA’ และ ‘ORA 07 LONG RANGE’ อัปเกรดสู่การขับขี่ที่เหนือกว่า ครบครันทั้งความสะดวกสบาย ความบันเทิงเต็มขั้น และความปลอดภัยขั้นสุด

กรุงเทพฯ 1 สิงหาคม 2567 – หลังจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) เปิดตัว ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูงอีกหนึ่งรุ่นออกมา ทำให้ ORA 07 ในปัจจุบันมีทั้งหมดถึง 3 รุ่น เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายและตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้งาน ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นอย่าง ORA 07 รุ่น LONG RANGE ราคา 1,299,000 บาท สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความคุ้มค่าคุ้มราคากับระยะทางการขับขี่ที่ไกลถึง 640 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (มาตรฐาน NEDC) รุ่น LONG RANGE ULTRA ราคา 1,399,000 บาท สำหรับผู้ที่ชอบระยะทางการขับขี่ที่ไกลพร้อมความสะดวกสบายแบบจัดเต็มจากเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ และรุ่น PERFORMANCE ในราคา 1,499,000 บาท สำหรับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบสมรรถนะจากมอเตอร์คู่และต้องการไปสุดทุกทางแบบไร้ขีดจำกัด

สำหรับ ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA รถยนต์รุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวให้คนไทยได้สัมผัสกันนั้น มาจากกลยุทธ์การยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User-centric) ที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ รับฟังเสียงของผู้บริโภคเพื่อนำมาพัฒนารถยนต์รุ่นนี้ออกมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการอ็อปชันล้นแต่ยังต้องการระยะทางการขับขี่ที่ไกล โดยมี 5 ความต่างที่อัปเกรดจากรุ่น LONG RANGE เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ที่สนุก โดดเด่น และแตกต่างอย่างมีสไตล์

•รถติดหรือขับทางไกลก็ไม่หวั่นกับความผ่อนคลายขั้นสุดจากเบาะนั่งสุดอัจฉริยะเหนือใคร

เทคโนโลยีเบาะนั่งสุดล้ำจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่จะทำให้ลืมภาพการขับขี่ในอดีตที่ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารเกิดความเมื่อยล้าเมื่อต้องนั่งภายในรถเป็นเวลานานเนื่องจากสถานการณ์รถติดหรือการขับขี่ระยะทางไกล ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA จึงเพิ่มความสะดวกสบายขั้นสุดด้วยเบาะนั่งคนขับพร้อมระบบจดจำตำแหน่งอย่าง Memory Seat และ Welcome Seat อำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่ในการขึ้นและลงจากรถได้เป็นอย่างดี เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้ามาพร้อมระบบระบายอากาศ ที่จะทำให้รู้สึกสบายและผ่อนคลายเมื่อร่างกายได้สัมผัสกับพื้นผิวของเบาะขณะนั่งตลอดทั้งเส้นทาง อีกทั้งยังมีระบบเบาะนวดไฟฟ้า ลดความปวดเมื่อยและสร้างความเพลิดเพลินและผ่อนคลายไปในตัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องนั่งภายในรถเป็นเวลานาน นอกจากนี้ อำนวยความสะดวกไปอีกขั้นกับเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าสามารถปรับไฟฟ้าได้ถึง 4 ทิศทาง เพิ่มความสบายในการปรับเบาะนั่งให้เข้ากับสรีระและวิสัยทัศน์ขณะเดินทางให้ได้มากที่สุด เพิ่มความสะดวกสบายได้อย่างตรงจุดและตรงใจในทุกมิติ

•ครบครันด้วยความบันเทิงแบบขั้นสุดกับ Infotainment สุดล้ำ ให้ทุกการเดินทางมีแต่เรื่องราวของความสนุก

พร้อมเข้ามาเปลี่ยนทุกๆ การเดินทางให้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ด้วยระบบความบันเทิงของ ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA เพิ่มความสนุกและความล้ำยิ่งกว่าเคย ด้วยลำโพง Infinity จำนวน 11 ตัว พร้อมระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระที่ให้คุณภาพเสียงระดับสูง มอบประสบการณ์ความบันเทิงกระตุ้นโสตประสาทแบบรอบทิศทาง อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีได้อย่างไม่มีสะดุด ลื่นไหล เพิ่มความสนุกในทุกการเดินทาง นอกจากนี้ ยังเพิ่มฟังก์ชันหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า (Head-up display) ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถดูข้อมูลได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนนและช่วยให้ไม่เสียสมาธิในการขับขี่ โดยช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างมากอีกด้วย

•แม้จะช็อปปิงจนของล้นมือก็หมดห่วง กับประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้าพร้อมระบบแฮนด์ฟรี

ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA ยังมีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น กับประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้าพร้อมระบบแฮนด์ฟรี ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่หมดห่วงหากช็อปปิงจนของล้นมือ หรือสัมภาระเยอะจากการทำงาน จนทำให้ไม่สามารถใช้มือเปิดประตูท้ายรถได้ เพียงแค่ยกเท้าผ่านระบบเซนเซอร์ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายรถก็จะทำการเปิดโดยอัตโนมัติในทันทีในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที หมดปัญหาและตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งสายช็อป สายเที่ยว หรือสายงานล้นมือ

•อัปลุคเอาใจสายสปอร์ต เพิ่มความโดดเด่นด้วยสปอยเลอร์หลังไฟฟ้าสุดไฮเทค

ORA 07 ทุกรุ่นยังคงเน้นดีไซน์สปอร์ตคูเป้ ออกแบบให้โฉบเฉี่ยว โดดเด่นเหนือใคร โดย ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA มีความแตกต่างแบบเฉพาะด้านไม่เหมือนใคร ในด้านความปราดเปรียวด้วยสปอยเลอร์หลังไฟฟ้า ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ดีไซน์ของรถมีความเป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานความสปอร์ตและความสง่างามได้อย่างลงตัว แต่ยังช่วยเพิ่มแรงกดที่ส่วนท้ายของรถ ทำให้รถสามารถยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี สร้างความสมดุลและความปลอดภัยให้กับรถในขณะที่มีการขับขี่ด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้สปอยเลอร์หลังไฟฟ้ายังมาพร้อมกับฟังก์ชันเปิด-ปิดอัตโนมัติ ที่สามารถตั้งให้เปิดเมื่อปลดล็อกรถ หรือเมื่อความเร็วถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ถึงแม้จะขับขี่ด้วยความเร็วสูง

เซนเซอร์กะระยะด้านหลัง 6 จุด        

กล้องแสดงภาพ รอบทิศทาง 360 องศา

ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (IIP)

ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA)

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC)

•ปลอดภัย สะดวกสบายขั้นสุดกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยสุดล้ำ

เพราะความปลอดภัยในทุกการเดินทาง คือสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มุ่งมั่นพัฒนา ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA ได้เพิ่มฟังก์ชันด้านความปลอดภัย หมดกังวลในทุกการเดินทาง ทั้งการเพิ่มเซนเซอร์กะระยะด้านหน้าและด้านหลังเป็น 6 ตำแหน่ง รวม 12 ตำแหน่ง ที่จะช่วยให้การประมวลผลข้อมูลของรถยนต์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของรถมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ช่วยแจ้งเตือนเมื่อตำแหน่งรถอยู่ในสภาวะเสี่ยง และระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA – Auto Reversing Assistance) หมดห่วงเรื่องการลืมเส้นทางหรือการขับขี่ที่ต้องการถอยหลังกลับมา เช่น ทางตัน เป็นต้น เพราะระบบจะช่วยจดจำเส้นทางเมื่อรถขับเคลื่อนด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะสามารถถอยหลังกลับได้โดยอัตโนมัติในระยะ 50 เมตร รวมถึงระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP – Integration Intelligent Parking) โดยออกแบบให้ตรวจจับวัตถุและเส้นบริเวณช่องจอดหรือจุดจอดรถ เมื่อผู้ขับขี่ระบุช่องจอด รถจะทำการจอดให้เองโดยอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถจอดรถในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย รวมถึงพื้นที่จำกัดในเมืองได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยอีกด้วย

นี่คือบทสรุป 5 ความต่างของรถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้ ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA ที่มีการอัปเกรดและเพิ่มเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยแบบเต็มพิกัดจากรุ่น LONG RANGE ให้เทียบเท่ารุ่น PERFORMANCE พร้อมสีภายนอก 2 สี ได้แก่ สีขาว (Jade White) และสีเทา (Amethyst Grey) ที่ไม่ว่าจะผู้ขับขี่จะเป็นใคร หรือเพศไหน ต่างยอมรับว่าเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ และช่วยมอบลุคพรีเมียมที่ใครๆ ต้องมองแทบเหลียวหลัง

โดย ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA จำหน่ายแล้วในราคา 1,399,000 บาท มาพร้อมกับโปรโมชันสุดพิเศษมากมายจากทาง เกรท วอล มอเตอร์ ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่ 1 – 31 สิงหาคม 2567 รวมมูลค่าสูงสุดถึง 180,000 บาท ได้แก่

•ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% เมื่อดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน* มูลค่าสูงสุดไม่เกิน 62,000 บาท

•ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปีเต็ม มูลค่าสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท (ข้อกำหนดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

•ฟรี GWM โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมติดตั้งในระยะสายไฟยาวไม่เกิน 15 เมตร 1 ครั้ง จากตู้ควบคุมไฟฟ้าในบ้าน (ตู้เมน) (ไม่รวมแท่นชาร์จ) มูลค่าสูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท

•ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง (GWM Pro Service Inclusive – GPSI) สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง ภายในระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 75,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน และไม่รวมอะไหล่สิ้นเปลือง) มูลค่า 13,000 บาท**

•ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี มูลค่า 10,000 บาท**

•ฟรี บริการระบบตรวจสอบและสั่งการรถผ่านอินเทอร์เน็ต* (Telematic Service) พร้อมแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถ (Internet in Vehicle) ระยะเวลา 3 ปี มูลค่า 10,500 บาท

•ฟรี ม่านบังแดดหลังคา GWM มูลค่า 1,200 บาท

•ฟรี กรอบป้ายทะเบียนและพรม GWM มูลค่ารวม 2,000 บาท

•ด้านการรับประกันคุณภาพ ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA มาพร้อมการรับประกันคุณภาพรถใหม่ ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร** (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันแบตเตอรี่ EV เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร** (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

* เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยลอยตัวในปัจจุบัน บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เฉพาะเมื่อจองและส่งเอกสารทำสัญญาตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนดเท่านั้น หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยพิเศษจะเป็นไปตามที่บริษัทฯ และสถาบันการเงินที่ร่วมรายการกำหนด

** เงื่อนไขการให้บริการเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ดูรายละเอียดได้ที่ GWM Thailand – Service

###

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ของ ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA

ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูงที่ถูกอัปเกรดขึ้นจาก ORA 07 รุ่น LONG RANGE มาพร้อมเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่แข็งแกร่งเหนือชั้น เหนือกว่าในทุกการขับขี่ ร่วมกับรูปร่างซูเปอร์สตรีมไลน์ที่ครองใจชาวไทยมาแล้วทั่วประเทศ เปรียบเสมือนผลงานศิลปะชิ้นเอกที่โลดแล่นอยู่บนท้องถนน สะกดทุกคู่สายตาสมกับคำนิยาย “More Than Stunning” กับดีไซน์ภายนอกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของสายน้ำ กระจังหน้าที่มีความวับวาวยามแสงตกกระทบ ความโค้งมนรอบตัวรถมอบความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของธรรมชาติและความนิ่งสงบ นอกจากนี้ ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA ยังมาพร้อมกับดีไซน์ภายในที่ถูกออกแบบให้มีความสง่างามผสมผสานกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมสุดล้ำมากมายที่จะเข้ามามอบประสบการณ์อันสมบูรณ์แบบให้คนไทยได้สัมผัส ตอบสนองทุกความต้องการด้านการขับขี่ที่มีความหลากหลายได้อย่างครบครับ สู่การปลุกกระแสวงการยานยนต์ไฟฟ้าในไทยให้กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

รุ่นและสีรถยนต์

•ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA

●สีรถภายนอก : มีด้วยกันทั้งหมด 2 สี ได้แก่ ขาว (Jade White) และเทา (Amethyst Grey)

●สีรถภายใน : สีดำ

สมรรถนะ ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA

•ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 150 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 340 นิวตัน-เมตร วิ่งได้ระยะสูงสุด 640 กิโลเมตร (NEDC Standard)

โครงสร้าง ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA

เสา A และ B ซึ่งภายในของเสา B จะรวมเอาวัสดุคอมโพสิตที่เสริมด้วยไฟเบอร์เข้าไว้ด้วยกัน ช่วยให้มั่นใจถึงความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพการโค้งงอที่ยอดเยี่ยม ปกป้องความปลอดภัยของผู้โดยสารจากการกระแทกจากด้านหน้า ด้านข้าง และหลังคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การออกแบบภายนอก (Exterior Design)

ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA เป็นรถซีดานที่สรรค์สร้างมาด้วยรูปร่างซูเปอร์สตรีมไลน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการไหลของน้ำที่มีความงดงาม ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ “การไหลแบบลามินาร์” ซึ่งเมื่อน้ำนิ่งพบกับก้อนกรวดหินในลำธาร มันจะไม่เกิดการชนกัน แต่จะโอบอุ้มหินเหล่านั้นด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวล

•ดีไซน์ด้านหน้า ใช้การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ของรถซูเปอร์คาร์เพื่อเพิ่มแรงกด ฝากระโปรงหน้าทรงหยดน้ำที่เว้าลงและนูนขึ้นทั้งสองด้าน เมื่อรวมกับไฟหน้าทรงกลมแบบเรโทรทำให้เกิดเป็นความสปอร์ตอย่างเต็มพิกัด

•ไฟหน้า Intelligent LED ทรงกลมดีไซน์โดดเด่น ให้ความสว่างชัดเจน เพื่อความปลอดภัยในทุกเส้นทางด้วยระบบอัจฉริยะ เช่น ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง

(Follow Me Home) พร้อม Daytime Running Light และไฟตัดหมอกหลัง LED

•ดีไซน์ด้านข้าง ได้รับการออกแบบให้หน้าต่างด้านข้างโค้งสูง มีเส้นโดยรอบทั้งคัน เน้นความหรูหราและความสปอร์ตเร้าใจ มาพร้อมหน้าต่างไร้กรอบที่เป็นกระจกแบบ 2 ชั้น (กระจกข้างคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า) เพื่อช่วยในเรื่องการซับเสียง โดยจะเลื่อนลงเมื่อเปิดประตู และเลื่อนปิดโดยอัตโนมัติเมื่อปิดประตู เพิ่มความสปอร์ตไปอีกขั้น

•ดีไซน์ด้านหลัง ถูกออกแบบด้วยดีไซน์ Slip-Back ทำให้ตัวรถดูสปอร์ตขึ้น ด้วยรูปทรงที่ดูเพรียวบางจะช่วยลดแรงต้านลมและช่วยเสริมสมรรถนะของรถยนต์ ซุ้มล้อที่ยื่นออกมาเสริมให้ตัวรถดูหรูหราและมีมิติมากขึ้น เพิ่มความรู้สึกแข็งแกร่ง สปอยเลอร์ไฟฟ้ายังมาจากการออกแบบของรถสปอร์ต ผสานกับรูปทรงด้านหลังที่โค้งมนอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกของเทคโนโลยีอันล้ำสมัย แต่ยังคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้อย่างชัดเจน

•ไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์โดดเด่นสะดุดตามาในรูปทรงวงรี ให้ความหรูหราและความสปอร์ตในเวลาเดียวกัน

•หลังคาแก้วแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ (Panoramic Glass Roof) หลังคากระจกยาวตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้าย ทำให้ภายในห้องโดยสารดูโปร่ง และกว้างขวางขึ้น ประกอบกับตัวหลังคาเป็นกระจกที่ช่วยลดแสงและความร้อน

•สปอยเลอร์ไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิดอัตโนมัติที่สามารถตั้งให้เปิดเมื่อปลดล็อกรถ หรือเมื่อความเร็วถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

•ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมยางขนาด 235/50 R18 ล้อสปอร์ต ลาย double spoke

•มิติตัวรถขนาดกว้างขวาง ถูกออกแบบด้วยลายเส้นโค้งที่พลิ้วไหว รวมความอิสระ ความสมบูรณ์ ที่มีมิติและสง่างามสร้างความเพลิดเพลินในการขับขี่รวมกับความงดงามที่สมดุลกับความสปอร์ต ความหรูหราและความทรงพลังอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยมิติตัวรถ 1,862 x 4,871 x 1,500 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ระยะฐานล้อ 2,870 มม. ระยะความสูงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 125 มม. การออกแบบระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สัน และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงก์ ให้การขับขี่ที่ยึดเกาะถนนและนั่งสบายเพื่อตอบสนองการขับขี่ทั้งในเมืองและนอกเมือง ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนในครอบครัว

การออกแบบภายใน (Interior Design)

ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA ได้รับการตกแต่งภายในเป็นแบบเรโทรที่แฝงความลักซ์ชัวรี และรูปทรงปราดเปรียวสง่างามแต่ยังมีความน่ารัก การผสมผสานระหว่างเส้นโค้งและเหลี่ยมมุมได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมมอบความสุนทรีย์ในทุกช่วงเวลาการขับขี่ด้วยลำโพง Infinity และการตกแต่งห้องโดยสารด้วย Ambient Light แบบ Super I Space และวัสดุสีเงิน ดำ (Silver, Black)

•การเชื่อมต่อของหน้าจอทั้ง 3 ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและปลอดภัย

oหน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับความบันเทิงแบบ Wireless ได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง, และแสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆ

oหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัล ขนาด 10.25 นิ้ว

oหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า (Head-up display)

•ระบบความบันเทิงพร้อมลำโพง Infinity จำนวน 11 ตัว พร้อมระบบแอมพลิฟายเออร์อิสระ และระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ ให้คุณภาพเสียงระดับสูง เพิ่มความสนุกในทุกการเดินทาง

•พวงมาลัยปรับแบบ 4 ทิศทาง เพิ่มความสะดวกสบายและคล่องตัวในการขับขี่ พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงและสวิตช์ควบคุมจอแสดงข้อมูลการขับขี่

•ไฟตกแต่งห้องโดยสาร พร้อมฟังก์ชันแบบหลายสีและเป็นจังหวะ ช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้เพลิดเพลินในทุกการขับขี่และการผจญภัย

•เบาะนั่งไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้า ระบบระบายอากาศ เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง และระบบดันหลังปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat เพื่อความสะดวกสบายในการขึ้น-ลงจากรถ เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

•เบาะนั่งโดยสารแถวที่ 2 มาพร้อมที่พักแขนตอนกลาง ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมช่องเสียบ USB A และ USB C

•พื้นที่ห้องโดยสารอเนกประสงค์ มีพื้นที่เก็บของมากมาย ตอบสนองความต้องการในการจัดเก็บสิ่งของของผู้ใช้งานเป็นอย่างดี ทั้งกล่องใส่แว่นตาที่อยู่บนเพดานด้านหน้า พื้นที่จัดเก็บที่หลากหลาย บริเวณแผงคอนโซลกลางที่สามารถใส่ของใช้ส่วนตัว พร้อมกับที่วางแก้วน้ำ และบริเวณด้านข้างประตูยังมีช่องเก็บของสำหรับวางขวดน้ำ ร่ม และสิ่งของอื่น ๆ ในขณะที่ด้านหลังเบาะนั่งด้านหน้ามีกระเป๋าเก็บของ มอบความสะดวกสำหรับผู้โดยสารในการเก็บของและง่ายต่อการหยิบใช้ ยิ่งไปกว่านั้น เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับเบาะแยกได้แบบ 60:40 ช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระด้านหลังได้

•แผงควบคุมที่คอนโซลกลาง พร้อมฟังก์ชันควบคุมการขับขี่ ช่วยให้การปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ทั้ง 5 โหมดเป็นไปอย่างง่ายดาย ได้แก่ โหมดประหยัด โหมด WELL BEING โหมดปกติ โหมดสปอร์ต และโหมดส่วนบุคคล

•เกียร์แบบ Electronic Shifter ก้านเปลี่ยนเกียร์ไฟฟ้าด้านหลังพวงมาลัย

•ระบบ Intelligent Quick Start System เพิ่มความสะดวกสบาย ให้พร้อมออกเดินทางทันทีเมื่อขึ้นมานั่งที่เบาะคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัย และเหยียบเบรก

•ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อม PM2.5 filter

•ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ช่วยให้การชาร์จสมาร์ตโฟนสะดวกและรวดเร็ว (50W)

ฟังก์ชันอัจฉริยะ (Intelligent Functions)

•การอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ (FOTA) ระบบดังกล่าวมาพร้อมกับความสามารถในการอัปเกรดเฟิร์มแวร์สำหรับการควบคุมระบบขับเคลื่อน ระบบส่งกำลัง ระบบการขับขี่อัจฉริยะต่างๆ รวมถึงระบบ Infotainment และระบบควบคุมอื่นๆ ภายในรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย

•การสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ (Voice Command) มีความสามารถในการจดจำเสียงได้เป็นอย่างดี จึงสามารถช่วยลดการใช้งานจากการกดปุ่ม เป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยผู้ขับขี่สามารถสั่งการและโต้ตอบด้วยเสียงเพื่อใช้งานฟังก์ชันต่างๆ รวมไปถึงการเข้าถึงระบบเอนเทอร์เทนเมนต์ภายในรถ

•GWM Application ระบบที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมและเชื่อมต่อฟังก์ชันของรถยนต์ได้ แม้ผู้ขับขี่จะอยู่ในระยะที่ไกลจากตัวรถ เช่น การควบคุมระบบปรับอากาศ การล็อกและปลดล็อกประตู การค้นหารถยนต์ การปิดหน้าต่าง การควบคุมระบบการระบายอากาศของเบาะ การแสดงตำแหน่งรถยนต์ และระบบตรวจสอบสถานะอื่นๆ

•Intelligent One Pedal เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะผู้ขับขี่สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วได้เพียงคันเร่งเดียว

ระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัย

ORA 07 รุ่น LONG RANGE ULTRA มาพร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยให้คุณและครอบครัวเดินทางอย่างปลอดภัยไร้กังวล

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ (Intelligent ACC) มาพร้อมกล้องติดรถยนต์ ADAS ช่วยควบคุมในช่วงความเร็วเต็มพิกัดที่กำหนดไว้ รวมถึงการหยุดและรีสตาร์ทกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ก่อนหน้า เมื่อระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ทำงาน กล้องจะทำการตรวจสอบความโค้งของถนน และความเร็วจะถูกปรับอัตโนมัติหากจำเป็นต้องลดความเร็วในขณะเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย และเมื่อผ่านโค้งไปแล้วรถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ (TJA) เป็นระบบควบคุมความเร็ว ที่ช่วยควบคุมรถให้ติดตามรถด้านหน้า หรือขับต่อไปด้วยความเร็วคงที่เพื่อลดภาระของผู้ขับขี่

•ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP) ใช้เซนเซอร์และกล้องในการตรวจสอบเพื่อตรวจจับวัตถุและเส้นบริเวณช่องจอดหรือจุดจอดรถ และช่วยทำงานอย่างเต็มรูปแบบเพื่อเข้าจอด ทั้งแนวตรง แนวจอดเทียบข้าง และแนวเฉียง โดยเมื่อระบุช่องว่างที่จะนำรถเข้าจอดแล้ว รถจะทำการจอดด้วยตัวเองด้วยการควบคุมพวงมาลัย เบรก และคันเร่ง

•ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ในขณะที่ขับรถต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบจะบันทึกเส้นทางและสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 เมตรโดยอัตโนมัติ ในเส้นทางที่ถูกบันทึกไว้

•กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ประกอบไปด้วยกล้องที่มองได้รอบ 4 ตัว มีความละเอียดคมชัด 4 Megapixel โดยระบบจะรวมเอามุมมองภาพทั้ง 4 กล้องมาสร้างภาพที่มีมุมมอง 360 องศา เพื่อแสดงให้เห็นมุมมองของรถจากมุมบน ระบบทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่โหมดการถอยหลัง โดยสามารถดูได้เมื่อขับรถที่ความเร็ว 15 หรือ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และตอนสตาร์ทรถ

•ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) ช่วยตรวจจับรถยนต์ทั้งทางตรงและทางแยก เมื่อเสี่ยงต่อการชน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงและการเบรกอัตโนมัติ ช่วยหลีกเลี่ยงการชนหรือลดแรงกระแทก

•ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA&RCTB) เซนเซอร์ช่วยตรวจสอบจุดอับสายตาด้านหลังของตัวรถทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของช่องทางเดินรถในขณะถอยหลัง เมื่อกำลังถอยหลังออกจากช่องจอด เซนเซอร์หลังของรถจะทำการเช็กด้านซ้ายและขวาของช่องจราจร และส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียง หากผู้ขับขี่ยังเพิกเฉย ไม่หยุดรถ ระบบเบรกอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉินจะเริ่มทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงการชน

•เซนเซอร์กะระยะ 6 จุดด้านหน้า และ 6 จุดด้านหลัง

•ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) โดยระบบจะตรวจสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่หรือรถที่มีขนาดยาว ในระหว่างการแซง ระบบจะรักษาช่องว่างระหว่างรถตามระยะที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และกลับสู่เลนเดิมอัตโนมัติ

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKA) ระบบตรวจจับเส้นถนนและช่วยประคองพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน

•ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW) ระบบตรวจจับเส้นถนนและช่วยแจ้งเตือนเมื่อรถกำลังออกนอกเลน

•ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน (LCK) ระบบตรวจจับเส้นถนนและช่วยประคองรถให้อยู่กึ่งกลางเลน

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน (ELK) โดยหากมีการตรวจสอบพบรถอีกคันกำลังแล่นมา หรือมีรถแซงขึ้นมาจากอีกเลนหนึ่ง ระบบจะทำการแทรกแซงการทำงานมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดการชน

•ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM) โดยรถจะพยายามรักษาเสถียรภาพเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน

•ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน (HSA) เมื่อออกจากจุดที่หยุดนิ่งบนเนินสูงชัน เบรกจะยังคงค้างอยู่ราว 2 วินาที จนกระทั่งคันเร่งทำงานเพื่อป้องกันการถอยหลัง

•ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู (DOW) หลังจากจอดรถยนต์แล้ว ระบบจะแจ้งเตือนหากระบบตรวจพบเป้าหมายที่เสี่ยง

•ต่อการชนหากเปิดประตูรถยนต์ระบบตรวจความดันลมยาง (TPMS) โดยรถจะทำการวัดแรงดันลมยางอย่างต่อเนื่องและเตือนผู้ขับขี่หากมีแรงดันลมยางล้อใดลดลง

การเปรียบเทียบข้อมูลจำเพาะระหว่างรุ่น LONG RANGE, LONG RANGE ULTRA และรุ่น PERFORMANCE

 รุ่น LONG RANGEรุ่น LONG RANGE ULTRAรุ่น PERFORMANCE
กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด150 กิโลวัตต์ (204 แรงม้า)150 กิโลวัตต์ (204 แรงม้า)300 กิโลวัตต์ (408 แรงม้า)
แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด340 นิวตัน-เมตร340 นิวตัน-เมตร680 นิวตัน-เมตร
ระยะทางวิ่งสูงสุด (NEDC Standard)640 กิโลเมตร640 กิโลเมตร550 กิโลเมตร
การขับแบบ 4 ล้อ (4WD)l
ขนาดล้อและยางล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
 ยางขนาด 235/50 R18
ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
 ยางขนาด 235/50 R18
ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว
 ยางขนาด 235/45 R19
ที่จับประตูเปิดอัตโนมัติแบบไฟฟ้าlll
เซนเซอร์กะระยะหน้าและหลังด้านหน้า 4 ตำแหน่ง ด้านหลัง 4 ตำแหน่งด้านหน้า 6 ตำแหน่ง ด้านหลัง 6 ตำแหน่งด้านหน้า 6 ตำแหน่ง ด้านหลัง 6 ตำแหน่ง
หลังคาแบบ Panoramic Glass Rooflll
เบาะนั่งคนขับพร้อมระบบ Memory Seat และ Welcome Seatll
เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าพร้อมระบบระบายอากาศll
เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าพร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้าll
เบาะนั่งคนขับ ปรับไฟฟ้า6 ทิศทาง6 ทิศทาง6 ทิศทาง
เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า ปรับไฟฟ้า4 ทิศทาง4 ทิศทาง
หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้าll
จำนวนลำโพง11 ตำแหน่งInfinity® 11 ตำแหน่งInfinity® 11 ตำแหน่ง
ประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้าพร้อมระบบแฮนด์ฟรีll
สปอยเลอร์หลังไฟฟ้าll
ระบบจ่ายกระแสไฟ (V2L)lll
ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (IIP)ll
ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA)ll
ราคา1,299,000 บาท1,399,000 บาท1,499,000 บาท

NETA จัดแคมเปญ “NETA V-II Festival” ส่วนลดสูงสุด 120,000 บาท

NETA มอบข้อเสนอสุดคุ้มสำหรับลูกค้า NETA V-II รับส่วนลดสูงสุด 120,000 บาท ด้วยแคมเปญ “NETA V-II Festival” เฉพาะลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายนนี้เท่านั้น

NETA จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษต้อนรับครบรอบ 2 ปีในประเทศไทย ภายใต้แคมเปญ “NETA V-II Festival” มอบส่วนลดสูงสุด 120,000 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่สนใจ NETA V-II ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2567 นี้เท่านั้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่าย NETA ทั่วประเทศ  หรือพบกันในงาน BIG MOTOR SALE และงาน NETA Roadshow ตลอดเดือนสิงหาคม 2567 นี้

มร.ชู กังจื้อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่าในเดือนสิงหาคมนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ NETA ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบรอบ 2 ปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าคนไทยที่ให้ความไว้วางในแบรนด์ NETA รวมไปถึงสานต่อพันธกิจหลักของ NETA ในการเป็นผู้สรรสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ และสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมสําหรับทุกคน บริษัทฯ จึงได้จัดทำข้อเสนอพิเศษด้วยแคมเปญ “NETA V-II Festival” เพื่อให้ลูกค้าคนไทยได้เป็นเจ้าของ NETA V-II รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ City Car ซึ่งเป็นรถรุ่นแรกที่ผลิตจากโรงงาน NETA ในประเทศไทย โดยรถรุ่นดังกล่าวมาพร้อมแนวคิด “Smart & Play” ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบาย ด้วยฟังก์ชันอัจฉริยะ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลรวมไปถึงทดลองขับได้ที่ผู้จำหน่าย NETA ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ หรือในงาน NETA Roadshow ตลอดเดือนสิงหาคมนี้

ข้อเสนอพิเศษ “NETA V-II Festival”

สำหรับผู้ที่จองและรับรถ NETA V-II ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2567 และรับรถยนต์ภายในวันที่ 26 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2567

รับส่วนลดสูงสุด 120,000 บาท

NETA V-II รุ่น Lite รับส่วนลด 120,000 บาท จากราคาปกติ 549,000 บาท

NETA V-II รุ่น Smart รับส่วนลด 110,000 บาท จากราคาปกติ 569,000 บาท

•ฟรี! เครื่องชาร์จ NETA WALLBOX พร้อมค่าติดตั้ง จำนวน 1 ชุด

•ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครอง 1 ปี

•ฟรี! รับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

•ฟรี! รับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

•ฟรี! ค่าแรงและค่าอะไหล่รถยนต์เมื่อเช็คระยะครั้งแรกที่ 5,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน(แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

•ฟรี! ชุดพรมปูพื้น

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนเปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่าย NETA ทั่วประเทศ  หรือ ชมและทดลองขับ NETA V-II ได้ที่งาน BIG MOTOR SALE หรือในงาน NETA Roadshow ตลอดเดือนสิงหาคม 2567 นี้

•Central พิษณุโลก                     วันที่ 12-18 สิงหาคม 2567

•Central ชลบุรี                           วันที่ 16-22 สิงหาคม 2567

•งาน BIG MOTOR SALE          วันที่ 23 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567

•Central อุดรธานี                       วันที่ 23 สิงหาคม – 1 กันยายน 2567

•แฟชั่นไอส์แลนด์                        วันที่ 30 สิงหาคม – 8 กันยายน 2567

NETA V-II” SMART & PLAY สมาร์ตให้สุด สนุกให้เหนือใคร” 

NETA V-II รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ City Car มาพร้อมแนวคิด “SMART & PLAY” “สมาร์ตให้สุด สนุกให้เหนือใคร” ลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยว พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันยิ่งขึ้น พร้อมระบบความปลอดภัยและช่วยในการขับขี่ให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความสนุกและมั่นใจ โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ NETA V-II รุ่น LITE และ รุ่น SMART

NETA V-II ได้รับการออกแบบภายนอกที่ลงตัวตามหลักอากาศพลศาสตร์ พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ภายในโดดเด่นด้วยหน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlayTM พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิตอล ขนาด 12 นิ้ว ระบบชาร์จมือถือแบบไร้สาย และกุญแจแบบสมาร์ทคีย์พร้อมระบบ Ride & Go ให้รถพร้อมสำหรับการขับขี่ทันทีที่เปิดประตูรถ

NETA V-II ให้สมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งานด้วยมอเตอร์ขนาด 95 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ให้ระยะทางในการวิ่งสูงสุด 382 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มตามมาตรฐาน NEDC

สำหรับ NETA V-II รุ่น SMART เพิ่มความมั่นใจด้วยระบบช่วยในการขับขี่ ADAS รวม 8 ระบบ ได้แก่ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ รวมไปถึงระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยกำลังสูงสุดถึง 3,300 วัตต์ พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีความปลอดภัยอย่างครบครัน

NETA V-II มีสีมาตรฐานให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาว White Storm สีเทา Midnight Gray สีชานม Milk Tea สีฟ้า Baby Blue

เอ็มจี ผนึกกำลังผู้จำหน่ายลุยตลาดไฮบริด

เอ็มจี ผนึกกำลังผู้จำหน่ายลุยตลาดครึ่งปีหลังด้วยไฮบริดประสิทธิภาพสูง ประกาศแนวทางนำรถไฮบริดทดแทนรถเครื่องยนต์สันดาป ควบคู่รถไฟฟ้าคุณภาพสูง

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยทิศทางแบรนด์ครึ่งปีหลังในงาน “MG Dealer Conference 2024”  เตรียมแผนขยายฐานลูกค้าด้วยยนตรกรรมไฮบริดที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ทั้งคัน พร้อมประกาศชัดยานยนต์กลุ่มสันดาปจะถูกแทนที่ด้วยยานยนต์ไฮบริดประสิทธิภาพสูง ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น ควบคู่กับการบริการที่ถูกยกระดับในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การตั้งราคาที่คุ้มค่า สมเหตุสมผล และการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่นการรับประกันแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ตลอดอายุการใช้งานที่สร้างความมั่นใจในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าให้คนไทย พร้อมตั้งเป้าครึ่งปีหลังครองส่วนแบ่งตลาด 4%

ครึ่งปีแรกของปี 2567 นับเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายด้วยสภาวะทางเศรษฐกิจ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ การมีผู้เล่นรายใหม่ เข้าสู่ตลาด ไปจนถึงสงครามราคาที่ดุเดือด ประกอบกับเทรนด์ตลาดยานยนต์ที่เปลี่ยนไป แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์ครึ่งปีแรกของปี 2567 (ยอดจดทะเบียน 345,150 คัน) จะลดลงสูงถึง 24% เมื่อเทียบกับยอดจดทะเบียนครึ่งปีแรกของปี 2566 (ยอดจดทะเบียน 451,521 คัน) แต่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) กลับเติบโตสวนกระแสตลาด และหากพิจารณาสัดส่วนยอดขายของ เอ็มจี ครึ่งปีแรกพบว่า กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าทำยอดขายได้มากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 55% และอีก 45% เป็นกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปและพลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของตลาดเช่นกัน จึงสะท้อนให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และการก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานทางเลือกอย่างแท้จริง

มร.ซู๋ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด เผยว่า “ครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา เอ็มจี ครองส่วนแบ่งตลาด 3% ในครึ่งปีหลังของปี 2567 นี้ เอ็มจี เตรียมแผนแนะนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่สอดรับ กับเทรนด์ตลาดยานยนต์มากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และมีนโยบายนำเทคโนโลยีไฮบริดทดแทนเครื่องยนต์สันดาป ใขณะเดียวกันรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำอีกระดับ และนำเสนอราคาอย่างสมเหตุสมผลมากที่สุด โดยจะเห็นได้จากรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด ALL NEW MG 3 HYBRID+ ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ทั้งคัน และถูกยกให้เป็นไฮบริดยุคใหม่ที่ครบเครื่องทั้งดีไซน์ สมรรถนะการขับขี่ และอัตราประหยัดน้ำมัน 1 ถัง ขับได้ไกลมากกว่า 800 กิโลเมตร โดย เอ็มจี เตรียมประกาศราคาและเปิดรับจองในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 นี้ ที่โชว์รูมเอ็มจีทั่วประเทศ

ดังนั้นเพื่อยกระดับความสามารถของผู้จำหน่ายในการทำตลาด เอ็มจี จึงมีการปรับกลยุทธ์การสื่อสารที่พุ่งเป้าไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจในผลิตภัณฑ์เชิงลึก ความคุ้มค่าที่แท้จริง เพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่ตอบโจทย์กับการใช้งานให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการผนึกกำลังกับผู้จำหน่ายกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ ขับเคลื่อนแบรนด์ให้สอดรับกับกระแส หรือเทรนด์ใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้เกิดความสดใหม่ในการสื่อสารอยู่เสมอ

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยผลักดันเป้าหมายในการครองส่วนแบ่งทางการตลาด 4% คือ การยกระดับงานขาย และการบริการ ซึ่งหลังจากที่ เอ็มจี ขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปสู่ระดับพรีเมียม นำโดย NEW MG MAXUS 9, NEW MG MAXUS 7 และ NEW MG CYBERSTER จึงมุ่งเน้นการยกระดับบริการหลังการขายให้สอดรับกับผลิตภัณฑ์ โดยการสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ และการบริการหลังการขายที่มีคุณภาพผ่าน MG EV EVolution Showroom ทั้ง 9 แห่ง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการบริการหลังการขายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ เอ็มจี เตรียมผุด “ศูนย์บริการมาตรฐานส่วนภูมิภาค” เพื่อผลักดันผู้จำหน่ายในหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพสูงสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ซึ่งจะสามารถให้คำปรึกษา แนะนำ และออกช่วยเหลืองานซ่อมหน้างานกับผู้จำหน่ายในพื้นที่ใกล้เคียง โดยทาง เอ็มจี จะมีเกณฑ์ในการตรวจสอบมาตรฐาน และประเมินความพร้อมทั้งในเรื่องสถานที่ เครื่องมือ บุคลากรและทักษะความสามารถ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และยกระดับมาตรฐานการบริการให้ทัดเทียมทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน เอ็มจี ยังคงเร่งสร้างความเชื่อมั่น และกำจัดความกังวลใจในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งล่าสุด เอ็มจี เป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่ประกาศเพิ่มการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อนตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ในหลายรุ่น ซึ่งได้คลายความกังวลให้กับผู้บริโภค และเปิดใจกับแบรนด์มากขึ้น

ภายในงาน MG Dealer Conference 2024 เอ็มจี ยังได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติที่เป็นเครื่องการันตีในคุณภาพงานบริการให้กับผู้จำหน่ายที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในด้านต่างๆ ประจำปี 2566 ประกอบด้วย

รางวัล Best Market Share ให้แก่ผู้จำหน่ายที่สามารถสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดระดับจังหวัด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด (สาขาภูเก็ต)

จังหวัด ภูเก็ต

อันดับที่ 1 : บริษัท ภูเก็ตปิยะเอ็มจี จำกัด

จังหวัด ภูเก็ต

อันดับที่ 1 :  บริษัท เอ็มจี ภูเก็ต จำกัด

จังหวัด ภูเก็ต

อันดับที่ 2 : บริษัท พิจิตรเพชรออโต้ จำกัด

จังหวัด บึงกาฬ

อันดับที่ 3 : บริษัท เอ็มจี ประจวบคีรีขันธ์ บาย พร้อมพงศ์ จำกัด

จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์

อันดับที่ 3 : บริษัท ออโต้ แกลเลอรี่ ไดนามิค จำกัด

จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์

รางวัล Best Part Performance มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มียอดสั่งซื้ออะไหล่สูงสุด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท เซควอญ่า หลักสี่ จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

รางวัล Best Accessory Performance มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มียอดสั่งซื้ออุปกรณ์ตกแต่งรถสูงสุด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท 824 จำกัด

รางวัล Best CSI มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มีคะแนนจากการสำรวจความพึงพอใจลูกค้าด้านบริการหลังการขายสูงสุด 3 รางวัล

กลุ่มกรุงเทพฯ และปริมณฑล : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

กลุ่มหัวเมือง และจังหวัดขนาดใหญ่ : บริษัท ท็อปทรี ออโต้ จำกัด

กลุ่มจังหวัดขนาดกลาง และขนาดเล็ก : บริษัท เอ็มจี พระนคร จำกัด (สาขาอ้อมน้อย)

รางวัล Best Contribution มอบให้แก่กลุ่มผู้จำหน่ายที่รักษาระดับยอดขายทั้งกลุ่มเครื่องยนต์สันดาป และกลุ่มพลังงานทางเลือก 2 รางวัล

อันดับที่ 1 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท อารีมิตร เอ็มจี จำกัด

อันดับที่ 2 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เอ็มจี ยโสธร จำกัด

รางวัล Best Sale Performance มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มียอดขายปลีกสูงสุด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท 824 จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท สกาย ออโต้โมทีฟ จำกัด

รางวัล Best Sale Performance มอบให้แก่กลุ่มผู้จำหน่ายที่มียอดขายปลีกสูงสุด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท ออโต้ แกลเลอรี่ จำกัด

อันดับที่ 2 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 3 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เอ็มจี กรุงเทพ จำกัด

รางวัล Excellence Award มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่ผ่านการประเมินรอบด้านทั้งการขาย การบริการหลังการขาย กิจกรรมทางการตลาด และสิ่งอำนวยความสะดวกในโชว์รูม 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท 824 จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท ภูเก็ตปิยะเอ็มจี จำกัด

รางวัล Excellence Award มอบให้แก่กลุ่มผู้จำหน่ายที่ผ่านการประเมินรอบด้านทั้งการขาย การบริการหลังการขาย และกิจกรรมทางการตลาด และสิ่งอำนวยความสะดวกในโชว์รูม 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 2 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เอ็มจี กรุงเทพ จำกัด

อันดับที่ 3 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ส จำกัด

อันดับที่ 3 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท อารีมิตร เอ็มจี จำกัด

รางวัล EVolution Showroom มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่ร่วมผลักดันโครงการ EV EVolution Showroom ทั้ง 9 แห่ง

อันดับที่ 1 : บริษัท เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ส จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาชลบุรี)

อันดับที่ 4 : บริษัท เอ็มจี นครหลวง จำกัด

อันดับที่ 5 : บริษัท อยุธยา แกรนด์ เอ็มจี เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด

อันดับที่ 6 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด

อันดับที่ 7 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด (สาขาภูเก็ต)

อันดับที่ 8 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด (สาขาวิภาวดี)

อันดับที่ 9 : บริษัท เซควอญ่า หลักสี่ จำกัด

รางวัล 5 Star มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่ผ่านการประเมินจากฝ่ายบริการ 14 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท อารีมิตร เอ็มจี จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาชลบุรี)

อันดับที่ 4 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาหางดง)

อันดับที่ 5 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาพัทยา)

อันดับที่ 6 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 7 : บริษัท เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ส จำกัด

อันดับที่ 8 : บริษัท เอ็มจี ก้องกังวาล ราชบุรี จำกัด

อันดับที่ 9 : บริษัท เอ็มจี ลพบุรี จำกัด

อันดับที่ 10 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด

อันดับที่ 11 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด (สาขาเมืองสงขลา)

อันดับที่ 12 : บริษัท เอ็มจี สุโขทัย จำกัด

อันดับที่ 13 : บริษัท เอ็มจี สุวัฒน์ ขอนแก่น จำกัด

อันดับที่ 14 : บริษัท ท็อปทรี ออโต้ จำกัด

เอ็มจี เผยสเปค ALL NEW MG3 HYBRID+ เปลี่ยนนิยามรถ

เอ็มจี เผยสเปค ALL NEW MG3 HYBRID+ เปลี่ยนนิยามรถไฮบริด นำเสนอความเป็นที่สุดใน B-segment กับจุดเด่น ประหยัดกว่า แรงกว่า กว้างกว่า ปลอดภัยกว่า พร้อมเคาะราคาอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมศกนี้

Screenshot

•ประหยัดกว่า!!! น้ำมันหนึ่งถังไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร

•ทางเลือกใหม่ให้กับคนไทย กับความแรง เร็ว เร้าใจ ขับสนุกแบบรถอีวี แต่มีดีที่ไม่ต้องชาร์จ

•หนึ่งเดียวที่ผสานทุกระบบไฮบริด กับเทคโนโลยี HYBRID+ ด้วย 8 โหมดขับเคลื่อนในทุกช่วงความเร็ว 

•หนึ่งเดียวในคลาส B-Segment ที่มีแบตเตอรี่ความจุมากที่สุด เครื่องยนต์และมอเตอร์แรงที่สุด พื้นที่ห้องโดยสารกว้างสุด 

กรุงเทพฯ – 16 กรกฎาคม 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เดินหน้านำเสนอทางเลือกใหม่ให้คนไทยด้วยยนตรกรรมในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน พร้อมสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ในตลาด B-Segment กับการเปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์ไฮบริดเทคโนโลยีใหม่จาก เอ็มจี ซึ่งเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2 ที่เตรียมส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ครั้งใหม่จากไลน์การผลิตในประเทศไทย เจาะกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ชูจุดเด่นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่แตกต่างไม่เหมือนใคร ด้วยโกลบอลดีไซน์ที่ดูปราดเปรียว มาพร้อมขุมพลังไฮบริด HYBRID+ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน และมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างลงตัว หนึ่งเดียวในคลาสกับห้องโดยสารกว้างสุด ประหยัดกว่าด้วยน้ำมันหนึ่งถังวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ครบครัน การันตีความเชื่อมั่นด้วยผลการทดสอบโดยทีมวิศวกรชั้นนำระดับโลก โดย เอ็มจี เตรียมพร้อมประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้

ALL NEW MG3 HYBRID+ ยนตรกรรมที่จะเข้ามายกระดับมาตรฐานการเป็น “รถยนต์ไฮบริด”

ALL NEW MG3 HYBRID+ รถแฮทช์แบ็กไฮบริด 5 ประตู ยนตรกรรมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ล่าสุดจาก เอ็มจี ด้วย 8 โหมดการขับเคลื่อนของระบบ HYBRID+ ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ในคันเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบและตอบสนองต่อทุกการใช้งานรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ทำให้การขับขี่ในทุกช่วงความเร็วเป็นไปอย่างราบรื่นและลงตัว พร้อมคงจุดเด่นของการเป็น “รถแฮทช์แบ็กไฮบริดที่ประหยัดกว่า ขับสนุกกว่า และเร้าใจกว่า” ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยสัมผัสเฉกเช่นรถไฟฟ้าแต่ไปได้เร็วกว่าโดยไม่ต้องรอชาร์จไฟ จากขุมพลังไฮบริดใหม่ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) รองรับน้ำมัน E20 ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 8 วินาที ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT ให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม ลดเสียงรบกวน และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น มาพร้อมกับแบตเตอรี่ Lithium-Ion ที่มีความจุมากถึง 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และถือเป็นรถยนต์ไฮบริดที่คุ้มค่าที่สุดในตลาดโดยน้ำมันหนึ่งถังสามารถไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร

Screenshot

นอกจากนี้ ยังสามารถปรับโหมดควบคุมการขับขี่ได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Eco โหมด Standard และโหมด Sport ทั้งยังมีระบบ KERS เหมือนในรถไฟฟ้าที่สามารถปรับการใช้งานได้ 3 ระดับ และให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งครอบคลุมระบบความปลอดภัย ADAS เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System) ไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมยกระดับการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยกล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition

ในส่วนของการออกแบบ ยังคงสไตล์ความคล่องตัวปราดเปรียวในแบบฉบับของรถแฮทช์แบ็ก โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นรถที่มีความกว้างมากที่สุดในคลาส ด้วยขนาดความกว้างกว่า 1,797 มิลลิเมตร ดีไซน์ไฟหน้า LED แบบใหม่ Hunter Eye Headlamp ดวงตานักล่า ที่ดูคมชัด และโฉบเฉี่ยว พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบ รอบตัวถังเน้นความโค้งมน ภายในห้องโดยสารสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ เพิ่มความหรูหราด้วยภายในแบบทูโทนขาวสลับดำ เน้นความสะดวกในการใช้สอย สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสาร ทั้งเพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะการออกแบบห้องโดยสารที่โดดเด่นในเรื่องของพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา  (Leg room) โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ มีห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร อำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่และการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ด้วย หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และกุญแจรีโมทอัจฉริยะแบบ Smart Key

Screenshot

บทสรุปของนิยามบทใหม่ ภายใต้การรังสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพของ ALL NEW MG3 HYBRID+

ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นโกลบอลโมเดลที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ด้วยการเป็นยนตรกรรมที่คิดค้น พัฒนา และทดสอบโดยทีมวิศวกรระดับโลก และมีการปรับจูนทุกระบบเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานจริงบนท้องถนนทั่วโลก และพร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์ไฮบริดครั้งใหม่ที่จะยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อีกขั้น โดยมีสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้

•รวมระยะทางมากกว่า 14,000 กิโลเมตร กับการวิ่งทดสอบบนถนนจริง (Road Test) ในทวีปยุโรปเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนเต็มในช่วงฤดูร้อน และมากกว่า 10,000 กิโลเมตร ใน 2 เดือนเต็มของช่วงฤดูหนาว

•ระยะทางมากกว่า 5,000 กิโลเมตร ที่ทีมวิศวกรระดับโลกได้นำ ALL NEW MG3 HYBRID+

วิ่งทดสอบและปรับจูนในสถานการณ์ที่หลากหลาย (Multi-scenario Road Test and Tuning) โดยมีสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ และพื้นผิวบนท้องถนนที่แตกต่างกัน อาทิ สนามทดสอบกว่างเต๋อ (SAIC – GM Guangde Proving Ground) ในมณฑลอานฮุย (Anhui) สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ซึ่งเป็นสนามทดสอบรถทุกรุ่นของ SAIC MOTOR CORPORATION ก่อนปล่อยสู่ตลาด ตลอดจนทดสอบวิ่งบนถนนสาธารณะ (Public Road) บนทางไฮเวย์ รวมถึงการทดสอบวิ่งในสนามที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นอย่าง Hailar Ultra-cold Proving Ground ในเมืองไฮลาเออร์ ประเทศมองโกเลีย กับการทดสอบแบบ Extreme Cold Test ภายใต้อุณหภูมิ -30 °C 

Screenshot

ทั้งยังผ่านการทดสอบการวิ่งใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิร้อนจัด หรือ Extreme Hot Test ภายใต้อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึงกว่า 70°C ที่เมืองถูหลู่ฟาน มณฑลซินเจียง ซึ่งถือเป็นดินแดนที่ร้อนที่สุดในประเทศจีน

•มากกว่า 300 ครั้ง กับการขับทดสอบปรับจูนรับระบบช่วงล่าง

•มากกว่า 200 ชั่วโมง ในการทดสอบการปรับจูนพวงมาลัย บนเงื่อนไขทั้งในการจำลองสถานการณ์เหมือนจริง (Simulator) และการขับทดสอบบนท้องถนน (Real road) เพื่อศักยภาพในการควบคุมการขับขี่ ให้แม่นยำ รวดเร็ว และดีกว่ารถไฮบริดทั่วไป ด้วยความไวของพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้นถึง 5%

•มากกว่า 100 ครั้ง กับการจำลองโมเดลเสมือนจริง เพื่อพัฒนายางล้อที่มีประสิทธิภาพ

•สำหรับในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทีมวิศวกรได้นำ ALL NEW MG3 HYBRID+ วิ่งทดสอบ รวมระยะทางวิ่งแล้วกว่า 10,000 กิโลเมตร ทั่วทุกภูมิภาค

•ล่าสุดกับรางวัล “Affordable Hybrid of the Year” จาก Auto Express in UK 

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นรถยนต์ไฮบริดที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค และถือเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี ที่ได้นำเทคโนโลยีอย่าง ระบบ HYBRID+ สู่การรังสรรค์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานรถของลูกค้า ทั้งยังเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ให้กับตลาดยานยนต์โลก โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถูกวางให้เป็นหนึ่งในโมเดลยุทธศาสตร์ (Strategic Model) ประจำปีนี้ของ เอ็มจี ในการบุกและปลุกตลาด B-Segment ในเมืองไทยกับการเป็นยนตรกรรมที่จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างความประหยัดและสมรรถนะที่ทรงประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่เข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่ง เอ็มจี มีแผนเปิดราคาจัดจำหน่ายของ ALL NEW MG3 HYBRID+ อย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้”

BYD ร่วมกับ เรเว่ ออโตโมทีฟ เปิดตัว BYD SEALION 6

BYD ร่วมกับ เรเว่ ออโตโมทีฟ เปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ประเดิมยนตรกรรม Plug-in Hybrid เอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD รุ่นแรกที่ผลิตในไทย ชูเทคโนโลยี DM-i สุดล้ำ มอบประสบการณ์ขับขี่เสมือนรถ EV ขยายตลาดตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม

ระยอง – 8 กรกฎาคม 2567 – บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ เปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid รถยนต์ C-SUV ขนาดใหญ่ 5 ที่นั่ง 5 ประตู ที่มาพร้อมสมรรถนะเหนือชั้น มอบความสะดวกสบายระดับพรีเมียมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะรอบคัน ประเดิมเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกจาก BYD ที่ผลิตโดยโรงงานบีวายดีประเทศไทย เปิดจองสิทธิ์แล้ววันนี้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ BYD ทั่วประเทศในราคาคาดการณ์จำหน่าย รุ่น Dynamic 939,900 บาท พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยสัมผัสประสบการณ์เสมือนขับรถ EV ได้ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป

BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid มาพร้อมเทคโนโลยี DM-i อันล้ำสมัย ผสานจุดแข็งของรถยนต์ไฟฟ้า (BEVs) และ รถยนต์ไฮบริด (HEV) เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงพร้อม เครื่องยนต์เบนซินที่พัฒนามาเพื่อรถยนต์ Plug-In Hybrid โดยเฉพาะ สามารถสลับการทำงานระหว่างโหมดไฟฟ้าและโหมดไฮบริดได้อย่างชาญฉลาด โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อนจากมอเตอร์เป็นหลัก สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ นุ่มนวล และยังมอบความอุ่นใจตลอดการเดินทางทั้งสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวันและการเดินทางเพื่อการพักผ่อนระยะทางไกล ด้วยเครื่องยนต์เบนซินประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานเสริมให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ และเพื่อประสิทธิภาพการส่งกำลังสูงสุดเครื่องยนต์จะทำงานเพื่อการขับเคลื่อนโดยตรงเมื่อต้องการกำลังขับเคลื่อนสูงสุด เช่น การเร่งแซง หรือเมื่อแบตเตอรี่มีระดับพลังงานต่ำ เป็นต้น เทคโนโลยี DM-i เอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD ไม่เพียงมอบการขับขี่ที่มีสมรรถนะสูงเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างดีเยี่ยม และลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ของ BYD “Cool the Earth By One Degree”

การนำร่องผลิตรถยนต์ BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ที่โรงงานบีวายดีประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 600 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จังหวัดระยอง เป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ BYD ที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งระดับชุมชนและระดับประเทศ โดย BYD ต้องการให้โรงงานซึ่งมีกำลังการผลิตสูงสุด 150,000 คันต่อปีแห่งนี้เติบโตเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP และยังมีแผนในการสร้างงานให้กับคนไทยกว่า 10,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ BYD ยังมีแผนการพัฒนาและการให้ความรู้ระยะยาวกับสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก และวิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ทำเข้ามาเพื่อพัฒนาตนเองและศึกษาความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันทันสมัย รวมถึงยังให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมซึ่งถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว ซึ่งไม่เพียงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทานของประเทศ แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก นำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นายเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดีไทยแลนด์ จํากัด กล่าวว่า “ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมยานยนต์ที่โดดเด่นที่สุดและมีโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน สะท้อนจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเกือบ 40 เท่าในปี พ.ศ. 2566  แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง การเปิดโรงงานบีวายดีประเทศไทย ที่จังหวัดระยองเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม เป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำว่า BYD ไม่เพียงมีเป้าหมายในการผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังต้องการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ สร้างอาชีพและรายได้ให้กับชาวไทย ตลอดจนส่งต่อองค์ความรู้และการเติบโตร่วมกันในระยะยาว ด้วยประสบการณ์อันยาวนานของ BYD ในวงการยานยนต์พลังงานใหม่ เทคโนโลยี DM-i ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของเราจึงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และส่งผลให้ BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ได้การตอบรับอย่างท่วมท้น ด้วยยอดขายทั่วโลกทะลุ 1 ล้านคันภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีนับจากวันเปิดตัว การันตีความเป็นเลิศด้านสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ เราเชื่อมั่นว่า BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริดจาก BYD รุ่นแรกที่ผลิตและเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย จะเพิ่มความหลากหลายให้กับตลาดยานยนต์พลังงานใหม่และครองใจผู้บริโภคชาวไทยเช่นเดียวกัน”

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “เรเว่ ออโตโมทีฟ ยินดีที่ได้ร่วมผนึกพลังกับ BYD ในการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น กับการเปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid รถยนต์ C-SUV ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีไฮบริดล้ำสมัยอย่าง DM-i ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะสำหรับการขับขี่ระยะไกล ด้วยเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่เสมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครบครันด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยว นวัตกรรมล้ำสมัย และประสิทธิภาพในการช่วยลดการปล่อยคาร์บอน สอดรับกับวิสัยทัศน์ของกลุ่มธุรกิจเรเว่ที่มุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต ”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “การเปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ในประเทศไทย เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเรเว่ ออโตโมทีฟ ในการนำเสนอยานยนต์พลังงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตรงกับไลฟ์สไตล์การขับขีี่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบริการทั้งก่อนและหลังการขายให้ดียิ่งขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับแทนคำขอบคุณสำหรับความไว้วางใจและการสนับสนุนที่ลูกค้าชาวไทยมอบให้กับเรเว่ ออโตโมทีฟและบีวายดีเสมอมา โดยผู้ที่สนใจน้องใหม่จาก BYD รุ่นนี้ สามารถสั่งจองได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ BYD ทั่วประเทศ ก่อนสัมผัสประสบการณ์เสมือนขับรถไฟฟ้า 100% ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป”

BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid เป็นรถ C-SUV ปลั๊กอินไฮบริดที่มาพร้อมดีไซน์ภายนอกโดดเด่นสะกดทุกสายตา รูปทรงกระจังหน้าแบบไร้ขอบ โค้งมนคล้ายหยดน้ำ ดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวภายใต้คอนเซ็ปต์ OCEAN X โฉบเฉี่ยวด้วยโคมไฟแบบตัว C เสริมความปราดเปรียวด้วยเส้นสายด้านข้างที่ลากยาวต่อเนื่องถึงด้านหลัง ตกแต่งด้วยแถบอลูมิเนียม เพิ่มความพรีเมียมสะดุดตาเมื่อวิ่งบนท้องถนน ยนตรกรรมเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid รุ่นนี้ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) พร้อมแบตเตอรี่ขับเคลื่อนขนาด 18.3 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วยระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบ MacPherson Strut เสริมความนุ่มนวลและการยึดเกาะถนนอย่างสมบูรณ์แบบ ผสานการทำงานกับระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบ Multi-link ยกระดับความนุ่มนวลและความสบายระหว่างการเดินทาง เก็บเสียงรบกวนจากภายนอกให้ห้องโดยสารเงียบสงบตลอดเส้นทาง

นอกจากนี้ BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ยังมาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอย่างครบครันและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร อาทิ

•ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและถุงลมนิรภัยด้านข้าง – ฝั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า

•ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ด้านหน้าและด้านหลัง

•กล้องมองรอบคัน 360 องศา

•เซนเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหน้าและด้านหลังรวม 6 จุด

•ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ (AVH)

•ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (CC)

•ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัจฉริยะ (HBB)

•ระบบช่วยกระจายแรงเบรกอัจฉริยะ (HBA)

•หน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่แบบ LCD ขนาด 12.3 นิ้ว

•เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง

•เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

•หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดีย ปรับหมุนด้วยไฟฟ้า ขนาด 12.8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto™

•ลำโพง 9 ตำแหน่ง

•BYD Digital Key

•พอร์ตชาร์จ USB Type C 2 จุด และ Type A 2 จุด

•ที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย 2 ตำแหน่ง

BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid รุ่น Dynamic มาพร้อมสีภายนอกทั้งหมด 2 สี Quantum Black และ Horizon White พร้อมให้ลูกค้าชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ BYD ทั่วประเทศ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook BYD RÊVER Thailand

นิสสัน ฮอนด้า มิตซูบิชิ ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือเชิงกลยุทธ์

นิสสัน ฮอนด้า และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ลงนามบันทึกความเข้าใจสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ผนึกจุดแข็ง เริ่มศึกษาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์

กรุงเทพฯ – 6 สิงหาคม 2567 : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประกาศร่วมกันว่า ทั้ง 3 บริษัทได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมกันศึกษากรอบความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะและเทคโนโลยียานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยอ้างอิงจากข้อตกลงที่ลงนามโดยนิสสัน และ ฮอนด้า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม

นิสสัน และ ฮอนด้า กำลังร่วมกันเร่งมือริเริ่มโครงการต่างๆ ที่มุ่งสู่เป้าหมายในด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนและสร้างสรรค์สังคมที่มีอุบัติเหตุจราจรเป็นศูนย์ โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถร่วมมือกันพัฒนาในด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า และการพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ ทั้งนี้ การหารือร่วมกันกำลังดำเนินไปในขอบเขตระดับกว้าง

เพื่อเร่งกระบวนการดังกล่าว จึงจำเป็นต้องสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่แต่ละบริษัทได้พัฒนาขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้ามาเสริมความร่วมมือบนพื้นฐานของกรอบการศึกษาที่นิสสัน และ ฮอนด้า กำลังพิจารณาร่วมกัน ไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนความรู้ และจุดแข็งใหม่ๆ แต่ยังสร้างพลังร่วม อันเกิดจากการร่วมมือกันของทั้ง 3 บริษัท เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกัน

ความคิดเห็นของ มร.มาโกโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร นิสสัน “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ร่วมกันระหว่างฮอนด้า และ นิสสัน โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว ทั้งยังร่วมมือเป็นพันธมิตรกับนิสสัน มาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเราคาดหวังว่า การที่ทั้ง 3 บริษัท ได้ผนึกกำลังกันในครั้งนี้ จะนำไปสู่การสร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ที่สร้างคุณค่าได้มากยิ่งขึ้น โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอันเปี่ยมเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแต่ละบริษัท เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างและหลากหลายของลูกค้า”

ความคิดเห็นของ มร.โทชิฮิโระ มิเบะ ผู้อำนวยการ ประธานกรรมการบริหาร และตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร ฮอนด้า “อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ของรอบศตวรรษนี้ เราคาดหวังว่า การผนึกเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่นิสสัน และ ฮอนด้า ได้พัฒนาขึ้น และผสานเข้ากับจุดแข็งและประสบการณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส จะช่วยให้เราสามารถเอาชนะความท้าทายต่างๆ ในระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมกับหนุนให้เราก้าวขึ้นเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคม”

ความคิดเห็นของ มร.ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น “การหารือระหว่างนิสสัน และ ฮอนด้า เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกัน ได้ก้าวหน้าไปมาก และเราได้ตัดสินใจเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือนี้ ในปัจจุบัน การผนึกกำลังร่วมกันนับเป็นสิ่งจำเป็นของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี อาทิ เทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีอัจฉริยะ ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยความร่วมมือระหว่างทั้ง 3 บริษัท เราจะสามารถค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ๆ ได้ในหลากหลายมิติ”

ฟอร์ดส่ง “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” โชว์แกร่งในเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี่ 2024

ฟอร์ด ประเทศไทย ประกาศความพร้อมสนับสนุนทีมฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต พร้อมส่งฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ จำนวน 2 คัน ลุยศึกเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี่ 2024 เปิดตัวนักแข่งมากประสบการณ์ แสดงพลังความ “แกร่งจริงทุกคัน ดุดันทุกสถานการณ์” มุ่งชิงชัยในการแข่งขันเส้นทางสุราษฎร์ธานี-กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 12-17 สิงหาคม 2567

ในการแข่งขันปี 2024 นี้ ฟอร์ดและฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต ร่วมกันมุ่งมั่นพัฒนารถแข่งฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ หมายเลข 118 และหมายเลข 131 ลงแข่งรุ่น T2A หรือโปรดักชัน เอเชีย ซึ่งเป็นรุ่นสำหรับรถที่ผลิตจากโรงงานในเอเชียเช่นเดียวกับในปี 2023 พร้อมส่งทีมแข่งนำโดยไมเคิล ฟรีแมน ผู้อำนวยการทีมมากประสบการณ์ในการแข่งขันทางเรียบ และไชยยา ชมมาลี ผู้นำทางมือฉมังในวงการแรลลี่ ซึ่งเคยได้ลงสนามร่วมกันเมื่อปีที่แล้ว มาลงแข่งในรถฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ หมายเลข 118 ในครั้งนี้

ทีมแข่งยังได้เปิดตัวรถแข่งคันใหม่ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ หมายเลข 131 พร้อมนักแข่งใหม่ ได้แก่ วุฒิชัย ศรแดง นักแข่งแรลลี่มืออาชีพ ดีกรีแชมป์ถ้วยพระราชทานที่มากความสามารถด้านการนำทางมาตั้งแต่วัยเยาว์ จับคู่กับผู้นำทางคือ ชรินทร์ หาญสูงเนิน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการแข่งขันมานานกว่า 30 ปี

“ปีนี้เรามาพร้อมความมุ่งมั่นและประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากปีที่แล้ว” มร.ไมเคิล ฟรีแมน กล่าว “เรามั่นใจว่าสมรรถนะของรถฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ทั้ง 2 คัน และการเสริมทัพครั้งสำคัญด้วย 2 นักแข่งมากฝีมือนี้ จะทำให้ทีมฟอร์ด และฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต พิชิตเส้นทางที่ท้าทายในปีนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม”

ฟอร์ดได้ยกระดับสมรรถนะของรถแข่งฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ให้แกร่งกว่าที่เคย โดยมุ่งพัฒนาการยึดเกาะถนน ความทนทาน และการตอบสนองต่อเส้นทางสมบุกสมบันให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น ทีมแข่ง และวิศวกรจากโรงงานของฟอร์ดในประเทศไทย ได้นำความชำนาญอันโดดเด่นของแต่ละฝ่ายมาร่วมกันพัฒนารถและได้รับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ และทักษะจากทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์

นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมด้านอะไหล่และการบำรุงรักษา โดยมีทีมช่างเทคนิคมืออาชีพและหน่วยบริการเคลื่อนที่ฟอร์ด (Mobile Service Vehicle) มาให้การสนับสนุนตลอดการแข่งขัน เพื่อให้มั่นใจว่ารถแข่งทั้ง 2 คันจะฝ่าฟันทุกบททดสอบที่เต็มไปด้วยความท้าทายในสนามแข่งได้อย่างมีประสทธิภาพสูงสุด

“การส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี่ 2024 เป็นปีที่ 2 ด้วยรถแข่งฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ถึง 2 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาศักยภาพด้านมอเตอร์สปอร์ต และแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในสมรรถนะของรถกระบะพันธุ์แกร่งของฟอร์ด” นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวและว่า “ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้แสดงถึงความทนทานและสมรรถนะอันเหนือชั้นของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ให้ลูกค้าฟอร์ด ผู้ชื่นชอบการแข่งขันแรลลี่ และคอออฟโรดตัวจริงได้เห็นอีกด้วย”

สมาคม สรยท. เข้าพบแนะนำคณะกรรมการบริหารชุดใหม่กับผู้บริหารไทยฮอนด้า

สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย เข้าพบแนะนำคณะกรรมการบริการชุดใหม่กับผู้บริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด

นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ (Thailand Automotive Journalists Association : TAJA) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ เข้าพบนายนคร วิมลจิตรสอาด ผู้จัดการทั่วไป สายงานสื่อสารการตลาด และทีมสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด เพื่อแนะนำคณะกรรมการบริหารชุดใหม่วาระปี 2567-2569 แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทิศทางตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย พร้อมทั้งพูดคุยแนวทางประสานความร่วมมือการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างทักษะด้านการขับขี่รถจักรยานยนต์ให้กับสมาชิกตามนโยบายของสมาคมฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต พร้อมลุยศึก เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต พิสูจน์สมรรถนะรถแข่ง ไทรทัน แรลลี่คาร์ ก่อนตะลุยศึก เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024 ทวงบัลลังก์แชมป์ในรอบ 2 ปี

                               ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต

กรุงเทพฯ – 7 สิงหาคม 2567 : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ประกาศความพร้อมของทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ภายใต้การสนับสนุนด้านเทคนิคจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เตรียมลงสู้ศึกการแข่งขันเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024 หรือ เอเอ็กซ์ซีอาร์ 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11 – 17 สิงหาคมนี้ บนเส้นทางเขตภาคใต้และภาคกลางของประเทศไทย ด้วยรถกระบะไทรทัน1 จำนวน 4 คัน  เพื่อทวงตำแหน่งแชมป์กลับคืนอีกครั้งในรอบ 2 ปี

ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ได้เตรียมพร้อมในด้านสมรรถนะและความแข็งแกร่งของรถแข่งไทรทัน แรลลี่คาร์ บนเส้นทางออฟโรด ด้วยระยะทาง 800 กิโลเมตรในประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทีมแข่ง ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ ความปราดเปรียวคล่องตัว และการควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะระบบช่วงล่างด้านหลังที่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น โดยในวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา หรือ 5 วัน ก่อนเริ่มการแข่งขันเอเอ็กซ์ซีอาร์ ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ได้ทดสอบสมรรถนะของรถที่จะใช้ขับแข่งอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกองค์ประกอบของตัวรถนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์และพร้อมตะลุยศึกครั้งนี้อย่างเต็มที่

“เราได้พัฒนาสมรรถนะการขับขี่ของรถไทรทัน และขยายความกว้างของช่วงล้อ ทั้งยังปรับปรุงระบบกันสะเทือนหลังแบบจัดเต็ม โดยนำจุดเด่นของรถรุ่น ปาเจโร ซึ่งเคยคว้าแชมป์ดาการ์ แรลลี่ มาปรับใช้ในการแข่งขันครั้งนี้” มร. ฮิโรชิ มาซูโอกะ ผู้อำนวยการ ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต กล่าว “ผลลัพธ์ที่ได้คือ รถแข่ง ไทรทัน แรลลี่คาร์ สามารถเร่งความเร็วได้เต็มสูบ แม้ในสเตจที่ต้องใช้ความเร็วสูง เช่น ขับขี่ด้วยความเร็วที่สูงกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยตัวรถได้รับการพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังให้สมรรถนะการควบคุมรถที่ดียิ่งขึ้นตามที่เราต้องการ โดยเฉพาะบนสภาพถนนที่สมบุกสมบัน ซึ่งในปีนี้เรามีรถที่เข้าแข่งขันเพิ่มขึ้นจาก 3 คันเป็น 4 คัน และผมมั่นใจว่านักแข่งและผู้นำทางจะสามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากเราจะมีเป้าหมายทวงคืนบัลลังก์แชมป์ในรอบ 2 ปีแล้ว เรายังต้องการสานต่อธรรมเนียมปฏิบัติของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่มุ่งเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตอันหฤโหด มาใช้ต่อยอดในการพัฒนารถยนต์ต่อไป”

ภาพรวมของการแข่งขัน “เอเอ็กซ์ซีอาร์ 2024”

การแข่งขันเอเอ็กซ์ซีอาร์ในปีนี้ มีรถเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 67 คัน แบ่งเป็นประเภทรถยนต์ 46 คัน ประเภทรถจักรยานยนต์ 19 คัน และประเภทไซด์คาร์ 2 คัน พิธีเปิดการแข่งขันจะจัดขึ้นในวันที่ 11 สิงหาคม ณ หอนาฬิกา ใจกลางเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทางภาคใต้ของไทย จากนั้น การแข่งขัน Leg 1 อย่างเต็มรูปแบบ จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 12 สิงหาคม ตามด้วยการแข่งขัน Leg 2 ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดของการแข่งขันทั้งหมด จะเริ่มต้นพิสูจน์ความแกร่งสุดท้าทายจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปยังอำเภอหัวหิน ตะลุยผ่านเส้นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ จากนั้นการแข่งขัน Leg 3 จะเป็นเส้นทางที่ต้องใช้ความเร็วสูงบนทางฝุ่นเรียบในอำเภอหัวหิน ตามด้วยการแข่งขัน Leg 4 ซึ่งจะฝ่าเส้นทางลาดชันขึ้นลงเขา มุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนเข้าสู่การแข่งขัน Leg 5 ซึ่งวิ่งผ่านพื้นที่การเกษตร ที่มีลักษณะเป็นพื้นราบแต่มีทัศนวิสัยจำกัด ปิดท้ายด้วยการแข่งขัน Leg 6 ที่จะมุ่งเข้าสู่เส้นชัย ณ สกายวอร์ค กาญจนบุรี ซึ่งเป็นสะพานกระจกใส ที่เพิ่งเปิดตัวในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เมื่อปี 2565

รถสนับสนุน ของทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต

สำหรับการแข่งขันในปี 2024 ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต มีรถสนับสนุนทั้งหมด 6 คัน ได้แก่ เดลิกา ดี:5 จำนวน 4 คัน เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี 1 คัน และเดลิกา มินิ 1 คัน

เดลิกา ดี:5  เป็นรถมินิแวนอเนกประสงค์ที่มาพร้อมตัวถังอันแข็งแกร่งด้วยโครงสร้างนิรภัยรอบคันแบบ Rib-Bone และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ขับขี่คล่องตัวปราดเปรียว ด้วยสมรรถนะการควบคุมรถที่ดีเยี่ยมในสภาพอากาศและสภาพถนนหลากหลายรูปแบบ โดย มร. ฮิโรชิ มาซูโอกะ ผู้อำนวยการ ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต จะขับขี่รถเดลิกา ดี:5 จำนวน 1 คัน เพื่อสำรวจเส้นทางการแข่งขัน โดยตัวรถได้รับการติดตั้งแผงอลูมิเนียมป้องกันเครื่องยนต์ ทั้งยังยกสูงขึ้นจากเดิม 20 มิลลิเมตรโดยประมาณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถบนเส้นทางสมบุกสมบัน

เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เป็นรถยนต์รุ่นแฟล็กชิพของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ได้ผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification Technology) และเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWC (All-wheel Control Technology) เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์การใช้งานและการขับขี่ที่ทรงพลังในสภาพอากาศและสภาพถนนที่หลากหลายตามแบบฉบับรถเอสยูวี พร้อมมีอัตราเร่งที่นุ่มนวลและเปี่ยมด้วยพลัง มอบความปลอดภัยและไว้วางใจได้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

เดลิกา มินิ  เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดเล็กหลังคาสูงแบบเคคาร์2 (Kei-car) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เดลิกา มินิแวน ซึ่งผสานห้องโดยสารที่กว้างขวางเข้ากับสมรรถนะการขับขี่ที่สะดวกสบาย ปลอดภัย มั่นใจได้แม้ขณะขับขี่บนถนนทางกรวดและถนนลูกรัง

รถสนับสนุนทุกคันจะติดตั้งล้ออัลลอย CRAG T-GRABIC II ของแบรนด์ Work (เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ติดตั้งล้อ Work Emotion M8R) และยางออฟโรด GEOLANDAR ของแบรนด์ Yokohama ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นไม่ว่าจะเป็นทางฝุ่น หรือทางโคลน เพื่อให้รถทุกคันสามารถตะลุยผ่านเส้นทางการแข่งขันแรลลี่ได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ รถสนับสนุนทั้ง 6 คัน ยังได้รับการตกแต่งภายนอกเช่นเดียวกับรถแข่ง ไทรทัน แรลลี่คาร์ ที่โดดเด่นด้วยสีแดงที่แสดงถึงพลังอันฮึกเหิม พร้อมด้วยกราฟิกลวดลายดินฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย และสีเทาเมทัลลิก เพื่อสะท้อนถึงชั้นหินที่หนักแน่นและแข็งแกร่ง

การรายงานผลการแข่งขันประจำวัน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จะรายงานความเคลื่อนไหวของการแข่งขันเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่วันแรกของการแข่งขัน คือ วันที่ 11 สิงหาคม ไปจนถึงการแข่งขันช่วงสุดท้ายในวันที่ 17 สิงหาคม ทางเว็บไซต์เอเอ็กซ์ซีอาร์ของบริษัทฯ

[เว็บไซต์ของการแข่งขันเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ สำหรับสื่อมวลชน]

1. จำหน่ายในชื่อ L200 ในบางประเทศ

2. เคคาร์ เป็นประเภทรถยนต์ที่มีขนาดเล็กในประเทศญี่ปุ่น

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดี ต้อนรับ “วิว กุลวุฒิ”

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดี ต้อนรับ “วิว กุลวุฒิ” นักกีฬา Global Team Toyota Athlete ทัพนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย และโค้ช กลับสู่ประเทศไทยด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมแสดงความยินดี ต้อนรับ “วิว กุลวุฒิ” นักกีฬา Global Team Toyota Athlete (GTTA) / ทัพนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย และโค้ช กลับสู่ประเทศไทยด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีความยินดีอย่างภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน และพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันในประเทศไทย ผ่านการเป็นการเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติในประเทศไทย สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้แฟนกีฬาแบดมินตันไทยได้ชม และเชียร์ทัพนักกีฬาไทย พร้อมสร้างผลงานให้กับนักกีฬาระดับโลกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสานต่อแนวคิด Start Your Impossible ชวนคนไทยขับเคลื่อนสู่ทุกความเป็นไปได้ไปด้วยกัน

Start Your Impossible หรือ “เมื่อเริ่มลงมือทำ ทุกสิ่งก็เป็นไปได้” คือจิตวิญญาณอันแน่วแน่ของโตโยต้าที่ประกาศจุดยืนเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2560 เพื่อแสดงถึงความตั้งใจในการมุ่งมั่นจากบริษัทยานยนต์ สู่การเป็นองค์กรแห่งการขับเคลื่อนสังคมในทุกแง่มุม โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนที่สร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนบนพื้นฐานความเชื่อว่า ร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ

ในประเทศไทย โตโยต้าได้ส่งต่อแนวคิดดังกล่าวผ่านเส้นทางสู่การประสบความสำเร็จของ นักกีฬาทีมชาติไทย โดยเริ่มต้นจากการแข่งขันโอลิมปิก และพาราลิมปิกที่โตเกียว โดยมี น้องเทนนิส เทควันโด (เหรียญทอง) / น้องเมย์ รัชนก แบตมินตัน / โปรเมย์ กอล์ฟ / คุณประวัติ วะโฮรัมภ์ วีลแชร์ เรซซิ่ง (เหรียญเงิน) / น้องปิ่น อัญชญา ว่ายน้ำพาราลิมปิก

ล่าสุด สำหรับการแข่งขันโอลิมปิก และพาราลิมปิกที่ปารีส น้องวิว – กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (เหรียญเงิน) และคุณกร – พงศกร แปยอ วีลแชร์ เรซซิ่ง ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมเป็นหนึ่งใน Global Team Toyota Athlete หรือ GTTA ซึ่งเป็นผลมาจากการทุ่มเทแรงกาย และแรงใจในการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง พร้อมทั้งเริ่มต้นทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้… ให้เป็นไปได้

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save