- Advertisement -
31.5 C
Bangkok
Home Blog Page 61

CHANGAN ขานรับนโยบาย EV3.5

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากลับมาคึกคักอีกครั้ง CHANGAN ขานรับนโยบาย EV3.5 นำร่องลงนาม MOU กับกรมสรรพสามิต สานต่อมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ (ที่ 3 จากซ้าย) อธิบดีกรมสรรพสามิต และ นายเซิน ซิงหัว (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ และ ประธานกรรมการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมลงนามข้อตกลง MOU ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าฯ ระยะที่ 2 หรือ EV3.5 หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าฯ ระยะที่ 2 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดย CHANGAN ผู้ผลิตและนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้า DEEPAL เป็นผู้ประกอบการรายแรกที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ดังกล่าว โดยเป็นมาตรการที่มีผลบังคับใช้ในปี 2567 – 2570 ที่จะช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่องสู่เป้าหมาย 30@30 ของรัฐบาล ทั้งนี้ทางบริษัท CHANGAN มีความยินดีที่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย EV3.5 ของรัฐบาล และพร้อมจำหน่าย รถยนต์ DEEPAL S07 และ รถยนต์ DEEPAL L07 ณ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เรเว่ ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากแคมเปญ Big Thanks

เรเว่ ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากแคมเปญ “Big Thanks” มอบรถยนต์ BYD รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท

บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากแคมเปญ “Big Thanks” กิจกรรมสุดพิเศษซึ่งจัดขึ้นในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 เพื่อขอบคุณลูกค้าสำหรับการสนับสนุนและความไว้วางใจที่มอบให้กับกลุ่มธุรกิจเรเว่และแบรนด์รถยนต์ BYD ตลอดมา โดยเตรียมส่งมอบรางวัลเป็นรถยนต์ BYD จำนวน 3 คัน มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท ให้แก่ผู้โชคดีภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 พร้อมเชิญชวนลูกค้าที่ซื้อและรับรถยนต์รุ่น ATTO 3 ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษจาก BYD ATTO 3 Run-out Campaign ภายในวันพุธที่ 31 มกราคม 2567

พิธีการประกาศรายชื่อผู้โชคดีที่เข้าร่วมแคมเปญ “Big Thanks” ได้รับเกียรติจาก มร. หลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด มร.เบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดีไทยแลนด์ จํากัด นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นายธัชพล ภัทรไชยประภา ประธานบริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ พร้อมด้วยสักขีพยานกลุ่มธุรกิจเรเว่ นางนันทนา คนขยัน รองประธานบริหารอาวุโสฝ่ายการเงิน กลุ่มธุรกิจเรเว่ และตัวแทนสื่อมวลชน นายอาณัติ สุทธิบุตร และนายสิโรตม์ เพ็ชรจำเริญสุข ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ สำนักงานใหญ่กลุ่มธุรกิจเรเว่ อาคารโรงแรมสยาม แอท สยาม

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “กลุ่มธุรกิจเรเว่ขอแสดงความยินดีแก่ผู้โชคดีในแคมเปญนี้ และขอขอบคุณทุกการสนับสนุนและความไว้วางใจอย่างท่วมท้นจนเราก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของไทย การันตีด้วยยอดจดทะเบียนรถยนต์ BYD ถึง 30,467 คันซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในปี 2566 ที่ผ่านมา โดยกลุ่มธุรกิจเรเว่พร้อมแล้วที่จะก้าวเข้าสู่ปี 2567 อย่างแข็งแกร่งพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่จะเดินหน้าวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ‘NEW FUTURE YOUR WAY’ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ NEV Nation ควบคู่ไปกับการเติมเต็มความสมบูรณ์ของ NEV Ecosystem อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมด้วยเครือข่ายธุรกิจใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการเชิงธุรกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ขนาดใหญ่ ตลอดจนบริการที่พร้อมสนับสนุนทุกความเป็นไปได้ทั้งด้านการเงินและสินเชื่ออย่างครบวงจร เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของไทยสู่การเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างแท้จริง”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “กลุ่มธุรกิจเรเว่มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ขอบคุณลูกค้าของเราผ่านแคมเปญ ‘Big Thanks’ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อขอบคุณลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD ทุกรุ่นตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 – 31 ธันวาคม 2566 และร่วมกรอกแบบสอบถามผ่านทาง RÊVER Application เพื่อรับสิทธิ์ร่วมลุ้นเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า BYD จำนวน 3 คัน โดยกลุ่มธุรกิจเรเว่จะยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบครันด้วยนวัตกรรมด้านความปลอดภัยทั้งตัวยานยนต์และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำของแบตเตอรี่ บริการด้านการขายและหลังการขายที่ครบวงจร เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจตลอดจนยกระดับประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากกลุ่มธุรกิจเรเว่ และแบรนด์ BYD อย่างรอบด้านต่อไป”

ผู้โชคดีจากแคมเปญ “Big Thanks” ได้แก่

•คุณอาทิตย์ ภัทรพูนสิน ได้รับ BYD SEAL รุ่น RWD DYNAMIC 1 คัน มูลค่า 1,325,000 บาท

•คุณกิตติศักดิ์ เที่ยงธรรม ได้รับ BYD ATTO 3 รุ่น STANDARD Range 1 คัน มูลค่า 1,099,900 บาท

•คุณทฤตมน ธีรธรรมธรณ ได้รับ BYD DOLPHIN รุ่น STANDARD Range 1 คัน มูลค่า 699,999 บาท

ทั้งนี้ เรเว่ ออโตโมทีฟ ขอเชิญชวนลูกค้าที่ซื้อและรับรถยนต์รุ่น ATTO 3 ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 – 31 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ดำเนินการจดทะเบียนให้แล้วเสร็จ พร้อมลงทะเบียนร่วมแคมเปญ BYD ATTO 3 Run-out Campaign ภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 เท่านั้น  เพื่อรับสิทธิประโยชน์มากมายมูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท  อาทิ เงินคืน 100,000 บาท  Smart Home Charger ยี่ห้อ ABB พร้อมบริการติดตั้ง และแพคเกจ RÊVER Care โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ที่ https://www.reverautomotive.com/atto3-runout-campaign 

วอลโว่ ประกาศความสำเร็จ ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้นในปี 2023

วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จด้วยยอดขายรถในประเทศภายในปี 2023 เพิ่มขึ้น 24% โดยการเติบโตดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนจากยอดขายรถไฟฟ้าไลน์อัพ Pure Electric ที่ 56% จากยอดขายทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ประกาศแผนกลยุทธ์เพื่อสานต่อเป้าหมายในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และเพื่อเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทผู้จำหน่ายรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบในประเทศไทยภายในปี 2025

•คุณถนอมศักดิ์ สันทนาประสิทธิ์ – ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริหารประสบการณ์ลูกค้า บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้าย)

•คุณคริส เวลส์ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด (ที่สองจากซ้าย)

•คุณภัทรพงษ์ อชะปาละศิริ – ผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด (ที่สองจากขวา)

•คุณนิชานันท์ ปัญญา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด (ขวา)

เติบโตต่อเนื่อง อย่างมั่นคง

ความสนใจในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้า Pure Electric ของวอลโว่ ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายเติบโตขึ้นกว่า 56% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งการเติบโตดังกล่าวนำโดยรถไฟฟ้ารุ่นยอดนิยมอย่าง Volvo XC40 Recharge Pure Electric นอกจากนี้ รถไฟฟ้ารุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปในปีที่ผ่านมาอย่าง Volvo EX30 ก็ได้รับกระแสความสนใจจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถไฟฟ้าของวอลโว่ในปี 2024 ซึ่งการเติบโตที่ต่อเนื่องของรถไฟฟ้าไลน์อัพ Pure Electric ในปี 2022 (เติบโต 35%) และปี 2023 ตอกย้ำถึงความสำเร็จของบริษัทฯในทิศทางการจำหน่ายเพียงรถไฟฟ้าเท่านั้นภายในปี 2025

สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์รถ Plug-in Hybrid ก็ยังคงได้รับความนิยม โดยมีสัดส่วนยอดขายคิดเป็น 44% จากยอดขายทั้งหมด นำโดย Volvo XC60 Recharge Plug-in Hybrid เป็นรุ่นที่มียอดขายสูงสุดในผลิตภัณฑ์กลุ่มเดียวกัน

มร.คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน ตอกย้ำให้เห็นว่าเราเดินทางมาในทิศทางที่ถูกต้อง ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการมีเป้าหมายและเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ปี 2024 ถือเป็นอีกปีที่สำคัญของวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ที่จะสานต่อจุดยืนในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่การเป็นยานยนต์ไฟฟ้า”

สานต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างไม่หยุดนิ่ง

ในประเทศไทย วอลโว่ คาร์ ได้วางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่เป้าหมายให้สำเร็จภายในปี 2025 ได้แก่ ตั้งเป้าการเติบโตทางด้านยอดขายอย่างต่อเนื่องหลังการแพร่ระบาด, การเริ่มให้บริการซ่อมและบำรุงรักษารถไฟฟ้าแบบเคลื่อนที่ หรือโมบาย เซอร์วิสทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ในส่วนของแผนปฏิบัติการเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมทางสภาพอากาศ บริษัทฯ ก็ได้มีการประกาศเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (C02) โดยเฉลี่ยร้อยละ 70% ต่อคัน ภายในปี 2025

2024 ก้าวสู่เส้นทางการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่จำหน่ายเพียงรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบในประเทศไทยภายในปี 2025 วอลโว่ได้วางแผนเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรมการออกแบบ และเทคโนโลยีประมวลผล คอร์ คอมพิวติ้ง (Core Computing) เจนเนเรชันล่าสุด เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และมอบความปลอดภัยแห่งอนาคตให้แก่ผู้ใช้รถ โดยรถไฟฟ้ารุ่นที่จะเปิดตัวในปีนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้าระดับพรีเมียมของวอลโว่ในปัจจุบันที่มีอยู่แล้วอย่าง Volvo XC40, C40 และ EX30 ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบริษัทผู้จำหน่ายรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

ในเจตนารมณ์ด้านการสร้างความยั่งยืน วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้เริ่มโครงการติดตั้งหลังคาโซลาร์ ณ คลังสินค้า Volvo Car Thailand Central Distribution & Training Center บางนา ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นพื้นที่สำหรับเก็บชิ้นส่วนอะไหล่และอุปกรณ์ล้ำสมัย ทั้งเป็นศูนย์บริการตรวจเช็ครถตามขั้นตอนโดยละเอียดก่อนส่งมอบแก่ลูกค้า ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2024 พื้นที่กว่า 23,331 ตารางเมตร ของคลังเก็บสินค้าแห่งนี้จะสามารถปฎิบัติการณ์ได้ด้วยพลังงานจากแหล่งไฟฟ้าหมุนเวียนแบบ 100%

นอกจากนี้ วอลโว่ยังมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์ซ่อมและรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศ โดยเริ่มต้นด้วยโครงการรีไซเคิลแบตเตอรี่ผ่านความร่วมมือกับ TES ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจากประเทศสิงคโปร์ โดยโครงการเหล่านี้ไม่เพียงมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน แต่ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องตลอดช่วงอายุการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership) รถไฟฟ้าและรถ Plug-in Hybrid ของวอลโว่

และด้วยฐานลูกค้าของวอลโว่ในประเทศที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้วางแผนที่จะเปิดศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสีมาตรฐานครบวงจร Volvo Certified Damage Repair Centre แห่งที่ 3 ในปีนี้ เพื่อการเข้าถึงและส่งมอบประสบการณ์การบริการที่สะดวกสบายแก่ลูกค้า

ฟอร์ด มอบ “ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ให้ลูกค้าผู้โชคดี

ฟอร์ดมอบรางวัลใหญ่ “ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์” ให้ลูกค้าผู้โชคดีแคมเปญ Ford Motor Expo ภายใต้แคมเปญ “ซื้อรถลุ้นรถ”

ฟอร์ด ประเทศไทย มอบรางวัลใหญ่รถยนต์ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ รุ่น 2.0 ลิตร ดีเซล จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 1,779,000 บาท ให้นายศตวรรษ ไชยสัจ ลูกค้าผู้โชคดี เจ้าของรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ สปอร์ต ที่ซื้อรถจากแคมเปญ Ford Motor Expo #ซื้อรถลุ้นรถ โดยในวันส่งมอบรถ นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย เป็นผู้มอบรางวัล ณ โชว์รูมฟอร์ด พระนคร บางแค

“ฟอร์ดขอแสดงความยินดีกับลูกค้าที่ได้รับรางวัลใหญ่จากแคมเปญพิเศษของเรา และขอขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจในแบรนด์ฟอร์ด ฟอร์ดหวังว่าลูกค้าจะประทับใจกับประสบการณ์การขับขี่แบบเหนือระดับของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ รถกระบะสมรรถนะสูง DNA ฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ เจ้าของฉายา ‘ดุดัน ไม่เกรงใจใคร’ ซึ่งเป็นรถในดวงใจของลูกค้าหลายๆ คนโดยเฉพาะคอออฟโรด” นายรัฐการ กล่าว

แคมเปญ Ford Motor Expo #ซื้อรถลุ้นรถ เป็นโปรแรงส่งท้ายปี 2566 ของฟอร์ดที่จัดให้กับลูกค้าที่จองรถฟอร์ดในช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 11 ธันวาคม 2566 และออกรถภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2023 และที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของฟอร์ดทั่วประเทศ

มิตซูบิชิ ฉลองการผลิตรถยนต์ในไทยครบ 7 ล้านคัน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เฉลิมฉลองการผลิตรถยนต์ครบ 7 ล้านคัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์

บรรยายภาพ :บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย มร.เรียวอิจิ อินาบะ (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่ มร.เออิจิ โอกาวะ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต นายกิตติ ลีลาวัฒนานันท์ (ขวาสุด) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานผลิต และมร.มิกิฮิสะ คาโนะ (ซ้ายสุด) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานวิศวกรรมการผลิต ร่วมฉลองความสำเร็จในการผลิตรถยนต์ครบ 7 ล้านคัน ณ ศูนย์การผลิตแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี โดยรถยนต์คันที่ 7 ล้าน คือรถกระบะ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน

กรุงเทพฯ, 18 มกราคม 2567 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เฉลิมฉลองอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ด้วยการผลิตรถยนต์ครบ 7 ล้านคัน ณ ศูนย์การผลิตแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี โดยรถยนต์คันที่ 7 ล้าน คือรถกระบะ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน

มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ ครบ 7 ล้านคัน ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เราเป็นผู้นำการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของประเทศไทยมาตลอดกว่า 63 ปี การผลิตรถยนต์ครบ 7 ล้านคันเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของเราที่จะส่งเสริมการพัฒนาเพื่อการเติบโตของประเทศไทยผ่าน 7 แกนหลัก ได้แก่ การลงทุน การส่งออก สิ่งแวดล้อม การถ่ายทอดเทคโนโลยี การช่วยเหลือสังคม การพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ และการจ้างงาน”

ปัจจุบัน ศูนย์การผลิตของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีกำลังการผลิตสูงสุดมากกว่า 400,000 คันต่อปี โดยร้อยละ 80 ถูกส่งออกไปยังกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในฐานะผู้นำการส่งออกรถยนต์ของประเทศไทยมียอดการส่งออกรถยนต์สะสมแล้วมากกว่า 5.5 ล้านคัน คิดเป็นร้อยละ 80 ของยอดการผลิตทั้งหมด

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดสายการผลิตรถยนต์ใหม่ที่โรงงานแหลมฉบังเพื่อทำการผลิต ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ในปี 2566 สายการผลิตใหม่มีความล้ำสมัยด้วยการเชื่อมประกอบตัวถังรถยนต์ที่ควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติที่มีเทคโนโลยีสูงสุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนกระบวนการอัตโนมัติถึงร้อยละ 95 จากการใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะมากกว่า 250 ตัว มีกำลังผลิตราว 200,000 คันต่อปี ด้วยกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม มีระดับความแม่นยำและมาตรฐานที่สูงกว่าความสามารถของมนุษย์

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เริ่มต้นดำเนินงานในประเทศไทยในปี 2504 และฉลองการผลิตรถยนต์ครบ 1 ล้านคันในปี 2546 ก่อนผลิตรถยนต์ครบ 2 ล้านคันในปี 2553 และครบ 3 ล้านคันในปี 2556 ด้วยความต้องการซื้อรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ดำเนินการผลิตรถยนต์ครบ 4 ล้านคัน ในปี 2558 และผลิตรถยนต์ครบ 5 ล้านคันในปี 2561 ต่อมาในปี 2564 บริษัทฯ ต่อยอดความสำเร็จเนื่องในโอกาสฉลองการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบ 60 ปีด้วยการผลิตรถยนต์ครบ 6 ล้านคันในประเทศไทย

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีโรงงานผลิตรถยนต์รวม 3 แห่ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์ 1 แห่ง โรงพ่นสี 1 แห่ง และโรงงานบรรจุชิ้นส่วนส่งออก 1 แห่ง นอกจากนี้ยังมีสนามทดสอบรถยนต์เพื่อการคิดค้นและพัฒนายานยนต์แห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังได้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ณ จังหวัดปทุมธานี ในปี 2561 ซึ่งได้รับการยกสถานะขึ้นเป็นศูนย์ฝึกอบรมประจำภาคพื้นอาเซียน (ASEAN Regional Training Center) เมื่อเร็วๆ นี้ ในช่วงปลายปี 2566 โดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการเติบโตในประเทศไทยด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ด้วยปณิธานที่จะร่วมให้แก่สังคมและผู้คน ภายใต้วิสัยทัศน์  “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย”

เอ็มจี ลงนามหนุนนโยบายอีวี EV3.5

เอ็มจี ผู้บุกเบิกรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ลงนามสนับสนุนนโยบายอีวีของภาครัฐ ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าฯ ระยะที่สอง หรือมาตรการ EV3.5

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด   ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ในฐานะผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย  โดยมี นายสุโรจน์ แสงสนิท รองกรรมการผู้จัดการบริหาร (ขวามือ) และ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต (ซ้ายมือ) ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงระหว่างกรมสรรพสามิตกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมยานยนต์ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 ณ ห้องประชุมราชวัตร กรมสรรพสามิต เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ

เอ็มจี ในฐานะผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมมอบประโยชน์สูงสุด หนุนให้คนไทยได้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยปัจจุบัน มีรถยนต์ไฟฟ้า อยู่ในตลาดประเทศไทย แล้ว 5 รุ่นได้แก่ MG ZS EV MG EP MG ES MG4 ELECTRIC และ MG MAXUS 9 และยังมีแผนนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่สู่ตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดย เอ็มจี มุ่งมันในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ให้แข็งแกร่งเพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ง่าย

ทั้งนี้ผู้ที่มีความสนใจสามารถเข้าชมและทดลองขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่นของเอ็มจี ได้ที่โชว์รูม เอ็มจี ทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของเอ็มจีได้ที่

GWM ลงนามข้อตกลงมาตรการ EV 3.5

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ลงนามข้อตกลงมาตรการ EV 3.5 ร่วมมือภาครัฐขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย พร้อมยืนยันไม่ปรับราคา ORA 07 พร้อมเติบโตไปพร้อมการขยายตังของยานยนต์ไฟฟ้า

กรุงเทพฯ 19 มกราคม 2567 : เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมลงนามข้อตกลงการรับสิทธิ์ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ในช่วง 4 ปี (ปี 2567 – 2570) สำหรับรถยนต์นั่งแบบพลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้เกิดการขยายตัว และเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมในการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าและฐานการผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมในระดับภูมิภาค พร้อมยืนยันไม่ปรับราคา ORA 07 ทั้งสองรุ่น

หลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติมาตรการ EV 3.5 และกรมสรรพสามิตออกประกาศเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2566 เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้เข้าร่วมพิธีลงนามข้อตกลงฯ มาตรการ EV 3.5 ณ ห้องประชุมราชวัตร ชั้น 5 กรมสรรพสามิต พิธีลงนามข้อตกลงฯ นี้ได้รับเกียรติจาก นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต ร่วมด้วย ว่าที่ร้อยตรีประยุทธ เสตถาภิรมย์ รองอธิบดี และ นายบัญชร ส่งสัมพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี กรมสรรพสามิต โดยมีผู้บริหารระดับสูงของเกรท วอลล์ มอเตอร์ นำโดย มร.ไคล์ด เฉิง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ อาเซียน นายครรชิต ไชยสุโพธิ์ รองประธานฝ่ายกิจการองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ และนางสาวศุภรางศุ์ อนุชปรีดา ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) เข้าร่วมพิธีลงนามข้อตกลงฯ ในครั้งนี้

มร.ไคล์ด เฉิง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ อาเซียน กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เข้ามาปลุกกระแสรถยนต์ไฟฟ้าในไทยตั้งแต่ปี 2564 โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ORA อย่าง ORA Good Cat, ORA Good Cat GT และ ORA 07 นับเป็นความภาคภูมิใจของเราในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ยานยนต์คุณภาพ ดีไซน์โดดเด่น เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบให้กับผู้บริโภคชาวไทย การร่วมลงนามข้อตกลงฯ มาตรการ EV 3.5 ในครั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ นับเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแรกๆ ที่ร่วมลงนามกับภาครัฐ ซึ่งความตั้งใจของเรานั้นสอดคล้องกับความตั้งใจของรัฐบาลที่มุ่งมั่นสนับสนุนการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าไทย รวมถึงผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้ให้การสนับสนุนมาตรการของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราก็เป็นแบรนด์แรกๆ ที่ร่วมลงนามเพื่อเข้าร่วมในมาตรการ EV 3.0 และจะยังคงให้การสนับสนุนมาตรการ EV 3.5 ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า ORA 07 รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูงที่เราเปิดตัวไปภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำความพร้อมของเราในการขึ้นเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าไทย และเพื่อเป็นการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะไม่มีการปรับราคาขายปลีกของ ORA 07 ทั้งสองรุ่นที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 3.5 อย่างแน่นอน เราต้องการให้ลูกค้าชาวไทยทุกท่านทั้งที่ซื้อไปก่อนหน้านี้และลูกค้าใหม่สามารถมั่นใจได้ว่าราคาที่เราตั้งไว้นั้นเป็นราคาที่สมเหตุสมผล และสะท้อนถึงความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับอย่างแท้จริง”

ORA 07 รถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง รุ่นเรือธงล่าสุดภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ ORA เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ มาพร้อมกับตัวเลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น LONG RANGE และรุ่น PERFORMANCE ทั้งนี้ ภายใต้นโยบาย EV 3.5 ORA 07 จะไม่มีการปรับราคาใดๆ ทั้งสิ้น โดยราคาหลังหักเงินสนับสนุนของภาครัฐของ ORA 07 รุ่น LONG RANGE จะคงอยู่ที่ 1,299,000 บาท และราคาของ ORA 07 รุ่น PERFORMANCE ยังคงอยู่ที่ 1,499,000 บาท ซึ่งภายหลังจากการลงนามนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะทำการส่งมอบรถยนต์ ORA 07 อย่างต่อเนื่องให้กับแฟนๆ ชาวไทย

นอกจากนี้ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้มีการเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า New GWM ORA Good Cat จากโรงงานอัจฉริยะ เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถือเป็นแบรนด์แรกที่ทำการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อชดเชยตามนโยบายการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ หรือ EV 3.0 อีกทั้งการผลิต New GWM ORA Good Cat ในประเทศไทยนี้ ยังถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของบริษัทฯ ที่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายนอกประเทศจีนได้เป็นครั้งแรกตามกลยุทธ์ “Ecological Go-Abroad” ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศอย่างรอบด้านตามความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่มีต่อประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังร่วมสนับสนุนการลงทุน การจ้างงาน และการพัฒนาศักยภาพของแรงงานไทย ด้วยการวางแผนใช้ชุดแบตเตอรี่ที่ผลิตจากโรงงานผลิตแบตเตอรี่ SVOLT ที่ได้เข้ามาลงทุนและตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2567 เป็นต้นไป สำหรับ New GWM ORA Good Cat รุ่นสายการผลิตในไทยนั้นมาพร้อม 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น PRO ในราคา 799,000 บาท รุ่น ULTRA ราคา 899,000 บาท และรุ่น GT ราคา 1,099,000 บาท แฟนๆ เจ้าเหมียวไฟฟ้าที่สนใจสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ที่ GWM application และเว็บไซต์ www.gwm.co.th ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เผยผลสำรวจ ระบุรถยนต์ไฟฟ้าฮอตฮิต

เกรท วอลล์ มอเตอร์ จับมือ นิด้าโพล เปิดผลสำรวจรถยนต์ไฟฟ้ามาแรงแบบฉุดไม่อยู่ ชี้เรื่องค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ

กรุงเทพฯ 17 มกราคม 2567 : เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมกับศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” หรือ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำรวจความคิดเห็นและพฤติกรรมคนไทยที่มีต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 1,000 คนทั่วประเทศในเดือนธันวาคม 2566 พบว่า คนไทยให้ความสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) มากที่สุดถึง 64.8% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจในปี 2564 อย่างมีนัยสำคัญถึง 37.5% ตามด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) ที่ 22.2% และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ที่ 13.0% โดยผลสำรวจระบุว่า คนไทยพิจารณาราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน (34.1%) และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (18.9%) เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในรถยนต์พลังงานใหม่ของผู้บริโภคชาวไทยที่ให้ความสำคัญกับการขับขี่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และความคุ้มค่าในด้านค่าใช้จ่ายของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

ผลสำรวจความเห็นและพฤติกรรมคนไทยเรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้าปี 2566 ที่ผ่านมานี้ ได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 200 คน และกลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาป 800 คน ในช่วงอายุระหว่าง 30 – 60 ปี สำหรับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผลสำรวจเผยให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด คือ ราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน ตามมาด้วยความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบที่สวยงามและทันสมัย และความปลอดภัยที่สูงกว่า ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาป ปัจจัยในด้านของราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังคงเป็นสองปัจจัยหลักในการตัดสินใจเปลี่ยนมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน ตามด้วยความปลอดภัยที่สูงกว่า และความสามารถในการขับที่ได้ระยะทางที่ไกลกว่า

สำหรับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาปนั้น สัดส่วนมากถึง 81.3% สนใจที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในอนาคต เนื่องจากประหยัดพลังงาน (89.4%) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (72.3%) และมองว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย (49.9%) โดยรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้ใช้รถยนต์สันดาปอยากเป็นเจ้าของมากที่สุด คือ รถยนต์แบบซีดานสูงสุดที่ 63.6% ตามด้วยรถยนต์อเนกประสงค์ SUV 27.8% รถกระบะ 5.1% และรถยนต์อเนกประสงค์ PPV 3.5% โดยส่วนใหญ่มีแผนที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในอีก 3 – 4 ปี และคาดหวังว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่จะซื้อนั้นจะมีระยะทางการขับขี่ต่อหนึ่งการชาร์จในช่วงระหว่าง 501 – 600 กิโลเมตร ในราคาประมาณ 700,001 – 900,000 บาท โดยส่วนใหญ่จะเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์จากประเทศจีนสูงถึง 83.1% เนื่องจากเชื่อมั่นในแบรนด์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักที่กลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาปยังไม่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในขณะนี้ มาจากความไม่มั่นใจในเรื่องระบบความปลอดภัยเป็นหลัก (66.0%) ตามด้วยจำนวนสถานีชาร์จที่มีจำกัด (50.7%) และความกังวลเกี่ยวกับเวลาในการชาร์จที่ยาวนาน (40.0%)

ด้านกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผลสำรวจได้แสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถคันหลักในการเดินทาง (91.5%) และมีความพึงพอใจกับการใช้รถเนื่องจากประหยัดค่าใช้จ่าย (ราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกกว่าราคาน้ำมัน) มากถึง 49.2% ตามด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและการออกแบบที่สวยงาม (16.6%) และการขับขี่คล่องตัว อัตราเร่งดี (14.5%) ขณะที่จำนวนสถานีชาร์จที่น้อย (57.1%) และระยะเวลาในการชาร์จที่นานเกินไป (42.9%) เป็นเรื่องที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าไม่พึงพอใจที่สุด

นอกจากนี้ ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มองว่า การลดอัตราค่าชาร์จไฟตามสถานีชาร์จต่างๆ การลดค่าจดทะเบียนรายปีรวมถึงค่าเบี้ยประกันภัยให้น้อยกว่ารถยนต์แบบสันดาป และที่จอดรถเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าตามสถานที่ต่างๆ เป็นสิทธิพิเศษที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องการมากที่สุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่กังวลเกี่ยวกับการใช้รถคือ อายุของแบตเตอรี่ สถานีชาร์จไฟ รวมถึงอะไหล่และค่าดูแลรักษาต่างๆ ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนมากยังได้ให้เหตุผลว่า จำนวนสถานีชาร์จไฟที่น้อยและไม่ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ และราคาแบตเตอรี่ที่สูง จะเป็นสองปัจจัยหลักที่นำไปสู่การเลิกใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกเหนือจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ต่ำลงกว่าในปัจจุบันจะกระตุ้นให้คนไทยเปลี่ยนใจหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด ตามด้วยการมีสถานีชาร์จไฟที่เพียงพอ รวมทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยีในการขับรถที่ดีกว่า

ผู้ตอบแบบสอบถามยังได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนจากรัฐบาลนอกจากมาตรการส่วนลดทางภาษีและเงินอุดหนุนว่า การสนับสนุนจากรัฐบาลในการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จเป็นสิ่งที่ทั้งสองกลุ่มตัวอย่างต้องการมากที่สุด (34.0%) ตามด้วยการสนับสนุนค่าไฟฟ้า (28.0%) และการสนับสนุนค่าบำรุงรักษารถยนต์ (18.0%)

นอกจากนี้ กลุ่มผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มองว่า รถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์จีนนั้นมีการออกแบบดีไซน์ที่สวยงามและทันสมัย ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้รถยนต์สันดาปมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์จีนมีราคาที่จับต้องได้และมีความคุ้มค่ากว่ารถยนต์จากประเทศอื่น ตามด้วยการออกแบบดีไซน์ที่สวยงาม และมีระบบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและผู้ใช้รถยนต์สันดาป เชื่อว่าการเข้ามาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าก่อให้เกิดโอกาสหรือการพัฒนาในระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem) ในทุกภาคส่วน โดยทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ อาทิ การติดตั้งแท่นชาร์จ (Wall Charge), แผงโซล่าเซลล์, สถานีชาร์จไฟฟ้าแบบเร็ว (DC Fast Charge), และการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการส่งเสริมการลงทุน การจ้างงาน และพัฒนาศักยภาพฝีมือแรงงานไทย เพื่อพัฒนาและยกระดับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า

นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย เราได้ร่วมมือกับนิด้าโพลในครั้งนี้เป็นปีที่สามของการสำรวจ จากผลการสำรวจ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงแนวโน้มการเปิดรับรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นจากการเติบโตของยอดขายและยอดจดทะเบียนของรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 700% จากปี 2565 ที่ผ่านมา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ การเข้ามาของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าต่างๆ โดยเฉพาะจากประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างต้องร่วมมือกันในการผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องผ่านนโยบายและสิทธิพิเศษต่างๆ การขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าให้เพียงพอต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน การทำงานร่วมกันเกี่ยวกับข้อกังวลต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้รถยนต์

ไฟฟ้า การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัยที่สามารถวิ่งได้ระยะทางมากขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าและส่วนประกอบสำคัญอย่างเช่น แบตเตอรี่ ให้มากยิ่งขึ้น ในปี 2567 นี้ อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะขยายตัวและเติบโตอย่างเห็นได้ชัด จากการที่แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าต่างๆ โดยเฉพาะแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีนที่เล็งเห็นโอกาสในตลาดยานยนต์ไทย และเข้ามาลงทุนก่อตั้งโรงงานเพื่อเพิ่มสายการผลิตในประเทศไทย รวมถึงยกให้ประเทศไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาค เช่นเดียวกันกับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่ได้เปิดตัว New GWM ORA Good Cat จากสายการผลิตภายในประเทศที่โรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ที่จังหวัดระยอง เพื่อส่งมอบสู่ชาวไทยภายในเดือนมกราคม 2567 ภายใต้นโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรการ ZEV 3.0 ของรัฐบาล เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย จะยังคงเดินหน้าพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมตัวเลือกหลากหลาย พร้อมตอบโจทย์ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์แบบแบตเตอรี่ ไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด รวมถึงยกระดับการบริการต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รับประสบการณ์ของการเป็นเจ้าของยานยนต์คุณภาพที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ปลอดภัย และไร้กังวล ควบคู่ไปกับการเดินหน้าเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตและพัฒนาขึ้นสู่ระดับสากล”

MG SKILL CONTEST บททดสอบทักษะการบริการที่ดีเพื่อลูกค้า

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย จัดการแข่งขันทักษะฝีมือพนักงาน หรือ MG SKILL CONTEST สื่อถึงความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณภาพการบริการที่ดีที่สุดให้ลูกค้า รวมถึงการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของพนักงานเอ็มจีทั่วประเทศ  

สำหรับการแข่งขัน MG SKILL CONTEST ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 โดยในปีนี้ได้มีการปรับบททดสอบให้สอดรับกับบทบาทการเป็นแบรนด์ผู้นำยานยนต์ไฟฟ้า และเอ็มจีถือเป็นแบรนด์ที่มีรถยนต์พลังงานทางเลือกหลากหลายรุ่น อีกทั้งในแต่ละรุ่นต่างอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยียานยนต์ที่ล้ำสมัย เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบทักษะของพนักงานทุกภาคส่วนจึงเป็นหนึ่งในแผนการยกระดับคุณภาพการให้บริการของพนักงานโดยแบ่งเป็น 8 ประเภท ได้แก่ ด้านที่ปรึกษาการขาย ด้านที่ปรึกษาการบริการ ด้านลูกค้าสัมพันธ์ ด้านการจัดการงานอะไหล่ ด้านการจัดการงานรับประกันคุณภาพ ด้านเทคนิคและงานซ่อม ด้านการประเมินราคางานซ่อมสีและตังถัง และด้านงานเทคนิคซ่อมสีและตัวถัง

ผลการแข่งขัน MG SKILL CONTEST ครั้งที่ 6

1.ด้านที่ปรึกษาการขาย

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายวสันต์ ปันคำ (บจก.เบส ออโต้เซลส์ สาขาหางดง)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายศุภณัฐ์ สินวิบูลย์รัตน์ (บจก.เอ็มจี ออโต้เฮ้าส์ สระบุรี)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายกฤษกร แย้มกลีบบัว (บจก.อยุธยาแกรนด์เอ็มจีเซลส์แอนด์เซอร์วิส)

2.ด้านที่ปรึกษาการบริการ

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.จิราภรณ์ กุลยวน (บจก.วี.จี. คาร์ สาขากระบี่)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.ภีธ์ณภัชญ์ ฉัตร์สุวรรณ (บจก.เอ็มจี บางปูแลนด์ แอนด์ ออโต้โมบิล)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายเกรียงไกร โกศัยเนตร (บจก.เซควอญ่า หลักสี่ สาขารามอินทรา)

•รางวัลพนักงานผลงานยอดเยี่ยม เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมใบประกาศนียบัตร :

นายสิทธิชัย ไวเจริญ ( บจก.เบส ออโต้ เซลส์ สาขาแม่โจ้)

3.ด้านลูกค้าสัมพันธ์

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.ปิยะนารถ บ่อไทย (บจก.เอ็มจี อนันตภัณฑ์ ออโตเซลส์)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.กนกพร อร่ามโรจน์ (บจก.เอ็มจี พระนคร สาขาอ้อมน้อย)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.รัตนา กันลา (บจก.อารีมิตร เอ็มจี สาขาขอนแก่น)

•รางวัลพนักงานผลงานยอดเยี่ยม เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมใบประกาศนียบัตร : น.ส.พิมลพรรณ สกุลไพบูลย์ (บจก.เบส ออโต้ เซลส์ สาขาศรีราชา)

4.ด้านการจัดการงานอะไหล่

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายศักดิ์ธัช ทิจำปา (บจก.เซควอญ่า หลักสี่ สาขารามอินทรา)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.กุลธนันท์ ลมเชย (บจก.วัชรเซลส์ แอนด์ เซอร์วิส)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.ณัฐพิชา กุลลิ่ม (บจก.เอ็มจี ดุสิต มอเตอร์ สาขากระบี่)

•รางวัลพนักงานผลงานยอดเยี่ยม เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมใบประกาศนียบัตร:

นายภานุพงค์ ศิริภาวงค์ (บจก.เบส ออโต้ เซลส์ สาขาหางดง)

5.ด้านการจัดการงานรับประกันคุณภาพ

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายกรณิศ คิดถูก (บจก.เอ็มจี อนันตภัณฑ์ ออโต้เซลส์)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.สุนันทา สุริยะ (บจก.เอ็มจี ลักซูรี่หาดใหญ่ สาขาลพบุรีราเมศร์)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.ประภัสสร โพธิสัตย์ (บจก.เอ็มจี เจริญกรุง-สาธร ออโต้เซลส์)

•รางวัลพนักงานผลงานยอดเยี่ยม เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมใบประกาศนียบัตร :

น.ส.กัญชลิกา สลับสี (บจก.เอ็มจี เซควอญ่า หลักสี่ สาขารามอินทรา)

6.ด้านเทคนิคและงานซ่อม

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายพจชระ อินทร์ปิ่น (บจก.เอ็มจี สุโขทัย)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายนิพนธ์ ภักดีวงษ์ (บจก.เอ็มจี ลักซูรี่หาดใหญ่ สาขาทุ่งสง)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายจักรกฤษณ์ เจริญแพทย์ (บจก.เบส ออโต้เซลส์ สาขาชลบุรี)

•รางวัลพนักงานผลงานยอดเยี่ยม เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมใบประกาศนียบัตร :

นายอนุวัตน์ สุดทองคง (บจก.เอ็มจี ลักซูรี่หาดใหญ่ สาขากาญจนวณิชย์)

7.ด้านงานประเมินราคางานซ่อมสีและตัวถัง

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.กนกวรรณ สมศรีษะ (บจก.เบส ออโต้เซลส์ สาขาเพชรเกษม)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.ชนันท์กานต์ ม่วงเจริญ (บจก.เอ็มจี บางปูแลนด์แอนด์ออโตโมบิล)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส.นริณทร์ภัทร เพ็ชรหาญสุขกานต์ (บจก.เบส ออโต้เซลส์ สาขาหางดง)  

8.ด้านเทคนิคงานซ่อมสีและตัวถัง (แข่งขันเป็นทีม ทีมละ 2 ท่าน)

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย วรวุฒิ บุตรสุวรรณ และนาย สมศรี พรมพิทักษ์ (บจก.เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ส)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายเกรียติณรงค์ คำโสภา และนาย สุพล อาญหาญ (บจก.อยุธยาแกรนด์เอ็มจีเซลส์แอนด์เซอร์วิส)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นายเชิดศักดิ์ กระแสโสม และนาย ทินกร วงศ์สุวรรณ (บจก.เบส ออโต้เซลส์ สาขาพัทยา)

หลานสาว เฮนรี ฟอร์ด เยือนไทย ผูกสัมพันธ์ผู้จำหน่ายร่วมผลักดันเติบโตยั่งยืน

กรุงเทพ, ประเทศไทย, 17 มกราคม 2567 : เอเลนา ฟอร์ด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความสัมพันธ์ ผู้จำหน่าย ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เดินทางเยือนประเทศไทย ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะตลาดสำคัญของฟอร์ด โดยเอเลนา ฟอร์ด ให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาศักยภาพและยกระดับเครือข่ายผู้จำหน่ายฟอร์ดในประเทศไทยซึ่งถือเป็นพันธมิตรสำคัญในการผลักดันการมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในการเป็นเจ้าของรถให้แก่ลูกค้าครอบครัวฟอร์ด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจของฟอร์ดให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ทายาทรุ่นที่ 5 ในตระกูลของผู้ก่อตั้งบริษัท ได้พบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพนักงานและเครือข่ายผู้จำหน่ายฟอร์ดในประเทศไทย รวมถึงผู้จำหน่ายที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ภายใต้โครงการ Ford Next-Gen Dealers ซึ่งฟอร์ด ประเทศไทย ริเริ่มขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของทายาทรุ่นที่สองของผู้จำหน่ายฟอร์ดในประเทศไทย ด้วยการเสริมสร้างความรู้และทักษะสำคัญที่จำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้จำหน่ายรุ่นใหม่และสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในระยะยาว

“ผู้จำหน่ายฟอร์ดเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจและความสำเร็จของฟอร์ด เพราะผู้จำหน่ายเป็นตัวแทนของฟอร์ดในการส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า ข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้ ช่วยให้เราเข้าใจตลาดและความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และนำไปต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เปี่ยมด้วยคุณภาพให้กับลูกค้าของเราต่อไป” เอเลนา ฟอร์ด กล่าว

หลานสาวของเฮนรี ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัท ยังได้ร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของฟอร์ด ประเทศไทย ในโอกาสที่ฟอร์ดก้าวขึ้นเป็นแบรนด์รถยนต์ขายดีที่สุดอันดับ 4 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การดำเนินงาน 27 ปี ในประเทศไทย ด้วยยอดขายรวม 36,483 คันในปี 2566 โดยฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ครองตำแหน่งรถขายดีที่สุดอันดับ 3 ได้อย่างเหนียวแน่นทั้งในตลาดรถกระบะและ PPV จากการนำเสนอนวัตกรรมอันโดดเด่นที่สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้ตลาดรถยนต์ไทยอยู่เสมอ ประกอบกับความไว้วางใจของลูกค้าในการใช้งานนวัตกรรมบริการต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เอเลนา ฟอร์ด ยังได้เยี่ยมชมการทำงานของผู้จำหน่ายฟอร์ด วีพี เพชรเกษม และฟอร์ด อาร์เอ็มเอ หัวหมาก พร้อมชมสาธิตการนำกลยุทธ์การบริการแบบ ‘พร้อมเสมอ’ มาใช้ในการดำเนินงาน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของทีมฟอร์ดและผู้จำหน่ายในการปรับการทำงานทุกด้านให้ทันสมัย โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในกลุ่มตลาดนานาชาติที่นำทั้ง 10 นวัตกรรมด้านบริการรูปแบบใหม่ของฟอร์ดมานำเสนอให้แก่ลูกค้า และมียอดการใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 บริการนัดหมายเข้ารับบริการผ่านระบบออนไลน์ (Online Service Booking) มีลูกค้าใช้บริการมากกว่า 100,000 ครั้ง ขณะที่หน่วยบริการเคลื่อนที่ (Mobile Service Unit) และบริการรับ-ส่งรถนอกสถานที่ (Pick Up & Delivery) มียอดใช้บริการรวมกันมากกว่า 44,000  ครั้ง เติบโตขึ้นถึง 150% จากปีก่อนหน้า

การเดินทางเยือนประเทศไทยของ เอเลนา ฟอร์ด นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่ฟอร์ดที่จะพัฒนาเครือข่าย ผู้จำหน่าย เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในการเป็นเจ้าของรถฟอร์ดให้กับลูกค้า โดยฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เป็นหนึ่งในบริษัทยานยนต์ผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนสะสมรวมกว่า 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1 แสนล้านบาท ผ่านโรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) และโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) เพื่อส่งมอบรถยนต์คุณภาพชั้นนำระดับโลกสู่ผู้บริโภคทั้งในประเทศไทยและตลาดทั่วโลก ควบคู่กับการขับเคลื่อนโอกาสและการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save