- Advertisement -
28.7 C
Bangkok
Home Blog Page 61

ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024 คอนเฟิร์มความมันดวลกันด้วยเกียร์ธรรมดา

“กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต” จับมือ “ฮอนด้า” สานต่อความมันส์ “ฮอนด้า วันเมคเรซ” ปีที่ 4 เพิ่มความสดใหม่ด้วย “ระบบเกียร์” และ “ฮอนด้า คลับ”

“กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต” โดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการแข่งขันชั้นนำของเมืองไทย จัดงานแถลงข่าวการแข่งขัน รถยนต์ทางเรียบ “ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024″ เพิ่มความสดใหม่ด้วยการอัพเกรดรถแข่งสู่ “เกียร์ธรรมดา” คอนเฟิร์มความเร็วเพิ่มขึ้น โดยแชมป์ประจำปีคว้าสิทธิ์สัมผัสประสบการณ์ล้ำค่า เข้าร่วมแข่งขันในประเทศญี่ปุ่นแบบฟรีๆ พร้อมเสริมความเร้าใจด้วย “ฮอนด้า คลับ” เอาใจสาวก “วี-เทค” หัวใจมอเตอร์สปอร์ต ยึดสังเวียนระดับโลก “สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” และสตรีทเซอร์กิตสุดเจ๋ง  “สงขลา สตรีท เซอร์กิต” ดวลทั้งสิ้น 8 สนาม 4 อีเวนต์ เปิดฉากสนามแรก 6-9 มิถุนายนนี้

เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2024 “กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต” โปรโมเตอร์ความเร็วยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย จัดงานแถลงข่าว ประกาศสานต่อความมันส์ รถยนต์ทางเรียบ “ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024″ ถือเป็นการเดินหน้าระเบิดความมันส์เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้ความร่วมมือจากผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการจำนวนมาก

ในงานแถลงข่าว นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ในฐานะประธานจัดการแข่งขัน ฮอนด้า วันเมคเรซ เปิดเผยถึงความสดใหม่ในฤดูกาลนี้ที่เพิ่มเติมเข้ามา โดยมีผู้บริหารจาก บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บุญรอด บริวเวอร์รี่ จำกัด, บริษัท บี-ควิก จำกัด, บริษัท ฮอนด้า แอคเซส เอเชีย แอนด์ โอเชียเนีย จำกัด, บริษัท ริชไวส์มาร์เก้ตติ้ง จำกัด, บริษัท โยโกฮาม่า ไทร์ เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอส 63 โปรเจค จำกัด และ บริษัท บี.เค.เรซซิ่ง คลัทช์ จำกัด เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

“ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024” นับเป็นการแข่งขันฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกัน โดยในปีนี้ กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต ฝ่ายจัดการแข่งขันฯ ได้เพิ่มความสดใหม่เข้ามา ด้วยการอัพเกรดรถแข่ง “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ” ให้เป็นระบบเกียร์ธรรมดา เพื่อเพิ่มความมันส์และเร้าใจให้กับเกมการแข่งขัน และยังมีรถ “เกียร์อัตโนมัติ” อยู่ในเรซด้วยเช่นกัน โดยแชมป์ประจำปี จะได้สิทธิ์ไปแข่งขันในประเทศญี่ปุ่น ในรายการ “Super Taikyu” แบบไม่มีค่าใช้จ่ายใด

ขณะเดียวกัน จากเสียงเรียกร้องของ “แฟนๆ รถยนต์ฮอนด้า” ก็ได้มีการเพิ่มการแข่งขันในรุ่น “ฮอนด้า คลับ” เข้ามาด้วย เพื่อให้สาวกได้สมัครเข้าร่วมดวลความเร็ว และสัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่งระดับโลกอย่าง สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ที่ผ่านการแข่งขันทั้ง โมโตจีพี และ เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ รวมถึง ซูเปอร์จีที มาแล้ว นอกจากนี้ยังมีสนามสุดพิเศษอย่าง “พีที สงขลา สตรีท เซอร์กิต” ที่มีความสวยงามอย่างมาก

นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานจัดการแข่งขัน “ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024″ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ประกาศว่า กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต จะเดินหน้าสานต่อการแข่งขัน ฮอนด้า วันเมคเรซ ในปี 2024 โดยมีการเพิ่มเติมความเร้าใจให้กับแฟนๆ และนักแข่งทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน ด้วยรถแข่ง ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ ที่มีการอัพเกรดจากเกียร์อัตโนมัติมาเป็น เกียร์ธรรมดา โดยหลังการทดสอบและพัฒนา เราได้เห็นว่ารถแข่งมีศักยภาพที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน”

“การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความเร็วต่อรอบที่ยอดเยี่ยมมาก ด้วยปัจจัยนี้จะทำให้การขับเคี่ยวในสนามมีความเข้มข้นอย่างสูง อย่างไรก็ดี ในการแข่งขัน ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ เราจะยังคงมีรถเกียร์อัตโนมัติเช่นเคย และเสริมความมันส์ในรุ่น เกียร์ธรรมดาเข้ามา ซึ่งความพิเศษในปีนี้คือ นักแข่งที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องจนคว้าแชมป์ประจำปี จะได้สิทธิ์ไปแข่งขันในประเทศญี่ปุ่นแบบฟรีๆ ในรายการ “Super Taikyu”

นอกจากนี้ นายอโณทัย ยังกล่าวถึงการเสริมความมันส์ของการแข่งขัน “ฮอนด้า คลับ” เข้ามาในฤดูกาลนี้ว่า “มีเสียงเรียกร้องมาหลายปีแล้วเกี่ยวกับการแข่งขันแบบ คลับเรซของ ฮอนด้า ซึ่งเราเล็งเห็นว่าประสบการณ์ในสนามแข่งจะทำให้ผู้ขับขี่ ที่มีความชื่นชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ตได้สัมผัสความเร้าใจและเข้าใจในเกมการแข่งขันมากขึ้น โดยอดีตที่ผ่านมา มีนักแข่งแถวหน้าของไทยหลายคนเริ่มต้นจากจุดนี้ ดังนั้นเราจึงเพิ่มเติมการแข่งขัน ฮอนด้า คลับ เข้ามาในปฏิทินฤดูกาล 2024 อยากขอเชิญชวนสาวกฮอนด้า ที่มีใจรักกีฬาความเร็ว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความมันส์ครั้งนี้”

ทั้งนี้ ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024 จะยังคงเสิร์ฟความมันส์ผ่านหน้าจอให้ผู้ชมทั่วโลกติดตามเช่นเคย โดยจะถ่ายทอดสดผ่านทาง เพจ Honda One Make Race, GP Motorsport และ XO Autosport

สำหรับ ศึก ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024 จะดวลความเร็วทั้งสิ้น 8 สนาม 4 อีเวนต์

 โดยมีตารางแข่งขันดังนี้ :

อีเวนต์ 1 : วันที่ 6-9 มิถุนายนนี้ 2024, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

อีเวนต์ 2 : วันที่ 22-23 มิถุนายนนี้ 2024, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

อีเวนต์ 3 : วันที่ 29 สิงหาคม -1 กันยายน 2024, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

อีเวนต์ 4 : วันที่ 17-20 ตุลาคม 2024, สนามพีที สงขลา สตรีท เซอร์กิต จ.สงขลา

เมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS 220d เคาะราคาพิเศษครั้งสุดท้ายที่ 3.88 ล้านบาท

เมอร์เซเดส-เบนซ์ มอบโอกาสพิเศษครั้งสุดท้ายของสายสปอร์ต CLS 220 d ปิดจบที่ 3.88 ล้านบาท โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ตคูเป้ซีดานที่เสริมด้วยชุดแต่ง AMG และขุมพลังดีเซล 2.0 เทอร์โบ ข้อเสนอพิเศษที่ห้ามพลาดกับส่วนลดกว่า 760,000 บาท จากเมอร์เซเดส-เบนซ์

ภายหลังการประกาศยุติการผลิตของ CLS สปอร์ตคูเป้ที่สร้างประวัติศาสตร์มาเกือบ 2 ทศวรรษ ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มอบโอกาสครั้งสุดท้าย สำหรับผู้ที่หลงใหลในยนตรกรรม CLS ที่เดินทางมาถึงเจเนเรชั่นสุดท้าย กับข้อเสนอที่มาพร้อมส่วนลดกว่า 760,000 บาท ทำให้ราคาจำหน่ายของ CLS 220 d AMG Premium เหลือเพียง 3,880,000 บาท จากราคาเปิดตัว 4,640,000 บาท ด้วยความโดดเด่นของรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ตคูเป้ซีดานที่เสริมด้วยชุดแต่ง AMG และขุมพลังดีเซล 2.0 เทอร์โบ ที่ให้ทั้งความประหยัดและสมรรถนะที่เหลือล้น รวมถึงเทคโนโลยีความด้านความปลอดภัยและการขับขี่ที่ครบครัน ทำให้รถยนต์รุ่นนี้เป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นรถยนต์ที่สายรถควรมีไว้ครอบครอง ร่วมสัมผัสเจเนเรชั่นสุดท้ายของ CLS พร้อมเป็นเจ้าของก่อนใครได้ที่งาน “Mercedes-Benz StarFest 2024” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอีสต์วิลล์ ชั้น 1 ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ถึง 5 มิถุนายน 2567 หรือผ่านตัวแทนจำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

CLS 220 d AMG Premium ยนตรกรรมระดับไอคอนิกที่พร้อมสะกดทุกสายตาบนท้องถนน ผสานดีไซน์แห่งความสปอร์ตและความทันสมัยด้านเทคโนโลยีอย่างลงตัว ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ แถวเรียง ขนาด 1,950 ซีซี พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ มอบพละกำลังสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลา 7.5 วินาที ปราดเปรียวอย่างมีสไตล์ด้วยชุดแต่ง AMG bodystyling พร้อมกระจังหน้าแบบ Star Pattern Radiator Grille รับกับชุดไฟหน้าอันเป็นเอกลักษณ์แบบ MULTIBEAM LED และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) ช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพสูงสุด ปลดล็อกและสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วย KEYLESS-GO Comfort Package ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยจาก AMG แบบ multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว ช่วยเปลี่ยนทุกการเดินทางให้เป็นไปอย่างนุ่มนวล

ภายในห้องโดยสารมาพร้อมออปชั่นพิเศษแบบจัดเต็ม อาทิ หน้าจอแสดงผล Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa นุ่มสบายทั้งคนขับและตอนหลัง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ต พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย และระบบปรับโหมดการขับขี่แบบ DYNAMIC SELECT เป็นต้น มอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่เหนือชั้นระหว่างระบบกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้วยระบบปฏิบัติการ MBUX และฟังก์ชั่น Music Streaming Service สามารถเชื่อมต่อสุนทรียภาพและชาร์จมือถือแบบไร้สายไปในตัว (Wireless Charging) เพิ่มความเร้าใจในทุกการฟังเพลงผ่านระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester® พร้อมนำเสนออีกขั้นของความสะดวกสบายในทุกการขับขี่ด้วยระบบตัวช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist with PARKTRONIC) ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) และระบบช่วยเบรกฉุกเฉินแบบแอคทีฟ (ACTIVE BRAKE ASSIST) ที่จะคอยดูแลทุกความปลอดภัยอย่างเต็มพิกัด

สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ www.mercedes-benz.co.th หรือที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารอัพเดทผ่านทาง Facebook: Mercedes-Benz Thailand IG: @MercedesBenzThailand และ LINE: @mercedesbenzth

 #CLS #MercedesBenz #MercedesBenzThailand

แฟนคลับฟิน กระทบไหล่ป๊ายปาย โอริโอ กิจกรรม Racing in Motion

แฟนคลับฟิน! กระทบไหล่ป๊ายปาย โอริโอ ดารานักแข่งคนใหม่ ในกิจกรรม Toyota ALIVE Racing in Motion ชมมินิคอนเสิร์ตสัมผัสรถแข่งจากสนามแข่งจริงจาก Toyota Gazoo Racing Thailand

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2567 ณ Toyota ALIVE ถ.บางนา-ตราด กม. 3 ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้จัดกิจกรรม Toyota ALIVE Racing in Motion สร้างความสนุกแบบจัดเต็มให้กับลูกค้าโตโยต้า ได้สัมผัสรถแข่งจากสนามแข่งจริงจาก Toyota Gazoo Racing Thailand และนอกจากนี้ยังได้พบกับ Toyota Racing Star Team คนใหม่ล่าสุดอย่าง ป๊ายปาย โอริโอ ที่มาร่วมพูดคุย เล่นเกมและจัดแสดงมินิคอนเสิร์ตอย่างใกล้ชิด

ภายในงานเริ่มต้นด้วย การร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์การแข่งขันรถยนต์กับนักแข่งมืออาชีพจากทีมแข่ง Toyota Gazoo Racing Thailand และปังปอนด์ อัครวุฒิ มังคลสุต Toyota Racing Star Team อีกทั้งผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังได้สิทธิพิเศษ ลุ้นเป็นผู้โชคดีได้นั่งรถสปอร์ตอย่าง GR86 และ GR Corolla ผ่านกิจกรรม Hot Lap กับนักแข่งมืออาชีพ บนพื้นที่สนามทดลองขับ Toyota Alive Driving Park

นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมและบูธต่างๆ ให้ร่วมสนุกชิงรางวัลอีกมากมาย อาทิเช่น GR Driving Simulator Competition ชิงรางวัลบัตรกำนัลมูลค่าสูงสุด 5,000 บาท / Go kart Simulator / จับรางวัลกับตู้คีบมหาสนุก / บูธเครื่องดื่มสุดพิเศษจาก TOGETA Café ฯลฯ

ปิดท้ายด้วยกิจกรรมเข้าร่วมแข่งขันประชันความมันส์บนเวที พร้อมกับแจกของรางวัลสุด Exclusive มินิคอนเสิร์ตสุดใกล้ชิด และถ่ายภาพหมู่ร่วมกันกับ ป๊ายปาย โอริโอ ซึ่งสร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้เหล่าแฟนคลับได้ฟินไปตามๆ กัน นอกจากนี้ยังมีการเชิญชวนแฟนคลับไปฟินต่อกับฝีมือการขับรถแข่งครั้งแรกของป๊ายปาย ที่กิจกรรม Toyota Gazoo Racing Thailand สนามแรกบางแสน สตรีท เซอร์กิต จ.ชลบุรี 5-7 ก.ค. นี้ และสนามอื่นๆ ทั่วประเทศ ติดตามข้อมูลได้ที่ Facebook Page : Toyota Gazoo Racing Thailand

ทั้งนี้ Toyota  ALIVE เป็นสถานที่ให้ลูกค้าที่สนใจมาสัมผัสผลิตภัณฑ์โตโยต้า ทั้งมาชมและรับข้อมูลผลิตภัณฑ์ทุกรุ่น เทคโนโลยี แคมเปญ รวมไปถึงทดลองขับกับ Instructor มืออาชีพ และยังมีจัดกิจกรรมดีๆ ต้อนรับลูกค้าหลากหลายกลุ่มในทุกๆ เดือน ทุกท่านสามารถติดตามข่าวสารประชาสัมพันธ์กิจกรรมได้ที่ Facebook Page : Toyota ALIVE

               “โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดีกับนักตบลูกขนไก่ไทยที่

โตโยต้าร่วมแสดงความยินดี นักตบลูกขนไก่หญิงไทย ท็อปฟอร์มคว้าแชมป์หญิงเดี่ยว และหญิงคู่ พร้อมถ้วยพระราชทานแบดมินตัน “TOYOTA Thailand Open 2024”

สิ้นสุดการแข่งขันแบดมินตันรายการระดับ” World Tour Super 500TOYOTA Thailand Open 2024 “ ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเงินรางวัลรวม 420,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 14,700,000 บาท ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ โดยมีผลการแข่งขันประเภทหญิงเดี่ยว “เม” ศุภนิดา เกตุทอง ท็อปฟอร์มคว้าแชมป์ชนะ หาน เยี่ย จากจีน ด้วยสกอร์ 21-16 และ 25-23 และประเภทหญิงคู่ “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล และ “วิว” รวินดา ประจงใจ สามารถเอาชนะ เฟเบรียนา ดวีปูจิ กูซูมา และ อเมเลีย คาฮายา ปราติวี จากอินโดนีเซีย ด้วยสกอร์ 21-14 และ 21-14

การแข่งขันรายการนี้จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เพื่อให้แฟนกีฬาแบดมินตันได้ชม และเชียร์นักกีฬาไทย ให้สร้างผลงานในเวทีระดับโลก ทำการแข่งขันระหว่างวันที่ 14-19 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา

ภายหลังจากการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศจบลง สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ ได้มีการจับรางวัลพิเศษในโอกาสที่นักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทยสร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้สิทธ์ไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีสได้ครบทั้ง 5 ประเภท โดยมอบรถยนต์โตโยต้า ยาริส เอทีฟ รุ่น Sport (Toyota Yaris ATIV) มูลค่า 556,000 บาทจำนวน 1 รางวัล ให้กับแฟนๆ แบดมินตันผู้ที่ซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศผู้โชคดีได้แก่ คุณอรรณพ สัตตนานนท์ โดยได้รับเกียรติจากคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันไทยฯ พร้อมด้วย คุณณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกันมอบรางวัล

“โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย นำวิทยาการสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มผลิตภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย มุ่งวิทยาการ สร้างฐานเศรษฐกิจ เพิ่มผลิตภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ยุคเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์สันดาปภายใน สู่ยานยนต์พลังงานใหม่ โดยมุ่งมั่น สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมไทย ให้พัฒนายกระดับและสามารถเข้าสู่สายโซ่อุปทานของยานยนต์ยุคใหม่

นายอดิศักดิ์ โรหิตะศุน นายกสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทยหรือ TSAE เปิดเผยว่า สมาคมฯได้จัด ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ในวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุมชั้นสอง อาคารเจริญวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างเวลา 15.00-18.00 น. เพื่อรายงานผลการปฏิบัติงานและกิจกรรมต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปในปีที่ผ่านมา และแผนงานในอนาคต

TSAE ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2540 สมาคมฯมีบทบาทสำคัญในการร่วมมือสามประสาน (Triple Helix) ระหว่าง ภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และสถาบันการศึกษา เช่น ร่วมประชุม และเป็นเจ้าภาพ จัดประชุมระดับนานาชาติ สร้างเครือข่ายทางวิชาการที่เข้มแข็งทั้งในและต่างประเทศ เข้าร่วมจัดทำมาตรฐานต่างๆ สำหรับอุตสาหกรรม ยานยนต์ นอกจากนี้เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนในโรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาสนใจในเทคโนโลยียานยนต์ ยังได้จัดให้มีการแข่งขัน Student Formula เพื่อให้นักศึกษาได้ทำงานเป็นทีม พร้อมกับอาจารย์ที่ปรึกษาในการ ออกแบบ ประกอบและแข่งขันควบคุมการขับเคลื่อนยานยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ตลอดระยะ เวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากสนับสนุนด้านการเงินในการออกแบบและสร้างยานยนต์แล้ว ยังได้ส่ง ทีมที่ชนะเลิศไปเข้าร่วมแข่งขันระดับนานาชาติ ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างแรงจูงใจอีกด้วย

สมาคมฯ ยังได้จัดสัมมนาวิชาการ และจัดทำเอกสารต่างๆ เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร ความก้าวหน้าด้าน เทคโนโลยียานยนต์ แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์สันดาปภายใน สู่ยานยนต์พลังงานใหม่ โดยมุ่งมั่น สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมไทย ให้พัฒนายกระดับและสามารถเข้าสู่สายโซ่อุปทานของยานยนต์ยุคใหม่ จากพื้นฐานที่เข้มแข็ง ของผู้ประกอบการด้านยานยนต์ ภายในประเทศกว่า 2,000 รายและแรงงานทักษะที่มีคุณภาพ กว่า 300,000 คน

สมาคมฯในฐานะผู้มีบทบาทหลักในการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมาตลอด เล็งเห็นความจำเป็นในการแสวงหายุทธศาสตร์และมาตรการเพื่อตอบสนองต่อความผันผวนที่รุนแรงในปัจจุบัน วันนี้จึงได้เชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์สันดาปภายใน มาร่วมสัมมนาให้มุมมองและข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งในภาคอุตสาหกรรมสถาบัน การศึกษาและภาครัฐบาล ได้ประมวลและนำไปใช้เป็นสารสนเทศที่สำคัญในการวางแผนทางเลือกการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป

นอกจากนั้น ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีวันนี้ ทางสมาคมฯยังได้จัดให้มีการมอบโล่ แสดงความขอบคุณ ให้กับผู้ทำคุณประโยชน์แก่สมาคมจำนวน 5 ท่านในปีนี้ ได้แก่

1. ดร.มานพ มาสมทบ : นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (ENTEC)

2. ดร.บุรินทร์ เกิดทรัพย์ : นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NECTEC)

3. คุณอรรถพล รังผึ้ง : ผู้จัดการฝ่ายผลิตแบตเตอรี่ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด

4. อ.มณเฑียร แก่นสน : อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม

5. ผศ.ดร.กิตติ์ชนน เรืองจิรกิตติ์ : คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

ทั้งนี้ในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้ สมาคมฯร่วมกับ SAE International และ Japan SAE จะจัดประชุม Small Powertrains and Energy systems Technology Conference (SETC2024) ซึ่งจะหมุนเวียนมาจัดที่ประเทศไทย ตามรอบ 16 ปี โดยสามารถติดตามรายละเอียดจาก website ของสมาคม : www.tsae.or.th

สมาคมฯเชื่อมั่นว่า ความร่วมแรงร่วมใจในลักษณะสามประสานของภาครัฐ เอกชน และสถาบัน อุดมศึกษาภายในประเทศ เชื่อมโยงกับเครือข่ายในต่างประเทศที่สมาคมฯ เป็นข้อต่อที่สำคัญ เพื่อมุ่งสร้าง วิทยาการ สร้างฐานเศรษฐกิจ จะสามารถผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย สู่ความเข้มแข็งยั่งยืน ได้ในอนาคต

ฟอร์ด ชวนสัมผัสการขับขี่สุดเร้าใจกับกิจกรรม 4×4 REMARKABLE EXPERIENCE

ฟอร์ด ประเทศไทย จัดกิจกรรมพาผู้ที่สนใจรถฟอร์ดสัมผัสประสบการณ์การขับขี่เร้าใจ พิสูจน์ความแกร่งจริงทุกคัน ดุดันทุกสถานการณ์ของทั้งฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ บนเส้นทางออฟโรดและออนโรด กับกิจกรรม ‘4x4 REMARKABLE EXPERIENCE’ ภายใต้แนวคิด “ลุยให้โลกจำ” สนามที่ 2 ณ จังหวัดระยอง หลังประสบความสำเร็จจากสนามแรกที่จังหวัดนครนายก

พร้อมเปิดรับลงทะเบียนสำหรับที่ผู้สนใจร่วมพิสูจน์ความสนุก และดุดันของรถยนต์ฟอร์ด สนามที่ 3 วันที่ 18-19 พฤษภาคม 25667 ณ สวนดอกไม้ยายสุข จังหวัดชลบุรี สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานและติดตามข่าวสารกิจกรรมครั้งต่อไปได้ทางเว็บไซต์ www.ford.co.th และเฟสบุ๊คฟอร์ด

ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 4×4 REMARKABLE EXPERIENCE จะมีโอกาสได้ทดสอบขับรถฟอร์ด เรนเจอร์ ทั้งรุ่น สตอร์มแทรค และไวลด์แทรค ทำความรู้จักกับรถกระบะที่ชาญฉลาดที่สุด อเนกประสงค์ที่สุด และสมบุกสมบันที่สุดในตระกูลฟอร์ด เรนเจอร์  และฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นแพลทินัม และรุ่นไทเทเนี่ยม พลัส รถยนต์นั่งอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวที่รักความท้าทายและการผจญภัย ร่วมพิสูจน์สมรรถนะอันดุดันของรถยนต์ ฟอร์ดบนเส้นทางออฟโรดสุดหิน ทดสอบการขึ้นลงเนินชัน การขับขี่ลุยน้ำ การขับขี่บนทางโคลน การใช้ดิฟล็อกหลังแบบไฟฟ้า การใช้กล้อง 360 องศา และทดลองใช้โหมดการขับขี่ต่างๆ เช่น โหมดถนนลื่น โหมดโคลน และโหมดปกติ ที่ช่วยให้การขับขี่บนเส้นทางสมบุกสมบันผ่านไปอย่างง่ายดาย

พร้อมสัมผัสความชาญฉลาดของฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ กับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (Driver Assist Technologies) อาทิ ระบบควบคุมความเร็วระหว่างลงทางลาดชัน (Hill Descent Control)  และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping Aid) ที่มีความแม่นยำสูง เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ และตอบสนองการใช้งานบนถนนที่หลากหลายบนการเดินทางทั้งแบบทางเรียบและออฟโรด

SUZUKI XL7 HYBRID เปิด 5 จุดเด่นโดนใจลูกค้า

ซูซูกิ เผย 5 จุดเด่น SUZUKI XL7 HYBRID สุดโดนใจลูกค้า กว้างขวาง ประหยัด ทนทาน คุ้มค่า ราคาเข้าถึงง่ายพร้อมอัดโปรโมชั่นแรง ขับฟรี 90 วัน ผ่อนนาน 99 เดือน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่เปิดตัว SUZUKI XL7 HYBRID “Empower Your Journey” รถยนต์ Multi-Dynamic Crossover ที่ผสานกับเทคโนโลยี Hybrid ออกมาแข่งขันในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่ง นับว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากกระแสความนิยมที่ลูกค้าหันมาให้ความสนใจกับรถในกลุ่ม MPV มากยิ่งขึ้นแล้ว SUZUKI XL7 HYBRID ยังมีความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ซึ่งประกอบไปด้วย 5 จุดเด่น ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าในปัจจุบันได้อย่างครบครัน

SUZUKI XL7 HYBRID กับ 5 จุดเด่นโดนใจลูกค้า ประกอบด้วย

1. ห้องโดยสารกว้างขวาง ปรับใช้ได้อเนกประสงค์

ความอเนกประสงค์ของห้องโดยสาร SUZUKI XL7 HYBRID ด้วยเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าตกแต่งด้วยหนัง แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ช่องวางเครื่องดื่มมากถึง 8 ตำแหน่ง โดยเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถแยกพับอิสระแบบ 60:40 เลื่อนเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารได้กว้างขวาง ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 แยกพับอิสระแบบ 50:50 ซึ่งเมื่อพับเบาะแถว 2 และ 3 ราบกับพื้นห้องโดยสาร จะเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย จาก 550 ลิตร เป็น 803 ลิตร ขนสัมภาระตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างเต็มที่

นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับการตกแต่งภายใน ดีไซน์คอนโซลแบบสปอร์ต ตกแต่งด้วยลายไม้ ผสานอารมณ์ที่ดูสุขุมนุ่มลึก อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มาตรวัดพร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลการขับขี่ Driving G-Force และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง หน้าจอกลางระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รองรับทุกการเชื่อมต่อความบันเทิงภายในตัวรถ สะดวกไปกับแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พวงมาลัยเป็นทรง D-Shape ให้ความรู้สึกแนวสปอร์ต มาพร้อมกับปุ่มแบบมัลติฟังก์ชันที่สามารถควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มสั่งการโทรศัพท์ และเพิ่มความคล่องตัวให้กับการขับขี่ด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)

2.ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย เทคโนโลยี Hybrid

ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 74.0 x 85.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5:1 พละกำลัง 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ Integrated Starter Generator (ISG) Hybrid และ แบตเตอรี่ Lithium-ion 10Ah 12V จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า ระบบ Hybrid ของซูซูกิ มอเตอร์ ISG (Integrated Starter Generator) ถูกออกแบบมาให้เสริมแรงบิดสูงถึง 50 นิวตันเมตร หรือกว่า 36% ของแรงบิดเครื่องยนต์ โดยจะเข้ามาช่วยเสริมพละกำลังในช่วงของการออกตัวและเร่งแซง ช่วยให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมให้ระบบ Idling Stop ทำงานได้ดียิ่งขึ้น จึงกลายเป็นรถยนต์เอนกประสงค์ที่มีอัตราการประหยัดน้ำมันถึง 19.2 กม/ลิตร (ตามมาตรฐาน Eco Sticker)

ด้านของแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 10Ah 12V ถูกติดตั้งในตำแหน่งสูง ปลอดภัยจากการขับขี่ในสภาพถนนที่มีน้ำท่วมขัง อีกทั้งยังมีน้ำหนักเพียง 7 กิโลกรัม ซึ่งไม่ได้ทำให้น้ำหนักของตัวรถเพิ่มขึ้นมากนัก ทั้งยังมีการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 5 ปี

3.สมรรถนะดี ช่วงล่างแกร่ง ลุยได้ทุกสภาพถนน

แพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิ ที่ช่วยเพิ่มทั้งสมรรถนะ และความปลอดภัย ช่วงล่างทำจากเหล็ก High Tensile และใช้โครงสร้างตัวถัง TECT ซึ่งทำจากเหล็กกล้าน้ำหนักเบา แต่ให้ความแข็งแรงทนทาน ผสานเข้ากับระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง ช่วยให้สามารถขับขี่ได้ในทุกสภาพถนน จะขับขี่ทางเรียบก็มอบความนุ่มนวล ขับง่าย ขับสบายหรือจะลุยทางฝุ่นก็พร้อมรองรับการฝ่าอุปสรรคได้อย่างมั่นใจ

4.ทนทาน บำรุงรักษาง่าย ค่าใช้จ่ายสมเหตุสมผล

ความโดดเด่นของรถยนต์ซูซูกิทุกรุ่น คือ เรื่องของความทนทานในการใช้งาน บำรุงรักษาง่าย ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายต่อการเข้าเช็คระยะตามรอบในแต่ละครั้งราคาสมเหตุสมผล ซึ่ง SUZUKI XL7 HYBRID ก็เช่นเดียวกัน นับว่าเป็นหนึ่งในรถที่สร้างความคุ้มค่าให้แก่ผู้บริโภค นอกจากเทคโนโลยีไฮบริดที่พัฒนาให้ช่วยเสริมประสิทธิภาพการขับขี่ และมอบความประหยัดให้แก่ลูกค้า ด้านการบำรุงรักษายังง่ายดาย มีค่าบำรุงรักษาในระยะยาวที่ต่ำกว่าท้องตลาดอีกด้วย

5.ราคาไม่แพง เป็นเจ้าของได้ง่าย ผ่อนสบายกับแคมเปญพิเศษ

SUZUKI XL7 HYBRID วางจำหน่ายในราคา 799,000 บาท ซึ่งหากเทียบออปชั่นและสมรรถนะของรถคันนี้ นับว่ามีความคุ้มค่าและความครบครันที่สุดรุ่นหนึ่ง ที่ซูซูกินำเสนอแก่สำหรับผู้บริโภคชาวไทย ด้านมาตรฐานความปลอดภัยมีระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Hold Control ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX กล้องมองภาพขณะถอยจอด เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง กุญแจ Immobilizer และ ระบบสัญญาณกันขโมย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยแคมเปญพิเศษ ซื้อรถ SUZUKI XL7 HYBRID ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 1-30 มิถุนายน 2567 เลือกรับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 7,888 บาท หรือ เลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน หรือ เลือกขับฟรี 90 วัน พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วใมงอีกด้วย ทั้งนี้ เงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนดและสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมทดลองขับได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

SUZUKI XL7 คือหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ด้วยความครบครัน ทั้งด้านความกว้างขวางภายในห้องโดยสาร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยครบครัน รวมถึงสมรรถนะการขับขี่อันโดดเด่นที่พร้อมจะพาคุณไปพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ ในทุกเส้นทาง โดยนับตั้งแต่เดือนเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2563 ถึง เดือนเมษายน 2567 มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 8,788 คัน ซึ่ง SUZUKI XL7 HYBRID จะเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้าที่จะช่วยส่งเสริมยอดขายรถยนต์ซูซูกิให้เติบโตขึ้นแน่นอน” นายวัลลภ กล่าว

มิตซูบิชิ ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ตามโครงการ Solar For Lives

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แห่งที่ 9 ณ โรงพยาบาลนาดี จ.ปราจีนบุรี รวมติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาดแล้วทั้งสิ้น 450 กิโลวัตต์ ด้วยงบกว่า 14.4 ล้านบาท

มร.เออิจิ โอกาวะ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมด้วย นางพัชรี โฆษิตวรกิจกุล (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานห่วงโซ่อุปทาน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ร่วมส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ภายใต้โครงการ  “Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” เพื่อมุ่งสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในด้านสาธารณสุข และส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง โดยมี นางวิไลรัตน์ โยธาพันธ์(ซ้ายสุด) หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลนาดี เป็นตัวแทนรับมอบ พร้อมด้วย

บรรยายภาพ : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วย นายทนงค์ ดวงมุกพะเนาว์ (ที่ 2 จากซ้าย) รองนายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดปราจีนบุรี นายธรรมรัฏฐ์ งามแสง (ที่5 จากซ้าย) นายอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี และ นายนำพล  โพธิวงศ์  (ที่ 5 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน

กรุงเทพฯ – 23 พฤษภาคม 2567: มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เดินหน้าส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งที่ 9 ภายใต้โครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ รวมทั้งติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ให้แก่โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศไปแล้วทั้งสิ้น 450 กิโลวัตต์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 270 ตันต่อปี ด้วยงบกว่า 14.4 ล้านบาท พร้อมมุ่งเดินหน้าส่งมอบพลังงานสะอาดให้แก่โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ 40 แห่ง ภายใน 10 ปี

มร.เออิจิ โอกาวะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดเผยว่า “โครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของแผนการดำเนินงานเพื่อสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย’ ใน 3 ด้านหลัก คือ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โดยเราได้วางแผนใช้เงินลงทุนกว่า 60 ล้านบาท เพื่อติดตั้งและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ขนาด 50 กิโลวัตต์ ให้แก่แต่ละโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ 40 แห่ง ภายในช่วงระยะเวลา 10 ปี เพื่อสร้างแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนให้กับโรงพยาบาล และยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย พร้อมส่งเสริมเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนเป็นกลาง โดยคาดว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ของโรงพยาบาลนาดีได้กว่า 30 ตันคาร์บอนต่อปี”

นางวิไลรัตน์ โยธาพันธ์ หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลนาดี กล่าวว่า “ด้วยการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ของทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ทำให้ภาระค่าไฟฟ้าของโรงพยาบาลลดลง ทางโรงพยาบาลจึงสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปใช้ดำเนินงานที่มีความสำคัญด้านอื่นๆ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพการบริการและการดูแลสุขภาพของชุมชนให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้โรงพยาบาลของเราเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลางอย่างยั่งยืนอีกด้วย”

นายทนงค์ ดวงมุกพะเนาว์ รองนายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรโครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ นับว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในความร่วมมือสำคัญระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐให้เกิดการใช้พลังงานสะอาด และสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมช่วยลดค่าไฟฟ้าของโรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่งที่เข้าร่วมโครงการฯ ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของโรงพยาบาล และโอกาสในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ดีของคนในชุมชน”

นายธรรมรัฏฐ์ งามแสง นายอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยมีเป้าหมายระยะยาวในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลางอย่างยั่งยืนภายในปี 2593 ขณะเดียวกัน ยังมีเป้าหมายลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 เป้าหมายเหล่านี้จะสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือองค์กรหน่วยงานต่าง ๆ ขอขอบคุณมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่ช่วยสนับสนุนความพยายามของเราในการขับเคลื่อนสู่สังคมปราศจากคาร์บอน พร้อมกับนำความยั่งยืนและพลังงานสะอาดมาสู่ชุมชนของเรา”

โครงการ “Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ได้รับการริเริ่มขึ้นในปี 2565 จากความร่วมมือระหว่าง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) โดยได้ทำการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชนไปแล้วทั้งหมด 9  แห่ง ประกอบด้วย

1. โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

2. โรงพยาบาลพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย

3. โรงพยาบาลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง

4. โรงพยาบาลวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี

5. โรงพยาบาลปง จังหวัดพะเยา

6. โรงพยาบาลชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ

7. โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี

8. โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

9. โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี

มิตซูบิชิ ปลูกป่าชายเลน สานต่อโครงการ “รากกล้าแห่งความยั่งยืน ปีที่ 3”

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ปลูกป่าชายเลน ณ จังหวัดจันทบุรี สานต่อโครงการ “Root for Sustainability : รากกล้าแห่งความยั่งยืน” ปีที่ 3

บรรยายภาพ : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย นำโดย มร.โนโบรุ สึจิ (ที่ 4 จากขวา) ประธานคณะกรรมการบริษัท และ นายเอกอธิ รัตนอารี (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์ทรัพยากรบุคคลและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าสานต่อโครงการ “Root for Sustainability: รากกล้าแห่งความยั่งยืน” ปีที่ 3 โดยมี ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี (ที่ 4 จากซ้าย) อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมปลูกต้นโกงกาง กว่า 12,000 ต้น บนพื้นที่ป่าชายเลน 16.57 ไร่ ณ ตำบลเกวียนหัก อําเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เพื่อมุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนเป็นกลาง สร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ยั่งยืนยิ่งขึ้นเพื่อชุมชนท้องถิ่น

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าคืนความสมบูรณ์สู่ธรรมชาติในโครงการ “Root for Sustainability: รากกล้าแห่งความยั่งยืน” ปีที่ 3 ด้วยการปลูกต้นโกงกางกว่า 12,000 ต้น บนพื้นที่ป่าชายเลน 16.57 ไร่ ณ ตำบลเกวียนหัก อําเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี มุ่งรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนเป็นกลาง สอดคล้องกับความมุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อสังคมของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ด้วยแนวคิด “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” ภายใต้หลักสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ

มร.โนโบรุ สึจิ ประธานคณะกรรมการบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ด้วยความมุ่งมั่นดำเนินการเชิงรุกเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 โครงการปลูกป่าชายเลนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ด้วยปณิธานที่จะรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อม โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการปลูกป่าและดูแลรักษาป่าอย่างต่อเนื่องไปถึง 10 ปี พร้อมกันนี้ เรายังสนับสนุนโครงการธนาคารสัตว์น้ำในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของป่าชายเลนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีกด้วย”

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เริ่มดำเนินโครงการ “Root for Sustainability: รากกล้าแห่งความยั่งยืน” เพื่อฟื้นฟูผืนป่าคืนธรรมชาติสู่สิ่งแวดล้อมในปี 2564 เริ่มต้นในจังหวัดชลบุรี สระแก้ว และนครราชสีมา ปัจจุบัน โครงการนี้ประสบความสำเร็จในการปลูกต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์บนพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ มีเป้าหมายสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ยั่งยืนยิ่งขึ้นเพื่อชุมชนท้องถิ่น

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า “การปลูกป่าชายเลนเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ถือเป็นหนึ่งในแนวทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากป่าชายเลน 1 ไร่ มีศักยภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 9.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าต่อไร่ต่อปี จึงช่วยลดการเกิดภาวะเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังช่วยปกป้องการพังทลายของชายฝั่งจากคลื่นและลม พร้อมกับช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่งอีกด้วย ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลทรัพยากรป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้ดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลน บริษัทต่างๆ ที่เข้าร่วมไม่เพียงได้มีส่วนช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนและได้รับคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่าเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนบริเวณชายฝั่งให้ได้มีแหล่งจับหาสัตว์น้ำที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน”

นายจักรพงษ์ พันธุ์โชติ นายอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า “จันทบุรีเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งพื้นที่ป่า ภูเขา ทะเล พร้อมกับมีชื่อเสียงอย่างแพร่หลายว่าเป็นแหล่งสินค้าทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ผู้คนในชุมชนอำเภอขลุงส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาและประมง ระบบนิเวศชายฝั่งจึงมีความสำคัญกับคนในชุมชนเป็นอย่างมาก กิจกรรมปลูกป่าชายเลนที่ทุกภาคส่วนมาช่วยกันในครั้งนี้จึงถือเป็นการต่อยอด สร้างระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม และแหล่งอาหารอย่างยั่งยืนให้กับชุมชนชายฝั่งต่อไปในอนาคต”

ในงานนี้ ทาง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังได้นำรถรุ่นต่างๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดน้ำมัน มาใช้งานเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย ประกอบด้วย เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี รถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด  ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับการโดยสารมากถึง 7 ที่นั่ง รวมถึง ออล-นิว ไทรทัน ที่นำมาใช้ขนย้ายต้นกล้าไปปลูกยังพื้นที่ป่าชายเลน ด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ใหม่ให้พละกำลังมากกว่าเดิม เพิ่มการประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ให้ความแข็งแรงสมบุกสมบันพร้อมลุยในทุกสภาพถนน และ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ด้วยกำลังไฟมากสุด 1,500 วัตต์ โดยถูกนำมาใช้จ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในงาน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 63 ปีด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อการจัดการการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการดำเนินกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือโครงการ “Root for Sustainability: รากกล้าแห่งความยั่งยืน” ที่มีเป้าหมายฟื้นฟูป่าและขยายพื้นที่ธรรมชาติ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

ชมศิลปะยานยนต์หลากยุค ใน “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46”

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ จัด “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46” ภายใต้แนวคิด “สะท้อน และส่องทาง – Reflecting and llluminating the path” ชมรถโบราณที่สวยงามสะท้อนศิลปะแต่ละยุคสมัยกว่าร้อยคัน ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ 17-21 กรกฎาคม 2567

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “งานประกวดรถโบราณ เป็นงานระดับประเทศที่จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 46 โดยแนวคิดของงานปีนี้คือ “สะท้อน และส่องทาง – Reflecting and llluminating the path” มาจากคำกล่าว “ศิลปะส่องทางให้แก่กัน” ซึ่งหมายความว่า ศิลปะต่างแขนงสามารถถ่ายทอดแนวคิด และรูปแบบถึงกันได้ เช่น ในช่วงทศวรรษ 1930 สถาปัตยกรรมแนว ART DECO เฟื่องฟู ส่งผลให้รถยนต์ LANCIA ARTENA ที่ผลิตออกมาช่วงนั้น ซึ่งเราเลือกใช้เป็นภาพโปสเตอร์ มีตัวถังทรงเรขาคณิต ประดับเส้นสายโค้งมน พร้อมห้องโดยสารตกแต่งหรูหรา สะท้อนการออกแบบสไตล์ ART DECO อย่างชัดเจน นอกจากนี้ รถโบราณคันอื่นๆ ก็มีการสะท้อน และส่องทางรูปแบบศิลปะในแต่ละยุคสมัยเช่นเดียวกัน”

ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย กล่าวถึง ข่าวดีในปีนี้ที่คณะรัฐมนตรี เห็นชอบหลักการลดภาษีงานศิลปะและรถโบราณ เมื่อมีนาคมที่ผ่านมาว่า “ทางสมาคมได้รับเชิญจากกรมสรรพสามิต เพื่อให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาแล้ว โดยเห็นว่าเกณฑ์เทียบเคียงที่เหมาะสมคือ ประเทศสิงคโปร์ ที่อนุญาตให้นำเข้ารถโบราณ ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป โดยมีข้อจำกัดจำนวนวันในการใช้รถในช่วงวันหยุด และวิธีคำนวณภาษีป้ายวงกลมใหม่ โดยเชื่อว่าจะช่วยสร้างเสน่ห์ให้แก่การท่องเที่ยวไทย และสร้างงานจากการซ่อมบูรณะรถโบราณได้อีกมาก”

นางณัฐรินทร์ พยุงวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ-สายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค กล่าวว่า “งานประกวดรถโบราณครั้งที่ 46 จัดบนพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร กระจายทั่ว บริเวณ Cascata , Zpotlight และ Alive Park Hall ชั้น G ในศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ พร้อมตกแต่งบรรยากาศสไตล์ ART DECO ที่มีความหรูหรา ผสมผสานกับความทันสมัย เพื่อให้ผู้ชมงานได้ชื่นชมความงดงามทั้งรถ และสถานที่จัดแสดง พร้อมเก็บภาพถ่ายเป็นที่ระลึก และแชร์ลงโซเชียล คาดว่าปีนี้จะมีผู้ร่วมงานมากถึง 200,000 คน”

การประกวดรถโบราณแบ่งเป็น 7 รุ่นตามมาตรฐานของสมาพันธ์รถโบราณสากล (FIVA) ได้แก่ รถรุ่นบรรพบุรุษ (ก่อนปี 1904) รถรุ่นผ่านศึก (ปี 1905 – 1918) รถโบราณ (ปี 1919 – 1930) รถรุ่นก่อนสงคราม (ปี 1931 – 1945) รถรุ่นหลังสงคราม (ปี 1946 – 1960) รถคลาสสิค (ปี 1961 – 1970) และรถคลาสสิคร่วมสมัย (ปี 1971 – ปัจจุบัน -30 ปี)

นอกจากนั้น ยังมีการประกวดอีกหลายประเภท อาทิ รถจำลอง รถดัดแปลง รถประดิษฐ์พิเศษ รถโฟล์คสวาเกน รถอเมริกัน รถแจกวาร์-เดมเลอร์ และรถมีนี พร้อมรถที่นำมาแสดงเป็นพิเศษ อีกทั้งมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย เช่น การประกวด ราชินีแห่งความสง่างาม (CONCOURS D’ELEGANCE – กงกูรส์ เดเลอกองศ์) เสวนาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับรถโบราณ คอนเสิร์ทเพลงฮิทในอดีต ถ่ายรูปคู่รถโบราณ จำหน่ายสินค้าวินเทจ หนังสือ นิตยสารเกี่ยวกับรถโบราณ แสตมป์รถโบราณ รถโบราณจำลอง ฯลฯ

ผู้สนใจสามารถส่งรถเข้าประกวดได้ที่ imc.co.th/vintagecarclub/vcct/ ภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ vintagecarclub.or.th และ Vintage Car Club of Thailand

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save