- Advertisement -
25.9 C
Bangkok
Home Blog Page 59

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ฉลองครบรอบ 3 ปี พร้อมตั้งเป้าสู่ Top 3

กรุงเทพฯ 9 กุมภาพันธ์ 2567 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศความสำเร็จของการดำเนินงาน รวมถึงแถลงกลยุทธ์ด้านต่าง ๆ เพื่อก้าวขึ้นสู่ 3 อันดับแรก ของแบรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (xEV) ในประเทศไทย ภายในระยะเวลา 3 ปี หรือภายในปี 2569 ภายในงานเฉลิมฉลองครบรอบ 3 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย หรือ GWM 3rd Brand Anniversary ณ โรงภาพยนตร์ ICONSIAM Cineconic ศูนย์การค้า ICONSIAM พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในอาเซียนอย่างยั่งยืน

ภายในงาน ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ นำโดย มร. ไคล์ด เฉิง ประธาน นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียน และ นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) พร้อมคณะผู้บริหาร พาร์ทเนอร์ ลูกค้า และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน พร้อมรับฟังการแถลงกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 2567 และสรุปภาพรวมความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

ในปี 2567 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ คาดว่าตลาดรถยนต์ไทยจะมียอดขายโดยประมาณทั้งสิ้น 820,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 6% โดยกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือกลุ่ม xEV จะเติบโตขึ้นประมาณ 40% หรือคิดเป็น 33 % ของตลาดทั้งหมด และมียอดขายประมาณ 270,000 คัน นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้า 100% จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐ EV 3.5 และการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ ๆ  โดยคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 130,000 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 16% ของตลาดรวมทั้งหมด เพิ่มขึ้นเกือบ 70% จากปี 2566 ที่ผ่านมา

นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของเราที่ได้เข้ามาจุดกระแสและผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม เราได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์และเรื่องราวน่าประทับใจมากมาย เราได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของคนไทย พร้อมนำรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ หรือ New Retail Business ด้วยนโยบายราคาเดียว หรือ One Price Policy มาปฏิวัติแนวทางปฏิบัติของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และเป็นมาตรฐานใหม่ของระบบการขายของผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเป็นแบรนด์แรกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังด้านรถยนต์พลังงานใหม่ และเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์แรก ๆ ที่ได้ลงนามกับกรมสรรพสามิตเพื่อเข้าร่วมนโยบายการส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั้ง EV 3.0 และ EV 3.5 จน ORA Good Cat ได้ขึ้นแท่นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจดทะเบียนสูงที่สุดในประเทศไทยในปี 2565  นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในปีที่ 3 ด้วยการบรรลุ Mission 9 in 3 หรือการเปิดตัวรถยนต์ครบ 9 รุ่น ภายในระยะเวลา 3 ปี อย่างงดงาม ในการก้าวเข้าสู่การดำเนินงานปีที่ 4 เราจะยังคงมุ่งมั่นส่งมอบรถยนต์ที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและคุ้มค่าคุ้มราคาสำหรับลูกค้าชาวไทย รวมถึงผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคและในระดับโลกต่อไป”

นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเผยถึงเป้าหมายสำคัญของบริษัทฯ ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำ 3 อันดับแรกของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ภายใน 3 ปี โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 2567 อยู่ที่ 25,000 คัน และวาง 3 กลยุทธ์หลักเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่

• ด้านผลิตภัณฑ์ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถือเป็นแบรนด์ที่มีจุดแข็งด้านผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงงานใหม่ที่ครอบคลุม ทั้งไฮบริด

ปลั๊กอิน-ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในหลายเซ็กเมนต์ โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายใหม่ด้วยการเพิ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ xEV ในประเทศไทยให้ครบทั้งสิ้น 15 รุ่น ภายในปี 2568 และในปี 2567 บริษัทฯ วางแผนที่จะเปิดตัวยานยนต์พลังงานใหม่อย่างน้อย 3 รุ่นในไทย รวมถึงวางแผนที่จะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่เป็นเอสยูวี และศึกษาการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับสูง เช่น Hi-4 และ Coffee Intelligence System มาพัฒนาร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะแนะนำสู่ตลาดไทยในอนาคตอีกด้วย

• ด้านการขาย มุ่งเน้นการยกระดับประสบการณ์ให้ลูกค้าโดยยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User-centric) และนโยบายราคาเดียว (One Price Policy) โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะเดินหน้าต่อยอดธุรกิจฟลีทในกลุ่มหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น รวมถึงการต่อยอดธุรกิจรถยนต์ใช้แล้ว (GWM Certified Pre-Owned) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการขายรถ หรือต้องการประเมินราคาขายรถใช้แล้ว และลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของรถ GWM คุณภาพดี ด้านการจัดจำหน่าย ในปี 2567 เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีแผนที่จะขยายเครือข่าย GWM Partner Store ให้ครบ 101 แห่งทั่วประเทศ และการขยาย Partner Store ขนาด S ในจังหวัดขนาดเล็ก และ XS รูปแบบใหม่ในอำเภอรองของจังหวัดใหญ่ เพื่อสร้างเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ควบคู่กับการขยายสถานีชาร์จ (DC Fast Charge) ให้ครบ 55 แห่ง ภายในปี 2567

• ด้านการบริการหลังการขาย เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัทฯ ในการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภครอบด้าน ด้วย GWM Smart Service ระบบการบริการอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยในการยกระดับการบริการแก่ลูกค้า การบริหารจัดการอะไหล่ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายพื้นที่คลังอะไหล่และเพิ่มขีดความสามารถในการจัดส่งอะไหล่ให้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น และการพัฒนาศักยภาพช่างเทคนิค โดยบริษัทฯ มีแผนเปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่ เพื่อรองรับการฝึกอบรมให้กับช่าง GWM ทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ในความรู้และทักษะในการซ่อมบำรุงรักษารถ GWM ได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล รวมถึงการสร้างความอุ่นใจในการเป็นเจ้าของรถยนต์ GWM โดยรถยนต์ของ GWM ทุกคันมาพร้อมแพ็คเกจการบำรุงรักษาตามระยะทาง ฟรี ทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และ 5 ปี 75,000 กิโลเมตร ควบคู่กับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (Roadside Assistance) ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังจัดตั้ง EV Battery Rapid Team หรือหน่วยงานวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้คำแนะนำและตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่หลังเกิดอุบัติเหตุ และ GWM BATTERY HOTLINE สายด่วนเพื่อรับแจ้งปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่และการเคลมโดยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านยานยนต์พลังงานใหม่ (xEV Leader) เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ การบริการ ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้บริโภค โดยการพัฒนาขีดความสามารถให้ครอบคลุมรอบด้าน ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการจำหน่าย สู่มาตรฐานในระดับสากล ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving) ควบคู่กับการขยายเครือข่ายการลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ รอบโลกอย่างต่อเนื่อง เช่น ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปเอเชีย โดยปัจจุบันเรามีโรงงานผลิตรวมแล้วกว่า 13 แห่ง สาขาอีกกว่า 700 สาขา ครอบคลุมกว่า 170 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในปี 2566 มียอดขายรถยนต์ทั่วโลกทั้งหมด 1.23 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นปีที่ 8 ที่เรามียอดขายทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านคันอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของผู้บริโภคทั่วโลกที่มีต่อบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี บริษัทฯ ยังได้ขยายการดำเนินธุรกิจสู่ตลาดภูมิภาคอาเซียน 9 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม และกัมพูชา ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จีนรายแรกที่มีการขยายธุรกิจครอบคลุมตลาดหลักในภูมิภาคอาเซียนได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ในปี 2567 และปีถัด ๆ ไป เราจะไม่หยุดยั้งในการพัฒนานวัตกรรมที่เต็มเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และการดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ เพื่อขอบคุณการสนับสนุนจากแฟน ๆ อันดีเสมอมา”

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) และบริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก (Global Intelligent Technology Company) มุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยการเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในปี 2567 รวมถึงปีถัด ๆ ไป ให้ตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภคชาวไทย ควบคู่กับการเติมเต็มระบบนิเวศและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ทัดเทียมระดับสากล

ฮอนด้า ส่งความคุ้มค่า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ชิงส่วนแบ่งตลาดต้นปี 2567

ฮอนด้า ปรับโฉม “ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่” ขับฟรีสูงสุด 6 เดือน** ผ่อนเริ่มต้นเพียง 5,484 บาทต่อเดือน** เพิ่มรุ่นย่อย e:HEV SV มอบความคุ้มค่าตลอดการใช้งาน

•ชูเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ให้ลูกค้าเข้าถึงง่าย ด้วยราคาใหม่ รุ่น e:HEV RS 799,000 บาท และเพิ่มรุ่นย่อย e:HEV SV ราคา 729,000 บาท

•รุ่นขุมพลัง VTEC TURBO อัปเกรดความปลอดภัยอีกขั้นกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ด้วยราคา 599,000 – 749,000 บาท

•มอบข้อเสนอพิเศษ** Double Smile Plus ขับฟรีสูงสุด 6 เดือน** ผ่อนเริ่มต้นเพียง 5,484 บาท ต่อเดือน**

•ปรับดีไซน์สปอร์ตใหม่รอบคัน กระจังหน้าสไตล์สปอร์ต กันชนหน้า-กันชนหลัง และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ สัมผัส

อีกขั้นของความสปอร์ตเท่กับสีภายนอกน้ำเงิน บริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำแบบ Two-tone ใหม่*

•ห้องโดยสารกว้างสบาย มาพร้อมเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR Seat) ที่ปรับพับเพิ่มสเปซการใช้งานได้ดั่งใจ พร้อมระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch ที่เพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย* และใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง*

•2 ขุมพลังการขับเคลื่อนที่ทรงพลัง ทั้งระบบฟูลไฮบริด e:HEV มอบสมรรถนะการขับขี่ที่แรงเกินคลาส กับแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 253 นิวตัน-เมตรตั้งแต่ออกตัว และให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมยิ่งขึ้นที่ 27.8 กม./ลิตร และขุมพลัง VTEC TURBO ขับสนุกทุกย่านความเร็ว เร่งแซงทันใจ ตอบสนองได้ทันคิดด้วยกำลังสูงสุด 122 แรงม้า

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มาพร้อมราคาพิเศษ ทั้งรุ่นระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่เข้าถึงง่ายขึ้นด้วยราคาใหม่ รุ่น e:HEV RS 799,000 บาท และเพิ่มรุ่นย่อย e:HEV SV ราคา 729,000 บาท พร้อมด้วยรุ่นขุมพลัง VTEC TURBO ที่เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานและอัปเกรดความปลอดภัยอีกขั้นกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ด้วยราคา 599,000 – 749,000 บาท พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ** อาทิ Double Smile Plus ขับฟรีสูงสุด 6 เดือน** ดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 29,950 บาท** หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 5,484 บาท** เพื่อให้ลูกค้าเป็นเจ้าของ ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ง่ายยิ่งขึ้น เสริมความมั่นใจในรุ่น e:HEV รับเพิ่มการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง** เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 – 30 เมษายน 2567 ดีไซน์ภายนอกของ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ปรับโฉมสปอร์ตใหม่รอบคัน โดดเด่นปราดเปรียวในสไตล์รถแฮทช์แบ็ก ภายในห้องโดยสารกว้างสบาย มาพร้อมเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR Seat) อันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ที่สามารถปรับพับเพิ่มสเปซการใช้งานได้ดั่งใจ พร้อมเพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch ที่เพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย* และใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง* อีกทั้งหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย ขับเคลื่อนสู่ทุกเส้นทางอย่างทรงพลังกับ 2 ขุมพลัง ทั้งระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยเกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ตอบสนองดั่งใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 253 นิวตัน-เมตร และให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมยิ่งขึ้นที่ 27.8 กม./ลิตร และขุมพลัง VTEC TURBO 1.0 ลิตร ขับสนุกทุกอัตราเร่งด้วยกำลังสูงสุด 122 แรงม้า พิเศษกับสีภายนอกน้ำเงิน บริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำแบบ Two-tone ใหม่ เฉพาะรุ่น e:HEV RS และ e:HEV SV พร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป

นายฮิเดโอะ คาวาซากะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้า ซิตี้ นับเป็นรถยนต์รุ่นยอดนิยมของฮอนด้า โดย ซิตี้ แฮทช์แบ็ก เป็นยนตรกรรมภายใต้ไลน์อัป City Series ที่เป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มคนที่ชอบซิตี้คาร์ในสไตล์รถแฮทช์แบ็ก 5 ประตู โดยเป็นรถที่ครองใจลูกค้าด้วยจุดเด่นทั้งด้านดีไซน์ ความสะดวกสบาย และเบาะนั่งอัลตราซีทอันเป็นเอกลักษณ์ด้านความอเนกประสงค์ของฮอนด้าที่ลูกค้าชื่นชอบ มาพร้อมขุมพลัง VTEC TURBO ที่ขับสนุกตอบสนองไลฟ์สไตล์ในทุกวัน และระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่เป็นรถที่เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบันและชีวิตประจำวัน ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่นจากการผสานพลังขับเคลื่อนหลักจากมอเตอร์ไฟฟ้า และมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม และในวันนี้เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสกับเทคโนโลยี e:HEV จากฮอนด้าได้ง่ายขึ้น ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มาพร้อมราคาพิเศษ ทั้งรุ่น e:HEV RS 799,000 บาท และเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ e:HEV SV ราคา 729,000 บาท และรุ่นเทอร์โบ เพิ่มเติมฟังก์ชันพร้อมอัปเกรดความปลอดภัยกับ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ด้วยราคา 599,000 – 749,000 บาท”

ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มีให้เลือก 2 ขุมพลังขับเคลื่อน รวม 5 รุ่นย่อย แบ่งเป็น

•รุ่นขุมพลังฟูลไฮบริด e:HEV มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย

-รุ่น e:HEV RS                  ราคา 799,000 บาท

-รุ่น e:HEV SV                   ราคา 729,000 บาท

•รุ่นขุมพลัง VTEC TURBO มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย

-รุ่น RS                              ราคา 749,000 บาท

-รุ่น SV                              ราคา 679,000 บาท

-รุ่น S+                              ราคา 599,000 บาท

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี ได้แก่

•สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) (Brilliant Sporty Blue Metallic) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำทูโทน (Two-tone) ใหม่! (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) (Ignite Red Metallic) (เฉพาะรุ่น RS และ e:HEV RS)

•สีขาวแพลทินัม (มุก) (Platinum White Pearl) (เฉพาะรุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

•สีดำคริสตัล (มุก) (Crystal Black Pearl)

•สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) (Meteoroid Gray Metallic)

•สีเทาโซนิค (มุก) (Sonic Gray Pearl)

•สีขาวทาฟเฟต้า (Taffeta White) (เฉพาะรุ่น S+)

โดย ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ*** เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 – 30 เมษายน 2567

-รุ่น VTEC TURBO เลือกรับข้อเสนออย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

oดอกเบี้ย 0%*** พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี และฟรี Honda Ultimate Care (ฮอนด้า อัลติเมท แคร์) ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร ต่อจากการรับประกันคุณภาพรถใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร สิ้นสุด รวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

oDouble Smile Plus ดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 29,950 บาท** หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 5,484 บาท** พิเศษ! รับสิทธิ์ Honda Free Drive ขับฟรี 6 เดือน พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี เพิ่มเติมเฉพาะลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า (Honda Loyalty), ลูกค้า You’re the One, ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มอาชีพพิเศษ และลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ที่เข้าร่วมรายการ**

-รุ่นฟูลไฮบริด e:HEV เลือกรับข้อเสนออย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

oดอกเบี้ย 0.99%*** พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี

oDouble Smile Plus ดาวน์เริ่มต้น 5% เพียง 36,450 บาท** หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 6,674 บาท** พิเศษ! รับสิทธิ์ Honda Free Drive ขับฟรี 3 เดือน เพิ่มเติมเฉพาะลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า (Honda Loyalty), ลูกค้า You’re the One, ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่มอาชีพพิเศษ และลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ที่เข้าร่วมรายการ**

oทุกทางเลือก มาพร้อมการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ พร้อมพาคุณไปในทุกเส้นทางได้อย่างที่เป็นคุณ

เป็นทุกอย่างที่อยากให้เป็น… Move It Your Way ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกขั้น สปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยดีไซน์ภายนอกใหม่รอบคัน กับกระจังหน้า กันชนหน้าและกันชนหลัง และล้ออัลลอยในดีไซน์ใหม่ เสริมลุคสปอร์ตเท่เต็มขั้นกับรุ่น RS และ e:HEV RS ที่มาพร้อมกระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ กันชนหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่ สปอยเลอร์หลังสไตล์สปอร์ตแบบ RS และเพิ่มสเกิร์ตข้างใหม่ อีกทั้งไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ดีไซน์ใหม่ ห้องโดยสารกว้างขวาง มาพร้อมเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR) ที่สามารถปรับพับเพื่อเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้หลากหลายให้ตอบรับทุกการใช้งาน อีกทั้งเพิ่มเติมฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ ใหม่! ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย* ที่ได้พัฒนาการแสดงผลสีของหน้าจอให้คมชัดยิ่งขึ้น พร้อมปรับโฉม Interface ใหม่ ให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง*  ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง*  ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) มาพร้อม 2 ขุมพลังการขับเคลื่อนที่ขับสนุก ทรงพลัง และยังประหยัดน้ำมัน ตอบโจทย์การขับขี่ทุกเส้นทางในชีวิตประจำวัน มั่นใจในทุกการเดินทางกับ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ที่มาพร้อมฟังก์ชันใหม่ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) และเพิ่มระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ* (with Low-Speed Follow: with LSF) มีเฉพาะในรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS ครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)* ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ถุงลม 6 ตำแหน่ง* กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ* (Multi-Angle Rearview Camera) ที่มีการพัฒนาคุณภาพของกล้องให้มีความละเอียดสูงขึ้น เป็นต้น

ดีไซน์ใหม่ อัปลุคสปอร์ตขึ้นอีกขั้น สะดวกสบายไปกับห้องโดยสารกว้างขวาง

-การออกแบบภายนอก โดดเด่นโฉบเฉี่ยวสไตล์รถสปอร์ตแฮทช์แบ็ก

•ใหม่! กันชนหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่

•ใหม่! กระจังหน้าโครเมียมดีไซน์ใหม่ (รุ่น S+, SV และ e:HEV SV)

•ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ (รุ่น S+, SV และ e:HEV SV) พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED

•ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ

•โลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และโลโก้ e:HEV ที่ด้านท้าย เอกลักษณ์เฉพาะรถ e:HEV ของฮอนด้า (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•มือจับเปิดประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ

•กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ฝาครอบกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ (รุ่น S+, SV และ e:HEV SV)

•เสาอากาศแบบครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ (รุ่น S+, SV และ e:HEV SV)

•ใหม่! ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 15 นิ้ว (รุ่น S+) ขนาด 15 นิ้วแบบทูโทน (รุ่น SV) และแบบทูโทนขนาด 16 นิ้ว (รุ่น e:HEV SV)

-การออกแบบภายใน กว้างขวาง โปร่งโล่ง มอบความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง

•ใหม่! วัสดุหุ้มเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์ตกแต่งด้วยแถบสีเทา (รุ่น SV และ e:HEV SV)

•วัสดุตกแต่งคอนโซลหน้าสีดำ Piano Black

•มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

พร้อมรองรับทุกไลฟ์สไตล์ในแบบของตัวเองด้วยเบาะนั่งอัลตราซีท (ULTR) แยกพับ 60:40 ที่สามารถปรับพับเพื่อเพิ่มสเปซการใช้งานอเนกประสงค์ได้ดั่งใจ พร้อมด้วยห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของฮอนด้า โดยปรับเปลี่ยนได้ถึง 4 โหมด ได้แก่

•Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง

•Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว

•Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง

•Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด

-เสริมสปิริตความสปอร์ตขึ้นอีกขั้น ด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคัน ในรุ่น RS และ รุ่น e:HEV RS

•ใหม่! กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ สไตล์สปอร์ตแบบ RS

•ใหม่! กันชนหน้าและกันชนหลังดีไซน์ใหม่ สไตล์สปอร์ตแบบ RS

•ใหม่! เพิ่มสเกิร์ตข้าง สไตล์สปอร์ตแบบ RS

•สปอยเลอร์หลังสไตล์สปอร์ตแบบ RS

•ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED

•ใหม่! ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ดีไซน์สปอร์ตใหม่

•ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำเงา

•เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำเงา

•ใหม่! ล้ออัลลอยสีดำแบบสปอร์ตขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์ใหม่

•ใหม่! วัสดุหุ้มเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์ตกแต่งด้วยแถบสีแดง

มูฟไปข้างหน้าอย่างมีพลังในทุกเส้นทาง กับ 2 ขุมพลังการขับเคลื่อน

•ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ที่มอบสมรรถนะการขับขี่ทรงพลัง ตอบโจทย์ในทุกเส้นทางด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบการตอบสนองได้ดั่งใจตั้งแต่ออกตัวกับแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที และประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมยิ่งขึ้นที่ 27.8 กม./ลิตร มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม/กิโลเมตร และรองรับน้ำมัน E20 ทั้งนี้ ระบบฟูลไฮบริด e:HEV จะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ให้โดยอัตโนมัติตามความเหมาะสมและสถานการณ์การขับขี่ ประกอบด้วย 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)

•พร้อมเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ e:HEV SV เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่เทคโนโลยีฟูลไฮบริดจากฮอนด้าในรถซิตี้คาร์ ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

•ขุมพลัง TURBO กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว ที่มาพร้อม Turbocharger ขับสนุกทุกเส้นทาง มอบอัตราเร่งแรงเร้าใจได้ตามคิดด้วยกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) อีกทั้งประหยัดน้ำมันเกินคาดด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันที่สูงถึง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 100 กรัม/กิโลเมตร และรองรับน้ำมัน E20

มั่นใจในทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน รองรับทุกการขับขี่

ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน จักรยาน และจักรยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 6 ฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้

•ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)

•ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)

•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC) (รุ่น S+, SV และ RS) พร้อม ใหม่! ระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (with Low-Speed Follow: with LSF) (เฉพาะรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ใหม่! ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) พร้อมด้วยเทคโนโลยีด้านการขับขี่และความปลอดภัยที่ครบครัน* อาทิ

•ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (รุ่น e:HEV RS)

•กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS) ที่มีการพัฒนาคุณภาพของกล้องให้มีความละเอียดสูงขึ้น

•ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ระบบ Auto Brake Hold (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ถุงลมคู่หน้า

•ถุงลมด้านข้างคู่หน้า

•ม่านถุงลมด้านข้าง (รุ่น RS และ e:HEV RS)

•ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)

•ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)

•ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)

•ระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

•ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า

•ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)

•เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ

•เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าและหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง

•ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย

•ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)

•จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)

•ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)

•ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)

•สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)

หลากหลายเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและฟังก์ชันล้ำสมัยเชื่อมต่อรถกับผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว

•ใหม่! ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS) ที่ได้พัฒนาการแสดงผลสีของหน้าจอให้คมชัดยิ่งขึ้น พร้อมปรับโฉม Interface ใหม่ ให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

•ใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS) และด้านหน้า 1 ตำแหน่ง (รุ่น S+)

•มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth

•พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์

•พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง

•ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) (รุ่น RS)

•ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ปุ่ม ECON

•ลำโพง 8 ตำแหน่ง (รุ่น RS และ e:HEV RS)

•กระจกมองหลังแบบตัดแสง

•แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า (รุ่น RS และ e:HEV RS)

•ไฟอ่านแผนที่และไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร

•ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย

•พนักเท้าแขนด้านหน้า (รุ่น SV, RS, e:HEV SV และ e:HEV RS)

•พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว (รุ่น RS และ e:HEV RS)

•ช่องเก็บของหลังเบาะนั่งคนขับและหลังเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมช่องเก็บของขนาดเล็ก (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

•ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System)

•ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System)

•ยกระดับชีวิตให้สมาร์ตขึ้นไปอีกขั้นกับ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ (รุ่น RS และ e:HEV RS) ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ที่ประกอบด้วย 8 ฟังก์ชันล้ำสมัยเชื่อมต่อและรองรับทุกการใช้งานของทุกไลฟ์สไตล์

1.My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป

2.Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และบันทึกการเดินทางที่สามารถเลือกทริปโปรดและแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์เดิม) เป็นต้น

3.WiFi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง

*ลูกค้าสามารถสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย

4.Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น

5.Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และแจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ

6.Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และการสั่งดับเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน

7.Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย

8.Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน

ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง

เสริมความโดดเด่นสไตล์สปอร์ตอีกขั้นด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) รอบคัน ที่มาพร้อมกับแนวคิด “More Enhanced Sporty” โดยมีหลากหลายไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก เช่น ชุดโลโก้สีดำ หน้า-หลัง ราคา 1,200 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 1,700 บาท  ชุดป้องกันรอยบริเวณที่เปิดประตู ราคา 1,100 บาท 

ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง ราคา 5,500 บาท  ล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว* ราคา 3,900  บาท  ปลอกท่อไอเสีย (สำหรับรุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS) ราคา 1,275 บาท  ม่านบังแดดผู้โดยสารตอนหลัง ราคา 2,400 บาท และแผ่นกันรอยเบาะพนักพิงหลัง ราคา 1,700 บาท

นอกจากนี้ ยังมีให้เลือกในรูปแบบแพ็กเกจ ทั้งหมด 2 แพ็กเกจ ได้แก่

•Black Package ราคา 16,000 บาท ประกอบด้วยล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว* และชุดโลโก้สีดำ หน้า-หลัง

•Modulo Aero Sport Package ราคา 23,500 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า แบบ 2 ชิ้น สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง แบบ 2 ชิ้น และชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง

ลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสและทดลองขับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลจากที่ปรึกษาการขายทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า

24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดทาง www.honda.co.th/cityhatchback โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับผ่าน www.honda.co.th/testdrive ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ถึง 30 เมษายน 2567 จะได้รับฟรี Happy Puffy Bag มูลค่า 250 บาท***

หมายเหตุ:

*อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

**ให้บริการสินเชื่อโดย บริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ ณ เวลาที่ยื่นขอสินเชื่อ ตลอดจนเงื่อนไขอื่นๆเป็นไปตามที่ บริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

***เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

-สีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท

-สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) หลังคาสีดำ (ทูโทน)  สีดำคริสตัล (มุก) และสีเทาโซนิค (มุก) เพิ่มเงิน 6,000 บาท

-ราคาล้ออัลลอย รวม 4 วง ไม่รวมราคายาง

-ราคาอุปกรณ์ตกแต่งรวมค่าแรงติดตั้ง ไม่รวม VAT 7%

-กรณีติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งพร้อมรถยนต์ใหม่ รับประกันอุปกรณ์ตกแต่งนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

โตโยต้า เปิดตัวโคโรลล่า ครอส ใหม่ “เพิ่มของราคาเดิม”

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV รุ่น “โคโรลล่า ครอส” ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2563 โดยเป็นรถที่ได้รับการออกแบบภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว และมีความแข็งแกร่ง ภายในห้องโดยสารเพียบพร้อมด้วยพื้นที่กว้างขวาง สะดวกสบายพร้อมด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระ ที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ซึ่งนับตั้งแต่การแนะนำโคโรลล่า ครอสนั้น ถือเป็นรถรุ่นที่ประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดีเสมอมา ด้วยยอดขายสะสมที่ 71,160 คัน ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ปี 2563 ถึง เดือน ธันวาคม ปี 2566

นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ยอดนิยม เพื่อนำเสนอประสบการณ์การขับเคลื่อนที่มาพร้อมเทคโนโลยีและฟังก์ชันอำนวยความสะดวก มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ กับ “โคโรลล่า ครอส ใหม่” เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ลาน Eden ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับโคโรลล่า ครอสใหม่ ได้มีการปรับปรุงในทุกรุ่นย่อย เพื่อมอบประสบการณ์ในการขับเคลื่อนที่ดียิ่งกว่า โดยดีไซน์ใหม่นี้ เป็นการเปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในโลก ด้วยดีไซน์กระจังหน้าแบบ “Multi-Dimensional Design” ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp และ ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential เหนือระดับ ด้วยหลังคา Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาอิสระ ทั้งยังมาพร้อมกับการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และช่องต่อ USB แบบ type C โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ Parking Support Brake, ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Tire Pressure Monitoring System, กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° View, สัญญาณเตือนกะระยะ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ รวมทั้ง ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold  อีกด้วย

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในปีที่ผ่านมา พร้อมแนะนำแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ว่า “ในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยต้องเผชิญความยากลำบากและการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยลดลง 9% โดยเฉพาะเซกเมนต์รถกระบะที่ลดลงถึง 32% ในขณะที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนได้เข้าสู่ตลาด และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ถึง 11% ซึ่งภายใต้ส่วนแบ่งตลาดดังกล่าว สัดส่วนการขายของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เติบโตขึ้นจาก 1% เป็น 10%

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว โตโยต้ายังคงมีรถหลายรุ่น ได้แก่ คัมรี ฟอร์จูนเนอร์ เวลอซ และไฮเอซ ที่เป็นผู้นำในเซกเมนต์ต่างๆ นอกจากนั้น ยาริสและเอทีฟก็สามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในเซกเมนต์อีโคคาร์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 45% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา สำหรับเซกเมนต์รถเอนกประสงค์ SUV โตโยต้ากลับมาครองยอดขายสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาหลังจากการแนะนำยาริส ครอส รวมถึง รถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% เป็นสัดส่วนที่สูงสุดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของโตโยต้าอยู่ที่ 34.3% สูงที่สุดนับตั้งแต่พ.ศ. 2558 และสูงกว่า พ.ศ. 2565 ที่ 0.3% ซึ่งเราขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่ได้ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของโตโยต้าเป็นอย่างดีเสมอมา

ทั้งนี้เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โดยโตโยต้ายังคงมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งความหลากหลายของลูกค้า การใช้งาน ข้อจำกัดในแต่ละภูมิประเทศ อาทิ โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน สภาพถนน ข้อจำกัดทางด้านพลังงาน เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โตโยต้ามีความต้องการที่จะมุ่งเติมเต็มชีวิตของผู้คน และนำมาซึ่งรอยยิ้มของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เราจึงเลือกกลยุทธ์ Multiple Pathway ตามปรัชญา “Mobility for All” โดยที่จะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (No One leaves behind)

โดยในปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ในประเทศไทยได้เติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฮบริด (HEV) ก็เติบโตขึ้น และยังกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้าชาวไทย สำหรับประเภทรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ด้วยเหตุผลที่สามารถใช้งานได้จริงอย่างเหมาะสม ลูกค้ามีความอุ่นใจขณะใช้งาน และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ  รวมไปถึงมีมูลค่าในการขายต่อที่ดี โดยในปีที่แล้ว ส่วนแบ่งตลาดของรถไฮบริด อยู่ที่มากกว่า 12% และในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 17%

อีกหนึ่งกระแสสำคัญในประเทศไทย คือ ความนิยมในรถยนต์ประเภท SUV โดยในปีที่แล้วนั้น ส่วนแบ่งตลาดของ SUV เพิ่มขึ้นที่ 38% แม้ว่าตลาดรถยนต์รวมจะหดตัวลง 9% ทั้งนี้เนื่องมาจากประโยชน์ใช้สอยของรถ SUV เอง ที่สามารถตอบสนองรูปแบบการใช้งานอันหลากหลาย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันในรูปแบบคนเมือง จนถึงการออกไปใช้ชีวิตแบบผจญภัยในช่วงวันหยุด  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อความสำเร็จในประเทศไทยต่อไป และนำรอยยิ้มของลูกค้าชาวไทยมาให้มากขึ้น และนี่คือการเปิดตัวรอบ World Premiere ของ Corolla Cross ใหม่ ที่ได้รับการอัพเกรด เพื่อมอบความพรีเมี่ยม เหนือระดับ ด้วยการออกแบบภายนอกที่ล้ำสมัยและได้มาตรฐานของสเปกที่ต้องการ ซึ่งผมหวังอย่างยิ่งว่า โคโรลล่า ครอส ใหม่ จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี เหมือนดังเช่นเคย”

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และจุดเด่นของโคโรลล่า ครอสใหม่ ว่า “โคโรลล่า ครอส รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2567 มีการปรับเปลี่ยนยกระดับดีไซน์ทั้งภายนอกและภายใน ปรับปรุงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และในขณะเดียวกัน ก็ยังรักษาจุดเด่นของตัวรถด้านประสิทธิภาพการขับขี่ และความประหยัดน้ำมันเอาไว้ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าครอบครัวคนรุ่นใหม่”

“ดีไซน์ภายนอก มีการปรับภายใต้คอนเซปต์ Urban x Premium ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ใช้งานในเมือง ด้วยไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp มาพร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential ดูหรูหรา ล้ำสมัย และให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ กันชนหน้า และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Multi-dimensional ที่ทำให้ตัวรถดูกว้าง ทันสมัย และทรงพลัง ล้ออัลลอยสีทูโทน ดีไซน์ใหม่”

“ภายในปรับเปลี่ยนให้มีความพรีเมียมยิ่งขึ้น ด้วยสีภายในแบบทูโทน มีทั้งหมด 2 สี คือสีดำ และสีใหม่ สี Dark Rose ให้ความรู้สึกหรูหรา เหนือระดับ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Frameless Panoramic Roof ขนาดใหญ่ พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า EPB มาตรวัดแบบ Full Digital พร้อมจอแสดงผลข้อมูลขับขี่ ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลากหลาย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และอุปกรณ์ ชาร์จไฟแบบไร้สาย”

“ด้านความปลอดภัย รุ่น HEV ทุกรุ่นติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense ที่มาพร้อมกับ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed พร้อม Stop & Go ลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่ง และเร่งกลับสู่ระดับที่ตั้งไว้ เมื่อคันหน้าเคลื่อนตัว กล้องมองรอบคัน PVM ให้ภาพที่เคลียร์ชัด ที่มากับระบบ PKSB ช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ ทำให้การจอดรถในทุกทิศทาง 360 องศา ทำได้ง่าย และปลอดภัย ติดตั้งระบบเตือนมุมอับสายตา BSM และช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย”

“ด้านสมรรถนะการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และ เครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร มีพละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งาน พร้อมอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.3 กม.ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด โครงสร้างตัวถัง และช่วงล่างถูกพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานตัวถัง TNGA ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล และมั่นใจ”

“ในรุ่นใหม่ มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี พร้อมกับสีใหม่อย่าง Cement Gray Metallic ที่หรูหรา และทันสมัย ด้วยการปรับปรุงในครั้งนี้ เรามั่นใจว่า Corolla Cross จะสามารถตอบโจทย์ และพร้อมพาลูกค้าทุกท่าน ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อีกครั้ง”

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแผนการตลาดว่า “ในปีที่ผ่านมา เราได้มีการแนะนำ YARIS CROSS ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่มีความเต็มที่ในทุกด้าน และในปีนี้ เพื่อให้ Corolla Cross เป็นยนตรกรรมที่สามารถตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งเป็น “ผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Corolla Cross ใหม่ จึงได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นเดิม ให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์แบบมากขึ้นในหลายๆ ด้าน”

“Corolla Cross ใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคอนเซปท์ “Complete your life ตอบ…ทุกความหมายชีวิต” โดยเรามีพรีเซนเตอร์ครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของกลุ่มลูกค้า Corolla Cross ที่ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ กับครอบครัว”

“โดยเราวางเป้าหมายการขายของ Corolla Cross ใหม่ ไว้ที่ 1,500 คันต่อเดือน และจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป”

โคโรลล่า ครอส ใหม่ มาพร้อมทางเลือกสีภายนอก 5 สี และสีภายใน 2 สี

สีภายนอก

รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium และ 1.8 Sport Plus

-ใหม่! สีเทา Cement Gray Metallic                          

-สีเทา Celestite Gray Metallic

-สีขาว Platinum White Pearl

-สีเงิน Metal Stream Metallic

-สีดำ Attitude Black Mica

รุ่น HEV GR Sport

-สีขาว Platinum White Pearl พร้อมหลังคาดำ

-สีแดง Red Mica Metallic พร้อมหลังคาดำ

-สีดำ Attitude Black Mica

สีภายใน

-ใหม่! สี Dark Rose 

เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Platinum White Pearl, สี Celestite Gray Metallic, สี Attitude Black Mica

-สี Black

เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Cement Gray Metallic และ สี Metal Stream Metallic และรุ่น 1.8 Sport Plus

-สี GR Sport Black

เฉพาะรุ่น GR Sport

เป็นเจ้าของ โคโรลล่า ครอส ใหม่ วันนี้ รับข้อเสนอสุดพิเศษ!

• ดอกเบี้ยพิเศษ ช่วงแนะนำ เริ่มต้นเพียง 1.79%* (ดาวน์ 25%, 48 เดือน) พร้อมประกันภัยชั้น 1 PHYD รวมทั้งข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าปัจจุบันของโตโยต้า ด้วยส่วนลดดอกเบี้ย 0.3%

•สะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายกับเทคโนโลยี Connected ทั้งด้านประกันภัย การบำรุงรักษา และ การสะสมคะแนนแลกสิทธิพิเศษมากมาย

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด เกียร์อัตโนมัติ

-HEV GR-Sport      ราคา         1,254,000 บาท**

-HEV Premium Luxury     ราคา         1,204,000 บาท**

-HEV Premium      ราคา           1,094,000 บาท**

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เกียร์อัตโนมัติ

-1.8 Sport Plus      ราคา          999,000 บาท**

*สำหรับสีพิเศษ

รุ่น GR-Sport สี Platinum White Pearl พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 15,000 บาท, สี Red Mica Metallic พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 10,000 บาท

รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium, 1.8 Sport Plus สี Platinum White Pearl และ Cement Gray Metallic เพิ่ม 10,000 บาท

**ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม

เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

เชิญสัมผัสและทดลองขับ โคโรลล่า ครอส ใหม่

“COMPLETE YOUR LIFE ตอบ…ทุกความหมายชีวิต”

ได้ที่งาน “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH ELEGANCE”

ที่ CENTRAL WORLD ชั้น 1 โซน EDEN ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์

สนุกกับกิจกรรมเปิดตัวสุดพิเศษ “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH LOVE”

ณ โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์ 2567

พบกิจกรรมทดลองขับพร้อมรับของที่ระลึกกระเป๋าอเนกประสงค์ (จำนวนจำกัด)

และสามารถสัมผัสโคโรลล่า ครอส ใหม่ ได้ที่ TOYOTA ALIVE บางนา

ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่

https://www.toyota.co.th/ Facebook: Toyota Motor Thailand

LINE ID: @ToyotaThailand  TikTok: @ToyotaMotorTH

X(Twitter): @ToyotaMotorTH Instagram: @toyotamotorthailandofficial               

ข้อมูลผลิตภัณฑ์  โคโรลล่า ครอส ใหม่

สเปกใหม่ในทุกรุ่น

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

รุ่น HEV GR-Sport

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

-ใหม่! อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° view

-ใหม่! กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (4) หลัง (4) รวม 8 ตำแหน่ง

รุ่น HEV Premium Luxury

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Head Lamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 18 นิ้ว

-ใหม่! Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

-ใหม่! อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° view

-ใหม่! กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว

-ใหม่! เบาะภายในสี Dark Rose  *ตามสีภายนอก

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (4) หลัง (4) รวม 8 ตำแหน่ง

รุ่น HEV Premium

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 18 นิ้ว

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! เบาะภายในสี Dark Rose  *ตามสีภายนอก

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบความปลอดภัย TOYOTA SAFETY SENSE

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (2) หลัง (4) รวม 6 ตำแหน่ง

รุ่น 1.8 Sport Plus

เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจกมองข้างพร้อมระบบ Reverse Link

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (2) หลัง (4) รวม 6 ตำแหน่ง

โตโยต้า เปิดตัว SUV ยอดนิยม โคโรลล่า ครอส ใหม่

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV รุ่น “โคโรลล่า ครอส” ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2563 โดยเป็นรถที่ได้รับการออกแบบภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว และมีความแข็งแกร่ง ภายในห้องโดยสารเพียบพร้อมด้วยพื้นที่กว้างขวาง สะดวกสบายพร้อมด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระ ที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย ซึ่งนับตั้งแต่การแนะนำโคโรลล่า ครอสนั้น ถือเป็นรถรุ่นที่ประสบความสำเร็จ ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดีเสมอมา ด้วยยอดขายสะสมที่ 71,160 คัน ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม ปี 2563 ถึง เดือน ธันวาคม ปี 2566

นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมด้วย นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ยอดนิยม เพื่อนำเสนอประสบการณ์การขับเคลื่อนที่มาพร้อมเทคโนโลยีและฟังก์ชันอำนวยความสะดวก มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ กับ “โคโรลล่า ครอส ใหม่” เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ลาน Eden ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับโคโรลล่า ครอสใหม่ ได้มีการปรับปรุงในทุกรุ่นย่อย เพื่อมอบประสบการณ์ในการขับเคลื่อนที่ดียิ่งกว่า โดยดีไซน์ใหม่นี้ เป็นการเปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในโลก ด้วยดีไซน์กระจังหน้าแบบ “Multi-Dimensional Design” ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp และ ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential เหนือระดับ ด้วยหลังคา Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาอิสระ ทั้งยังมาพร้อมกับการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และช่องต่อ USB แบบ type C โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ Parking Support Brake, ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Tire Pressure Monitoring System, กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° View, สัญญาณเตือนกะระยะ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ รวมทั้ง ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electronic Parking Brake และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ Auto Brake Hold  อีกด้วย

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้าในปีที่ผ่านมา พร้อมแนะนำแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ว่า “ในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยต้องเผชิญความยากลำบากและการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยลดลง 9% โดยเฉพาะเซกเมนต์รถกระบะที่ลดลงถึง 32% ในขณะที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนได้เข้าสู่ตลาด และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% ถึง 11% ซึ่งภายใต้ส่วนแบ่งตลาดดังกล่าว สัดส่วนการขายของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เติบโตขึ้นจาก 1% เป็น 10%

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว โตโยต้ายังคงมีรถหลายรุ่น ได้แก่ คัมรี ฟอร์จูนเนอร์ เวลอซ และไฮเอซ ที่เป็นผู้นำในเซกเมนต์ต่างๆ นอกจากนั้น ยาริสและเอทีฟก็สามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งในเซกเมนต์อีโคคาร์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 45% สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา สำหรับเซกเมนต์รถเอนกประสงค์ SUV โตโยต้ากลับมาครองยอดขายสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาหลังจากการแนะนำยาริส ครอส รวมถึง รถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% เป็นสัดส่วนที่สูงสุดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของโตโยต้าอยู่ที่ 34.3% สูงที่สุดนับตั้งแต่พ.ศ. 2558 และสูงกว่า พ.ศ. 2565 ที่ 0.3% ซึ่งเราขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยที่ได้ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของโตโยต้าเป็นอย่างดีเสมอมา

ทั้งนี้เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โดยโตโยต้ายังคงมุ่งเดินหน้าตามกลยุทธ์ในการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งความหลากหลายของลูกค้า การใช้งาน ข้อจำกัดในแต่ละภูมิประเทศ อาทิ โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน สภาพถนน ข้อจำกัดทางด้านพลังงาน เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โตโยต้ามีความต้องการที่จะมุ่งเติมเต็มชีวิตของผู้คน และนำมาซึ่งรอยยิ้มของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เราจึงเลือกกลยุทธ์ Multiple Pathway ตามปรัชญา “Mobility for All” โดยที่จะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (No One leaves behind)

โดยในปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ในประเทศไทยได้เติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ไฮบริด (HEV) ก็เติบโตขึ้น และยังกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้าชาวไทย สำหรับประเภทรถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ด้วยเหตุผลที่สามารถใช้งานได้จริงอย่างเหมาะสม ลูกค้ามีความอุ่นใจขณะใช้งาน และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ  รวมไปถึงมีมูลค่าในการขายต่อที่ดี โดยในปีที่แล้ว ส่วนแบ่งตลาดของรถไฮบริด อยู่ที่มากกว่า 12% และในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ 17%

อีกหนึ่งกระแสสำคัญในประเทศไทย คือ ความนิยมในรถยนต์ประเภท SUV โดยในปีที่แล้วนั้น ส่วนแบ่งตลาดของ SUV เพิ่มขึ้นที่ 38% แม้ว่าตลาดรถยนต์รวมจะหดตัวลง 9% ทั้งนี้เนื่องมาจากประโยชน์ใช้สอยของรถ SUV เอง ที่สามารถตอบสนองรูปแบบการใช้งานอันหลากหลาย ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันในรูปแบบคนเมือง จนถึงการออกไปใช้ชีวิตแบบผจญภัยในช่วงวันหยุด  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพื่อความสำเร็จในประเทศไทยต่อไป และนำรอยยิ้มของลูกค้าชาวไทยมาให้มากขึ้น และนี่คือการเปิดตัวรอบ World Premiere ของ Corolla Cross ใหม่ ที่ได้รับการอัพเกรด เพื่อมอบความพรีเมี่ยม เหนือระดับ ด้วยการออกแบบภายนอกที่ล้ำสมัยและได้มาตรฐานของสเปกที่ต้องการ ซึ่งผมหวังอย่างยิ่งว่า โคโรลล่า ครอส ใหม่ จะได้รับการยอมรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี เหมือนดังเช่นเคย”

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และจุดเด่นของโคโรลล่า ครอสใหม่ ว่า “โคโรลล่า ครอส รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2567 มีการปรับเปลี่ยนยกระดับดีไซน์ทั้งภายนอกและภายใน ปรับปรุงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และในขณะเดียวกัน ก็ยังรักษาจุดเด่นของตัวรถด้านประสิทธิภาพการขับขี่ และความประหยัดน้ำมันเอาไว้ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าครอบครัวคนรุ่นใหม่”

“ดีไซน์ภายนอก มีการปรับภายใต้คอนเซปต์ Urban x Premium ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ใช้งานในเมือง ด้วยไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp มาพร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential ดูหรูหรา ล้ำสมัย และให้ทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ กันชนหน้า และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Multi-dimensional ที่ทำให้ตัวรถดูกว้าง ทันสมัย และทรงพลัง ล้ออัลลอยสีทูโทน ดีไซน์ใหม่”

“ภายในปรับเปลี่ยนให้มีความพรีเมียมยิ่งขึ้น ด้วยสีภายในแบบทูโทน มีทั้งหมด 2 สี คือสีดำ และสีใหม่ สี Dark Rose ให้ความรู้สึกหรูหรา เหนือระดับ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Frameless Panoramic Roof ขนาดใหญ่ พร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า EPB มาตรวัดแบบ Full Digital พร้อมจอแสดงผลข้อมูลขับขี่ ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ปรับการแสดงผลได้หลากหลาย หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และอุปกรณ์ ชาร์จไฟแบบไร้สาย”

“ด้านความปลอดภัย รุ่น HEV ทุกรุ่นติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense ที่มาพร้อมกับ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed พร้อม Stop & Go ลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่ง และเร่งกลับสู่ระดับที่ตั้งไว้ เมื่อคันหน้าเคลื่อนตัว กล้องมองรอบคัน PVM ให้ภาพที่เคลียร์ชัด ที่มากับระบบ PKSB ช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ ทำให้การจอดรถในทุกทิศทาง 360 องศา ทำได้ง่าย และปลอดภัย ติดตั้งระบบเตือนมุมอับสายตา BSM และช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย”

“ด้านสมรรถนะการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และ เครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร มีพละกำลังที่เพียงพอต่อการใช้งาน พร้อมอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.3 กม.ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 98 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด โครงสร้างตัวถัง และช่วงล่างถูกพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานตัวถัง TNGA ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล และมั่นใจ”

“ในรุ่นใหม่ มีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีสีภายนอกทั้งหมด 5 สี พร้อมกับสีใหม่อย่าง Cement Gray Metallic ที่หรูหรา และทันสมัย ด้วยการปรับปรุงในครั้งนี้ เรามั่นใจว่า Corolla Cross จะสามารถตอบโจทย์ และพร้อมพาลูกค้าทุกท่าน ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อีกครั้ง”

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวถึงแผนการตลาดว่า “ในปีที่ผ่านมา เราได้มีการแนะนำ YARIS CROSS ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่มีความเต็มที่ในทุกด้าน และในปีนี้ เพื่อให้ Corolla Cross เป็นยนตรกรรมที่สามารถตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งเป็น “ผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่” ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Corolla Cross ใหม่ จึงได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรุ่นเดิม ให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์แบบมากขึ้นในหลายๆ ด้าน”

“Corolla Cross ใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริหาร และครอบครัวรุ่นใหม่ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคอนเซปท์ “Complete your life ตอบ…ทุกความหมายชีวิต” โดยเรามีพรีเซนเตอร์ครอบครัวรุ่นใหม่ ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของกลุ่มลูกค้า Corolla Cross ที่ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ กับครอบครัว”

“โดยเราวางเป้าหมายการขายของ Corolla Cross ใหม่ ไว้ที่ 1,500 คันต่อเดือน และจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป”

โคโรลล่า ครอส ใหม่ มาพร้อมทางเลือกสีภายนอก 5 สี และสีภายใน 2 สี

สีภายนอก

รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium และ 1.8 Sport Plus

-ใหม่! สีเทา Cement Gray Metallic                          

-สีเทา Celestite Gray Metallic

-สีขาว Platinum White Pearl

-สีเงิน Metal Stream Metallic

-สีดำ Attitude Black Mica

รุ่น HEV GR Sport

-สีขาว Platinum White Pearl พร้อมหลังคาดำ

-สีแดง Red Mica Metallic พร้อมหลังคาดำ

-สีดำ Attitude Black Mica

สีภายใน

-ใหม่! สี Dark Rose 

เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Platinum White Pearl, สี Celestite Gray Metallic, สี Attitude Black Mica

-สี Black

เฉพาะรุ่น HEV Premium Luxury / HEV Premium ที่สีภายนอกสี Cement Gray Metallic และ สี Metal Stream Metallic และรุ่น 1.8 Sport Plus

-สี GR Sport Black

เฉพาะรุ่น GR Sport

เป็นเจ้าของ โคโรลล่า ครอส ใหม่ วันนี้ รับข้อเสนอสุดพิเศษ!

• ดอกเบี้ยพิเศษ ช่วงแนะนำ เริ่มต้นเพียง 1.79%* (ดาวน์ 25%, 48 เดือน) พร้อมประกันภัยชั้น 1 PHYD รวมทั้งข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าปัจจุบันของโตโยต้า ด้วยส่วนลดดอกเบี้ย 0.3%

•สะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายกับเทคโนโลยี Connected ทั้งด้านประกันภัย การบำรุงรักษา และ การสะสมคะแนนแลกสิทธิพิเศษมากมาย

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด เกียร์อัตโนมัติ

-HEV GR-Sport      ราคา         1,254,000 บาท**

-HEV Premium Luxury     ราคา         1,204,000 บาท**

-HEV Premium      ราคา           1,094,000 บาท**

สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เกียร์อัตโนมัติ

-1.8 Sport Plus      ราคา          999,000 บาท**

*สำหรับสีพิเศษ

รุ่น GR-Sport สี Platinum White Pearl พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 15,000 บาท, สี Red Mica Metallic พร้อมหลังคาสีดำ เพิ่ม 10,000 บาท

รุ่น HEV Premium Luxury, HEV Premium, 1.8 Sport Plus สี Platinum White Pearl และ Cement Gray Metallic เพิ่ม 10,000 บาท

**ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม

เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

เชิญสัมผัสและทดลองขับ โคโรลล่า ครอส ใหม่

“COMPLETE YOUR LIFE ตอบ…ทุกความหมายชีวิต”

ได้ที่งาน “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH ELEGANCE”

ที่ CENTRAL WORLD ชั้น 1 โซน EDEN ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์

สนุกกับกิจกรรมเปิดตัวสุดพิเศษ “COMPLETE YOUR LIFE… DRIVE WITH LOVE”

ณ โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์ 2567

พบกิจกรรมทดลองขับพร้อมรับของที่ระลึกกระเป๋าอเนกประสงค์ (จำนวนจำกัด)

และสามารถสัมผัสโคโรลล่า ครอส ใหม่ ได้ที่ TOYOTA ALIVE บางนา

ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่

https://www.toyota.co.th/ Facebook: Toyota Motor Thailand

LINE ID: @ToyotaThailand  TikTok: @ToyotaMotorTH

X(Twitter): @ToyotaMotorTH Instagram: @toyotamotorthailandofficial               

ข้อมูลผลิตภัณฑ์  โคโรลล่า ครอส ใหม่

สเปกใหม่ในทุกรุ่น

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ Sequential

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

รุ่น HEV GR-Sport

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

-ใหม่! อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° view

-ใหม่! กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (4) หลัง (4) รวม 8 ตำแหน่ง

รุ่น HEV Premium Luxury

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Head Lamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 18 นิ้ว

-ใหม่! Panoramic Roof แบบ Frameless พร้อมม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

-ใหม่! อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless charger

-ใหม่! กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° view

-ใหม่! กล้องวิดีโอบันทึกภาพติดรถยนต์ ด้านหน้า และด้านหลัง

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว

-ใหม่! เบาะภายในสี Dark Rose  *ตามสีภายนอก

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (4) หลัง (4) รวม 8 ตำแหน่ง

รุ่น HEV Premium

ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร*  (*อ้างอิงจาก ECO Sticker)

เครื่องยนต์ HEV 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! ล้ออัลลอยปัดเงาสีทูโทน 18 นิ้ว

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! เบาะภายในสี Dark Rose  *ตามสีภายนอก

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! ระบบความปลอดภัย TOYOTA SAFETY SENSE

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (2) หลัง (4) รวม 6 ตำแหน่ง

รุ่น 1.8 Sport Plus

เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS)

ไฮไลท์สเปก

-ใหม่! ไฟหน้า ดีไซน์ใหม่ แบบ LED Crystalized Headlamp

-ใหม่! ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED แบบ Sequential

-ใหม่! ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่

-ใหม่! กระจกมองข้างพร้อมระบบ Reverse Link

-ใหม่! ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH

-ใหม่! หน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว แบบ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย

-ใหม่! จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว

-ใหม่! ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารแบบ LED

-ใหม่! ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA

-ใหม่! USB type C

-ใหม่! สัญญาณเตือนกะระยะ หน้า (2) หลัง (4) รวม 6 ตำแหน่ง

ยามาฮ่า จัดกจกรรมยิ่งใหญ่กลางสยามสแควร์เอาใจสายออโตเมติกแฟชั่น

ยามาฮ่า จัดหนักปิดสยามสแควร์จัดกิจกรรมใหญ่เอาใจสายออโตเมติกแฟชั่นกับ YAMAHA BFF พร้อมคอนเสิร์ตสุดมันกับ 4 ศิลปินชื่อดัง

นายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า นางสาวบัวทิพย์ จันทร์ดำรงกุล ผู้จัดการใหญ่ด้านการเงิน นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธน์ รองผู้จัดการใหญ่ด้านวางแผนการค้าและการตลาด นายอัตถากรณ์ สิงห์น้อย รองผู้จัดการใหญ่ด้านการผลิต และนายจิรภัทร สายเพชร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดกลุ่มรถออโตเมติก บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกันกับมิลลิ ทิลลี่เบิร์ด และเปเปอร์เพลน ในการเปิดกิจกรรม YAMAHA Best Automatic Fashion Festival 2024 รวมพลคนรักยามาฮ่า ออโตเมติก แฟชั่น

โดยภายในงานมีกิจกรรม และเกมสุดมันมากมาย พร้อมการประกวด Random Dance ประกวดเต้นสุดชิค Fashion Ride On Contest ประกวดการแต่งกายคู่กับรถคู่ใจ พรัอมกับ Art Piece BFF ที่เนรมิตผลงานโดย โก๋เอ็ม บุดดาเบลส นายกิตติพงษ์ คำศาสตร์ จุดถ่ายรูปเช็กอินสุดเก๋ พร้อมเกม และกิจกรรมให้ร่วมสนุกพร้อมของรับของรางวัลอย่างมากมาย

พร้อมกันนี้ยังมีบูธจำหน่ายรถจักรยานยนต์จากร้านรุ่งโรจน์มหานคร นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติกของยามาฮ่ามาร่วมออกบูธพร้อมโปรโมชันพิเศษภายในงาน บูธเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์ยามาลู้ป พร้อมบูธพันธมิตรทางการค้าหมวกกันน็อก INDEX ร้านจำหน่ายไฟหน้าและชุดโคมโปรเจคเตอร์ Sunbeam และ Asaki นำอุปกรณ์ไอทีมาร่วมจัดจำหน่าย

ปิดท้ายความยิ่งใหญ่กับคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ นำโดย MILLI ศิลปินสุดปัง Paper Planes ศิลปินป็อปร็อคแถวหน้าของแก๊งวัยรุ่นฟันน้ำนม Tilly Bird 3 หนุ่มบอยแบนด์ขนเพลงดังมาแบบจัดเต็ม ปิดทัายกับ Getsunova ตำนานดนตรีโพสต์พังก์และบริตป็อปกับเพลงฮิตทั่วเมืองไทย มาร่วมสร้างความสนุกสุดมัน

โดยกิจกรรม YAMAHA Best Automatic Fashion Festival 2024 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เอาใจชาวออโตเมติกแฟชั่นของยามาฮ่า ใจกลางสยามสแควร์ เมื่อเร็วๆ นี้

ไทยฮอนด้า เปิดตัวนักแข่ง และทีมโค้ชลุยศึกมอเตอร์สปอร์ต 2024

“ไทยฮอนด้า” เปิดตัวนักแข่ง และทีมโค้ชมอเตอร์สปอร์ต 2024 ตั้งเป้าสุดท้าทาย มุ่งสร้างผลงานในระดับโลก ”ก้อง-สมเกียรติ” นำทัพสู้ศึกโมโตทู ปีที่ 6 “ก๊องส์-ธัชกร” ลุยโมโตทรีเต็มฤดูกาลครั้งแรก

“ไทยฮอนด้า” ผู้นำวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย ประกาศแผนมอเตอร์สปอร์ตปี 2024 ยกระดับนักบิดไทยภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” สู่ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ส่ง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ลุยศึกชิงแชมป์โลกรุ่นโมโตทู ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ด้วยเป้าหมายสุดท้าทายในการจบอันดับท็อปทรี พร้อมดัน “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี อีกหนึ่งนักบิดฝีมือดี ลงแข่งขันโมโตทรี แบบเต็มฤดูกาลเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับการผลักดันนักแข่งดาวรุ่งอย่าง “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร ลุยศึกเยาวชนชิงแชมป์โลก รายการ “เอฟไอเอ็ม จูเนียร์จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” และ รายการ “เรดบูล โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ” เพื่อสร้างนักแข่งรุ่นใหม่สู่การเป็นนักแข่งระดับโลกในรุ่นต่อไป ภายใต้แนวคิด “The Next Successor To Become The World Class Riders”

มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ผู้นำวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย กล่าวว่า “ในปี 2023 ที่ผ่านมา นักแข่งจากทีม “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ต่างพากันสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม ทั้งหมดเป็นผลจากการทำงานอย่างเป็นระบบภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ที่ทำให้เราสามารถพัฒนานักแข่งได้อย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าในปีนี้ เราจะมีนักแข่งลงชิงชัยในศึกชิงแชมป์โลกถึงสองคน นั่นคือ “สมเกียรติ จันทรา” และ “ธัชกร บัวศรี” ในขณะเดียวกัน เราได้ผลักดันนักแข่งดาวรุ่งอีกมากมายลงแข่งในระดับนานาชาติและระดับเอเชีย ซึ่งอีกหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการส่งนักแข่งและทีมแข่งเข้าร่วมการแข่งขันที่มีความเข้มข้นอย่างรายการ “มาเลเซีย ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ” เป็นครั้งแรก รวมถึงการมอบตำแหน่ง ”เรซโค้ช” ให้กับ “มุกข์ลดา สารพืช” เข้ามาดูแลนักแข่งและถ่ายทอดประสบการณ์ร่วมกับ “รัฐภาคย์ วิไลโรจน์” และ “สิทธิศักดิ์ อ่อนเฉวียง” โดยมีที่ปรึกษาอย่าง มร.ชินอิจิ อิโต อดีตนักแข่งระดับเวิลด์กรังด์ปรีซ์ มาร่วมวางแผนการฝึกที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้นักแข่งของเราสร้างผลงานได้อย่างต่อเนื่องในทุกระดับ เราเชื่อว่าการแข่งขันในปีนี้จะมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก และไทยฮอนด้าพร้อมแล้วที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย ขอฝากแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยร่วมติดตามและส่งกำลังใจเชียร์ทีมแข่ง “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” และนักแข่งฮอนด้าทุกคนด้วยครับ”

เริ่มจากการแข่งขันในรายการที่เป็นที่สุดของโลก อย่างรายการ เวิลด์กรังด์ปรีซ์ ในปีนี้ ไทยฮอนด้าได้ส่ง 2 นักแข่ง เข้าร่วมชิงชัย “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา” หมายเลข 35 เจ้าของรางวัล นักกีฬาอาชีพชายดีเด่นสองปีซ้อน จากการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่คว้าอันดับ 6 ของโลกในเวิล์ดกรังด์ปรีซ์ 2023 รุ่นโมโตทู ลงแข่งขันรุ่นโมโตทู เป็นปีที่ 6 ภายใต้สังกัด “อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย” ด้วยเป้าหมายสุดท้าทาย นั่นคือการคว้าท็อปทรีให้ได้ ตามด้วย “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี หมายเลข 5 ลงสู้ศึก เวิลด์กรังด์ปรีซ์ใน รุ่นโมโตทรี แบบเต็มฤดูกาล ด้วยเป้าหมายคว้าท็อปเท็น

สำหรับการแข่งขันระดับเยาวชนชิงแชมป์โลก ไทยฮอนด้า ส่ง “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร หมายเลข 20 นักบิดดาวรุ่งเข้าแข่งขันในรายการ “เอฟไอเอ็ม จูเนียร์จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” และ “เรดบลู โมโตจีพี รุกกี้ส์ คัพ” โดยวางเป้าหมายไว้ที่การจบท็อปเท็นในทั้งสองรายการ

ในระดับเอเชีย เริ่มจากรายการ “เอเชีย ทาเลนต์ คัพ” ไทยฮอนด้า ส่ง 3 นักบิดดาวรุ่งไทย อย่าง “จิมมี่” บูรพา วันมูล พร้อมด้วย “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงษ์ และ “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง ลงแข่งขันเพื่อปูทางสู่ระดับโลกตามรอยรุ่นพี่ในการสร้าง “The Next Successor To Become The World Class Riders”

ตามด้วยรายการใหญ่ระดับเอเชียอย่าง “เอเชีย โร้ด เรซซิ่ง” ไทยฮอนด้า ส่ง “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ ภายใต้สังกัด “ฮอนด้า เอเชีย ดรีม เรซซิ่ง วิท แอสติโม” และ “แชมป์” ภาสวิชญ์ ฐิติวรารักษ์ ภายใต้สังกัด “แอสติโม เอสไอ เรซซิ่ง วิท ไทยฮอนด้า” ลงขับเคี่ยวกับนักแข่งแถวหน้าระดับเอเชีย ในรุ่น เอเชีย ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี นอกจากนั้นยังเดินหน้าผลักดันนักบิดรุ่นใหม่ “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงศ์ ลงเก็บประสบการณ์ในเวทีระดับเอเชีย ร่วมกับทีมเมทอย่าง “มิกซ์” ธนัช ละอองปลิว ในรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี

ส่วนรายการ “ออลเจแปน โร้ด เรซ แชมเปี้ยนชิพ” ไทยฮอนด้า ส่งนักบิดอีก 2 คนประกอบด้วย “จิมมี่” บูรพา วันมูล ผนึกกำลังกับ “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง” บิด NSF250R ลงสู้ศึก ในรุ่น J-GP3 ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเก็บประสบการณ์และเสริมความแข็งแกร่ง

พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการยกระดับในระดับนานาชาติให้กับนักบิดไทย และทีมช่าง ไทยฮอนด้าได้ประกาศส่งทีม “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ลงชิงชัยในศึก “มาเลเซีย ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ” เต็มฤดูกาล นำโดย “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ และ “แชมป์” ภาสวิชญ์ ฐิติวรารักษ์ ในรุ่น 1000 ซีซี  พร้อมส่ง “มิกซ์” ธนัช ละอองปลิว ลงขับเคี่ยวในรุ่น 600 ซีซี ตามด้วยรุ่นน้องดาวรุ่งฝีมือดี จากโครงการ “ไทยแลนด์ ทาเลนต์ คัพ” ประกอบด้วย “อุ้ม” นพรุธพงษ์ บุญประเวศ “คลาสดี” พิชญางกูฬ์ อินทร์จักร์” และ “ไฮเปค” กฤษฎา ธนะโชติ ร่วมชิงชัยในรุ่น 250 ซีซี

นอกจาการแข่งขันทางเรียบแล้ว ไทยฮอนด้ายังได้ส่งนักแข่งทางฝุ่นฝืมือดีอย่าง “แซงค์” กฤษฎา จำรูญจารีต เจ้าของแชมป์ประเทศไทย 4 สมัย ลงไล่ล่าแชมป์สมัยที่ 5 ในรายการ “เอฟเอ็มเอสซีที ไทยแลนด์ โมโตครอส” รุ่น MX-2A 

สำหรับแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของนักบิดไทยในโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” และ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ แชมเปี้ยน” รวมถึงส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้าทุกคนได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH

#ThaiHonda #MotoGP #Moto2 #Moto3 #SC35 #TB5 #JP20 #JuniorGP #Motorsport #RoadToMotoGP #RaceToTheOne #RaceToTheDream #RaceToTheChampion #HondaRacingThailand #HondaAcademy #HondaThailandTalentCup #AsiaTalent #ARRC #AllJapan #Malaysiasuperbike #FMSCT #ThailandMotocross

MMS มอบรางวัลรถยนต์ เปอโยต์ 2008 แก่ผู้โชคดี

MMS ศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร มอบรางวัลรถยนต์ เปอโยต์ 2008 แก่ผู้โชคดี จากแคมเปญฉลองครบรอบ 15 ปี พร้อมเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่ รองรับการเติบโต

บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) สำหรับรถญี่ปุ่นและยุโรปที่หมดระยะการรับประกัน จัดพิธีมอบรางวัลที่หนึ่ง รถยนต์ ‘เปอโยต์ 2008’ เอสยูวีสไตล์ฝรั่งเศส จากแคมเปญ MMS ฉลองครบรอบ 15 ปี ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ร่วมชิงรางวัลต่างๆ กว่า 2,000 รางวัล นับเป็นการตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้า ที่มีต่อบริการอันเป็นเลิศของ MMS เรื่อยมา

ขนิษ วงศ์จินดารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับลูกค้าผู้โชคดีทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับรางวัลใหญ่ รถยนต์ เปอโยต์ 2008 เอสยูวีดีไซน์และสมรรถนะเยี่ยมจากฝรั่งเศส แคมเปญนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการขอบพระคุณลูกค้า ที่มอบความไว้วางใจให้ MMS ด้วยดี ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา โดยตลอดระยะเวลาการจัดแคมเปญกว่า 8 เดือน มีผู้สนใจเข้าร่วมลุ้นโชคกว่า 12,000 ราย พร้อมกับเป็นการสมนาคุณลูกค้าที่ไว้วางใจเข้ารับบริการกับ MMS จากทั้ง 22 สาขา และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้นี้”

ผู้โชคดีรับรางวัลใหญ่ นักเทคโนโลยีรางวัลพระราชทาน 2559 สร้างงานศึกษาและพัฒนาอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม

รศ.ดร วีระศักดิ์ สุระเรืองชัย อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และสถาบันวิทยาศาสตร์การวิเคราะห์และตรวจการกีฬา มหาวิยาลัยมหิดล มีภารกิจการศึกษาวิจัยด้านเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ การศึกษาในการพัฒนาเยาวชนที่มีความสามารถสูงพิเศษ และได้รับรางวัลพระราชทาน นักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2559 โดย รศ.ดร วีระศักดิ์ กล่าวว่า “มาใช้บริการที่นี่เป็นประจำ เพราะตอบโจทย์ความต้องการ ในด้านซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ที่ครอบคลุม และรู้สึกดีใจที่ทาง MMS มีการจัดแคมเปญคืนกำไรให้กับลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่า ได้รับรางวัลใหญ่เป็นรถยนต์ เปอโยต์ ที่เคยรับรู้ถึงมาตรฐานด้านสมรรถนะและการขับขี่ที่ปลอดภัย ที่สำคัญดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์แบบฉบับฝรั่งเศส ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ขอขอบคุณ MMS สำหรับรางวัลนี้ พร้อมกับบริการที่เป็นเยี่ยม สร้างความน่าเชื่อถือและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง”

เดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่ ชูศักยภาพการแข่งขัน พร้อมขยายสาขารองรับการเติบโต

MMS เดินหน้าปรับภาพลักษณ์ของแต่ละสาขาให้ทันสมัยขึ้น เริ่ม 4 สาขาแรกในไตรมาสที่ 2 ได้แก่ รามอินทรา, งามวงศ์วาน, สุขาภิบาล 3 และลำลูกกา ต่อเนื่องอีก 4 สาขา พร้อมเพิ่มความสะดวกสบายของห้องรับรองลูกค้า ขณะที่การขยายสาขายังดำเนินการตามแผนเดิมที่ตั้งไว้ และจากสภาวการณ์เศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา อีกทั้งการแข่งขันสูง ในปีนี้ MMS ต้องการชูศักยภาพ พร้อมความเข้มข้นในด้านต่างๆ อาทิ ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและกรณีซ่อมหนัก โดยเฉพาะรถยุโรป โดยมีเครื่องมือวิเคราะห์ พร้อมทีมที่ปรึกษาสายด่วน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้า

การเป็นตัวแทนจำหน่าย ทูนแนป (TUNAP) ผลิตภัณฑ์บำรุงรักษารถยนต์และเครื่องยนต์จากเยอรมนี ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมบริการเปลี่ยนถ่าย น้ำมันเครื่อง ไปถึงการทำความสะอาดระบบปรับอากาศ โดยไม่ต้องถอดตู้แอร์ และใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดเชื้อแบคทีเรีย ระบบ airco well ลิขสิทธ์เฉพาะทูนแนป รวมถึงการเป็นผู้แทนจำหน่ายผ้าเบรกและจานเบรก BOSCH แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยผ้าเบรก BOSCH BLUE LINE รุ่นใหม่ รองรับรถยนต์ในท้องตลาดหลากรุ่น จุดเด่นคือความเงียบ ลดการเกิดฝุ่น พร้อมประสิทธิภาพในการเบรกที่ดีเยี่ยม นับเป็นอีกปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจของ MMS Bosch Car Service ตลอดจนในส่วนธุรกิจ Parts Wholesale

มา MMS ที่เดียวจบ ครบทุกบริการแบบ ‘One-Stop Service’

เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ให้บริการภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘หนัก-เบา เราซ่อมได้’ อาทิ การตรวจสภาพพร้อมบำรุงรักษาตามระยะทาง, ทำความสะอาดระบบปรับอากาศ, เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, แบตเตอรี่, ยาง, เบรก ไปจนถึงการซ่อมช่วงล่าง, เกียร์อัตโนมัติ เครื่องยนต์ และระบบไฮบริด โดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากสถาบัน มาสเตอร์ ออโตโมทีฟ เทรนนิ่ง พร้อมการรับประกันคุณภาพงานซ่อมสูงสุด 1 ปี หรือ 20,000 กม. ลูกค้าสามารถผ่อนชำระ 0% ได้หลายรายการ หรือแม้แต่โปรแกรมที่ปรึกษา ช่วยดูแลรถยนต์สำหรับลูกค้าองค์กร เพื่อช่วยในการควบคุมค่าใช้จ่าย ตอบโจทย์การบำรุงรักษารถยนต์แบบครบวงจร อีกทั้งให้ความสำคัญกับความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ทั้งในส่วนของลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่ ที่เข้ามาใช้บริการ

ปัจจุบัน เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ มีเครือข่ายพร้อมให้บริการทั้งหมด 22 สาขา คือ เกษตร-นวมินทร์, ประดิษฐ์มนูธรรม, พระราม 4, รามอินทรา, งามวงศ์วาน, สุขาภิบาล 3, สำโรง, เพชรเกษม, ราชพฤกษ์, ลำลูกกา, รังสิต, รามคำแหง, คู้บอน, พุทธบูชา, กาญจนาภิเษก, ศรีนครินทร์, พระรามที่ 5, ระยอง, บางแสน, พัทยา, อุบลราชธานี และภูเก็ต

สอบถามข้อมูล โทร.1396 MMS CAR SERVICES AND TYRES

LINE Official: @mmsbosch

Facebook: MMSBoschcarservice

www.mmsboschcarservice.com

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทย

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทยคว้าแชมป์ ถ้วยพระราชทาน “ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024”  

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทยคว้าแชมป์ การแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ระดับนานาชาติ “ปรินเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024” ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูปเปอร์ 300  ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนสะสมระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7,240,000 บาท ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ปทุมวัน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวในการแถลงข่าวว่า “ในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของรายการ โตโยต้ามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันไทย และต้องขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของนักกีฬาและทีมผู้ฝึกสอนที่ทำผลงานและคว้าแชมป์ในครั้งนี้ ซึ่งผมได้เห็นถึงความพยายามอย่างหนัก ความตั้งใจในการฝึกฝนจนทำให้นักกีฬาสามารถเอาชนะและสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อมอบความสุขให้กับแฟนกีฬาแบดมินตันไทยอีกครั้ง พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยให้หันมาสนใจเล่นกีฬาแบดมินตันให้มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญผมขอขอบคุณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยใน

พระบรมราชูปถัมภ์ ที่ได้ให้โอกาส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ในการเป็นผู้สนับสนุนหลักสำหรับการจัดการแข่งขัน “ปริ๊สเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024” ครั้งนี้”

                  “โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

โตโยต้า เผยยอดขายรถยนต์ปี 2566

โตโยต้า แถลงยอดขายรถยนต์ปี 2566 คาดการณ์ตลาดรวมปี 2567 ที่ 800,000 คัน พร้อมตั้งเป้าประมาณการขายโตโยต้าที่ 277,000 คัน

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2566 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2567 เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567

สถิติการขายรถยนต์ในปี 2566

ปี 2566 ถือเป็นปีที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว โดยตลาดภายในประเทศยังคงมีทิศทางที่ชะลอตัว ในขณะที่ภาคการส่งออกโดยรวมมีการขยายตัวที่ดีขึ้น ทั้งนี้ มีปัจจัยหลากหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดในปีที่ผ่านมา ทั้งจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้อที่ชะลอตัวลงจากหนี้ครัวเรือนสูง ตลอดจนการชะลอซื้อรถยนต์ของภาคธุรกิจเพื่อรอความชัดเจนจากมาตรการรัฐซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ขณะเดียวกันสถาบันการเงินก็เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม ยังพอมีปัจจัยด้านบวกอื่นๆ ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม อาทิ สัดส่วนการขายของตลาดรถยนต์นั่งในประเทศที่ขยายตัวได้ดี โดยได้กระแสความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ได้อานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนด้านราคาของภาครัฐ ตลอดจนตัวเลขการส่งออกรถยนต์ของไทยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการผลิตเพื่อส่งออกในช่วงที่ผ่านมา เพื่อชดเชยการส่งมอบรถที่ล่าช้าจากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญจนทำให้การผลิตล่าช้าออกไปในปีก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว ได้สะท้อนมายังตลาดรถยนต์ในประเทศ โดยมีตัวเลขยอดขายรวมในปี 2566 อยู่ที่ 775,780 คัน หรือลดลง 9% เมื่อเทียบกับปี 2565

สถิติการขายรถยนต์ในปี 2566ยอดขายปี 2566การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2565
ปริมาณการขายรวม 775,780 คัน-9%
รถยนต์นั่ง  292,505 คัน                 +10%
รถเพื่อการพาณิชย์483,275 คัน                 -17%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)325,024 คัน                 -29%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)264,738 คัน                 -32%

สำหรับยอดขายของโตโยต้าในปี 2566 มียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 265,949 คัน หรือลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หากแต่ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 34.3% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์นั่งของโตโยต้ามีการเติบโตสูงขึ้นจากปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถอีโคคาร์ที่ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ได้อย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จด้านยอดขายของรถยนต์ Yaris ATIV รวมถึงการมีรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง  Yaris Cross ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า นอกจากนี้ การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการมีผลิตภัณฑ์ยานยนต์ที่หลากหลายของโตโยต้า ก็มีส่วนทำให้สามารถเข้าถึงและใกล้ชิดกับลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายต่างๆได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

นอกเหนือจากรถยนต์ภายใต้แบรนด์โตโยต้า ในปี 2566 ที่ผ่านมา แบรนด์เลกซัส ประเทศไทย ประสบความสำเร็จ มียอดขายสูงสุด อยู่ที่ 1,012 คัน นับเป็นครั้งแรกที่ เลกซัส ประเทศไทย สามารถสร้างยอดขายได้สูงสุดถึงระดับกว่า 1,000 คัน แสดงถึงความไว้วางใจ และความมั่นใจของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อแบรนด์เลกซัส

สถิติการขายรถยนต์ของโตโยต้าในปี 2566ยอดขายปี 2566การเปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2565ส่วนแบ่งตลาด
ปริมาณการขายโตโยต้า265,949 คัน-8%34.3%
รถยนต์นั่ง99,292 คัน+20%33.9%
รถเพื่อการพาณิชย์ 166,657 คัน-19%34.5%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 128,689 คัน-27%39.6%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 106,601 คัน-28%40.3%

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2567

แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2567 คาดว่าจะยังคงอยู่ในสภาวะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมๆ กับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด โดยมีปัจจัยรอบด้านที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวม อาทิ การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น นโยบายของภาครัฐที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายให้เร่งตัวขึ้น การขยายตัวของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายในประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลในด้านการส่งออก ตลอดจนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง และทิศทางของนโยบายอัตราดอกเบี้ยอีกด้วย ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2567 จะอยู่ที่ 800,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2567ยอดขายประมาณการ ปี 2567เปลี่ยนแปลงเทียบกับ ปี 2566
ปริมาณการขายรวม800,000 คัน +3%
รถยนต์นั่ง296,500 คัน +1%
รถเพื่อการพาณิชย์503,500 คัน +4%

สำหรับโตโยต้า ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 277,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 4% โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 34.6%

ประมาณการยอดขายรถยนต์โตโยต้าในปี 2567ยอดขายประมาณการ ปี 2567เปลี่ยนแปลง เทียบกับปี 2566ส่วนแบ่งตลาด
ปริมาณการขายโตโยต้า277,000 คัน +4%34.6%
รถยนต์นั่ง81,700 คัน -18%27.6%
รถเพื่อการพาณิชย์195,300 คัน +17%38.8%
รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง)133,264 คัน +4%41.2%
รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง)114,500 คัน +7%42.1%

ปริมาณการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2566

ในปี 2566 โตโยต้าได้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปไปจำนวน 379,044 คัน เพิ่มขึ้น 0.2% จากปี 2565 โดยยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศและการส่งออกในปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 621,156 คัน หรือลดลง 5.8% จากปี 2565

ปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของ โตโยต้าในปี 2566ปริมาณในปี 2566เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2565
ปริมาณการส่งออก379,044 คัน +0.2%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ 621,156 คัน -5.8%

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์และการผลิตของโตโยต้าในปี 2567

สำหรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปของโตโยต้าในปี 2567 คาดการณ์ว่ายังต้องเผชิญกับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่ำ ตลอดจนภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าที่ยังคงชะลอตัว ส่งผลให้โตโยต้าตั้งเป้าปริมาณการส่งออกรถยนต์อยู่ที่ 358,800 คัน หรือลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และได้ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งหมดของปี 2567 อยู่ที่ราว 615,700 คัน หรือลดลง 0.9% จากปีที่ผ่านมา

เป้าหมายการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและการผลิตของโตโยต้าปี 2567ปริมาณในปี 2567เปลี่ยนแปลงเทียบกับปี 2566
ปริมาณการส่งออก358,800 คัน -5.0%
ยอดผลิตรวมทั้งส่งออกและการขายในประเทศ615,700 คัน -0.9%

การดำเนินงานในด้านอื่นๆของโตโยต้าในประเทศไทย

ในปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจยานยนต์แล้ว โตโยต้ายังได้มีในการดำเนินงานในด้านต่างๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการสร้าง “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) โดยได้มีการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง หรือ “Multiple Pathway” เพื่อทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่สำคัญ อาทิ

1)การลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น / เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP / บริษัท ทรู ลีสซิ่ง / บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCG, และ Commercial Japan Partnership Technologies Corporation หรือ CJPT เพื่อเร่งความร่วมมือในการมุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในประเทศไทย โดยได้เริ่มต้นดำเนินการทดลองใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านข้อมูลด้านการเดินทาง และด้านพลังงาน ซึ่งในปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินความร่วมมือที่เห็นเด่นชัดคือ การเปิดตัวเครื่องผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซชีวภาพที่ได้มาจากมูลสัตว์ในฟาร์มสัตว์ปีกและเศษอาหารของซีพี และอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหารของโตโยต้า โดยนำพลังงานนั้นมาใช้กับรถพลังงานไฮโดรเจน ทั้งนี้ ความท้าทายต่อไป คือการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน และการลดต้นทุนในกระบวนการทั้งหมดของขั้นตอน “การผลิต” “การขนส่ง” และ “การใช้” พลังงานโดยการใช้พลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับสภาพ และการใช้งานในประเทศไทย นอกจากนี้ เพื่อปรับปรุงให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการใช้ข้อมูล จะมีการนำข้อมูลด้านค้าปลีก และขนส่งจาก ซีพีและเอสซีจี รวมถึงการนำเทคโนโลยี “Digital Twin” (การสร้างโมเดลเสมือนจริงจากพื้นที่จริง) ของโตโยต้า มาเพิ่มประสิทธิภาพของ “การเดินทาง การขนส่ง และพลังงาน” โดยร่วมมือกับระบบทางสังคม เช่น การจัดการพลังงานและการควบคุมการจราจร เป็นต้น

2)การต่อยอดโครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ ที่โตโยต้าร่วมมือกับเมืองพัทยาในการจัดสร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์พลังงานทางเลือกที่จัดเตรียมไว้ให้ผู้คนในเมืองพัทยาได้ทดลองใช้งานในการเดินทางรูปแบบต่างๆ ได้มีการต่อยอดไปสู่การเตรียมความพร้อมในการนำรถกระบะต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง Hilux REVO BEV มาให้บริการในรูปแบบรถโดยสารประจำทางสาธารณะแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยา โดยพร้อมที่จะเริ่มทดลองให้บริการได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของรถในโครงการทั้งหมดมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4,000 ตัน ต่อปี

นอกจากนี้ ในด้านกิจกรรมสังคมอื่นๆ โตโยต้าก็ยังมุ่งเน้นการขับเคลื่อนสังคมไทย สู่ “ยุคแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย พร้อมทั้งเสริมสร้างสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมที่ดี ผ่านการดำเนินกิจกรรมและขยายผลการดำเนินงานในโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนแสวงหาแนวทางการประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อมีส่วนช่วยผลักดันในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจและสังคมไทยต่อไป

               โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต

โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ ฉลองครบรอบ 10 ปี ยกระดับธุรกิจชุมชนไทยครบวงจร

โตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ ฉลองความสำเร็จครบรอบ 10 ปี พร้อมลงนามความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับการพัฒนาธุรกิจชุมชนไทยอย่างครบวงจร ควบคู่สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายนันทวัฒน์ ศรีวรัตน์อัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเป็นเกียรติภายในงานฉลองความสำเร็จครบรอบ 10 ปี โครงการโตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ และพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับ การพัฒนาธุรกิจชุมชนไทยอย่างครบวงจร ควบคู่สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ณ TOYOTA ALIVE เมื่อวันอังคารที่ 30 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ริเริ่มโครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดยเกิดจากความมุ่งหวังที่จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหา ปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานของธุรกิจชุมชนไทย อันเป็น ภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มพูนกำไร และดำเนินธุรกิจด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน

โดยตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา โครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือธุรกิจชุมชนในลักษณะของการเป็น “พี่เลี้ยงทางธุรกิจ” โดยร่วมศึกษาถึงสาเหตุของปัญหา พร้อมนำองค์ความรู้และปัจจัยแห่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้า ได้แก่ วิถีโตโยต้า (Toyota Way) ระบบการผลิตแบบโตโยต้า (TPS : Toyota Production System) และหลักการไคเซ็น (Kaizen) เข้าไปถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบทและความพร้อมของธุรกิจชุมชนต่างๆ มีส่วนช่วยให้การดำเนินงานของธุรกิจเหล่านี้มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่างๆอย่างเป็นรูปธรรม สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และสร้างผลกำไร พร้อมทั้งได้มีการยกระดับไปสู่การเปิดเป็น “ศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” 6 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ครบทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

นอกจากนี้ โตโยต้ายังได้มีการขยายผลโดยนำองค์ความรู้และประสบการณ์จากการดำเนินโครงการ ไปถ่ายทอดเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ โดยความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ อาทิ ความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ในการดำเนินงานศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมในจังหวัดกรุงเทพฯ นครราชสีมา ชลบุรี และโครงการ ชุมชนดีพร้อม ตลอดจนการจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศอีกด้วย ทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การขยายผลต่อยอดองค์ความรู้ของโครงการโตโยต้าธุรกิจชุมชนพัฒน์ ได้มีส่วนช่วยในการพัฒนาธุรกิจต่างๆ ไปแล้ว 2,089 ธุรกิจ ช่วยเพิ่มพูนผลกำไรได้เป็นมูลค่ารวม 805 ล้านบาท และส่งต่อองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้คนทั่วไปที่สนใจเรียนรู้ไปแล้วกว่า 100,000 คน

สำหรับการก้าวสู่ปีที่ 11 ของโครงการ โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ มีความมุ่งหวังที่จะยกระดับการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อช่วยปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจชุมชนไทยให้ครอบคลุมในทุกมิติของการดำเนินงานอย่างครบวงจร ควบคู่ไปกับการส่งเสริมแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จึงนำมาสู่การลงนามความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ในการส่งเสริมความร่วมมือและสนับสนุนโครงการต่างๆ เช่น

1.การถ่ายทอดความรู้เชิงขั้นตอนให้กับผู้ประกอบการชุมชน ผ่านโครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการชุมชน ในการบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ได้มาตรฐาน พร้อมเสริมความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ ร่วมกับการเสริมทักษะในด้านอื่นๆ ที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ โดยการสนับสนุนจากกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

2.กิจกรรมพัฒนาสถานประกอบการด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติผ่านกลไกความร่วมมือ Global Player ซึ่งจัดขึ้นโดยกองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ภายใต้การดำเนินการร่วมกับบริษัทโตโยต้า ออโต้ บอดี้ ประเทศไทย จำกัด ตลอดระยะเวลา 3 ปี กับอีก 23 บริษัท โดยการนำองค์ความรู้ทั้งด้านการจัดการการผลิตและการนำเทคโนโลยีเครื่องจักรอัตโนมัติ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ และลดต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการไทย

3.การร่วมดําเนินโครงการอื่นๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน

ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการไทย ผ่านองค์ความรู้ด้านการผลิตที่เป็นจุดเด่นของโตโยต้า โดยส่งเสริมทั้งในด้านผลิตผล คุณภาพ การส่งมอบสินค้า การบริหารสินค้าคงคลัง และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งส่งเสริมแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวทาง   ของภาครัฐ ที่ส่งเสริมนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนสู่ระดับชุมชน ในขณะที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมซึ่งพร้อม ให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการไทยอย่างรอบด้าน จะเป็นส่วนที่ช่วยเติมเต็มการพัฒนาในด้านอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการไทยต้องการ อาทิ ทักษะการบริหารจัดการของผู้ประกอบการ การตลาด การเงินการบัญชี การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ระบบโลจิสติกส์ ตลอดจนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ โดยองค์ประกอบทางความรู้ต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทย ในการพัฒนาศักยภาพการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองได้อย่างครบวงจร เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐสู่อุตสาหกรรม 4.0 และช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งในกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และสร้างเสถียรภาพแก่เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save