- Advertisement -
28.9 C
Bangkok
Home Blog Page 56

บีเอ็มดับเบิลยู ปรับทัพผู้บริหารเสริมแกร่งกลยุทธ์ยุคดิจิทัล 

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ปรับโครงสร้างการบริหารในองค์กรเพื่อเสริมประสิทธิภาพเชิงกลยุทธ์ และขับเคลื่อนความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับธุรกิจรถยนต์พรีเมียมในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ประกาศแต่งตั้ง นายกวี ธนวัฒน์เดช เข้าสืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ต่อจากนายปรีชา นินาทเกียรติกุล ที่ได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นดำรงตำแหน่งใหม่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารความเปลี่ยนแปลงและโครงการพิเศษ ซึ่งทั้ง 2 ท่านจะรายงานตรงต่อประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เพื่อร่วมกันสานต่อความสำเร็จด้านการวางแผนและกลยุทธ์ทางธุรกิจของบีเอ็มดับเบิลยู ตอกย้ำในพันธกิจของบริษัทเพื่อความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม โดยการปรับทัพผู้บริหารทั้ง 2 ท่านมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นทุ่มเทของทีมงานในทุกระดับ การปรับโครงสร้างการบริหารในครั้งนี้จะเป็นการนำศักยภาพความเป็นผู้นำ ประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจ และทักษะความเชี่ยวชาญของผู้บริหารทั้งสองท่านมาเสริมประสิทธิภาพเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการขับเคลื่อนแห่งอนาคต”

นายกวี ธนวัฒน์เดช ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย (ซ้าย)

นายปรีชา นินาทเกียรติกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารความเปลี่ยนแปลงและโครงการพิเศษ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย (ขวา)

นายกวี ธนวัฒน์เดช ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย คนใหม่ล่าสุด จะเข้ามาสานต่อภารกิจด้านการวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาดเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบีเอ็มดับเบิลยูในฐานะผู้นำในกลุ่มตลาดยนตรกรรมพรีเมียมในประเทศไทย รวมไปถึงการสานต่อกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด

นายกวี ธนวัฒน์เดช สั่งสมประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมากว่า 20 ปี พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การวิเคราะห์ทางการตลาด กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และราคา รวมไปถึงการพัฒนากิจกรรมด้านการตลาดและการดำเนินการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล (Digital transformation) คุณกวีเริ่มงานกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยมีบทบาทสำคัญในการสร้างรากฐานด้านการตลาดออนไลน์ที่แข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์มอเตอร์ไซค์และการบริการหลังการขาย รวมไปถึงการพัฒนากิจกรรมการตลาดผ่านไลฟ์สไตล์และการยกระดับประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ เช่น การจัดตั้งสนามวิบาก Enduro Park Thailand และคาเฟ่เพื่อชาวบิ๊กไบค์ Luka Moto เป็นต้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 ได้เข้าดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์และดิจิทัล บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย โดยดูแลรับผิดชอบด้านการวางแผนผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ด้านการตลาดดิจิทัลทั้งในระยะสั้นและระยะยาวร่วมกับฝ่ายขาย ขับเคลื่อนแผนกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนในประเทศไทย รวมไปถึงพัฒนากิจกรรมส่งเสริมการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และการใช้งานแพลทฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เป็นต้น

สำหรับหน้าที่ใหม่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารความเปลี่ยนแปลงและโครงการพิเศษ คุณปรีชา นินาทเกียรติกุล จะนำประสบการณ์อันมีประโยชน์ต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2550 ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป มินิ ประเทศไทย หลังจากนั้นจึงได้ย้ายไปรับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของมินิ ณ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เอเชีย ประเทศสิงคโปร์ และกลับมารับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป มินิ ประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดยรับผิดชอบดูแลและพัฒนาการดำเนินงานของมินิในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลา 6 ปี ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2564 ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีในการบริหารการวางแผนและกลยุทธ์ด้านการตลาดของบีเอ็มดับเบิลยู นายปรีชาได้นำพาทีมการตลาดก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ พร้อมๆ ไปกับการขับเคลื่อนความสำเร็จอย่างต่อเนื่องให้กับบริษัทฯ สำหรับบทบาทหน้าที่ใหม่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารความเปลี่ยนแปลงและโครงการพิเศษ คุณปรีชาจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในการวางแผนกลยุทธ์เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ของธุรกิจ รวมไปถึงรับผิดชอบโครงการใหม่ๆ ในระดับองค์กรที่จะเป็นการขับเคลื่อนบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทยไปสู่ยุคการขับเคลื่อนแห่งอนาคต “คุณปรีชาและคุณกวี เป็นผู้บริหารที่ทำงานเคียงข้างบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มายาวนานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทั้งสองท่านได้แสดงผลงานเป็นที่ประจักษ์ในหลายๆ ด้าน และยังแสดงถึงความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด ด้วยประสบการณ์การทำงานอันยาวนานในธุรกิจยานยนต์ ตลอดจนความรู้ในเชิงลึกและความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนกลยุทธ์ของทั้งสองท่าน ผมมั่นใจว่าจะนำพาทีมงานก้าวขึ้นสู่อีกระดับและช่วยขับเคลื่อนบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ไปสู่ความสำเร็จที่ใหญ่ยิ่งขึ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน” มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา กล่าวทิ้งท้าย

เรเว่ เปิดตัว BYD ATTO 3 รุ่นปี 2024

เรเว่ เปิดตัว New BYD ATTO 3 รุ่นปี 2024 เปิดราคาสุดเร้าใจ หั่นราคาลงจากรุ่นเดิมเอาใจผู้บริโภค พร้อมจัดเต็มแคมเปญงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD ทุกรุ่น

กรุงเทพฯ – 22 กุมภาพันธ์ 2567 – บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ เดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดอย่างต่อเนื่อง เปิดตัว New BYD ATTO 3 รุ่นปี 2024 ที่ผสานขุมพลัง ดีไซน์ และเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เผยโฉมสองรุ่นย่อยใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น New BYD ATTO 3 Dynamic และ New BYD ATTO 3 Premium ตกแต่งภายในด้วยโทนสีใหม่ อัปเกรดซอฟต์แวร์ และหน้าจอกลางใหญ่กว่าที่เคย พร้อมราคาคาดการณ์จำหน่าย

มร.เบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดีไทยแลนด์ จํากัด กล่าวว่า “เราเชื่อว่า New BYD ATTO 3 รุ่นปี 2024 ซึ่งอัดแน่นด้วยสมรรถนะเหนือชั้น ดีไซน์ภายนอกและภายในที่สวยงาม พร้อมนวัตกรรมที่ชาญฉลาดยิ่งกว่ากับซอฟต์แวร์เวอร์ชันอัปเกรด จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอันหลากหลายได้อย่างลงตัว ทั้งด้านการใช้งาน ความบันเทิง และความปลอดภัยขณะขับขี่ให้สมบูรณ์แบบกว่าที่เคย ทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสอดรับกับเทรนด์ของคนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เรเว่ ออโตโมทีฟ ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ได้เริ่มต้นทำธุรกิจและนำรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ BYD เข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการ เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าโดยมียอดจดทะเบียนมากถึง 40% เช่นเดียวกันกับรถยนต์ BYD ATTO 3 ที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น การันตีด้วยยอดจดทะเบียนอันดับหนึ่งรายรุ่นในประเทศไทยปี พ.ศ. 2566 ถึง 19,214 คัน วันนี้ เรเว่พร้อมแล้วที่จะสานต่อความสำเร็จกับ New BYD ATTO 3 รุ่นปี 2024 ตอกย้ำวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ “NEW ENERGY FOR ALL” ที่รังสรรค์นำยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานทางเลือกใหม่ที่มีทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยสำหรับผู้ใช้รถทุกท่าน โดยในปีนี้เราสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้มั่นใจในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า BYD โดยมีแผนเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศจาก 100 แห่งเป็น 200 แห่ง ที่จะคอยให้บริการท่านให้อุ่นใจเสมอเมื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้า BYD”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “การเปิดตัวBYD ATTO 3 รุ่นปี 2024 จะช่วยให้ผู้บริโภคชาวไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงยานยนต์พลังงานไฟฟ้าคุณภาพได้ง่ายขึ้น และ เพื่อให้ลูกค้าได้ตัดสินใจในการออกรถใหม่ในช่วงต้นปี จึงได้ออกแคมเปญมอเตอร์โชว์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า BYD ทุกรุ่นตั้งแต่วันนี้ทันที เพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจออกรถได้ทันทีโดยไม่ต้องรอถึงช่วงมอเตอร์โชว์ และเรายังมอบสิทธิประโยชน์นี้ย้อนหลังให้กับลูกค้าที่ออกรถไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ด้วยเช่นกัน โดยแคมเปญดังกล่าวมีระยะเวลาถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567 นี้เท่านั้น และรถมีจำนวนจำกัดหมดแล้วหมดเลย”

โดดเด่นสะกดทุกสายตาพร้อมความสะดวกสบายภายในที่ครบครัน

สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของ New BYD ATTO 3 Dynamic และ New BYD ATTO 3 Premium มาพร้อมเสาดี (D Pillar) สีดำใหม่ ผสานกับดีไซน์ภายนอกอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกทรงพลังในทุกเส้นสายโดดเด่นด้วย Wing Feather Dragon Crystal LED Combination Headlights หลังคา Panoramic Sunroof เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบป้องกันการหนีบ ล้ออัลลอยด์ 18 นิ้ว ที่ออกแบบโดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์ ดีไซน์ด้านหลังสโลปลงพร้อมสปอยเลอร์ สะดวกสบายด้วยระบบเปิด-ปิดบานประตูท้ายไฟฟ้าแบบ One-Touch  กระจกมองข้างพับและปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบทำความร้อนไล่ฝ้า โดยตัวบอดี้มาพร้อมสีขาว Frost White และสีเทา Graphite Grey

ห้องโดยสารตกแต่งภายในสไตล์ Rhythmic Interior ที่มอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยเหนือชั้นให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร มาพร้อมโทนสีใหม่น้ำเงิน-เทา และน้ำเงิน-ดำ ผสานความหรูหราและทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างลงตัว หน้าจอกลางใหม่ใหญ่กว่าเดิม ขนาด 15.6 นิ้ว  ที่ปรับหมุนได้รอบทิศทาง หน้าจอแสดงผลด้านคนขับแบบดิจิทัลขนาด 5 นิ้ว จัดเต็มกับฟีเจอร์อัจฉริยะทั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันพร้อมสวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงและสวิตซ์ควบคุมหน้าจอ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า4 ทิศทาง ชุดเครื่องเสียง Dirac HD Sound พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง  ให้เพลิดเพลินไปกับแอปพลิเคชันคาราโอเกะใหม่ และเชื่อมต่อ Apple CarPlay® ผ่านสาย USB และ Android Auto™ แบบไร้สาย

อัปเกรดซอฟต์แวร์ใหม่ เสริมความปลอดภัยเหนือชั้น มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง

New BYD ATTO 3 Dynamic และ New BYD ATTO 3 Premium มาพร้อมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยล้ำสมัยยิ่งกว่าที่เคยเพื่อมอบความอุ่นใจขณะเดินทางให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็น ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ การปิดระบบแจ้งเตือนคนข้ามถนน ปิดไฟ Daytime Running Light เมื่อใส่เกียร์ P และยังคงมีถุงลมนิรภัยด้านข้างคู่หน้า-ฝั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา สัญญาณเตือนรอบคัน 6 จุด ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ ระบบป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา เป็นต้น

สมรรถนะที่โดดเด่น พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

New BYD ATTO 3 รุ่นปี 2024 ทั้งสองรุ่นย่อย New BYD ATTO 3 Dynamic และ New BYD ATTO 3 Premium มาพร้อมกับขุมพลังแบตเตอรี่ Blade Battery เอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ BYD ที่มีประสิทธิภาพสูง อายุการใช้งานยาวนาน ความจุ 50.25 กิโลวัตต์ ให้ระยะทางวิ่งตามมาตรฐาน NEDC สูงสุด 410 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายใน 7.9 วินาที ขับเคลื่อนด้วยกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์หรือ 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร และมีระบบ V to L (Vehicle To Load) เทคโนโลยีที่ใช้แบตเตอรี่จ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์อื่นๆ เสมือนเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ พร้อมระบบเบรกพร้อมระบบชาร์จพลังงานกลับอัตโนมัติ (Regenerative braking) ช่วงล่างด้านหน้ามีระบบกันสะเทือนแม็คเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังระบบมัลติ-ลิงค์ ให้ความนุ่มนวลและเกาะถนนดีเยี่ยม ใช้ระบบดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนบริเวณด้านหน้ารถ รองรับหัวชาร์จ แบบ AC Type 2 และแบบ DC – CCS 2 สูงสุด 70 กิโลวัตต์

New BYD ATTO 3 รุ่นปี 2024 สองรุ่นย่อยใหม่ ได้แก่

•New BYD ATTO 3 Dynamic ราคาคาดการณ์จำหน่าย 899,900 บาท พร้อมส่งมอบรถให้ลูกค้าได้หลังเดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

•New BYD ATTO 3 Premium ราคาคาดการณ์จำหน่าย 949,900 บาท พร้อมส่งมอบรถให้ลูกค้าได้หลังเดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

ลูกค้าที่ซื้อ New BYD ATTO 3 รุ่นปี 2024 จะได้รับสิทธิประโยชน์รวมมูลค่า 200,000 บาท  ได้แก่

•ดอกเบี้ย 1.98% นาน 48 เดือน

•ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. นานสูงสุด 1 ปี

•รับ Smart Home Charger ยี่ห้อ AUTEL พร้อมบริการติดตั้ง

•บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

•รับประกันตัวรถ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

•บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง 8 ปี

•สายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือ V to L

•สายชาร์จเคลื่อนที่ AC Portable Charger

•พรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ

•ค่าจดทะเบียนรถ

จัดเต็มข้อเสนอสุดเร้าใจ ไม่ต้องรอมอเตอร์โชว์

เรเว่ ออโตโมทีฟ มอบข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าและผู้ที่สนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เงินคืนสูงสุด 100,000 บาท, ประกันภัยชั้น 1 และ พ.ร.บ. นานสูงสุด 2 ปี, Smart Home Charger พร้อมบริการติดตั้ง และ สิทธิประโยชน์จาก RÊVER CARE กว่า 10 รายการ ระยะเวลาแคมเปญตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 – 30 เมษายน พ.ศ. 2567 โดยมีรายละเอียดดังนี้

•ลูกค้าที่ซื้อ BYD DOLPHIN จะได้รับสิทธิประโยชน์รวมมูลค่า 220,000 บาท ได้แก่

oประกันภัยชั้น 1 นาน 2 ปี พร้อม รับเงินคืน 20,000 บาท 

oรับ Home Charger พร้อมบริการติดตั้ง

oบริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ 8 ปี หรือ 160,000 กม.

oรับประกันตัวรถ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

oบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง 8 ปี

oสายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือ V to L

oสายชาร์จเคลื่อนที่ AC Portable Charger

oพรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ

oค่าจดทะเบียนรถ

•ลูกค้าที่ซื้อ BYD ATTO 3 จะได้รับจะได้รับสิทธิประโยชน์รวมมูลค่า 330,000 บาท  ได้แก่

oรับเงินคืน 100,000 บาท หรือ ดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน พร้อมเงินคืน 20,000

oรับ Smart Home Charger ยี่ห้อ AUTEL พร้อมบริการติดตั้ง

oบริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

oรับประกันตัวรถ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

oบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง 8 ปี

oสายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือ V to L

oสายชาร์จเคลื่อนที่ AC Portable Charger

oพรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ

oค่าจดทะเบียนรถ

•ลูกค้าที่ซื้อ BYD SEAL จะได้รับจะได้รับสิทธิประโยชน์รวมมูลค่า 335,000 บาท ได้แก่

oรับเงินคืน 100,000 บาท

oรับ Smart Home Charger ยี่ห้อ ABB พร้อมบริการติดตั้ง

oบริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

oรับประกันตัวรถ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

oบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง 8 ปี

oสายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือ V to L

oสายชาร์จเคลื่อนที่ AC Portable Charger

oพรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ

oค่าจดทะเบียนรถ

เตรียมยกทัพบุกงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45

เรเว่ ออโตโมทีฟ ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ขอเชิญชวนผู้บริโภคร่วมชมและสัมผัสนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคตในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 และพลาดไม่ได้กับข้อเสนอสุดพิเศษรวมทั้งสิทธิประโยชน์มากมายสำหรับลูกค้าและผู้สนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD ทั่วประเทศ ติดตามการประกาศรายละเอียดอย่างเป็นทางการได้เร็วๆ นี้ พบกันที่บูธ A18 อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2567 – 7 เมษายน พ.ศ. 2567 เวลา 12.00 – 22.00 น. (วันธรรมดา) และ 11.00 – 22.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ)

ซูซูกิ ส่งความสุขสู่สังคมไทยมอบเครื่องกันหนาวชาวเชียงใหม่

ซูซูกิ สานต่อแนวคิด “SUZUKI Cause We Care” ส่งมอบความสุขสู่สังคมไทย “ปันไออุ่น คลายความหนาว” สนับสนุนผ้าห่มพร้อมเครื่องกันหนาวให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย นอกเหนือจากการยึดมั่นในความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าให้ได้ใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพดีและมีความคุ้มค่าในทุกด้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่ซูซูกิให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ การส่งเสริมและช่วยเหลือสังคมและประชาชนในยามที่ได้รับความเดือดร้อนมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งหวังที่จะเห็นสังคมไทยก้าวหน้าไปอย่างมีคุณภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน

ล่าสุด ซูซูกิ ร่วมกับผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิในจังหวัดเชียงใหม่ บริษัท อริยกิจ จี.พี. จำกัด และบริษัท ซูซูกิ ออโต้ เชียงใหม่ จำกัด สนับสนุนผ้าห่มและเครื่องกันหนาวต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีอากาศหนาว  ภายใต้แนวคิด ‘SUZUKI Cause We Care’ โดยใช้ชื่อโครงการว่า “ซูซูกิ ปันไออุ่น คลายความหนาว” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่บริษัทฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้ ซูซูกิได้สนับสนุนผ้าห่มและเครื่องกันหนาวให้กับอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ณ บริเวณที่ว่าการอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายจักรพันธุ์ ทองอ่ำ นายอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้แทนรับมอบผ้าห่มและเครื่องกันหนาวต่างๆ เพื่อนำไปแจกจ่ายช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอากาศหนาว โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นขวัญกำลังใจ ให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ดังกล่าวไปได้ด้วยดี และผู้ประสบภัยทั่วไปในพื้นที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

“ซูซูกิ ตระหนักเสมอว่าสังคมที่ดี คือ สังคมที่มีการช่วยเหลือแบ่งปัน บนเส้นทางชีวิตที่หลากหลายนั้นอาจจะมีความแตกต่างทางต้นทุนของชีวิต แต่เราสามารถสร้างรอยยิ้มและมอบน้ำใจให้แก่กัน เพื่อต่อความหวังและเติมกำลังใจให้กับทุกทางเดินของชีวิต พร้อมเริ่มก้าวใหม่ได้ในทุกวัน

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการตระหนักถึงการสร้างความสุขสู่สังคมในทุกด้านควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับโครงการ “SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” สิ่งที่เรามุ่งมั่นและต้องการสื่อสารไปยังลูกค้าและคนไทยทุกท่าน ว่าเราไม่ใช่แค่เพียงผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ แต่เราหวังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม พร้อมกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการอยู่คู่เคียงข้างชุมชนและสังคมไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย

ตลาดรถยนต์ปี 2567 แนวโน้มสู่แดนบวก

ตลาดรถยนต์มกราคมเปิดฤดูกาลขายประจำปี 2567 ด้วยยอดขายรวม 54,814 คัน ลดลง 16.4% ชี้แนวโน้มตลาดรวมขยับตัว สืบเนื่องจากภาครัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม เปิดฤดูกาลขายประจำปี 2567 ด้วยยอดขาย 54,814 คัน ลดลง 16.4% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 23,412 คัน เพิ่มขึ้น 2.4% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 31,402 คัน ลดลง 26.5% และรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขายที่ 17,938 คัน ลดลง 43.5

ตลาดรถยนต์เดือนมกราคม 2567 มีปริมาณการขาย 54,814 คัน ลดลง 16.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เปิดฤดูกาลขายตามดัชนีการขายประจำไตรมาสแรกของปีที่มักชะลอตัว โดยตลาดรถยนต์นั่ง มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นที่ 2.4% และตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มีอัตราการเติบโตลดลงที่ 26.5% เนื่องจากผู้บริโภคกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ที่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์

ตลาดรถยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มที่จะขยับตัวดีขึ้น เนื่องจากภาครัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนปี 2567 อาทิ มาตรการลดหย่อนภาษี “Easy E-Receipt” การปรับลดค่าไฟฟ้า และการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยว ส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น และส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น พร้อมกับการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่จากหลายค่ายในช่วงต้นปี ซึ่งส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในเดือนกุมภาพันธ์เช่นกัน

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม 2567

1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 54,814 คัน ลดลง 16.4%                           

อันดับที่ 1 โตโยต้า   17,526 คัน   ลดลง 26.3%          ส่วนแบ่งตลาด 32%

อันดับที่ 2 ฮอนด้า   8,298 คัน     เพิ่มขึ้น  17.4%       ส่วนแบ่งตลาด 15.1%

อันดับที่ 3 อีซูซุ        7,930 คัน     ลดลง 45.9%          ส่วนแบ่งตลาด 14.5%

2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 23,412 คัน เพิ่มขึ้น 2.4%                           

อันดับที่ 1 โตโยต้า   5,145 คัน    ลดลง 40.6%          ส่วนแบ่งตลาด 22%

อันดับที่ 2 ฮอนด้า   4,608 คัน    ลดลง 9.2%            ส่วนแบ่งตลาด 19.7%

อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ   1,210 คัน    ลดลง 22.2%          ส่วนแบ่งตลาด  5.2%

3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 31,402 คัน ลดลง 26.5%                           

อันดับที่ 1 โตโยต้า   12,381 คัน   ลดลง 18.2%          ส่วนแบ่งตลาด 39.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ        7,930 คัน     ลดลง 45.9%          ส่วนแบ่งตลาด 25.3%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า   3,690 คัน    เพิ่มขึ้น 84.7%        ส่วนแบ่งตลาด 11.8%

4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*)

ปริมาณการขาย  17,938 คัน ลดลง 43.5%                                

อันดับที่ 1 โตโยต้า   7,958 คัน     ลดลง 36.9%          ส่วนแบ่งตลาด 44.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ        6,926 คัน     ลดลง 48.9%          ส่วนแบ่งตลาด 38.6%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด     1,982 คัน     ลดลง 41.3%          ส่วนแบ่งตลาด 11%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,074 คัน โตโยต้า 1,111 คัน – อีซูซุ 1,023 คัน –ฟอร์ด 705 คัน –มิตซูบิชิ 186 คัน – นิสสัน 49 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 14,864 คัน ลดลง 43.5%                                

อันดับที่ 1 โตโยต้า   6,847 คัน    ลดลง 33.8%          ส่วนแบ่งตลาด 46.1%

อันดับที่ 2 อีซูซุ        5,903 คัน     ลดลง 50.1%          ส่วนแบ่งตลาด 39.7% อันดับที่ 3 ฟอร์ด     1,277 คัน    ลดลง 47.8%          ส่วนแบ่งตลาด  8.6%              

MG ZS สร้างจุดเปลี่ยนกวาดยอดขายทั่วโลกรวมกว่า 1.06 ล้านคัน

เอ็มจี (MG) บทพิสูจน์ความสำเร็จกับ MG ZS ด้วยยอดขายรวมกว่า 1.06 ล้านคัน กับโมเดลที่สร้างจุดเปลี่ยนให้ เอ็มจี เป็นที่รู้จักในระดับโลก

กรุงเทพ – 21 กุมภาพันธ์ 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยถึงโมเดลที่ทำให้ เอ็มจี สามารถสร้างยอดขายทั่วโลกกว่า 1.06 ล้านคัน และมากกว่า 63,000 คัน ในประเทศไทย ด้วยการสร้างความเป็นไปได้ของการมอบความคุ้มค่า สร้าง “จุดเปลี่ยน” สำคัญให้กับวงการยานยนต์ รวมถึงการเปิดเซกเมนต์รถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก หรือ B-SUV ที่ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ยังเป็นตลาดที่การแข่งขันไม่สูงมากนัก และมีแบรนด์เข้ามาทำตลาดเพียงไม่กี่แบรนด์ จนในปี ค.ศ. 2017 เอ็มจี ได้เข้ามาเป็นหนึ่งใน “ผู้เล่น” ของตลาดนี้ โดยส่ง MG ZS มาแจ้งเกิดในฐานะ “สมาร์ทเอสยูวี” หนึ่งเดียวของตลาดในขณะนั้น ที่มีระบบปฏิบัติการอัจฉริยะอย่าง i-SMART สั่งการด้วยเสียงภาษาไทย และวางตำแหน่งให้เป็นรถเอสยูวีที่มีสเปกครบครันในราคาเข้าถึงได้ ด้วยความทันสมัย เทคโนโลยีใหม่ และการกล้าที่จะฉีกจากทุกตัวเลือกที่มีในตลาด ส่งผลให้ MG ZS กลายเป็นโมเดลที่ทำให้ เอ็มจี ขึ้นแท่น “ผู้เล่นหลัก” ในตลาดเอสยูวีของไทย และทำให้เซกเมนต์รถอเนกประสงค์ขนาดเล็กกลายเป็นสมรภูมิเรดโอเชี่ยนที่มีการเติบโตหลายเท่าตัวจวบจนทุกวันนี้ ทั้งยังทำให้รถเอสยูวีกลายเป็นรถรุ่นยอดนิยมของคนไทย

MG ZS สมาร์ทเอสยูวีรายแรกของไทยที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้อุตสาหกรรมยานยนต์

“ตัวถังใหญ่ กว้าง มาพร้อม i-SMART มีหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามาขนาดใหญ่ ออฟชั่นที่ให้มาแบบจัดเต็มในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย” คือบทสรุปของ MG ZS ที่เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017 กับผลงานที่ทำให้ MG ZS เป็นโมเดลแจ้งเกิดของ เอ็มจี โดยสามารถสร้างสถิติยอดขายเป็นอันดับต้นๆ ของตลาด B-SUV ด้วยความครบครันของสเปกที่ตอบโจทย์อย่างครบเครื่อง รอบด้าน ผนวกกับดีไซน์ที่ออกแบบมาเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ทั้งความสปอร์ต พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย  ทำให้ MG ZS เป็นผู้ปลุกกระแสความนิยมรถเอสยูวีในไทย และนำพาแบรนด์ เอ็มจี ขึ้นอันดับ 3 ของยอดขายรวมทั้งปีในกลุ่ม B-SUV ปี ค.ศ. 2018 ด้วยยอดขายรวมสูงถึงกว่า 14,669 คัน และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดขายโดยรวมของแบรนด์ เอ็มจี โตขึ้นแบบก้าวกระโดด

นอกจากนี้ MG ZS ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานความภาคภูมิใจของ เอ็มจี ที่สามารถคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี “Car of the Year” 2 ปีซ้อน ในปี ค.ศ. 2018 – 2019 มาครองได้อีกด้วย จนมาถึงในปี ค.ศ. 2020 เอ็มจี ได้ขยับมาตรฐานของรถเอสยูวีสู่อีกขั้น ทำให้ MG ZS สมาร์ทยิ่งขึ้น ด้วยการเป็นรุ่นแรกของ เอ็มจี ที่มีระบบ Emergency Call จากตัวรถไปยังเบอร์โทรที่ได้  มีการตั้งค่าไว้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีในเวลาฉุกเฉิน นอกจากนี้ ยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาว จากการทดสอบการชน ASEAN NCAP พิสูจน์ให้เห็นว่า MG ZS เป็นรถยนต์คุณภาพที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในทุกรุ่นย่อย

ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ รวมระยะเวลากว่า 7 ปี MG ZS ยังคงครองใจผู้บริโภคชาวไทย พิสูจน์ด้วยยอดขายรวมสะสมกว่า 58,623 คัน (ข้อมูล MG ZS รุ่นน้ำมันอย่างเดียว ณ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2023) ตอกย้ำความสำเร็จระดับสากลของ MG ZS ด้วยรถยนต์ที่ถูกผลิตและส่งออกกว่า 1 ล้านคัน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2023) จาก SAIC Motor Corporation ไปยังประเทศ ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี ออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น

สู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ MG ZS EV เปิดตลาดไฟฟ้า นำพาคนไทยเข้าสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าเป็นแบรนด์แรก

ด้วยแนวทางการดำเนินธุรกิจของ เอ็มจี ที่มุ่งพัฒนายนตรกรรมที่ครอบคลุมในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน เพื่อให้สามารถตอบสนองกับอุปทานและไลฟ์สไตล์การใช้รถของผู้บริโภคในประเทศ ผนวกกับเป้าหมายใหญ่ในการนำพาประเทศไทย สู่ “โอกาส” ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เทียบชั้นอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ในปี ค.ศ. 2019 เอ็มจี ได้สร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ด้วยการเป็นแบรนด์แรกที่เข้ามาทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยการส่ง MG ZS EV เข้ามาเปิดตลาด ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการให้คนไทยสามารถเป็นเจ้าของรถไฟฟ้าที่เพียบพร้อมไปด้วยสมรรถนะและเทคโนโลยีอันทันสมัย มาตรฐานระดับสากล ในราคาที่เข้าถึงได้ เป็นรถที่จุดประกายให้คนไทยเห็นว่าการใช้งานรถไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ “ง่าย” และใช้งานได้ทั่วประเทศ ส่งผลให้ MG ZS EV ขึ้นแท่นเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมของแบรนด์ เอ็มจี โดยสามารถสร้างยอดขายหลังการเปิดตัวในปีแรกได้มากกว่า 1,000 คัน และมียอดส่งออกไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 156,000 คัน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2023) ทั้งยังเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกที่ได้พิสูจน์สมรรถนะการขับขี่ที่แท้จริงบนเส้นทางต่างๆ หลากหลายรูปแบบในประเทศไทยผ่านภารกิจ EV Marathon ตลอดระยะเวลาต่อเนื่อง 7 วัน รวมทั้งหมด 4,880 กิโลเมตร และยังได้รับรางวัลการันตีคุณภาพและความไว้วางใจจากทั่วโลก อาทิ

-รางวัล Top EV Sales Award 2019 ผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารวมสูงสุด ประจำปี 2562 จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.)

-รางวัล รถยนต์แห่งปี (Car of the Year 2022) และ รางวัล Best Value Electric Car จากทีมงาน Driving Electric

-รางวัล Best Family Electric Car จาก CARBUYER BEST CAR AWARD 2023

-รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “Car of The Year 2023” ประเภทรางวัล The Most Valuable EV Car

จากการเปิดตัวรถไฟฟ้าของ เอ็มจี ทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า และมีการขยายตัวของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมในหลากหลายมิติ โดย เอ็มจี ถือเป็นแบรนด์ที่มีเครือข่ายสถานีชาร์จไฟ เป็นของตนเองภายใต้ชื่อ MG SUPER CHARGE มากกว่า 146 แห่ง เพื่อทำให้ผู้ใช้งานรถไฟฟ้า เอ็มจี มั่นใจ ในการใช้รถทั่วประเทศอย่างไร้กังวล

ตอบโจทย์คนไทย เพิ่ม “ไฮบริดเอสยูวี” เข้ามาเป็นตัวเลือก

นอกจากตลาดรถไฟฟ้าที่ เอ็มจี เป็นผู้บุกเบิกและทำตลาดอย่างจริงจัง ในทางกลับกัน เอ็มจี ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกควบคู่กันไปด้วย จากการวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค จึงเป็นที่มาของการนำเสนอทางเลือกให้กับคนไทย ด้วยการเปิดตัว MG VS HEV ในปี ค.ศ. 2022 เพื่อเพิ่มไลน์อัพในกลุ่ม B-SUV ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น กับจุดเด่นของการเป็น “สปอร์ตไฮบริดเอสยูวี” ที่ขับสนุกเร้าใจ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH พร้อมขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ MG VS HEV มีพละกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกของรถยนต์ในกลุ่ม B-SUV ที่มี Dual Widescreen Cockpit ที่ให้จอ Widescreen ขนาด 12.3 นิ้ว ติดกัน 2 จอ พร้อมจุดเด่นในเรื่องของดีไซน์ที่ใช้ภาษาการออกแบบรูปโฉมรถเอสยูวีแนวใหม่กับกระจังหน้าในรูปแบบ Electrified Matrix Grille Design ทำให้ MG VS HEV เป็นรถยนต์ที่มีความครบเครื่องทั้งในเรื่องรูปลักษณ์และสมรรถนะ

เรียกได้ว่า MG ZS คือ หนึ่งในโมเดลที่สร้าง “จุดเปลี่ยน” ให้กับแบรนด์ เอ็มจี ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และเนื่องในโอกาสที่ปีนี้ เอ็มจี ในฐานะโกลบอลแบรนด์จะมีอายุครบ 100 ปี MG ZS ถูกวางให้เป็นหนึ่งโมเดลสำคัญ ที่จะสร้างความสำเร็จบทใหม่ ที่ต้องติดตามความเคลื่อนไหวเร็วๆ นี้

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผนึกเครือข่ายพันธมิตรก้าวขึ้นสู่ Top 3

เกรท วอลล์ มอเตอร์ จัดงาน GWM Partner Meeting 2024 ผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตรตั้งเป้าก้าวขึ้นสู่ Top 3 แบรนด์ผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าในไทยภายในปี 2569

กรุงเทพฯ 21 กุมภาพันธ์ 2567 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ จัดงาน GWM Partner Meeting ประจำปี 2567 ภายใต้ธีม “TOGETHER WE THRIVE” เพื่อประกาศความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในปี 2566 พร้อมเผยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2567 เดินหน้าเปิดตัวรถยนต์พลังงานใหม่อย่างน้อย 3 รุ่นภายในปีนี้ พร้อมตั้งเป้าหมายใหม่กับพันธกิจ Mission 15 in 2025 หรือการเพิ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยให้ครบทั้งสิ้น 15 รุ่น ภายในปี 2568 จากที่ได้เปิดตัวไปแล้วทั้งสิ้น 9 รุ่นเมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา ควบคู่ไปกับการขยาย Partner Store ให้ครบ 101 แห่งให้ครอบคลุมทั่วไทย ตอกย้ำความพร้อมในการก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 อันดับแรกผู้นำแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยภายในปี 2569 พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้แสดงความขอบคุณต่อบรรดาพาร์ทเนอร์และพันธมิตรทางธุรกิจที่ให้การสนับสนุนและไว้วางใจในการร่วมมือกันเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์และเดินหน้าเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยดีเสมอมา เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในระดับภูมิภาคอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม

งาน GWM Partner Meeting 2024 ครั้งนี้จัดขึ้น ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นำโดย นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ อาเซียน และ นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยทีมผู้บริหารและพนักงานจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) โดยมีเครือข่ายพาร์ทเนอร์กว่า 77 แห่ง จำนวน 117 ท่านทั่วประเทศเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้การดำเนินงานตลอดระยะเวลา 3 ปีในประเทศไทย พร้อมร่วมยินดีกับความสำเร็จของยอดขายรถยนต์พลังงงานไฟฟ้าในประเทศไทยในปีที่ผ่านมาที่สามารถทำยอดขายไปได้กว่า 12,840 คัน ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้น 11% จากปี 2565 นอกจากนี้ภายในงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้คัดเลือกคณะกรรมการพาร์ทเนอร์ หรือ Partner Council Committee เพื่อเป็นตัวแทนของพาร์ทเนอร์ทั่วประเทศในการทำงานอย่างใกล้ชิด มีส่วนร่วมหารือ พูดคุย ตัดสินใจ รวมถึงเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานระหว่างบริษัทและพาร์ทเนอร์ทั่วประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังมีการแต่งตั้งพาร์ทเนอร์ใหม่อย่างเป็นทางการเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง เพื่อให้สามารถส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะให้กับคนไทยทุกคนได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมอบรางวัลให้กับพาร์ทเนอร์ที่มีผลงานดีเยี่ยม

ภายในงาน เหล่าพาร์ทเนอร์และพันธมิตรทางธุรกิจยังได้ร่วมฟังวิสัยทัศน์ในการดำเนินงาน แนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผ่านกลยุทธ์ทางด้านการขาย การพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่ายและสถานีอัดประจุไฟฟ้า การตลาดผลิตภัณฑ์ การสื่อสารองค์กรและการประชาสัมพันธ์ รวมถึงกลยุทธ์การบริการหลังการขาย และได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยร่วมกับผู้บริหาร เกรท วอลล์ มอเตอร์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือความท้าทายของการเติบโตของกระแสยานยนต์พลังงานใหม่ที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ อาเซียน กล่าวว่า “ในปัจจุบันที่ผู้คนเปิดรับและให้ความสำคัญกับการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เราได้ปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นประเทศยุทธศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับอาเซียนของเรา โดยที่ผ่านมาเรานำพันธมิตรทางธุรกิจและบริษัทในเครือของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เข้ามาลงทุนและดำเนินงานในประเทศไทยทั้งด้านแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ ตัวถัง และเทคโนโลยีด้านการขับขี่ รวมถึงบุคลากรด้านเทคนิคเฉพาะทาง เพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์อย่างรอบด้านและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะไม่สามารถเติบโตขึ้นได้เลยหากปราศจากเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งและมีความสามารถ ซึ่งเป็นจุดแข็งและทีมของเราในการส่งมอบยานยนต์และบริการคุณภาพสู่ลูกค้าชาวไทย เพื่อยกระดับและเสริมสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กับนำพาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยก้าวขึ้นสู่ระดับสากล”

ด้านการดำเนินธุรกิจ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีจุดแข็งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพาร์ทเนอร์ที่จะร่วมสร้างการเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ xEV ที่หลากหลายและครอบคลุมของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่นำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เป็นทางเลือกในตลาดหลายรุ่น ทั้งไฮบริด ปลั๊กอิน-ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ถือเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับพาร์ทเนอร์ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากสังคมยานยนต์สันดาปไปสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น GWM Application ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงานของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเกือบ 200,000 คน ครอบคลุมในทุกประสบการณ์ของลูกค้า ทั้งด้านงานขาย บริการหลังการขาย และชุมชนของผู้ใช้ ซึ่งถือเป็นฐานข้อมูลที่แข็งแกร่ง พร้อมสำหรับการต่อยอดธุรกิจไปสู่การทำการตลาดยุคใหม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างข้อได้เปรียบและโอกาสทางธุรกิจอีกมากมายให้กับพาร์ทเนอร์

นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทุกท่านในการเดินหน้าเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าไทย โดยตลอด 3 ปีของการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้มุ่งหน้าดำเนินงานผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ ตลอดจนให้ความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนในทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายและตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงความร่วมมือที่ดีจากเครือข่ายพาร์ทเนอร์ ทำให้เราสามารถครองใจชาวไทยและเดินหน้าร่วมกันในการก้าวขึ้นสู่การเป็นแบรนด์ยานยนต์ 3 อันดับแรกของไทย เราจะยังคงส่งมอบ “New Energy” “New Intelligence” และ “New Experience” ด้วยบริการและผลิตภัณฑ์คุณภาพของเราต่อไป พร้อมยืดหยัดเคียงคู่ลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคม เพื่อร่วมกันยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มภาคภูมิ”

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Intelligent Technology) จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่างๆ ควบคู่ไปกับการยึดถือผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพสูงสุดแก่ผู้บริโภคชาวไทย บริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าในการเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ในการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของการใช้และการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง

มิตซูบิชิ คว้ารางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โรงงาน 1 และ โรงงาน 2 คว้ารางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประจำปี2566จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หนุนวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืน

บรรยายภาพ : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายธีรุตม์ บุตรเลิศเจริญ (ซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายกลยุทธ์สิ่งแวดล้อม เป็นตัวแทนรับมอบรางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประจำปี 2566 จาก นายอัฐพล จิรวัฒน์จรรยา (ขวา) รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ 2) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในงานพิธีมอบธงธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและใบประกาศเกียรติคุณประจำปี 2566

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด โรงงาน 1 และ โรงงาน 2 ณ ศูนย์การผลิตแหลมฉบัง จ.ชลบุรี คว้ารางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประจำปี 2566 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ด้วยผลการตรวจประเมินในระดับดีเยี่ยม สะท้อนความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมตามหลักเกณฑ์การตรวจประเมินการให้รางวัล ทั้งหมด 5 มิติ ได้แก่ มิติกายภาพ มิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม และมิติการบริหารจัดการ รางวัลความสำเร็จครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่จะพัฒนาอย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่น และส่งเสริมความก้าวหน้าของสังคมไทย

รางวัล “ธงขาวดาวเขียว” มุ่งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและกำกับดูแลโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมนำหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคมมาใช้ในการดำเนินงาน สร้างการยอมรับและความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการโรงงาน ทำให้เกิดการบริหารจัดการที่มีมาตรฐานและมีความโปร่งใส อีกทั้ง สนับสนุนให้อุตสาหกรรมและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้และเติบโตอย่างยั่งยืน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โรงงาน 1 และ โรงงาน 2 ณ ศูนย์การผลิตแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ผ่านเกณฑ์การตรวจประเมินในทุกมิติ เริ่มจาก “มิติกายภาพ” ด้วยการจัดการพื้นที่สีเขียวและการสร้างระบบระบายน้ำซึ่งมีการแยกระบบระบายน้ำฝนและระบบระบายน้ำเสียออกจากกันอย่างชัดเจน สำหรับ “มิติเศรษฐกิจ” มีการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน พร้อมกับดำเนินโครงการนักศึกษาฝึกงาน MMTh Talent Internship Program เป็นประจำทุกปี เพื่อมอบโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้ประยุกต์ใช้ความรู้ทางทฤษฎีนำมาปฏิบัติงานที่โรงงานอันล้ำสมัยของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมกับได้รับคำแนะนำจากพนักงานระดับมืออาชีพที่มีประสบการณ์เพื่อเตรียมพร้อมสู่การทำงานในอนาคต

นอกจากนี้ โรงงาน 1 และโรงงาน 2 ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังผ่านเกณฑ์การตรวจประเมินด้าน “มิติสิ่งแวดล้อม” ด้วยการดำเนินการจัดการน้ำเสีย การจัดการกากอุตสาหกรรม และการจัดการพลังงาน พร้อมด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรมสีเขียว ด้าน “มิติสังคม” บริษัทฯ มีความร่วมมือกับชุมชนในการดำเนินโครงการเฝ้าระวังแหล่งน้ำอย่างมีส่วนร่วม และโครงการอบรมให้ความรู้การคัดแยกขยะและการรีไซเคิลขยะทั้งในนิคมอุตสาหกรรมและชุมชนโดยรอบ โครงการเหล่านี้มีเป้าหมายสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านความร่วมมือกับชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ยังมีการดำเนินโครงการภายในองค์กร อาทิ การบริจาคเลือดและมอบทุนการศึกษาให้แก่ บุตรหลานของพนักงานเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังได้รับรองมาตรฐาน ISO 9001, ISO 14001 และ ISO 45001 จากทียูวี แสดงถึงความเป็นเลิศในด้าน ‘มิติการบริหารจัดการ’ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ริเริ่มโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดในปี 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีความปลอดภัย มุ่งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการตรวจสอบและกำกับดูแลโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อการประกอบการของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม สำหรับโรงงานที่ได้รับธงธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประจำปี 2566 แบ่งเป็นโรงงานที่ได้รับธงขาวดาวเขียว จำนวน 154 โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม 32 แห่ง และโรงงานที่ได้รับธงขาวดาวทอง จำนวน 39 โรงงาน

มิตซูบิชิ ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้โรงพยาบาลบ้านไร่ จ.อุทัยธานี

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แห่งที่ 8 ณ โรงพยาบาลบ้านไร่ รวมติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาดแล้วทั้งสิ้น 400 กิโลวัตต์ ด้วยงบกว่า 12 ล้านบาท

บรรยายภาพ : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี : มร.มาซากิ ชิโมดะ (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมด้วย นายจรูญ บัญญัติ (ที่ 5 จากซ้าย)  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม สายงานกลยุทธ์ทรัพยากรบุคคลและสิ่งแวดล้อม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ร่วมส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ภายใต้โครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ เพื่อมุ่งสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในด้านสาธารณสุข และส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง โดยมี นายแพทย์วิชาญ แป้นทอง (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านไร่ เป็นตัวแทนรับมอบ พร้อมด้วย นายแพทย์ดนัย พิทักษ์อรรณพ (ที่ 3 จากซ้าย) นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานี นายธีระศักดิ์ รัตนะ  (ที่ 6 จากซ้าย) ปลัดอำเภอ รักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี นายแพทย์ ปฏิวัติ วงศ์งาม (ที่ 2 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการกองบริหารการสาธารณสุข  นายคมกริช วงค์ชนะ (ที่ 5 จากขวา) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภาคเหนือ  2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  นายสุคนธ์ มาพัวะ (ที่ 4 จากขวา) วิศวกรระดับ 9 กองบำรุงรักษาสายส่ง ฝ่ายปฏิบัติการภาคเหนือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย นายกลยุทธ์ วงศ์แก้วโพธิ์ทอง (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู เค-วิน มอเตอร์ จำกัด นางสาววุจิตรานันท์ จันบัวลา (ที่ 2 จากขวา) ผู้พัฒนาธุรกิจ บริษัท อิมแพคท์ โซล่าร์ กรุ๊ป จำกัด นางสาววรพรรณ ทับทิมสี (ขวาสุด) ผู้ประสานงานโครงการ บริษัท อิมแพคท์ โซล่าร์ กรุ๊ป จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยาน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เดินหน้าส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งที่ 8 ภายใต้โครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ รวมการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ให้แก่โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศไปแล้วทั้งสิ้น 400 กิโลวัตต์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 240 ตันต่อปี ด้วยงบกว่า 12 ล้านบาท พร้อมมุ่งเดินหน้าส่งมอบพลังงานสะอาดให้แก่โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ 40 แห่ง ภายใน 10 ปี

มร.มาซากิ ชิโมดะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท  มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของแผนการดำเนินงานเพื่อสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย’ ใน 3 ด้านหลัก คือ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โดยเราได้วางแผนใช้เงินลงทุนกว่า 60 ล้านบาท เพื่อติดตั้งและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ขนาด 50 กิโลวัตต์ ให้แก่แต่ละโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ 40 แห่ง ภายในช่วงระยะเวลา 10 ปี เพื่อสร้างแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนให้กับโรงพยาบาล และยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย พร้อมส่งเสริมเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนเป็นกลาง โดยคาดว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ของโรงพยาบาลบ้านไร่ ได้กว่า 30 ตันคาร์บอนต่อปี”

นายแพทย์วิชาญ แป้นทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านไร่ กล่าวว่า “หลังจากได้รับการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ของทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ทำให้ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับทางโรงพยาบาลของเรา ทางโรงพยาบาลจึงสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปใช้ในการดำเนินงานที่มีความสำคัญด้านอื่นๆ และจะช่วยยกระดับคุณภาพการบริการและการดูแลสุขภาพเพื่อชุมชน นอกจากนี้ ยังทำให้โรงพยาบาลของเราเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลางอย่างยั่งยืนซึ่งมีความสำคัญเช่นกัน”

นายแพทย์ดนัย พิทักษ์อรรณพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรโครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ ถือได้ว่าโครงการนี้เป็นหนึ่งในความร่วมมือสำคัญระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนช่วยสนับสนุนภาครัฐในการพัฒนาประเทศชาติให้ได้ใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดค่าไฟฟ้าของโรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่งที่เข้าร่วมโครงการฯ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับโรงพยาบาลชุมชนจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการบริการ และโอกาสในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ดีของคนในชุมชนได้ โครงการนี้จึงสามารถสนับสนุนภารกิจของกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการสร้างแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนให้แก่โรงพยาบาล”

นายธีระศักดิ์ รัตนะ ปลัดอำเภอ รักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี กล่าวปิดท้ายว่า “เป้าหมายระยะยาวของประเทศไทยคือการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลางอย่างยั่งยืนภายในปี 2593 ขณะเดียวกัน ยังมีเป้าหมายลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 เป้าหมายเหล่านี้จะสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือองค์กรหน่วยงานต่างๆ ขอขอบคุณมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่ช่วยสนับสนุนความพยายามของเราในการขับเคลื่อนสู่สังคมปราศจากคาร์บอน พร้อมกับนำความยั่งยืนและพลังงานสะอาดมาสู่ชุมชนของเรา”

โครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ ได้รับการริเริ่มขึ้นในปี 2565 จากความร่วมมือระหว่าง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) โดยได้ทำการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชนไปแล้วทั้งหมด 8 แห่ง ประกอบด้วย

1. โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

2. โรงพยาบาลพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย

3. โรงพยาบาลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง

4. โรงพยาบาลวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี

5. โรงพยาบาลปง จังหวัดพะเยา

6. โรงพยาบาลชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ

7. โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี

8. โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

ค็อกพิท ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนเป็นที่ 1 ในใจผู้บริโภค

ค็อกพิท ผนึกสมาชิกแฟรนไชส์ทั่วประเทศ จัดงานประชุมใหญ่ประจำปี 2567 ต่อยอดความเข้มแข็ง ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน มุ่งสู่ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรอันดับ 1 ในใจลูกค้า

ค็อกพิท (COCKPIT) ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรฟาสต์ฟิต (Fast-Fit) ภายใต้การบริหารงานโดยบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานประชุมใหญ่รับต้นปี 2567 แก่สมาชิกแฟรนไชส์จาก 186 สาขาทั่วประเทศ ภายใต้ชื่องาน “ต่อยอดความเข้มแข็ง ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน” นำทัพโดย มร.เคอิจิ ชูมะ กรรมการผู้จัดการบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ คณะผู้บริหารร่วมสรุปผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา พร้อมชี้แจงกลยุทธ์เชิงรุกเต็มพิกัด มุ่งยกระดับการให้บริการที่ทันสมัยตอบสนองความต้องการใช้งานของผู้ใช้รถยนต์ทุกประเภท

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรชื่อดังจากช่อง “พ่อมดติ๊กต๊อก” มาร่วมนำเสนอวิธีการทำคอนเทนต์ให้น่าสนใจเพื่อช่วยต่อยอดธุรกิจ และส่งท้ายความสนุกด้วยปาร์ตี้สุดประทับใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นความตั้งใจของค็อกพิทที่พร้อมจะร่วมขับเคลื่อนการเติบโตไปพร้อมกันกับสมาชิกแฟรนไชส์สู่การเป็นแบรนด์ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรอันดับ 1 ที่ครองใจลูกค้า

มร.เคอิจิ ชูมะ กรรมการผู้จัดการบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด (รูปซ้ายมือ) พร้อมคณะผู้บริหาร (รูปขวามือ) ร่วมสรุปผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา พร้อมชี้แจงกลยุทธ์การบริหารงานค็อกพิทในปีนี้

สำหรับภาพรวมตลาดศูนย์บริการรถยนต์ฟาสต์ฟิต (Fast-Fit) ในปีที่ผ่านมายังมีคู่แข่งที่หลากหลายและแนวโน้มทางธุรกิจที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยค็อกพิทมีจุดแข็งเป็นศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมคัดสรรผลิตภัณฑ์ชั้นนำที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ภายใต้สโลแกน “คุ้มครบไว อุ่นใจที่ค็อกพิท” สำหรับในปี 2567 ค็อกพิทรุกสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้าโดยเน้นการดำเนินงานของทุกสาขาให้อยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งอยู่ในแผนการดำเนินการระยะกลางที่ผ่านมาและได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการวางรากฐานธุรกิจค้าปลีก การเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลลูกค้า การสร้างพันธมิตรทางการค้าสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลรถยนต์ประเภทต่างๆ การบริการหลังการขาย การพัฒนาระบบดิจิทัลต่างๆ รวมถึงยังให้ความสำคัญกับการอบรมพนักงาน และทีมช่างมืออาชีพมากประสบการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพ และปลอดภัย

บรรยากาศงานประชุมใหญ่สมาชิกแฟรนไชส์ค็อกพิทประจำปี 2567

ทั้งนี้ ค็อกพิทตั้งเป้าสู่การเป็น “แบรนด์ที่เป็นที่ 1 ในใจ (Top of Mind) และหวังครองใจลูกค้าในระยะยาว” เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการเข้ารับบริการ และมุ่งหวังที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับสมาชิกแฟรนไชส์ งานประชุมใหญ่ร่วมกับสมาชิกแฟรนไชส์ประจำปี 2567 ยังได้ตอกย้ำถึงการผนึกกำลังร่วมกันอย่างเข้มแข็ง และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นบริหารงานอย่างไม่หยุดยั้งของค็อกพิทด้วยการต่อยอดกลยุทธ์เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดี และสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าว่ามาที่ค็อกพิทจะได้รับบริการแบบครบวงจรทั้งยังเพิ่มความอุ่นใจ และความปลอดภัยตลอดการเดินทาง

บรรยากาศปาร์ตี้สุดประทับใจในงานประชุมใหญ่สมาชิกแฟรนไชส์ค็อกพิทประจำปี 2567

โตโยต้า มอบทุนการศึกษาแก่นิสิตจุฬาฯ ประจำปีการศึกษา 2566

โตโยต้า สานโอกาสทางการศึกษา ขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความยั่งยืน มอบทุนการศึกษา แก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประจำปีการศึกษา 2566 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 51

นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดพร้อมด้วย นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และ นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบทุนการศึกษา แก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประจำปี 2566 โดยมี อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ พร้อมคณาจารย์ และคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมแสดงความยินดี เมื่อวันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ณ อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา อันเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาเยาวชน ให้มีความรู้ความสามารถ และมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็น โตโยต้า จึงดำเนินธุรกิจควบคู่กับความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสังคมไทยไปสู่ความยั่งยืน รวมถึงเสริมสร้าง ความสุขของผู้คนในสังคม ด้วยการแบ่งปันโอกาสทางการศึกษาให้แก่นิสิต นักศึกษา ที่มีผลการเรียน และความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 51 ปี

โดยโตโยต้า ได้จัดกิจกรรมมอบทุนสนับสนุนแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 1,615 ทุน มูลค่า 21,522,000 บาท โดยในปีนี้ มีนิสิตเข้ารับทุนดังกล่าวจำนวน 12 ทุน มูลค่าทุนละ 80,000 บาท รวมทั้งหมดเป็นมูลค่า 960,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

•คณะวิศวกรรมศาสตร์                           จำนวน 4 ทุน          

•คณะอักษรศาสตร์                                จำนวน 2 ทุน          

•คณะรัฐศาสตร์                                     จำนวน 2 ทุน          

•คณะทันตแพทยศาสตร์                        จำนวน 1 ทุน          

•คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี        จำนวน 1 ทุน          

•คณะจิตวิทยา                                       จำนวน 1 ทุน          

•คณะเศรษฐศาสตร์                               จำนวน 1 ทุน          

โตโยต้า ยังคงมุ่งมั่นสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่นิสิต นักศึกษา ด้วยการ “สานโอกาส สร้างรอยยิ้ม” ส่งต่อโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างครอบคลุม และเท่าเทียม เพื่อให้นิสิตนักศึกษา ได้นำเอาทุนการศึกษาไปต่อยอดและพัฒนาศักยภาพของตนเอง รวมถึงเติบโตเป็นบุคลากรที่ดี มีคุณภาพ สร้างคุณูปการให้แก่ประเทศชาติ และร่วมส่งต่อโอกาสทางการศึกษา อันจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้เข้าใกล้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ต่อไป

                        “โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save