- Advertisement -
27.2 C
Bangkok
Home Blog Page 55

เครื่องยนต์โรตารี่ ดีเอ็นเอสายพันธุ์สปอร์ตระดับตำนานของมาสด้า

เครื่องยนต์โรตารี่” สัญลักษณ์แห่งการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคของมาสด้าที่อยู่เหนือกาลเวลา ตำนานที่ยังมีลมหายใจ

มาสด้า ผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลกที่ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาแล้วมากมายกว่า 100 ปี ที่ยังคงโลดแล่นสร้างความรักความผูกพันให้กับผู้คนที่ชื่อชอบการขับขี่และรักในรถยนต์ สิ่งหนึ่งที่ยังคงกึกก้องอยู่ในหัวใจของผู้คนทั่วโลก คือ มาสด้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์เพียงรายเดียวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะให้ผู้คนจดจำจวบจนทุกวันนี้ นั่นคือ เครื่องยนต์ลูกสูบสามเหลี่ยม หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักกันในชื่อ เครื่องยนต์โรตารี่ อันมีเอกลักษณ์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน สร้างชื่อเสียงกระหึ่มโลก นำความภาคภูมิใจมาสู่ชาวมาสด้าทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่รถสปอร์ต 787B ได้คว้าชัยชนะจากการแข่งขันรถยนต์ที่ทรหดมากที่สุดของโลก รายการ เลอ มังส์ 24 ชม. ณ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 1991 และเป็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์แรกที่ชนะการแข่งขันในรายการนี้ ซึ่งทำให้เครื่องยนต์โรตารี่กลายเป็นสัญลักษณ์ในด้านความคิดสร้างสรรค์ และเป็นดีเอ็นเอสายพันธุ์สปอร์ตที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ในด้านความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งที่จะเอาชนะทุกอุปสรรค ซึ่งได้ส่งผ่านมาถึงวิธีการทำงานและรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นจวบจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนารถสปอร์ตมาสด้ารุ่นอื่นๆ อันเลื่องชื่ออีกหลายรุ่นที่คนไทยรู้จักกันดี อาทิ RX-7, RX-8 และรวมถึงรถต้นแบบมาสด้า RX-Vision อันโฉบเฉี่ยวสง่างาม ที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่ เจเนอเรชั่นใหม่ เป็นขุมพลังในการขับเคลื่อน

ต้นกำเนิดของเครื่องยนต์โรตารี่ คงเรียกได้ว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อปี 1919 เมื่อ มร.เฟลิกซ์ แวนเคิ้ล (Mr.Felix Wankel) มีความคิดริเริ่มที่จะสร้างเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบใหม่ที่ไม่ซ้ำแบบเครื่องยนต์ลูกสูบทั่วๆไป โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “เครื่องจักรเทอร์ไบน์” จนกระทั่งออกมาเป็นรูปร่างคล้ายเครื่องยนต์ 4 จังหวะ จุดระเบิดด้วยการหมุนรอบตัวเอง และได้ทำการทดลองมาอย่างต่อเนื่องจนสามารถออกแบบเป็น “ลูกสูบสามเหลี่ยม” ขึ้นมา และเมื่อ มร.เฟลิกซ์ แวนเคิ้ล ได้เข้าทำงานในสถาบัน TES (Technical Institute of Engineering Study) จึงได้พัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งานในรถเพื่อการพาณิชย์ โดยนำโปรเจคนี้ไปเสนอต่อบริษัท NSU Motorenwerke AG ซึ่งเป็นบริษัทผลิตมอเตอร์ไซค์ และได้พัฒนาเครื่องยนต์โรตารี่ควบคู่กันไป ทำให้ “เครื่องยนต์โรตารี่” เครื่องแรกถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1957 โดยใช้ชื่อว่า DKM 54 ในรถมอเตอร์ไซค์ รุ่น 50 ซี.ซี. สามารถทำความเร็วได้ถึง 192.5 กม./ชม. ที่สำคัญสามารถคว้าชัยชนะในรายการ “World Grand Prix Championship” ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาให้กับผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก

ถึงแม้ว่า Wankel Engine จะเอาชนะการแข่งขันในครั้งนั้นมาได้ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่มาก อาทิ กินน้ำมัน ความร้อนสูง สึกหรอมาก และเสียหายเร็ว จึงทำให้เสื่อมความนิยมลงจนจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่ก็ได้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1961 โดยวิสัยทัศน์ของ Mr.Tsuneji Matsuda ประธาน บริษัท Toyo Kogyu (โตโย โคเกียว) ผู้ผลิตรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัย ภายใต้ชื่อ “มาสด้า” ได้ทำการซื้อลิขสิทธิ์มาพัฒนาใหม่ จนกระทั่งในเดือนเมษายน ปี 1963 Mr.Keichi Yamamoto ก็ได้ทำการพัฒนาขึ้นมาสำเร็จ แต่ยังพบข้อบกพร่องบางอย่างเกี่ยวกับ Apex Seal และ Oil Seal ซึ่งเสียหายง่าย จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท Nippon Piston Ring & Oil Seal Co. เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้สำเร็จ

ต่อมาในปี 1967 มาสด้าก็ได้สร้างความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวรถคันแรกที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่ ด้วย “รุ่น Cosmo Sport 110S” ซึ่งเป็นรถยนต์มาสด้ารุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่ หลังจากนั้นจึงได้เริ่มผลิตและจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์โรตารี่ตามออกมาอีกหลายรุ่น อาทิ แฟมิเลีย โรตารี่ คูเป้ (R100 ในต่างประเทศ) ซาวันน่า (RX-3) RX-7 และรุ่นยูโนส คอสโม ทั้งนี้ เครื่องยนต์โรตารี่นั้นมีโครงสร้างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ และขับเคลื่อนด้วยการหมุนของโรเตอร์รูปสามเหลี่ยม ซึ่งมาสด้าถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกและรายเดียวที่ประสบความสำเร็จในการใช้เครื่องยนต์โรตารี่ในเชิงพาณิชย์จนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มมาจากการใช้เครื่องยนต์โรตารี่ในรถยนต์รุ่น Cosmo Sport 110S และทำให้ต่อมารถยนต์มาสด้าหลายรุ่นก็ได้นำเอาเครื่องยนต์โรตารี่มาใช้

y0304_m60m_p13_01 006

หลังจากนั้น มาสด้าก็ยังคงไม่ละความพยายามในการพัฒนาสมรรถนะ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และความทนทานของเครื่องยนต์โรตารี่อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดมาสด้าก็ประกาศศักดาให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์ ด้วยการตัดสินใจนำรถแข่งของมาสด้าที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่ หรือ มาสด้า 787B ที่มาพร้อมเครื่องยนต์โรตารี่ 4 โรเตอร์ ลงแข่งขัน รายการ เลอ มังส์ 24 ชม. ในปี 1991 ที่ประเทศฝรั่งเศส และนั่นคือการลบคำสบประมาทจากทุกสิ่งที่ค้างคาใจของผู้คนทั่วโลก เมื่อมาสด้า 787B ทะยานเข้าเส้นชัยผ่านธงตาหมากรุก และนี่คือประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ มาสด้ากลายเป็นรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์แรกที่คว้าชัยชนะ ส่งผลให้เครื่องยนต์โรตารี่จากมาสด้า กลายเป็นสัญลักษณ์ในด้านความคิดสร้างสรรค์และความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งที่จะเอาชนะทุกอุปสรรคของมาสด้ามาจนถึงปัจจุบัน

นับจากรถยนต์มาสด้าที่ใช้เครื่องโรตารี่ปรากฏโฉมออกสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 50 ปี ของเครื่องยนต์นี้ที่ถูกผลิตและจำหน่ายไปทั่วโลกมากกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งในระหว่างนั้น ทาง มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น มีโอกาสผลิตรุ่นพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี จึงได้เปิดตัว มาสด้า RX-8 รุ่นพิเศษ ในตลาดญี่ปุ่น โดยรุ่นพิเศษนี้ได้รับการพัฒนามาจากรุ่น RX-8 Type S (เกียร์ธรรมดา 6 สปีด) และ Type E (เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด) ภายในสะท้อนถึงรถต้นแบบ คอสโม สปอร์ต พร้อมเบาะนั่งหนังแท้สั่งทำพิเศษ สีดำกับเทาอ่อนของ ALCANTARA สีภายนอกของตัวรถเป็นสีพิเศษ คือ สีขาวหินอ่อน พร้อมป้ายสัญลักษณ์รุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 40 ปี บริเวณด้านข้างตัวรถ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการจำหน่ายรถมาสด้าเครื่องยนต์โรตารี่อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ก็ยังมีอุปกรณ์พิเศษ เช่น โช้คอัพของ Bilstein และระบบกันสะเทือนด้านที่บรรจุโฟมยูรีเทน เพื่อให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ และสมรรถนะที่ดีขึ้น

ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์โรตารี่จะได้หยุดการผลิตไปในบางช่วงเวลาเนื่องจากความเข้มงวดในบางตลาด แต่มาสด้าก็ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาและวิจัย จนกระทั่งวันนี้ตำนานที่ถูกเล่าขานมาอย่างยาวนาน ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง นั่นคือ เครื่องยนต์โรตารี่ เจเนอเรชั่นใหม่ ที่มีชื่อเรียกว่า SKYACTIV-R หรือ เครื่องยนต์โรตารี่ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของมาสด้าในการกล้าที่จะก้าวสู่ความท้าทายใหม่ๆ และกล้าที่จะต่างด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเช่นเดียวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ โดยได้พัฒนาขึ้นเป็นรถสปอร์ตต้นแบบ มาสด้า RX-Vision ที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่ เจเนอเรชั่นใหม่ สกายแอคทีฟ-อาร์ เป็นขุมพลังในการขับเคลื่อน ซึ่ง มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ได้เผยโฉมเป็นครั้งแรกในงาน โตเกียว มอเตอร์ โชว์ เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์แห่งอนาคต ด้วยการเป็นรถสปอร์ตวางหน้า และขับเคลื่อนล้อหลังที่มาพร้อมรูปลักษณ์หรูหรางดงามตามแบบฉบับ โคโดะ ดีไซน์ อันเลื่องชื่อของมาสด้า

นี่คือเรื่องราวความเป็นมาบางส่วนเกี่ยวกับเครื่องยนต์โรตารี่ อันเป็นต้นกำเนิดของรถสปอร์ตมาสด้าหลากหลายรุ่น และส่งผ่านมาจนถึงปัจจุบันกลายเป็นดีเอ็นเอของมาสด้าที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค หรือ Challenger Spirit ที่มาสด้าตั้งใจพัฒนาเพื่อนำเสนอเทคโนโลยียานยนต์ที่มีเอกลักษณ์ให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าภาคภูมิใจ เพื่อสร้างสายสัมพันธ์อันแสนวิเศษ และเพื่อให้มาสด้ากลายเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่อยู่ในใจลูกค้าตลอดไป

Suzuki Carry Barber Truck ส่งความสุขปี 3

CARRY YOUR DREAM CARRY YOUR LIFE ปี 3 ยกขบวน Suzuki Carry Barber Truck ส่งความสุขแก่ผู้ด้อยโอกาสตอกย้ำภาพลักษณ์ รถคู่คิด ธุรกิจ SME ไทยสร้างยอดขายสะสมทะลุ 61,234 คัน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ‘ซูซูกิ’ ตระหนักอยู่เสมอว่า สังคมที่ดี คือสังคมที่มีการช่วยเหลือแบ่งปัน ซูซูกิ จึงไม่ได้มุ่งหวังจะเป็นแค่เพียงผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์เท่านั้น แต่ต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและช่วยเหลือสังคมไทยให้เติบโตเคียงคู่กันไปได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการริเริ่มโครงการ ‘SUZUKI Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ’ ขึ้นมานั้น เป็นการตอกย้ำถึงสิ่งที่เรามุ่งมั่นที่จะตอบแทนคนไทยและสังคมไทยอย่างแท้จริง

โดยแนวคิดหนึ่งที่เกิดจากขึ้นโครงการ ‘SUZUKI Cause We Care’ คือ การจัดแคมเปญ “CARRY YOUR DREAM เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ทุกคนได้มีโอกาสได้ทำตามความฝัน พร้อมส่งต่อสิ่งดีๆ ให้แก่สังคมต่อไป ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งการช่วยเหลือสังคมในช่วงวิกฤติโควิด-19 ด้วยการดัดแปลง SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์ ให้กลายเป็นรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย” (SUZUKI CARRY Biosafety Mobile Unit) หรือ รถตรวจโควิดรวมถึงการปรับเปลี่ยนเป็นรถส่งผู้ป่วยโควิด-19กลับภูมิลำเนาในโครงการ SUZUKI CARRY Your Home

CSR Suzuki Carry Barber Truck คือ กิจกรรมล่าสุดที่เรายังคงเดินหน้าจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยยังคงแนวทางการจัดกิจกรรมด้วยการดัดแปลง SUZUKI CARRY รถกระบะอเนกประสงค์ให้กลายเป็นรถขนส่งความสุข ซึ่งในปีนี้ซูซูกิยังร่วมมือกับทางผู้ประกอบการในการนำรถกระบะอเนกประสงค์ SUZUKI CARRY มาดัดแปลงเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่ เพื่อนำไปร่วมกิจกรรม CSR SUZUKI CARRY Barber Truck ให้บริการตัดผมแก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมยังสถานที่ต่างๆ ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ

ซึ่งล่าสุดซูซูกิ ร่วมด้วยผู้ประกอบการร้านตัดผม Monstercutz และผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา บริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด โดยคุณสนาวุธ คลังเจริญพงษ์ภา กรรมการผู้จัดการ และคุณชวพรรณ จิตต์เจริญธรรม กรรมการบริหารด้านงานขายและการตลาด นำ SUZUKI CARRY Barber Truck มาให้บริการตัดผมเด็กๆ โรงเรียนการศึกษาคนตาบอด จังหวัดนครราชสีมา รวมถึงมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้แก่ทางโรงเรียน โดยมีนายวิชัย สานคล่อง ผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นผู้แทนรับมอบ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา

สำหรับในปีนี้ ซูซูกิเตรียมยกขบวน SUZUKI CARRY Barber Truck ขนความสุขไปมอบให้แก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม อีก 3 แห่ง ประกอบด้วย

•สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญาราชบุรี จังหวัดราชบุรี

•สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

•ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุภูเก็ต (สถานสงเคราะห์คนชราบ้านภูเก็ต) จังหวัดภูเก็ต

โดยในทุกจังหวัดที่เราไปยังร่วมมือกับผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิในพื้นที่ดังกล่าว ส่งมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือจำเป็นให้แก่ทางศูนย์สงเคราะห์ฯ ในแต่ละแห่งเพื่อไปใช้ให้เกิดประ โยชน์ต่อไปอีกด้วย

“สิ่งที่เราพยายามตอกย้ำอยู่เสมอ คือ รถกระบะเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กคันนี้ ควรถูกนิยามใหม่ว่า Good Truck เพราะเป็นรถที่เข้าไปเติมเต็มความฝันของผู้ที่ต้องการมีธุรกิจเคลื่อนที่เป็นของตนเอง ซึ่งความอเนกประสงค์ของรถรุ่นนี้ สามารถขยายไปสู่การรองรับธุรกิจได้อย่างหลากหลาย”

จากทุกกิจกรรมที่ซูซูกิจัดขึ้น โดยมีผลิตภัณฑ์อย่าง SUZUKI CARRY เป็นสื่อกลางในการส่งมอบทุกความสุขให้คนไทย ตอกย้ำให้เห็นถึงคุณค่าของรถยนต์รุ่นนี้ สามารถตอบรับต่อความต้องการที่หลากหลายเป็นได้มากกว่ารถขนสินค้าหรือสัมภาระ เปรียบเสมือนดั่งพาร์ทเนอร์คนสำคัญที่พร้อมจะสนับสนุน และร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการด้วยความจริงใจ เดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน

ทั้งนี้ ซูซูกิยังครองความเป็นผู้นำในตลาดรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก และได้รับความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้าในธุรกิจขนาดย่อมหรือ SME เป็นอย่างดี โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายได้ จำนวน 2,433 คัน ส่งเสริมให้ตัวเลขยอดขายรวมนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2549 ในประเทศไทย จนถึง ณ ปัจจุบัน มีตัวเลขรวมทั้งสิ้น 61,234 คัน ซึ่งซูซูกิมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง กับการที่ผลิตภัณฑ์อย่าง SUZUKI CARRY มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจขนาดย่อมที่กำลังเติบโตของตลาดในประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกิจ SME ในรูปแบบแฟรนไชส์ ที่มีการขยายตลาดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดยังได้มอบแคมเปญพิเศษเพื่อเป็นการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจขนาดย่อมที่กำลังเติบโต แก่ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของ SUZUKI CARRY ด้วยการรับข้อเสนอส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่งมูลค่ารวมสูงสุด 20,000 บาท หรือ เลือกรับ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 1.99% นาน 60 เดือน หรือ รับข้อเสนอผ่อนเพียงเริ่มต้นวันละ 222 บาท  ระยะยาว 84 เดือน ซึ่งข้อเสนอพิเศษดังกล่าวจะเป็นการคิดรวมกับอุปกรณ์ตกแต่งรถเรียบร้อยแล้ว  พร้อมฟรีประกันชั้นหนึ่งในปีแรกอีกด้วย

ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ อีกทั้งเรายังมีพันธมิตรเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศเข้ามาร่วมเป็นเอ็กซ์คลูซีฟลีสซิ่ง ช่วยเรื่องการอนุมัติสินเชื่อให้มีความหลากหลายและช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ซูซูกิได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรกับซูซูกิ ได้แก่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)

ซูซูกิ อัดแคมเปญแรง ราคาเริ่มต้น 3.78 แสนบาท

ซูซูกิ อัดแคมเปญแรงรับซัมเมอร์ ท้าคุ้มสุดแห่งปี ด้วยราคาพิเศษ SUZUKI XL7 เริ่มต้น 7.34 แสนบาท SUZUKI CIAZ เริ่มต้น 3.78 แสนบาท ตอกย้ำรถยนต์คุ้มค่า ในราคาที่เข้าถึงง่าย พร้อมเลือกรับข้อเสนอ ขับฟรี 90 วัน รถมีจำนวนจำกัด

บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มอบโปรโมชั่นแรง ตอบโจทย์คุ้มค่าของการใช้รถยนต์ เมื่อลูกค้าเลือกซื้อรถยนต์ SUZUKI XL7 และ SUZUKI CIAZ ภายในเดือนมีนาคมนี้ รับแคมเปญราคาสุดพิเศษทันที ทั้ง 2 รุ่น พร้อมเลือกรับข้อเสนอพิเศษ ขับฟรี 90 วัน หรือผ่อนนานสูงสุด 90 เดือน

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ซูซูกิมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่า ครบครัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้ามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความต้องการใช้งานรถยนต์ที่หลากหลายเป็นอย่างมาก ซึ่งซูซูกิก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้จำหน่ายรถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายเซกเมนต์ไว้รองรับต่อความต้องการ และสิ่งที่สำคัญ คือ มีรถยนต์หลายรุ่นที่เข้าไปอยู่ในใจของคนไทยและยังได้การตอบรับเป็นอย่างดีเสมอมา

โดยเฉพาะรถยนต์ 2 รุ่นของซูซูกิที่ยังคงสร้างความแตกต่าง ทั้งด้านเอกลักษณ์ของตัวรถไปจนถึงความคุ้มค่าด้านการใช้งาน จนเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ก็คือ SUZUKI XL7 Multi-Dynamic Crossover รถอเนกประสงค์แบบสปอร์ตครอสโอเวอร์ คือ หนึ่งในทางเลือกของรถยนต์สำหรับครอบครัวอีกรุ่นหนึ่งของคนไทย ด้วยจุดเด่นที่สำคัญ คือ ดีไซน์แข็งแกร่ง ดุดัน สมรรถนะโดดเด่น ถูกออกแบบมาให้เป็นรถยนต์สปอร์ตครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง สามารถใช้งานได้จริงในทุกพื้นที่โดยสาร อุปกรณ์อำนวยความสะดวก สามารถตอบโจทย์ในทุกฟังก์ชันการใช้งานอย่างครบครัน ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ K15B ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุดถึง 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดที่ 138 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด เดินทางคล่องตัว ปลอดภัย ทั้งยังเป็นรถที่ดูแลรักษาง่าย ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคุ้มค่า

อีกหนึ่งรุ่นที่ลูกค้ายังให้ความเชื่อมั่นและเลือกใช้งานเป็นพาหนะคู่ใจ คือ รถยนต์ SUZUKI CIAZ อีโคคาร์ซีดานที่มาพร้อมกับจุดเด่นด้านความกว้างขวางภายในห้องโดยสาร มอบสัมผัสทุกความสบายตลอดการเดินทาง มีพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถกว้างถึง 565 ลิตร ฝาท้ายรถเปิดแบบไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.25 ลิตร รหัส K12B มอบพละกำลังสูงสุดที่ 91 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที สรงบิดสูงสุด 118 นิวตันเมตรที่4,800 รอบ/นาที อัตราประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 20 กม./ลิตร รองรับระบบน้ำมันชนิด E20 อีกด้วย

ในโอกาสนี้เพื่อเป็นการตอบรับต่อความไว้วางใจของลูกค้ารวมถึงเป็นการกระตุ้นตลาดที่กำลังแข่งขันอย่างรุนแรงในช่วงต้นปี ซูซูกิ จึงเตรียมมอบแคมเปญราคาพิเศษให้สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถทั้ง 2 รุ่น ภายในเดือนมีนาคม 2567 โดยรถราคาพิเศษดังกล่าวจะมีจำหน่ายเพียงจำนวนจำกัด เท่านั้น

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับแคมเปญพิเศษที่เราเตรียมมอบให้กับลูกค้าที่สนใจและมีความต้องการจะเป็นเจ้าของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น นอกจากจะเป็นการตอบรับความต้องการของลูกค้าและยังเป็นการกระตุ้นตลาดในช่วงต้นปีซึ่งมีการแข่งขันสูงเป็นอย่างมากอีกด้วย

สำหรับแคมเปญพิเศษรับซัมเมอร์เตรียมมอบราคาสุดเซอร์ไพรส์ให้แก่ลูกค้าที่จองและรับรถยนต์ SUZUKI XL7 ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567  ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 734,000 บาท จากราคาจำหน่ายเดิม 814,000 บาท (รถมีจำนวนจำกัด) นอกจากนั้นลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของ SUZUKI XL7 ได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติม ดังนี้

•ขับฟรี 90 วัน

•หรือ ผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน

•พนักงานเงินเดือนประจำ และ ลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ รับดอกเบี้ยพิเศษ

•ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี

SUZUKI XL7 เกียร์อัตโนมัติ มีสีให้เลือกและราคาจำหน่ายพิเศษดังนี้

สีรถราคาเดิม (บาท)ราคาพิเศษ (บาท)
สีส้ม สีเทาเข้ม สีดำ814,000734,000
สีขาว819,000739,000
สีทูโทน-ตัวรถสีส้มตัดกับหลังคาสีดำ824,000744,000
สีทูโทน-ตัวรถสีขาวตัดกับหลังคาสีดำ829,000749,000

สำหรับ SUZUKI CIAZ อีโคคาร์ซีดานพรีเมียม เป็นรถอีกรุ่นหนึ่งที่มีความสมบูรณ์แบบสามารถตอบรับความต้องการรถยนต์ที่คุ้มค่าของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี มาพร้อมกับแคมเปญพิเศษ ด้วยราคาจำหน่ายในรุ่นเริ่มต้นเพียง 378,000 บาท จากราคาเดิม 528,000 บาท ซึ่งราคาพิเศษนี้มอบให้กับลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 (รถมีจำนวนจำกัด) นอกจากนั้นลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยข้อเสนอดังนี้

•ขับฟรี 90 วัน

•พนักงานเงินเดือนประจำ และ ลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ รับดอกเบี้ยพิเศษ

•ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี

ราคาจำหน่ายพิเศษ SUZUKI CIAZ ในทุกรุ่นย่อย มีดังนี้

รุ่นราคาเดิมราคาพิเศษ (บาท)
CIAZ GL M/T528,000378,000
CIAZ GL CVT564,000414,000
CIAZ GLX CVT628,000478,000
CIAZ RS CVT678,000528,000

ทั้งนี้ SUZUKI CIAZ มีสีให้เลือก คือ สีขาว สีแดง และสีดำในเกรด RS (สีขาวเพิ่ม 5,000 บาท) สีขาว สีแดง สีเทาอ่อน สีเทาเข้ม และสีดำ ในเกรด GLX (สีขาวเพิ่ม 5,000 บาท) สีขาว สีเทาอ่อน สีเทาเข้ม และสีดำ ในเกรด GL (สีขาวเพิ่ม 5,000 บาท)

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า “แคมเปญพิเศษดังกล่าว เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงการเป็นเจ้าของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นได้ง่ายยิ่งขึ้นและไม่อยากให้พลาดเพราะรถยนต์ในแคมเปญนี้มีจำนวนจำกัด ด้วยราคาที่เรามอบให้ในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงการส่งมอบสินค้าที่มีแต่ความคุ้มค่า คุ้มราคา ตามปรัชญาของซูซูกิที่มุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเหมาะสมกับลูกค้าชาวไทย ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพงานบริการของโชว์รูมผู้จำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิครอบคลุมทั่วประเทศ

อินฟอร์มา จับมือ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย แสดงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

อินฟอร์มาฯ สานต่อความร่วมมือ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย จัดงาน “Electric Vehicle Asia 2024” ยกระดับการผลิตไทยสู่การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมด้วยสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) สานต่อความร่วมมือจัดงาน “Electric Vehicle Asia (EVA) และ iEVTech 2024” งานแสดงเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้างานแรกที่จัดมาอย่างยาวนานที่สุดในไทย รวบรวมเทคโนโลยีและการประชุมเฉพาะทางด้านยานยนต์ไฟฟ้าระดับนานาชาติไว้อย่างครบวงจร เป็นงานที่ได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง วางเป้าเสริมแกร่งผู้ประกอบการใน ตลาด EV และภาคการผลิตเพื่อขานรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยในระดับภูมิภาค ปักธงเตรียมจัดงานใหญ่ ระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีหมุดหมายในการสร้างเครือข่าย ต่อยอดธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และเตรียมความพร้อมไทยสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) อย่างยั่งยืนในอนาคต

นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวว่า ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก EV-Volumes.com ระบุว่า ยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ทั้งแบบใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ (BEV) และแบบปลั๊กอิน-ไฮบริด (PHEV) ในปี 2023 มีปริมาณ 14.2 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2022 และในปี 2024 คาดการณ์ว่าจะมียอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 2 ประเภท รวมกันประมาณ 17.8 ล้านคัน ส่งผลให้จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมทั่วโลกอยู่ที่ราว 40 ล้านคัน โดยเฉพาะประเทศไทยในปี 2023 กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าในประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จดทะเบียนใหม่มีอัตราการเติบโตในภาพรวมจากปีก่อนราว 690% หรือราว 76,366 คัน ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามียอดการเติบโตที่ 121% หรือราว 21,927 คัน ซึ่งปัจจัยบวกสำคัญมาจากนโยบายของภาครัฐในการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า อย่าง มาตรการ EV 3.0 และ 3.5 ที่ให้เงินอุดหนุน ลดภาษีนำเข้า และลดภาษีสรรพสามิตสำหรับค่ายรถยนต์ที่ลงนามในข้อตกลง MoU กับกรมสรรพสามิต เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศตามมาตรการสนับสนุน ยกระดับให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยมาตรการ EV 3.5 มีผลบังคับใช้ในปี 2024-2027 เพื่อสนับสนุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ที่กำหนดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ภายในประเทศ ในปี 2026 ที่อัตราส่วนการผลิต 2 คัน ต่อการนำเข้า 1 คัน และในปี 2027 กำหนดการผลิตภายในประเทศ 3 คันต่อการนำเข้า 1 คัน นอกจากนี้แล้วยังมีแนวโน้มการลงทุนเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่น่าสนใจ อาทิ ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Driving) ข้อมูลสำหรับเชื่อมต่อยานยนต์กับการสื่อสาร (Data-Driven & Connected Service) และ การแบ่งปันการใช้งาน (Shared Service) จะเข้ามาช่วยในการสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจของยานยนต์สมัยใหม่

“โดยที่ผ่านมาสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยได้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนองค์ความรู้ในด้านต่างๆ เกี่ยวข้อง ทั้งระบบขับเคลื่อน แบตเตอรี่ ระบบการชาร์จ รวมถึงเทคโนโลยี simulation ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต เราทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยหนึ่งเวทีที่สำคัญ คือ การจัดการประชุมนานาชาติ iEVTech 2024 ร่วมกับทางอินฟอร์มาฯ ในงาน Electric Vehicle Asia ต่อเนื่องทุกปี โดยในปีนี้จัดขึ้นในหัวข้อ “Global EV Industry Transformation Towards  Decarbonization ” เป็นเวทีที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก นักวิจัย นักพัฒนา ผู้กำหนดนโยบาย และซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้องในแวดวงยานยนต์ไฟฟ้ามาร่วมแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ใหม่ๆร่วมกัน ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการพัฒนาเทคโนโลยีในอุตสาหกรรม EV อย่างครบวงจรและเป็นก้าวที่สำคัญในการยกระดับการขนส่งพลังงานสะอาดของไทยสู่การเป็นผู้นำในอาเซียนต่อไป” นายกฤษฎา กล่าวเสริม   

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ – ประเทศไทย กล่าวว่า อินฟอร์มาฯ เล็งเห็นโอกาสและมองเห็นทิศทางการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานมาอย่างต่อเนื่องและได้เริ่มจัดแสดงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเป็นรายแรกในไทยผ่านการจัดงาน “Electric Vehicle Asia” โดยจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ซึ่งในระยะแรกมีเป้าหมายที่สำคัญในการชี้เทรนด์รวมถึงสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับยานยนต์ดังกล่าว ปัจจุบันงานนี้กลายเป็นเวทีที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาค โดยได้ขนทัพเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยด้านยานยนต์ไฟฟ้ามาจัดแสดงจากกว่า 25 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์ แบตเตอรี่ สถานีชาร์จ ชิ้นส่วน รวมถึงยานยนต์ต้นแบบ อาทิ  ABB, Bossard, Delta, Grob, Trumpf, Carl Zeiss, Wima เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังมีพาวิเลียนนานาชาติกว่า 7 ประเทศ ทั้ง เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลี จีน สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ และไต้หวัน ทั้งนี้ยังได้รวบรวมผู้นำและผู้เชี่ยวชาญจากเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าจากทั่วทุกมุมโลกครอบคลุมในมิติของระบบนิเวศทางธุรกิจของยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV Eco System ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำในทุกห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในภาคการผลิตมีความพร้อมในทุกด้านสู่การเป็นฐานการผลิตและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมในอนาคตของภูมิภาค

ปีนี้งาน EVA 2024 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “EV Ecosystem Transformation Towards Net Zero” หรือ การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้าสู่คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ด้วยปัจจุบันทุกภาคส่วนมีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และหนึ่งปัจจัยในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งระบบนิเวศน์ต้องมีการปรับตัวรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ อีกทั้งในฐานะผู้จัดงานเราให้ความสำคัญในการสร้างเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เรามีการเชิญ Delegation จากหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน รวมทั้งประชาสัมพันธ์งานสู่ผู้ซื้อคุณภาพทั่วโลก ผ่านเครือข่ายและฐานข้อมูลในแวดวงยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอกย้ำความพร้อมการเป็นศูนย์กลางในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในทุกห่วงโซ่อุปทานด้าน EV เรายังมีไฮไลต์สำคัญ คือ การประชุมนานาชาติด้านยานยนต์ไฟฟ้า iEVTech ที่รวบรวมหัวข้อเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าต่างๆอย่างครอบคลุม เราเชื่อมั่นว่า งานนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญของทั้งผู้ผลิต ผู้ขาย รวมทั้งผู้ซื้อ ในการขับเคลื่อนศักยภาพของไทยในฐานะผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค นายสรรชาย กล่าวเสริม

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยสู่ระดับโลกที่งาน “Electric Vehicle Asia” และ “iEVTech 2024” โดยจัดขึ้นพร้อมกับงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2024 (ASEW) งานแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านพลังงานทดแทน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และระบบกักเก็บพลังงานที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค ซึ่งทั้ง 2 งานนี้จะเสริมสร้างอนาคตความมั่นคงด้านพลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งสู่สังคมคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) อย่างยั่งยืน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

MGC-ASIA ประกาศแผนยุทธศาสตร์ปี 2567

MGC-ASIA ประกาศแผนยุทธศาสตร์ปี 2567 สร้าง New S-curve ผนึกกำลังกลุ่ม ปตท. ตั้ง NEO MOBILITY ASIA รุกธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA ประกาศแผนยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการเติบโตปี 2567 โชว์ศักยภาพความแข็งแกร่ง 4 กลุ่มธุรกิจภายใต้ MGC-ASIA Ecosystem ขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ สร้าง New S-curve รับเมกะเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าเติบโต ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัท อรุณ พลัส จำกัด บริษัทในเครือกลุ่ม ปตท. ตั้งบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด ดำเนินธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร เชื่อมโยงระบบนิเวศทางธุรกิจระหว่างกันผ่านการ Synergy ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า MGC-ASIA เป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” กลุ่มบริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ “MGC-ASIA Ecosystem” เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ ผ่านการขยายฐานสินค้าและสร้างบริการใหม่ พร้อมแสวงหาโอกาสในการสร้างธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นแนวหน้าในหลากหลายกลุ่ม เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ล่าสุด บริษัท เอ็มจีซี-เอเชีย กรีนเทค จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับกลุ่มอรุณ พลัส ซึ่งเป็นบริษัท EV Flagship ดำเนินธุรกิจ EV Value Chain แบบครบวงจร ที่กลุ่ม ปตท.ถือหุ้น 100% ตั้งบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ครอบคลุม 1) ธุรกิจจัดจำหน่าย การตลาด ตัวแทนจำหน่าย และบริการหลังการขายแบบครบวงจร 2) ธุรกิจผลิตยานยนต์ รวมทั้งโอกาสการลงทุนในโรงงานผลิตรถยนต์ 3) ธุรกิจจัดการขยะแบตเตอรี (Battery waste management) และโอกาสการลงทุนในโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี (Battery recycling factory) 4) ธุรกิจแพลตฟอร์มออนไลน์ EVme เพื่อเป็นช่องทางการทำการตลาด และการให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างครอบคลุมทุกมิติ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

“การร่วมมือระหว่างกลุ่ม MGC-ASIA กับบริษัท อรุณ พลัส จำกัด บริษัทในเครือกลุ่ม ปตท. นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญที่จะช่วยรองรับการเปลี่ยนผ่านจากยุคของยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง ไปสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า โดยการนำ Ecosystem ที่แข็งแกร่งของทั้งสองกลุ่มมาประสานรวมกัน เพื่อสร้างการเติบโตแบบ Synergy ผนักดันให้เกิด New S-curve จากการมีสินค้าและบริการที่ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเติมเต็มระบบนิเวศทางธุรกิจของกันและให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นกลุ่มผู้นำในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโตทั่วโลก” นายสัณหวุฒิ กล่าว

สำหรับปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้างการเติบโตโดดเด่นทุกกลุ่มธุรกิจ ผ่านกลยุทธ์ขับเคลื่อนแต่ละกลุ่มธุรกิจ ดังนี้ 1) กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) กลุ่มบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตให้กลุ่มธุกิจ นอกจากนี้กลุ่ม Marine Business ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง โดยมีรายได้ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กลุ่มบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้าง Marine Business Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ผ่านการรักษาฐานลูกค้าเก่า ขยายฐานลูกค้าใหม่ นำเสนอบริการที่ครอบคลุม รวมทั้งขยายฐานบริการอย่างเต็มรูปแบบ โดยกลุ่มบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ Azimut Yachts S7 ที่ Ocean Marina Pattaya และ Chris-Craft รุ่นใหม่ ที่โครงการ Riverdale Marina ปทุมธานี

2) ธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) สัดส่วนรายได้จากบริการหลังการขายมีอัตราเติบโตต่อเนื่องจากความไว้วางใจของลูกค้า โดยในปี 2566 มีจำนวนการเข้าใช้บริการ 201,051 ครั้ง เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและรายได้ต่อการบริการต่อครั้งเพิ่มขึ้นจาก 17,926 บาท เป็น 18,195 บาท นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลกอย่าง Tesla ให้ดำเนินธุรกิจศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) พร้อมมีแผนขยายสาขาเพื่อรองรับการเติบโตยานยนต์ไฟฟ้า

3) ธุรกิจบริการเช่ารถยนต์ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว และพนักงานขับรถ (Car Rental and Driver Services) ปี 2566 จำนวนรถให้เช่าระยะสั้น ภายใต้แบรนด์ ‘SIXT’ ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยเฉพาะการเพิ่มรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียม รองรับปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 รายได้รถเช่า SIXT เติบโตกว่า 40% เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้านรถเช่าระยะยาวในปี 2566 จำนวนรถให้เช่าเติบโต 20% ทำให้ภาพรวม บจก. มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล มีรายได้รวมประมาณ 1,400 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 นอกจากนี้ภายในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังกลุ่มรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ให้เช่า (Commercial Vehicle Rental) เพื่อให้บริการครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น

4) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) สำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่ง MGC-ASIA ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีพอร์ตสินเชื่อรวมประมาณ 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 84% โดยฐานลูกค้ากลุ่ม High net worth มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวมตามเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเสนอผลิตภัณฑ์ Yacht Financing และ Wealth Lending เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร โดยในปี 2567 บริษัทฯ วางเป้าหมายรับรู้ผลกำไรสุทธิเป็นปีแรก จากการขยายพอร์ตสินเชื่อ Wealth Lending อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากการให้บริการในลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง ขณะที่ บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัยชั้นแนวหน้า ปีงบประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566 มีรายได้ 331 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% และเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 289 ล้านบาท โดยเติบโตจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่แก่กลุ่มลูกค้าเดิม รักษาอัตราการต่ออายุกรมธรรม์ที่เพิ่มมากขึ้น และขยายไปสู่ตลาดใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พร้อมกำหนดวางกลยุธท์การเติบโต ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ความเสี่ยงทางไซเบอร์, เครดิตการค้า, บริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล รวมทั้งการรองรับแนวโน้มด้าน ESG ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้ตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญในการให้ความรู้ และให้คำปรึกษาความเสี่ยงด้านสภาพอากาศการเปลี่ยนผ่านพลังงาน และประกันภัยคาร์บอนเครดิต เพื่อรองรับเมกะเทรนด์ในอนาคต

อีซูซุ ร่วมลงนาม MOU ยานยนต์ไฟฟ้าฯ

อีซูซุ ร่วมลงนามข้อตกลง MOU ยานยนต์ไฟฟ้าฯ เดินหน้าตอบรับนโยบายรัฐบาลต่อยอดการเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพในไทย

“อีซูซุ” ผู้นำตลาดรถยนต์เมืองไทย ตอบรับนโยบายรัฐบาล เดินหน้าร่วมลงนามข้อตกลงการรับสิทธิตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญในประเทศไทยและต่อยอดการเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพในไทยไปยังตลาดโลก โดยมี มร.ซาโตชิ ยามางุจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมลงนามกับ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง

บรรยายภาพจากซ้ายไปขวา:

1.ดร.บัญชร ส่งสัมพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี 2 กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง

2.ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง

3.มร.ซาโตชิ ยามางุจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

4.มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด

มาสด้า ชวนลูกค้าส่งภาพประทับใจแชร์ความสุขกับรถมาสด้า

มาสด้า ชวนลูกค้าส่งภาพความประทับใจกับรถมาสด้า แชร์ประสบการณ์ความสุข “You and Mazda Moments”

ด้วยเหตุผลที่ว่า “นิยามความสุขของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน” บางคนมีความสุขกับการให้ บางคนสุขกับการรับ บางทีความสุขอาจหาได้จากสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา แม้จะเป็นความสุขเล็กๆ ในบางโมเมนต์ ไม่ว่าจะสุขอย่างไร วันนี้ มาสด้าชวนลูกค้ามาช่วยกันแชร์ภาพความสุขและความประทับใจกับรถมาสด้าคันโปรด ให้คนที่รักในการเดินทางได้อิจฉาในความสุขของการเดินทางไปกับรถมาสด้า กับกิจกรรม “You and Mazda Moments” ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์อันน่าจดจำโดยมีรถยนต์มาสด้าเป็นพาหนะคู่ใจในทุกการเดินทาง เรื่องราวและภาพความประทับใจที่ลูกค้าส่งเข้าร่วมกิจกรรมจะถูกนำขึ้นแสดงบนแกลเลอรี่วอลล์ที่บูธมาสด้าในงานมอเตอร์โชว์ 2024

โดยผู้โชคดี 100 ท่าน ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับบัตร Starbucks Card มูลค่า 500 บาท และมาสด้าจะนำภาพความประทับใจกับรถมาสด้ามาบอกเล่าผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ จากทางมาสด้า พร้อมยังได้รับสิทธิ์เข้าชมยนตรกรรมมาสด้าก่อนใคร ในงานมอเตอร์โชว์ 2024 รอบวีไอพี ในวันที่ 25 มีนาคม 2567 ระหว่างเวลา 16:00 – 18:00 น. รวมถึงสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ลูกค้ามาสด้าและครอบครัวมาสด้าที่สนใจสามารถส่งภาพเข้าร่วมกิจกรรมผ่านการสแกน QR Code ได้ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 – วันที่ 21 มีนาคม 2567

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บูธมาสด้าในงาน มอเตอร์ โชว์ 2024 ครั้งนี้ จะมาพร้อมคอนเซ็ปต์การออกแบบใหม่ทั้งหมด ภายใต้แนวคิด “Memorable love of cars” เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ความสุขของลูกค้าที่มีรถยนต์มาสด้าเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตและการเดินทาง อันเป็นไปตามแนวทางของมาสด้าในการสร้างประสบการณ์ร่วมกับลูกค้า หรือ Customer Experience Management ซึ่งในปีนี้ มาสด้าได้เตรียมความพร้อมเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่เข้ามาชมงานฯ และส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีแห่งอนาคต รวมถึงกิจกรรมอีกมายมายเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์แห่งความสุขให้กับลูกค้า

เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างลูกค้าและแบรนด์มาสด้า ตอกย้ำถึงความสำคัญของการมีลูกค้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์การใช้ชีวิต มาสด้าขอเชิญลูกค้ามาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวความประทับใจเหล่านี้ไปด้วยกัน ผ่านกิจกรรม “You and Mazda Moments” ด้วยการแชร์ภาพความประทับใจของคุณคู่กับรถมาสด้าคันโปรดผ่านช่องทางที่กำหนด ซึ่งมาสด้าจะรวบรวมภาพความสุขของลูกค้ามาสด้าเหล่านี้มาจัดเป็น Photo Gallery โซนสุดพิเศษและจัดแสดงในงานมอเตอร์โชว์ 2024 พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างๆ ของมาสด้า โดยแบ่งเป็นโซนพิเศษให้ประชาชนที่มาเข้าชมงานฯ ได้เห็นถึงความสุขในการขับขี่ที่เกิดขึ้นกับลูกค้ามาสด้าและครอบครัว”

“เพราะความสุขของลูกค้า คือ ความสุขของมาสด้า เราต้องการส่งต่อเรื่องราวความสุขของลูกค้าผ่าน Photo Gallery ที่รวบรวมเรื่องราวและประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ามีความสุข (Joy of Driving) รูปภาพจากการใช้งานในชีวิตจริงของลูกค้า เราปรารถนาที่จะให้ผู้เข้าชมงานมอเตอร์โชว์ มีความสุขเฉกเช่นเดียวกับครอบครัวมาสด้า เพื่อร่วมเติมเต็มประสบการณ์ดีๆ ที่มีรถยนต์มาสด้าเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิต เพื่อยกระดับประสบการณ์ความสุขในการขับขี่ และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน” นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติม

ลูกค้ามาสด้าสามารถแชร์ภาพความประทับใจที่มีร่วมกับรถยนต์มาสด้าคันโปรด ได้เพียงสแกน QR Code ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 – วันที่ 21 มีนาคม 2567 โดยจะประกาศรายชื่อผู้ที่โชคดี 100 ท่าน ที่ได้รับการคัดเลือก ผ่านทาง Facebook Mazda Thailand Official Account ในวันที่ 22 มีนาคม 2567 และจะเริ่มจัดส่งของรางวัล ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

สแกน QR Code เพื่อแชร์ภาพเข้าร่วมกิจกรรม You and Mazda Moments

หมายเหตุ:

*รางวัลบัตร Starbuck มูลค่า 500 บาท (1 ท่าน 1 รางวัล) สำหรับภาพความประทับใจของคุณคู่กับรถมาสด้าที่ได้รับการคัดเลือก เท่านั้น โดยจะประกาศรายชื่อผู้โชคดีที่ร่วมทำกิจกรรมและทำถูกต้องตามกติกา 100 ท่าน ผ่านทาง Facebook Mazda Thailand Official Account ในวันที่ 22 มีนาคม 2567 และจะเริ่มจัดส่งของรางวัล ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

*เงื่อนไขและกติกาต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.mazda.co.th

SVOLT เปิดสายการผลิตแพ็คแบตเตอรี่ครั้งแรกในไทย

SVOLT เปิดสายการผลิตแพ็คแบตเตอรี่ครั้งแรกของประเทศไทย เตรียมส่งมอบเป็นชิ้นส่วนหลักในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเกรท วอลล์ มอเตอร์ มีนาคม 2567 นี้

กรุงเทพฯ 29 กุมภาพันธ์ 2567 – เอสโวลต์ (ประเทศไทย) เฉลิมฉลองความสำเร็จในการเปิดสายการผลิตแพ็คแบตเตอรี่ ครั้งแรกของประเทศไทย ณ โรงงานผลิตในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมส่งมอบให้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ รุ่นต่างๆ ทั้งรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็น ORA Good Cat, HAVAL H6, HAVAL JOLION, GWM TANK 500 และ TANK 300 โดยมี นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประจำภูมิภาคอาเซียน นายครรชิต ไชยสุโพธิ์ รองประธานฝ่ายกิจการองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ และ นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมแสดงความยินดีในความสำเร็จครั้งนี้ โดย เอสโวลต์ และ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความร่วมมือกันมาอย่างยาวนานในประเทศจีน จวบจนก้าวเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยจะเป็นพันธมิตรหลักที่จะร่วมมือกันในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ส่งเสริมศักยภาพของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ก้าวขึ้นสู่การเป็น Top 3 ของผู้นำด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย (xEV Leader) ภายในปี 2569

โรงงาน เอสโวลต์ (ประเทศไทย) เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญของ เอสโวลต์ เอเนอร์จี้ ในระดับสากล โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจในหลากหลายส่วน ทั้งแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะสองล้อและสามล้อ ระบบการจัดเก็บพลังงาน การรีไซเคิล และอื่นๆ ปัจจุบันโรงงาน เอสโวลต์ (ประเทศไทย) ส่งมอบชุดแบตเตอรี่ SVOLT LCTP (Low-Carbon Transition Plan) ที่ชูเทคโนโลยีอย่างเซลล์แบตเตอรี่ Short Blade L600 ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเป็นหลัก เพื่อตอบสนองความต้องการแบตเตอรี่ยานยนต์ให้กับเซ็กเมนต์รถยนต์ส่วนบุคคลขนาดเล็ก หรือ A Segment ในประเทศไทย โดยโรงงาน เอสโวลต์ (ประเทศไทย) จะสามารถส่งมอบแบตเตอรี่ให้กับลูกค้าทั่วประเทศได้มากกว่า 20,000 ชุด ในปีนี้

การเริ่มต้นการผลิตในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของโรงงาน เอสโวลต์ (ประเทศไทย) ที่ประสบความสำเร็จในการผลิตแบตเตอรี่ภายในเวลาเพียงแค่ห้าเดือน ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้อย่างชัดเจน การก่อตั้งและการดำเนินโครงการนี้นับว่ารวดเร็วที่สุดของ เอสโวลต์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของความสำเร็จในการขยายการดำเนินธุรกิจของบริษัท สำหรับโรงงาน เอสโวลต์ (ประเทศไทย) ได้มีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในขั้นตอนการผลิตที่หลากหลาย เช่น การตรวจสอบและการวิเคราะห์แบบดิจิทัล รวมถึงการติดตามและการวิเคราะห์คุณภาพอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ ภายใต้มาตรการ EV 3.5 ของประเทศไทยอีกด้วย

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประจำภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า “อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเข้ามามีบทบาทในการพลิกโฉมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชาวไทยและทั่วโลก ส่งผลให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์พลังงานใหม่ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เอสโวลต์ (ประเทศไทย) ถือเป็นโรงงานผลิตแบตเตอรี่โดยแบรนด์จากประเทศจีนแห่งแรกในประเทศไทย โดยแบตเตอรี่จาก เอสโวลต์ จะใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรุ่นของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั้งแบตเตอรี่ไฮบริด และแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 100% New ORA Good Cat รุ่นผลิตในประเทศ ที่เราเพิ่งเปิดสายการผลิตเป็นครั้งแรกของประเทศไทยไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในวันนี้ เอสโวลต์ (ประเทศไทย) ได้ฉลองความสำเร็จเปิดสายการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานใหม่อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย ถือเป็นนิมิตหมายอันดีและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างองค์ความรู้ สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย เราพร้อมให้การสนับสนุน เอสโวลต์ (ประเทศไทย) อย่างเต็มที่เพื่อส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีล้ำสมัยให้กับผู้บริโภคชาวไทยและในภูมิภาคต่อไป”

มร.หยาง หงซิน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสโวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี กล่าวว่า “โรงงาน เอสโวลต์ (ประเทศไทย) แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจของ เอสโวลต์ ที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศไทย ไปพร้อมกับการผลักดันกลยุทธ์ระดับโลกของบริษัทฯ และความสามารถในการผลิตรวมถึงเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ โรงงานของเราจะเพิ่มความสามารถในการผลิตให้สอดคล้องกับแผนการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย รวมถึงให้ความสำคัญกับความต้องการของตลาด พร้อมมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ยิ่งไปกว่านั้น เอสโวลต์ จะยึดมุมมองระดับโลกเพื่อทำความเข้าใจตลาดและความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งในระยะยาว เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้าชาวไทย”

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัว GWM TANK 700 Hi4-T

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัว GWM TANK 700 Hi4-T ในกรุงปักกิ่ง สร้างมาตรฐานใหม่ของรถออฟโรดสุดพรีเมียม ยกระดับวงการยานยนต์ทั่วโลกไปอีกขั้น

กรุงเทพฯ 1 มีนาคม 2567 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัวรถออฟโรดรุ่นเรือธงสำหรับสายลุยอย่างเป็นทางการในชื่อ ‘GWM TANK 700 Hi4-T’ ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สร้างปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ท่ามกลางกระแสตอบรับอย่างล้นหลามของผู้ที่หลงใหลในรถยนต์จากทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยีออฟโรดสุดล้ำสมัยระดับโลก สร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถออฟโรดระดับพรีเมียมรุ่นเรือธงในประเทศจีน

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เผยสเปคเด่นของ GWM TANK 700 Hi4-T รถออฟโรดรุ่นล่าสุดสู่สายตาชาวโลก ประเดิมด้วยความทรงพลังของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 3.0T Hi4-T ซึ่งเป็นการออกแบบโครงสร้างเครื่องยนต์เพียงหนึ่งเดียวในประเทศจีนที่รองรับพละกำลังของรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นถึงการคิดค้นและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อนำเสนอประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น GWM TANK 700 Hi4-T มาพร้อมกับความโดดเด่นของดีไซน์ภายนอกและกลไกภายในที่ผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ด้วยเทคโนโลยีไฮบริดขั้นสูงเพื่อสร้าง “ความพึงพอใจของผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง” สร้างความโดดเด่นและแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ไฮบริดอื่นๆ ในระดับโลก ด้วยโหมดการขับขี่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกเส้นทางมากถึง 12 โหมด ตอบสนองทุกความต้องการของผู้ขับขี่ในทุกเส้นทางและทุกสถานการณ์ สร้างความมั่นใจในทุกการผจญภัยแบบออฟโรดที่เหนือกว่าในระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่งผลให้ GWM TANK 700 Hi4-T ก้าวเข้าสู่การเป็นรถออฟโรดรุ่นเรือธงด้วยความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีที่เหนือกว่าในทุกๆ ด้าน

ภายใน GWM TANK 700 Hi4-T ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เป็นรถออฟโรดสุดหรูขั้นสุด โดดเด่นด้วยการผสานที่สมบูรณ์แบบระหว่างสมรรถนะในการขับขี่แบบออฟโรดและความสะดวกสบาย มาพร้อมกับเบาะนั่ง Light Cloud มุมกว้างพิเศษ สร้างความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้ขับขี่ราวกับนั่งบนปุยเมฆ โดดเด่นเหนือกว่าใครด้วยระบบเสียงจาก Harman Kardon ที่มาพร้อมลำโพง 16 ตัวที่สร้างความละเอียดเสียงระดับ Hi-Fi (High Fidelity) สู่การเป็นสุดยอดแห่งวงการออฟโรดระดับพรีเมียม พร้อมการันตีประสบการณ์การขับขี่อย่างเหนือระดับผ่านทุกรายละเอียดที่สร้างสรรค์ไว้อย่างประณีตในทุกแง่มุม

ในงานเปิดตัว ณ กรุงปักกิ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้แสดงศักยภาพในหลากหลายมิติของ GWM TANK 700 Hi4-T ได้อย่างครอบคลุม แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะที่ทรงพลังและเชื่อถือได้ โดยในช่วงไลฟ์สตรีมมิ่ง ผู้ชมจากทั่วทุกมุมโลกได้เห็นถึงการควบคุมที่แม่นยำ อัตราเร่งอันน่าทึ่ง และความคล่องตัวของรถยนต์พรีเมียมออฟโรดสายลุยที่พร้อมขึ้นแท่นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ งานเปิดตัวในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำว่า GWM TANK คือผู้นำในการตลาดรถออฟโรดพรีเมียมในประเทศจีน ด้วยบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีและความเหนือระดับของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั้งในวันนี้และในอนาคต เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยึดมั่นในการสร้างคุณค่าของแบรนด์ผ่านผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่มีคุณภาพ มุ่งสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยานยนต์คุณภาพสูง

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยึดมั่นกลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถของยานยนต์ด้วยเทคโนโลยีมาโดยตลอด รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์อย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมและเทคโนโลยีขั้นสูงที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพแก่ผู้บริโภคทั่วโลก การเปิดตัว GWM TANK 700 Hi4-T สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านรถออฟโรดได้อย่างชัดเจน ตอกย้ำการก้าวสู่การเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม

เปอโยต์-จี๊ป เตรียมเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นใหม่ในงานมอเตอร์โชว์

เปอโยต์-จี๊ป ประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจรับปีมังกร เตรียมเปิดตัวยนตรกรรมสุดเร้าใจ ในงานมอเตอร์โชว์ พร้อมจัดหนักรับประกันคุณภาพ 7 ปี รถยนต์รุ่นใหม่

เปอโยต์ และ จี๊ป ประเทศไทย ภายใต้บริษัท เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์รถยนต์ฝรั่งเศส เปอโยต์ และ จี๊ป ราชาออฟ-โรด สัญชาติอเมริกัน อย่างเป็นทางการในประเทศไทย แถลงผลประกอบการปี 2566 ปลื้ม เปอโยต์-จี๊ป ส่งมอบลูกค้าสะสมรวมกว่า 2,100 คัน เปิดแผนปี 2567 ตั้งเป้าทำยอดขายรวมกว่า 1,000 คัน คึกคักรับข่าวดี บริษัทแม่ สเตลแลนทิส จับมือ ลีปมอเตอร์ ทุ่มกว่า 58,000 ล้านบาท สร้างโอกาสธุรกิจสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมเตรียมเปิดตัว เปอโยต์ 3 รุ่นใหม่, ‘ออล-นิว จี๊ป แกรนด์ เชอเรอกี ซัมมิท รีเสิร์ฟ โฟร์บายอี’ และ ‘นิว จี๊ป แรงเลอร์ รูบิคอน (Minor Change)’ ในงานมอเตอร์โชว์ ที่มาพร้อมการรับประกันคุณภาพสูงสุดถึง 7 ปี และรับประกันแบตเตอรี่ สูงสุดถึง 8 ปี ตอกย้ำความมั่นใจ เปอโยต์ ผนึกกำลัง เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ขยายเครือข่ายศูนย์บริการครบวงจร ครอบคลุมทั่วประเทศ

นายสุนทรพันธ์ เดชะเทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปอโยต์ และ จี๊ป ประเทศไทย เผยว่า “นับตั้งแต่แบรนด์รถยนต์ เปอโยต์ และ จี๊ป ภายใต้การบริหารของ เบลฟอร์ต ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ได้เข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การเดินทางของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น เปอโยต์ รุ่น 2008, 3008 และ 5008 แบบ 7 ที่นั่ง ดีไซน์สวยเฉียบ สมรรถนะเยี่ยม อีกทั้งรุ่น นิว 408 GT และ จี๊ป ราชาออฟ-โรด 2 รุ่นยอดนิยม แรงเลอร์ รูบิคอน, กลาดิเอเตอร์ รูบิคอน รวมถึงรุ่นล่าสุดที่กำลังเป็นที่กล่าวขานถึง อย่าง All-New Jeep Grand Cherokee Summit Reserve 4xe (ปลั๊ก-อิน ไฮบริด) พร้อมบริการหลังการขายครบวงจร โดยภาพรวมยอดขายรถยนต์ทั้งสองแบรนด์ตลอดปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งจากเสียงตอบรับนี้ ในปี 2567 เราจึงได้เตรียมแผนเดินหน้าขยายตลาด โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า สอดรับกับทาง สเตลแลนทิส ที่จับมือ ลีปมอเตอร์ หนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน เพื่อนำเสนอ ยนตรกรรมไฟฟ้า อีกทั้งเปิดโอกาสสำหรับแบรนด์ใหม่ๆ ในอนาคต ทั้งหมดนี้จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ และสร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนให้กับทั้งสองแบรนด์ ดังวิสัยทัศน์ปี 2567-2569 การเป็นหนึ่งในผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ไลฟไตล์ พรีเมียม แมส ชั้นนำของประเทศ ด้วยการมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) และความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer Satisfaction)”

เปอโยต์ เอสยูวี 3 รุ่น อีกทั้ง Special editions และ จี๊ป รุ่นยอดนิยม ส่งมอบรถไปแล้วรวม 2,108 คัน พร้อมตั้งเป้ารวม 1,000 คัน ในปีนี้

ความสำเร็จจากการขาย เปอโยต์ เอสยูวี 3 รุ่น พร้อมกับ Special editions ไม่ว่าเป็น La France edition หรือ De Nouveau Edition ที่เป็นการเพิ่มความคุ้มค่าและทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าพรีเมียม ด้วยยอดขายกว่า 400 คัน โดยมียอดขายสะสม รวมกว่า 2,000 คัน ขณะที่ยอดขาย จี๊ป น่าพอใจ ปี 2566 ทำได้ 62 คัน เติบโตถึง 35% และมียอดขายสะสม 108 คัน ในช่วงเวลาเพียง 2 ปี จากความมั่นใจของลูกค้า และยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเปิดตัว เปอโยต์ และ จี๊ป หลากรุ่น คาดว่าปีนี้ น่าจะเติบโตรวมกว่า 100% กับยอดขายรวมกว่า 1,000 คัน

เปิดแผนปี 2567 กระตุ้นตลาดด้วยรถรุ่นใหม่ พร้อมยกระดับราคาขายต่อด้วย Peugeot Approved and Certified Used Car

รุกตลาดต่อเนื่อง เปอโยต์ เตรียมเปิดตัวรถยนต์ 3 รุ่น นำทัพโดย นิว เปอโยต์ 408 GT แบ่ง 2 รุ่นย่อย คือ Allure และ Allure Plus พร้อมเปิดตัวอีก 2 รุ่นในอนาคต มีกำหนดเปิดตัวภายในปีนี้ ส่วนสาวกรถยนต์พันธุ์แกร่ง จี๊ป ที่ตั้งตารอเอสยูวีโฉมใหม่ เตรียมสัมผัส All-New Jeep Grand Cherokee Summit Reserve 4xe (ปลั๊ก-อิน ไฮบริด) พร้อมด้วย นิว จี๊ป แรงเลอร์ รูบิคอน (Minor Change) ในงานมอเตอร์โชว์ นอกจากนี้ เปอโยต์ ยังมีแผนยกระดับราคาขายต่อ ด้วยโปรแกรม Peugeot Approved and Certified Used Car ที่มาพร้อมการันตีคุณภาพ เพื่อกระตุ้นตลาด และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

 โอกาสธุรกิจสดใส สเตลแลนทิส ผนึก ลีปมอเตอร์ ทุ่มกว่า 58,000 ล้านบาท รุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า รับกระแส EV บูม

ปีที่ผ่านมา สเตลแลนทิส ผู้ถือครองแบรนด์ เปอโยต์ และ จี๊ป จับมือ ลีปมอเตอร์ หนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน ร่วมแถลงการณ์ครั้งสำคัญ โดย สเตลแลนทิส มีแผนจัดสรรงบประมาณกว่า 58,000 ล้านบาท เป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของ ลีปมอเตอร์ ประมาณ 20% ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในเครือ สเตลแลนทิส โดยเฉพาะช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตและจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า ในภาพรวม โดยเน้นความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ด้วยทางเลือกอันหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ลุยกิจกรรมทางการตลาดเข้มข้น พร้อมขยายการรับรู้ผ่านการสื่อสาร

เปอโยต์ และ จี๊ป มุ่งสร้างการรับรู้ผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง พร้อมกิจกรรมทางการตลาดอันหลากหลาย อาทิ ร่วมในมหกรรมยานยนต์ระดับประเทศ, การประชาสัมพันธ์ผ่านผู้มีชื่อเสียง, การทำกิจกรรมเพื่อสังคม,  กิจกรรม JOC Meet และ Jeep 101 Academy เป็นต้น นอกจากนี้ มีการร่วมทำแคมเปญพิเศษกับแบรนด์สัญชาติอเมริกันอย่าง ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน และเรือสันทนาการ คริส-คราฟท์ รวมไปถึงความร่วมมือระหว่าง จี๊ป กับ ซิกท์ รถเช่าประเทศไทย

อุ่นใจด้วยการรับประกันคุณภาพสินค้า สูงสุดถึง 7 ปี และรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 8 ปี

เปอโยต์ และ จี๊ป ประเทศไทย สร้างความอุ่นใจด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ นานสูงสุดถึง 7 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร* ให้รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ อาทิ นิว เปอโยต์ 408 GT, 408 Allure, 408 Allure Plus,  นิว จี๊ป แรงเลอร์ รูบิคอน (Minor Change) และ จี๊ป ออล-นิว แกรนด์ เชอเรอกี รวมถึงการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดในรุ่น จี๊ป ออล-นิว แกรนด์ เชอเรอกี นานสูงสุด 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร* ขณะที่ลูกค้าเดิมก็สามารถซื้อการขยายการรับประกันนี้เพิ่มเติมได้เช่นกัน

เปอโยต์ และ จี๊ป ประเทศไทย มุ่งขยายเครือข่าย และบริการหลังการขาย ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

ปัจจุบัน เปอโยต์ มีเครือข่ายโชว์รูมพร้อมบริการหลังการขายครบวงจร 9 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ เกษตร-นวมินทร์, เยาวราช, สุขุมวิท, วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์, อุบลราชธานี, หาดใหญ่, ภูเก็ต, พัทยา และล่าสุด ‘เชียงใหม่ ออโต้’ เครือข่ายแห่งแรกในภาคเหนือ นอกจากนี้ ยังได้ผนึกกำลังกับเอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร ภายใต้ชื่อ ‘PEUGEOT SERVICE OUTLET’ เพื่อให้บริการหลังการขาย อีก 13 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพมหานคร 10 สาขา ได้แก่ พระราม 4, งามวงศ์วาน, ลำลูกกา, รังสิต, เพชรเกษม, รามคำแหง, คู้บอน, พุทธบูชา, กาญจนาภิเษก และศรีนครินทร์ และอีก 3 สาขาในต่างจังหวัด ได้แก่ ระยอง, อุบลราชธานี และภูเก็ต

ส่วน จี๊ป เริ่มจากสาขาสุขุมวิท โดยในปี 2566 ได้ขยายเพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์, พัทยา และเชียงใหม่ สาขาล่าสุด นอกจากนี้ ยังเตรียมปักหมุดในต่างจังหวัดเพิ่มอีก 4 สาขา คือ อุดรธานี, ขอนแก่น, นครราชสีมา และอุบลราชธานี พร้อมกับการเปิดโอกาสสำหรับผู้ที่สนใจจากทั่วประเทศ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับทั้งสองแบรนด์ เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

สอบถามข้อมูล โทร. ‘1488 ALWAYS CONNECTED’ ทั้ง จี๊ป และ เปอโยต์ โทร. เบอร์เดียว 

LINE: @peugeotthailand, FACEBOOK: Peugeot Thailand,WEBSITE: www.peugeot.co.th

LINE: @jeepthailand, FACEBOOK: JeepThailand, WEBSITE: www.jeep.co.th 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save