- Advertisement -
26.9 C
Bangkok
Home Blog Page 46

เอ็มจี ผนึกกำลังผู้จำหน่ายลุยตลาดไฮบริด

เอ็มจี ผนึกกำลังผู้จำหน่ายลุยตลาดครึ่งปีหลังด้วยไฮบริดประสิทธิภาพสูง ประกาศแนวทางนำรถไฮบริดทดแทนรถเครื่องยนต์สันดาป ควบคู่รถไฟฟ้าคุณภาพสูง

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยทิศทางแบรนด์ครึ่งปีหลังในงาน “MG Dealer Conference 2024”  เตรียมแผนขยายฐานลูกค้าด้วยยนตรกรรมไฮบริดที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ทั้งคัน พร้อมประกาศชัดยานยนต์กลุ่มสันดาปจะถูกแทนที่ด้วยยานยนต์ไฮบริดประสิทธิภาพสูง ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น ควบคู่กับการบริการที่ถูกยกระดับในทุกมิติ โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การตั้งราคาที่คุ้มค่า สมเหตุสมผล และการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่นการรับประกันแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ตลอดอายุการใช้งานที่สร้างความมั่นใจในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าให้คนไทย พร้อมตั้งเป้าครึ่งปีหลังครองส่วนแบ่งตลาด 4%

ครึ่งปีแรกของปี 2567 นับเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายด้วยสภาวะทางเศรษฐกิจ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ การมีผู้เล่นรายใหม่ เข้าสู่ตลาด ไปจนถึงสงครามราคาที่ดุเดือด ประกอบกับเทรนด์ตลาดยานยนต์ที่เปลี่ยนไป แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์ครึ่งปีแรกของปี 2567 (ยอดจดทะเบียน 345,150 คัน) จะลดลงสูงถึง 24% เมื่อเทียบกับยอดจดทะเบียนครึ่งปีแรกของปี 2566 (ยอดจดทะเบียน 451,521 คัน) แต่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) กลับเติบโตสวนกระแสตลาด และหากพิจารณาสัดส่วนยอดขายของ เอ็มจี ครึ่งปีแรกพบว่า กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าทำยอดขายได้มากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 55% และอีก 45% เป็นกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปและพลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของตลาดเช่นกัน จึงสะท้อนให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และการก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานทางเลือกอย่างแท้จริง

มร.ซู๋ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด เผยว่า “ครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา เอ็มจี ครองส่วนแบ่งตลาด 3% ในครึ่งปีหลังของปี 2567 นี้ เอ็มจี เตรียมแผนแนะนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ที่สอดรับ กับเทรนด์ตลาดยานยนต์มากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และมีนโยบายนำเทคโนโลยีไฮบริดทดแทนเครื่องยนต์สันดาป ใขณะเดียวกันรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำอีกระดับ และนำเสนอราคาอย่างสมเหตุสมผลมากที่สุด โดยจะเห็นได้จากรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด ALL NEW MG 3 HYBRID+ ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ทั้งคัน และถูกยกให้เป็นไฮบริดยุคใหม่ที่ครบเครื่องทั้งดีไซน์ สมรรถนะการขับขี่ และอัตราประหยัดน้ำมัน 1 ถัง ขับได้ไกลมากกว่า 800 กิโลเมตร โดย เอ็มจี เตรียมประกาศราคาและเปิดรับจองในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 นี้ ที่โชว์รูมเอ็มจีทั่วประเทศ

ดังนั้นเพื่อยกระดับความสามารถของผู้จำหน่ายในการทำตลาด เอ็มจี จึงมีการปรับกลยุทธ์การสื่อสารที่พุ่งเป้าไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจในผลิตภัณฑ์เชิงลึก ความคุ้มค่าที่แท้จริง เพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่ตอบโจทย์กับการใช้งานให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการผนึกกำลังกับผู้จำหน่ายกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ ขับเคลื่อนแบรนด์ให้สอดรับกับกระแส หรือเทรนด์ใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้เกิดความสดใหม่ในการสื่อสารอยู่เสมอ

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยผลักดันเป้าหมายในการครองส่วนแบ่งทางการตลาด 4% คือ การยกระดับงานขาย และการบริการ ซึ่งหลังจากที่ เอ็มจี ขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปสู่ระดับพรีเมียม นำโดย NEW MG MAXUS 9, NEW MG MAXUS 7 และ NEW MG CYBERSTER จึงมุ่งเน้นการยกระดับบริการหลังการขายให้สอดรับกับผลิตภัณฑ์ โดยการสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ และการบริการหลังการขายที่มีคุณภาพผ่าน MG EV EVolution Showroom ทั้ง 9 แห่ง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการบริการหลังการขายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ เอ็มจี เตรียมผุด “ศูนย์บริการมาตรฐานส่วนภูมิภาค” เพื่อผลักดันผู้จำหน่ายในหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพสูงสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ซึ่งจะสามารถให้คำปรึกษา แนะนำ และออกช่วยเหลืองานซ่อมหน้างานกับผู้จำหน่ายในพื้นที่ใกล้เคียง โดยทาง เอ็มจี จะมีเกณฑ์ในการตรวจสอบมาตรฐาน และประเมินความพร้อมทั้งในเรื่องสถานที่ เครื่องมือ บุคลากรและทักษะความสามารถ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และยกระดับมาตรฐานการบริการให้ทัดเทียมทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน เอ็มจี ยังคงเร่งสร้างความเชื่อมั่น และกำจัดความกังวลใจในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งล่าสุด เอ็มจี เป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่ประกาศเพิ่มการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อนตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ในหลายรุ่น ซึ่งได้คลายความกังวลให้กับผู้บริโภค และเปิดใจกับแบรนด์มากขึ้น

ภายในงาน MG Dealer Conference 2024 เอ็มจี ยังได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติที่เป็นเครื่องการันตีในคุณภาพงานบริการให้กับผู้จำหน่ายที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในด้านต่างๆ ประจำปี 2566 ประกอบด้วย

รางวัล Best Market Share ให้แก่ผู้จำหน่ายที่สามารถสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดระดับจังหวัด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด (สาขาภูเก็ต)

จังหวัด ภูเก็ต

อันดับที่ 1 : บริษัท ภูเก็ตปิยะเอ็มจี จำกัด

จังหวัด ภูเก็ต

อันดับที่ 1 :  บริษัท เอ็มจี ภูเก็ต จำกัด

จังหวัด ภูเก็ต

อันดับที่ 2 : บริษัท พิจิตรเพชรออโต้ จำกัด

จังหวัด บึงกาฬ

อันดับที่ 3 : บริษัท เอ็มจี ประจวบคีรีขันธ์ บาย พร้อมพงศ์ จำกัด

จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์

อันดับที่ 3 : บริษัท ออโต้ แกลเลอรี่ ไดนามิค จำกัด

จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์

รางวัล Best Part Performance มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มียอดสั่งซื้ออะไหล่สูงสุด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท เซควอญ่า หลักสี่ จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

รางวัล Best Accessory Performance มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มียอดสั่งซื้ออุปกรณ์ตกแต่งรถสูงสุด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท 824 จำกัด

รางวัล Best CSI มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มีคะแนนจากการสำรวจความพึงพอใจลูกค้าด้านบริการหลังการขายสูงสุด 3 รางวัล

กลุ่มกรุงเทพฯ และปริมณฑล : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

กลุ่มหัวเมือง และจังหวัดขนาดใหญ่ : บริษัท ท็อปทรี ออโต้ จำกัด

กลุ่มจังหวัดขนาดกลาง และขนาดเล็ก : บริษัท เอ็มจี พระนคร จำกัด (สาขาอ้อมน้อย)

รางวัล Best Contribution มอบให้แก่กลุ่มผู้จำหน่ายที่รักษาระดับยอดขายทั้งกลุ่มเครื่องยนต์สันดาป และกลุ่มพลังงานทางเลือก 2 รางวัล

อันดับที่ 1 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท อารีมิตร เอ็มจี จำกัด

อันดับที่ 2 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เอ็มจี ยโสธร จำกัด

รางวัล Best Sale Performance มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่มียอดขายปลีกสูงสุด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท 824 จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท สกาย ออโต้โมทีฟ จำกัด

รางวัล Best Sale Performance มอบให้แก่กลุ่มผู้จำหน่ายที่มียอดขายปลีกสูงสุด 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท ออโต้ แกลเลอรี่ จำกัด

อันดับที่ 2 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 3 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เอ็มจี กรุงเทพ จำกัด

รางวัล Excellence Award มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่ผ่านการประเมินรอบด้านทั้งการขาย การบริการหลังการขาย กิจกรรมทางการตลาด และสิ่งอำนวยความสะดวกในโชว์รูม 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท 824 จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท ภูเก็ตปิยะเอ็มจี จำกัด

รางวัล Excellence Award มอบให้แก่กลุ่มผู้จำหน่ายที่ผ่านการประเมินรอบด้านทั้งการขาย การบริการหลังการขาย และกิจกรรมทางการตลาด และสิ่งอำนวยความสะดวกในโชว์รูม 3 รางวัล

อันดับที่ 1 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 2 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เอ็มจี กรุงเทพ จำกัด

อันดับที่ 3 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ส จำกัด

อันดับที่ 3 : กลุ่มผู้จำหน่าย ในเครือ บริษัท อารีมิตร เอ็มจี จำกัด

รางวัล EVolution Showroom มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่ร่วมผลักดันโครงการ EV EVolution Showroom ทั้ง 9 แห่ง

อันดับที่ 1 : บริษัท เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ส จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาชลบุรี)

อันดับที่ 4 : บริษัท เอ็มจี นครหลวง จำกัด

อันดับที่ 5 : บริษัท อยุธยา แกรนด์ เอ็มจี เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด

อันดับที่ 6 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด

อันดับที่ 7 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด (สาขาภูเก็ต)

อันดับที่ 8 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด (สาขาวิภาวดี)

อันดับที่ 9 : บริษัท เซควอญ่า หลักสี่ จำกัด

รางวัล 5 Star มอบให้แก่ผู้จำหน่ายที่ผ่านการประเมินจากฝ่ายบริการ 14 รางวัล

อันดับที่ 1 : บริษัท อารีมิตร เอ็มจี จำกัด

อันดับที่ 2 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด

อันดับที่ 3 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาชลบุรี)

อันดับที่ 4 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาหางดง)

อันดับที่ 5 : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาพัทยา)

อันดับที่ 6 : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

อันดับที่ 7 : บริษัท เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ส จำกัด

อันดับที่ 8 : บริษัท เอ็มจี ก้องกังวาล ราชบุรี จำกัด

อันดับที่ 9 : บริษัท เอ็มจี ลพบุรี จำกัด

อันดับที่ 10 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด

อันดับที่ 11 : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด (สาขาเมืองสงขลา)

อันดับที่ 12 : บริษัท เอ็มจี สุโขทัย จำกัด

อันดับที่ 13 : บริษัท เอ็มจี สุวัฒน์ ขอนแก่น จำกัด

อันดับที่ 14 : บริษัท ท็อปทรี ออโต้ จำกัด

เอ็มจี เผยสเปค ALL NEW MG3 HYBRID+ เปลี่ยนนิยามรถ

เอ็มจี เผยสเปค ALL NEW MG3 HYBRID+ เปลี่ยนนิยามรถไฮบริด นำเสนอความเป็นที่สุดใน B-segment กับจุดเด่น ประหยัดกว่า แรงกว่า กว้างกว่า ปลอดภัยกว่า พร้อมเคาะราคาอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมศกนี้

Screenshot

•ประหยัดกว่า!!! น้ำมันหนึ่งถังไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร

•ทางเลือกใหม่ให้กับคนไทย กับความแรง เร็ว เร้าใจ ขับสนุกแบบรถอีวี แต่มีดีที่ไม่ต้องชาร์จ

•หนึ่งเดียวที่ผสานทุกระบบไฮบริด กับเทคโนโลยี HYBRID+ ด้วย 8 โหมดขับเคลื่อนในทุกช่วงความเร็ว 

•หนึ่งเดียวในคลาส B-Segment ที่มีแบตเตอรี่ความจุมากที่สุด เครื่องยนต์และมอเตอร์แรงที่สุด พื้นที่ห้องโดยสารกว้างสุด 

กรุงเทพฯ – 16 กรกฎาคม 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เดินหน้านำเสนอทางเลือกใหม่ให้คนไทยด้วยยนตรกรรมในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน พร้อมสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ในตลาด B-Segment กับการเปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์ไฮบริดเทคโนโลยีใหม่จาก เอ็มจี ซึ่งเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2 ที่เตรียมส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ครั้งใหม่จากไลน์การผลิตในประเทศไทย เจาะกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ชูจุดเด่นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่แตกต่างไม่เหมือนใคร ด้วยโกลบอลดีไซน์ที่ดูปราดเปรียว มาพร้อมขุมพลังไฮบริด HYBRID+ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน และมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างลงตัว หนึ่งเดียวในคลาสกับห้องโดยสารกว้างสุด ประหยัดกว่าด้วยน้ำมันหนึ่งถังวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยที่ครบครัน การันตีความเชื่อมั่นด้วยผลการทดสอบโดยทีมวิศวกรชั้นนำระดับโลก โดย เอ็มจี เตรียมพร้อมประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้

ALL NEW MG3 HYBRID+ ยนตรกรรมที่จะเข้ามายกระดับมาตรฐานการเป็น “รถยนต์ไฮบริด”

ALL NEW MG3 HYBRID+ รถแฮทช์แบ็กไฮบริด 5 ประตู ยนตรกรรมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ล่าสุดจาก เอ็มจี ด้วย 8 โหมดการขับเคลื่อนของระบบ HYBRID+ ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ในคันเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบและตอบสนองต่อทุกการใช้งานรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ทำให้การขับขี่ในทุกช่วงความเร็วเป็นไปอย่างราบรื่นและลงตัว พร้อมคงจุดเด่นของการเป็น “รถแฮทช์แบ็กไฮบริดที่ประหยัดกว่า ขับสนุกกว่า และเร้าใจกว่า” ที่พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยสัมผัสเฉกเช่นรถไฟฟ้าแต่ไปได้เร็วกว่าโดยไม่ต้องรอชาร์จไฟ จากขุมพลังไฮบริดใหม่ ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) รองรับน้ำมัน E20 ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 8 วินาที ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT ให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสม ลดเสียงรบกวน และประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น มาพร้อมกับแบตเตอรี่ Lithium-Ion ที่มีความจุมากถึง 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และถือเป็นรถยนต์ไฮบริดที่คุ้มค่าที่สุดในตลาดโดยน้ำมันหนึ่งถังสามารถไปได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร

Screenshot

นอกจากนี้ ยังสามารถปรับโหมดควบคุมการขับขี่ได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Eco โหมด Standard และโหมด Sport ทั้งยังมีระบบ KERS เหมือนในรถไฟฟ้าที่สามารถปรับการใช้งานได้ 3 ระดับ และให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งครอบคลุมระบบความปลอดภัย ADAS เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System) ไว้ได้อย่างครบถ้วน พร้อมยกระดับการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยกล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition

ในส่วนของการออกแบบ ยังคงสไตล์ความคล่องตัวปราดเปรียวในแบบฉบับของรถแฮทช์แบ็ก โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นรถที่มีความกว้างมากที่สุดในคลาส ด้วยขนาดความกว้างกว่า 1,797 มิลลิเมตร ดีไซน์ไฟหน้า LED แบบใหม่ Hunter Eye Headlamp ดวงตานักล่า ที่ดูคมชัด และโฉบเฉี่ยว พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบ รอบตัวถังเน้นความโค้งมน ภายในห้องโดยสารสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ เพิ่มความหรูหราด้วยภายในแบบทูโทนขาวสลับดำ เน้นความสะดวกในการใช้สอย สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสาร ทั้งเพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะการออกแบบห้องโดยสารที่โดดเด่นในเรื่องของพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา  (Leg room) โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ มีห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร อำนวยความสะดวกสบายในการขับขี่และการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ด้วย หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว รวมถึงระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และกุญแจรีโมทอัจฉริยะแบบ Smart Key

Screenshot

บทสรุปของนิยามบทใหม่ ภายใต้การรังสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพของ ALL NEW MG3 HYBRID+

ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นโกลบอลโมเดลที่สะท้อนความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ด้วยการเป็นยนตรกรรมที่คิดค้น พัฒนา และทดสอบโดยทีมวิศวกรระดับโลก และมีการปรับจูนทุกระบบเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานจริงบนท้องถนนทั่วโลก และพร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์ไฮบริดครั้งใหม่ที่จะยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อีกขั้น โดยมีสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้

•รวมระยะทางมากกว่า 14,000 กิโลเมตร กับการวิ่งทดสอบบนถนนจริง (Road Test) ในทวีปยุโรปเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนเต็มในช่วงฤดูร้อน และมากกว่า 10,000 กิโลเมตร ใน 2 เดือนเต็มของช่วงฤดูหนาว

•ระยะทางมากกว่า 5,000 กิโลเมตร ที่ทีมวิศวกรระดับโลกได้นำ ALL NEW MG3 HYBRID+

วิ่งทดสอบและปรับจูนในสถานการณ์ที่หลากหลาย (Multi-scenario Road Test and Tuning) โดยมีสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ และพื้นผิวบนท้องถนนที่แตกต่างกัน อาทิ สนามทดสอบกว่างเต๋อ (SAIC – GM Guangde Proving Ground) ในมณฑลอานฮุย (Anhui) สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ซึ่งเป็นสนามทดสอบรถทุกรุ่นของ SAIC MOTOR CORPORATION ก่อนปล่อยสู่ตลาด ตลอดจนทดสอบวิ่งบนถนนสาธารณะ (Public Road) บนทางไฮเวย์ รวมถึงการทดสอบวิ่งในสนามที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นอย่าง Hailar Ultra-cold Proving Ground ในเมืองไฮลาเออร์ ประเทศมองโกเลีย กับการทดสอบแบบ Extreme Cold Test ภายใต้อุณหภูมิ -30 °C 

Screenshot

ทั้งยังผ่านการทดสอบการวิ่งใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิร้อนจัด หรือ Extreme Hot Test ภายใต้อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึงกว่า 70°C ที่เมืองถูหลู่ฟาน มณฑลซินเจียง ซึ่งถือเป็นดินแดนที่ร้อนที่สุดในประเทศจีน

•มากกว่า 300 ครั้ง กับการขับทดสอบปรับจูนรับระบบช่วงล่าง

•มากกว่า 200 ชั่วโมง ในการทดสอบการปรับจูนพวงมาลัย บนเงื่อนไขทั้งในการจำลองสถานการณ์เหมือนจริง (Simulator) และการขับทดสอบบนท้องถนน (Real road) เพื่อศักยภาพในการควบคุมการขับขี่ ให้แม่นยำ รวดเร็ว และดีกว่ารถไฮบริดทั่วไป ด้วยความไวของพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้นถึง 5%

•มากกว่า 100 ครั้ง กับการจำลองโมเดลเสมือนจริง เพื่อพัฒนายางล้อที่มีประสิทธิภาพ

•สำหรับในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทีมวิศวกรได้นำ ALL NEW MG3 HYBRID+ วิ่งทดสอบ รวมระยะทางวิ่งแล้วกว่า 10,000 กิโลเมตร ทั่วทุกภูมิภาค

•ล่าสุดกับรางวัล “Affordable Hybrid of the Year” จาก Auto Express in UK 

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นรถยนต์ไฮบริดที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค และถือเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี ที่ได้นำเทคโนโลยีอย่าง ระบบ HYBRID+ สู่การรังสรรค์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานรถของลูกค้า ทั้งยังเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ให้กับตลาดยานยนต์โลก โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถูกวางให้เป็นหนึ่งในโมเดลยุทธศาสตร์ (Strategic Model) ประจำปีนี้ของ เอ็มจี ในการบุกและปลุกตลาด B-Segment ในเมืองไทยกับการเป็นยนตรกรรมที่จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างความประหยัดและสมรรถนะที่ทรงประสิทธิภาพ ด้วยราคาที่เข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ง่าย ซึ่ง เอ็มจี มีแผนเปิดราคาจัดจำหน่ายของ ALL NEW MG3 HYBRID+ อย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้”

BYD ร่วมกับ เรเว่ ออโตโมทีฟ เปิดตัว BYD SEALION 6

BYD ร่วมกับ เรเว่ ออโตโมทีฟ เปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ประเดิมยนตรกรรม Plug-in Hybrid เอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD รุ่นแรกที่ผลิตในไทย ชูเทคโนโลยี DM-i สุดล้ำ มอบประสบการณ์ขับขี่เสมือนรถ EV ขยายตลาดตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม

ระยอง – 8 กรกฎาคม 2567 – บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ เปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid รถยนต์ C-SUV ขนาดใหญ่ 5 ที่นั่ง 5 ประตู ที่มาพร้อมสมรรถนะเหนือชั้น มอบความสะดวกสบายระดับพรีเมียมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะรอบคัน ประเดิมเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกจาก BYD ที่ผลิตโดยโรงงานบีวายดีประเทศไทย เปิดจองสิทธิ์แล้ววันนี้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ BYD ทั่วประเทศในราคาคาดการณ์จำหน่าย รุ่น Dynamic 939,900 บาท พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยสัมผัสประสบการณ์เสมือนขับรถ EV ได้ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป

BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid มาพร้อมเทคโนโลยี DM-i อันล้ำสมัย ผสานจุดแข็งของรถยนต์ไฟฟ้า (BEVs) และ รถยนต์ไฮบริด (HEV) เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงพร้อม เครื่องยนต์เบนซินที่พัฒนามาเพื่อรถยนต์ Plug-In Hybrid โดยเฉพาะ สามารถสลับการทำงานระหว่างโหมดไฟฟ้าและโหมดไฮบริดได้อย่างชาญฉลาด โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อนจากมอเตอร์เป็นหลัก สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ นุ่มนวล และยังมอบความอุ่นใจตลอดการเดินทางทั้งสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวันและการเดินทางเพื่อการพักผ่อนระยะทางไกล ด้วยเครื่องยนต์เบนซินประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานเสริมให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ และเพื่อประสิทธิภาพการส่งกำลังสูงสุดเครื่องยนต์จะทำงานเพื่อการขับเคลื่อนโดยตรงเมื่อต้องการกำลังขับเคลื่อนสูงสุด เช่น การเร่งแซง หรือเมื่อแบตเตอรี่มีระดับพลังงานต่ำ เป็นต้น เทคโนโลยี DM-i เอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD ไม่เพียงมอบการขับขี่ที่มีสมรรถนะสูงเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างดีเยี่ยม และลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ของ BYD “Cool the Earth By One Degree”

การนำร่องผลิตรถยนต์ BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ที่โรงงานบีวายดีประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 600 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จังหวัดระยอง เป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ BYD ที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งระดับชุมชนและระดับประเทศ โดย BYD ต้องการให้โรงงานซึ่งมีกำลังการผลิตสูงสุด 150,000 คันต่อปีแห่งนี้เติบโตเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP และยังมีแผนในการสร้างงานให้กับคนไทยกว่า 10,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ BYD ยังมีแผนการพัฒนาและการให้ความรู้ระยะยาวกับสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก และวิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ทำเข้ามาเพื่อพัฒนาตนเองและศึกษาความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันทันสมัย รวมถึงยังให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมซึ่งถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว ซึ่งไม่เพียงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทานของประเทศ แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก นำไปสู่การยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นายเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีวายดีไทยแลนด์ จํากัด กล่าวว่า “ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมยานยนต์ที่โดดเด่นที่สุดและมีโครงสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน สะท้อนจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเกือบ 40 เท่าในปี พ.ศ. 2566  แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง การเปิดโรงงานบีวายดีประเทศไทย ที่จังหวัดระยองเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม เป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่ตอกย้ำว่า BYD ไม่เพียงมีเป้าหมายในการผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังต้องการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ สร้างอาชีพและรายได้ให้กับชาวไทย ตลอดจนส่งต่อองค์ความรู้และการเติบโตร่วมกันในระยะยาว ด้วยประสบการณ์อันยาวนานของ BYD ในวงการยานยนต์พลังงานใหม่ เทคโนโลยี DM-i ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของเราจึงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และส่งผลให้ BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ได้การตอบรับอย่างท่วมท้น ด้วยยอดขายทั่วโลกทะลุ 1 ล้านคันภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีนับจากวันเปิดตัว การันตีความเป็นเลิศด้านสมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ เราเชื่อมั่นว่า BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ยนตรกรรมปลั๊กอินไฮบริดจาก BYD รุ่นแรกที่ผลิตและเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย จะเพิ่มความหลากหลายให้กับตลาดยานยนต์พลังงานใหม่และครองใจผู้บริโภคชาวไทยเช่นเดียวกัน”

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “เรเว่ ออโตโมทีฟ ยินดีที่ได้ร่วมผนึกพลังกับ BYD ในการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น กับการเปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid รถยนต์ C-SUV ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีไฮบริดล้ำสมัยอย่าง DM-i ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะสำหรับการขับขี่ระยะไกล ด้วยเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่เสมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครบครันด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยว นวัตกรรมล้ำสมัย และประสิทธิภาพในการช่วยลดการปล่อยคาร์บอน สอดรับกับวิสัยทัศน์ของกลุ่มธุรกิจเรเว่ที่มุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต ”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “การเปิดตัว BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ในประเทศไทย เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเรเว่ ออโตโมทีฟ ในการนำเสนอยานยนต์พลังงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตรงกับไลฟ์สไตล์การขับขีี่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบริการทั้งก่อนและหลังการขายให้ดียิ่งขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์เหนือระดับแทนคำขอบคุณสำหรับความไว้วางใจและการสนับสนุนที่ลูกค้าชาวไทยมอบให้กับเรเว่ ออโตโมทีฟและบีวายดีเสมอมา โดยผู้ที่สนใจน้องใหม่จาก BYD รุ่นนี้ สามารถสั่งจองได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ BYD ทั่วประเทศ ก่อนสัมผัสประสบการณ์เสมือนขับรถไฟฟ้า 100% ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป”

BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid เป็นรถ C-SUV ปลั๊กอินไฮบริดที่มาพร้อมดีไซน์ภายนอกโดดเด่นสะกดทุกสายตา รูปทรงกระจังหน้าแบบไร้ขอบ โค้งมนคล้ายหยดน้ำ ดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวภายใต้คอนเซ็ปต์ OCEAN X โฉบเฉี่ยวด้วยโคมไฟแบบตัว C เสริมความปราดเปรียวด้วยเส้นสายด้านข้างที่ลากยาวต่อเนื่องถึงด้านหลัง ตกแต่งด้วยแถบอลูมิเนียม เพิ่มความพรีเมียมสะดุดตาเมื่อวิ่งบนท้องถนน ยนตรกรรมเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid รุ่นนี้ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ผสานพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) พร้อมแบตเตอรี่ขับเคลื่อนขนาด 18.3 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วยระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบ MacPherson Strut เสริมความนุ่มนวลและการยึดเกาะถนนอย่างสมบูรณ์แบบ ผสานการทำงานกับระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบ Multi-link ยกระดับความนุ่มนวลและความสบายระหว่างการเดินทาง เก็บเสียงรบกวนจากภายนอกให้ห้องโดยสารเงียบสงบตลอดเส้นทาง

นอกจากนี้ BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid ยังมาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอย่างครบครันและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร อาทิ

•ถุงลมนิรภัยคู่หน้าและถุงลมนิรภัยด้านข้าง – ฝั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า

•ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ด้านหน้าและด้านหลัง

•กล้องมองรอบคัน 360 องศา

•เซนเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหน้าและด้านหลังรวม 6 จุด

•ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ (AVH)

•ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (CC)

•ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัจฉริยะ (HBB)

•ระบบช่วยกระจายแรงเบรกอัจฉริยะ (HBA)

•หน้าจอเรือนไมล์ผู้ขับขี่แบบ LCD ขนาด 12.3 นิ้ว

•เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง

•เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

•หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดีย ปรับหมุนด้วยไฟฟ้า ขนาด 12.8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto™

•ลำโพง 9 ตำแหน่ง

•BYD Digital Key

•พอร์ตชาร์จ USB Type C 2 จุด และ Type A 2 จุด

•ที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย 2 ตำแหน่ง

BYD SEALION 6 DM-i Super Hybrid รุ่น Dynamic มาพร้อมสีภายนอกทั้งหมด 2 สี Quantum Black และ Horizon White พร้อมให้ลูกค้าชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ BYD ทั่วประเทศ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook BYD RÊVER Thailand

นิสสัน ฮอนด้า มิตซูบิชิ ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือเชิงกลยุทธ์

นิสสัน ฮอนด้า และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ลงนามบันทึกความเข้าใจสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ผนึกจุดแข็ง เริ่มศึกษาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์

กรุงเทพฯ – 6 สิงหาคม 2567 : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประกาศร่วมกันว่า ทั้ง 3 บริษัทได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมกันศึกษากรอบความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะและเทคโนโลยียานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยอ้างอิงจากข้อตกลงที่ลงนามโดยนิสสัน และ ฮอนด้า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม

นิสสัน และ ฮอนด้า กำลังร่วมกันเร่งมือริเริ่มโครงการต่างๆ ที่มุ่งสู่เป้าหมายในด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนและสร้างสรรค์สังคมที่มีอุบัติเหตุจราจรเป็นศูนย์ โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถร่วมมือกันพัฒนาในด้านเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า และการพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ ทั้งนี้ การหารือร่วมกันกำลังดำเนินไปในขอบเขตระดับกว้าง

เพื่อเร่งกระบวนการดังกล่าว จึงจำเป็นต้องสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่แต่ละบริษัทได้พัฒนาขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ การที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เข้ามาเสริมความร่วมมือบนพื้นฐานของกรอบการศึกษาที่นิสสัน และ ฮอนด้า กำลังพิจารณาร่วมกัน ไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนความรู้ และจุดแข็งใหม่ๆ แต่ยังสร้างพลังร่วม อันเกิดจากการร่วมมือกันของทั้ง 3 บริษัท เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกัน

ความคิดเห็นของ มร.มาโกโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร นิสสัน “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ร่วมกันระหว่างฮอนด้า และ นิสสัน โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว ทั้งยังร่วมมือเป็นพันธมิตรกับนิสสัน มาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเราคาดหวังว่า การที่ทั้ง 3 บริษัท ได้ผนึกกำลังกันในครั้งนี้ จะนำไปสู่การสร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ที่สร้างคุณค่าได้มากยิ่งขึ้น โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอันเปี่ยมเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแต่ละบริษัท เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างและหลากหลายของลูกค้า”

ความคิดเห็นของ มร.โทชิฮิโระ มิเบะ ผู้อำนวยการ ประธานกรรมการบริหาร และตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร ฮอนด้า “อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ของรอบศตวรรษนี้ เราคาดหวังว่า การผนึกเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่นิสสัน และ ฮอนด้า ได้พัฒนาขึ้น และผสานเข้ากับจุดแข็งและประสบการณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส จะช่วยให้เราสามารถเอาชนะความท้าทายต่างๆ ในระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมกับหนุนให้เราก้าวขึ้นเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคม”

ความคิดเห็นของ มร.ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น “การหารือระหว่างนิสสัน และ ฮอนด้า เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกัน ได้ก้าวหน้าไปมาก และเราได้ตัดสินใจเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือนี้ ในปัจจุบัน การผนึกกำลังร่วมกันนับเป็นสิ่งจำเป็นของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี อาทิ เทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีอัจฉริยะ ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยความร่วมมือระหว่างทั้ง 3 บริษัท เราจะสามารถค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ๆ ได้ในหลากหลายมิติ”

ฟอร์ดส่ง “เรนเจอร์ แร็พเตอร์” โชว์แกร่งในเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี่ 2024

ฟอร์ด ประเทศไทย ประกาศความพร้อมสนับสนุนทีมฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต พร้อมส่งฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ จำนวน 2 คัน ลุยศึกเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี่ 2024 เปิดตัวนักแข่งมากประสบการณ์ แสดงพลังความ “แกร่งจริงทุกคัน ดุดันทุกสถานการณ์” มุ่งชิงชัยในการแข่งขันเส้นทางสุราษฎร์ธานี-กาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 12-17 สิงหาคม 2567

ในการแข่งขันปี 2024 นี้ ฟอร์ดและฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต ร่วมกันมุ่งมั่นพัฒนารถแข่งฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ หมายเลข 118 และหมายเลข 131 ลงแข่งรุ่น T2A หรือโปรดักชัน เอเชีย ซึ่งเป็นรุ่นสำหรับรถที่ผลิตจากโรงงานในเอเชียเช่นเดียวกับในปี 2023 พร้อมส่งทีมแข่งนำโดยไมเคิล ฟรีแมน ผู้อำนวยการทีมมากประสบการณ์ในการแข่งขันทางเรียบ และไชยยา ชมมาลี ผู้นำทางมือฉมังในวงการแรลลี่ ซึ่งเคยได้ลงสนามร่วมกันเมื่อปีที่แล้ว มาลงแข่งในรถฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ หมายเลข 118 ในครั้งนี้

ทีมแข่งยังได้เปิดตัวรถแข่งคันใหม่ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ หมายเลข 131 พร้อมนักแข่งใหม่ ได้แก่ วุฒิชัย ศรแดง นักแข่งแรลลี่มืออาชีพ ดีกรีแชมป์ถ้วยพระราชทานที่มากความสามารถด้านการนำทางมาตั้งแต่วัยเยาว์ จับคู่กับผู้นำทางคือ ชรินทร์ หาญสูงเนิน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการแข่งขันมานานกว่า 30 ปี

“ปีนี้เรามาพร้อมความมุ่งมั่นและประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากปีที่แล้ว” มร.ไมเคิล ฟรีแมน กล่าว “เรามั่นใจว่าสมรรถนะของรถฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ทั้ง 2 คัน และการเสริมทัพครั้งสำคัญด้วย 2 นักแข่งมากฝีมือนี้ จะทำให้ทีมฟอร์ด และฟีลลิค อินโนเวชัน มอเตอร์สปอร์ต พิชิตเส้นทางที่ท้าทายในปีนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม”

ฟอร์ดได้ยกระดับสมรรถนะของรถแข่งฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ให้แกร่งกว่าที่เคย โดยมุ่งพัฒนาการยึดเกาะถนน ความทนทาน และการตอบสนองต่อเส้นทางสมบุกสมบันให้เหนือชั้นยิ่งขึ้น ทีมแข่ง และวิศวกรจากโรงงานของฟอร์ดในประเทศไทย ได้นำความชำนาญอันโดดเด่นของแต่ละฝ่ายมาร่วมกันพัฒนารถและได้รับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ และทักษะจากทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์

นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมด้านอะไหล่และการบำรุงรักษา โดยมีทีมช่างเทคนิคมืออาชีพและหน่วยบริการเคลื่อนที่ฟอร์ด (Mobile Service Vehicle) มาให้การสนับสนุนตลอดการแข่งขัน เพื่อให้มั่นใจว่ารถแข่งทั้ง 2 คันจะฝ่าฟันทุกบททดสอบที่เต็มไปด้วยความท้าทายในสนามแข่งได้อย่างมีประสทธิภาพสูงสุด

“การส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันเอเชีย ครอส คันทรี แรลลี่ 2024 เป็นปีที่ 2 ด้วยรถแข่งฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ถึง 2 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาศักยภาพด้านมอเตอร์สปอร์ต และแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในสมรรถนะของรถกระบะพันธุ์แกร่งของฟอร์ด” นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวและว่า “ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้แสดงถึงความทนทานและสมรรถนะอันเหนือชั้นของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ให้ลูกค้าฟอร์ด ผู้ชื่นชอบการแข่งขันแรลลี่ และคอออฟโรดตัวจริงได้เห็นอีกด้วย”

สมาคม สรยท. เข้าพบแนะนำคณะกรรมการบริหารชุดใหม่กับผู้บริหารไทยฮอนด้า

สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย เข้าพบแนะนำคณะกรรมการบริการชุดใหม่กับผู้บริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด

นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ (Thailand Automotive Journalists Association : TAJA) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ เข้าพบนายนคร วิมลจิตรสอาด ผู้จัดการทั่วไป สายงานสื่อสารการตลาด และทีมสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด เพื่อแนะนำคณะกรรมการบริหารชุดใหม่วาระปี 2567-2569 แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทิศทางตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย พร้อมทั้งพูดคุยแนวทางประสานความร่วมมือการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างทักษะด้านการขับขี่รถจักรยานยนต์ให้กับสมาชิกตามนโยบายของสมาคมฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต พร้อมลุยศึก เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต พิสูจน์สมรรถนะรถแข่ง ไทรทัน แรลลี่คาร์ ก่อนตะลุยศึก เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024 ทวงบัลลังก์แชมป์ในรอบ 2 ปี

                               ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต

กรุงเทพฯ – 7 สิงหาคม 2567 : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ประกาศความพร้อมของทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ภายใต้การสนับสนุนด้านเทคนิคจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เตรียมลงสู้ศึกการแข่งขันเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024 หรือ เอเอ็กซ์ซีอาร์ 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11 – 17 สิงหาคมนี้ บนเส้นทางเขตภาคใต้และภาคกลางของประเทศไทย ด้วยรถกระบะไทรทัน1 จำนวน 4 คัน  เพื่อทวงตำแหน่งแชมป์กลับคืนอีกครั้งในรอบ 2 ปี

ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ได้เตรียมพร้อมในด้านสมรรถนะและความแข็งแกร่งของรถแข่งไทรทัน แรลลี่คาร์ บนเส้นทางออฟโรด ด้วยระยะทาง 800 กิโลเมตรในประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทีมแข่ง ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ ความปราดเปรียวคล่องตัว และการควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะระบบช่วงล่างด้านหลังที่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น โดยในวันที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา หรือ 5 วัน ก่อนเริ่มการแข่งขันเอเอ็กซ์ซีอาร์ ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ได้ทดสอบสมรรถนะของรถที่จะใช้ขับแข่งอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกองค์ประกอบของตัวรถนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์และพร้อมตะลุยศึกครั้งนี้อย่างเต็มที่

“เราได้พัฒนาสมรรถนะการขับขี่ของรถไทรทัน และขยายความกว้างของช่วงล้อ ทั้งยังปรับปรุงระบบกันสะเทือนหลังแบบจัดเต็ม โดยนำจุดเด่นของรถรุ่น ปาเจโร ซึ่งเคยคว้าแชมป์ดาการ์ แรลลี่ มาปรับใช้ในการแข่งขันครั้งนี้” มร. ฮิโรชิ มาซูโอกะ ผู้อำนวยการ ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต กล่าว “ผลลัพธ์ที่ได้คือ รถแข่ง ไทรทัน แรลลี่คาร์ สามารถเร่งความเร็วได้เต็มสูบ แม้ในสเตจที่ต้องใช้ความเร็วสูง เช่น ขับขี่ด้วยความเร็วที่สูงกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยตัวรถได้รับการพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังให้สมรรถนะการควบคุมรถที่ดียิ่งขึ้นตามที่เราต้องการ โดยเฉพาะบนสภาพถนนที่สมบุกสมบัน ซึ่งในปีนี้เรามีรถที่เข้าแข่งขันเพิ่มขึ้นจาก 3 คันเป็น 4 คัน และผมมั่นใจว่านักแข่งและผู้นำทางจะสามารถสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากเราจะมีเป้าหมายทวงคืนบัลลังก์แชมป์ในรอบ 2 ปีแล้ว เรายังต้องการสานต่อธรรมเนียมปฏิบัติของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่มุ่งเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้จากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตอันหฤโหด มาใช้ต่อยอดในการพัฒนารถยนต์ต่อไป”

ภาพรวมของการแข่งขัน “เอเอ็กซ์ซีอาร์ 2024”

การแข่งขันเอเอ็กซ์ซีอาร์ในปีนี้ มีรถเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 67 คัน แบ่งเป็นประเภทรถยนต์ 46 คัน ประเภทรถจักรยานยนต์ 19 คัน และประเภทไซด์คาร์ 2 คัน พิธีเปิดการแข่งขันจะจัดขึ้นในวันที่ 11 สิงหาคม ณ หอนาฬิกา ใจกลางเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทางภาคใต้ของไทย จากนั้น การแข่งขัน Leg 1 อย่างเต็มรูปแบบ จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 12 สิงหาคม ตามด้วยการแข่งขัน Leg 2 ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยาวที่สุดของการแข่งขันทั้งหมด จะเริ่มต้นพิสูจน์ความแกร่งสุดท้าทายจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปยังอำเภอหัวหิน ตะลุยผ่านเส้นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ จากนั้นการแข่งขัน Leg 3 จะเป็นเส้นทางที่ต้องใช้ความเร็วสูงบนทางฝุ่นเรียบในอำเภอหัวหิน ตามด้วยการแข่งขัน Leg 4 ซึ่งจะฝ่าเส้นทางลาดชันขึ้นลงเขา มุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนเข้าสู่การแข่งขัน Leg 5 ซึ่งวิ่งผ่านพื้นที่การเกษตร ที่มีลักษณะเป็นพื้นราบแต่มีทัศนวิสัยจำกัด ปิดท้ายด้วยการแข่งขัน Leg 6 ที่จะมุ่งเข้าสู่เส้นชัย ณ สกายวอร์ค กาญจนบุรี ซึ่งเป็นสะพานกระจกใส ที่เพิ่งเปิดตัวในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เมื่อปี 2565

รถสนับสนุน ของทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต

สำหรับการแข่งขันในปี 2024 ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต มีรถสนับสนุนทั้งหมด 6 คัน ได้แก่ เดลิกา ดี:5 จำนวน 4 คัน เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี 1 คัน และเดลิกา มินิ 1 คัน

เดลิกา ดี:5  เป็นรถมินิแวนอเนกประสงค์ที่มาพร้อมตัวถังอันแข็งแกร่งด้วยโครงสร้างนิรภัยรอบคันแบบ Rib-Bone และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ขับขี่คล่องตัวปราดเปรียว ด้วยสมรรถนะการควบคุมรถที่ดีเยี่ยมในสภาพอากาศและสภาพถนนหลากหลายรูปแบบ โดย มร. ฮิโรชิ มาซูโอกะ ผู้อำนวยการ ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต จะขับขี่รถเดลิกา ดี:5 จำนวน 1 คัน เพื่อสำรวจเส้นทางการแข่งขัน โดยตัวรถได้รับการติดตั้งแผงอลูมิเนียมป้องกันเครื่องยนต์ ทั้งยังยกสูงขึ้นจากเดิม 20 มิลลิเมตรโดยประมาณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถบนเส้นทางสมบุกสมบัน

เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เป็นรถยนต์รุ่นแฟล็กชิพของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ได้ผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification Technology) และเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWC (All-wheel Control Technology) เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์การใช้งานและการขับขี่ที่ทรงพลังในสภาพอากาศและสภาพถนนที่หลากหลายตามแบบฉบับรถเอสยูวี พร้อมมีอัตราเร่งที่นุ่มนวลและเปี่ยมด้วยพลัง มอบความปลอดภัยและไว้วางใจได้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

เดลิกา มินิ  เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดเล็กหลังคาสูงแบบเคคาร์2 (Kei-car) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เดลิกา มินิแวน ซึ่งผสานห้องโดยสารที่กว้างขวางเข้ากับสมรรถนะการขับขี่ที่สะดวกสบาย ปลอดภัย มั่นใจได้แม้ขณะขับขี่บนถนนทางกรวดและถนนลูกรัง

รถสนับสนุนทุกคันจะติดตั้งล้ออัลลอย CRAG T-GRABIC II ของแบรนด์ Work (เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ติดตั้งล้อ Work Emotion M8R) และยางออฟโรด GEOLANDAR ของแบรนด์ Yokohama ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นไม่ว่าจะเป็นทางฝุ่น หรือทางโคลน เพื่อให้รถทุกคันสามารถตะลุยผ่านเส้นทางการแข่งขันแรลลี่ได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ รถสนับสนุนทั้ง 6 คัน ยังได้รับการตกแต่งภายนอกเช่นเดียวกับรถแข่ง ไทรทัน แรลลี่คาร์ ที่โดดเด่นด้วยสีแดงที่แสดงถึงพลังอันฮึกเหิม พร้อมด้วยกราฟิกลวดลายดินฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย และสีเทาเมทัลลิก เพื่อสะท้อนถึงชั้นหินที่หนักแน่นและแข็งแกร่ง

การรายงานผลการแข่งขันประจำวัน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จะรายงานความเคลื่อนไหวของการแข่งขันเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่วันแรกของการแข่งขัน คือ วันที่ 11 สิงหาคม ไปจนถึงการแข่งขันช่วงสุดท้ายในวันที่ 17 สิงหาคม ทางเว็บไซต์เอเอ็กซ์ซีอาร์ของบริษัทฯ

[เว็บไซต์ของการแข่งขันเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ สำหรับสื่อมวลชน]

1. จำหน่ายในชื่อ L200 ในบางประเทศ

2. เคคาร์ เป็นประเภทรถยนต์ที่มีขนาดเล็กในประเทศญี่ปุ่น

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดี ต้อนรับ “วิว กุลวุฒิ”

โตโยต้า ร่วมแสดงความยินดี ต้อนรับ “วิว กุลวุฒิ” นักกีฬา Global Team Toyota Athlete ทัพนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย และโค้ช กลับสู่ประเทศไทยด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมแสดงความยินดี ต้อนรับ “วิว กุลวุฒิ” นักกีฬา Global Team Toyota Athlete (GTTA) / ทัพนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย และโค้ช กลับสู่ประเทศไทยด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีความยินดีอย่างภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน และพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันในประเทศไทย ผ่านการเป็นการเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันแบดมินตันระดับนานาชาติในประเทศไทย สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้แฟนกีฬาแบดมินตันไทยได้ชม และเชียร์ทัพนักกีฬาไทย พร้อมสร้างผลงานให้กับนักกีฬาระดับโลกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสานต่อแนวคิด Start Your Impossible ชวนคนไทยขับเคลื่อนสู่ทุกความเป็นไปได้ไปด้วยกัน

Start Your Impossible หรือ “เมื่อเริ่มลงมือทำ ทุกสิ่งก็เป็นไปได้” คือจิตวิญญาณอันแน่วแน่ของโตโยต้าที่ประกาศจุดยืนเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2560 เพื่อแสดงถึงความตั้งใจในการมุ่งมั่นจากบริษัทยานยนต์ สู่การเป็นองค์กรแห่งการขับเคลื่อนสังคมในทุกแง่มุม โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนที่สร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนบนพื้นฐานความเชื่อว่า ร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์คือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ

ในประเทศไทย โตโยต้าได้ส่งต่อแนวคิดดังกล่าวผ่านเส้นทางสู่การประสบความสำเร็จของ นักกีฬาทีมชาติไทย โดยเริ่มต้นจากการแข่งขันโอลิมปิก และพาราลิมปิกที่โตเกียว โดยมี น้องเทนนิส เทควันโด (เหรียญทอง) / น้องเมย์ รัชนก แบตมินตัน / โปรเมย์ กอล์ฟ / คุณประวัติ วะโฮรัมภ์ วีลแชร์ เรซซิ่ง (เหรียญเงิน) / น้องปิ่น อัญชญา ว่ายน้ำพาราลิมปิก

ล่าสุด สำหรับการแข่งขันโอลิมปิก และพาราลิมปิกที่ปารีส น้องวิว – กุลวุฒิ วิทิตศานต์ (เหรียญเงิน) และคุณกร – พงศกร แปยอ วีลแชร์ เรซซิ่ง ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมเป็นหนึ่งใน Global Team Toyota Athlete หรือ GTTA ซึ่งเป็นผลมาจากการทุ่มเทแรงกาย และแรงใจในการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง พร้อมทั้งเริ่มต้นทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้… ให้เป็นไปได้

มาสด้า ประกาศสนับสนุน “สวาทแคท” ลุยศึกไทยลีก

มาสด้า ประกาศสนับสนุน “สวาทแคท” ลุยศึกไทยลีก เปิดตัวชุดแข่งและนักเตะที่พร้อมลงฟาดแข้งในฤดูกาลใหม่

ศูนย์การค้าเซ็นทรัล โคราช นครราชสีมา, 7 สิงหาคม 2567 – มาสด้าประกาศเดินหน้าผลักดันแผนพัฒนากีฬาควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ลงนามต่อสัญญาฉบับใหม่เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของทีม “สวาทแคท” เตรียมลุยสู้ศึกไทยลีกฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น จัดงานเปิดตัวสโมสรฯ ผู้สนับสนุน และชุดแข่งขันในฤดูกาล 2024/2025 ภายใต้ธีม “SWATCAT IS REAL สวาทแคท ของแทร่” สื่อถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของทีมฟุตบอลชื่อดังแห่งเมืองโคราช ด้วยการเลื่อนชั้นกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้งในฐานะแชมป์ T2 เปิดตัวขุนพลนักเตะใหม่ฝีเท้าฉกาจทั้งสายเลือดไทยและต่างชาติเสริมทัพสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีม ลั่นปีนี้ทีมมีความพร้อมกว่าเดิมมาก ตั้งเป้าทำอันดับให้ดีที่สุด พร้อมเชิญชวนแฟนๆ ร่วมเชียร์ไปด้วยกัน

มร.ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฤดูกาลที่ผ่านมามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นมากมาย ทีมสวาทแคทได้นำความสุข นำชัยชนะกลับมาเป็นของขวัญให้แฟน ๆ ทุกคน ทำให้เรากลับขึ้นมายืนหนึ่งในไทยลีกได้อย่างสง่างาม ในฐานะแชมป์ T2 ผมชื่นชมในความอุตสาหะและการทุ่มเทของนักกีฬา โค้ช ผู้บริหาร และทีมงานทุกคน ที่สำคัญคือแฟนๆ ที่ร่วมแรงร่วมใจส่งเสียงเชียร์ช่วยผลักดันให้ทีมก้าวไปสู้เป้าหมายได้สำเร็จ เราทุกคนต่อสู้เพื่อทีมที่เรารัก โดยไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค สิ่งเหล่านี้คือสปิริตที่เรามีร่วมกัน นี่คือบทพิสูจน์ที่นำพาให้เราชาวสวาทแคทก้าวเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้ มาสด้าสนับสนุนสวาทแคทตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ 12 ปีเต็ม ผ่านประสบการณ์ร่วมกันมากมาย ทั้งสุข และเศร้า ผ่านอุปสรรคนานัปการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้ความรักความผูกพันของเราเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นมิตรภาพที่เหนียวแน่นมากขึ้น ไม่ใช่เพียงเฉพาะคนโคราชเท่านั้น แต่รวมถึงคนไทยทั้งประเทศ

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การสนับสนุน “สโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี” เป็นจุดเริ่มสำคัญของมาสด้าในการบุกเบิก Sports Marketing วันนี้ มาสด้าและสวาทแคทเดินทางมาไกล แต่เราจะไม่หยุดเดิน เราต้องไปให้ถึงจุดหมายที่ทุกคนคาดหวัง เราประสบความสำเร็จจากการก้าวขึ้นมาเล่นในไทยลีก T1 อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ T2 ปีนี้มาสด้าสานต่อการสนับสนุนทีมต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน เราทุกคนเชื่อมั่นในสปิริตของทีม เรามั่นใจว่าฤดูกาลนี้สโมสรจะประสบความสำเร็จดังที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพราะทุกคนมีความความพยายาม มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท และไม่เคยยอมแพ้ ด้วยสปิริตแห่งนักสู้นี้ เรามีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าปีนี้ทีมจะก้าวขึ้นไปอยู่แถวหน้าของตาราง การลงนามความร่วมมือกันระหว่างมาสด้าและสโมสรฯ ในครั้งนี้ คือ พันธสัญญาที่จะก้าวเดินไปด้วยกัน ต่อสู้ไปด้วยกัน เพื่อความสำเร็จของทีม รวมถึงความสุขของแฟนบอล โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพวงการกีฬาฟุตบอลของเมืองไทยให้ก้าวไปสู่ระดับชั้นนำของโลกดังที่ทุกคนตั้งความหวัง

“ปีนี้มาสด้ายังคงให้การสนับสนุนทีมสวาทแคทอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ทีมก้าวสู้เป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะเราไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ชัยชนะเท่านั้น การที่มาสด้ามีส่วนช่วยผลักดันนักเตะและวงการฟุตบอลของไทยให้เติบโตไปไกลกว่าเดิม ผมมั่นใจว่าทีมงานทั้งหมด ทั้ง ผู้บริหารสโมสรฯ, โค้ช และนักเตะทุกคน ต่างมีใจสู้ไม่ถอย ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค พร้อมร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันให้ทีมก้าวสู้เป้าหมายตามที่ต้องการ เพราะสิ่งเหล่านี้คือสปิริตที่เรามีร่วมกัน เราไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่เก็บชัยชนะเท่านั้น เราต้องการพัฒนาและยกระดับฟุตบอลไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมให้นักกีฬาก้าวสู่ระดับอาชีพ ที่สำคัญ คือการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นให้เติบโตไปพร้อมๆ กันทุกภูมิภาคทั่วประเทศ” นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติม

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ประธานเปิดงาน กล่าวว่า ฤดูกาลที่ผ่านมา เราสามารถทำเป้าหมายได้สำเร็จ คว้าแชมป์ฟุตบอลไทยลีก 2 ได้เลื่อนชั้นกลับขั้นมาอยู่บนไทยลีก 1 ส่วนฤดูกาลใหม่นี้ ก็เป็นปีที่มีความท้าทาย เราในฐานะทีมน้องใหม่ ซึ่งในส่วนของฝ่ายบริหาร ผมพร้อมให้การสนับสนุนทีมในทุกๆ ด้าน อย่างเต็มที่ เพราะผมรู้ว่าการแข่งขันในลีกสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่าย และเราก็ผ่านประสบการณ์มาแล้ว ทำให้เรามีความระมัดระวังมากขึ้นในทุกมิติ และเตรียมพร้อมทุกอย่างให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก็ต้องขอบคุณผู้สนับสนุนทีมทุกๆ ท่าน ที่ยังอยู่เคียงข้างทีมสวาทแคท และที่สำคัญก็คือแฟนบอลสวาทแคทที่คอยส่งเสียงเชียร์สนับสนุนทีมมาโดยตลอด

นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ประธานบริหารสโมสรฯ กล่าวว่า “เราทำสำเร็จตามเป้าหมาย คือ เลื่อนชั้นกลับไปสู่ลีกสูงสุดภายในปีเดียว และเราขึ้นมาด้วยการคว้าแชมป์ไทยลีก 2 ทำให้มีความมั่นใจ ซึ่งฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึงเราพร้อมต่อยอดผลงาน มีการเตรียมความพร้อมรับมือในทุกด้าน ทั้งด้านบริหารและการเตรียมทีม ที่มี “โค้ชโจ” ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น เป็นเฮดโค้ช ได้เตรียมความพร้อมตัวผู้เล่นที่เสริมเข้ามาใหม่ผนวกกับตัวผู้เล่นเดิมที่มีการผสมผสานจนเกิดความลงตัวและพร้อมลงสนามแข่งขัน ผมจึงอยากเชิญชวนแฟนบอลชาวโคราชเข้ามาส่งกำลังใจเชียร์ทีมในสนามให้เยอะๆ ซึ่งผมมีความเชื่อมั่นว่าการแข่งขันในปีนี้จะเป็นการต่อสู้ที่สนุกของพวกเรา”

สำหรับอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของงานฯ คือการเปิดตัวชุดแข่งขันใหม่ประจำฤดูกาล 2024/25 ที่มาจากการออกแบบของ VOLT โดยมี 3 แบบ คือ SWATCAT HOME JERSEY (สีส้ม), SWATCAT AWAY JERSEY (สีน้ำเงิน), SWATCAT THIRD JERSEY (สีเทา) และชุดผู้รักษาประตู 3 สี คือ สีดำ, สีขาว, สีเหลือง โดยนักฟุตบอลของสวาทแคทยังได้ร่วมกันเดินแบบโชว์ตัว สวมชุดแข่งขันใหม่อวดสายตาแฟนบอลอย่างเป็นทางการครั้งแรก ท่ามกลางบรรยากาศสุดชื่นมื่น และเต็มไปด้วยความอบอุ่น โดยกิจกรรมจัดขึ้นที่โคราช ฮอลล์ 2 ชั้น 4 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล โคราช เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา

บรรยายภาพ

ภาพที่ 1 : คณะผู้บริหารสโมสรฯ ผู้สนับสนุนหลัก และนักฟุตบอล ถ่ายภาพร่วมกันในพิธีเปิดตัวสโมสรฯ

ภาพที่ 2 : มร.ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวสนับสนุนสโมสรฯ

ภาพที่ 3 : ชุดการแข่งขันประจำฤดูกาลใหม่ล่าสุดของทีมฯ

ภาพที่ 4 : ผู้บริหารมาสด้า นำโดย มร.ทาดาชิ มิอุระ และ นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ พร้อมด้วยผู้จำหน่ายในจังหวัดนครราชสีมา นางสาวทัศนียา พัฒนจิตวิไล จาก มาสด้า ราชา ออโต้ เซลส์ และ นายสุดที่รัก พันธ์สายเชื้อ จาก มาสด้า เอกสห กรุ๊ป ร่วมแสดงความยินดีกับผู้บริหารสโมสรฯ

ภาพที่ 5 : ทีมนักฟุตบอลจากทีมสวาทแคท ซีซั่น 2024/25

ภาพที่ 6 : ประธานกิตติมศักดิ์สโมสรฯ มอบของที่ระลึกให้ประธานบริหารมาสด้า

ปอร์เช่ เผยโฉมยนตรกรรมสปอร์ตไฟฟ้า Macan

ปอร์เช่ ประเทศไทย จัดงาน The New All-Electric Macan Sneak Preview เผยโฉมยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เปิดราคาเริ่มต้นที่ 5.39 ล้านบาท ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย กรุงเทพฯ (MOCA)

-สัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากปอร์เช่ ประเทศไทย ที่เผยโฉม ปอร์เช่ มาคันน์ (Porsche Macan) รถพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ครั้งแรกในประเทศไทย ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย กรุงเทพฯ (MOCA)

-ภายใต้คอนเซ็ปต์ของงาน “Keep Your Essence” ที่สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างดีไซน์อันเหนือกาลเวลาและสมรรถนะอันเป็นเอกลักษณ์ของมาคันน์ (Macan) กับผลงานศิลปะร่วมสมัย

-ปัจจุบันปอร์เช่ มาคันน์ (Porsche Macan) ใหม่ เปิดรับจองแล้วผ่านปอร์เช่ ประเทศไทย พร้อมการจัดแสดงรถยนต์สุดพิเศษ ณ ศูนย์การค้า The Emsphere ในวันที่ 9 สิงหาคม – 30 กันยายน 2567

กรุงเทพฯ. ปอร์เช่ ประเทศไทยนำเสนอรถมาคันน์ 4 (Macan 4) และ มาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo) ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย กรุงเทพฯ (MOCA) งานเปิดตัวครั้งนี้มาพร้อมกับการแสดงดนตรีและแฟชั่นโชว์สุดอลังการที่สะท้อนเอกลักษณ์ของรถสปอร์ต SUV ยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ในค่ำคืนของงาน แขกผู้มีเกียรติจะได้สัมผัสประสบการณ์สุดตระการตา รวมถึงการแสดงพิเศษจากปอร์เช่ ประเทศไทย ผ่านการรังสรรค์บรรยากาศของงานที่สร้างความสุนทรีย์ ด้วยบทเพลงโอเปร่าที่ถูกเลือกสรรมาอย่างลงตัว และการแสดงแฟชั่นโชว์สุดพิเศษที่นี่ที่เดียว ที่จะสะท้อนธีมของมาคันน์ (Macan) ใหม่ “Keep Your Essence” (รักษาเอกลักษณ์ของคุณ) ไม่ว่าจะเป็นความทันสมัย โดดเด่น แต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ โดยโชว์ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากคุณคริส หอวัง ที่จะมาปรากฏตัวภายในชุดราตรีสุดหรูที่ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อสะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของมาคันน์ (Macan) ใหม่ในครั้งนี้

มร. ปีเตอร์ โรห์เวอร์ (Peter Rohwer) กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย กล่าวว่า “มาคันน์ (Macan) ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้านี้ ผสมผสานสมรรถนะอันน่าตื่นตาเข้ากับการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่ (Porsche) ตามรอยไทคานน์ (Taycan) รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าคันแรกของเรา มาคันน์ (Macan) ใหม่สะท้อนถึงความหลงใหลในนวัตกรรมของเรา ในขณะที่ยังคง DNA ความเป็นปอร์เช่ (Porsche) อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอเชิญแฟนๆ ของปอร์เช่ (Porsche) ในประเทศไทย ร่วมกันรักษาเอกลักษณ์และเฉลิมฉลองความเป็นตัวตนที่มีความหมาย”

มาคันน์ 4 (Macan 4) และ มาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo) เปิดตัวครั้งแรกของโลกที่ประเทศสิงคโปร์ ในเดือนมกราคม 2024 มาคันน์ (Macan) ใหม่มอบสมรรถนะ E-Performance สำหรับทุกสภาพถนนและการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวเลขสมรรถนะเทียบเท่ารถสปอร์ต ผสานกับการชาร์จเร็วที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 270 กิโลวัตต์ และพิสัยการเดินทางสูงสุดถึง 613 กิโลเมตรในมาตรฐาน WLTP

ปอร์เช่ (Porsche) ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanent Magnet Synchronous) รุ่นใหม่ล่าสุดทั้งเพลาหน้าและเพลาหลัง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและการส่งกำลังที่แม่นยำ ผลลัพธ์คือสมรรถนะระดับสูงสุด เมื่อทำงานร่วมกับระบบ Launch Control ปอร์เช่ มาคันน์ 4  (Macan 4) สามารถสร้างพละกำลังสูงสุด 300 กิโลวัตต์ (408 แรงม้า) ด้วยพลังโอเวอร์ บูส และแรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 5.2 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สำหรับผู้ที่ชื่อนชอบและต้องการสมรรถนะที่สูงขึ้น เราขอนำเสนอ มาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo) ที่มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 470 กิโลวัตต์ (639 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุด 1,130 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ภายใน 3.3 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ปอร์เช่ มาคันน์ (Macan) ใหม่ มาพร้อมแพลตฟอร์มไฟฟ้าพรีเมียม 800 โวลต์

มอเตอร์ไฟฟ้าของมาคันน์ (Macan) ใหม่ ได้รับพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนซึ่งติดตั้งอยู่ที่ตัวถังด้านล่าง มีความจุพลังงานรวม 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งสามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 95 กิโลวัตต์ชั่วโมง แบตเตอรี่แรงสูง (HV) เป็นส่วนประกอบหลักของแพลตฟอร์มไฟฟ้าระดับพรีเมียม (PPE) ที่พัฒนาขึ้นใหม่พร้อมรองรับกำลังไฟฟ้าถึง 800 โวลต์ ซึ่งปอร์เช่ (Porsche) นำใช้เป็นครั้งแรกในมาคันน์ (Macan) ใหม่นี้

มาคันน์ (Macan) สามารถชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงหรือ DC ได้สูงสุด 270 กิโลวัตต์ ชาร์จแบตเตอรี่จาก 10% ถึง 80% ภายในเวลาประมาณ 21 นาที สำหรับสถานีชาร์จ 400 โวลต์ รถสามารถแบ่งแบตเตอรี่ 800 โวลต์ ออกเป็นสองส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชาร์จ ทำให้สามารถชาร์จไฟได้สูงสุด 135 กิโลวัตต์ นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ผ่าน Wallbox ที่บ้าน และสามารถชาร์จไฟคืนสู่แบตเตอรี่ขณะขับขี่ได้สูงสุด 240 กิโลวัตต์

ลวดลายสปอร์ตและเส้นสายแบบคูเป้

ด้วยลวดลายที่เฉียบคมและดีเอ็นเอการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่ ทำให้มาคันน์ 4 (Macan 4) และมาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo) ใหม่ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่สปอร์ตและทรงพลัง

ฝากระโปรงหน้าที่ลาดเอียงและโป่งล้อที่ออกแบบมาอย่างโดดเด่น ทำให้ มาคันน์ 4 (Macan 4) และมาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo) ใหม่ มีความยาว 4,784 มิลลิเมตร กว้าง 1,938 มิลลิเมตร และสูง 1,622 มิลลิเมตร สร้างลุคที่ดุดันและสปอร์ตแม้จะจอดนิ่งอยู่กับที่ สามารถเลือกติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว พร้อมยางขนาดต่างกัน ระยะฐานล้อยาวขึ้น 86 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า (2,893 มิลลิเมตร) ทำให้ได้ระยะส่วนหน้าและท้ายของรถที่สั้นลง

ไฟหน้าแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ชุดไฟเดย์ไลท์แบบ 4 จุด ฝังอยู่ในปีกช่วยเน้นความกว้างของตัวรถ โมดูลไฟหน้าหลักพร้อมเทคโนโลยี LED เมทริกซ์ที่เป็นอุปกรณ์เสริม จะอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำลงเล็กน้อยที่ด้านหน้า

เส้นสายหลังคาแบบ Porsche Flyline ผสานเข้ากับกระจกหลังแบบราบเรียบ เมื่อผสานกับประตูไร้ขอบและเส้นสายด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ของมาคันน์ (Macan) จึงทำให้ตัวรถดูเรียบหรูและสปอร์ต บั้นท้ายรถโดดเด่นด้วยเส้นสายที่แข็งแรง โลโก้ PORSCHE ถูกวางไว้ตรงกลางแถบไฟท้าย 3 มิติ

แอโรไดนามิกส์แบบแอคทีฟและพาสซีฟ (Active and passive aerodynamics) เพื่อระยะทางที่ไกลขึ้น

ปอร์เช่ (Porsche) ผสานดีเอ็นเอการออกแบบเข้ากับระบบอากาศพลศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ ด้วยระบบ Porsche Active Aerodynamics (PAA) ที่ควบคุมการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ของตัวรถ และค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.25 ทำให้มาคันน์ (Macan) ใหม่เป็นหนึ่งในรถ SUV ที่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศต่ำที่สุด ซึ่งช่วยเพิ่มระยะทางการขับขี่และประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน

ระบบ Porsche Active Aerodynamics (PAA) ประกอบด้วย สปอยเลอร์หลังแบบปรับได้ ช่องดักอากาศด้านหน้าแบบปรับได้ และแผ่นปิดใต้ท้องรถแบบเต็มพื้นที่ ช่องดักอากาศใต้ไฟหน้าและด้านหน้ารถที่ออกแบบให้ต่ำลง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของอากาศ ส่วนด้านท้ายรถมีการออกแบบให้มีขอบด้านข้างที่ช่วยลดแรงต้านอากาศ และดิฟฟิวเซอร์แบบช่องลมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์

ช่องเก็บสัมภาระ 2 ตำแหน่งและพื้นที่ภายในที่เพิ่มขึ้น

ปอร์เช่ มาคันน์ (Macan) ใหม่ เป็นรถ SUV ที่เน้นสมรรถนะการขับขี่ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายในการใช้งานประจำวัน มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน และพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง การเปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้า ทำให้ Macan ใหม่มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังเบาะหลังมากขึ้น โดยสามารถจุได้สูงสุด 540 ลิตร (โหมดคาร์โก้)

นอกจากนี้ มาคันน์ (Macan) ใหม่ ยังมีช่องเก็บสัมภาระด้านหน้า หรือที่เรียกว่า ‘Frunk’ ความจุ 84 ลิตร เพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้า ทำให้มีพื้นที่เก็บสัมภาระรวม 127 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงทั้งหมด จะสามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังได้สูงสุดถึง 1,348 ลิตร และยังสามารถลากจูงได้ที่น้ำหนักสูงสุด 2,000 กิโลกรัม

ตำแหน่งที่นั่งของผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าของมาคันน์ (Macan) ใหม่ ลดต่ำลง 28 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่ผู้โดยสารตอนหลังนั่งต่ำลง 15 มิลลิเมตร พร้อมพื้นที่วางขาที่กว้างขึ้น ภายในห้องโดยสารเน้นความกว้างด้วยการออกแบบในโทนสีดำ และคอนโซลกลางที่ยกสูง ช่วยสร้างความรู้สึกถึงตำแหน่งการขับขี่ที่ต่ำลงและเน้นสมรรถนะมากขึ้น พร้อมให้ความรู้สึกโปร่งสบายด้วยกระจกบานใหญ่

นอกจากหน้าจอสัมผัสแบบดิจิทัลแล้ว มาคันน์ (Macan) ยังมีองค์ประกอบการควบคุมแบบอะนาล็อกที่เลือกสรรมา ได้แก่ ระบบปรับอากาศและการควบคุมช่องแอร์ แถบไฟ LED ถูกออกแบบรวมเข้ากับแถบตกแต่งของห้องโดยสารและประตู ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งไฟส่องสว่างภายในและเป็นไฟเพื่อการสื่อสาร ทำหน้าที่ให้ข้อมูลหรือคำเตือนในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การทักทาย กระบวนการชาร์จไฟ หรือระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่

ปอร์เช่ (Porsche) ให้ความสำคัญกับการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้ในบางส่วนของห้องโดยสารของมาคันน์ (Macan) ไฟฟ้ารุ่นนี้

ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและการเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด

มาคันน์ (Macan) มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลและระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล่าสุด โดยมีหน้าจอถึง 3 หน้าจอ ประกอบด้วยหน้าปัดแบบโค้งขนาด 12.6 นิ้ว และหน้าจอกลางขนาด 10.9 นิ้ว

เป็นครั้งแรกที่ผู้โดยสารสามารถดูข้อมูล ปรับการตั้งค่าบนระบบอินโฟเทนเมนต์ หรือการสตรีมเนื้อหาวิดีโอขณะเดินทาง เพลิดเพลินผ่านหน้าจอขนาด 10.9 นิ้วของตนเองที่เป็นอุปกรณ์เสริมเลือกติดตั้งได้

และเป็นครั้งแรกที่ปอร์เช่ (Porsche) นำเสนอการแสดงผลภาพบนกระจกหน้ารถ (Head-up Display) ที่ใช้เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เป็นครั้งแรก โดยสามารถแสดงข้อมูลเสมือนจริง เช่น ลูกศรนำทาง ซ้อนทับกับภาพจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยภาพจะปรากฏขึ้นที่ระยะห่าง 10 เมตรจากผู้ขับขี่ และมีขนาดที่สอดคล้องกับหน้าจอขนาด 87 นิ้ว ทั้งหมดนี้คือ Porsche Driver Experience แนวคิดเพื่อสร้างประสบการณ์อันน่าประทับใจแก่ผู้ขับขี่

มาคันน์ (Macan) ใหม่ มาพร้อม ระบบอินโฟเทนเมนต์รุ่นใหม่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android Automotive OS โดย Porsche Communication Management (PCM) ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey Porsche” สามารถแนะนำเส้นทาง รวมถึงสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว และผู้โดยสารสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจาก Porsche App Center เพื่อใช้งานในรถยนต์ได้ทันที

มาคันน์ (Macan) รุ่นแรกที่ติดตั้งระบบเลี้ยวล้อหลังและช่วงล่างแบบวาล์วคู่

ปอร์เช่ (Porsche) พัฒนามาคันน์ (Macan) ขึ้นมา โดยมุ่งเน้นไปที่ไดนามิกการขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงสัมผัสของการใช้พวงมาลัยที่เป็นเอกลักษณ์ ยอร์ก เคอร์เนอร์ (Jörg Kerner) รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ กล่าวว่า “ด้วยตำแหน่งการนั่งที่เน้นความสปอร์ต ระยะฐานล้อต่ำ และการควบคุมพวงมาลัยที่แม่นยำ ทำให้มาคันน์ (Macan) ใหม่มอบประสบการณ์การขับขี่สไตล์รถสปอร์ตที่แท้จริง”

มาคันน์ (Macan) ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบเรียลไทม์ Porsche Traction Management (ePTM) สามารถกระจายแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังได้เร็วกว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเดิมถึง 5 เท่า และสามารถตอบสนองต่อการลื่นไถลได้ภายใน 10 มิลลิวินาที นอกจากนี้ ระบบ Porsche Torque Vectoring Plus (PTV Plus) ยังช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนน ความเสถียร และการควบคุมตัวรถได้อย่างแม่นยำ

มาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo) มีช่วงล่างแบบถุงลมที่มาพร้อมกับระบบ Porsche Active Suspension Management (PASM) ซึ่งเป็นช่วงล่างที่สามารถปรับเลเวลความนุ่มนวลได้ โดยใช้ระบบไฟฟ้าควบคุม สำหรับมาคันน์ 4 (Macan 4) เป็นช่วงล่างสปริงที่มาพร้อมกับระบบ PASM เช่นกัน ระบบ PASM ใหม่ได้รับการออกแบบบนพื้นฐานของระบบช่วงล่างแบบ 2 Valve ที่มอบความยืดหยุ่นในการใช้งาน สามารถมอบความนุ่มนวล รวมถึงการแสดงสมรรถนะในการยึดเกาะกับพื้นผิวถนน ระบบนี้จะทำให้ผู้ขับขี่สัมผัสการตอบสนองของช่วงล่างในแต่ละโหมดการขับขี่ได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าเคย

เป็นครั้งแรกที่มาคันน์ (Macan) มีระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง ที่มาเป็นอุปกรณ์เสริมให้สามารถเลือกติดตั้งได้ โดยมีมุมบังคับเลี้ยวสูงสุด 5 องศา ช่วยให้รถยนต์สามารถเลี้ยวกลับรถได้ด้วยรัศมีวงเลี้ยวเพียง 11.1 เมตร ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มความเสถียรในการขับขี่ที่ความเร็วสูง ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากระบบบังคับเลี้ยวล้อหน้าที่เสถียรและแม่นยำ ซึ่งเป็นจุดเด่นของแบรนด์

ท่านสามารถออกแบบรถปอร์เช่ มาคันน์ (Porsche Macan) ในฝันได้แล้ววันนี้ ผ่าน Porsche Car Configurator ในราคาเริ่มต้นที่ 5.39 ล้านบาทสำหรับ มาคันน์ 4 (Macan 4) และราคา 7.79 ล้านบาท สำหรับมาคันน์ เทอร์โบ (Macan Turbo)

นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ถึง 30 กันยายน ปอร์เช่ ประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับรถยนต์ไฟฟ้าสปอร์ต SUV รุ่นใหม่ล่าสุด Porsche Macan 4 และ Macan Turbo ที่งาน “The new all-electric Macan Sneak Preview at The Emsphere” จัดขึ้นที่ AAS House ชั้น 2 โซน EM Innovation ศูนย์การค้า The Emsphere

พิเศษสำหรับลูกค้าที่จองรถ Porsche Macan ใหม่ภายในงาน รับทันทีแพ็คเกจสุดคุ้มมากมาย อาทิ

-บัตรชาร์จไฟฟ้าราคาพิเศษ สูงสุด 850 กิโลวัตต์ต่อปี นาน 3 ปี

-การรับประกันรถยนต์ นาน 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมสิทธิ์ซื้อแพ็คเกจขยายการรับประกันเพิ่มเติมได้สูงสุด 15 ปี

-ของพรีเมียมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ จากปอร์เช่ (Porsche) อาทิ กระเป๋าถือ และร่ม Porsche Martini Racing

-สิทธิพิเศษจากศูนย์การค้า The Emsphere อาทิ บัตรจอดรถฟรี 1 ปี เมื่อมียอดใช้จ่าย 200,000 บาทขึ้นไป และบัตร Platinum M Card เมื่อมียอดใช้จ่าย 1.5 ล้านบาทขึ้นไป

อย่าพลาดโอกาสเป็นเจ้าของ Porsche Macan รุ่นใหม่ พร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมายภายใน 30 กันยายนนี้

เกี่ยวกับปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป

ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ โดยได้รับการแต่งตั้ง จากโรงงานปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ปี 2536 ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขาย ให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญ ในเรื่องการให้บริการหลังการขาย โดย เอเอเอส กรุ๊ปฯ ทุ่มงบการอบรมบุคลากรให้มีคุณภาพสูงสุด ตามนโยบาย หลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถ และคุณ AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า “AAS The Name you can Trust” ซึ่งพิสูจน์ ให้ท่านได้เห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินงานมากกว่า 30 ปี

ปัจจุบัน ปอร์เช่ ประเทศไทย มีโชว์รูมและศูนย์บริการเปิดให้บริการ 4 แห่ง คือ Porsche Centre Bangkok, Porsche Centre Pattanakarn, Porsche Studio Siam Paragon ชั้น 2, Porsche Studio Bangkok ICONSIAM ชั้น 1 และขยายเพิ่มอีก 3 แห่งในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ ศูนย์ปอร์เช่ กัลปพฤกษ์, ศูนย์ปอร์เช่ บางนา และศูนย์ปอร์เช่ พัทยา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save