- Advertisement -
27.9 C
Bangkok
Home Blog Page 46

อีซูซุ เปิดตัว ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” สุดยอดรถอเนกประสงค์

อีซูซุ เปิดตัว ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” จุดสูงสุดใหม่…กับชีวิตที่เหนือกว่า ส่งสุดยอดรถอเนกประสงค์ สู่ตลาดเมืองไทย

อีซูซุ รุกตลาดรถเอนกประสงค์พีพีวี เดินหน้าเปิดตัวสุดยอดรถอเนกประสงค์ ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” (มิว-เอ็กซ์ “เดอะ เน็คซ์พีค”) ภายใต้นิยาม “จุดสูงสุดใหม่…กับชีวิตที่เหนือกว่า” ดีไซน์ใหม่ทั้งภายนอกจดภายใน พร้อมสีใหม่! สีเทา ไอเกอร์ โอเพค (Eiger Gray Opaque) เร้าใจด้วยชุดกันชนหน้าใหม่! แบบ Fighter Jet มาพร้อมกล้องรอบคัน 360 องศา (360° Surround View Camera) ภาพคมชัดระดับพรีเมี่ยม เพิ่มความมั่นใจเหนือกว่าด้วยมุมมองใต้ท้องรถ ขับสบายด้วยพวงมาลัยไฟฟ้า และเสริมความปลอดภัยเหนือขั้น ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS Generation ล่าสุด! พร้อมการอัพเกรดครั้งใหม่เพื่อมอบประสบการณ์ความพีคที่เหนือกว่า ให้ทุกคนใช้ชีวิตไปถึงขีดสุดในทุกด้าน   ด้วยราคาคุ้มค่าเงิน ตั้งแต่ 1,184,000 –  1,771,000 บาท

กลุ่มตรีเพชร โดย มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้บริโภคเลือกซื้อรถโดยพิจารณาจากอรรถประโยชน์ของรถที่สามารถตอบสนอง ไลฟ์สไตล์และการใช้งานได้อย่างหลากหลาย จึงทำให้รถอเนกประสงค์เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ครบทุกด้าน ตลอดจนความสะดวกสบาย เทคโนโลยีล้ำสมัย รวมถึงพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ที่มากกว่า อีซูซุจึงขอแนะนำ ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” โดยมีเป้าหมายให้ MU-X “THE NEXT PEAK” เป็นรถอเนกประสงค์ที่ดีที่สุดในคลาส ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ที่เหนือกว่าในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะ ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” รุ่น RS ที่ออกแบบพลิกโฉม MU-X ให้โดดเด่น มาพร้อมชุดแต่ง RS Design รอบคัน ผ่านเส้นสายที่มีความ Dynamic สปอร์ต หรูหรา กับสีใหม่! สีเทา ไอเกอร์ โอเพค (Eiger Gray Opaque) เร้าใจด้วยชุดกันชนหน้าใหม่! แบบ Fighter Jet และครั้งแรกใน MU-X กับพวงมาลัยไฟฟ้า และ 360° Surround View Camera กล้อง 360 องศา มั่นใจเหนือกว่าด้วยมุมมองใต้ท้องรถ พร้อมอัพเกรดระบบความปลอดภัยที่เหนือไปอีกขั้นกับ ADAS Generation ล่าสุด! ด้วยราคาคุ้มค่าเงิน ตั้งแต่ 1,184,000 – 1,771,000 บาท ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาในปีนี้ อีซูซุสามารถสร้างยอดขายที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก เราจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า MU-X “THE NEXT PEAK” รุ่นใหม่นี้ จะตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน และสามารถครองใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี”

งานแนะนำรถอเนกประสงค์ MU-X “THE NEXT PEAK” ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยการใช้เทคนิคคาไลโดสโคป (Kaleidoscope) และโชว์สุดพิเศษที่มีความโมเดิร์นมาแสดง เพื่อสะท้อนทุกมุมมองผ่านแรงบันดาลใจสู่จุดสูงสุดใหม่ของการออกแบบที่พลิกโฉม MU-X ให้โดดเด่นและเหนือกว่า ให้ทุกคนใช้ชีวิตไปถึงขีดสุดในทุกด้าน พร้อมกับการเปิดตัวรถเอนกประสงค์ใหม่! หลากหลายรุ่น ถึง 8 คัน นำทีมโดย MU-X “THE NEXT PEAK” รุ่น RS จุดสูงสุดใหม่…ของดีไซน์สปอร์ตที่เหนือกว่า สร้างความแตกต่างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีเป้าหมายให้ MU-X “THE NEXT PEAK” เป็นรถอเนกประสงค์ที่ดีที่สุดในคลาส

ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” จุดสูงสุดใหม่…กับชีวิตที่เหนือกว่า มาพร้อมความพีคที่เหนือกว่า ดังนี้

The PEAK of DESIGN จุดสูงสุดใหม่…ของความโดดเด่น ที่เหนือกว่า

•ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” รุ่น RS จุดสูงสุดใหม่…ของดีไซน์สปอร์ตที่เหนือกว่า กับการออกแบบครั้งใหม่! ของ THE PEAK OF RS DESIGN ที่พลิกโฉม MU-X ให้โดดเด่น และสปอร์ต ผ่านเส้นสายที่มีความ Dynamic รอบคันมาพร้อมสีสันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทําให้ทุกจังหวะพีค…ชัดเจนสูงสุด

ดีไซน์ภายนอก (Exterior)

~ทรงพลังด้วยกระจังหน้าใหม่! Black Diamond Grille พร้อมสะท้อนความพีคด้วยสัญลักษณ์ RS ด้วยวัสดุ Black Chrome

~โฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าและไฟท้ายใหม่! Dynamic Blade พร้อมผสานดีไซน์สปอร์ตของชุดไฟท้ายด้วยเส้น Embrace Line

~สปอร์ตด้วยล้ออัลลอยใหม่! RS Design ขนาด 20 นิ้ว เพิ่มความสปอร์ตด้วย Fender Garnish สีดำ และ Side Garnish สัญลักษณ์ RS    

~เร้าใจด้วยชุดกันชนหน้าใหม่! แบบ Fighter Jet ดุดันพร้อม Air Curtain เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์

~ดีไซน์ใหม่! เร้าใจอารมณ์สปอร์ต กับสีใหม่ล่าสุด! Eiger Gray Opaque และหลังคาดำ Black Roof พร้อมสัญลักษณ์ RS โดดเด่นเท่สะดุดตาด้วยสี Lime Green

ดีไซน์ภายใน (Interior)

การออกแบบครั้งใหม่! ที่ช่วยยกระดับบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้พีคกว่าเดิมด้วยโทนสีดำใหม่! พร้อมตกแต่งด้วย Matte Silver Garnish

~เพอร์เฟกต์ทุกองศา ด้วยเบาะนั่งดีไซน์สปอร์ตใหม่! นั่งสบายโอบรับสรีระ พร้อมโดดเด่น ด้วยการเดินด้ายสี Lime Green และสัญลักษณ์ RS บนหัวเบาะ

~เร้าใจด้วยบรรยากาศภายใน Red Ambient Light

~คอนโซลสีดำดีไซน์ใหม่เหนือระดับทุกรายละเอียด ตกแต่งด้วย Matte Silver

•ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” รุ่น ULTIMATE จุดสูงสุดใหม่… ของความพรีเมี่ยม กับการออกแบบครั้งใหม่! ของ THE PEAK OF ULTIMATE DESIGN ที่พลิกโฉม MU-X ให้โดดเด่น และพรีเมี่ยม ผ่านเส้นสายภายนอกที่มีความ Dynamic สู่ภายในที่ หรูล้ำหน้า กับเทคโนโลยีใหม่ ทําให้ทุกจังหวะความสำเร็จ…พีคได้สูงสุด

ดีไซน์ภายนอก (Exterior)

~กระจังหน้าดีไซน์ใหม่! Dynamic Grille หรูหราด้วยวัสดุสีดำ Titanium Carbide

~โฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าและไฟท้ายใหม่! Dynamic Blade พร้อมผสานดีไซน์สปอร์ตของชุดไฟท้ายด้วยเส้น Embrace Line

~ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ Dynamic Turbine ขนาด 20 นิ้ว สี Magnetite II พร้อม    ดีเทลก้านแม็กแบบ 3D

ดีไซน์ภายใน (Interior)

การออกแบบครั้งใหม่! ที่ยกระดับความหรูหรา ภายในห้องโดยสาร ด้วยโทนสี Truffle Brown – Black ให้ความรู้สึกอบอุ่น High Class

~เบาะ 7 ที่นั่ง ดีไซน์ใหม่! สี Truffle Brown ที่นั่งสบายเหนือกว่า โอบรับสรีระ ด้วยวัสดุ Cool Max ช่วยลดการสะสมความร้อน 

~คอนโซลดีไซน์ใหม่! สี Truffle Brown-Black พรีเมี่ยมด้วยวัสดุ Piano Black – Satin Silver

~บรรยากาศภายในหรูหราด้วย White Ambient Light

The PEAK of LIFESTYLE จุดสูงสุดใหม่…ของความสบาย ที่เหนือกว่า

การอัพเกรดครั้งใหม่! ที่ทำให้ทุกคนใช้ชีวิตไปถึงขีดสุดในทุกด้าน ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าที่เหนือไปอีกขั้น พร้อมพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ ที่ปรับให้เข้าได้กับทุกไลฟ์สไตล์ ทําให้ทุกจังหวะพีค…ตอบทุกความต้องการสูงสุด

•ใหม่! กล้อง 360 องศา (360° Surround View Camera) มั่นใจเหนือกว่าด้วยมุมมองใต้ท้องรถ ใน ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” รุ่น RS

•ใหม่! พวงมาลัยไฟฟ้า (Electric Power Steering) ขับสบายเหนือกว่าคล่องตัวทั้งในเมือง และนอกเมือง ในรุ่น RS และ Ultimate

•ใหม่! Infotainment Display ขนาด 9 นิ้ว แบบสัมผัส รองรับ Wireless Android Auto & Wireless Apple CarPlay พร้อม Multitasking System เชื่อมต่อข้อมูลกับ Integrated MID แสดงผลได้หลากหลายฟังก์ชัน เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระบบแสดงองศามุมปีนไต่ ลาดเอียง และทิศทางการเลี้ยวของล้อ ในรุ่น RS และ Ultimate

•Smart Tailgate with Step Sensor ฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าและหยุดเมื่อมีสิ่งกีดขวางด้วยระบบ Jam Protection

•ที่นั่งโดยสาร 7 ที่นั่ง เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง และเบาะนั่งตอน 2 และตอน 3 ปรับเอนได้พร้อมพับได้ราบสนิท เพิ่มพื้นที่เก็บของ เข้าออกที่นั่งตอน 3 แบบ One Touch

•ดีไซน์ใหม่! เร้าใจอารมณ์สปอร์ต กับสีใหม่ล่าสุด! Eiger Gray Opaque และหลังคาดำ Black Roof พร้อมสัญลักษณ์ RS โดดเด่นเท่สะดุดตาด้วย สี Lime Green ในรุ่น RS

The PEAK of CONFIDENCE จุดสูงสุดใหม่…ของระบบความปลอดภัย ที่เหนือกว่า

ระบบความปลอดภัยที่เหนือไปอีกขั้น ด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่ ADAS Generation ล่าสุด! กล้องหน้าคู่ พร้อมเรดาร์ 2 จุด และ เซ็นเซอร์ 8 จุดรอบคัน มั่นใจด้วยเทคโนโลยีเพื่อระบบความปลอดภัย Active & Passive Safety ทำให้ทุกจังหวะพีค…มั่นใจสูงสุด ใน ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” รุ่น RS และ ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” รุ่น Ultimate

ADAS Generation ล่าสุด! เพิ่มเติมใหม่ 5 ระบบ กล้องหน้าคู่ พร้อมเรดาร์ 2 จุด และ เซ็นเซอร์ 8 จุดรอบคัน

-ใหม่! ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKAS (Lane Keep Assist System)

-ใหม่! ระบบช่วยควบคุมทิศทางของรถตามรถคันหน้า TJA (Traffic Jam Assist)

-ใหม่! ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ELK (Emergency Lane Keeping)

-ใหม่! ระบบช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) พร้อม ระแบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)

-ใหม่! ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Brake) พร้อม ระบบช่วยเตือนขณะถอย RCTA (Rear Cross Traffic Alert)

-ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชัน Stop and GO ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control)

-ระบบช่วยแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า FCW (Forward Collision Warning) พร้อมระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)

-ระบบช่วยแจ้งเตือนจุดอับสายตา BSM (Blind Spot Monitoring)

-ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์ Parking Aid System

-ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา TA-AEB (Turn Assist with Autonomous Emergency Braking)

-ระบบช่วยควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam)

-ระบบช่วยตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด PMM (Pedal Misapplication Mitigation)

-ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ MCB (Multi-Collision Brake)

-ระบบช่วยตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง MSL (Manual Speed Limiter)

•เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย Active & Passive Safety

-ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก ABS (Anti-Lock Brake System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) และระบบลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก BOS (Brake Override System)

-ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว TCS (Traction Control System)

-ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic Stability Control)

-ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist)

-ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control)

-ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC (Trailer Sway Control)

-โครงสร้างห้องโดยสาร Ultra-High Tensile แกร่ง และทนทาน

The PEAK of PERFORMANCE จุดสูงสุดใหม่…ของสมรรถนะ ที่เหนือกว่า

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่! ที่ไม่หยุดพัฒนาขีดสุดสมรรถนะ พร้อมท้าทายทุกอุปสรรค ด้วยขุมพลังเหนือชั้น ทําให้ทุกจังหวะพีค…ลุยได้สูงสุด

Professional 4WD

~ระบบ Terrain Command ลุยได้ทุกสภาพถนนด้วยระบบขับเคลื่อนที่สามารถเลือกได้ทั้งแบบ 2 ล้อ และ 4 ล้อ ทนทาน และประหยัดน้ำมันกว่า

~ระบบ Rough Terrain Mode ช่วยควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์และเบรกให้เหมาะสม เพื่อสามารถผ่านอุปสรรคได้ดีขึ้น ใช้ได้ทั้งในโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ

•ทรงตัวเยี่ยม นุ่มนวลนั่งสบาย ด้วย ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนก 2 ชั้น Double Wishbone และช่วงล่างหลังแบบ 5-Link Suspension เอกสิทธิ์เฉพาะ MU-X

•ตำแหน่งเครื่องยนต์เยื้องหลังเพลาหน้าแบบ Semi-Midship กระจายน้ำหนัก เกาะถนน ทรงตัวดียิ่งขึ้น

•คล่องตัวทุกการขับขี่ ด้วยรัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.6 เมตร

ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” มาพร้อมทางเลือกที่หลากหลายถึง 4 รุ่น ได้แก่ RS, Ultimate, Elegant และ Active มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีเทา ไอเกอร์ โอเพค (Eiger Gray Opaque), ขาวมุกโดโลไมท์ (Dolomite White Pearl), แดง เอทนา ไมก้า (Etna Mica), ดำ บาวาเรียน ไมก้า (Bavarian Black Mica), เงินไอซ์เบิร์ก ไมก้า (Iceberg Silver Mica) และ เงินโบฮีเมียน เมทัลลิก (Bohemian Silver Metallic) แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ด้วยราคาคุ้มค่าเงิน ตั้งแต่ 1,184,000 – 1,771,000 บาท

สัมผัสความพีคของรถอเนกประสงค์ ใหม่! MU-X “THE NEXT PEAK” ได้ที่โชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2567 หรือติดตามข่าวสารของอีซูซุเพิ่มเติมได้ที่ www.isuzu-tis.com หรือ LINE: @isuzuthai

มิตซูบิชิ จัดการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 23 ยกระดับบริการต่อเนื่อง

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 23 ยกระดับบริการทุกด้านอย่างต่อเนื่อง เน้นสร้างความประทับใจสูงสุดให้กับลูกค้า

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดการแข่งขันทักษะรถยนต์ประจำปี ครั้งที่ 23 มุ่งเฟ้นหาสุดยอดบุคลากรใน 7 สายงานบริการ จากผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการรับฟังเสียงของลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาและยกระดับความเป็นเลิศด้านบริการและกระตุ้นยอดขาย สะท้อนถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในการพัฒนาคุณภาพการขายและบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง มุ่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์อันน่าประทับใจที่สุดให้แก่ลูกค้า ในทุกๆ ครั้งที่ลูกค้าเข้ามารับบริการ

นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การแข่งขันทักษะรถยนต์ มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ และความสามารถของ ที่ปรึกษาการขาย ที่ปรึกษางานบริการ เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่อะไหล่ ช่างเทคนิคเช็กระยะ ช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา และที่ปรึกษางานบริการศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง ซึ่งเป็นพนักงานของผู้จำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมติวเข้มจากสถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย (Mitsubishi Motors Education Academy) โดยเรายังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่ได้มาตรฐาน ขณะเดียวกันก็นำแนวคิด ‘รับฟังเสียงจากลูกค้า’ ด้วยความใส่ใจ มาใช้พัฒนาศักยภาพของพนักงานของผู้จำหน่าย เนื่องจากในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะเป็นผู้สร้างความประทับใจสูงสุดให้กับลูกค้าในทุกๆ ครั้งที่ลูกค้าเข้ามารับบริการ ทุกขั้นตอนของการขาย และหลังการขาย”

การแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ประจำปีงบประมาณ 2566 ครอบคลุมบริการทุกประเภทใน 7 สายงาน โดยเริ่มจาก เมื่อลูกค้าแสดงความสนใจซื้อรถ พนักงานที่ปรึกษาการขาย (SC) จะเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สอบถามความต้องการ และให้คำปรึกษาการใช้งานด้านต่าง ๆ แก่ลูกค้า รวมถึงเชิญชวนให้ลูกค้าทดลองขับรถ หลังจากนั้นเมื่อถึงกำหนดนำรถเข้ารับบริการเช็กระยะ เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ (CRO) จะทำการโทรนัดหมายกับลูกค้า จากนั้น ที่ปรึกษางานบริการ (SA) จะเป็นผู้มาต้อนรับ พร้อมกับรับฟังความต้องการของลูกค้าและให้คำแนะนำ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องเหมาะสม ตรงตามความต้องการของลูกค้า

จากนั้น เมื่อต้องตรวจเช็คตัวรถ จะมีการประสานงานกับช่างเทคนิคเช็กระยะ (PM Technician) หรือช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา (Diagnostic Technician) ในศูนย์บริการ รวมถึงเจ้าหน้าที่อะไหล่ (Parts Officer) เพื่อจัดเตรียมอะไหล่ให้พร้อมสำหรับการซ่อมบำรุงรถยนต์ให้ได้คุณภาพภายในเวลาที่เหมาะสมตามที่ได้ตกลงไว้กับลูกค้า กรณีที่ตัวรถได้รับความเสียหายจากการเฉี่ยวชน จะมีที่ปรึกษางานบริการศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง (SA-BP) ช่วยวิเคราะห์และให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐาน และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในคุณภาพการซ่อมสี และตัวถังอย่างดีที่สุด

ก่อนหน้านี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้จัดการแข่งขันรอบคัดเลือกรวมทั้งหมด 3 รอบ โดยในรอบแรกได้เฟ้นหาเจ้าหน้าที่ทั้ง 7 สายงาน จากผู้จำหน่ายทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 3,051 คน เข้าสู่การทดสอบเพื่อผ่านเข้าสู่รอบสอง 325 คน ตามด้วยการคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เพียง 65 คน ซึ่งผู้เข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ณ สถาบันการศึกษาและฝึกอบรมของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ถือว่าเป็นบุคลากรที่มีความสามารถสูงสุด ที่มาเข้าแข่งขันภายใต้สถานการณ์จำลองที่กำหนดขึ้น โดยมุ่งสร้างความประทับใจสูงสุดให้กับลูกค้า ด้วยการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า วิเคราะห์ปัญหา ช่วยคิดหาแนวทางแก้ไข และให้บริการด้วยความใส่ใจ ในทุกขั้นตอนของการขาย และหลังการขาย

 ผู้ชนะเลิศ รางวัลที่ปรึกษาการขาย นายศราวุฒิ รินทร จากบริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด (สำนักงานใหญ่) ให้ความเห็นว่า “ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ และความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ นำมาสู่ความภาคภูมิใจในรางวัลแห่งชัยชนะครั้งนี้ แม้ว่าตัวผมจะมีอายุงานเพียง 1 ปีเศษ แต่ผมเชื่อมั่นในแบรนด์รถยนต์มิตซูบิชิ และค้นหาข้อมูลเพื่อนำเสนอลูกค้าอย่างใส่ใจ รวมไปถึงสะสมความรู้เกี่ยวกับข้อมูลตัวสินค้า และให้คำแนะนำลูกค้าโดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น และเป็นปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ผมได้รับชัยชนะในวันนี้ ผมขอขอบคุณ บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่ให้โอกาสในการพัฒนาความรู้ ทักษะความสามารถ และศักยภาพของผู้เข้าแข่งขันทุกคนให้บรรลุเป้าหมายในสายอาชีพ อีกทั้งเป็นการปลดล็อคความกล้าในตัวเองไปอีกขั้นครับ”

ทางด้าน นางสาวภคพร จำปา ที่ปรึกษางานบริการ บริษัท มิตซูออโต้ ซิตี้ จำกัด ผู้ชนะเลิศ รางวัลที่ปรึกษางานบริการ  บอกเล่าถึงความรู้สึกในการเข้าแข่งขันครั้งนี้ว่า “ดิฉันรู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก ๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่เข้าร่วมการแข่งขัน โดยก่อนที่จะมาแข่งขันได้ทำการฝึกซ้อมทุกวัน การเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ทำให้ได้รับความรู้และประสบการณ์ที่สามารถนำกลับไปพัฒนางานได้ เช่น ทำให้เรามีความละเอียดขึ้นในการตรวจรถและสังเกตอาการของรถเบื้องต้น อาทิ รอยรั่วซึม  เราสามารถอธิบายให้ลูกค้าฟังได้ว่าถ้าไม่ได้รับการแก้ไขจะมีผลตามมาอย่างไร ทำให้ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากลูกค้ามากขึ้นในฐานะมืออาชีพที่รู้จริง ซึ่งดิฉันมีเคล็ดลับในการทำงานคือ ต้อนรับลูกค้าเป็นอย่างดี ทำให้ลูกค้าให้มีความสุข และมีความประทับใจกลับไป รวมถึงการรับฟังเสียงของลูกค้า สังเกตสีหน้าของลูกค้าว่ารู้สึกอย่างไร และพยายามตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด เช่น ปัญหาที่ลูกค้าแจ้งมาทุกข้อ ต้องได้รับการแก้ไขอย่างครบถ้วน”

 ขณะเดียวกัน ผู้ชนะเลิศ รางวัลช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา นายตะวัน ใหม่คามิ จากบริษัท มิตซูนานามหาสารคาม จำกัด (สำนักงานใหญ่) กล่าวถึงประสบการณ์ที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 23 ว่า “ผมได้รับความประทับใจในหลายๆ ด้านจากการแข่งขันในครั้งนี้ ผมได้ฝึกซ้อมและนำเอาความรู้จากการฝึกอบรมที่อาจารย์สอน นำมาปฏิบัติจนได้รับรางวัลในวันนี้ โดยในการปฏิบัติงาน ถ้าลูกค้าแจ้งปัญหาเข้ามา เราจะทำการยืนยัน-สอบถามปัญหาตามขั้นตอนที่ได้ฝึกมา จากนั้นนำมาวางแผนและวิเคราะห์ปัญหาเพื่อจะได้ซ่อมบำรุงได้อย่างถูกขั้นตอน ผมทำงานกับมิตซู นานา มากว่า 13 ปีแล้ว รู้สึกภาคภูมิใจกับรางวัลที่ได้รับในวันนี้มาก และจะนำความรู้ที่ได้ในวันนี้ไปสานต่อ แนะนำน้องๆ ให้ตั้งใจพัฒนา และผมจะเป็นกำลังใจให้น้องรุ่นต่อๆ ไป”

นอกจากการแข่งขันภายในประเทศ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ณ ประเทศญี่ปุ่น ยังจัดการแข่งขันทักษะการบริการระดับโลก “Global Service Skills Contest 2024” เพื่อเฟ้นหาสุดยอดที่ปรึกษางานบริการและช่างเทคนิค โดยล่าสุด ตัวแทนจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย นายจิรศักดิ์ ศิริพงษ์ จาก บริษัท คำวาลุย ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ในการแข่งขันประเภทช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา และนายวรเชษฐ์ สาโรจน์ จากบริษัท มิตซูออโต้ ซิตี้ จำกัด ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ในการแข่งขันประเภทที่ปรึกษางานบริการ โดยก่อนหน้านี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ประสบความสำเร็จจากการส่งตัวแทนจากประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขัน โดยทำผลงานสูงสุดด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศที่ปรึกษางานบริการมาได้ในปี 2559 และรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหาในปี 2562 อีกด้วย

บรรยายภาพ : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย มร. เรียวอิจิ อินาบะ (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย ร่วมฉลองความสำเร็จให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ การแข่งขันทักษะรถยนต์ประจำปี ครั้งที่ 23 ทั้ง 7 สายงาน ณ สถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ การแข่งขันทักษะรถยนต์ประจำปี ครั้งที่ 23 ทั้ง 7 สายงาน ได้แก่ (จากซ้ายไปขวา)

-นางสาวสุรีพร หงส์คำ บริษัท มิตซูชลบุรี จำกัด (สาขาห้วยกะปิ) ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษางานบริการศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง

-นายศุภชัย แดนโคกสูง บริษัท คำวาลุย ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด (สำนักงานใหญ่) ผู้ชนะเลิศรางวัล ช่างเทคนิคเช็กระยะ

-นายตะวัน ใหม่คามิ บริษัท มิตซูนานามหาสารคาม จำกัด (สำนักงานใหญ่) ผู้ชนะเลิศรางวัล ช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา

-นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

-มร. เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

-นายศราวุฒิ รินทร บริษัท มิตซูรุ่งเจริญ จำกัด (สำนักงานใหญ่) ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษาการขาย

-นางสาวภคพร จำปา บริษัท มิตซูออโต้ ซิตี้ จำกัด ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษางานบริการ

-นางสาวเนตรนภิส หลิมรักษ์ บริษัท อาร์.เอ็ม.เอ.เทรดดิ้ง จำกัด (มิตซู อาร์เอ็มเอ ลุมพินี) ผู้ชนะเลิศรางวัล เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์

-นายเชวง ดังสท้าน บริษัท มิตซู ออโต้เฮ้าส์ จำกัด ผู้ชนะเลิศรางวัล เจ้าหน้าที่อะไหล่

บรรยากาศการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ประจำปีงบประมาณ 2566

โตโยต้า จับมือ Mr.Bic ร่วมพิธีลงนาม MOU หนุนเอสเอ็มอีไปกับ Hilux Champ

โตโยต้า จับมือ Mr.Bic ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)

เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจชาวไทยภายใต้โครงการ Shop on Champ สร้างโอกาสขายสินค้าและบริการโดยใช้รถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ Mr.Bic (Mobile Retail Business Incubation Center) หรือ ศูนย์บริการให้คำปรึกษาและบ่มเพาะธุรกิจค้าปลีกเคลื่อนที่ได้ ภายใต้การบริหารงานร่วมกันระหว่าง บริษัท วี เชฟ (ประเทศไทย) จำกัด และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ Shop on Champ เปลี่ยนธุรกิจมาติดล้อ ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจบริการอื่นๆ ผ่านการใช้งานรถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ ให้เป็นร้านค้าปลีกเคลื่อนที่ได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีช่องทางการขายที่หลากหลายมากขึ้น และโอกาสในการดำเนินธุรกิจใหม่ ณ Toyota ALIVE เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567

นอกจากพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแล้ว ในงานยังมีการเชิญชวนทางแบรนด์ต่างๆ ที่มีความสนใจในการต่อยอดธุรกิจ เพิ่มช่องทางการขาย และธุรกิจแฟรนไชส์ เข้ามารับการปรึกษาจากทางโตโยต้า และ Mr.Bic ในการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกเคลื่อนที่ด้วยกัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และโอกาสใหม่ๆ ในการเปลี่ยนรถเป็นร้าน โดยใช้รถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ ซึ่งในครั้งนี้มีแบรนด์พันธมิตร ที่เข้าร่วมพัฒนารถกับโครงการถึง 5 แบรนด์ ประกอบไปด้วย กาแฟพันธุ์ไทย / Q-Cut by Chalachol / เรือ สาม รำ / AFM ไส้กรอก และ Cooking Robot

รวมถึงมีการเชิญชวนทางผู้ประกอบการรายย่อย SME เข้ามาประกวด ไอเดียธุรกิจเคลื่อนที่ และเข้ารับการ Workshop ที่จะได้ทั้งแง่มุมความรู้การทำ Business Model on Truck รวมไปถึง Know How ขั้นตอนในการนำเสนองานต่อคณะกรรมการ เพื่อชิงรางวัล รถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ 1 คัน พร้อมดัดแปลงไปใช้งาน ต่อยอดธุรกิจตามที่ต้องการ และเงินรางวัลสนับสนุนการทำธุรกิจสำหรับลำดับอื่นๆ มูลค่ารวมถึง 977,000 บาท

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงเสียงตอบรับของรถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ ว่า “ทางโตโยต้า ต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้การตอบรับที่ดีกับรถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ ของเรา ทั้งยอดสั่งจองสะสมรวมมากกว่า 10,000 คัน และยอดสั่งซื้อที่มีเข้ามาตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้เรามั่นใจว่ารถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ สามารถตอบโจทย์การใช้งาน และได้รับความไว้วางใจของลูกค้าของเรา จากที่เราได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกค้าหลายๆท่าน ทำให้เราพบว่าส่วนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อรถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ นอกจากเรื่องของดีไซน์แล้ว คือ โครงสร้างตัวรถที่เอื้อต่อการดัดแปลงได้ง่าย ทำให้ลูกค้านำไปต่อยอดในธุรกิจได้หลากหลาย และราคาที่น่าดึงดูดใจ มีรุ่นที่หลากหลาย รวมถึงการดีไซน์กระบะให้เป็นแบบเปิด 3 ทาง ที่มีให้เลือกทั้งแบบสั้น และแบบยาว ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกให้ตรงความต้องการกับตัวเองได้ สิ่งสำคัญคือ ทางโตโยต้า และดีลเลอร์ของเราได้จับมือกับอู่ประกอบการดัดแปลงรถท้องถิ่น เพื่อศึกษาการดัดแปลงรถไว้ล่วงหน้า ทำให้สามารถนำรถไปต่อเติมเพื่อเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว พร้อมต่อการใช้งาน เรียกได้ว่ารถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ สามารถทำให้ลูกค้า ลดต้นทุน ลดเวลา และเพิ่มกำไรให้แก่ธุรกิจของลูกค้า ซึ่งนั่นตรงกับพันธกิจของทางโตโยต้า ที่ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการขับเคลื่อนความสุขสู่ผู้คน รวมถึงนำพาสังคมให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”

นายศุภกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทางโตโยต้าตั้งใจว่า รถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจไทย ไม่ใช่แค่ธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจรายย่อยอย่าง SMEs เราจึงได้มีโอกาสร่วมงานกับ Workpoint ในรายการปัญญาปันสุข ผ่านแคมเปญ สานฝัน ปันอาชีพ เปิดโอกาสให้กับบุคคลทั่วไปที่มีฝันอยากทำธุรกิจ ส่งไอเดียธุรกิจของตัวเองเข้ามาทางรายการ และผู้ชนะได้รับรถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ พร้อมดัดแปลง หลังจากจบกิจกรรมดังกล่าว ทางโตโยต้าก็ยังอยากสานต่อนโยบายการส่งเสริมธุรกิจให้กับ SMEs ท่านอื่นๆ รวมถึงขยายผลไปยังแบรนด์ธุรกิจประเภทต่างๆ ที่อยากทำ Mobile Business ของตัวเอง เราจึงริเริ่มโครงการ Shop on Champ ในวันนี้ขึ้นมา โดยร่วมมือกับ Mr.Bic ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจค้าปลีกเคลื่อนที่ และมีเครือข่ายพันธมิตรที่หลากหลาย โดยเรามีพันธกิจร่วมกัน นั่นคือการสร้างระบบนิเวศที่ดีให้กับผู้ประกอบการร้านค้าเคลื่อนที่ของไทยโดยมีรถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ เป็นพาหนะในการขับเคลื่อนธุรกิจของคุณไปในทุกๆที่”

นายวินิจ ลิ่มเจริญ CEO & Founder บริษัท วี เชฟ (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริการให้คำปรึกษาและบ่มเพาะธุรกิจค้าปลีกเคลื่อนที่ได้ (Mr. Bic) กล่าวเสริมว่า “สำหรับโครงการ Shop on Champ เกิดขึ้นมาเพราะเราอยากจะสนับสนุนผู้ประกอบการชาวไทย และต่อยอดธุรกิจ Mobile Business ด้วยการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการธุรกิจได้มีทางเลือกในการดำเนินธุรกิจของตัวเองที่หลายหลาย และสร้างโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการได้มากขึ้น”

สำหรับรางวัลในโครงการ Shop on Champ นี้ ทีมที่ชนะเลิศการแข่งขัน ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จะมอบรถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ 1 คัน พร้อมดัดแปลงตามที่ต้องการ และส่วนผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมยังได้เงินสนับสนุนเพื่อไปต่อยอดธุรกิจจากโตโยต้าอีกด้วย โดยรองชนะเลิศ อันดับ 2 จะได้รับ 50,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 3 จะได้รับ 30,000 บาท และรางวัลชมเชย 7 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท ตามลำดับ

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ Shop on Champ สามารถติดตามรายละเอียดการสมัครได้ทาง Facebook Page : Toyota Motor Thailand และ wechefthailand สามารถสมัครได้ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2567

นอกจากนี้ลูกค้าที่สนใจธุรกิจแฟรนไชส์บนรถกระบะโตโยต้ารุ่น Hilux Champ สามารถติดต่อได้ที่ผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ

                     “โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

โตโยต้า ประกาศผลการประกวดภาพวาดระบายสี “รถยนต์ในฝัน”

โตโยต้า ประกาศผลผู้ชนะการประกวดภาพวาดระบายสี “รถยนต์ในฝัน” “TOYOTA Dream Car Art Contest 2024” ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมมอบรางวัลผู้ชนะการประกวดภาพวาดระบายสีในโครงการ “โตโยต้า รถยนต์ในฝัน” “TOYOTA Dream Car Art Contest 2024” เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ศกนี้ ณ TOYOTA ALIVE ถ.บางนา-ตราด กม. 3

“โตโยต้ารถยนต์ในฝัน” หรือ “TOYOTA Dream Car Art Contest” เป็นโครงการประกวดภาพวาดระบายสีระดับโลก จัดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถของเยาวชนไทย ให้เยาวชนได้มีโอกาสในการแสดงความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ โดยใช้ศิลปะเป็นสื่อกลาง ภายใต้หัวข้อ “รถยนต์ในฝัน” ให้เยาวชนรุ่นใหม่เกิดความสนใจในเทคโนโลยี และนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างโอกาส สนับสนุนความสามารถของเยาวชนไทย ให้พัฒนา ก้าวไกลสู่เวทีระดับสากล

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวในพิธีมอบรางวัลว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 13 ปี ที่ผ่านมา บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย มุ่งหวังให้เด็ก และเยาวชนไทย ได้พัฒนาความรู้ ความสามารถ รวมถึงพัฒนาทักษะทางด้านศิลปะ โดยเน้นที่การแสดงออก ทางด้านจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ผ่านการวาดภาพระบายสี และในทุกปีเราได้สนับสนุนเยาวชนที่มีความสามารถทางด้านศิลปะ ด้วยการคัดเลือกผลงานส่งเข้าประกวดระดับโลกที่ประเทศญี่ปุ่น หลายปีที่ผ่านมาเยาวชนไทยของเรา สามารถคว้ารางวัลระดับโลก และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้รวมทั้งสิ้นถึง 43 รางวัล ซึ่งรางวัลนี้สามารถนำไปต่อยอดเป็นผลงานใน portfolio สมัครเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และเป็นเกียรติคุณติดตัวต่อไปได้อีกด้วย”

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้แก่โครงการฯ และเยาวชนไทยที่ได้รับพระราชทานพระวโรกาสจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานถ้วยรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวด TOYOTA Dream Car Art Contest 2024 ในระดับประเทศ สำหรับเยาวชนที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับ 1 ของทั้ง 3 รุ่น ในส่วนของทางโครงการฯ จะมอบทุนการศึกษา พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้แก่เยาวชนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศอันดับที่ 1 และรองชนะเลิศอันดับที่ 2 และมอบประกาศนียบัตรพร้อมทุนการศึกษา เป็นรางวัลชมเชย อีก 7 รางวัล ในทุกรุ่นการแข่งขัน

นายศุภกร กล่าวถึงกิจกรรมใหม่ในปีนี้ว่า “ในปีนี้ โครงการเราได้จัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ อาทิ การจัด School Art Camp เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และการนำความรู้พื้นฐานทางด้านศิลปะไปประยุกต์ใช้ ให้กับเยาวชน ทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ยิ่งไปกว่านั้นเรายังขยายพื้นที่การจัดกิจกรรมไปยังโรงเรียนประชาสงเคราะห์ บ้านราชวิถี เพื่อให้เด็กๆ ได้ร่วมถ่ายทอดจินตนาการไปกับเรา รวมถึงเรายังได้ร่วมกับผู้แทนจำหน่าย จัดกิจกรรมที่โชว์รูมในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมกับชุมชน และโรงเรียนในหลายๆจังหวัด”

“พิเศษกว่านั้นหลังจากการประกาศรางวัลในวันนี้ โตโยต้าจะนำผลงานน้องๆ จำนวน 30 ผลงาน ไปจัดแสดง ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ในระหว่างวันที่ 20-31 สิงหาคม 2567 เพื่อให้ผลงานของเยาวชนไทย ได้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น และสร้างความภาคภูมิใจให้กับน้องๆ เยาวชนไทยอีกด้วย”

นายศุภกร กล่าวขอบคุณผู้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของโครงการนี้ว่า “โอกาสนี้ทางบริษัทฯ ต้องขอขอบคุณความร่วมมืออย่างดี จากกระทรวงศึกษาธิการ ในการสนับสนุนการร่วมประชาสัมพันธ์โครงการ และส่งผลงานของโรงเรียนในสังกัด เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งโรงเรียนรัฐบาล และเอกชน และขอขอบคุณกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการสนับสนุนการขยายแผนกิจกรรมที่สถานสงเคราะห์เด็กหญิงราชวิถี ให้โครงการของเราได้มีโอกาสเติมเต็มความฝัน เเละจินตนาการ ให้กับน้องๆ เพิ่มเติม”

“สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่าน ร่วมเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ ที่เข้ารอบชิงชนะเลิศในการประกวดระดับประเทศ จะเป็นตัวแทนเยาวชนไทย ส่งผลงานเข้าแข่งขันในระดับโลก ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยด้วยกันนะครับ ขอบคุณครับ”

รายชื่อคณะกรรมการตัดสินการประกวด

ประธานคณะกรรมการ

ดร.สังคม ทองมี

ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร

คณะกรรมการ

1.ผศ.ดร.อภิชาติ พลประเสริฐ

หัวหน้าภาควิชาศิลปะ ดนตรี และนาฏศิลป์ศึกษา

คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2.ดร.ปทุมมา บำเพ็ญทาน

อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์

มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

3.อาจารย์ฑีฆวุฒิ บุญวิจิตร

หัวหน้าภาควิชาจิตรกรรม

คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

4.คุณศิริวรรณ เต็มผาติ

 ที่ปรึกษาโครงการฯ

Conceptual Designer Ink Studio

ติดตามข้อมูลข่าวสาร และร่วมลุ้นผลงานของเยาวชนไทยในระดับโลกผ่านทาง

Facebook: Toyota Dream Car Art Contest

Website: www.toyota.co.th/toyotadreamcarthailand หรือ โทร. 095-741-6959

“โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

ผลการประกวดภาพวาดระบายสี “รถยนต์ในฝัน”

โครงการ “TOYOTA Dream Car Art Contest 2024”

รุ่นระดับอายุไม่เกิน 8 ปี

รางวัลชนะเลิศ :                          

ผลงานชื่อ “รถโลกหอม”

ด.ญ.ณกัญญา คงรักษาคุณ

โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ จ.กรุงเทพฯ /

สถาบันสอนศิลปะบ้านสีโป้ว สตูดิโอ

สาขาจุฬาสามย่าน

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1:

ผลงานชื่อ “รถต้นไม้”

ด.ญ.ชณัญชิฎา ชีวกานนท์

โรงเรียนกวงฮั่ว จังหวัดระยอง /

สถาบันสอนศิลปะบ้านสีโป้ว สตูดิโอ สาขาชลบุรี

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2:

ผลงานชื่อ “รถจรวดช่วยชีวิต”

ด.ช.ธชย บุญปัญญาธนาชัย

โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้าเพชรเกษม

จังหวัดกรุงเทพมหานคร

รุ่นระดับอายุ 8-11 ปี

รางวัลชนะเลิศ :

ผลงานชื่อ “Lunch Car for Children”

ด.ญ.วริศรา สัมฤทธิ์

โรงเรียนอนุบาลวังสามหมอ

จังหวัดอุดรธานี

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1:

ผลงานชื่อ “รถพลังงานแสงอาทิตย์”

ด.ช.ปรเมศวร์ ฮดฤาชา

โรงเรียนมหาไถ่ศึกษา จังหวัดเลย

สถาบันสอนศิลปะบ้านสีโป้ว สตูดิโอ สาขาเลย

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2:

ผลงานชื่อ “Nature Car”

ด.ญ.เกศชฎาพร คุ้มบ้าน

โรงเรียนสมคิดจิตต์วิทยา

จังหวัดชลบุรี

รุ่นระดับอายุ 12-15 ปี

รางวัลชนะเลิศ :

ผลงานชื่อ “รถตะเพียนกู้ภัยพลังงานสะอาด”

ด.ญ.ชวิศา ปาละมะ

Global Indian International School

จังหวัดปทุมธานี

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1:

ผลงานชื่อ “รถไฟทางน้ำ พิทักษ์ความยากไร้”

ด.ญ.ศิชาพร นิ่มปาน

โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม

จังหวัดสระบุรี

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2:

ผลงานชื่อ “Little Whale”

นางสาวสโรชา การจนารักพงค์

โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ตลาดรถยนต์เดือนเมษายน 2567 ยอดขาย 46,738 คัน

โตโยต้า เผยตลาดรถยนต์เดือนเมษายน 2567 ยังชะลอตัว ยอดขาย 46,738 คัน ลดลง 21.5% รถยนต์นั่งลดลง 14.4% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ลดลง 25.1% และรถกระบะขนาด 1 ตัน ลดลงถึง 34% ซึ่งเป็นผลมาจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัวช้า

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนเมษายน 2567 ยอดขายตลาดรวม 46,738 คัน ลดลง 21.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 17,288 คัน ลดลง 14.4% ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 29,450 คัน ลดลง 25.1% และรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขายทั้งหมด 17,689 คัน ลดลงถึง 34%

สำหรับตลาดรถยนต์เดือนเมษายน 2567 มียอดขาย 46,738 คัน ลดลง 21.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กลุ่มตลาดรถยนต์นั่งมีการชะลอตัวที่ 14.4% ด้วยยอดขาย 17,288 คัน ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ชะลอตัวเช่นกันที่ 25.1% ด้วยยอดขาย 29,450 คัน และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ชะลอตัวลงมากที่สุด ด้วยยอดขาย 17,689 คัน ลดลงถึง 34% ในส่วนของตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 15,161 คัน คิดเป็นสัดส่วน 32.4% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ยอดขายรถยนต์ HEV เติบโตขึ้น 56% ด้วยยอดขาย 10,208 คัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 4,282 คัน ลดลง 4%

ตลาดรถยนต์ในเดือนพฤษภาคม มีแนวโน้มจะดีขึ้นจากเดือนเมษายน แต่ยังคงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงฟื้นตัวช้า

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนเมษายน 2567

1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย  46,738 คัน ลดลง 21.5 %                        

  • อันดับที่ 1 โตโยต้า      19,422 คัน       ลดลง     0.7 %           ส่วนแบ่งตลาด 41.6%
  • อันดับที่ 2 อีซูซุ          6,856 คัน       ลดลง   48.6 %            ส่วนแบ่งตลาด 14.7%
  • อันดับที่ 3 ฮอนด้า       5,743  คัน       ลดลง   10.4%           ส่วนแบ่งตลาด    12.3%

2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 17,288 คัน ลดลง 14.4%                                 

  • อันดับที่ 1 โตโยต้า      5,500  คัน       ลดลง   24.5%            ส่วนแบ่งตลาด  31.8%
  • อันดับที่ 2 ฮอนด้า       3,442  คัน       ลดลง       9%            ส่วนแบ่งตลาด 19.9%
  • อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ      1,665  คัน       เพิ่มขึ้น 10.8%            ส่วนแบ่งตลาด 9.6%

3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 29,450 คัน ลดลง 25.1%                                

อันดับที่ 1 โตโยต้า      13,922  คัน      เพิ่มขึ้น  13.4%           ส่วนแบ่งตลาด 47.3%

อันดับที่ 2 อีซูซุ          6,856 คัน      ลดลง   48.6%              ส่วนแบ่งตลาด 23.3%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า         2,301 คัน      ลดลง   12.4%            ส่วนแบ่งตลาด  7.8%

4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 17,689 คัน ลดลง 34%                                

อันดับที่ 1 โตโยต้า       8,647 คัน      ลดลง    15.6%           ส่วนแบ่งตลาด 48.9%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            6,091 คัน      ลดลง    48.7%           ส่วนแบ่งตลาด 34.4%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด          2,015 คัน      ลดลง    29.8%           ส่วนแบ่งตลาด 11.4%

           *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,622 คัน

         โตโยต้า 1,335 คัน – อีซูซุ 1,044 คัน – ฟอร์ด 1,012 คัน – มิตซูบิชิ 192 คัน – นิสสัน 39 คัน

5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 14,067 คัน ลดลง 35.7%                                

อันดับที่ 1 โตโยต้า         7,312 คัน     ลดลง   12.4%            ส่วนแบ่งตลาด 52%

อันดับที่ 2 อีซูซุ              5,047 คัน          ลดลง   50.5%       ส่วนแบ่งตลาด 35.9%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด           1,003 คัน     ลดลง   50.6 %           ส่วนแบ่งตลาด 7.1%     

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – เมษายน 2567

1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 210,494 คัน ลดลง 23.9%                              

  • อันดับที่ 1 โตโยต้า       78,232 คัน     ลดลง     17.4%          ส่วนแบ่งตลาด 37.2%
  • อันดับที่ 2 อีซูซุ          31,300 คัน     ลดลง     48.3%          ส่วนแบ่งตลาด 14.9%
  • อันดับที่ 3 ฮอนด้า        30,847 คัน     ลดลง    4.7%          ส่วนแบ่งตลาด 14.7%

2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย  82,903 คัน ลดลง 15.2%                                

  • อันดับที่ 1 โตโยต้า       22,131 คัน     ลดลง   37.4%            ส่วนแบ่งตลาด 26.7%
  • อันดับที่ 2 ฮอนด้า        17,640 คัน    ลดลง   18.2%            ส่วนแบ่งตลาด 21.3%
  • อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ       6,619 คัน    ลดลง    1.5%             ส่วนแบ่งตลาด    8%

3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 127,591 คัน ลดลง 28.7%                    

อันดับที่ 1 โตโยต้า       56,101 คัน     ลดลง    5.4%             ส่วนแบ่งตลาด 44%

อันดับที่ 2 อีซูซุ          31,300 คัน     ลดลง   48.3%             ส่วนแบ่งตลาด   24.5%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า        13,207 คัน     เพิ่มขึ้น  22.3%           ส่วนแบ่งตลาด  10.4%

4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*)

ปริมาณการขาย 74,114  คัน ลดลง 42.2%

อันดับที่ 1 โตโยต้า        33,895 คัน     ลดลง   31.6%            ส่วนแบ่งตลาด  45.7%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            27,572 คัน     ลดลง   50.2%           ส่วนแบ่งตลาด  37.2%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด          7,946 คัน     ลดลง   42.9%            ส่วนแบ่งตลาด   10.7%

           *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 13,436 คัน

          โตโยต้า 4,983 คัน – อีซูซุ 4,212 คัน – ฟอร์ด 3,151 คัน – มิตซูบิชิ 924 คัน – นิสสัน 166 คัน

5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 60,678 คัน ลดลง 42.3%

อันดับที่ 1 โตโยต้า      28,912 คัน      ลดลง  29.3%             ส่วนแบ่งตลาด 47.6%

อันดับที่ 2 อีซูซุ          23,360 คัน      ลดลง  50.9%            ส่วนแบ่งตลาด 38.5%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด         4,795 คัน      ลดลง  49.6%             ส่วนแบ่งตลาด  7.9%

MOTOR EXPO 2024 พร้อมแล้ว ปีนี้คึกคักแน่นอน

ค่ายรถยนต์ จักรยานยนต์ แห่จองพื้นที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” เต็มภายในครึ่งชั่วโมง

บริษัท สื่อสากล จำกัด เปิดจองพื้นที่งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” ได้รับความสนใจจากค่ายรถยนต์ และรถจักรยานยนต์อย่างล้นหลาม โดยพื้นที่แสดงรถยนต์ถูกจองหมดภายในเวลาเพียง 40 นาที

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” เปิดเผยว่า “จากความสำเร็จของงานปีก่อน ที่มียอดจำหน่ายรถยนต์ 53,248 คัน จักรยานยนต์ 7,373 คัน สร้างเม็ดเงินสะพัดรวมกว่า 7.2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้การเปิดจองพื้นที่ MOTOR EXPO 2024 ภายในอาคารชาลเลนเจอร์ 1-3 รวม 60,000 ตารางเมตร ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยนอกจากพื้นที่รถยนต์ ซึ่งมีการขยายเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับแบรนด์ใหม่ๆ จะถูกจองเต็มอย่างรวดเร็วแล้ว พื้นที่สำหรับจักรยานยนต์ และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องยังถูกจองไปกว่า 98%”

“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรม…ยานยนต์ล้ำอนาคต-Innovative Spirit…Futuristic Vehicles” โดยมีผู้อุปถัมภ์อย่างเป็นทางการ ได้แก่ บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด

พบกับ งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2567 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ motorexpo.co.th และทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล”

เอ็มจี จับมือช่องการ์ตูนดัง BOOMERANG 89 ขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่

เอ็มจี จับมือช่องการ์ตูนดัง BOOMERANG 89 ผุดโปรเจกต์ NEW MG4 ELECTRIC POWERPUFF GIRLS EDITION เดินหน้าขยายฐานลูกค้าสู่คนรุ่นใหม่

กรุงเทพฯ – 7 มิถุนายน 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ต่อยอดความฮิตของ NEW MG4 ELECTRIC ร่วมกับช่อง BOOMERANG 89 สร้างสีสันครั้งใหม่ให้กับวงการยานยนต์ไทยพร้อมผนวกกระแสความฮ็อตของ Art Toys นำการ์ตูนยอดนิยมระดับโลกอย่าง POWERPUFF GIRLS สะท้อนความสดใสแต่ทรงพลังใน NEW MG4 ELECTRIC POWERPUFF GIRLS EDITION เดินหน้าขยายฐานลูกค้าไปยังคนรุ่นใหม่ ให้เข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้มากยิ่งขึ้น พร้อมปล่อยคาราวานย่านวัยรุ่นกลางกรุงเทพฯ ให้ได้สัมผัสกับ NEW MG4 ELECTRIC POWERPUFF GIRLS EDITION ที่ผสานความน่ารักของ 3 สาวฮีโร่อย่างลงตัว พิเศษ!! สำหรับลูกค้าที่ทดลองขับ NEW MG4 ELECTRIC รับกระเป๋า LIMITED EDITION 3 สาวจอมพลัง ตั้งแต่ 7 มิถุนายน 2567–31 กรกฎาคม 2567 ที่โชว์รูมเอ็มจีทั่วประเทศ

ความร่วมมือระหว่าง เอ็มจี และช่อง BOOMERANG 89 ครั้งนี้ ผ่านการนำเสนอคาแรคเตอร์การ์ตูนสุดฮิตอย่าง POWERPUFF GIRLS สู่ลวดลายบนตัวรถ NEW MG4 ELECTRIC รถแฮทช์แบคพลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นยอดนิยมของ เอ็มจี ทั้งรุ่น STANDARD RANGE รุ่น LONG RANGE และรุ่น XPOWER กลายเป็นความสดใสและทรงพลังครั้งใหม่กับ NEW MG4 ELECTRIC POWERPUFF GIRLS EDITION และออกสร้างสีสัน มอบความสุขด้วยคาราวาน NEW MG4 ELECTRIC POWERPUFF GIRLS EDITION กลางกรุงเทพฯ โดย NEW MG4 ELECTRIC ทั้ง 3 รุ่น 3 คาแรคเตอร์ ได้รับถ่ายทอดดีเอ็นเอจาก 3 ฮีโร่ ดังนี้

•รุ่น STANDARD RANGE ถ่ายทอดอารมณ์ความสนุกสนาน ความสุข และเสียงหัวเราะในทุกเส้นทางโดย บับเบิลส์ (Bubbles)

•รุ่น LONG RANGE ถูกผนวกกับ บลอสซัม (Blossom) ที่มีความเป็นผู้นำ โดดเด่น เหนือใคร สะท้อนความเป็น ICONIC ของ NEW MG4 ELECTRIC

•รุ่น XPOWER ถูกสื่อสารผ่าน บัตเตอร์คัพ (Buttercup) ฮีโร่ที่สะท้อนจิตวิญญาณของความรวดเร็ว ว่องไว และความปลอดภัย

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “การทำ Collaboration ครั้งนี้ ถือเป็นการผนวกอุตสาหกรรมการ์ตูนและแอนิเมชันและอุตสาหกรรมยานยนต์เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ให้เข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น อีกทั้งเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ให้กับวงการยานยนต์ พร้อมกันนี้ โปรเจกต์พิเศษอย่าง NEW MG4 ELECTRIC POWERPUFF GIRLS EDITION ยังถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวตามทิศทางของแบรนด์เอ็มจี ที่ฉลองครบรอบ 100 ปี สู่การเป็นโกลบอลแบรนด์ ที่เข้าถึงและครองใจคนรุ่นใหม่ได้มากยิ่งขึ้น”

สำหรับกิจกรรมคาราวาน NEW MG4 ELECTRIC POWERPUFF GIRLS EDITION ได้สัญจรไปยังแลนด์มาร์คต่างๆ ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยปักหมุดเริ่มกิจกรรมบริเวณลานกิจกรรมหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์ ต่อเนื่องไปยังประตูน้ำ ถนนรัชดาภิเษก ถนนพหลโยธิน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนพระราม 4 ย่านธุรกิจชั้นนำอย่างสีลม สาทร อโศก-สุขุมวิท ย่านฮิตของคนเจน Y-Z อย่างสยาม และปิดท้ายที่ถนนบรรทัดทอง ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้พบเห็น อีกทั้งยังมีเหล่าแฟนๆ ของการ์ตูน POWERPUFF GIRLS มารอสัมผัส NEW MG4 ELECTRIC POWERPUFF GIRLS EDITION คันจริงอีกด้วย

หลังจากนี้ ผู้ที่สนใจ NEW MG4 ELECTRIC เพียงทดลองขับหรือจองรถที่โชว์รูมเอ็มจีกว่า 150 แห่ง ทั่วประเทศ รับทันทีของพรีเมียม POWERPUFF GIRLS LIMITED EDITION ตั้งแต่ 7 มิถุนายน ถึงวันที่ 31กรกฎาคม 2567 นี้ (จำนวนจำกัด)

เอ็มจี เปิด MG EVolution Showroom ทั่วประเทศ

เอ็มจี เดินหน้า ต่อยอดแผนงานทศวรรษที่สอง กับการเปิดตัว MG EVolution Showroom ทั่วประเทศ 

กรุงเทพฯ – 6 มิถุนายน 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ย้ำภาพแบรนด์ผู้บุกเบิกยานยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยเปิดตัว MG EVolution Showroom หนึ่งในแผนงานพัฒนาศูนย์บริการให้ดูทันสมัย เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันที่รถไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในทางเลือกของลูกค้า เพื่อรองรับการขายและการบริการหลังการขายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ประเดิมเปิดตัว 3 โชว์รูมในพื้นที่กรุงเทพฯ ปทุมธานี และชลบุรี โดยมีแผนขยายครบ 10 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในสิ้นเดือนนี้

ในสถานการณ์ตลาดที่รถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราการเจริญเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงปีที่ผ่านมา การพัฒนาภาพลักษณ์โชว์รูมเพื่อให้ตอบโจทย์กับรถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นส่วนสำคัญในแผนงานของ เอ็มจี ทั้งนี้ MG EVolution Showroom เป็นโชว์รูมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อรองรับการขายและบริการหลังการขายสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และกลุ่มผลิตภัณฑ์อีวีในระดับพรีเมียม (EV Premium) ซึ่งรถในกลุ่มดังกล่าว นำโดย NEW MG MAXUS 9  ลักชัวรี่ MPV ไฟฟ้า100% แบบ 7 ที่นั่งรุ่นแรกของ เอ็มจี NEW MG CYBERSTER สปอร์ตโรดสเตอร์ไฟฟ้าแบบเปิดประทุน 2 ที่นั่ง และล่าสุดที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ กับ NEW MG MAXUS 7 รถ e-MPV ยุคใหม่สำหรับครอบครัวสมัยใหม่ โดย MG EVolution Showroom มีการแบ่งพื้นที่ภายในอย่างเป็นระบบ อาทิ โซนจัดแสดงรถยนต์ไฟฟ้า โซนต้อนรับ โซนห้องประชุมสำหรับการสาธิตและให้ความรู้ โซนซ่อมบำรุงรักษา ซึ่งจะมีอุปกรณ์และเครื่องมือเฉพาะสำหรับการบำรุงดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ พร้อมช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญงาน รวมถึงสถานี MG SUPER CHARGE ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ในส่วนของพนักงานขายที่ MG EVolution Showroom จะได้รับการอบรมความรู้ด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นการเฉพาะ เพื่อให้ข้อมูลและคำแนะนำได้อย่างแม่นยำ ทำให้ลูกค้าเข้าใจในผลิตภัณฑ์อย่างครบถ้วน

โดย MG EVolution Showroom ได้ถูกออกแบบที่เน้นการสื่อสารถึงความทันสมัยและเข้าถึงง่ายสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม ผ่านการเลือกใช้โทนสีเงินและสีฟ้าเป็นสีหลัก ซึ่งสีเงินสื่อถึงความล้ำสมัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในขณะที่สีฟ้าที่ใช้เป็นเส้นสายประกอบสื่อถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแนวคิดของรถยนต์ไฟฟ้า โดยกลุ่มแรกจะเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายนนี้ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ ปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี เอ็มจี เบส ออโต้เซลส์ สาขาบายพาส ชลบุรี จังหวัดชลบุรี และ เอ็มจี เบส ออโต้เซลส์ เพชรเกษม 65 จังหวัดกรุงเทพมหานคร และจะเปิดเพิ่มเติมอีก 7 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นเดือนมิถุนายนี้

นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่เติบโตสูงมาก โดย เอ็มจี ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดนี้เป็นหลัก นอกจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เอ็มจีมียอดขายสะสมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 จนถึงปัจจุบันกว่า 26,000 คันแล้วนั้น ในช่วงทศวรรษที่สอง เอ็มจี ได้ เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่เพิ่มถึงสามรุ่น โดยหนึ่งในรุ่นที่ถือเป็นความภูมิใจของ เอ็มจี คือ NEW MG4 ELECTRIC ซึ่งเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกของเอ็มจีที่ออกจากสายการผลิตภายในประเทศ โดยใช้ชิ้นส่วนจาก ประเทศไทยกว่า 17 บริษัท รวมถึงขยายพื้นที่เปิดโรงงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า และพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์ เอ็มจี ที่ร่วมกับพาร์ทเนอร์ การเปิดพื้นที่คลังอะไหล่แห่งใหม่รวมพื้นที่ทั้งสิ้นกว่า 25,000 ตารางเมตร รองรับอะไหล่กว่า 30,000 รายการซึ่งทำให้ยอดลงทุนรวมของโรงงาน เอ็มจี สูงถึง 30,000 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น เอ็มจี ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการส่งเสริมให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มรถบริการสาธารณะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแนวทางที่ เอ็มจี ดำเนินการมาโดยตลอด และเดินหน้าแผนงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับศูนย์บริการของ เอ็มจี ด้วยการเปิดตัว MG EVolution Showroom และการขยาย MG SUPERCHARGE STATION กว่า 147 แห่ง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของ เอ็มจี ซึ่งจะช่วยเติมเต็มการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของคนไทยให้มีความครอบคลุมและครบวงจรมากยิ่งขึ้น” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

MG CYBERSTER กับการทดสอบระบบความปลอดภัยก่อนส่งมอบ

NEW MG CYBERSTER กับการทดสอบระบบความปลอดภัย เพื่อถ่ายทอดเทคนิคการควบคุมรถอย่างปลอดภัย ก่อนส่งมอบรถให้ลูกค้าในเดือนกรกฎาคม 2567 นี้

-ลูกค้าที่สนใจ สามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ของ NEW MG CYBERSTER บนนถนนจริงได้ในวันที่ 22-26 พฤษภาคม นี้ ณ Dawn to Dusk BKK ซอยกรุงเทพกรีฑา 20 ลงทะเบียนทดลองขับ ได้ที่ https://bit.ly/3QQYW1H

กรุงเทพฯ – 20 พฤษภาคม 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยความคืบหน้ายอดจอง NEW MG CYBERSTER ในประเทศไทยกว่า 1,000 คัน พร้อมนำรถ NEW MG CYBERSTER พวงมาลัยขวาสเปคไทยทดสอบสมรรถนะระบบความปลอดภัยที่มีการจำลองหลากหลายสถานการณ์จริงบนท้องถนน โดยคณะวิศวกรจากเอ็มจี ทั้งไทยและต่างประเทศ ก่อนทยอยส่งมอบรถในเดือนกรกฎาคม นี้ สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมสัมผัสสมรรถนะของ NEW MG CYBERSTER บนนถนนจริงได้ระหว่างวันที่ 22-26 พฤษภาคม นี้ ณ Dawn to Dusk BKK

สำหรับการทดสอบสมรรถนะการขับขี่ของรถปอร์ตโรดสเตอร์สมรรถนะสูงในครั้งนี้ ทีมวิศวกรยานยนต์ เอ็มจี  ได้นำรถ NEW MG CYBERSTER รุ่นพวงมาลัยขวาทดสอบสมรรถนะในหลากหลายสถานี ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องของอัตราเร่ง กำลังเครื่องยนต์และแรงบิด การทรงตัวขณะเข้าโค้งหลายรูปแบบ รวมถึงระบบความปลอดภัยของรถในสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ ที่สนามพีระ เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี โดยรีดสมรรถนะการขับขี่ของรถรุ่นนี้ออกมาให้มากที่สุด เพื่อเตรียมถ่ายทอดชุดข้อมูลความรู้ และประสบการณ์ไปสู่กลุ่มลูกค้าที่สนใจ และเจ้าของสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นนี้ ให้สามารถควบคุมขับขี่ได้อย่างมั่นใจ สร้างความเข้าใจในการใช้งานรถอย่างถูกต้อง มุ่งเน้นให้เกิดความปลอดภัยทั้งกับผู้ขับขี่ รวมถึงผู้ใช้ถนน พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าและผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนทดลองขับสปอร์ตโรดสเตอร์ไฟฟ้าแบบเปิดประทุน 2 ที่นั่ง จาก เอ็มจี ที่ถ่ายทอดสปอร์ตดีเอ็นเอของโรดสเตอร์ที่ออกมาโลดแล่นบนท้องถนนได้อย่างเหนือชั้น อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในแง่ของดีไซน์ เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ มาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครัน กับกิจกรรม MG EXCLUSIVE TEST DRIVE โดย ลูกค้าที่สนใจสามารถร่วมสัมผัสยนตรกรรมระดับพรีเมี่ยม ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ NEW MG CYBERSTER NEW MG MAXUS 7 และ NEW MG MAXUS 9 ระหว่างวันที่ 22-26 พฤษภาคมนี้ ณ Dawn to Dusk BKK ซอยกรุงเทพกรีฑา 20 ลงทะเบียนทดลองขับ ได้ที่ https://bit.ly/3QQYW1H

สำหรับ NEW MG CYBERSTER เป็นสปอร์ตโรดสเตอร์อีวีที่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นของประตูปีกนกแบบปุ่มสัมผัสเปิด-ปิดและหลังคาซอฟต์ท็อป มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor แบบมอเตอร์คู่ขับเคลื่อนด้วย 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 544 แรงม้า มาพร้อมดีไซน์การออกแบบอย่างพิถีพิถัน สะท้อนกลิ่นอายความสปอร์ตสุดคลาสสิกทั้งภายในและภายนอก โดย SAIC’s Advanced Design Studio ในลอนดอน สหราชอาณาจักร อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ครอบคลุมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM มากถึง 26 ระบบ โดยมีสีภายนอกให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีแดง Flame Red สีเหลือง Photon Yellow และสีบรอนซ์เงิน Bullet Silver ภายใน ห้องโดยสารเป็นแบบทูโทน โดยสีทูโทนดำ-แดง จะแมทซ์กับสีภายนอกสีแดง และสีเหลือง ส่วนสีทูโทน-เทาขาวจะแมทซ์กับสีภายนอกสีบรอนซ์เงิน ในราคาจำหน่ายที่ 2,499,000 บาท  พร้อมทยอยส่งมอบรถในเดือน กรกฎาคม 2567 นี้เป็นต้นไป สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/NEWMGCYBERSTER

เอ็มจี ทุ่มงบ 3 หมื่นล้าน ผลิตรถอีวีพวงมาลัยขวาในไทย

เอ็มจี ตอกย้ำการเป็นผู้บุกเบิกยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าทั่วภูมิภาคอาเซียน กับงบลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท

•เอสเอไอซี มอเตอร์- ซีพี มีพื้นที่กว่า 437.5 ไร่ กับงบลงทุนแล้วกว่า 30,000 ล้านบาท และบุคลากรในการทำงานมากกว่า 1,000 คน โดยเป็นบุคลากรคนไทยกว่า 98%

•เผยถึงความพร้อมในทศวรรษที่ 2 กับไลน์ประกอบรถ NEW MG4 ELECTRIC และโรงงานแบตเตอรี่อีวีที่สามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To-Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี ตอกย้ำการเป็นผู้บุกเบิกตลาดอีวีพวงมาลัยขวาในอาเซียน

•เติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ กับพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ที่เปิดใช้พื้นที่ทั้งหมดแล้วตามกรอบระยะเวลา

ชลบุรี – 13 พฤษภาคม 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยความพร้อมในทศวรรษที่สอง กับการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศชั้นนำทั่วภูมิภาคอาเซียน ด้วยไลน์การผลิตที่ครบทุกรูปแบบการขับเคลื่อน กำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี ด้วยงบลงทุนแล้วกว่า 30,000 ล้านบาท โดยสามารถผลิตได้ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์พลังงานทางเลือก และล่าสุดด้วยการเพิ่มไลน์การผลิตรถอีวีนำร่องด้วย NEW MG4 ELECTRIC รุ่นประกอบในประเทศ พร้อมโรงงานแบตเตอรี่อีวี รองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้รถอีวีในประเทศและแถบภูมิภาคอาเซียน พร้อมเผยความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK โดยพื้นที่ทั้งหมดได้เปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว และมีพาร์ตเนอร์บริษัทชั้นนำร่วมเข้ามาอยู่ในพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนรถยนต์ เอ็มจี สามารถกระจายรายได้สู่ภาคประชาชนด้วยการจ้างงานคนไทยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 98%

ประเทศไทย ถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่ เอ็มจี มุ่งมั่นเข้ามาดำเนินธุรกิจและทำการตลาดในระยะยาวด้วยความมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทย ทั้งในแง่ของอัตราการเติบโตและการใช้งานรถภายในประเทศ ผนวกกับทำเลที่ตั้งที่มีโอกาสและความเป็นไปได้ในการส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน เอ็มจี จึงได้สร้างโรงงานผลิตรถยนต์แบบครบวงจร ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 437.5 ไร่ โดยพื้นที่กว่า 300 ไร่ ใช้เป็นส่วนของโรงประกอบตัวถัง (Body Shop) โรงพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop)  โรงประกอบรถ (General Assembly Shop) อีกทั้งยังครอบคลุมในส่วนของคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจีทุกรุ่น และ ล่าสุด เมื่อปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา เอ็มจี ได้ลงทุนครั้งใหญ่ในการพัฒนาพื้นที่ในส่วนที่เหลืออีกกว่า137.5 ไร่ ให้เป็นส่วนของ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK เพื่อรองรับการเติบโตของรถอีวี และเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ซึ่งในส่วนที่พัฒนาใหม่นี้ ประกอบด้วย โรงประกอบแบตเตอรี่อีวี และส่วนของพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนเพื่อการประกอบรถยนต์เอ็มจีร่วมกับพาร์ตเนอร์บริษัทชั้นนำ จึงทำให้แบรนด์ เอ็มจี เป็นแบรนด์ที่สามารถผลิตและประกอบรถยนต์ได้ครบทุกรูปแบบการขับเคลื่อนจากฐานการผลิตภายในประเทศ กับกำลังการผลิตสูงสุด 100,000 คันต่อปี

นายสุโรจน์ แสงสนิท รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด กล่าวว่า “โรงงานการผลิตและประกอบรถยนต์ เอ็มจี เป็นโรงงานที่มีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี อาทิ นวัตกรรมระบบอัตโนมัติ (Automations) หุ่นยนต์อัจฉริยะ (Intelligent Robotics) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพ และความแม่นยำในไลน์การผลิต ผนวกกับทักษะความเชี่ยวชาญและความชำนาญของบุคลากรในกระบวนการผลิต ซึ่งทำให้มีข้อได้เปรียบในกระบวนการการผลิตที่สามารถรองรับการผลิตรถยนต์ ทุกรูปแบบการขับเคลื่อน

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา เอ็มจี ได้ลงทุนเพิ่มและเริ่มเดินสายการผลิตรถอีวีภายในประเทศ โดยเป็นไปตามแผนงานการลงทุนของบริษัทแม่อย่าง SAIC Motor Corporation และสอดรับกับนโยบายอีวีของภาครัฐ ประเดิมการผลิตรถอีวีรุ่นแรกด้วย NEW MG4 ELECTRIC ซึ่งเป็นโกลบอลอีวีรุ่นยอดนิยมที่มียอดขายสะสมทั่วโลก ณ ปัจจุบัน มากกว่า 180,000 คัน โดยในสายการผลิตที่ประเทศไทยจะประกอบด้วย NEW MG4 ELECTRIC รุ่น STANDARD RANGE และ รุ่น LONG RANGE ซึ่งได้เริ่มเดินสายการผลิตตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และได้ส่งมอบสู่ลูกค้าในช่วงเมษายนที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในฐานะแบรนด์ ผู้บุกเบิกตลาดอีวี เอ็มจี ไม่ได้ให้ความสำคัญแต่เพียงตัวรถอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เรายังขยายความแข็งแกร่งของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้งานรถอีวีในทุกมิติ เราจึงได้ลงทุนในส่วนของโรงงานแบตเตอรี่อีวี ภายใต้ชื่อ HASCO-CP BATTERY SHOP ซึ่งถือเป็นโรงงานแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน

โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำ เทคโนโลยี AGV (Automated Guided Vehicle) ที่ใช้ในการกำหนดการเคลื่อนที่ของชิ้นงานตามเส้นทางรวมถึงระยะเวลาการทำงานและคุณภาพการผลิตที่แม่นยำ การเชื่อมโดยเลเซอร์ (Laser Welding) เพื่อให้ได้คุณภาพของการเชื่อมที่ดี การตรวจสอบด้วย CCD (Charge Coupled Device) เพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบเทียบกับต้นแบบในทุกขั้นตอนก่อนนำไปประกอบใส่ในตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% และส่วนที่สอง คือ ส่วนการทดสอบมาตรฐานของแบตเตอรี่กว่า 60 ขั้นตอน ซึ่งได้รับรองคุณภาพและการตรวจสอบภายใต้มาตรฐานยุโรป และเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับสายการผลิตระดับโลก โดยโรงงานแห่งนี้ สามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To-Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 แพ็คต่อปี และนำแบตเตอรี่มาใช้ในการประกอบรถ NEW MG4 ELECTRIC เป็นที่เรียบร้อย”

นายสุโรจน์ กล่าวต่อไปว่า “เอ็มจี มีส่วนสำคัญในการพัฒนาบุคลากรเชิงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจ้างงานภายในประเทศ มีอัตราการจ้างงานบุคลากรในหลายๆ ส่วน คิดเป็นสัดส่วนบุคลากรคนไทยในบริษัทฯ มากกว่า 98% โดยมีบุคลากรทั้งสิ้นมากกว่า 1,000 คน ทั้งนี้ การพัฒนาพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่ง เอ็มจี ได้พัฒนาโครงการดังกล่าวขึ้นมาเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย โดยเฉพาะการเติบโตของรถอีวีในอนาคต ภายในพื้นที่แห่งนี้ ยังมีส่วนของพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนในการประกอบรถยนต์เอ็มจีร่วมกับพาร์ตเนอร์บริษัทชั้นนำ เพื่อจะเติมเต็มความครบวงจรและความสมบูรณ์แบบของกระบวนการผลิต ซึ่งล่าสุดได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดใช้พื้นที่ทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบแล้ว”

ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และความตั้งใจอย่างแท้จริงของ เอ็มจี ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยด้วยเป้าหมายใหญ่เชิงมหภาคในการลงทุนระยะยาว เพื่อร่วมเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และบรรลุเป้าหมายของการเป็น “ศูนย์กลาง” การผลิตรถยนต์และรถอีวีพวงมาลัยขวา เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียนและประเทศชั้นนำทั่วโลก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save