- Advertisement -
32.8 C
Bangkok
Home Blog Page 41

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ปรับทัพขับเคลื่อนตลาดประเทศไทยและพวงมาลัยขวา

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตั้ง Great Wall Motors International รุกตลาดต่างประเทศ ส่ง เจมส์ หยาง ขับเคลื่อนตลาดประเทศไทยและพวงมาลัยขวา ผลักดันแบรนด์สู่การเป็นผู้นำรถยนต์พลังงานใหม่ระดับโลก

กรุงเทพฯ 20 กันยายน 2567 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ หนึ่งในผู้นำรถยนต์พลังงานใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมอัจฉริยะ เดินหน้าอย่างมั่นคงด้วยการประกาศจัดตั้ง “Great Wall Motors International” บริษัทฯ ที่กำกับ ดูแล และบริหารธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในตลาดต่างประเทศทั่วโลก โดยมี เจมส์ หยาง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลาดต่างประเทศ ดูแลตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลก ร่วมกับ นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) และ ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ที่กำกับดูแลการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจให้เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพท่ามกลางความท้าทายของตลาดโลก สู่การส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ล้ำหน้าและบริการคุณภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายทั่วโลกอย่างครอบคลุมและบูรณาการ

Great Wall Motors International ดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ “การมุ่งสร้างระบบนิเวศรถยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลก” (eco-system going global) ประกอบด้วย 4 กุญแจสำคัญ ได้แก่ ความสามารถในการผลิตในท้องถิ่น (localized production) การดำเนินงานในท้องถิ่น (localized operations) การสร้างแบรนด์ข้ามวัฒนธรรม (cross-cultural branding) และห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง (secure supply chains) ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้การดำเนินธุรกิจในตลาดต่างประเทศ ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต ระบบห่วงโซ่อุปทาน การขาย และการบริการหลังการขาย โดยโครงสร้างองค์กรใหม่นี้ จะช่วยให้การส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของตลาดในแต่ละประเทศ ให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้น โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตั้งเป้ายอดจำหน่ายในต่างประเทศที่ 1 ล้านคัน ภายในปี 2573 โดยที่มีสัดส่วนรถยนต์พลังงานใหม่ระดับไฮเอนด์มากกว่าหนึ่งในสามของยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2567 เกรท วอลล์ มอเตอร์ มียอดขายทั่วโลกสูงถึง 745,415 คัน และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 181,363 คันเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ ที่เพิ่มขึ้น 22.17% เมื่อเทียบกับปีก่อน (2566) นอกจากนี้ ยอดขายในตลาดต่างประเทศยังคงเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ 280,139 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 54.20%

สำหรับประเทศไทย ถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียนและ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มุ่งมั่นตั้งใจที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกที่สำคัญของรถยนต์พวงมาลัยขวาไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ภายใต้ Great Wall Motors International ในการบริหารงานของ เจมส์ หยาง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็น รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลาดต่างประเทศ จะรับผิดชอบดูแลตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย โดยจะทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) และ ไมเคิล ฉง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ทั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขอขอบคุณ นายณรงค์ สีตลายน กับความทุ่มเทในการทำงานเพื่อผลักดันการเติบโตและความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ที่ลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567

ในบทบาทหน้าที่ใหม่นี้ เจมส์ หยาง จะรวบรวมทรัพยากรเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการดำเนินงานในท้องถิ่น ชูข้อได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์และทรัพยากรห่วงโซ่อุตสาหกรรมของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในตลาดต่างประเทศ สร้างประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจให้กับคนไทยและประเทศไทย โดย เจมส์ หยาง มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มากกว่า 20 ปี ด้านการวิจัยและพัฒนา การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการจัดการตลาดในประเทศต่าง ๆ ก่อนหน้าดำรงตำแหน่งปัจจุบัน เจมส์ หยาง ดูแลรับผิดชอบงานด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิต การขาย และการบริการ ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในตลาดละติน อเมริกา

เจมส์ หยาง รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลาดต่างประเทศ กล่าวว่า “ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความต้องการของผู้โภค ผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายครบครันทุกเซกเมนต์ ทุกเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ และในทุกระดับ รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานใหม่ที่กำลังเป็นแนวโน้มที่สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในขณะนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมีผู้ใช้งานที่ไว้วางใจและเลือกใช้รถยนต์จาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ กว่า 14 ล้านคนทั่วโลก ซึ่ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงมุ่งมั่นเติบโตไปกับคนไทยและประเทศไทยในระยะยาว รวมถึงจะมีการแนะนำเทคโนโลยีอันล้ำสมัยต่าง ๆ ในระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าคนไทยและแนวโน้มตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในงาน มหกรรมยานยนต์ หรือ Thailand International Motor Expo 2024 ปลายปีนี้ เราจะมีการนำรถยนต์เรือธงรุ่นล่าสุด 2 รุ่นมาจัดแสดงให้คนไทยได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย”

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี ในการบริหารจัดการและดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารงานในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการขาย การตลาด การบริการหลังการขาย สร้างความสำเร็จให้กับองค์กรที่ผ่านมามากมาย

สำหรับ ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) มีประสบการณ์ด้านการตลาดและการดำเนินงานในตลาดต่างประเทศมากว่า 17 ปี ในหลากหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น อเมริกาเหนือ เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกลาง โดย ไมเคิล ฉง ยังเป็นผู้นำสำคัญในการขยายตลาดของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ สู่ประเทศไทย รวมถึงเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานของโรงงานผลิตที่จังหวัดระยองอีกด้วย

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ชูความสำเร็จ GWM HAVAL คว้า 5 รางวัลระดับโลก

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ชูความสำเร็จ GWM HAVAL คว้า 5 รางวัล จาก 5 ประเทศ การันตีรถยนต์เอสยูวีพลังงานใหม่คุณภาพสูงพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ตอกย้ำความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก

เกรท วอลล์ มอเตอร์ นำพาแบรนด์ HAVAL รถเอสยูวีพลังงานใหม่ที่ดีที่สุด และคุ้มค่าที่สุดแบบรอบด้าน คว้า 5 รางวัลคุณภาพจาก 5 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ รางวัล APAC Effie Awards จากประเทศชิลี  ปี 2562 รางวัล Best Value Medium SUV Mega Test จากประเทศออสเตรเลีย ปี 2565 รางวัล First New Car Brand และ TOP 1 SUV จากประเทศเม็กซิโก ปี 2566 รางวัล BEST HYBRID SUV UNDER 1,600 ซีซี. จากประเทศไทย ปี 2566 และรางวัล Lowest Cost for Hybrid Vehicles จากประเทศบราซิล ปี 2567 สะท้อนความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการ พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์เหนือระดับให้กับผู้ขับขี่อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก สะท้อนความนิยมที่สูงขึ้นในตลาดรถเอสยูวีทั่วโลก พร้อมเดินหน้ายกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างมั่นคงและยั่งยืน

HAVAL จาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ คว้ามาได้ทั้งหมด 5 รางวัล จาก 5 ประเทศทั่วโลก ได้แก่

•รางวัลจาก APAC Effie Awards ประเทศชิลี ปี 2562

รถยนต์รุ่น All New HAVAL H6 ได้รับรางวัล “Effie Awards” ในประเทศชิลี ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแบรนด์ในการสื่อสาร และสร้างการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคในตลาดชิลีได้อย่างตรงจุด ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลแห่งความภาคภูมิใจในด้านการสื่อสารการตลาดที่ดีของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่สามารถสะท้อนคุณภาพรถยนต์ All New HAVAL H6 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มลูกค้าในประเทศชิลีได้เป็นอย่างดี

รางวัลด้าน Best Value Medium SUV Mega Test จาก Drive ประเทศออสเตรเลีย ปี 2565

Drive.com.au สื่อออนไลน์ด้านรถยนต์ชื่อดังในประเทศออสเตรเลีย มอบรางวัล “Best Value Medium SUV Mega Test” ให้กับรถยนต์รุ่น HAVAL H6 ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของรถยนต์รุ่นนี้ในฐานะผู้นำในตลาดยานยนต์ที่มีการแข่งขันสูงของออสเตรเลีย หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชนะรางวัลคือ สมรรถนะการขับขี่ที่รอบด้าน พร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริดที่ทั้งแรง และประหยัดน้ำมันในเวลาเดียวกัน

รางวัลด้าน First New Car Brand และ TOP 1 SUV จาก Atracción360 ประเทศเม็กซิโก ปี 2566

Atracción ถือเป็นหนึ่งในองค์กรสื่อที่เก่าแก่ที่สุดในเม็กซิโก ในการคัดเลือกรางวัลประจำปี 2566 เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะแบรนด์ใหม่ในตลาดเม็กซิโกสามารถทำตลาดได้อย่างโดดเด่น ด้วยภาพลักษณ์ของรถยนต์พลังงานใหม่ ความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยี และดีไซน์ที่ทันสมัย จึงทำให้ได้รับรางวัล “First New Car Brand” ที่ผู้บริโภคไว้วางใจ รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยระดับห้าดาว ในส่วนของรถยนต์รุ่น HAVAL JOLION HEV ยังสามารถคว้ารางวัล “TOP 1 SUV” รถยนต์พลังงานใหม่ที่ออกแบบมาตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ในเม็กซิโก มอบประสบการณ์การขับขี่และการโดยสารที่สะดวกสบาย ผสานกับสมรรถนะที่ทรงพลังและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม

รางวัลด้าน BEST HYBRID SUV UNDER 1,600 C.C จาก Grand Prix ประเทศไทย ปี 2566

เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) คว้ารางวัล “BEST HYBRID SUV UNDER 1,600 C.C” ของรถยนต์รุ่น ALL NEW HAVAL H6 Plug-in Hybrid SUV เป็นรถยนต์เอสยูวีพลังงานใหม่แบบเสียบปลั๊ก สะท้อนแนวคิดการออกแบบแห่งอนาคตที่สมบูรณ์แบบ แตกต่าง โดดเด่นด้วยสมรรถนะการขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง และเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สร้างสรรค์บนแพลตฟอร์มโมดูลาร์อัจฉริยะ GWM LEMON จากงานประกาศรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR & BIKE OF THE YEAR 2023” ของบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

รางวัลด้าน Lowest Cost for Hybrid Vehicles จาก Quatro Rodas ประเทศบราซิล ปี 2567

ล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ รถยนต์รุ่น HAVAL H6 HEV สามารถเอาชนะรถยนต์พลังงานใหม่มากมายที่มีชื่อเสียงมายาวนาน และได้รับรางวัล “Lowest Cost for Hybrid Vehicles” จากสื่อประเมินรถยนต์ที่มีอิทธิพลอย่าง Quatro Rodas ในประเทศบราซิล โดยรางวัลนี้ ถือเป็นหนึ่งในรางวัลที่ได้รับการยอมรับ และน่าเชื่อถือที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของบราซิล เนื่องจากมีการพิจารณาปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเป็นเจ้าของรถยนต์อย่างครบถ้วน เป็นอีกหนึ่งเสียงสำคัญที่สะท้อนความคุ้มค่าในมิติต่างๆ ที่ครอบคลุมในทุกด้านของ HAVAL H6 HEV

การที่ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ GWM HAVAL ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติทั้ง 5 รางวัล จาก 5 ประเทศทั่วโลก ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของรถยนต์เอสยูวีพลังงานใหม่ตระกูล HAVAL สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นในด้านรถเอสยูวีพลังงานใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์  โดยถูกพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ พร้อมไปด้วยเทคโนโลยีการขับขี่สุดล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างลงตัว เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยังคงสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ขับขี่ทั้งชาวไทย และทั่วโลก สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดรถยนต์พลังงานใหม่อย่างต่อเนื่องผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมดีไซน์ทันสมัยควบคู่ไปกับเทคโนโลยีอัจฉริยะด้านความสะดวกสบาย และความปลอดภัยแบบเต็มพิกัด โดยยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User-Centric) ในการดำเนินงานต่อไป

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะ “ผู้ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก”(Global Intelligent Technology) มุ่งมั่นที่จะเติบโตเคียงข้างผู้บริโภค พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคม เพื่อรวมขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์และเศรษฐกิจไทยให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยยังคงให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของผู้บริโภคเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ครบครันอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ทั้งปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการดำเนินกิจการที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งมอบประสบการณ์เหนือชั้นที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคพร้อมทั้งยังยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยและอาเซียน

ฮอนด้า จัดกิจกรรมพิสูจน์ความผระหยัดโดยผู้ใช้จริง Honda e:HEV 30 คัน ยืนยัน น้ำมัน 1 ถัง ไปถึงเชียงใหม่

ฮอนด้า จัดกิจกรรมพิสูจน์ความผระหยัดโดยผู้ใช้จริง Honda e:HEV 30 คัน ยืนยัน! น้ำมัน 1 ถัง พาไปได้ไกลเกินกว่า 900 กม. บนเส้นทาง กรุงเทพฯ – พิษณุโลก – เชียงใหม่ ตอกย้ำอัตราการประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ พร้อมสมรรถนะการขับขี่ดีเยี่ยม

(กรุงเทพฯ – 25 กันยายน 2567) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความประหยัดของระบบฟูลไฮบริด e:HEV ผ่านทริปสุดพิเศษ ‘Honda e:HEV Challenge ประหยัด…ไปถึงไหนนน!’ แท็กทีมลูกค้ารถยนต์ Honda e:HEV ทั้ง 6 รุ่น จำนวน 30 คัน รวมผู้ขับขี่พร้อมผู้โดยสารทั้ง 60 คน และคณะสื่อมวลชนสายยานยนต์ ร่วมพิสูจน์ความประหยัดน้ำมัน และสมรรถนะการขับขี่ของระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV กับน้ำมัน 1 ถัง บนเส้นทางการขับขี่จริงจากกรุงเทพฯ – พิษณุโลก – เชียงใหม่ รวมระยะทางกว่า 900 กิโลเมตร โดยผลลัพธ์จากกิจกรรมพบว่ารถยนต์ Honda e:HEV ทุกรุ่น สามารถขับขี่ได้ไกลเกินกว่า 900 กิโลเมตร ด้วยน้ำมันเพียงถังเดียว* โดยไม่มีการแวะเติมน้ำมัน คอนเฟิร์มความประหยัดจากลูกค้าผู้ใช้งานจริง กับสถิติตัวเลขอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมเกินกว่าป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล หรือ ECO Sticker* อีกทั้งลูกค้ายังได้ร่วมแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการขับขี่ที่ตอกย้ำความประหยัดอีกขั้น พร้อมเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมสัมผัสและพิสูจน์ความประหยัดของ Honda e:HEV ทุกรุ่นด้วยตัวคุณเอง และให้ทุกท่านสามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยข้อเสนอพิเศษ ณ โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

โดยลูกค้าผู้ใช้จริงรถยนต์ Honda e:HEV ที่เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 30 คัน จากทั้ง 6 รุ่น ได้แก่

•ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี 4 คัน

•ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี 6 คัน

•ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี 6 คัน

•ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี 2 คัน

•ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี 6 คัน

•ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี 6 คัน

ตลอดเส้นทางการขับขี่สุดท้าทายเพื่อพิสูจน์ความประหยัดของน้ำมัน 1 ถัง ลูกค้าต่างขับขี่กันอย่างมุ่งมั่น ผสานการใช้เทคนิคสไตล์ตนเองในการขับขี่รถยนต์ Honda e:HEV คู่ใจ สู่ประสบการณ์ที่สนุกสนานตลอดทริป โดยได้พิสูจน์บนเส้นทางการใช้งานจริงหลากหลายรูปแบบ ทั้งในเมือง และทางขึ้น-ลงเขา รวมถึงทางโค้ง และได้พิสูจน์ถึงการทำงานของระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ที่สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด โดยระบบจะเลือกโหมดการขับขี่ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับระดับของแบตเตอรี่ สภาพถนน และพฤติกรรมในการขับขี่ ประกอบด้วยการทำงานของโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่

•โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ระบบจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขณะออกตัว เหมาะกับการขับขี่ในเมือง

•โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) มอบอัตราเร่งทรงพลังและนุ่มนวล โดยระบบจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ในขณะที่เครื่องยนต์จะทำหน้าที่ปั่นไฟส่งเข้าสู่มอเตอร์ เพื่อขับเคลื่อนล้อ หรือเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่

•โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยจุดเด่นอยู่ที่ชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง เหมาะกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่

รถยนต์ e:HEV ทุกรุ่นของฮอนด้า ยังมาพร้อมกับระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) เป็นระบบที่ช่วยชะลอความเร็วรถ และสามารถชาร์จไฟกลับไปที่แบตเตอรี่ไฮบริด ช่วยให้รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า ชะลอความเร็วเมื่อเข้าโค้ง หรือขับรถลงทางลาดชันได้โดยไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย ลดการเหยียบเบรกโดยไม่จำเป็นและยังได้พลังงานไฟฟ้าชาร์จกลับไปที่แบตเตอรี่ ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ให้ทั้งความสนุกสนานในการขับขี่ควบคู่ไปกับความประหยัดน้ำมันและความปลอดภัย และทุกรุ่นยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง** (Honda SENSING) มอบความมั่นใจยิ่งขึ้นในทุกการเดินทาง

สำหรับกิจกรรม ‘Honda e:HEV Challenge ประหยัด…ไปถึงไหนนน!’ ได้พิสูจน์ผลลัพธ์แล้วว่า รถยนต์ Honda e:HEV ทุกรุ่น ทั้ง 30 คัน สามารถขับขี่ได้ไกลเกินกว่า 900 กิโลเมตร ด้วยน้ำมัน 1 ถัง โดยที่น้ำมันยังเหลือ จากการทดสอบบนเส้นทางจากกรุงเทพฯ – พิษณุโลก – เชียงใหม่ ซึ่งผู้ชนะทั้ง 6 รุ่น สามารถขับขี่ด้วยน้ำมัน 1 ถัง โดยมีรายละเอียดระยะทางรวม ดังนี้

1.ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 934.7 กิโลเมตร

2.ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 929.5 กิโลเมตร

3.ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 933.9 กิโลเมตร

4.ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 926.4 กิโลเมตร

5.ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 945.4 กิโลเมตร

6.ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 930.8 กิโลเมตร

นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ Honda e:HEV ที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ ยังร่วมแบ่งปันเคล็ดลับการขับประหยัดน้ำมันมาฝาก เพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างประหยัดยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน และเชิญชวนลูกค้าที่สนใจให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Honda e:HEV ไปด้วยกัน

คุณชัยชนะ พูลพิพัฒน์ ลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี กล่าวว่า “เคล็ดลับของผม คือ เน้นการขับขี่ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยใช้ความเร็วที่ประมาณ 60 ถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ได้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดี ในทางเรียบอาจจะไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก แต่ในช่วงเวลาที่ขึ้นหรือลงเนินเขา จะต้องจับจังหวะการหน่วงให้ดี  โดยช่วงขึ้นเขาอาจจะใช้โหมด ECON รวมถึงให้รถขยับช้า ๆ เพื่อให้เป็นไฟฟ้า และในจังหวะที่ลงเขาก็จะให้รถชาร์จไฟกลับ น่าจะเป็นระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลฯ ที่ผมแทบจะไม่ได้ใช้น้ำมันเลย ทำให้ได้ตัวเลขอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีมาก”

ด้านลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี คุณครรชิต จุดประสงค์ กล่าวว่า “ในระหว่างการแข่งขัน ผมได้ใช้ความสามารถทั้งของรถ และความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อจะทําให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีขึ้น จากตอนแรกอยู่ที่ 26 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปที่ 26.4 และจบที่ 27 กิโลเมตรต่อลิตร สูงสุดเท่าที่เคยทําได้เลยครับ ประทับใจมาก ๆ ตอนซื้อรถมา คิดไว้แล้วว่าถ้าซื้อรถใหญ่ อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันก็จะต้องมากขึ้นแน่นอน แต่พอมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ก็พิสูจน์ได้จริง ๆ ว่าแม้รถจะใหญ่ แต่ก็ยังประหยัดน้ำมันมาก ๆ ปกติแล้วผมจะขับในกรุงเทพฯ หลังจากนี้ก็จะนำวิธีการที่ใช้ในการแข่ง ไปใช้ตอนขับในชีวิตประจําวันด้วยครับ”

คุณเอกพจน์ บุญหนู แชร์ถึงเทคนิคและความประทับใจต่อ ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี ของตนเองว่า “เทคนิคของผม คือ ในช่วงการขับขี่ขึ้นเขา ผมจะเร่งความเร็วส่งขึ้นไป พอถึงช่วงประมาณ 3/4 ของเนิน ผมจะยกคันเร่งออก ให้ความเร็วค่อย ๆ ลด แล้วค่อย ๆ เติมคันเร่งไปทีละนิดเพื่อให้ไปถึงยอดเขา พอถึงยอดเขาก็จะปล่อยให้รถไหลลง และค่อยเติมคันเร่งให้มีแรงส่งออกไปครับ โดยรวมความประทับใจต่อรถคันนี้ คือ ให้ทั้งความประหยัด สะดวกสบาย และการขับขี่ที่มั่นคง ผมตัดสินใจไม่ผิดเลยที่มาเป็นครอบครัว Honda e:HEV ขอขอบคุณฮอนด้ามากครับที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ ให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกกันครับ”

กิจกรรม ‘Honda e:HEV Challenge ประหยัด…ไปถึงไหนนน!’ ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า รถยนต์ Honda e:HEV ทุกรุ่น สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และด้านอัตราประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ พร้อมทั้งสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างไร้กังวล โดยน้ำมันเพียงถังเดียวก็สามารถพาคุณไปได้ไกลกว่าที่คิดในทุกๆ เส้นทาง เหมาะกับการขับขี่ทั้งในเมืองและเดินทางไกล ลดความกังวลเมื่อต้องเดินทางไกลแบบไม่ต้องเผื่อเวลาชาร์จ

หมายเหตุ :

*อัตราการประหยัดน้ำมันที่ได้จากการทดสอบโดยลูกค้าผู้ใช้จริง ผ่านเส้นทางกรุงเทพฯ – พิษณุโลก – เชียงใหม่ เป็นระยะทางรวมไม่ต่ำกว่า 900 กิโลเมตร อ้างอิงจากการขับขี่และวัดผลในกิจกรรมระหว่างวันที่ 6 – 8 กันยายน 2567 (ขึ้นอยู่กับสภาพถนน และพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล)

**ฟังก์ชันการทำงานของเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) แต่ละระบบ แตกต่างกันในแต่ละรุ่น

ข้อมูลอัตราประหยัดน้ำมันและระยะทางการวิ่ง

รุ่นรถยนต์ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)อัตราประหยัดน้ำมันสูงสุดระยะทางการวิ่ง
(ทดสอบตามมาตรฐาน UN R101  ในห้องปฏิบัติการ)(ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ะบุคคล)
ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี4027.8 กม./ ลิตรวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร
ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี40
ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี4025.6 กม./ ลิตรวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร
ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี4025.0 กม./ ลิตรวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร
ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี48.525.0 กม./ ลิตรวิ่งได้ไกลกว่า 900 กิโลเมตร
ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี5720.8 กม./ ลิตร (รุ่น e:HEV ES) 19.2 กม./ ลิตร (รุ่น e:HEV RS 4WD)วิ่งได้ไกลกว่า 900 กิโลเมตร

หมายเหตุ :

ตัวเลขระยะทางที่แสดงข้างต้น อ้างอิงและไม่เกินจากการคำนวณตาม Eco Sticker (ขึ้นอยู่กับสภาพถนน และพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล)

พีทีที ลูบริแคนท์ส เปิดตัว “EVOTEC Technology” เทคโนโลยีเหนือชั้นของน้ำมันหล่อลื่น

พีทีที ลูบริแคนท์ส เปิดตัว EVOTEC Technology ภายใต้แนวคิดเทคโนโลยีใหม่ “ปฏิวัติเทคโนโลยีน้ำมันหล่อลื่นแห่งการขับเคลื่อนยานยนต์สู่อนาคต” (Drive the Evolution) เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า ทั้งในด้านสมรรถนะ และประสิทธิภาพการประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด พร้อมรองรับมาตรฐาน Euro 5 ที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายไพศาล อุดมกุลวณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจหล่อลื่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เปิดเผยว่า พีทีที ลูบริแคนท์ส (PTT Lubricants) ผู้นำนวัตกรรม และผู้นำตลาดน้ำมันหล่อลื่นในประเทศไทย ได้เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงช่วยปกป้องเครื่องยนต์ แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกการขับขี่ ทั้งการเร่งความเร็ว การประหยัดเชื้อเพลิง และการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับการใช้งานกับเครื่องยนต์ที่ทันสมัย โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน Euro 5 ที่เริ่มบังคับใช้ในประเทศไทยในปี 2567 ซึ่งเน้นการลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ​โดย พีทีที ลูบริแคนท์ส ได้เปิดตัวน้ำมันหล่อลื่นสูตรใหม่ “อีโวเทค เทคโนโลยี” (EVOTEC Technology) ด้วยคุณสมบัติเด่นทั้ง 3E ของ EVOTEC ที่คำนึงถึงทุกมิติเพื่ออนาคต ได้แก่ Environment ลดการปล่อยมลพิษและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีและสะอาด เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน Endurance การชะล้างสิ่งสกปรก พร้อมปกป้องเครื่องยนต์ให้ทนทานสูงสุดในทุกสภาวะการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานหนักหรือเป็นระยะเวลานาน และ Efficiency เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้เต็มพลังทุกอัตราเร่ง ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้สูงสุด​

EVOTEC Technology เทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกความต้องการ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่มที่ใช้ยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ขับขี่รถยนต์เบนซิน ดีเซล รถจักรยานยนต์ และรถบรรทุก พร้อมได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพระดับโลกจากองค์กรชั้นนำ อาทิ API SP, ILSAC GF-6 และ API CK-4 จาก  American Petroleum Institute สหรัฐอเมริกา, ACEA C- Category จากสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ในทวีปยุโรป และ JASO MA2 ; 2023 จาก Japanese Automobile Standard Organization ประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งในปี 2567 นี้ มาตรฐาน Euro 5 ได้เริ่มบังคับใช้ในประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหามลพิษ EVOTEC Technology ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับการขับขี่ภายใต้มาตรฐานดังกล่าว ทั้งการช่วยดูแลเครื่องยนต์พร้อมยังช่วยรักษาอุปกรณ์บำบัดไอเสียที่ติดมากับเครื่องยนต์สมัยใหม่ โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์แต่ละประเภท ดังนี้

ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น สำหรับรถเบนซินกลุ่ม Performa ออกแบบพิเศษเพื่อเครื่องยนต์เบนซินสมรรถนะสูงรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบฉีดตรง (GDI และ Turbo-GDI) ด้วยเทคโนโลยีสารเพิ่มคุณภาพ SMART Molecules ที่ทำความสะอาดเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพทั้งการตอบสนองอัตราเร่ง และป้องกันการสึกหรอ ให้ความประหยัดเชื้อเพลิงได้สูงสุด มีให้เลือกหลายสูตรตามประเภทรถ ทั้ง Performa Super Synthetic, Performa Synthetic Hybrid, Performa Synthetic Eco Car, Performa Syntec Plus และสูตรสำหรับรถยุโรป Performa Euro Syn ที่มีเทคโนโลยี High Film Strength (HFS) และ DI-SYN Protect ช่วยให้ฟิล์มน้ำมันหล่อลื่นแข็งแรงเป็นพิเศษ เพื่อการปกป้องเครื่องยนต์อย่างเหนือระดับ

ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น สำหรับรถดีเซลกลุ่ม Dynamic Light Duty ท่องเที่ยวสนุกขับขี่ยาว ด้วยน้ำมันหล่อลื่น Dynamic Super Commonrail พร้อมเทคโนโลยีล่าสุด EVOTEC ผสาน CLEAN AND LOCK ให้เครื่องยนต์สะอาด เงียบ แรง เต็มพลัง ออกแบบสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลระบบคอมมอนเรลกลุ่มรถยนต์นั่งเอนกประสงค์ PPVs, MPVs, SUVs และรถปิคอัพรุ่นใหม่ที่ติดตั้งอุปกรณ์บำบัดไอเสีย ด้วยมาตรฐานสุดพรีเมียมทั้ง Euro 5 และ Euro 6 หรือน้ำมันหล่อลื่น Dynamic Ultra Commonrail รองรับกลุ่มรถปิคอัพเชิงพาณิชย์งานหนักถึงหนักมากที่ติดตั้งอุปกรณ์บำบัดไอเสีย ช่วยทำความสะอาดทุกชิ้นส่วน ปกป้องเครื่องยนต์จากการทำงานหนัก รักษากำลังอัดของเครื่องยนต์ ตอบสนองการขับขี่อย่างเต็มสมรรถนะ และประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้สูงสุด

ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น สำหรับดีเซลรถใหญ่ Dynamic Heavy Duty อาทิ รถบรรทุก รถลากรถทัวร์ และเครื่องจักรกลหนัก ด้วยเทคโนโลยี EVOTEC ผสานประสิทธิภาพสูงสุดร่วมกับ ULTRA SHIELD MOLECULES ที่เป็นสารเพิ่มคุณภาพล่าสุดสูตรเถ้าต่ำ เป็นมิตรกับระบบบำบัดไอเสียทุกชนิด ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด ให้ฟิล์มน้ำมันมีความแข็งแรงคงตัว ไม่ก่อให้เกิดโคลนในน้ำมัน ยืดอายุการเปลี่ยนถ่ายและอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนานขึ้น ซึ่งแตกต่างกันด้วยเกรดน้ำมันหล่อลื่น มาตรฐาน และระยะเปลี่ยนถ่าย มีให้เลือกใช้งานทั้ง Dynamic Extra Long Drain, Dynamic Syntec และ Dynamic Ultra Plus

ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น สำหรับรถจักรยานยนต์ Challenger Synthetic 4T ให้การปกป้องทุกอัตราเร่งและความเสถียรในการขับขี่​ พัฒนาด้วยสูตรพิเศษ TRIPLE ACTION FORMULA เหมาะสำหรับรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะสมรรถนะสูง รุ่นใหม่ประเภทสปอร์ต, บิ๊กไบค์ และชอปเปอร์ เข้าเกียร์ง่าย และนุ่มนวลขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มอัตราการเร่งแซง และการตอบสนองดีเยี่ยม

พีทีที ลูบริแคนท์ส เชิญชวนผู้บริโภคร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นกับ EVOTEC เทคโนโลยีเหนือชั้น อีกขั้นของน้ำมันหล่อลื่น สามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ ฟิต ออโต้, พีทีที สเตชั่น สาขาที่ร่วมรายการ และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ PTT Lubricants ใกล้บ้านท่าน หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ Shopee และ Lazada ใน FIT Auto Official ทั้งผลิตภัณฑ์กลุ่ม Performa, Dynamic และ Challenger สำหรับกลุ่ม Dynamic รถบรรทุก สามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ PTT Lubricants ใกล้บ้านท่าน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1365 Contact Center

ฮุนได ทุ่ม 1,000 ล้านบาท ผลิตรถไฟฟ้าในไทยเสริมแกร่งแบรนด์

ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท เสริมแกร่งแบรนด์ผลิตรถไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมเปิดตัว “IONIQ 5N” สร้างนิยามใหม่ของรถไฟฟ้าสมรรถนะสูง

บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความยิ่งใหญ่และความมุ่งมั่นครั้งสำคัญ ด้วยการเดินหน้าลงทุนมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท เร่งเสริมความแข็งแกร่งและสนับสนุนการเติบโตของอีโคซิสเต็มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศไทย หลังได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เต็มรูปแบบ การลงทุนครั้งนี้มาพร้อมกับการจัดตั้งบริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจะมุ่งเน้นการผลิตและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ พร้อมกันนี้ ฮุนไดโมบิลิตี้ ประเทศไทย ยังได้เปิดตัว “IONIQ 5N” รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงรุ่นล่าสุด ที่จะสร้างระดับมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการยานยนต์ทั้งในด้านพละกำลัง ความเร็ว และเทคโนโลยีการขับขี่ที่เหนือคู่แข่ง

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย มุ่งมั่นสร้างสรรค์อนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืน ผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมมากมาย โดยเรามุ่งเน้นที่การพัฒนาอีโคซิสเต็มยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก การลงทุนด้านการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศครั้งนี้ ทำให้เราสามารถวางตำแหน่งประเทศไทยให้กลายเป็นผู้เล่นหลัก ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมขับเคลื่อนความก้าวหน้า ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังอนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนมากขึ้น”

บทบาทของโครงการ EV3.5 ต่อความยั่งยืน

ฮุนไดเป็นผู้นำในด้านโซลูชันเพื่อการเดินทางอัจฉริยะและยั่งยืนมาอย่างยาวนาน ผ่านการเปิดตัวรถยนต์แบรนด์ IONIQ ที่เป็นรุ่นพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการออกแบบด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลและดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ฮุนไดยังตอกย้ำความมุ่งมั่นด้วยการจัดตั้งโครงการ EV3.5 ผ่าน บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ แมนูแฟคเตอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยเงินลงทุนสูงกว่า 1 พันล้านบาท ด้วยความร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรในประเทศไทย โครงการนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม บนเนื้อที่กว่า 28,500 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่ใช้สอยอาคาร 17,500 ตารางเมตร ซึ่งมีทั้งส่วนโรงงานประกอบรถยนต์และแบตเตอรี่ กำหนดเริ่มการผลิตในปี 2569 โดยตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 5,000 คันต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าภายในประเทศ

โรงงานแห่งใหม่นี้จะมีบทบาทสำคัญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดของฮุนได ซึ่งรวมถึงแบรนด์ IONIQ โดยจะมุ่งเน้นการใช้ส่วนประกอบหลักจากในประเทศ การเสริมสร้างความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ไทย การส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่น และการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้าของไทย การลงทุนครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของฮุนไดต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สำหรับอีโคซิสเต็มของยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้มแข็งและมั่นคง

แบรนด์ IONIQ จุดบรรจบแห่งนวัตกรรมและความยั่งยืน

IONIQ เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของอนาคตแห่งการเดินทางที่ผสานเทคโนโลยีขั้นสูง ความยั่งยืน และประสิทธิภาพระดับพรีเมี่ยมในหนึ่งเดียว โดยมียานยนต์ไฮไลต์คือ IONIQ 5 ซึ่งเป็นรถเอสยูวีไฟฟ้าที่คว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วมากมาย จากการผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมของฮุนได เข้ากับนวัตกรรมใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม มอบระยะการขับขี่ไกลสูงสุดถึง 481 กิโลเมตร และความสามารถชาร์จไฟเร็วเป็นพิเศษ (10-80% ในเวลาเพียง 18 นาที) พื้นที่ใช้สอยภายในออกแบบให้มีความอเนกประสงค์และความยืดหยุ่นสูง พร้อมฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย เช่น ระบบจอดรถอัตโนมัติและ Hyundai SmartSense โดย IONIQ 5 มีราคาจำหน่ายในเมืองไทยเริ่มต้นที่ 1,699,000 – 1,829,000 บาท ซึ่งนับว่าคุ้มค่าอย่างมาก สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์

อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มาเติมเต็มความต้องการคือ IONIQ 6 รถซีดานที่ทันสมัยและเปี่ยมด้วยสไตล์อันโดดเด่น ภายใต้รูปทรงที่โฉบเฉี่ยวและการตกแต่งห้องโดยสารที่กว้างขวาง มอบระยะทางการขับขี่สูงสุด 545 กิโลเมตร และอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.4 วินาที และสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ระบบชาร์จ Multi-Charging System 400V และ 800V ซึ่งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ทั้งยังมีระบบขับเคลื่อนล้อหลังซึ่งมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พร้อมมอบอีกระดับแห่งสมรรถนะและเสถียรภาพของการขับขี่

IONIQ 6 มีราคาเริ่มต้น 1,899,000 บาท พร้อมให้คุณสัมผัสการผสมผสานที่โดดเด่นระหว่างประสิทธิภาพ นวัตกรรม และความยั่งยืน

เผยโฉม IONIQ 5N นิยามใหม่แห่งยนตกรรมสมรรถนะสูง

IONIQ 5N รถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะสูงสุดของฮุนได ก้าวข้ามขีดจำกัดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป ด้วยกำลังขับเคลื่อนถึง 601 แรงม้า มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจอย่างไร้คู่แข่ง เสริมการทำงานด้วยโหมด N Grin Boost ซึ่งจะเพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 641 แรงม้า มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที โดย IONIQ 5N มีราคาจำหน่าย 3,790,000 บาท ด้วยสมรรถนะการขับขี่อันน่าทึ่ง ผสานกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำหน้าของฮุนได IONIQ 5N จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการความตื่นเต้น พละกำลัง และนวัตกรรมล้ำยุค เพื่อมุ่งสู่อนาคตแห่งการเดินทางด้วยยานยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง

นวัตกรรม E-Pit พร้อมให้บริการแล้ว

ในโอกาสเดียวกันนี้ ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ยังขอแนะนำ E-Pit สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Ultra-fast charging ซึ่งพร้อมให้บริการแล้ววันนี้ที่ IONIQ Lab โดยมาพร้อมกับแรงดันไฟฟ้าสูงสุด 800 โวลต์ / 350 กิโลวัตต์ สามารถชาร์จไฟเพียง 5 นาที ให้ขับขี่ IONIQ 5 ไปได้ไกลอีก 100 กิโลเมตร นวัตกรรมที่ชาร์จ E-Pit แห่งนี้สงวนสิทธิ์การให้บริการสำหรับลูกค้า IONIQ 5, IONIQ 6 และ IONIQ 5N เท่านั้น โดยยังให้บริการฟรีไม่คิดค่าใช้จ่ายจนถึงสิ้นปีนี้อีกด้วย ลูกค้า IONIQ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของ E-Pit ได้ที่ IONIQ Lab นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนขยายจุดให้บริการสถานีชาร์จ E-Pit โดยจะตั้งขึ้นที่ H-Space ในอนาคตอันใกล้

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แบรนด์ IONIQ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฮุนไดในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างครอบคลุม IONIQ 5N จึงเป็นอีกหนึ่งหลักชัยสำคัญบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนของเรา ผ่านการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบระหว่างสุดยอดประสิทธิภาพ เทคโนโลยีขั้นสูง และความยั่งยืน เป้าหมายของเราคือการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของเมืองไทย พร้อมด้วยโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่กระตุ้นเร้าแรงบันดาลใจ เสริมสร้างความเชื่อมั่น และร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น”

“เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของเรา ฮุนไดขอมอบแพ็กเกจระดับพรีเมียม ด้วยการรับประกันแบตเตอรีไฟฟ้าแรงสูงนาน 8 ปี หรือ 160,000 กม. และการรับประกันคุณภาพรถยนต์นาน 5 ปีหรือ 150,000 กม. เพื่อมอบความมั่นใจในทุกการเดินทาง นอกจากนี้ เรายังเพิ่มความอุ่นใจที่เหนือระดับสำหรับลูกค้า IONIQ ด้วยแพ็คเกจบริการหลังการขายสุดพิเศษ ด้วยบริการฟรีค่าแรงเช็คระยะนาน 10 ปีหรือ 150,000 กม. ฟรีเครื่องชาร์จ Home Charger พร้อมฟรีค่าติดตั้ง พร้อมเครื่องชาร์จพกพากระแสไฟฟ้า AC ความยาวสายไฟ 6 เมตร ซึ่งรับประกันนาน 3 ปี ทั้งยังมีบริการชาร์จไฟ V2L ฟรี 3 ปี เหนือสิ่งอื่นใด ฮุนไดยังบริการส่งมอบยานยนต์ถึงบ้านปีละสองครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า นอกจากนี้ ฮุนไดยังมอบบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ยกรถฟรีไปยังศูนย์บริการฮุนไดหรือสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุด นานสูงสุดเป็นเวลา 5 ปีโดยไม่จำกัดระยะทาง ซึ่งเป็นบริการพิเศษสุดสำหรับลูกค้าฮุนไดเท่านั้น” นายวัลลภ กล่าวสรุป

นอกจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ฮุนไดยังประกาศความมุ่งมั่น ขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น วิสัยทัศน์ของฮุนไดคือการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเครือข่ายสถานีชาร์จที่ครอบคลุม พร้อมสนับสนุนหลังการขายชั้นเลิศ และไม่เป็นเพียงแค่การพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ฮุนไดยังลงทุนในโครงการด้านความยั่งยืน ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและชุมชน เพื่อส่งเสริมโครงการสีเขียวและสนับสนุนอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยโครงการเหล่านี้ ประเทศไทยจะพร้อมสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ IONIQ ของฮุนไดจะเป็นแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ พร้อมร่วมเดินทางสู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาด เทคโนโลยีอัจฉริยะ และสร้างความยั่งยืนที่มากยิ่งขึ้นร่วมกับทุกคน

ค้นพบประสบการณ์ยานยนต์ IONIQ รุ่นใหม่ล่าสุดจากฮุนได ทั้ง IONIQ 5 และ IONIQ 6 ได้ที่ศูนย์ IONIQ Lab, H Studio ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ หรือ IONIQ Agency ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี (ฮุนได ติวานนท์), จังหวัดสมุทรปราการ (ฮุนได บางปู), จังหวัดปทุมธานี (ฮุนได คลองหลวง), จังหวัดระยอง (ฮุนได ระยอง) ทั้งยังมีแผนขยายเครือข่าย IONIQ Agency ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี (กำหนดเปิดในเดือนตุลาคม 2567) วงศ์สว่าง และจังหวัดอุบลราชธานี (กำหนดเปิดในเดือนพฤศจิกายน 2567) เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสยานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัยของฮุนไดได้อย่างสะดวกสบายด้วยตัวเอง ติดตามข่าวสารกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก “Hyundai Thailand” หรือศึกษาข้อมูลรถยนต์ฮุนไดทุกรุ่น ได้ที่เว็บไซต์ https://hyundai.com/th

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัวปลั๊กอินไฮบริด GLE 53 รุ่นแรกประกอบในไทย

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดตัวปลั๊กอินไฮบริดรหัสตัวแรงรุ่นแรกในไทย Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ รุ่นประกอบในประเทศ ราคาจำหน่าย 5,850,000 บาท

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ รถเอสยูวีสมรรถนะสูงจาก Mercedes-AMG มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ Plug-in Hybrid เจเนเรชั่นที่ 4สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าระยะทางสูงสุด 86 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ติดตั้งอุปกรณ์ขั้นสูงแบบจัดเต็ม และเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งล้อฟอร์จ (Forged) ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 22 นิ้ว สำหรับรุ่นประกอบในประเทศ และยังมี AMG Performance 4MATIC+, AMG RIDE CONTROL+ suspension, AMG high-performance brake system และ AMG Performance exhaust system โดยเปิดราคาจำหน่ายที่ 5,850,000 บาท ที่ตัวแทนจำหน่าย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มส่งมอบรถในเดือนตุลาคมเป็นต้นไป

Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ มาพร้อมขุมพลังเบนซิน 6 สูบ แถวเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบ (M256M) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Plug-in hybrid และแบตเตอรี่ขนาด 31.2 kWh มีระยะทางการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 86 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 60 kWh ใช้เวลาจาก 10-80% ภายในระยะเวลา 20 นาที และการชาร์จแบบ AC สูงสุด 11 kWh ใช้เวลาจาก 0-100% ภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ สามารถกระจายแรงส่งกำลังได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแบบอิสระเพื่อให้ตอบโจทย์บนทุกสภาพพื้นผิวถนน ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G ให้กำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ภายในเวลา 4.7 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ดีไซน์ภายนอกเพิ่มความดึงดูดสายตาบนท้องถนนด้วยการตกแต่งแบบ AMG Night Package กับสี Deep gloss black ที่ถูกตัดแซมไว้บนชุดกันชนหน้า “A-wing” กระจกมองข้าง คิ้วขอบกระจก แร็คหลังคา กันชนท้าย และปลายท่อคู่อันทรงพลังเพื่อมอบพลังความสปอร์ตและปราดเปรียวตามแบบฉบับของ AMG Exterior ไฟหน้า MULTIBEAM LED ผสานการทำงานกับ Adaptive Highbeam assist Plus ที่จะมอบความปลอดภัยขณะขับขี่แบบไร้กังวล ติดตั้งล้อฟอร์จ (Forged) ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Cross-spoke ขนาด 22 นิ้ว พ่นด้วยสีดำด้าน matte black        

ภายในห้องโดยสารมาพร้อม AMG Interior Package มอบรายละเอียดการตกแต่งที่โดดเด่นตามสไตล์สปอร์ตในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัย AMG Performance steering wheel พร้อมระบบพวงมาลัย AMG Steering 3 สเตจ ติดตั้งเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังและไมโครไฟเบอร์ หลังคากระจก Panoramic Sunroof ที่ช่วยเพิ่มความโปร่งสบายให้กับห้องโดยสาร มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยระบบปฏิบัติการ MBUX7 แบบ zero-layer concept ที่ออกแบบมาตามรูปแบบโปรแกรม AMG ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอธีมพิเศษของ AMG รวมถึงการวัดแทร็กสนาม โดยควบคุมผ่านจอกลางแบบ widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ที่เชื่อมต่อกับ AMG Head-up Display ขนาด 12.3 นิ้ว ติดตั้งระบบนำทางแสดงภาพเสมือนจริง MBUX augmented reality for navigation และระบบเสียง Burmester® surround sound system ลำโพง 13 ตัว กำลังขับ 590 วัตต์ พร้อม Dolby Atmos® ช่วยมอบเสียงเพลงที่คมชัดสมจริงรอบทิศทางราวกับอยู่ในสตูดิโอ

ติดตั้งโปรแกรมการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT สามารถปรับเลือกได้ถึง 7 รูปแบบ ตามไลฟ์สไตล์การขับขี่ รวมถึงโหมด Off-Road ที่มาพร้อมการแสดงผลแบบ Transparent bonnet ที่จะแสดงภาพใต้ท้องรถแบบ real-time ทำให้สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ผสานการทำงานด้วยระบบกันสะเทือนแบบ AMG RIDE CONTROL+ ที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Adaptive AIRMATIC) และระบบเบรกแบบ AMG high-performance brake system ด้านหน้า 6 พอร์ต และด้านหลัง 1 พอร์ต ติดตั้งระบบถ่ายทอดเสียงเครื่องยนต์และเทอร์โบแบบ AMG Performance exhaust system ซึ่งเป็นนวัตกรรมท่อที่เร้าใจที่สุดของ Mercedes-AMG สามารถเลือกปรับระดับเสียงท่อไอเสียได้ทั้งแบบ BALANCED หรือ POWERFUL ผ่านคอนโซลกลาง หรือบน AMG steering wheel buttons พร้อมเติมเต็มอารมณ์สปอร์ตให้แก่ผู้ขับขี่ได้อย่างเต็มพิกัด

สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยนั้น Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ จัดมาให้อย่างเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Plus Package และระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system) โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และ Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360° ฯลฯ

รุ่นเครื่องยนต์ความจุแบตเตอรี่
(kWh)
แรงม้าสูงสุด
  
(แรงม้า)
แรงบิดสูงสุด (นิวตันเมตร)อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.
(วินาที)
ความเร็วสูงสุด
(กม. / ชม.)
Mercedes-AMG
GLE 53 HYBRID 4MATIC+
เบนซิน Plug-in hybrid
แถวเรียง / 6 สูบ เทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์
31.25447504.7250

มีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาว (Polar White) สีดำ (Obsidian Black) สีเทา (Selenite Grey) สีเทา (MANUFAKTUR Alpine Grey Solid) และสีแดง (MANUFAKTUR Hyacinth Red Metallic)

สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ www.mercedes-benz.co.th หรือที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารอัพเดทผ่านทาง Facebook: Mercedes-Benz Thailand IG: @MercedesBenzThailand และ LINE: @mercedesbenzth

ซูซูกิ ประกาศรายชื่อผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมประจำปี 2567

ซูซูกิ จัดแข่งขัน Best Dealer Award 2024 พร้อมประกาศรายชื่อ 7 ผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมแห่งปี มุ่งยกระดับด้วยบริการ S-SOLUTION มุ่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจาก ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ประกาศวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย “Enhancing the Ability to Compete in the Upcoming Automotive Market เพิ่มขีดความสามารถสู่การแข่งขันในอนาคต” นอกจากแผนการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ 4 รุ่น เริ่มตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป เรายังปรับแผนการบริหารงานด้วยการสร้างความร่วมมือกับผู้จำหน่ายในการยกระดับงานบริการ ทั้งก่อนและหลังการขายให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผ่านการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาใช้ เพื่อการเข้าถึงและดูแลลูกค้าได้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

“ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เราเตรียมจะแนะนำในอนาคต จะมีทั้งรถในกลุ่มเครื่องยนต์ไฮบริด และรถพลังงานไฟฟ้า 100% แต่ละรุ่นจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้าและสามารถแข่งขันได้ในอนาคตอย่างแน่นอน”

ด้านงานบริการ แคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” คือ แผนงานที่แตกยอดออกมาจากวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเราส่งต่อแผนงานนี้ไปยังผู้จำหน่ายทุกรายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดรถยนต์ที่มีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น โดยจะเน้นย้ำถึงการสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าซูซูกิว่า เราจะสามารถมอบบริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของซูซูกิได้อย่างแท้จริง

หนึ่งในบริการจากแคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” คือ HELLO SUZUKI APPLICATION เป็นการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อยกระดับงานบริการ S-Solution ที่จะเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานกับลูกค้า อำนวยความสะดวกสบายและความมั่นใจในงานบริการทุกขั้นตอน ทั้งการนัดหมายนำรถเข้ารับบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รายงานการตรวจสอบและดูแลรถในทุกขั้นตอน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซมที่ศูนย์บริการของซูซูกิทั่วประเทศ

อีกส่วนหนึ่งที่เราให้ความสำคัญมากก็คือ การพัฒนาด้านงานบริการของผู้จำหน่าย ผ่านการจัดการแข่งขันผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมประจำปี ซึ่งจัดมาต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปี ติดต่อกัน มุ่งหวังจะยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานในทุกด้านของผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิ กระตุ้นให้เกิดการดูแลและการปรับปรุงพัฒนางานการบริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจของผู้จำหน่ายในประเทศไทย

สำหรับการแข่งขัน ‘SUZUKI Best Dealer Award 2024’ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “แนวทางการสร้างมูลค่าแบรนด์ซูซูกิ จากประสบการณ์การซื้อรถและใช้ศูนย์บริการเปรียบเทียบกับแบรน์รถ EV ในตลาดปัจุบัน” ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก โดยให้ผู้จำหน่ายที่เข้าแข่งขัน นำเสนอแนวคิดสู่ความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านการขาย บริการหลังการขาย ไปจนถึงการพัฒนางานในด้านการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามายกระดับงานบริการให้ดียิ่งขึ้น และสามารถผ่านตามเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนดหรือไม่ ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นแนวทางการพัฒนางานเพื่อแข่งขันกับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันและเตรียมพร้อมสู่การแข่งขันในอนาคตอีกด้วย

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การจัดการแข่งขัน  ‘SUZUKI Best Dealer Award 2024’ ยังคงยึดโยงอยู่กับนโยบาย Suzuki Cause We Care “เหนือกว่าความใส่ใจ คือเข้าใจทุกความต้องการ” ซึ่งวัตถุประสงค์ในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงพัฒนางานบริการเพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานในทุกด้าน แต่เรายังมุ่งหวังให้ผู้จำหน่ายก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน เพราะบุคลากรทุกคนเป็นทรัพยากรอันสำคัญที่จะช่วยนำพาซูซูกิไปสู่การเป็นบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์คุณภาพและเข้าไปอยู่ในใจของคนไทยได้อย่างดียิ่ง

สำหรับแนวทางในการแข่งขันทางซูซูกิได้ทำการคัดเลือกผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิจากทั่วประเทศ เพื่อเป็นผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมแห่งปี 2024 จำนวน 7 แห่ง โดยพิจารณาจากคุณสมบัติและผลการดำเนินงานของผู้จำหน่ายในรอบปีที่ผ่านมาตามเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนดก่อนจะทำการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ผ่านการนำเสนอวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินงานของผู้จำหน่ายแต่ละแห่ง แบ่งออกเป็นรางวัล Best of the Best Dealer 2024 จำนวน 1 รางวัล และรางวัล Platinum Dealer 2024 จำนวน 6 รางวัล ซึ่งได้รายชื่อผู้จำหน่ายยอดเยี่ยมแห่งปีที่ผ่านการแข่งขันและตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ ดังนี้

รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม 2567 ระดับ Best of the Best

ชื่อผู้จำหน่ายชื่อบริษัทผู้จำหน่ายจังหวัด
คุณรณกฤต  ฐิติกฤตานน บริษัท ดี โฟร์ คาร์ซิตี้กรุงเทพมหานคร

รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม 2567 ระดับ Platinum Dealer

ชื่อผู้จำหน่ายชื่อบริษัทผู้จำหน่ายจังหวัด
คุณสนาวุธ คลังเจริญพงษ์ภาบริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัดนครราชสีมา
คุณวรปรัชญ์ อุปัติศฤงค์บริษท เอส.ยู.ซูซูกิ ภูเก็ตภูเก็ต
คุณชยธร อุเทนพัฒนันท์บริษัท อาร์เฮงวัฒนา จำกัดขอนแก่น
คุณยุวดี ชคทิศบริษัท เอ.ซี.ออโตโมบิล(2002) จำกัดสงขลา
คุณพีรพัฒน์ สิทธิยานุรักษ์บริษัท ซูซูกิ หัวหิน (สิทธิภัณฑ์) จำกัดประจวบคีรีขันธ์
คุณศุภชัย พฤฒิธาดาบริษัท ยนต์ตระการ พรีเมียม คาร์ จำกัดนนทบุรี

นายรณกฤต ฐิติกฤตานน กรรมการบริหาร บริษัท ดี โฟร์ คาร์ซิตี้ จำกัด ผู้ได้รับรางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม 2567 ระดับ Best of the Best  กล่าวว่า ในฐานะที่ ดี โฟร์ คาร์ซิตี้ ดำเนินธุรกิจผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิมายาวนานเกือบ 40 ปี เราบริหารงานโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางมาโดยตลอด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางนโยบาย Suzuki Cause We Care “เหนือกว่าความใส่ใจ คือเข้าใจทุกความต้องการ” ของซูซูกิ เพราะเมื่อเราเข้าใจในพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าจะช่วยให้เราพัฒนางานเพื่อตอบสนองต่อความต้องการได้ครบทุกรูปแบบ แต่เหนืออื่นใด ดี โฟร์ คาร์ซิตี้ ยังให้ความสำคัญกับพนักงานเพื่อสร้างทัศนคติที่ตรงกันในด้านการดูแลลูกค้า เราจึงไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่สร้างยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าของเราอย่างยั่งยืนอีกด้วย

นายวัลลภ ยังกล่าวอีกว่า เป้าหมายอันสำคัญยิ่งของซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) คือ การเดินหน้าพัฒนาคุณภาพในทุกด้านอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมส่งมอบสินค้าที่มีแต่ความคุ้มค่า คุ้มราคา เหมาะสมกับลูกค้าชาวไทย ควบคู่ไปกับการพัฒนางานบริการในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพของผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จำหน่ายของซูซูกิทุกรายที่ทุ่มเทและทำงานอย่างหนัก ทำให้ซูซูกิเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้การยอมรับว่ามีคุณภาพที่ดี ทั้งเรื่องผลิตภัณฑ์และงานบริการ จากผู้บริโภคมาโดยตลอด

บิ๊กบอส “ลามิน่า” คว้ารางวัลจากสหประชาชาติ

นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร “ลามิน่า” รับรางวัล HER AWARDS, UNFPA THAILAND 2024 ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ ณ ห้องประชุม ESCAP Hall องค์การสหประชาชาติ (UN) ราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร

HER AWARDS, UNFPA THAILAND 2024 ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่เสียสละอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือและพัฒนากลุ่มคนเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ เพื่อให้หลุดพ้นจากบริบทปัญหาด้านต่างๆ รวมทั้งสร้างโอกาสให้ต่อยอดพัฒนาสู่การพึ่งตนเองและการยกระดับคุณภาพชีวิต จัดขึ้นโดย 3 องค์กรภาคีหลัก ได้แก่ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด และบริษัท นินจา เพอร์เฟคชั่น จำกัด

นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และอาคารลามิน่า รับรางวัล HER AWARDS, UNFPA THAILAND 2024 ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ จากนางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงาน UNFPA ประจำประเทศไทย ณ ห้องประชุม ESCAP Hall องค์การสหประชาชาติ (UN) ถนนราชดำเนิน

ทั้งนี้เพื่อยกย่อง เชิดชูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคคลทุกเพศ ทุกวัย และองค์กรต่างๆ ที่อุทิศตนทำงานขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพประชากรทุกเพศ ทุกวัย ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความเท่าเทียมระหว่างเพศและการเสริมพลังของผู้หญิงและเด็ก เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยในทุกมิติ โดยสรรหาบุคคลหรือองค์กรที่มีผลงานเป็นเชิงประจักษ์

 HER AWARDS, UNFPA THAILAND 2024 เกิดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี ICPD เวทีการประชุมพัฒนาประชากรเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน และวาระครบรอบ 45 ปี CEDAW อนุสัญญาระหว่างประเทศที่ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ เพื่อเป็นรางวัลเกียรติยศมอบแก่บุคคลหรือองค์กรจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่สร้างแรงบันดาลใจ จำนวน 110 รางวัล แบ่งเป็น 77 รางวัลจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ, 23 รางวัลจากส่วนกลาง โดยการตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และ 10 รางวัล จากการโหวตโดยคนไทยทั้งประเทศผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่

การคัดเลือกตัดสินผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัลทั่วประเทศ ได้ผ่านการคัดเลือกในรอบอนุกรรมการอย่างเข้มข้น เพื่อสู่กระบวนการตัดสินรอบสุดท้ายโดยคณะกรรมการชุดใหญ่ ซึ่งเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ ทั้งจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตัวแทนเด็กและเยาวชน ตัวแทนภาคประชาสังคม และภาคีความร่วมมือในโครงการทั้ง 3 ภาคี

นางสาวจันทร์นภา สายสมร หนึ่งในผู้รับรางวัลประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ จากส่วนกลาง 23 รางวัล ได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและลงคะแนนคุณสมบัติด้านการขับเคลื่อนงาน รวมถึงผลลัพธ์การทำงาน ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพประชากรในแต่ละมิติ จากโครงการลามิน่าสานฝันเด็กไทยได้เล่าเรียนที่สร้างโอกาสทางการศึกษาให้เด็กไทยในถิ่นทุรกันดาร ส่งมอบอาคารเรียนหลังใหม่พร้อมสาธารณูปโภคต่อเนื่องมาตลอด 24 ปี

อีกทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ อาทิ โครงการลามิน่ามินิสานฝัน ต่อเนื่อง 10 ปี โครงการรักษ์โลกกับลามิน่า ต่อเนื่อง 12 ปี ร่วมคืนผืนป่าให้ประเทศไทยกว่า 550 ไร่ โครงการสร้างฝันปันรอยยิ้ม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553

รวมถึงสนับสนุนโครงการเพื่อสังคมและองค์กรสาธารณกุศลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย มูลนิธิชัยพัฒนา ตั้งแต่ พ.ศ.2548 ทุนมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ พ.ศ.2553 สนับสนุนทุนวิจัยขั้นสูงด้านเภสัชวิทยา ศิริราชมูลนิธิ ตั้งแต่ พ.ศ.2556 และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งทุกโครงการล้วนเกิดจากพลังความมุ่งมั่น ทุ่มเท เพื่อส่งมอบความสุขคืนสู่สังคมไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนตลอดไป

SUZUKI CARRY ชูแคมเปญสู้เศรษฐกิจดอกเบี้ยพิเศษ 1.99%

SUZUKI CARRY ชูแคมเปญสู้เศรษฐกิจดอกเบี้ยพิเศษ 1.99% ผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท ตอกย้ำภาพลักษณ์ รถคู่คิดธุรกิจ SME ลุยกิจกรรมเพื่อสังคม จัดขบวน Suzuki Carry Barber Truck ส่งความสุข ณ มูลนิธิคุณพ่อเรย์ จ.ชลบุรี

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  ตลาดรถยนต์ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ลดลง ผลมาจากหลายปัจจัยทั้งเรื่องความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ในส่วนของซูซูกิเองแม้จะได้รับผลกระทบ แต่พยายามรักษาตัวเลขยอดขายไว้ในระดับที่น่าพอใจ โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ยังได้รับความสนใจและเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยผลักดันยอดขายได้เป็นอย่างดี คือ SUZUKI CARRY รถกระบะเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้าไปอยู่ในใจของคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมหรือ SME  ด้วยรูปโฉมทันสมัย คงไว้ซึ่งจุดเด่นในเรื่องความอเนกประสงค์ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ส่งให้ปัจจุบันมียอดขายสะสมในประเทศไปมากกว่า 61,621 คัน

ล่าสุดยังได้นำเสนอแคมเปญพิเศษ  “SUZUKI WORRY FREE โปรแกรมดีโดนใจ มอบความมั่นใจให้คุณ” เพื่อเป็นการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจขนาดย่อมที่กำลังเติบโต แก่ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของ SUZUKI CARRY สามารถเลือกรับข้อเสนอสุดคุ้ม ส่วนลดอุปกรณ์ตกแต่ง มูลค่ารวมสูงสุด 20,000 บาท หรือ เลือกรับ ดอกเบี้ยพิเศษเริ่ม 1.99% นาน 60 เดือน หรือ รับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นวันละ 222 บาท พร้อม ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก

“สิ่งที่เราพยายามตอกย้ำอยู่เสมอ คือ รถกระบะเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กคันนี้ ควรถูกนิยามใหม่ว่า Good Truck เพราะเป็นรถที่เข้าไปเติมเต็มความฝันของผู้ที่ต้องการมีธุรกิจเคลื่อนที่เป็นของตนเอง ดั่งที่ผ่านมา SUZUKI CARRY ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ได้เป็นแค่เพียง Food Truck แต่ต่อยอดไปสู่การดัดแปลงที่มากกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นการนำไปตกแต่งเป็นรถบ้าน หรือ Motor Home และล่าสุด Barber Truck ซึ่งความอเนกประสงค์ของรถรุ่นนี้ สามารถขยายไปสู่การรองรับธุรกิจได้อย่างหลากหลาย”

SUZUKI CARRY นับเป็นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กที่อยู่คู่กับผู้ประกอบการไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยแนวคิดของซูซูกิ นอกจากคำนึงถึงความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าที่จะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีและมีความคุ้มค่าในทุกด้านแล้ว “ซูซูกิ” ยังยกให้ SUZUKI CAARY เป็นตัวแทนแห่งความมุ่งมั่นในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนสังคมไทยผ่านแคมเปญ “SUZUKI Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” จึงเป็นความมุ่งหวังที่จะพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับช่วยเหลือเกื้อกูลชุมชนและสังคมให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หนึ่งโครงการเพื่อสังคมที่เราให้ SUZUKI CAARY เป็นตัวนำ พร้อมให้ความสำคัญที่จะเดินหน้าส่งมอบความสุขแก่ผู้ด้อยโอกาสอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 คือ กิจกรรม “CARRY YOUR DREAM CARRY YOUR LIFE” ซึ่งได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการที่เป็นพันธมิตรและผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิ ทำการดัดแปลงรถกระบะเพื่อการพาณิชย์อเนกประสงค์ SUZUKI CARRY ให้กลายเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่ Suzuki Carry Barber Truck เพื่อนำไปให้บริการ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อมอบความสุขให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในแต่ละมูลนิธิฯ มาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับทางผู้ประกอบการร้านตัดผมจากร้าน “ออร์โต้บาร์เบอร์” นำ SUZUKI CARRY Barber Truck มาให้บริการตัดผมแก่เยาวชนผู้ด้อยโอกาส จำนวนกว่า 50 คน ณ มูลนิธิคุณพ่อเรย์ จังหวัดชลบุรี ซึ่งกิจกรรม “CARRY YOUR DREAM CARRY YOUR LIFE” ในครั้งนี้ สร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้แก่เด็กและเยาวชนในมูลนิธิฯ พร้อมยังได้มอบเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นให้กับทางมูลนิธิคุณพ่อเรย์ โดยมีบาทหลวงวิบูลย์ ลิมปนวุฒิ รองประธานมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ คุณมานพ เอี่ยมสอาด รองเลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่ฯ และคุณวรรณวนัช กันพรม ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการ เด็กพิเศษพระมหาไถ่ และผู้จัดการโรงเรียนเด็กพิเศษคุณพ่อเรย์ เป็นผู้แทนในการรับมอบ

มูลนิธิคุณพ่อเรย์ จังหวัดชลบุรี ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2546 ตามชื่อของบาทหลวง เรย์มอน อัลลีน เบรนนัน ซึ่งเป็นมูลนิธิฯ จะแบ่งออกเป็นหลายโครงการที่ที่มีความมุ่งมั่นในการมอบความช่วยเหลือแก่ทั้งเด็กกำพร้าผู้ด้อยโอกาส ให้ได้รับการศึกษา ไปจนถึงการดูแลส่งเสริมผู้พิการ ทั้งการดูแลจัดการด้านศึกษา จัดหางาน ส่งเสริมอาชีพ ช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพคนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

จากทุกกิจกรรมที่ซูซูกิจัดขึ้น โดยมี SUZUKI CARRY เป็นสื่อกลางในการส่งมอบทุกความสุขให้คนไทย ตอกย้ำให้เห็นถึงคุณค่าของรถยนต์รุ่นนี้ สามารถตอบรับต่อความต้องการที่หลากหลายเป็นได้มากกว่ารถขนสินค้าหรือสัมภาระ เปรียบเสมือนดั่งพาร์ทเนอร์คนสำคัญที่พร้อมจะสนับสนุน และร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการด้วยความจริงใจ เดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน

นายวัลลภ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า แนวคิด “Carry Your Dream เคียงข้างทุกเส้นทางฝัน” ยังคงเป็นดีเอ็นเอที่ชัดเจนของ SUZUKI CARRY เพราะไม่ว่าความฝันของคุณจะเป็นอย่างไร หรืออยู่ท่ามกลางวิกฤตการณ์แบบไหน SUZUKI CARRY ก็พร้อมจะเป็นยานพาหนะที่อยู่เคียงข้างร่วมฝ่าวิกฤตในทุกสถานการณ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนารูปแบบให้สามารถรองรับการดัดแปลงได้อย่างหลากหลาย จึงตอกย้ำได้อย่างชัดเจนว่า SUZUKI CARRY เป็นได้มากกว่ารถขนสินค้าหรือสัมภาระ แต่เปรียบเสมือนพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ที่พร้อมจะสนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างผู้ประกอบการด้วยความจริงใจ เดินหน้าไปสู่จุดหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน อีกทั้งเรายังมีพันธมิตรเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศเข้ามาร่วมเป็นเอ็กซ์คลูซีฟลีสซิ่ง ช่วยเรื่องการอนุมัติสินเชื่อให้มีความหลากหลายและช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ซูซูกิได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ

ZEEKR เปิดตัว “ZEEKR 009” รถเอ็มพีวีพลังงานไฟฟ้าเซกเมนต์ลักชูรี

ZEEKR เปิดตัว “ZEEKR 009” รถเอ็มพีวีพลังงานไฟฟ้าเซกเมนต์ลักชูรี ชูแนวคิด “Every Journey Shines” ให้ทุกโมเมนต์ของการเดินทางมีความหมายผสานความหรูหราระดับเฟิร์สคลาสและนวัตกรรมสุดล้ำอย่างลงตัว

บริษัท ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ZEEKR Intelligent Technology) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี ต่อยอดความสำเร็จจากการเปิดตัว ZEEKR X ที่ผ่านมา ประกาศเปิดตัว “ZEEKR 009” รถเอ็มพีวีพลังงานไฟฟ้าเจาะเซกเมนต์ลักชูรี นำเสนอยนตรกรรมไฟฟ้าที่ผสานความเป็นที่สุด “ความหรูหราระดับเฟิร์สคลาส นวัตกรรมอัจฉริยะ สมรรถนะที่เหนือชั้น และความปลอดภัยขั้นสูงสุด” ภายใต้แนวคิด “Every Journey Shines” ให้ทุกโมเมนต์ของการเดินทางมีความหมายกับทุกคนในรถ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 3.099 ล้านบาทพร้อมส่งมอบรถประมาณเดือนตุลาคมเป็นต้นไป

ตลาดเอ็มพีวีปี 2567 โตต่อเนื่อง ตอบโจทย์ครอบครัวและการใช้งานอเนกประสงค์

ตลาดยนตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปีนี้คาดการณ์การเติบโตของยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 อาจสูงถึง 18.9%  นอกจากนี้ตลาดรถยนต์เอ็มวีพีที่กำลังไต่ระดับยอดจองและยอดขาย แสดงให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัวหรือผู้ที่ต้องการควาอเนกประสงค์ในการใช้งาน ส่งผลให้แต่ละแบรนด์ในตลาดแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อนำเสนอรถเอ็มพีวีที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีพลังงานสะอาดยังเป็นแนวโน้มที่น่าจับตามองในตลาดนี้ ทำให้สามารถคาดหวังได้ว่าจะได้เห็นรถเอ็มพีวีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคตอันใกล้

ความสำเร็จของ ZEEKR X ในไทย สู่การเปิดตัว ZEEKR 009 เอ็มพีวีเซกเมนต์ลักชูรี

เป่า จ้วงเฟย (อเล็กซ์) ประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี กล่าวว่า “ความสำเร็จของ ZEEKR ในตลาดไทยเริ่มต้นด้วยการเปิดตัว ZEEKR X ซึ่งได้รับการตอบรับความสนใจอย่างมาก โดยมียอดส่งมอบรถมากกว่า 250 คันภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนหลังการเปิดตัวซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ไม่เพียงแค่แสดงถึงการยอมรับในผลิตภัณฑ์ แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไทยที่มีต่อแบรนด์ ZEEKR ครั้งนี้เราเปิดตัว ZEEKR 009 เอ็มพีวีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่จะเป็นการปฏิวัติแนวคิดของการเดินทางในยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างความสุขให้กับผู้ใช้งานทุกคน ภายใต้แนวคิด ‘Every Journey Shines’ ซึ่ง ZEEKR 009 จะสร้างประสบการณ์ที่ดีตลอดการใช้งาน ทำให้ทุกโมเมนต์ของทุกคนมีความหมายและเต็มไปด้วยความสุข ผ่านความเป็นสุดยอดของ ZEEKR 009 ได้แก่ ‘Ultimate Luxury ความหรูหราระดับเฟิร์สคลาส, Ultimate Intelligence นวัตกรรมอัจฉริยะ,Ultimate Performance สมรรถนะที่เหนือชั้น และ Ultimate Safety ความปลอดภัยขั้นสูงสุด อีกทั้ง ZEEKR 009 ยังให้ความสำคัญกับคนขับและผู้โดยสารทุกที่นั่ง ให้ความสบายและความปลอดภัยสูงสุดทุกที่นั่ง ด้วยแนวคิด ‘Every Seat Matters’ ที่แตกต่างจากเอ็มพีวีทั่วไปในตลาด ZEEKR 009 จึงพร้อมที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในเมืองไทย”

สัมผัสนวัตกรรมใหม่ภายใต้แนวคิด “Every Journey Shines” กับ ZEEKR 009

ZEEKR 009 เป็นยนตรกรรมที่ครบครันทั้ง “ความหรูหรา นวัตกรรมอัจฉริยะ สมรรถนะที่เหนือชั้น และความปลอดภัยขั้นสูงสุด” โดดเด่นด้วยแนวคิด “Every Journey Shines” ที่เน้นความสะดวกสบายผสมผสานความหรูหรากับห้องโดยสารที่ถูกออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์คุณภาพระดับเฟิร์สคลาสของสายการบิน ด้วยเบาะที่นั่งผู้โดยสารแถวสองแบบ Sofaro First Class Airline Seats พร้อมโหมดการการปรับแบบ Eames Lounge Chair Mode ที่สามารถปรับเอนนอนได้เพียงปุ่มเดียว และโต๊ะแบบพับเก็บได้ เบาะนั่งบุด้วยหนัง Nappa แบบนุ่ม เบาะนั่งคนขับ, ผู้โดยสารด้านหน้าและผู้โดยสารแถวสองมาพร้อมระบบนวดไฟฟ้า มีหน้าจอ OLED แบบทัชสกรีนขนาด 15.05 นิ้ว และหน้าจอเสมือนบนกระจก AR-HUD ขนาด 35.95 นิ้ว พร้อมหน้าจอเพดาน สำหรับผู้โดยสารด้านหลังแบบ Touch Screen OLED ขนาด 17 นิ้ว ช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับขี่อย่างเหนือชั้นด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8295 จำนวนสองชุด เพื่อเสริมการประมวลผลที่รวดเร็วและทรงพลัง รองรับคำสั่งได้ถึง 60 ล้านคำสั่งต่อวินาที รวมถึงระบบเสียงรอบทิศทางจาก YAMAHA  30 ตัวที่พร้อมให้ความบันเทิงได้ในทุกการเดินทาง

สมรรถนะของ ZEEKR 009 โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์คู่ที่มีกำลังสูงสุด 450 kW หรือเทียบเท่า 603 แรงม้า และแรงบิด 693 N•m  ทำให้รถสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 km/h ได้ในเวลาเพียง 4.5 วินาที แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 116 kWh โดยสามารถวิ่งได้ไกลถึง 686 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ทำให้ ZEEKR 009 เป็นรถที่มีสมรรถนะสูงและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังเพิ่มสุนทรียภาพในการเดินทางด้วย ระบบช่วงล่างถุงลมประสิทธิภาพสูง พร้อมระบบ CCD Electromagnetic Vibration Reduction System ช่วยลดแรงสะเทือนที่จะเข้าสู่ในห้องโดยสาร และ ZEEKR 009 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงสุดที่ได้รับการออกแบบเพื่อปกป้องผู้โดยสารอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งโครงสร้างด้านท้ายของรถที่ผลิตจากอลูมิเนียมชิ้นเดียวมีความแข็งแรงสูงพร้อมถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งพร้อมปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั่วทั้งคัน

ปูพรมกิจกรรมทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายพรีเมียม-ลักชูรี

ZEEKR ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัย หรูหรา แต่ยังเตรียมแผนขยายการรับรู้และสร้างฐานลูกค้าในประเทศไทย ทั้งการสปอนเซอร์ให้กับดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ประภากาศ อังศุสิงห์ แห่งแบรนด์ HOOK (HOOK’S by PRAPAKAS PRESENTED by ZEEKR) ในแฟชั่นโชว์ครั้งใหญ่ระดับประเทศ และคอร์สอบรบเพิ่มทักษะการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างปลอดภัยสำหรับเจ้าของรถยนต์ ZEEKR ที่สนามแข่งรถแก่งกระจานเซอร์กิต ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์  ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ยังเน้นกลยุทธ์ด้านบริการหลังการขายระดับพรีเมียมด้วยโปรแกรมบริการพิเศษสำหรับเจ้าของรถ ZEEKR  ทุกรุ่น เช่น การรับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี และ บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และ Mobile Service นานถึง 5 ปี เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในคุณภาพและการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า

สร้างปรากฏการณ์ใหม่ สู่การเป็นผู้นำตลาดรถไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชูรี

“ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับดีไซน์สุดหรูอันเป็นเอกลักษณ์ ZEEKR มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ระดับพรีเมียมพร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยสมรรถนะอันทรงพลังและระยะทางขับขี่ ยิ่งไปกว่านั้น ZEEKR มุ่งสร้างประสบการณ์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบไร้รอยต่อ ด้วยการพัฒนาและเพิ่มสาขาของ ZEEKR House อย่างต่อเนื่องพร้อมดูแลลูกค้าอย่างเหนือชั้น ด้วยความมุ่งมั่นของ ZEEKR ในการที่จะก้าวเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต” เป่า จ้วงเฟย กล่าวสรุป

ราคาเริ่มต้น 3.099 ล้านบาท พร้อมส่งมอบรถประมาณเดือนตุลาคม

ZEEKR 009 ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้กำลังขับขี่ 603 แรงม้า สามารถวิ่งได้ไกลถึง 686 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ในการชาร์จเพียงครั้งเดียว กับล้อขนาด 20 นิ้ว ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง รองรับผู้โดยสารได้ 6 คน ตกแต่งหรูหราพร้อมอุปกรณ์ครบครันทั้งไฟ Ambient Light, หน้าจอแสดงผล 5 จอ รวมถึงจอ AR HUD ขนาด 35.95 นิ้ว พร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทางจาก YAMAHA ทั้งหมด 30 ตำแหน่ง ZEEKR 009 มี 3 โทนสีรถภายนอกได้แก่

•สีขาว Crystal White (ภายในโทนสีดำ)

•สีน้ำเงิน Electric Blue (ภายในโทนสีดำ หรือ ภายในทูโทนสีน้ำเงิน/ขาว)

•สีดำ Phantom Black (ภายในโทนสีดำ หรือ ภายในทูโทนสีเทา/ขาว)

ราคา 3,099,000 บาท พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ ประกันภัยชั้น 1, การรับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน การรับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปีหรือ 180,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน  24 ชั่วโมง และบริการ Mobile Service นาน 5 ปี และ พิเศษสุด สำหรับลูกค้า 1,000 ท่านแรก รับฟรี Wallbox จาก “VREMT” พร้อมแพคเกจติดตั้ง* มูลค่า 70,000 บาท

*หมายเหตุ : เมื่อจองและรับรถภายใน 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save