- Advertisement -
31.5 C
Bangkok
Home Blog Page 41

โตโยต้า ร่วมพิธีส่งมอบผู้ผ่านการฝึกอบรมช่างซ่อมตัวถังและสีรถยนต์

โตโยต้า เข้าร่วมพิธีส่งมอบผู้ผ่านการฝึกอบรมในสาขาช่างซ่อมตัวถังและสีรถยนต์ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กับ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โดยศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมโตโยต้า ได้เข้าร่วมพิธีส่งมอบผู้สำเร็จการอบรม หลักสูตรช่างซ่อมตัวถังและสีรถยนต์ โดยมี นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมด้วยผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า ภายใต้โครงการ Toyota Technical Education Program (T-TEP)

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้เริ่มสนับสนุนการฝึกอบรมในหลักสูตร ช่างซ่อมตัวถังและสีรถยนต์ ตั้งแต่ปี 2550 ระยะเวลาการฝึก 120ชั่วโมง มุ่งเน้นให้นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษามีงานทำ ภายใต้การการันตีคุณภาพโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งโตโยต้าร่วมกับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 7 อุบลราชธานีและบริษัทในเครือข่าย ที่เกี่ยวข้องกับงานช่างซ่อมตัวถังและสีรถยนต์ ได้ให้การสนับสนุนวัสดุฝึก อุปกรณ์ วิทยากร รวมถึงสอบรับรองมาตรฐาน โดยรับเข้าทำงานกับผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า 5 แห่ง รวมจำนวน 29 คน ดังนี้

1) บริษัท โตโยต้าพัทยา (1998) จำกัด

2) บริษัท โตโยต้าจันทบุรี (1972) ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด

3) บริษัท โตโยต้าปราจีนบุรี (1993) ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด

4) บริษัท โตโยต้าเพิร์ล ผู้จำหน่ายโตโยต้า จำกัด

5) บริษัท โตโยต้า บัสส์ จำกัด

โตโยต้า มีความแน่วแน่ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่

“เป็นผู้นำพาการขับเคลื่อนยุคใหม่ เพื่อเสริมสร้างความสุขของผู้คน และความยั่งยืนของสังคม”

                              “โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

HAVAL JOLION Sport ใหม่ รถเอสยูวีไฮบริดที่คุ้มค่า

New HAVAL JOLION Sport สะกดทุกสายตา สายสปอร์ต กดทั้ง Like ทั้ง Love การันตีความว้าวเกินคุ้ม กับ 5 เรื่องสุดจึ้งของ New HAVAL JOLION Sport รถเอสยูวีไฮบริดที่มาแรงและคุ้มค่าคุ้มราคาในขณะนี้ พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

กรุงเทพฯ 15 กรกฎาคม 2567 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) หลังจากเปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2566 New HAVAL JOLION Sport ได้พลิกโฉมวงการเอสยูวีด้วยดีไซน์คมเข้ม ดุดัน พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม คุ้มค่าด้วยการขับเคลื่อนแบบเครื่องยนต์ไฮบริดตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาล้วนได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภค ปลุกเร้าสปิริตในการขับขี่ให้ Rise Up Your Spirit เร้าทุกมิติ สปอร์ตทุกเส้นทาง อย่างแท้จริง กับ 5 สิ่งที่คาดไม่ถึงที่เจ้าสิงโตอารมณ์ดีได้คำรามบนท้องถนนและมอบความว้าวแล้วเกือบกว่า 2,000 คันทั่วไทย

ตอบโจทย์สายสปอร์ต เท่ สุขุมนุ่มลึก บ่งบอกคาแรคเตอร์สายลุยแต่เนี้ยบ

ไม่พูดถึงไม่ได้ นี่คือเอกลักษณ์ในด้านดีไซน์ที่ล้วนเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค ที่ต่างตกหลุมรักในการออกแบบตั้งแต่แรกเห็นของ New HAVAL JOLION Sport ที่ผสานการออกแบบทั้งภายใน-ภายนอกได้อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกสปอร์ตเต็มขั้น เท่ และ ดึงดูดทุกสายตาได้เป็นอย่างดี สะท้อนอารมณ์สปอร์ตให้ผู้ขับขี่ได้ทะยานไปทุกเส้นทาง ด้วยกระจังหน้า Black Symmetric ในดีไซน์สีดำล้วน พร้อมโลโก้ HAVAL โดดเด่นด้วยไฟหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ เข้าถึงความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวไปอีกขั้นด้วยดิฟฟิวเซอร์ดีไซน์ล้ำ ผสมผสานกับการจับคู่กับโทนสี ALL BLACK ของห้องโดยสารภายใน รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งภายนอกอย่าง กระจกมองข้าง และชุดราวหลังคา (Roof Rail) เติมเต็มอารมณ์สปอร์ตด้วยการตกแต่งด้วยเส้นสายสีเงิน และวัสดุสัมผัส SOFT-TOUCH ที่ผสานความสะดวกสบาย ความสง่างาม และความลํ้าสมัยในหนึ่งเดียว สะท้อนลุคสปอร์ตกับมิติความสวยงามจากด้านหน้านอกตัวรถที่ส่งผ่านมาจนถึงด้านหลัง กับไฟท้าย LED พร้อมไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED เต็มระบบ การันตีความเท่กับ 3 เฉดสีขายดีสะท้อนลุคสปอร์ตได้แก่ สีดำ (Sun Black) สีเทา (Ayers Gray) และสีขาว (Hamilton White)

ขับขี่สนุก ไปได้ทุกที่ที่ต้องการ

ขับสนุกด้วยพลังเครื่องยนต์แบบไฮบริด ผสานเข้ากับการทํางานอย่างลงตัวกับระบบเกียร์ DHT (Dedicated Hybrid Transmission) สมรรถนะที่เต็มเปี่ยมด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 375 นิวตันเมตร โดยระบบเกียร์แบบ DHT นี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายของรถยนต์ไฮบริดด้วยกันถึง 4 โหมด ได้แก่ โหมดมาตรฐาน โหมดสปอร์ต โหมดประหยัด และโหมดพื้นหิมะ

นอกจากนี้ชุดเกียร์แบบ DHT ยังมีน้ำหนักเบา ช่วยลดน้ำหนักรวมของตัวรถได้ พร้อมด้วยอัลกอริทึมการควบคุมขั้นสูงซึ่งปรับการทำงานของระบบให้มีความเหมาะสม นอกจากนี้ New HAVAL JOLION Sport ยังมาพร้อมกับ ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท (MacPherson Strut) ซึ่งเป็นระบบกันสั่นสะเทือนช่วงล่างที่จะทำให้เกิดความนุ่มนวลขณะขับขี่ อีกทั้งยังช่วยให้รถสามารถยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี รวมถึงรักษาสมดุลของรถขณะที่อยู่บนถนนที่ไม่ราบเรียบได้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมาพร้อมกับ ระบบช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชันบีม (Vertical Arm Torsion Beam) ซึ่งนับว่าเป็นช่วงล่างที่มีน้ำหนักเบาและมีขนาดเล็ก ซึ่งทำให้ห้องโดยสารภายในรถมีพื้นที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุก สปอร์ต ราบรื่นแต่เร้าใจในทุกการเดินทาง

•ราคาเกินคุ้มในออปชันการใช้งานและความบันเทิงจัดเต็ม

New HAVAL JOLION Sport กับราคาเพียง 799,000 บาท เรียกได้ว่ามีออปชันสุดแรงครบครัน คุ้มค่าเกินราคาสำหรับรถในเซกเมนต์เดียวกัน มอบประสบการณ์ขับขี่ที่เต็มไปด้วยความบันเทิงตลอดทั้งเส้นทางด้วยระบบความบันเทิงแบบจัดเต็ม ทั้งหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ลําโพงจำนวน 6 ตําแหน่ง ที่รองรับ Apple Carplay, Android Auto, Bluetooth และ MP3 อีกทั้งยังพร้อมมอบความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารในระดับพรีเมียมเกินคาดด้วยเบาะหนังสังเคราะห์ดีไซน์สปอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกสรีระ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เพื่อช่วยจัดท่านั่งให้สบายและอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นวิสัยทัศน์ได้ดีที่สุด และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับได้ถึง 4 ทิศทาง และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังอีกด้วย นอกจากนี้ อีกหนึ่งความคุ้มค่าที่จะได้รับ คือ ความอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี ทั้งห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย  รวมถึงเบาะที่นั่งด้านหลังที่สามารถพับและปรับได้ทั้งแบบ 60:40 รวมถึงแบบเรียบ พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระที่จุได้มากถึง 1,069 ลิตร ตอบโจทย์ทุกการใช้งานและทุกการเดินทางได้อย่างเต็มรูปแบบ

อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย มั่นใจทุกการเดินทาง

หลากหลายเสียงสะท้อนจากผู้ใช้งาน New HAVAL JOLION Sport ตอกย้ำถึงความคุ้มค่าของรถคันนี้ด้วยความมั่นใจในเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะโดยเฉพาะด้านความปลอดภัยที่ให้มากับตัวรถอย่างครบครัน เช่น เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะให้ผู้ขับขี่สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วได้เพียงคันเร่งเดียว (Intelligent Single Pedal), กล้องแสดงภาพขณะถอยหลังที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในทุกมุมมองรวมถึงเพิ่มความชัดเจนในทุกการถอยหลัง, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (CC – Cruise Control), ระบบช่วยเตือนความเมื่อยล้าขณะขับขี่, ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง, ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 (SCM – Second Collison Mitigation) โดยรถจะพยายามรักษาเสถียรภาพเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน, ระบบลดความเสี่ยงที่รถจะพลิกคว่ำ (ARS – Anti-Rollover System) และระบบช่วยเหลือการขับขี่อื่น ๆ อีกมากมาย มอบความมั่นใจและความปลอดภัยแบบรอบด้านให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารในทุกการเดินทาง

คำตอบของความคุ้มค่า มั่นใจทุกการดูแล

นอกจากความคุ้มค่าที่ New HAVAL JOLION Sport มอบให้ในเรื่องของเทคโนโลยีการขับขี่และความหลากหลายในการใช้งานแล้ว ตอกย้ำความคุ้มค่ายิ่งขึ้นและมอบความอุ่นใจยิ่งกว่า ด้วยการรับประกันคุณภาพรถใหม่นาน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร รวมถึงการรับประกันแบตเตอร์รี่ไฮบริดนานถึง 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง สำหรับด้านการบริการหลังการขาย เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงมุ่งมั่นยกระดับประสบการณ์การบริการหลังการขายในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าด้วย GWM Smart Service ผ่านการนำเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อแพลตฟอร์มต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง

นี่คือ 5 เหตุผลที่ยืนยันว่า New HAVAL JOLION Sport เป็นรถไฮบริดเอสยูวีที่คุ้มค่าที่สุดรุ่นหนึ่งของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั้งเรื่องราคาที่จับต้องได้ รวมถึงดีไซน์เท่ สปอร์ตทันสมัย ดึงดูดทุกสายตา ผสมผสานกับเทคโนโลยีการขับขี่สุดล้ำและพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนไทย และการดูแลที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มอบให้ลูกค้าผ่านการบริการหลังการขายที่ครอบคลุม นอกจากนี้เจ้าสิงโตอารมณ์ดีสายสปอร์ตคันนี้ยังมาพร้อมกับข้อเสนอพิเศษ ได้แก่ ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และแพ็กเกจบำรุงรักษา GWM Pro Service Inclusive (GPSI) นาน 5 ปี พร้อมเลือกรับข้อเสนอ ดอกเบี้ย 0.99% นาน 48 เดือน หรือ ฟรี ชุดอุปกรณ์ฝาท้ายไฟฟ้าพร้อมติดตั้ง และฟรี ฟิล์มกรองแสงลามิน่า รุ่น CM ONE สามารถทดลองขับและจับจองเพื่อเป็นเจ้าของ New HAVAL JOLION Sport ได้แล้ววันนี้ ที่ GWM  Partner Store ทั่วประเทศ

เกรท วอลล์ มอเตอร์ มุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) และบริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก (Global Intelligent Technology Company) ด้วยการเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในปี 2567 รวมถึงปีถัดไป เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศและอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ทัดเทียมระดับสากลควบคู่ไปกับการตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภคชาวไทย

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ให้ความมั่นใจ เจ้าเหมียวไฟฟ้า ORA ไม่หวั่นแม้วันฝนตก

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประกาศให้ความมั่นใจ ORA ลุยน้ำได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด แม้ประเทศไทยได้เข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการแล้ว ในช่วงที่ฝนตกหนักอาจมีน้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่ การขับรถลุยน้ำท่วมจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก ผู้ขับขี่หลาย ๆ คนที่สนใจในเจ้าเหมียวไฟฟ้า ORA Good Cat, ORA Good Cat รุ่น GT หรือ ORA 07 หรือผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ อยู่แล้วอาจมีข้อสงสัยและความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานว่าเจ้าเหมียวไฟฟ้าจะสามารถขับลุยน้ำในช่วงหน้าฝนนี้ได้หรือไม่ ทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะบริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีระดับโลก (Global Intelligent Technology Company) พร้อมคลายความกังวลเหล่านี้ให้แก่ผู้ขับขี่ชาวไทย พร้อมมอบความเชื่อมั่นว่ารถยนต์ไฟฟ้า 100% ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ สามารถใช้งานในช่วงหน้าฝนได้อย่างปลอดภัยอย่างแน่นอน

เจ้าเหมียวไฟฟ้าลุยน้ำท่วมได้ หมดห่วงเรื่องแบตเตอรี่

ในช่วงหน้าฝนนี้ ผู้ขับขี่สามารถใช้งานเจ้าเหมียวไฟฟ้าทุกรุ่น จาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ตามปกติ ทั้งส่วนมอเตอร์ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบไฟฟ้าต่างๆ ภายในตัวรถได้รับการปกป้องด้วยฉนวนไฟฟ้าอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นระบบภายในยังมีเซนเซอร์ตรวจจับไฟฟ้ารั่วและระบบป้องกันการลัดวงจรลงดิน (Ground Fault Protection) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ในช่วงหน้าฝนนี้ การออกแบบที่ทนทานต่อสภาพอากาศของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานในทุกสภาวะอากาศ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทุกคันได้ผ่านการทดสอบ IP Rating (Ingress Protection) ซึ่งระดับ IP แสดงให้เห็นถึงค่ามาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่นเข้าในตัวแบตเตอรี่ โดยรถยนต์ไฟฟ้าในรุ่นปัจจุบันถูกกำหนดระดับมาตรฐานอยู่ที่ IP67 ซึ่งมีประสิทธิภาพป้องกันน้ำท่วมสูงได้ไม่เกิน 1 เมตร ภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที และสามารถลุยน้ำท่วมลึกได้ถึง 40 เซนติเมตร และในกรณีที่ต้องลุยน้ำท่วมในระดับที่สูง ให้ขับขี่ด้วยความเร็วต่ำและคงที่ หลีกเลี่ยงการจอดรถนานๆ เนื่องจากความเสียหายอาจเกิดขึ้นจากน้ำที่ซึมเข้าตัวรถและทำให้ตัวรถเกิดความเสียหาย และไม่ว่าจะขับรถประเภทใดก็ควรหลีกเลี่ยงการลุยน้ำเมื่อมีความสูงตั้งแต่ 30 เซนติเมตร เพื่อป้องกันรถยนต์จากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

หน้าฝนนี้ชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างไร้กังวล แม้ในที่ฝนตก

ในกรณีที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังชาร์จไฟอยู่ แต่ฝนตกลงมาและอยู่ในที่กลางแจ้ง ผู้ขับขี่อาจเกิดความกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อตัวรถหรือไม่ ทั้งนี้ช่องสำหรับเสียบอุปกรณ์การชาร์จของเจ้าเหมียวไฟฟ้าทุกรุ่นจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถูกคิดค้นและพัฒนาเพื่อให้สามารถป้องกันฝุ่นละอองและป้องกันละอองน้ำผ่านมาตรฐาน IP55 ซึ่งต้องใช้ควบคู่กับอุปกรณ์การชาร์จที่ได้มาตรฐาน IP55 ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้อุปกรณ์การชาร์จโดยทั่วไปจะถูกออกแบบให้สามารถป้องกันน้ำได้เป็นอย่างดี และเสริมความแข็งแกร่งด้านความปลอดภัยด้วยการติดตั้งระบบตัดไฟรั่วและสายดิน พร้อมทั้งระบบป้องกันและที่ครอบที่มีช่องระบายน้ำ จึงทำให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากลางแจ้งขณะฝนตกมีความเสี่ยงต่ำ อย่างไรก็ตามผู้ขับขี่ควรตรวจสอบสถานีชาร์จและปลั๊กชาร์จก่อนใช้งานทุกครั้งว่าอุปกรณ์เหล่านี้อยู่ในสภาพดี ไม่มีส่วนที่ชำรุดหรือเสียหาย เนื่องจากการใช้สถานีชาร์จที่ไม่สมบูรณ์ในช่วงหน้าฝนอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ขับขี่และตัวรถยนต์ได้ และแนะนำผู้ขับขี่หลีกเลี่ยงการชาร์จไฟในขณะที่ฝนตกหากไม่จำเป็น โดยเฉพาะการชาร์จในสภาพอากาศที่รุนแรงหรือเมื่อฝนตกหนักมากถึงแม้จะมีความเสี่ยงต่ำก็ตาม

อุ่นใจไร้กังวล กับการรับประกันตัวรถและแบตเตอรี่แบบจัดเต็ม

เกรท วอลล์ มอเตอร์ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูงสุดให้กับลูกค้า พร้อมการบริการหลังการขายที่เยี่ยมยอดให้ลูกค้าได้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า 100% คุณภาพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยด้วยความอุ่นใจ ด้วยการรับประกันคุณภาพยาวนานถึง 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) รวมถึงการรับประกันแบตเตอรี่ที่ครอบคลุมการใช้งานถึง 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และหากภายในระยะเวลารับประกันแบตเตอรี่ดังกล่าวนั้น เกรท วอลล์ มอเตอร์ และผู้ผลิตแบตเตอรี่ ตรวจสอบพบว่า ค่า SOH (State of Health) ของแบตเตอรี่ของท่านต่ำกว่า 70% โดยสภาพภายนอกของแบตเตอรี่ไม่ได้รับความเสียหายจากการใช้งานหรืออุบัติเหตุ ทางบริษัทฯ จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้ใหม่โดยทันที โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ปลอดภัยหายห่วง ตรวจสอบรถยนต์ให้พร้อมก่อนขับช่วงหน้าฝน

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ใช้รถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์สันดาปภายใน ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบสภาพรถยนต์ของท่านทั้งภายในและภายนอกให้อยู่เสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการใช้งานรถยนต์ให้มีความปลอดภัยและเป็นการดูแลรักษารถให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มตั้งแต่ที่ปัดน้ำฝน ที่ควรอยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน รวมไปถึงไฟสัญญาณต่างๆ ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และไฟตัดหมอกว่ามีความสว่างตามปกติหรือไม่ เพื่อทัศนวิสัยที่ดีขณะขับขี่ท่ามกลางสายฝน นอกจากนี้ควรตรวจสอบการสึกหรอของผ้าเบรก รวมถึงแรงดันลมยางและสภาพยางรถยนต์ อีกทั้งควรเอาใจใส่ในการเติมลมยางให้เหมาะสมกับสภาพถนนเปียกและลื่นเพื่อประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่ดียิ่งขึ้น หากผู้ขับขี่เกิดเหตุการณ์สุดวิสัยในช่วงหน้าฝนและต้องลุยน้ำเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง เมื่อถึงจุดหมายแล้วควรติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อขจัดความชื้นออกจากห้องเครื่องยนต์

ไม่หวั่นในทุกเส้นทางแม้ในกรณีฉุกเฉิน ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชม.

รถยนต์ไฟฟ้าสามารถพาท่านไปยังจุดหมายปลายทางได้โดยไม่ต่างจากรถยนต์ประเภทอื่นๆ พร้อมมอบความสะดวกสบาย ประหยัด และการลดการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่เหตุไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ในทุกการขับขี่ ทุกที่และทุกเวลา ท่านสามารถอุ่นใจได้กับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง* ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ มอบให้กับลูกค้าทุกท่าน ด้วยทีมงานมืออาชีพที่มีความพร้อมในการประสานงานและสามารถเดินทางมายังจุดเกิดเหตุได้ภายใน 30 นาทีสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน และภายใน 45 นาทีสำหรับบริการรถยก* ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชัน GWM เพื่อติดต่อบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ติดต่อผ่าน GWM Contact Centre ที่หมายเลข 02-668-8888 หรือในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ท่านก็สามารถติดต่อบริษัทประกันภัย เพื่อรับความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

ดังนั้นในช่วงหน้าฝนนี้ ผู้ขับขี่สามารถมั่นใจได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยและมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง สามารถขับขี่ได้อย่างสบายใจและปลอดภัยไร้กังวล และทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ อยากเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงอุปกรณ์ชาร์จอย่างถูกต้อง เพื่อให้ทุกการเดินทางในช่วงฤดูฝนนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

* เงื่อนไขการให้บริการเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ดูรายละเอียดได้ที่ GWM Thailand – Service

เอ็มจี เปิดข้อมูล HYBRID+ เทคโนโลยียานยนต์ใหม่ใน MG3

เอ็มจี เปิดข้อมูล HYBRID+ เทคโนโลยียานยนต์ใหม่จาก เอ็มจี กับ 8 โหมดขับเคลื่อนสุดล้ำ ใน ALL NEW MG3 HYBRID+ผสานทุกระบบไฮบริด ประหยัด ขับสนุก เร้าใจ

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เตรียมนำเทคโนโลยีไฮบริดรุ่นใหม่เข้ามาใส่ในโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์พลังงานทางเลือกที่มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยที่จะเข้ามาจุดประกายตลาดรถยนต์ไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ซึ่งพัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATION ที่ผสานประสิทธิภาพที่ทรงพลัง ความประหยัด และความเป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว สู่การยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริดที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่และสร้างอนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืนและการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ

HYBRID+ ในแบบฉบับของ เอ็มจี ที่ทำงานได้อย่างลงตัวในทุกช่วงความเร็ว

หลังจากที่ ALL NEW MG3 HYBRID+ ทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งในประเทศอังกฤษ และประเทศชั้นนำในยุโรป รวมไปถึงทวีปอเมริกาอย่างประเทศเม็กซิโก ก่อนข้ามมาสร้างปรากฏการณ์อีกซีกโลก ทั้งในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ ต่างได้รับเสียงตอบรับจากสื่อและผู้ใช้งานถึงความโดดเด่นในเรื่องการเป็นยนตรกรรมที่มอบประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างสมรรถนะและความประหยัด โดยหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจในกลุ่ม B-Segment คือ ระบบ HYBRID+ ที่เหนือกว่าด้วยสมรรถนะอันทรงพลังและการบริหารพลังงานในแบบฉบับรถไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 250 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ผสานความแรงของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่พัฒนาขึ้นใหม่จาก SAIC MOTOR CORPORATION ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 รวมแรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สู่การเป็นโมเดลไฮบริดใหม่ที่ครบสมบูรณ์แบบด้วยความเหนือชั้นของ 8 โหมดขับเคลื่อน ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว

เจาะลึก 8 โหมดขับเคลื่อนของ ALL NEW MG3 HYBRID+ จากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงวิ่งแบบเต็มพลัง

•โหมดจอดหยุดนิ่ง

ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน

•โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0 – 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ

•โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น 

เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30 – 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น

•โหมดความเร็ววิ่งในเมือง

แต่หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50 – 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง

•โหมดความเร็ววิ่งคงที่

เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา

•โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที เมื่อต้องการเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุดและตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป

•โหมดความเร็วสูง

และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่

•โหมดลดความเร็ว Regenerative

เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด

ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นและแตกต่างของระบบ HYBRID+ กับการผสานพลังอย่างลงตัวของเครื่องยนต์ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการทำงานกับระบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ และระบบ Hybrid Transmission ที่มี 3 อัตราทด ปรับทำงานอัตโนมัติช่วยให้เครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดมอเตอร์มีช่วงการทำงานที่กว้างมากขึ้น ตอบสนองการเร่งในช่วงความเร็วต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยมีรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ลดลง ที่สำคัญ ALL NEW MG3 HYBRID+ ยังใช้ไฮบริดมอเตอร์ เป็นเทคโนโลยีมอเตอร์ตัวเดียวกับรถไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors อีกด้วย

นี่คือ ระบบ HYBRID+ นวัตกรรมยานยนต์สู่การเป็น Green Mobility ที่พัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATION ที่ทำให้ ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นยนตรกรรมไฮบริดครั้งใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริด กับสมรรถนะที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสนุก ครบเครื่อง และคุ้มค่ากว่าที่เคย เตรียมพบกับ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่มีกำหนดเปิดตัวในประเทศไทย เร็วๆ นี้ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านทุกช่องทางออนไลน์ของเอ็มจี

มิตซูบิชิและเอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น คว้า 5 รางวัล สถานประกอบการอุบัติเหตุเป็นศูนย์

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และ เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น คว้า 5 รางวัล สถานประกอบการลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานเป็นศูนย์ ประจำปี 2567 โดยโรงงาน 3 ได้รับรางวัลความปลอดภัยสูงสุดระดับแพลทินัม ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน

บรรยายภาพ : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น จำกัด นำโดย มร.เออิจิ โอกาวะ (ขวา) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ นายมนัส ยงพฤกษา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด รับรางวัลกิจกรรมรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปี 2567 (Zero Accident Campaign 2024) จาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ครั้งที่ 36

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น จำกัด ตอกย้ำความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งที่จะยกระดับความปลอดภัยในการทำงานด้วยการคว้า 5 รางวัลกิจกรรมรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปี 2567 (Zero Accident Campaign 2024) จากสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งจัดขึ้นภายในงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ครั้งที่ 36 ด้วยการดำเนินงานที่มีมาตรฐานระดับโลก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติประจำปีนี้ทั้งหมด 5 รางวัล ได้แก่ รางวัลโล่เกียรติยศระดับแพลทินัมซึ่งเป็นระดับสูงสุดสำหรับโรงงาน 1-2 และ โรงงาน 3 รางวัลโล่เกียรติยศระดับทองสำหรับโรงงานเครื่องยนต์ รางวัลโล่เกียรติยศระดับเงินสำหรับโรงงานปั๊มขึ้นรูป 2 และพลาสติก และรางวัลโล่เกียรติยศระดับทองแดงสำหรับโรงงานปั๊มขึ้นรูป 1

มร.เออิจิ โอกาวะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ทุกโรงงานของเราได้รับรางวัลกิจกรรมรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปี 2567 รางวัลอันทรงเกียรตินี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานสูงสุดด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย ตอกย้ำความทุ่มเทและการทำงานหนักของพนักงานทุกคนซึ่งร่วมมือกันค้นหาความเสี่ยงในที่ทำงาน และร่วมกันปรับปรุงแก้ไขด้วยนวัตกรรมและการให้ความสำคัญกับความปลอดภัย เราจึงมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในด้านมาตรการความปลอดภัยและการลดความเสี่ยงในพื้นที่ทำงานทุกจุด”

“การมีส่วนร่วมในกิจกรรมรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ (Zero Accident Campaign) สอดคล้องกับค่านิยมหลักของเราที่เชื่อว่าทุกอุบัติเหตุในที่ทำงานสามารถป้องกันได้ ตอกย้ำความสำคัญของการส่งเสริมวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ไม่เพียงในองค์กรของเราแต่รวมถึงทุกภาคส่วน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นที่จะรักษาความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีสำหรับพนักงานทุกคน เราจะเดินหน้าสร้างความเป็นเลิศในด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง” มร.โอกาวะ กล่าวเพิ่มเติม

โรงงาน 1 และ โรงงาน 2 ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับแพลทินัม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นครั้งแรกเพื่อยกย่องการดำเนินงานที่มีชั่วโมงปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 55.5 ล้านชั่วโมงทำงาน ขณะที่ โรงงาน 3 ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับแพลทินัมด้วยการทำงานที่ปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 31.6 ล้านชั่วโมงเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง

โรงงานเครื่องยนต์ได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับทองเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันจากการทำงานโดยปลอดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานสะสม 12.2 ล้านชั่วโมง ขณะที่โรงงานปั๊มขึ้นรูป 2 และพลาสติกได้รับรางวัลโล่เกียรติยศระดับเงินเป็นครั้งแรกจากการทำงานโดยปราศจากอุบัติเหตุสะสม 3.4 ล้านชั่วโมง โรงงานปั๊มขึ้นรูป 1 คว้ารางวัลโล่เกียรติยศระดับทองแดงเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องจากการทำงานโดยปลอดอุบัติเหตุสะสม 1.2 ล้านชั่วโมง

กิจกรรมการรณรงค์ลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์เป็นแนวคิดริเริ่มของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) โดยกิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ร่วมสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยเชิงป้องกันสู่ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และความผาสุกที่ยั่งยืน” ด้วยความเชื่อมั่นว่าอุบัติเหตุในการทำงานสามารถป้องกันได้ มุ่งส่งเสริมให้สถานประกอบการมีความมุ่งมั่นที่จะป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุบัติเหตุในที่ทำงานให้เป็นศูนย์ด้วยการวางแผนและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย

มิตซูบิชิ นำลูกค้าเชียร์ “ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรีส์ 2024” ติดขอบสนาม

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย นำทีมลูกค้า เชียร์ “ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรีส์ 2024” แบบวีไอพีติดขอบสนาม ตอกย้ำจิตวิญญาณการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สานต่อทริปเอ็กซ์คลูซีฟ “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เรซซิ่ง สปิริต สตรีท เซอร์กิต เอดิชั่น” (MITSUBISHI MOTORS RACING SPIRIT STREET CIRCUIT EDITION) พาลูกค้าสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ ร่วมให้กำลังใจนักแข่ง ณ จุดปล่อยตัว พร้อมชมการแข่งขัน “ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรีส์ 2024” (Thailand Super Series 2024) แบบติดขอบสนามบางแสน สตรีท เซอร์กิต ซึ่ง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้การสนับสนุนทีมแข่งในรุ่น “ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ปิกอัพ” (Thailand Super Pickup) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

เช่นเดียวกับปีที่แล้ว มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้การสนับสนุนทีมแข่งเพื่อลงแข่งขันรายการ “ไทยแลนด์ ซูเปอร์ซีรีส์ 2024” ในรุ่น “ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ปิกอัพ” (การแข่งขันประเภทรถกระบะทางเรียบ) ครบในทุกดิวิชั่น โดยในดิวิชั่น 1 ประกอบด้วยการแข่งขัน Class A จำนวน 4 คัน การแข่งขัน Class B จำนวน 1 คัน สำหรับดิวิชั่น 2 จะมีรถลงแข่ง 1 คัน พร้อมด้วยทีมนักแข่งอิสระอีก 3 คันใน Class C ทำให้มีจำนวนรถที่เข้าแข่งด้วยรถมิตซูบิชิ ไทรทัน ทั้งหมด 9 คัน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในลำดับที่สองของแบรนด์รถยนต์ทั้งหมดสำหรับการแข่งขันในรุ่น “ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ปิกอัพ” ในปีนี้

นางสาวริสึโคะ คาเนะโคะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานบริหารประสบการณ์ลูกค้าและนวัตกรรมการบริการ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “เพื่อเป็นการตอกย้ำจิตวิญญาณการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต เราจึงสนับสนุนทีมนักแข่งในปีนี้อย่างต่อเนื่อง ด้วย ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ตัวเตี้ย ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความแข็งแกร่งทนทาน ความคล่องตัว และสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น”

“นอกจากนี้ เรายังได้สานต่อกิจกรรม ‘มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เรซซิ่ง สปิริต สตรีท เซอร์กิต เอดิชั่น’ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการขับขี่รถยนต์มิตซูบิชิ ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ พร้อมมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้าด้วยกิจกรรมพิเศษต่างๆ ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าที่เราให้ความสำคัญมาโดยตลอด”  มร.คาเนะโคะ กล่าวเพิ่มเติม

นายพสุธร สุขมา อายุ 42 ปี เจ้าของรถ มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ หนึ่งในลูกค้าที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ กล่าวว่า “การแข่งขันรายการนี้ช่วยแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของมิตซูบิชิ ไทรทัน ที่โดดเด่นทั้งในด้านการขับขี่และช่วงล่างที่เหนือกว่า รวมถึงความตื่นเต้นเร้าใจสไตล์สปอร์ตในแบบมิตซูบิชิ มอเตอร์ส อีกด้วย”

นายปฏิภาณ สุทธิธรรม อายุ 27 ปี เจ้าของรถมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า “ผมมีโอกาสได้มาร่วมทริป มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เรซซิ่ง สปิริต สตรีท เซอร์กิต เอดิชั่น เป็นครั้งแรก รู้สึกประทับใจกับกิจกรรมและประสบการณ์พิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการได้ชมรถแข่งและพบปะกับทีมนักแข่งอย่างใกล้ชิด การได้นั่งเชียร์ทีมนักแข่งแบบติดขอบสนาม ที่นอกจากจะสนุกตื่นเต้นแล้ว ยังทำให้รู้สึกมั่นใจในสมรรถนะความแข็งแกร่งและปลอดภัยของรถมิตซูบิชิไปอีกขั้น ถ้าสมาชิกครอบครัวหรือตัวผมเองต้องตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่ ก็จะต้องเป็นรถมิตซูบิชิ อย่างแน่นอน”

ลูกค้าและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เพื่อร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่

Facebook Fanpage: Mitsubishi Motors Thailand www.facebook.com/MitsubishiMotorsTH

Facebook Fanpage: M-JOURNEY www.facebook.com/Mjourneythailand

Toyota Gazoo Racing Thailand 2024 เปิดฤดูกาลส่งความสุขแรกที่ Bangsaen Grand Prix

Toyota Gazoo Racing Thailand 2024 เปิดฤดูกาลแข่งขันสุดร้อนแรง พร้อมส่งความสนุก สร้างความสุขและรอยยิ้ม ในรายการ Bangsaen Grand Prix

การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Toyota Gazoo Racing Thailand 2024 เปิดฤดูกาลแข่งขันอย่างยิ่งใหญ่ในรูปแบบ Street circuit ริมหาดบางแสน จ.ชลบุรี ในรายการแข่งขันระดับ FIA Grade 3 : “Bangsaen Grand Prix 2024” ครั้งที่ 18 โดยมี มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จํากัด ร่วมกับ นายสนธยา คุณปลื้ม นายกสมาคมราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬา นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการ จังหวัดชลบุรี ร่วมทำพิธีเปิดการแข่งขันเมื่อวันที 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กล่าวในการเปิดการแข่งขันว่า “โตโยต้าตระหนักว่า สภาพแวดล้อมที่สุดขีดของมอเตอร์สปอร์ต คือสนามที่ เมื่อรถลงแข่ง เกิดปัญหา มีการพัฒนาแก้ไขปรับปรุง จนเป็นรถที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ซึ่งล้วนส่งเสริมให้โตโยต้าพยายามสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่า นอกจากนี้ เรายังคงมุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ เพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านกีฬามอเตอร์สปอร์ต ดังที่ท่านจะเห็นได้จากรถที่ส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ รถที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก ในการแข่งขันครั้งนี้”

“เริ่มจาก กระบะเจ้าพลัง กับ “ไฮลักซ์ รีโว่ วันเมคเรซ” ที่แสดงถึงสุดยอดสมรรถนะเมื่อวานนี้ และยังมี “ยาริส เอทีฟ เลดี้ วันเมคเรซ” Eco sedan ยอดนิยม รวมถึง อีโค่แฮตช์แบ็ก 5 ประตู กับรายการ “ยาริส วันเมคเรซ” ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้กลยุทธ์ความหลากหลายด้านทางเลือกของโตโยต้า เรายังมี “Yaris Ativ Carbon Neutral Fuel” ที่ขับโดยน้องมิย่า ซึ่งเป็นนักแข่งวัยรุ่น จากทีมแข่ง Toyota Racing Star Team และ “Yaris Carbon Neutral Fuel” ที่ขับโดยอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ป๊ายปาย โอริโอ้ รุ่นต่อมา กับ “โคโรลล่า อัลติส จีอาร์สปอร์ต วันเมคเรซ” ที่จะสะท้อนถึงคุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ หรือ QDR อีกไฮไลท์กับ “ไฮลักซ์ แชมป์” ภายใต้ฝีมือการขับของทีม Toyota Gazoo Racing Thailand ที่ประลองฝีมือในรายการ “Thailand Super Series”

“ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกิจกรรมมากมายเพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุข เช่น Hilux Revo Z-Mania Bangsaen ที่เป็นศูนย์รวมชุมชนคนรักรถแต่งซิ่ง และเตรียมพบกิจกรรม Racing Mania นอกจากนั้น แฟนมอเตอร์สปอร์ตยังสามารถสัมผัสช่วงเวลาดีๆ ได้กับ อินฟลูเอนเซอร์ ที่มีชื่อเสียงและพบกับนักแข่ง Toyota Racing Star Team ตลอดจนข้อเสนอสุดพิเศษภายในบูธผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า”

เปิดฤดูกาลการแข่งขัน โตโยต้า กาซูเรซซิ่ง ไทยแลนด์ 2024 ด้วยการแข่งขันรุ่นแรก ไฮลักซ์ รีโว่ วันเมคเรซ ศึกชิงเจ้ากระบะสายพันธุ์แกร่ง ที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักแข่งหน้าใหม่และนักแข่งเก๋าวงการ ผลการแข่งขันสนามแรก อันดับหนึ่งตกเป็นของ ประพจน์ ชื่นวิจิตร หมายเลข 31 อันดับที่ 2 ได้แก่ อรุณพงศ์ ศรีฤทธิ์ หมายเลข 44  อันดับ 3 เมฆรัชคีฏาก์ กะลันตานนท์ หมายเลข 98 อันดับ 4 ธิบดินทร์ สันทัดค้า หมายเลข 20 และอันดับ 5 นิรุทธ์ สุจริต หมายเลข 19

ผลการแข่งขันรุ่น  “ไฮลักซ์ รีโว่ วันเมคเรซ

อันดับหมายเลขชื่อนักแข่งทีม
131ประพจน์ ชื่นวิจิตรNexzter Grace Garage Racing
244อรุณพงศ์ ศรีฤทธิ์Nexzter racing team by Vanguard
398เมฆรัชคีฏาก์ กะลันตานนท์Atlander Nexzter Hurricane Mx racing Team by Ruk Service
420ธิบดินทร์ สันทัดค้าNeon Creation Nexzter Trane Racing Team
519นิรุทธ์ สุจริต

รุ่นต่อมา ยาริส วันเมคเรซ ที่ได้รับความนิยมจากนักแข่งรุ่นใหม่เป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา  และในปีนี้ ได้ “ป๊าย ป๊าย โอริโอ้”  อินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง นักแข่งสังกัด Toyota Racing Star Team เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรก ด้วยรถแข่ง Toyota Yaris One Make Race – Carbon Neutral Fuel ส่งเสริมและสานต่อการใช้พลังงานเชื้อเพลิงทางเลือก ที่เป็นกลางทางคาร์บอนผ่านกีฬามอเตอร์สปอร์ต      

ผลการแข่งขันสุดมันส์ในดิวิชั่น 1 อันดับแรกตกเป็นของ วรัญชิต วัฒนาธนกุล หมายเลข 89อันดับ 2 ได้แก่ อเล็กซานเดอร์ ฟัน เมาริค หมายเลข 1 – อันดับ 3 ปณิธาน รักไพบูลย์สมบัติ หมายเลข 36 – อันดับ 4 ปัญจะ ไหวพริบ หมายเลข 26 และ อันดับ 5 อเล็กซ์ โกรคอทท์ หมายเลข 57

ผลการแข่งขัน “ยาริส วันเมคเรซ” ดิวิชั่น 1

อันดับหมายเลขชื่อนักแข่งทีม
189วรัญชิต วัฒนาธนกุลWise PTT Lubricants
21อเล็กซานเดอร์ ฟัน เมาริคFortron Racing Team
336ปณิธาน รักไพบูลย์สมบัติNexzter drive to drift MX racing team
426ปัญจะ ไหวพริบB-Quik Racing Team
557อเล็กซ์ โกรคอทท์RW – Bendix SRT Racing Team

ผลการแข่งขันในดิวิชั่น 2 ได้แก่อันดับ1 ตกเป็นของ เออร์วิน เดอ สมิท หมายเลข 32  – อันดับ 2  แฟรงค์ ทิวเวน หมายเลข 29 – อันดับ 3 สิทธิชัย ฆังนิมิตร หมายเลข 9 – อันดับ 4 เซงเวย อูยัง หมายเลข 77 และ อันดับ 5 ชาญา เสนีวิรัตน์ หมายเลข 73

ผลการแข่งขัน “ยาริส วันเมคเรซ” ดิวิชั่น 2

อันดับหมายเลขชื่อนักแข่งทีม
132เออร์วิน เดอ สมิทB-Quik Racing Team
229แฟรงค์ ทิวเวนB-Quik Racing Team
39สิทธิชัย ฆังนิมิตร
477เซงเวย อูยังSuperclub Racing Team
573ชาญา เสนีวิรัตน์RW – Bendix SRT Racing Team

ต่อกันด้วยการแข่งขันในรุ่น โคโรลล่า อัลติส จีอาร์ สปอร์ต วันเมคเรซ ที่นักแข่งพร้อมฝ่าฟัน เพื่อจะชิงสิทธิ์ในการเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของแชมป์ประจำปี เพื่อการเข้าร่วมกับนักแข่งทีม Toyota Gazoo RacingThailand และในปีนี้ ได้ “ปังปอนด์ อัครวุฒิ” นักแข่งหนุ่มหล่อสังกัด Toyota Racing Star Team ร่วมลงแข่งขันเป็นครั้งแรกในรุ่นนี้ ผลการแข่งขันสนามแรก อันดับ1 ได้แก่  ไอตั้น อัษฏาธร หมายเลข 51อันดับ 2 เคนทาโร่ ชิบะ หมายเลข 3 – อันดับ 3 ธนากร เลี่ยวไพรัตน์ หมายเลข 22 – อันดับ 4 อัครวุฒิ มังคลสุต หมายเลข 10 และ อันดับ 5 สิตาวีร์ ลิ้มนันทรักษ์ หมายเลข 9

ผลการแข่งขัน “โคโรลล่า อัลติส จีอาร์ สปอร์ต วันเมคเรซ”

อันดับหมายเลขชื่อนักแข่งทีม
151ไอตั้น อัษฏาธรLin Motorsport
23เคนทาโร่ ชิบะORC Racing Motul
322ธนากร เลี่ยวไพรัตน์
410อัครวุฒิ มังคลสุตTOYOTA Racing Star Team
59สิตาวีร์ ลิ้มนันทรักษ์Nexzter Singha Sittipol Racing Team

ปิดท้ายการแข่งขันสนามแรกด้วย ยาริส เอทีฟ เลดี้ วันเมคเรซ โดยในปีนี้ เป็นการเข้าร่วมแข่งขันครั้งแรกของ Toyota Yaris ATIV Carbon Neutral Fuel อีโคคาร์ซีดานยอดนิยม เพื่อส่งเสริมความกลางทางคาร์บอน โดยใช้พลังงานเชื้อเพลิงทางเลือกโดยได้นักแข่งสาวจาก Toyota Racing Star Team “พิชชา มิย่า ทองเจือ” มาขับประเดิม ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกของน้องมิย่าในการขับรถแข่งพลังงานทางเลือก ผลการแข่งขันสนามแรกอันดับ1 ตกเป็นของ สิตานัน พิกุลขจร หมายเลข 107อันดับ 2 สาวิตรี กวางแก้ว หมายเลข 138 – อันดับ 3 ระพีพรรณ มีอุสาห์ หมายเลข 154 – อันดับ 4 พิชชา มิย่า ทองเจือ หมายเลข 198 และ อันดับ 5 กิติยา ธีรวัฒน์วาที หมายเลข 189

ผลการแข่งขัน“ยาริส เอทีฟ เลดี้ วันเมคเรซ”

อันดับหมายเลขชื่อนักแข่งทีม
1107สิตานัน พิกุลขจรSuperclub Racing Team
2138สาวิตรี กวางแก้วPakelo Heroes Racing Team
3154ระพีพรรณ มีอุสาห์Nexkart Racing
4198พิชชา มิย่า ทองเจือTOYOTA Racing Star Team
5189กิติยา ธีรวัฒน์วาทีKT Team Thailand

นอกจากการแข่งขันวันเมคเรซทั้ง 4 รุ่น  ให้ได้ร่วมลุ้นเชียร์แล้ว ยังมีกิจกรรมอื่นๆให้แฟนมอเตอร์สปอร์ตได้ร่วมชมและสนุกสนานกับกิจกรรมมากมาย อาทิ การแข่งขันในรายการ Bangsaen Grandprix รุ่นอื่นๆของ Toyota Gazoo Racing Thailand Team อาทิ รุ่น Super Compact ที่ลงแข่งด้วย Altis Turbo และ Yaris Turbo Carbon Neutral Fuel เพื่อส่งเสริมความกลางทางคาร์บอน โดยใช้พลังงานเชื้อเพลิงทางเลือกและรุ่น Super Pick Up ลงแข่งด้วย Hilux Champ ปรับแต่งพิเศษ รวมถึงรุ่นใหญ่อย่าง GTM Am-Lexus RC-F, GTM Pro Am-Lexus RC-F, GTC-Toyota Supra, GT4 Am-Toyota Supra  และทางโตโยต้ายังได้นำบูธการจัดแสดงรถยนต์ GR Model ชูคอนเซ็ปต์ “MAKE EVER – BETTER CARS From Circuit to the Road” ที่ได้รับความร่วมมือจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย (TMA) ในการศึกษาและเก็บข้อมูลรถจากทุกสนามแข่งขัน เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนายนตกรรมที่ดีขึ้น, ร่วมพูดคุยกับเหล่านักแข่งทีม Toyota Gazoo Racing Thailand, ชมบูธการจัดนิทรรศการ Carbon Neutrality ที่ได้นำรถ Yaris One Make Race (Carbon Neutrality Fuel) ที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกมาจัดแสดง สนับสนุนความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ต และตอกย้ำเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของโตโยต้า, เลือกช็อปบูธขายรถยนต์จากผู้แทนจำหน่ายในจังหวัดชลบุรี และร้านของแต่งรถจากผู้สนับสนุนหลัก ที่มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษมากมาย และสุดพิเศษกับการจัดจำหน่ายของที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้จาก Toyota Gazoo Racing (GR Collection), การรวมตัวของคนรักรถโตโยต้าจาก Car Club ต่างๆ และกิจกรรมใกล้ชิดดารานักแข่ง Toyota Racing Star Team ทั้ง “พิชชา มิย่า ทองเจือ”ป๊ายปาย โอริโอ้” และ “ปังปอนด์ อัครวุฒิ” ซึ่งได้เหล่าแฟนคลับมาร่วมให้กำลังใจถึงขอบสนามแบบล้นหลาม

“สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณท่านผู้สนับสนุนรายการอย่างเป็นทางการ ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และแฟนมอเตอร์สปอร์ต ที่ร่วมกิจกรรมในวันนี้ ขอให้ทุกท่านร่วมสนุกในช่วงสุดสัปดาห์ และสัมผัสจิตวิญญาณของโตโยต้า กาซู เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ขอบคุณมากครับ” มร.ยามาชิตะ กล่าวปิดท้าย

แฟนมอเตอร์สปอร์ตภาคใต้ เตรียมรับความมันส์ สนามที่ 2

“โตโยต้า กาซู เรซซิ่ง ไทยแลนด์ 2024” พร้อมกัน 3-4 สิงหาคม นี้

ณ สวนสาธารณะสะพานหิน จ.ภูเก็ต

ติดตามข้อมูลข่าวสาร และรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Facebook / Youtube: ToyotaGazooRacing Thailand

Instagram: tgrthailand   

TikTok: tgr.Thailand

วอลโว่ เปลี่ยนชื่อรุ่นรถไฟฟ้า พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษ Black Edition

วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ประกาศเปลี่ยนชื่อรุ่นรถไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นใหม่ พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษ Black Edition รถไฟฟ้า Volvo C40 Recharge เปลี่ยนชื่อเป็น Volvo EC40 และ Volvo XC40 Recharge เปลี่ยนชื่อเป็น Volvo EX40

สำหรับการเปิดตัวรุ่นพิเศษ Black Edition เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้ทุกเส้นทาง สำหรับผู้กล้าที่จะแตกต่าง ด้วยโทนสีดำทั้งภายในและนอก อาทิ สีภายนอก Onyx Black, ตราโลโก้วอลโว่หน้ากระจังรถสีดำ, ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วแบบก้านดำเงา และการตกแต่งภายในสี charcoal ทั้งนี้ Volvo EC40 และ EX40 เจนเนอเรชั่นล่าสุดยังมาพร้อมสีใหม่ Sand Dune

วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ประกาศพร้อมจำหน่าย Volvo EC40 และ EX40 รถไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นล่าสุด ซึ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้าของวอลโว่ พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษ แบล็ค เอดิชั่น (Black Edition)

Volvo EC40 และ EX40 ได้รับการเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม ได้แก่ Volvo C40 Recharge และ XC40 Recharge ตามลำดับ เพื่อสร้างความชัดเจนให้กลุ่มผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้าจากวอลโว่ และสอดคล้องกับรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง Volvo EX30 นอกจากนี้ วอลโว่ ยังได้ยุติการใช้คำว่า Recharge ในชื่อผลิตภัณฑ์ทุกรุ่นรวมถึงรถปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid)

มร.คริส เวลส์, กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนแก่ผู้บริโภค และเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบริษัทรถไฟฟ้าในอนาคต วอลโว่ คาร์ จึงเปลี่ยนชื่อรถไฟฟ้าสองรุ่นแรกของเราให้สอดคล้องกับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดตัว เราเชื่อว่าชื่อผลิตภัณฑ์ที่ถูกเปลี่ยนจะช่วยมอบความชัดเจนแก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นเมื่อซื้อรถไฟฟ้า หรือรถปลั๊กอินไฮบริด จากวอลโว่”

นอกจากชื่อและเจนเนอเรชั่นใหม่ วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ยังประกาศการจำหน่าย Volvo EC40 และ Volvo EX40 ในรุ่น Black Edition เพื่อมอบตัวเลือกที่มากขึ้นแก่ผู้บริโภคที่มองหารถไฟฟ้าที่มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สีโดดเด่นสะดุดตา และให้คุณสมบัติการใช้งานที่คล่องตัว ตอบโจทย์ในทุกบทบาทที่เป็นคุณ ในทุกมิติของการใช้ชีวิต

ชื่อรุ่นที่บ่งบอกตัวตน: Black Edition มาพร้อมการออกแบบโทนสีภายนอกด้วยสีดำ Onyx Black องค์ประกอบการตกแต่งอื่น ๆ อาทิ โลโก้วอลโว่ที่กระจังหน้า ตัวอักษรวอลโว่ที่ด้านหลัง ป้ายชื่อรุ่น และล้อแม็กซ์อัลลอย์ขนาด 20 นิ้วดีไซน์ 5 ก้าน ล้วนมาในสีดำไฮกรอส ภายในตกแต่งด้วยโทนสีเข้มรับกับสีตัวรถด้านนอก อาทิ พวงมาลัยแบบสปอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อการจับที่ถนัดมือ เพดานหลังคาภายใน และการตกแต่งภายในมาในโทนสีดำ charcoal เบาะที่นั่งผลิตขึ้นจากวัสดุเนื้อผ้าสีดำแบบ Connect Suede Textile/ Microtech ให้สัมผัสพรีเมียมที่แฝงความเท่ห์ไว้ในตัว ทำให้ Black Edition ของรถทั้งสองรุ่นมีความสปอร์ต และเรียบหรู ในคันเดียวกัน

ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องโดยสารของ Volvo EC40 และ Volvo EX40 ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่เกะกะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสารสามารถเข้าถึงการใช้งานต่าง ๆ ภายในรถได้ง่าย ทั้งยังให้ลุคที่มินิมอล เรียบหรู ในแบบสแกนดิเนเวียนดีไซน์อันเป็นเอกลัษณ์ของวอลโว่

นอกเหนือจากตัวเลือกพิเศษอย่างรุ่น Black Edition  รถไฟฟ้า Volvo EC40 และ EX40 ยังมาพร้อมสีตัวถังภายนอกใหม่ ได้แก่ สี Sand Dune ที่ตัดกับโครงหลังคาสีดำของตัวรถอย่างลงตัว

รถทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบสาระบันเทิง (infotainment) ที่มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม โดยรองรับการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชั่นจาก Google และระบบปฏิบัติการณ์ Android โดยผู้ใช้งานสามารถใช้บริการจาก Google อาทิ บริการนำทาง Google Maps, การสั่งงานต่างๆ ผ่าน Google Assistant หรือดาว์นโหลดแอปที่รองรับผ่าน Google Play Store

พลังขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (Twin Motor)* ของ Volvo EC40 และ EX40 ให้ระยะทางการขับสูงถึง 650 กิโลเมตร ใน Volvo EC40 และ 645 กิโลเมตร ใน Volvo EX40 แบตเตอรี่ความจุขนาด 82kWh แรงม้าสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 408hp ให้แรงบิดสูงสุดถึง 670Nm รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 200 kW DC.

พลังขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว (Single Motor)* ของ Volvo EC40 และ EX40 ให้ระยะทางการขับสูงถึง 590 กิโลเมตร ใน Volvo EC40 และ 565 กิโลเมตร ใน Volvo EX40 แบตเตอรี่ความจุขนาด 69kWh แรงม้าสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 238hp ให้แรงบิดสูงสุดถึง 420Nm รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 150 kW DC.

Volvo EC40 และ EX40 เจนเนอเรชั่นใหม่ รวมถึงรุ่น Black Edition พร้อมให้ผู้สนใจจองแล้ววันนี้

•Volvo EC40 Ultra – Twin Motor Black Edition ราคา           2,490,000    บาท

•Volvo EX40 Ultra – Twin Motor Black Edition ราคา           2,390,000    บาท

•Volvo EC40 Ultra – Twin Motor          ราคา 2,790,000 บาท

•Volvo EC40 Ultra – Single Motor       ราคา 2,090,000 บาท

•Volvo EX40 Ultra – Twin Motor          ราคา 2,690,000 บาท

•Volvo EX40 Ultra – Single Motor       ราคา 1,990,000 บาท

ZEEKR เปิดตัวรถไฟฟ้า ZEEKR X เคาะราคา 1.19 ลบ.

ZEEKR แบรนด์รถไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี เปิดตัว ZEEKR X โกลบอล พรีเมียม คอมแพค เอสยูวี สำหรับคนเมืองยุคใหม่พลังขับเคลื่อนอัจฉริยะ วิ่งไกล 540 กิโลเมตร พร้อมส่งมอบรถภายในเดือนสิงหาคมศกนี้

บริษัท ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ZEEKR Intelligent Technology) เปิดตัวแบรนด์ “ZEEKR (ซีเคอร์)” อย่างเป็นทางการในประเทศไทยสร้างเซกเมนต์ “รถไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชูรี” เติมเต็ม Unmet Need ของผู้บริโภค อัปเลเวลประสบการณ์ไลฟ์สไตล์การเดินทางขั้นสูงสุด พร้อมส่งนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ เปิดตัวและประกาศราคา ZEEKR X โกลบอล พรีเมียม คอมแพค เอสยูวี ที่สร้างมาเพื่อไลฟ์สไตล์คนเมือง เริ่มต้น 1.19 ล้านบาท โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีแห่งยุคอนาคตและดีไซน์อันเป็นเอกลัษณ์มาพร้อมนวัตกรรมการขับขี่สุดไฮเทคและแพลตฟอร์ม SEA อัจฉริยะ

ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี (ZEEKR Intelligent Technology) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2564 ด้วยความมุ่งเน้นที่จะร่วมสร้างสรรค์สุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์แห่งการเดินทาง โดยวางรากฐานการเป็น A Luxury Technology Brand for a New Era ที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมและการสำรวจสิ่งใหม่ๆ โดยสร้างความสำเร็จระดับโลกในระยะเวลาเพียง 29 เดือน ZEEKR สามารถส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 240,000 คันทั่วโลก นับเป็นแบรนด์ที่ได้รับการตอบรับที่เหนือความคาดหมายในระดับสากล ล่าสุดประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นของบริษัทให้กับสาธารณะชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในปี พ.ศ. 2567

มร.เฉิน หยู (มาร์ส) Vice President of ZEEKR Intelligent Technology เปิดเผยว่า “ZEEKR ใช้เวลาเพียง 2 ปีในการส่งมอบรถยนต์ครบ 100,000 คัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ZEEKR กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง เรากำลังสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ด้วยนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ก้าวล้ำยุค และการบูรณาการพลังการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเข้ากับแนวทางที่มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์และพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี เปลี่ยนนิยามของการขับขี่ด้วยประวัติอันยาวนานด้านนวัตกรรมและความมุ่งมั่นในความพึงพอใจของลูกค้า ZEEKR จึงนับเป็นแบรนด์พร้อมที่จะส่งมอบสุดยอดประสบการณ์ของการเดินทาง สู่ยุคสมัยที่เทคโนโลยี ดีไซน์ และไลฟ์สไตล์ระดับลักชูรี สามารถสอดประสานเข้ากันได้อย่างกลมกลืน”

จากความสำเร็จระดับสากล สู่การบุกตลาดไทยที่เติบโตสูงที่สุดในภูมิภาค

แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี ของไทยในระยะต่อไปจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย ttb analytics ประเมินยอดขายรถยนต์อีวี ในปี 2567 จะอยู่ที่ 103,182 คัน หรือขยายตัว 36.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์อีวีเพิ่มสูงขึ้นเป็น 13.4% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 9.8% อย่างไรก็ตาม ยังคงมีช่องว่างของรถอีวีระดับพรีเมียม-ลักชูรี ที่ยังไม่มีแบรนด์ใดทำตลาด เป่า จ้วงเฟย (อเล็กซ์) ZEEKR Intelligent Technology Head of Southeast Asia Region เผยว่า “สำหรับตลาดยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น ZEEKR จะช่วยเข้ามาเติมเต็มเซกเมนต์ พรีเมียม-ลักชูรี ซึ่งจากการพิสูจน์

ในตลาดทั่วโลกทำให้มั่นใจได้ว่า ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ได้สร้างความประทับใจขั้นสูงสุดเมื่อรวมกับอีโคซิสเต็มด้านการบริการอันหลากหลายที่ผสานเข้ากับไลฟ์สไตล์ทุกด้านของผู้ใช้ได้อย่างราบรื่นที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในตลาดระดับโลก วันนี้ เราจะนำเสนอทั้งหมดนี้ให้แก่คนไทยเช่นกัน เรามองเห็นโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ การบริการขาย และการบริการหลังการขายผ่านดีเลอร์รายใหญ่กว่า 6 ราย มี ZEEKR House 14 แห่งและจะขยายเพิ่มอีกกว่า 20 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเราตั้งเป้ายอดขายมากกว่าสองพันคันภายในสิ้นปี 2567 นี้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของลูกค้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรี”

ZEEKR X เอสยูวีสำหรับคนเมืองยุคใหม่ เติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

ZEEKR X เป็นรถเอสยูวีหรูหราขนาดกะทัดรัดที่สร้างขึ้นมาเพื่อไลฟ์สไตล์คนเมืองในปัจจุบัน เป็นรถคู่ใจที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักผจญภัยและครอบครัวที่กำลังมองหาการเดินทางเพื่อสำรวจสถานที่ใหม่ๆ ด้วยสมรรถนะอันทรงพลัง ZEEKR ได้ผสมผสานการควบคุมการขับขี่ขั้นสุดยอด กับนวัตกรรมขับเคลื่อนแห่งโลกอนาคต จากพละกำลังจากระบบมอเตอร์คู่ 315kW (428 hp) แรงบิดสูงสุด 543 Nm อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 3.8 วินาที แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 67 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด 540 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC โดดเด่นด้วยระบบสลับโหมดการขับเคลื่อนอัจฉริยะ (Lightning Switch AWD System) ระหว่างสองล้อและสี่ล้อได้ภายในเสี้ยววินาที ปลอดภัยขั้นสุดด้วยผลการทดสอบความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ตามมาตรฐาน EURO NCAP

ดีไซน์พรีเมียม-ลักชูรีเพื่อการใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างง่ายดาย

ด้วยปรัชญาการออกแบบที่ยึดถือ ความงดงามของนวัตกรรม ความหรูหรา และความยั่งยืน ZEEKR X เปรียบเสมือน สายฟ้าที่เปลี่ยนนิยามใหม่ของการขับขี่โดยไม่กลัวที่จะทลายกรอบเดิม ด้วยแรงบันดาลใจจากความเรียบง่ายแบบสแกนดิเนเวียผสมผสานเส้นสายที่สะอาดและความหรูหราที่โปร่งโล่ง โดยเน้นที่การใช้งาน สร้างพื้นที่ที่เทคโนโลยีผสมผสานอย่างลงตัวกับสุนทรียภาพ ZEEKR X ออกแบบตัวรถให้มีขนาด ความกว้าง x ความยาว x ความสูง 4,432 mm x 1,836 mm x 1,566 mm ระยะฐานล้อ 2,750 mm ซึ่งเป็นขนาดสมมาตรทุกมิติสำหรับรถคอมแพคเอสยูวี โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ไร้ขีดจำกัด สรรสร้างให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็น ความโค้งมนดุจแสงแห่งรุ่งอรุณ กระจกมองข้างแบบไร้กรอบ ดีไซน์ที่จับประตูแบบ Hidden Capacitive Sensing Door Handles ช่องชาร์จไฟที่เรียบสนิทไปกับตัวรถ ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ZEEKR ไฟท้ายแบบ LED พร้อมสัญลักษณ์ ZEEKR แบบสามมิติ การออกแบบภายในที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ของหลังคากระจกพาโนรามาขนาด 1.21 ตารางเมตร พร้อมสัมผัสแสงธรรมชาติที่สาดส่องเข้ามาในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยสี Rose Gold ทั่วทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็นสวิชต์หน้าต่าง ปุ่มเปิดประตู หรือแม้แต่ Hook สำหรับแขวนแจ็คเก็ต หน้าจอกลางขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว มาพร้อมกับชิป 8155 จาก Qualcomm Snapdragon เพื่อรองรับการประมวลผลอย่างรวดเร็ว และเพราะความยั่งยืนคือหัวใจสำคัญของทุกการตัดสินใจออกแบบ ZEEKR จึงใช้วัสดุคุณภาพสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งคัน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่ออนาคตที่สะอาดกว่า

ปลดล็อคประสบการณ์ไลฟ์สไตล์การเดินทางรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมความปลอดภัยขั้นสูง

ZEEKR มองเห็นอนาคตของการขับเคลื่อนที่มีความชาญฉลาด เป็นมิตร มั่นใจ และปรับเปลี่ยนได้ ด้วยระบบอัตโนมัติขั้นสูงแห่งอนาคตที่จะนำพาผู้ใช้งานไปสู่ที่หมายตามต้องการได้อย่างปลอดภัยและง่ายดาย กับนวัตกรรมการขับเคลื่อนด้วยสถาปัตยกรรมทางประสบการณ์ที่ยั่งยืน (Sustainable Experience Architecture – SEA) รวมถึง ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง (ZEEKR Advanced Driving Assistance System – ZEEKR AD) ด้วยกล้องความละเอียดสูง 5 ตัว เรดาร์ความยาวคลื่น 5 มิลลิเมตร และ เรดาร์อัลตราโซนิค 12 ตัว รวมถึงระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ (Automatic Lane Change – ALC) ระบบรักษาตำแหน่งในเลน (Lane Centering Control – LCC) ระบบแจ้งเตือนวัตถุในจุดบอด (Blind Spot Detection – BSD) ระบบแสดงภาพรอบตัวรถ (Around View Monitor – AVM) หนึ่งในจุดเด่นก็คือ โครงสร้างแบบ SEA Platform ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ZEEKR ที่จะช่วยทั้งในด้านการขับขี่ สมรรถนะ การทรงตัว รวมถึงการลดเสียงรบกวนที่อาจเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่ดีเยี่ยม เพิ่มความพิเศษยิ่งขึ้นกับ Lightning Switch Intelligent AWD System หรือระบบปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับขี่แบบ AWD อัตโนมัติเพียงแค่เสี้ยววินาที เทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้ ช่วยให้การขับขี่เกิดความคล่องตัวแต่ยังสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียดนั่นเอง

“ZEEKR X ไม่ได้เป็นเพียงแค่ยานยนต์ไฟฟ้าธรรมดา แต่มันคือปรากฏการณ์ระดับโลก นี่คือ Global Premium Compact SUV เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพลังของความกล้าที่จะแตกต่าง มันไม่ใช่แค่ยานพาหนะ แต่คือสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เป็นตัวแทนของโลกที่เชื่อมโยงกันด้วยความตื่นเต้นเร้าใจของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า” เป่า จ้วงเฟย (อเล็กซ์) กล่าว

ZEEKR X มาพร้อม 5 โทนสีที่ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ได้แก่

●สีขาว Crystal White

●สีครีม Palace Beige

●สีเขียว Pine Green

●สีเทาเข้ม Grid Grey

●สีเทาพิเศษ Mist Grey

โดย ZEEKR X มาทำตลาดในไทยทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Standard ที่มาพร้อมมอเตอร์เดี่ยว ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ให้กำลังการขับขี่ 272 แรงม้า และระยะทางในการขับขี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ไกลถึง 540 กิโลเมตร

ตามมาตรฐาน NEDC มาพร้อมกับอุปกรณ์ครบครัน ทั้งไฟหน้าแบบ Full LED , Panoramic Glassroof ล้อขนาด 18 นิ้ว และที่โดดเด่นคือ ระบบความปลอดภัยทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมีให้ครบตั้งแต่รุ่น Standard ราคา 1,199,000 บาท และรุ่น Flagship ซึ่งเป็นรุ่นที่โดดเด่นด้าน Performance จะเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังสูงถึง 428 แรงม้า และระยะทางการขับขี่ที่ 470 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง โดยรุ่น Flagship จะมีอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ล้อแบบ Forged Wheel ขนาด 20 นิ้ว  AR HUD, ไฟ Ambient Light และระบบเสียงรอบทิศทางจาก YAMAHA ทั้งหมด 13 ตำแหน่ง ราคา 1,349,000 บาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษประกันภัยชั้น 1 พร้อมการรับประกัน ตัวรถ 5 ปี หรือ

150,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน การรับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และบริการ Mobile Service พิเศษสำหรับลูกค้าคนสำคัญ 500 ท่านแรก ที่จองและรับรถภายในสิงหาคม 2567 นี้ รับฟรี Wallbox จาก “VREMT” พร้อมแพคเกจติดตั้ง มูลค่า 50,000 บาท สามารถจองและชมรถได้จาก POP UP ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ Emsphere, Central Westgate, The Mall Bangkae และ Central Rama 2 และติดตามกิจกรรมต่างๆ ของทาง ZEEKR ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

มิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต พร้อมลุยศึกเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต พร้อมจัดทัพลุยศึกเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024 ด้วยออล-นิว ไทรทัน แรลลี่คาร์ รวม 4 คัน

กรุงเทพฯ – 5 กรกฎาคม 2567 : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) เปิดตัวกองทัพนักแข่งทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ภายใต้การสนับสนุนด้านเทคนิคจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมส่ง ออล-นิว ไทรทัน ทั้งหมด 4 คัน ลงสู้ศึกเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024 หรือ เอเอ็กซ์ซีอาร์ 2024 ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11–17 สิงหาคมนี้ บนเส้นทางเขตภาคใต้และภาคกลางของประเทศไทย

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต

ครั้งนี้ นับเป็นปีที่ 3 ที่ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ส่งรถกระบะไทรทันเข้าร่วมชิงชัยในการแข่งขันเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ โดยในปีแรก ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต สามารถขึ้นแท่นคว้าแชมป์ประเภทบุคคลมาครองได้สำเร็จ ขณะที่การแข่งขันปีที่ 2 ทีมแข่งได้เปลี่ยนมาใช้รถกระบะรุ่นใหม่ และคว้าอันดับ 3 ประเภทบุคคลมาครอง การแข่งขันแรลลี่ทั้ง 2 ครั้ง ได้แสดงให้เห็นถึงขีดสุดของความแข็งแกร่งทนทาน ความปราดเปรียวคล่องตัว และสมรรถนะการควบคุมรถที่เหนือชั้น โดยเฉพาะบนสภาพถนนที่สมบุกสมบัน และในปีนี้ รถไทรทันได้รับการปรับปรุงสมรรถนะการขับขี่ให้ก้าวไปอีกขั้นเพื่อทวงบัลลังก์แชมป์

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต พร้อมเดินหน้าสู้ศึกการแข่งขัน โดยมี ทันท์ สปอร์ต (ประเทศไทย) เป็นเจ้าของทีมแข่ง ภายใต้การนำทัพของ มร.ฮิโรชิ มาซูโอกะ อดีตแชมป์ดาการ์ แรลลี่ 2 สมัย ในฐานะผู้อำนวยการทีม ร่วมด้วยทีมวิศวกรของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งจะทำการพัฒนารถแข่งแรลลี่และร่วมเดินทางไปกับทีมแข่งเพื่อสนับสนุนด้านเทคนิคระหว่างการแข่งขัน

เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ชยพล โยธา นักแข่งชาวไทย และ พีรพงษ์ สมบัติวงศ์ ผู้นำทางชาวไทย เจ้าของแชมป์เอเอ็กซ์ซีอาร์ 2022 จะกลับมาร่วมทีมกันอีกครั้ง ร่วมด้วยคู่หูชาวญี่ปุ่น คัตสึฮิโกะ ทากูชิ และ ทาคาฮิโระ ยาสุอิ ที่เคยทำผลงานเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดในกลุ่มนักแข่งชาวญี่ปุ่นในเอเอ็กซ์ซีอาร์ 2023 เสริมทัพด้วย ศักดิ์ชัย ห่านตระกูล และ จุมพล ดวงทิพย์ นักแข่งชาวไทยผู้มากประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในรถมิตซูบิชิอย่างยอดเยี่ยม พร้อมด้วย คาสุโตะ โคอิเดะ นักทดสอบรถของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส จากประเทศญี่ปุ่น และ เออิจิ ชิบะ ผู้นำทางชาวญี่ปุ่น ที่เคยสร้างผลงานเข้าเส้นชัยและขึ้นโพเดียมจากการแข่งขันเอเอ็กซ์ซีอาร์ โดยนักแข่งทั้งหมดจะลงสนามด้วยออล-นิว ไทรทัน ในรุ่น T1 (รถแข่งแบบครอสคันทรี รุ่นโปรโตไทพ์) เพื่อชิงตำแหน่งแชมเปี้ยนอีกครั้ง

ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมจากการแข่งขันในปีที่ก่อน ในปีนี้ รถไทรทัน จึงได้รับการพัฒนาสมรรถนะให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่ต่อสู้ที่มีเครื่องยนต์ความจุสูงกว่าได้ โดยเฉพาะในสเตจการแข่งขันที่ใช้ความเร็วสูงมากๆ โดยมีการติดตั้งระบบส่งกำลังสำหรับรถแข่งซึ่งสามารถรองรับแรงบิดสูง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทนทาน พร้อมให้สมรรถนะการขับขี่ที่คล่องตัว ควบคุมได้ดังใจ นอกจากนี้ ความกว้างช่วงล้อยังได้รับการปรับขยายให้กว้างขึ้น ขณะที่ระบบกันสะเทือนหลัง ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ เปลี่ยนจากแหนบเป็นคอยล์สปริงแบบ 4 link ทำให้ตัวรถสามารถรองรับแรงสะเทือนบนสภาพถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมบนเส้นทางที่สมบุกสมบันได้อย่างยอดเยี่ยม

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของรถแข่งไทรทัน แรลลี่คาร์ ในช่วงวันที่ 21-27 มิถุนายน ที่ผ่านมา ด้วยการจำลองสภาพเส้นทางการแข่งขันบนถนนและเส้นทางออฟโรดใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในประเทศไทย โดยผลการทดสอบพบว่า ตัวถังและแชสซีส์มีความแข็งแรงทนทาน ขณะที่เครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงสมรรถนะและอัตราเร่งให้ดีขึ้น ซึ่งรถแข่งไทรทัน แรลลี่คาร์ สามารถผ่านการทดสอบสุดทรหดเป็นระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร ในระยะเวลา  7 วัน ได้อย่างมั่นใจ ทั้งยังได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การแข่งขันในสนามจริง

“เมื่อปีที่แล้ว เราวางเป้าหมายที่จะครองตำแหน่งแชมป์ 2 สมัยติดต่อกันด้วยรถออล-นิว ไทรทัน ซึ่งเพิ่งเปิดตัวออกมาใหม่ๆ ซึ่งน่าเสียดายที่เราไม่สามารถดึงเอาศักยภาพของรถออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้เราจบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 3”

มร.ฮิโรชิ มาซูโอกะ ผู้อำนวยการทีมแข่งมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต กล่าว “ในปีนี้ เราจึงมุ่งพัฒนารถไทรทันที่จะใช้ขับแข่งให้มีสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ให้การควบคุมที่ดีบนเส้นทางที่ขรุขระสมบุกสมบัน และขยายทีมของเราโดยเพิ่มรถเข้าแข่งเป็น 4 คัน เรามุ่งมั่นที่จะกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ให้ได้ ซึ่งในปีนี้ ทีมแข่งของเรานั้นยังมี คาสุโตะ โคอิเดะ นักทดสอบรถของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งผมได้ร่วมงานด้วยมานานกว่าสองทศวรรษ เข้ามาร่วมทีม เพราะมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีการนำประสบการณ์จากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตสุดหฤโหดมาใช้เพื่อพัฒนารถยนต์มาโดยตลอด ผมจึงหวังว่า เราจะสามารถส่งต่อความชำนาญเหล่านี้ไปสู่บุคลากรของเรา จากรุ่นสู่รุ่น”

ติดตามการแข่งขัน เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ ได้ที่เว็บไซต์

https://www.mitsubishi-motors.com/en/brand/ralliart/axcr

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต

ผู้อำนวยการทีม: ฮิโรชิ มาซูโอกะ (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส)

เจ้าของทีม: ชยุส ยังพิชิต (ทันท์ สปอร์ต)

ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค: ก่อพงษ์ อมาตยกุล (ทันท์ สปอร์ต)

ฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิค (ตัวถังและแชสซีส์): โนริโยชิ ไอบะ (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส)

ฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิค (เครื่องยนต์): เท็ตสึยะ มาคิตะ และ มาซาทากะ ซุยกิ (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส)

นักแข่งและผู้นำทาง

ชยพล โยธา

ตัวแทนจาก: ประเทศไทย

เกิด: 16 สิงหาคม 2530 (อายุ 36 ปี)

ประวัติการแข่งขัน: ชยพลคร่ำหวอดในการแข่งขันแรลลี่และมอเตอร์สปอร์ตหลายรายการในประเทศไทย และเป็นผู้นำทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต คว้าแชมป์จากการแข่งขันเอเอ็กซ์ซีอาร์ครั้งแรก เมื่อปี 2022 ตามมาด้วยการคว้าอันดับที่ 3

ในการแข่งขันเอเอ็กซ์ซีอาร์ 2023

ผู้นำทาง: พีรพงษ์ สมบัติวงศ์ (ประเทศไทย)

คัตสึฮิโกะ ทากูชิ

ตัวแทนจาก: ประเทศญี่ปุ่น

เกิด: 7 กุมภาพันธ์ 2515 (อายุ 52 ปี)

ประวัติการแข่งขัน: คัตสึฮิโกะ ทากูชิ คว้าแชมป์ประเภทกรุ๊ป N ในการแข่งขันแรลลี่ เจแปน ในปี 2550 ทั้งยังคว้าแชมป์

2 สมัย จากการแข่งขันระดับนานาชาติ ในรายการ FIA Asia Pacific Rally Championship (APRC)

ผู้นำทาง: ทาคาฮิโระ ยาสุอิ

ศักดิ์ชัย ห่านตระกูล

ตัวแทนจาก: ประเทศไทย

เกิด: 29 พฤศจิกายน 2505 (อายุ 61 ปี)

ประวัติการแข่งขัน: ศักดิ์ชัย ห่านตระกูล สั่งสมประสบการณ์การแข่งขันแรลลี่มานานกว่า 30 ปี ทั้งยังคุ้นเคยและเชี่ยวชาญการขับรถยนต์มิตซูบิชิ เป็นอย่างดี โดยได้เข้าร่วมการแข่งขันมากมาย รวมถึงรายการ ดาการ์ แรลลี่ 1996 ด้วยมิตซูบิชิ ปาเจโร

ผู้นำทาง: จุมพล ดวงทิพย์ (ประเทศไทย)

คาสุโตะ โคอิเดะ

ตัวแทนจาก: ประเทศญี่ปุ่น

เกิด: 19 มิถุนายน 2522 (อายุ 45 ปี)

ประวัติการแข่งขัน: คาสุโตะ โคอิเดะ เข้าทำงานกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในเดือนเมษายน 2541 ในฐานะนักทดสอบรถยนต์ จึงมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญการขับรถยนต์มากมาย อาทิ ปาเจโร และแลนเซอร์ อีโวลูชั่น ปัจจุบัน เขายังเป็น

ผู้ฝึกสอนทักษะการขับขี่ให้แก่พนักงานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส รวมทั้งยังเป็นผู้สาธิตการขับขี่ในงานกิจกรรมต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น

ผู้นำทาง: เออิจิ ชิบะ (ประเทศญี่ปุ่น)

ข้อมูลทางเทคนิคของรถ ไทรทัน แรลลี่คาร์

มิติตัวถัง ยาว x กว้าง5,320 มม. x 1,955 มม.
ระยะฐานล้อ3,130 มม.
ความกว้างช่วงล้อ (หน้า/หลัง)1,730 มม.
เครื่องยนต์4N16 ดีเซล เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์
ระบบหัวฉีดหัวฉีดแรงดันสูง คอมมอนเรล ไดเรคอินเจคชั่น
ความจุกระบอกสูบ2,439 ซีซี
เทอร์โบชาร์จมิตซูบิชิ เฮฟวี่ อินดัสตรี่ส์ เอนจิ้น แอนด์ เทอร์โบชาร์จเจอร์
กำลังสูงสุด150 กิโลวัตต์ หรือมากกว่า
แรงบิดสูงสุด470 นิวตันเมตร หรือมากกว่า
ระบบท่อไอเสียHKS AXCR 2024 สำหรับการแข่งขัน
ระบบส่งกำลังเกียร์ซีเควนเชียลแบบ 6 สปีด น้ำมันเกียร์ Moty’s
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบฟูลไทม์
เฟืองท้ายCUSCO LSD หน้าและหลัง
ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระ ดับเบิลวิชโบน พร้อมคอยล์สปริง
ระบบกันสะเทือนหลังคอยล์สปริงแบบ 4 link
โช้คอัพCUSCO โช๊คอัพปรับระดับได้ทั้งหน้าและหลัง
ชุดกันกระแทก ไฮโดรลิก
ระบบบังคับเลี้ยวแร็กแอนด์พีเนียน พร้อมระบบช่วยผ่อนแรง
ระบบเบรกดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนจาก ENDLESS
พร้อมผ้าเบรก และคาลิปเปอร์เบรกแบบชิ้นเดียว
น้ำมันเบรกสำหรับการแข่งขันจาก FORTEC
ล้อล้ออลูมินั่มอัลลอยจาก WORK (ขนาด 17 นิ้ว x 7J)
ยางYokohama GEOLANDAR M/T G003 (ขนาด 245/75R17)
ฟีเจอร์อื่น ๆซุ้มล้อหน้าคาร์บอนไฟเบอร์ แผงข้างประตูหน้าและหลังคาร์บอนไฟเบอร์
กระบะท้ายคาร์บอนไฟเบอร์

บริษัทที่ร่วมให้การสนับสนุน (เรียงตามลำดับตัวอักษร ข้อมูล ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2567)

ทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต เข้าร่วมการแข่งขันเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024 โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทพันธมิตร ดังนี้

บริษัทพันธมิตรการสนับสนุน
CARROSSER Co., Ltd.พัฒนาระบบกันสะเทือนหน้าและหลัง พร้อมเฟืองท้าย LSD รวมถึงระบบกันโคลงจาก CUSCO
CARRY ART LLCสนับสนุนการเข้าร่วมแข่งขัน
ENDLESS ADVANCE Co., Ltd.สนับสนุนคาลิปเปอร์เบรก ดิสก์เบรก และผ้าเบรก  
ENEOS Corporationสนับสนุนน้ำมันเครื่อง
Fortec Motorsport Ltdสนับสนุนน้ำยาหล่อเย็น น้ำมันเบรกสำหรับการแข่งขัน
HANKYU HANSHIN EXPRESS Co., Ltd.สนับสนุนการเข้าร่วมแข่งขัน
HKS Co., Ltd.สนับสนุนการพัฒนาเครื่องยนต์สำหรับการแข่งแรลลี่
Mitsubishi Heavy Industries Engine & Turbocharger, Ltd.สนับสนุนเทอร์โบชาร์จ
Mitsubishi Motors Dealers Associationสนับสนุนการเข้าร่วมแข่งขัน
TPR Co., Ltd.สนับสนุนแหวนลูกสูบ และการเข้าร่วมแข่งขัน
TriboJapan Co., Ltd.สนับสนุนน้ำมันเกียร์
Work Co., Ltd.สนับสนุนล้ออัลลอย (CRAG T-GRABIC II)
The Yokohama Rubber Co., Ltd.สนับสนุนยาง GEOLANDAR M/T G003

เกี่ยวกับการแข่งขันเอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024

เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ เป็นการแข่งขันแรลลี่ข้ามประเทศรายการใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 29 ในปีนี้ พิธีเปิดการแข่งขันจะจัดขึ้นในวันที่ 11 สิงหาคม ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ริมชายทะเลฝั่งอ่าวไทยทางภาคใต้ของประเทศไทย จากนั้น การแข่งขันจะเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 12 สิงหาคม โดยหลังจากที่มีการประกาศปรับเปลี่ยนเส้นทางใหม่แล้ว นักแข่งจะประลองความเร็วบนเส้นทางที่ขับขึ้นเหนือตามแนวพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า ผ่านอำเภอหัวหินในประเทศไทย ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ทั้งยังเป็นสถานที่แปรพระราชฐานของพระบรมวงศานุวงศ์ไทย การแข่งขันจะสิ้นสุดในวันที่ 17 สิงหาคม ณ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางตะวันตกราว 130 กิโลเมตร นักแข่งและผู้นำทางจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคตลอดระยะทางรวมทั้งสิ้นกว่า 2,400 กิโลเมตร โดยมีเส้นทางกว่า 1,000 กิโลเมตรที่นับเป็นสเตจพิเศษ เส้นทางการแข่งขันในปีนี้คาดว่าจะหฤโหดกว่าทุกครั้งที่เคยมีมา ทั้งพาดผ่านเทือกเขา ตะลุยป่าทึบ ข้ามแม่น้ำลำธาร ขณะที่ต้องขับแข่งด้วยความเร็วสูง ซึ่งล้วนเป็นบททดสอบสมรรถนะ ความปราดเปรียว และความแข็งแกร่งทนทานของรถแข่งแรลลี่ที่เข้าร่วมรายการ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save