- Advertisement -
26.9 C
Bangkok
Home Blog Page 39

สมาคม สรยท. เข้าพบแนะนำคณะกรรมการบริหารชุดใหม่กับผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์

สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย เข้าพบแนะนำคณะกรรมการบริการชุดใหม่กับผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ และทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงแนวทางการร่วมมือทางวิชาการ

นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ (Thailand Automotive Journalists Association : TAJA) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ เข้าพบ ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ (Thailand Automotive Institute : TAI) กระทรวงอุตสาหกรรม​ โดยการเข้าพบครั้งนี้นอกจากแนะนำคณะกรรมการบริหารสมาคมชุดใหม่ วาระปี 2567-2569 แล้ว ทั้งสองฝ่ายยังได้มีการแลกเปลี่ยนควาคิดเห็นแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย และหารือถึงความร่วมมือทางวิชาการการและการจัดกิจกรรมร่วมกัน อาทิ การจัดสัมมนาทางวิชาการ และการจัดงานมอบรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567 (Thailand Car of The Year​ 2024) นอกจากนี้ในวงสนทนายังได้กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (Automotive and Tyre Testing, Research and Innovation Center : ATTRIC) ตั้งอยู่ที่อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ และมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 5,000 ล้านบาท สำหรับสนามทดสอบรถยนต์มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปมากว่า 50% โดยโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ มีกำหนดก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2569

มาสด้า ผนึก สวาทแคท จัดฟุตบอลนัดพิเศษหารายได้เพื่อสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิก

“มาสด้า” ผนึก “สวาทแคท” เดินหน้า Sport Marketing จัดกิจกรรมหารายได้สนับสนุนกีฬาโอลิมปิกพาลูกค้าชมฟุตบอลนัดพิเศษเพื่อการกุศล ระหว่าง “เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี” มอบรายได้ให้กับสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิก

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 30 กรกฎาคม 2567 – มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และทีมสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี (สวาทแคท) ทีมฟุตบอลในไทยลีก 1  ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกีฬาโอลิมปิก 2567 มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ ด้วยการร่วมสนับสนุนการจัดการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรเพื่อการกุศลนัดพิเศษ ระหว่างทีม เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี พร้อมนำลูกค้ามาสด้าและแฟนบอลเข้าชมการแข่งขันอย่างคับคั่งล้นสนาม นับเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะมทั้งสองทีมเป็นอย่างมาก บ่งบอกถึงกระแสนิยมของกีฬาฟุตบอลที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนคนไทย

หลังกรรมการผู้ตัดสินเป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน ทั้งสองทีมเล่นกันอย่างเต็มที่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสนุกท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายตลอดทั้งเกม 90 นาที ผลการแข่งขันปรากฏว่าทีมเมืองทอง ยูไยเต็ด เฉือนเอาชนะไปได้แบบสุดมัน 2 ประตู ต่อ 1 ที่สำคัญ รายได้จากการจัดแข่งขันในครั้งนี้จะถูกนำไปมอบให้กับสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิก ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ใช้กีฬาในการพัฒนาทักษะและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พิการทางสติปัญญาไทยต่อไป

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การจัดกิจกรรมเพื่อให้การสนับสนุนทางด้านกีฬาหรือสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เป็นสิ่งที่มาสด้าเดินหน้าให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกีฬาฟุตบอล ที่มาสด้าเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีมสวาทแคท (สโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี) อย่างยาวนานถึง 12 ปี ซึ่งเกิดจากความตั้งใจจริงของมาสด้าที่ต้องการมีส่วนช่วยสนับสนุนวงการกีฬาของประเทศไทย และร่วมผลักดันนักกีฬาไทยให้ไปไกลถึงในระดับสากล นับตั้งแต่มาสด้าได้เข้ามาให้การสนับสนุนทีมสวาทแคท ได้มีการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ที่ล้วนมีส่วนผลักดันและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคให้เจริญก้าวหน้า รวมถึงช่วยเติมเต็มความฝันให้กับเยาวชนที่มีใจรักในกีฬาฟุตบอลได้มีโอกาสเรียนรู้เสริมทักษะ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักกีฬาระดับอาชีพ กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่มาสด้าได้ดำเนินการเป็นประจำทุกปี

มาสด้าในฐานะเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของทีมสวาทแคท จึงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทีมฯ ในการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรเพื่อการกุศลในครั้งนี้ มาสด้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีลูกค้ามาสด้าและบรรดาแฟนๆ สวาทแคทเป็นจำนวนมากเดินทางมาร่วมส่งเสียงเชียร์กันอย่างกึกก้องไปทั่วสนาม และยังเห็นสปิริตของนักกีฬาที่ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเป็นสปิริตเฉกเช่นเดียวกับชาวมาสด้าที่มีต้นกำเนิดจากเมืองฮิโรชิม่า ที่ไม่ย่อท้อต่อต่ออุปสรรคใดๆ และมาสด้าขอเชิญชวนคนไทยมาร่วมส่งกำลังใจนักกีฬาไทย ที่กำลังเดินทางเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่กำลังลงทำการแข่งขันอยู่ในขณะนี้

มาสด้าซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์หลักของสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ขอมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลการกุศลในครั้งนี้ พร้อมสนับสนุนนักกีฬาโอลิมปิคของประเทศไทย ที่เดินทางไปร่วมการแข่งขันที่กรุงปารีส ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 – 11 สิงหาคม 2567 นี้ มาสด้าเชื่อว่าด้วยสปิริตและการร่วมแรงร่วมใจกันของประชาชนคนไทยในทุกฝ่ายที่มีให้กับนักกีฬาไทย จะเป็นแรงสนับสนุนและสร้างขวัญกำลังใจได้เป็นอย่างดี และส่งเสริมให้นักกีฬาไทยสามารถคว้าชัยชนะ และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้อย่างแน่นอน

บรรยายภาพ : (จากซ้ายไปขวา) ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดย นายวัชระ เจียรบุญ ผู้จัดการทั่วไป แผนกการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี นำโดยนายเทวัญ ลิปตพัลลภ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี, นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ประธานสโมสรฯ และ นางสาวอัญรินทร์ วงศ์อัครพัฒนา รองประธานฝ่ายรายได้และสิทธิประโยชน์ สโมสรฯ ร่วมกันถ่ายภาพในงานฟุตบอลการกุศล ระหว่าง “เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี”

โปรดติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมของมาสด้าผ่านทางโซเชียลมีเดีย

เว็บไซต์ www.mazda.co.th และ MazdaThailandOfficial: Facebook/YouTube/Instagram/LINE

ยานยนต์ไทยฝ่าวิกฤต จับกระแสยุคเปลี่ยนผ่านสู่ EV

“เดอะ สเปซบาร์” เปิดเวทีสัมมนาระดมสมองเปิดมุมมองถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ภายใต้หัวข้อ ยานยนต์ไทยยุคอีวี โอกาส หรือ วิกฤต..? เหล่ากูรู มองอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ต้องปรับตัว หลังมีความท้าทายสูง ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสงครามราคา

• กูรู EV มอง EV ไทยเป็นทั้งโอกาส และวิกฤต

• เล็งโอกาส เป็นเรื่องระยะยาว แต่ล่าสุด เป็นวิกฤตของการปรับเปลี่ยน

• ปรับตัวอย่างเข้มข้นในอุตสาหกรรมรถยนต์

โลกยุคพลังงานสะอาด มุ่งหน้าสู่ EV มุ่งเป็นฮับอีวีไทย ฝันสวยงาม แต่ตอนนี้เริ่มจะมีความเสี่ยง การเปลี่ยนไปของเทคโนโลยี และแง่ผู้นำการผลิตรถยนต์ ประเทศเรารับมือการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

สุปรีย์ ทองเพชร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะสเปซบาร์ จำกัด ชี้ประเด็นการเกิดขึ้นของรถยนต์อีวีไทย ถือเป็นโอกาส แต่อาจจะมีวิกฤตเข้ามาสอดแทรกบ้าง เช่น สงครามด้านราคา ซึ่งมีต้นเหตุมาจากตลาดรถยนต์ในจีนประสบภาวะโอเวอร์ซัพพลาย จึงพยายามหาตลาดใหม่ โดยที่ไทยก็เป็นเป้าหมายที่สำคัญ ทำให้เกิดสงครามราคาขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ภาพใหญ่มองว่า เป็นโอกาส เพราะรถไฟฟ้าเป็นเรื่องของเทคโนโลยี เป็นเรื่องของอินฟาสตรัคจอร์ ไม่ใช่ยานยนต์เพียงอย่างเดียว โดยการเติบโตมีโอกาสมากมาย ขึ้นอยู่กับไทย จะคว้าโอกาสได้มากน้อยแค่ไหน และจะรับมือกับวิกฤติครั้งนี้อย่างไร เป็นที่มาให้นำกูรู มาฉายภาพ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และต้องยอมรับด้วยว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังต้องปรับตัวอย่างเข้มข้นในอุตสาหกรรมรถยนต์

วิทวัฒน์ ทองเวส เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เราไม่ปฏิเสธเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เพราะเป็นไปตามเทรนด์โลกที่มุ่งใช้พลังงานสะอาด แต่ถือว่ารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาเร็วไป ท่ามกลางสถานีชาร์จที่ยังไม่พร้อม โดยเฉพาะในแถบชานเมืองจะเห็นภาพ ความไม่พอของจุดชาร์จช่วงเทศกาล ทำให้ต้องต่อคิวเพื่อชาร์จรถยนต์จำนวนมาก

ขณะที่ในแง่แรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ จะถูกแทนด้วย AI หรือไม่นั้น กล่าวได้ว่า เรื่องแรงงานต้องมีการปรับตัว ปรับทักษะ (Skill) ให้สอดรับกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เปลี่ยนไปพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น เท่ากับว่า ทักษะแรงงานก็ต้องรองรับเทคโนโลยี แต่จะเห็นได้ว่า ภาครัฐเองก็ยังไม่มีนโยบายรองรับ สถาบันการศึกษาก็ยังไม่มีหลักสูตร ทางกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงมีการพูดคุยให้นำหลักสูตรจากต่างประเทศ มารองรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น

ณชา อนันต์โชติกุล หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ KKP Research กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร (KKP) ให้มุมมองว่า อุตสาหกรรมอีวี เป็นทั้งโอกาสและวิกฤต กล่าวได้ว่า EV คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำหรับประเทศไทยแล้วถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาก อาจจะใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี เพราะ 2 ด้านที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คือหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ มาเป็นไฟฟ้า และอย่างที่สอง คือ การเปลี่ยนแปลงผู้เล่น จากเดิมที่เป็นค่ายญี่ปุ่น-ยุโรป ก็กลายมาเป็น ‘จีน’ ที่ถือได้ว่า เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ที่ทรงพลังมากและต้องการเป็นเจ้าตลาด

“2 ความท้าทายใหญ่ขนาดนี้ เขย่าสะเทือนโลกขณะนี้ มันมากระทบกับสถานะที่เราเป็นที่ 1 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์เราเป็น ICE (สันดาปภายใน) อันนั้น ก็โดนดิสรัปอย่างหนึ่งแล้ว อย่างที่ 2 คือว่า ค่ายรถยนต์ที่อยู่ในเมืองไทยมาดั้งเดิม (ญี่ปุ่น) พอผู้เล่นหน้าใหม่ (จีน) เข้ามาตีตลาด มาแข่งขัน เลยทำให้ผู้เล่นรายเดิมที่ไทยเป็นพันธมิตรด้วย และเป็นฐานการผลิตในไทยโดนกระทบไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ภาครัฐ น่าจะต้องมีมาตรการที่ให้โอกาสอย่างเท่าเทียม”

ณชา กล่าวด้วยว่า เราไม่ได้ปฏิเสธการเข้ามาของ EV ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องไม่ดี แต่ยังไงก็ตาม การเปลี่ยนเทคโนโลยีไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะรถยนต์ แต่ได้เกิดขั้นในทุกอุตสาหกรรม ถือเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว เพราะถือเป็นการสร้างโอกาสใหม่ ๆ มากมาย ที่น่ากังวล คือว่า ถ้าเราไม่มีการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ให้ดี ๆ เราก็อาจเพลี่ยงพล้ำ และทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบทั้งต่อเศรษฐกิจ ต่อซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันได้ รวมไปถึงเรื่องแรงงาน การจ้างงาน (แรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์) ที่ต้องบอกว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจไทยด้วย

สุโรจน์ แสงสนิท นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้า (EVAT) มองว่า รถยนต์ไฟฟ้า อาจไม่ใช่โอกาส 100% หากเปรียบเทียบรถน้ำมันกับรถไฟฟ้า ส่วนที่ต่างคือ การขับเคลื่อน ซึ่งมีหลายอย่างจะหายไป โดยหนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องยนต์ ท่อไอเสีย แล้วก็หม้อลมเบรก

“เรื่องสงครามการค้าระหว่าง อเมริกา กับ จีน ซึ่งปีที่ในจีนเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลกของรถไฟฟ้า แต่ปัจจุบันประตูการค้าของยุโรป และอเมริกา ได้ปิดลง และถือเป็นวิกฤตของจีน แต่นั้นกลับกลายเป็นโอกาสของกลุ่มอาเซียนเรา แม้ประตูการค้าปิดลงแต่ยังไม่มีการย้ายฐานการผลิต อีก 12 เดือนข้างหน้าจะมีย้ายถิ่นฐานการผลิตเข้าในไทย เสมือนการเปลี่ยนสัญชาติรถยนต์ไฟฟ้า นั่นจึงกลายเป็นโอกาสให้ซับพลายได้รับการอัพสกิล”

ส่วนการเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า จนทำให้ราคาลดลง จะกลายเป็นตัวบีบให้เกิดสงครามราคา หรือไม่นั้น นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวว่า สงครามราคาไม่ได้เพิ่มยอด ลูกค้าหลายคนก็จะคอยราคาว่า จะลดอีกหรือไม่ คนที่ซื้อแล้วจะเกิดความไม่พอใจ และเพิ่มแรงต่อต้านขึ้นมา การผลิตชดเชย การลดราคา สงครามราคาไม่ใช่การที่เราต้องผลิตชดเชย ที่จริงแล้วสต็อกยังนำเข้าอยู่ โดยปัจจุบัน มีแค่ 3 ยี่ห้อที่ผลิตในประเทศ ซึ่งก็ยังไม่พอ MG, เกรท วอลล์ มอเตอร์, เนตา เพิ่งเริ่มผลิตได้หลายพัน แต่ยังไม่พอชดเชย 1 เท่า ไม่ใช่ว่ากำลังผลิตไม่พอ แต่เป็นการผลิตไปกอง เนื่องจากขายไม่ออก และต้องเบรกการผลิตไป

ส่วนสถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้า มองว่ายังไม่ตก แม้อัตราการเร่งตกลงไป ถ้าหากดูจากสถิติรถไฟฟ้าทั่วโลกยังเติบโตอยู่ประมาณ 14 ล้านคัน ส่วนในประเทศ อัตราส่วนถ้าเทียบกับรถยนต์สันดาป อย่างปีที่แล้วไป 12% ปีนี้เป็น 13% เรียกว่าอัตราการเร่งดร็อบลงไปโดยปัจจัย เรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวหลัก ตามมาด้วยสงครามราคา

ด้าน พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด ระบุว่า เห็นด้วยว่าเรื่องรถยนต์ EV ถือเป็นโอกาส มากกว่าวิกฤต การที่จีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลเราให้การสนับสนุนแรงที่สุดในอาเซียน จึงทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้น 70,000 กว่าคันเกือบ 80,000 คัน ประกอบกับรัฐบาลไทย ยังอนุญาตให้นำเข้าก่อนด้วยแล้วค่อยผลิตชดเชย มองว่ามันเป็นโอกาสของประเทศไทย

“การที่จีนเข้ามาลงทุนในไทย ผมว่าเป็นโอกาสแต่จะกลายเป็นวิกฤตตรงที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนในบ้านเราจะปรับตัวได้ทันหรือไม่”

ส่วนเรื่องสงครามราคา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด ระบุว่า สงครามราคาถือเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเผ็ดร้อน โดยสงครามราคาถือเป็นปัจจัย ที่ทำให้เกิดความสับสนและขาดความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภค ดังนั้น เราต้องมองว่าเมื่อไหร่มันจะถึงจุดสิ้นสุด ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นความเจ็บปวดของผู้ผลิตโดยต้องยอมรับว่าการที่รถยนต์ไฟฟ้าผลิตในประเทศไทย ราคาอาจไม่ได้ถูกเท่าประเทศจีน

“แม้เราไม่สามารถหยุดความคิดของบางแบรนด์ได้ แต่เมื่อกลไก ผลิตรถยนต์แต่ละค่ายเริ่มผลิตแล้ว สงครามราคา ไม่น่าลงไปกว่านี้และน่าจะสิ้นสุดในเร็ว ๆ นี้”

ส่วนมูลเหตุสำคัญที่ทำให้ เกิดสงคราม คาดว่าเกิดจาก Over ซับพลายที่จีน ซึ่งในจีนอาจมีการอัดฉีดยอดการผลิตจนไม่สามารถระบายออกได้ทัน จึงล้นเข้าประเทศไทย อีกอย่างน่าจะเป็นความพยายามการแย่งมาร็เก็ตแชร์ ทั้ง EV และรถน้ำมัน รวมถึงการเอาชนะญี่ปุ่น จึงทำให้เกิดความไม่ปกติในตลาดรถยนต์ EV

วิริยะประกันภัย ร่วม บขส. สบทบทุนจัดซื้อรถวีลแชร์เพื่อผู้ป่วยด้อยโอกาส

วิริยะประกันภัย ร่วมสบทบทุนจัดซื้อรถวีลแชร์เพื่อผู้ป่วยด้อยโอกาส ในโอกาสครบรอบ 94 ปี บขส.

นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) รับมอบเงินสนับสนุนการจัดซื้อรถวีลแชร์ จำนวน 50,000 บาท จาก บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมีนางสาวกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาด เป็นผู้แทนมอบ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยด้อยโอกาสที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว ให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ภายใต้โครงการ “ทุกการเดินทางขับเคลื่อนความสุขสู่คนไทยด้วยวีลแชร์” ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ครบรอบ 94 ปี “Change for The Better : เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า” ณ อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) ถนนกำแพงเพชร 2 กรุงเทพมหานคร

ประกาศสมาคม : แจ้งเพิ่มช่องทางการสื่อสารใหม่กับสมาชิกผ่าน LINE OFFICIAL

แจ้งเพิ่มช่องทางการสื่อสารใหม่กับสมาชิกผ่าน LINE OFFICIAL

29 กรกฎาคม 2567

ประกาศสมาคม : แจ้งเพิ่มช่องทางการสื่อสารใหม่กับสมาชิกผ่าน LINE OFFICIAL2)

ด้วยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) (ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2542) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างสมาชิกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมและสนับสนุนวิชาชีพผู้สื่อข่าวด้านรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยในปี 2567 นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมฯ และคณะกรรมการบริหาร ยังคงดำเนินนโยบายบริหารงานตามจุดมุ่งหมายภายใต้วัตถุประสงค์ของสมาคมฯ ที่ตั้งไว้

เนื่องจากที่ผ่านมาสมาคมฯ มีช่องทางการสื่อสารกับสมาชิกที่คงสถานภาพปัจจุบันผ่านช่องทางอีเมล์ [email protected] เพียงช่องทางเดียว ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันอาจไม่เพียงพอ
ทางคณะกรรมการบริหารเห็นควรให้เพิ่มช่องทางการสื่อสารใหม่ เพื่อให้สมาชิกสามารถสื่อสารกับสมาคมฯ ได้โดยตรง และรวดเร็วมากยิ่งขึ้นผ่าน LINE OFFICIAL : @tajathailand

สมาชิกสามารถเข้าสู่แอคเคาท์ LINE OFFICIAL : @tajathailand นี้ได้โดยการสแกน QR Code ที่แนบมากับประกาศฉบับนี้ หรือเพิ่มผ่านทาง Application LINE ที่เมนูเพิ่มเพื่อน และค้นหาเพื่อนผ่าน LINE ID จากนั้นพิมพ์คำว่า @tajathailand

นอกจากนี้ LINE OFFICIAL : @tajathailand จะใช้สำหรับสื่อสารข้อมูลข่าวสาร กิจกรรมต่างๆ ที่ทางสมาคมฯ จัดขึ้นให้กับสมาชิกรับทราบ รวมถึงสมาชิกสามารถแจ้งข้อมูล หรือสื่อสารเรื่องอื่นๆ ให้กับสมาคมฯ รับทราบได้เช่นกัน

อนึ่ง ในปี 2567 นี้ สมาคมฯ จะดำเนินการออกบัตรประจำตัวให้กับสมาชิก สำหรับสมาชิกที่ประสงค์ให้ทางสมาคมฯ ออกบัตรประจำตัวให้ สามารถส่งภาพถ่ายหน้าตรงสวมชุดสุภาพ และข้อมูลส่วนตัว
(ชื่อ-สกุล ไทย-อังกฤษ สังกัด ตำแหน่ง กรุ๊ปเลือด) ให้กับสมาคมเพื่อดำเนินการออกบัตร โดยสามารถส่งข้อมูลดังกล่าวผ่านช่องทาง LINE OFFICIAL : @tajathailand

สำหรับสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ทางสมาคมฯ ได้ดำเนินการออกบัตรรวมถึงประกันอุบัติเหตุให้กับสมาชิกกลุ่มดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดส่ง

ทั้งนี้ สมาคมฯ ขอความร่วมมือสมาชิกที่คงสถานภาพปัจจุบันทุกท่านให้เพิ่มเพื่อน LINE OFFICIAL : @tajathailand พร้อมแจ้ง ชื่อ-สกุล สังกัด ภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2567 เพื่อตรวจสอบข้อมูลการออกบัตรประจำตัวให้กับสมาชิก รวมถึงประสานข้อมูลที่อยู่เพื่อจัดส่งบัตรประจำตัวสมาชิกทางไปรษณีย์
ให้แล้วเสร็จภายในเดือน สิงหาคม 2567

สามารถตรวจสอบรายชื่อสมาชิกที่คงสถานภาพปัจจุบันได้ที่ https://taja.or.th/taja-member/ หากสมาชิกมีข้อสงสัย หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสมาคมฯ ได้ทุกช่องทาง

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางสาวหทัยชนก  ทองมณี ผู้จัดการสมาคมฯ

โทร : 06 1223 7516, 08 9996 4666 

email: [email protected]

LINE OFFICIAL : @tajathailand

วิริยะประกันภัย คว้ารางวัลแบรนด์ประกันภัยรถยนต์ ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศ

วิริยะประกันภัย คว้ารางวัลแบรนด์ประกันภัยรถยนต์ ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศ รางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” รางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 หมวดประกันภัยรถยนต์

นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้ารับรางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” รางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 หมวดประกันภัยรถยนต์ จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ โดย Marketeer Group สำนักข่าวการตลาดและสถาบันรางวัลคุณภาพ ซึ่งรางวัลดังกล่าวได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจประกันภัยรถยนต์ของวิริยะประกันภัย ที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดจากผู้บริโภค ณ ห้องฉัตรา บอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้กรุงเทพ

สำหรับ เกณฑ์การมอบรางวัลบนเวที Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 นั้น ทาง Marketeer Group ได้ร่วมมือกับ Marketing Moves บริษัทวิจัยทางการตลาดชั้นนำ ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคไม่น้อยกว่า 5,500 ตัวอย่าง ครอบคลุมทั้ง 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ โดยวิริยะประกันภัย ครองคะแนนเป็นอันดับ 1 ในหมวดประกันภัยรถยนต์ ที่ได้รับการรู้จัก (Awareness) จากกลุ่มผู้บริโภคมากที่สุด ด้วยปัจจัยของการมีผลิตภัณฑ์และบริการประกันวินาศภัยที่มีคุณภาพและความคุ้มค่า เป็นผู้นำธุรกิจประกันวินาศภัยพร้อมด้วยนวัตกรรมที่ก้าวหน้า สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เสมอ รวมถึงเป็นบริษัทฯ ที่มีชื่อเสียงและคุ้นเคยในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้บริโภคที่ไว้วางไว้ให้วิริยะประกันภัย เป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจของทุกท่าน พร้อมทั้งขอให้คำมั่นสัญญาที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทพัฒนาบริการประกันวินาศภัยในทุกด้านอย่างไม่หยุดยั้ง ดั่งที่ดำเนินการมาตลอด 77 ปี ด้วยความมั่นคงและเป็นธรรม

“ลามิน่า” คว้ารางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ต่อเนื่อง 9 ปีซ้อน

“ลามิน่าฟิล์ม” ตอกย้ำความเป็นผู้นำฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร คว้ารางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1  ของประเทศไทย ประจำปี 2567 หรือ Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 ต่อเนื่องปีที่ 9 ตอกย้ำความแข็งแกร่งของลามิน่าที่หนึ่งในใจผู้บริโภค จัดโดยมาร์เก็ตเธียร์ กรุ๊ป ร่วมกับ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด

บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และอาคาร “ลามิน่า” จากสหรัฐอเมริกา โดย นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับรางวัลดังกล่าวด้วยคะแนนโหวตสูงสุดอันดับ 1 ในหมวดฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ ที่ได้รับความนิยมและความเชื่อมั่นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติกันร้อนกันยูวียอดเยี่ยม บริการเหนือชั้น การให้ข้อมูลที่แท้จริง และการตอบแทนสังคมอย่างยั่งยืน

นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.เทคโนเซล (เฟรย์) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และอาคารลามิน่า รับรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย (Marketeer No.1 Brand Thailand 2024) ต่อเนื่องปีที่ 9 ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพ

การมอบรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ให้กับแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ 81 หมวด รวม 69 แบรนด์ในครั้งนี้ มาร์เก็ตเธียร์ กรุ๊ป ร่วมกับ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด ซึ่งมีศาสตราจารย์วิทวัส รุ่งเรืองผล ภาควิชาการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นประธานคณะทำงานและวิจัย เพื่อให้ได้ผลที่ถูกต้อง แม่นยำ สมบูรณ์แบบ และทันต่อสถานการณ์ จึงมีการสำรวจถึง 6,000 ตัวอย่างจากผู้บริโภคทั่วประเทศ

“ลามิน่า” ผ่านการยอมรับในฐานะฟิล์มกรองแสงอันดับ 1 จากผู้ใช้รถทั่วประเทศ ไม่เคยหยุดพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่อย่างต่อเนื่อง อาทิ แนะนำฟิล์มเทคโนโลยีใหม่ Lamina Digital Boost เพื่อยานยนต์ยุค AI เป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในเมืองไทย, เปิดตัวฟิล์มนิรภัยติดกระจกหลังคารถยุคใหม่ Lamina Power Sunroof จนถึงการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ เปิดตัวฟิล์มกรองแสงเพื่อสัตว์เลี้ยง Lamina Buddy Series ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย

นอกจากนี้บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูงมืออาชีพระดับเอเชียแปซิฟิค ยังนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์อีกมากมาย อาทิ อุปกรณ์บรรทุกสัมภาระธูเล่ (Thule) จากประเทศสวีเดน ผลิตภัณฑ์ฟิล์มนิรภัยปกป้องสีรถลูมาร์ (LLumar) จากสหรัฐอเมริกา และผลิตภัณฑ์ดูแลรักษายานยนต์ครบวงจรแอลลักซ์ (LLux) คุณภาพเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

NETA เปิดตัว NETA X เคาะราคาเริ่มต้น 739,000 บาท

NETA เปิดตัว NETA X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV อย่างเป็นทางการสู่ตลาดเมืองไทยราคาเริ่มต้น 739,000 บาท จองวันนี้รับข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว

กรุงเทพฯ (25 กรกฎาคม 2567) – NETA ประกาศเปิดตัว NETA X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV เสริมทัพผลิตภัณฑ์  ในประเทศไทย ชูจุดเด่นภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย 80% ของพื้นที่ห้องโดยสารเป็นวัสดุบุนุ่ม หน้าจอระบบสัมผัส ขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยและฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย กับราคาเริ่มต้นที่ 739,000 บาท ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ เฉพาะช่วงเปิดตัว พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าต้นเดือนสิงหาคมศกนี้เป็นต้นไป

มร.ชู กังจื้อ (Mr.Shu GangZhi) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า NETA เดินหน้าสานต่อพันธกิจในการเป็นผู้สรรสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ เพื่อสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมตามปรัชญา “Tech For All” โดยล่าสุดได้ประกาศเปิดตัว NETA X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นรถรุ่นที่สองของ NETA ที่เปิดตัวในปีนี้ ภายหลังจากการแนะนำ NETA V-II รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ City Car เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบัน NETA มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เลือก 2 สไตล์ รองรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยอย่างต่อเนื่องในทุกปี

SUPAWATTPIXS

“ปัจจุบันเรามีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ NETA วิ่งอยู่บนถนนทั่วประเทศไทยแล้วกว่า 17,000 คัน ผมต้องขอขอบคุณลูกค้าคนไทย รวมไปถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่มอบความไว้ใจและสนับสนุนการดำเนินงานของแบรนด์ NETA ในประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมและยินดีเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นในทุกมิติ สำหรับการเปิดตัว NETA X นอกจากจะเป็นการตอกย้ำแผนการดำเนินงานในประเทศไทยภายใต้กลยุทธ์ “All in Thailand, All for Thailand” ในการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ทรงพลังและติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง แล้วยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ NETA ในการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยซึ่งคนไทยสามารถเป็นเจ้าของได้ สอดคล้องกับพันธกิจหลักของ NETA เพื่อสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยี อย่างเท่าเทียมสําหรับทุกคน หรือ “Tech For All” มร.ชู กังจื้อ กล่าว

NETA X “เติมเต็มทุกโมเมนต์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง”

NETA X ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด และสโลแกน “เติมเต็มทุกโมเมนต์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง” ชูจุดเด่นด้านพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่      ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยมาพร้อมระบบส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง กำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ หรือ 163 แรงม้า ให้อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 9.5 วินาที

SUPAWATTPIXS

NETA X มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ NETA X รุ่น Comfort มาพร้อมแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออนขนาด 51.8 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 401 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ราคา 739,000 บาท และ NETA X รุ่น Smart จับคู่กับแบตเตอรี่ ขนาด 62 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 480 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ราคา 799,000 บาท โดยมีสีตัวถังภายนอกให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ (Onyx Black) สีน้ำเงิน (Glacier Blue) และสีขาว (Pearl White) ภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (Prestige Black) ในรุ่น Comfort และสีน้ำตาล (Elegant Brown) ในรุ่น Smart

ความอัจฉริยะในการขับขี่ Excellence in Intelligent

NETA X ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 ติดตั้งเซ็นเซอร์ รอบคันและเรดาห์รวม 11 จุด รองรับระบบควบคุมความเร็วในการขับขี่ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน        ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะย่านความเร็วสูง (ICA) และความเร็วต่ำ (TJA) รวมไปถึงการควบคุมรถให้อยู่ในเลน อาทิ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน และระบบช่วยเปลี่ยนเลนพร้อมระบบตรวจจุดอับสายตา เป็นต้น

ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย Excellence in Spacious

NETA X มีมิติตัวถังขนาดใหญ่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยความยาวตลอดทั้งคัน 4,619 มม. กว้าง 1,860 มม. และสูง 1,628 มม. โดยมีระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,770 มม. ให้พื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารกว้างขวาง พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถจุถึง 508 ลิตร เบาะพับได้สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากถึง 1388 ลิตร พร้อมช่องเก็บของอเนกประสงค์ 24 จุด กระจายอยู่ทั่วทั้งห้องโดยสาร

ความสะดวกสบาย Excellence in Comfortable

NETA X มอบความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งปรับได้ถึง 6 ทิศทาง พร้อมวัสดุบุนุ่มห้องโดยสารถึง 80% ของพื้นที่ มาพร้อมหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา รวมไปถึงระบบควบคุมรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ (NETA App) ช่องเชื่อมต่อ USB / Type-C และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พร้อมฟังก์ชัน V2L (Vehicle-to-Load) จ่ายกำลังไฟได้ สูงถึง 3.3 กิโลวัตต์ สามารถดึงพลังงานจากรถยนต์ไปใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก

การเชื่อมต่ออัจฉริยะ Excellence in Interactive

NETA X มาพร้อมหน้าจอความละเอียดสูง ขนาด 15.6 นิ้ว สามารถเข้าถึงระบบนําทางแบบออนไลน์ การสตรีมมิ่งเพลงและการเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับระบบรถยนต์เป็นไปได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง รวมไปถึงระบบควบคุมรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ (NETA App) เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะแบบเรียลไทม์

ระบบความปลอดภัย Safety

NETA X ใช้โครงสร้างที่ทำจากเหล็กแรงดึงสูง (High-strength Steel) ถึง 75% ของตัวถังมาพร้อมระบบถุงลมนิรภัยถึง 6 จุด และแบตเตอรี่ที่ผ่านการทดสอบ IP68 ซึ่งเป็นระดับกันน้ำและกันฝุ่นระดับสูงสุดในตลาด โดยสามารถผ่านการทดสอบการกันน้ำอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 48 ชั่วโมง

ต้นทุนการเป็นเจ้าของ Ownership Cost

NETA X ให้การใช้พลังงานและค่าบํารุงรักษาที่ต่ำ เมื่อเทียบกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ถึง 3 เท่า จึงทําให้ NETA X เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตัวเลือกที่ให้ความประหยัดและคุ้มค่าในระยะยาว

NETA X กับข้อเสนอพิเศษในช่วงนี้

“เติมเต็มทุกโมเมนต์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง”

•NETA X รุ่น Comfort      ราคาจัดจำหน่าย 739,000 บาท

•NETA X รุ่น Smart         ราคาจัดจำหน่าย 799,000 บาท

ข้อเสนอพิเศษ

สำหรับลูกค้าที่จองตั้งแต่วันนี้ และรับรถยนต์กับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทุกแห่งทั่วประเทศ

•ฟรี! ประกันภัยชั้น 1

•ฟรี! เครื่องชาร์จ NETA WALLBOX พร้อมค่าติดตั้ง จำนวน 1 ชุด

•ฟรี! ค่าบริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในรถ 3 ปี

•ฟรี! รับประกันรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 ก.ม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

•ฟรี! รับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

•ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี

•พิเศษ! ลูกค้าจ่ายเพียง 39,800 บาท รับสิทธิ์ NETA CARE PACKAGE ซึ่งครอบคลุมการรับประกันแบตตารี่ตลอดอายุการใช้งาน* รวมถึงค่าแรงและค่าอะไหล่ 5 ครั้ง

* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนเปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ไทยฮอนด้า เปิดตัว 2 รุ่น เอาใจคนรุ่นใหม่

ไทยฮอนด้า เขย่ากระแสตลาดรถเอ.ที. เอาใจคนรุ่นใหม่นำร่อง เปิดตัว 2 รุ่น ‘New Honda FORZA350’ และ ‘Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition’

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดตัวรถจักรยานยนต์เอ.ที. 2 รุ่นใหม่ในงาน ‘Thai Honda Move Forward Together: Press Conference 2024’ ณ โรงแรม Centara Grand and Bangkok Convention Centre นำโดย รถจักรยานยนต์พรีเมียมสปอร์ต ‘New Honda FORZA350’ ที่เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ดิจิทัลชูเทคโนโลยีเหนือระดับมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล TFT ใหม่ขนาด 5 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Honda RoadSync ระบบสั่งการด้วยเสียงบนสมาร์ตโฟน พร้อมด้วยปุ่มคอนโทรลเลอร์ดีไซน์ใหม่ในแบบมัลติฟังก์ชันสั่งการได้อย่างหลากหลาย ตามด้วย รถแฟชั่นเอ.ที. ‘Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition’ ที่มาพร้อมกับลายคาแรกเตอร์สุดน่ารักอย่าง ‘Hello Kitty’ ฉลองครบรอบ 50 ปี ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 2,000 คันเท่านั้น

มร.ยูอิจิ ชิมิซุ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “รถจักรยานยนต์ฮอนด้าพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้ารุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เรามุ่งมั่นพัฒนารถจักรยานยนต์ที่ทันสมัยตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้ฮอนด้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทุกกลุ่มรวมถึงลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ฮอนด้าสามารถครองความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในกลุ่มรถเอ.ที.มาอย่างต่อเนื่อง”

“ถึงแม้ในสถานการณ์ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในครึ่งปีแรกจะชะลอตัวและมีความต้องการในตลาดลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ด้วยกลยุทธ์ของฮอนด้า รวมถึงการผลักดันการขายของผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ทำให้เราสามารถดำเนินธุรกิจได้ดีกว่าสถานการณ์ตลาด โดยเฉพาะรถในกลุ่มเอ.ที. ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นรถกลุ่มเดียวที่มีการเติบโต ในขณะที่กลุ่มอื่นเติบโตลดลง”

“ท่ามกลางตลาดรถจักรยานยนต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ฮอนด้าในฐานะผู้นำตลาดจึงต้องก้าวไปข้างหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์ เราพร้อมมุ่งมั่นสานต่อความสำเร็จของการเติบโตของตลาดในกลุ่มเอ.ที. โดยมุ่งยกระดับการใช้ชีวิตของคนไทยด้วยการนำเทคโนโลยีมาผสานกับรถจักรยานยนต์ในแบบไลฟ์สไตล์ดิจิทัล ที่ครั้งนี้ได้นำเสนอผ่านโมเดลพิเศษอย่าง ‘New Honda FORZA350’ ที่ชูโรงด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำสมัย และ ‘Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition’ ที่เป็นการคอลแลปครั้งสำคัญกับ ‘Hello Kitty’ ฉลองครบรอบ 50 ปี โดยเรานำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกอีกด้วย ทั้งนี้ฮอนด้าพร้อมกระตุ้นตลาดในครึ่งปีหลังอีกจำนวน 6 รุ่น โดยตั้งเป้าการขายอยู่ที่ 1.36 – 1.40 ล้านคัน โดยคาดว่ารถในกลุ่ม เอ.ที. ยังคงที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับ ‘New Honda FORZA350’ ครั้งนี้มาพร้อมดีไซน์พรีเมียมสปอร์ตในคอนเซปต์ ‘BEYOND THE EXCEPTIONAL เหนือกว่า…ทุกความเป็นที่สุด’ โดดเด่นด้วยหน้าจอแสดงผล TFT ใหม่ ขนาด 5 นิ้ว แสดงผลทุกข้อมูลการขับขี่ได้ครบถ้วนชัดเจน รวมถึงการแสดงผลระบบ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบตรวจจับและควบคุมล้อหน้า-ล้อหลังให้สัมพันธ์กัน ป้องกันรถเสียการทรงตัว ปลอดภัยในทุกการขับขี่ พร้อมเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Honda RoadSync เทคโนโลยีอัจฉริยะจากฮอนด้าที่ควบคุมการทำงานด้วยเสียงโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน ในการรับสายโทรเข้า-โทรออก, ระบบนำทาง, แอปพลิเคชันเพลง และประวัติการเดินทาง พร้อมควบคุมผ่านปุ่มคอนโทรลเลอร์ดีไซน์ใหม่ในแบบมัลติฟังก์ชันสั่งการได้หลากหลายในทุกสถานการณ์

New Honda FORZA350 เสริมความพรีเมียมเหนือระดับด้วยกระจกบังลมหน้าระบบไฟฟ้าที่ปรับความสูงได้ถึง 180 มิลลิเมตร พร้อมกับ LARGE U-BOX กล่องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ที่ใส่หมวกนิรภัยได้สองใบพร้อมไฟส่องสว่างแบบ LED และที่สุดแห่งขุมพลังความแรงด้วยเครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว 330 ซีซี. ให้สมรรถนะที่แรงขึ้น ลื่นขึ้น ขับขี่นุ่มนวล ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ คอนโทรลได้เหนือชั้น ด้วยระบบเบรก ABS ที่มาพร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงโช้กอัพหลังที่ปรับพรีโหลดได้ 5 ระดับรองรับการใช้งานได้ลงตัวทุกสภาพถนน

New Honda FORZA350 รุ่น RoadSync มีวางจำหน่ายทั้งหมด 4 เฉดสี ได้แก่ สีแดง-ดำ ใหม่ SUNSTORM RED, สีขาว-ดำ ใหม่ STELLAR WHITE, สีเทา-ดำ METEOR GRAY และ สีดำ COSMIC BLACK ราคาแนะนำที่ 183,000 บาท

นอกจากรุ่น New Honda FORZA350 รุ่น RoadSync ฮอนด้ายังได้นำเสนอ Special Edition จากสำนักแต่ง H2C by Honda ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ในสไตล์ทัวร์ริ่งในคอนเซปต์ ‘THE JOURNEY TO BEYOND’ พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งสุดพิเศษดีไซน์โดดเด่น มอบสมรรถนะเกินคลาสไปอีกขั้น ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 350 คัน ราคาแนะนำที่ 197,900 บาท โดยทั้ง 2 รุ่น เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ หรือจองผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 30 กันยายน 2567 ติดตามได้ที่ทางหน้าเพจ เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า

ตามด้วย ‘Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition’ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Hello Iconic Friend  สองความสุด ที่ไม่หยุดคิวท์’ โดยนำเอาคาแรกเตอร์สุดน่ารักตลอดกาลอย่าง ‘Hello Kitty’ มาคอลแลปกับมอเตอร์ไซค์สุดไอคอนิกอย่าง Honda Scoopy เติมความสนุกแสนซนด้วยเฉดสีแดงลงบนตัวรถสีขาว ผสานความน่ารักที่ลงตัวด้วยโบว์สุดคาวาอี้ของ Hello Kitty ที่เพิ่มความโดดเด่นด้วย 3D Emblem พร้อมทั้งเสริมความพิเศษด้วยโลโก้ฉลองครบรอบ 50 ปี พร้อมระบุ Serial Number เสริมความลิมิเต็ดให้กับเหล่าสาวก Hello Kitty อีกด้วย

Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition ผลิตและวางจำหน่ายเพียง 2,000 คันเท่านั้น ในราคาแนะนำ 57,900 บาท มาพร้อมกับพรีเมียมบอกซ์เซ็ตสำหรับแฟน Hello Kitty ได้แก่ เซ็ตกุญแจรีโมตอัจฉริยะในเคสสุดน่ารักจาก Scoopy Hello Kitty รวมถึง Hello Kitty Helmet หมวกกันน็อคดีไซน์สุดคิวท์ และผ้าพันคอลาย Hello Kitty ไอเทมแฟชั่นเพิ่มความน่ารักไม่ซ้ำใคร เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 15 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ไทยฮอนด้ายังเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างรถ Flash จาก Washing LAB เป็นน้ำยาล้างรถสูตรผสมแว๊กซ์ มั่นใจด้วยสูตรที่ทดลองและรังสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านรถจักรยานยนต์ตัวจริง อ่อนโยนต่อชิ้นส่วนรถทั้งสีเงา และสีด้าน โดยไทยฮอนด้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ล้างรถที่ตอบโจทย์เสียงของลูกค้าผู้ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ช่วยขจัดคราบน้ำมันสิ่งสกปรกต่างๆ ได้อย่างง่ายและรวดเร็ว พร้อมวางจำหน่ายเดือนสิงหาคม เป็นต้นไปที่ Honda Wing Center ทั่วประเทศ

บีวายดี เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย ศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอาเซียน

บีวายดี เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย เดินหน้าเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าอาเซียนเต็มรูปแบบ ฉลองสายการผลิตอย่างยิ่งใหญ่ ประเดิมส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่คันที่ 8 ล้าน ของบีวายดีให้กับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

ระยอง – 4 กรกฎาคม 2567 – บีวายดี บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าบีวายดีอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ เปิดโรงงานบีวายดีประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จังหวัดระยอง โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาเพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน นับเป็นอีกก้าวสำคัญภายใต้กลยุทธ์การขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วโลกของบีวายดีรวมถึงสะท้อนความมุ่งมั่นที่มีต่อตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดจนเป็นการสนองนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573

โอกาสนี้ บีวายดีได้ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า BYD DOLPHIN ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานใหม่คันที่แปดล้าน และได้รับการผลิตที่โรงงานแห่งนี้ ให้กับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรมและการคมนาคมที่ยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจากนายหวัง ชวนฟู่ ประธานกรรมการและประธานบริษัท บีวายดี กรุ๊ป เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงาน พร้อมมอบรถแก่ตัวแทนมูลนิธิ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

โรงงานผลิตรถยนต์บีวายดีแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 948,000 ตารางเมตร ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 16 เดือนนับจากพิธิเปิดหน้าดิน มาพร้อมแนวคิดการลดใช้พลังงานและคาร์บอนต่ำ ครบครันด้วยเครื่องจักรกลอัตโนมัติ กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ล้ำสมัย ครอบคลุม 4 ขั้นตอนการผลิตยานยนต์ ได้แก่ การขึ้นรูป การเชื่อม การทำสี และการประกอบ ทั้งหมดนี้ เพื่อการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าคุณภาพสูงและได้มาตรฐานสำหรับตลาดประเทศไทย โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 150,000 คันต่อปี ได้แก่ BYD DOLPHIN, BYD ATTO 3, BYD SEAL และ BYD SEALION 6 รวมถึงสามารถผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่และระบบส่งกำลังได้อีกด้วย สำหรับในอนาคต เมื่อโรงงานดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าจะสร้างงานได้กว่า 10,000 ตำแหน่ง

นายหวัง ชวนฟู่ ประธานกรรมการและประธานบริษัท บีวายดี กรุ๊ป กล่าวว่า “บีวายดีได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าสู่ตลาดประเทศไทยได้เพียง 2 ปี โดยประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำด้านยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าติดต่อกันถึง 18 เดือน ในอนาคต บีวายดีวางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มเติมในประเทศไทย เราจะผสานความเป็นเลิศด้านการผลิตในประเทศเข้ากับเทคโนโลยีพลังงานใหม่ขั้นสูงของบีวายดี เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

นายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งใหม่ของบีวายดีในประเทศไทย เป็นก้าวสำคัญที่ได้แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัท ที่มีต่อลูกค้าชาวไทย ควบคู่ไปกับการสานต่อเป้าหมายระดับโลก โรงงานแห่งนี้ไม่เพียงจะช่วยให้เราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ผลิตในไทย แต่ยังตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำแถวหน้าของโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ ที่สำคัญ เราเชื่อมั่นว่าโรงงานแห่งนี้จะสามารถสร้างโอกาสในการทำงานให้แก่ชาวไทยได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะให้กับวงการยานยนต์และพลังงานทดแทนได้อีกด้วย นอกจากนี้ โรงงานบีวายดีประเทศไทยจะช่วยดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศอย่างมหาศาล”

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดประมาณ 14.2 ล้านคัน เราจึงมั่นใจว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง กลุ่มธุรกิจเรเว่ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามพันธกิจในการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยพลังงานไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของบีวายดีในประเทศไทยจะช่วยให้เราสานต่อวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ‘NEW FUTURE, YOUR WAY’ ที่มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น NEV Nation และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2608 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืนพร้อมกับขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวเสริมว่า “เราเชื่อว่าการเปิดโรงงานบีวายดีประเทศไทยอย่างเป็นทางการ จะมีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเราในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทยและอาเซียน ทั้งยังตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่างบีวายดีและกลุ่มธุรกิจเรเว่ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงที่ตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของลูกค้าในไทยและประเทศอื่นๆ ที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวา ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจเรเว่จะยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายโชว์รูมให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้แข็งแกร่ง รวมถึงมอบประสบการณ์การขายและบริการหลังการขายเหนือระดับ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์แบบครบวงจรที่ราบรื่นและคุ้มค่า แทนคำขอบคุณสำหรับความไว้วางใจของผู้ใช้งานชาวไทยที่มอบให้กับเรามาโดยตลอด”

ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านยานยนต์พลังงานใหม่ บีวายดีได้ขยายการเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี พ.ศ. 2566 บีวายดีส่งออกรถยนต์ 243,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 334% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจุบัน บีวายดีจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ใน 88 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทย บราซิล, ฮังการี และอุซเบกิสถาน

ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาว บีวายดีและกลุ่มธุรกิจเรเว่ มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของโลกสู่ยุคพลังงานใหม่ โดยโรงงานบีวายดีประเทศไทยซึ่งดำเนินการผลิตด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของจีนแห่งนี้ จะเข้ามาช่วยสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียนในอนาคตตามเป้าหมายของรัฐบาลไทยในท้ายที่สุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save