- Advertisement -
26.8 C
Bangkok
Home Blog Page 34

เกรท วอลล์ มอเตอร์ โชว์นวัตกรรม Hi4-Z และพิสูจน์สมรรถนะในเทศกาล Ice and Snow 2025

เกรท วอลล์ มอเตอร์ โชว์นวัตกรรม Hi4-Z ด้วยเครื่องยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริดมอเตอร์คู่ตามแนวยาว สู่ระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าไกลถึง 200 กิโลเมตร พร้อมด้วยคาราวานรถยนต์ออฟโรดอีก 5 รุ่น พิสูจน์สมรรถนะขั้นสูง ในเทศกาล Ice and Snow 2025

กรุงเทพฯ 14 มกราคม 2568 : เกรท วอลล์ มอเตอร์ เร่งเครื่องเปิดศักราชใหม่ด้วยการโชว์สมรรถนะของนวัตกรรม Hi4-Z แพลตฟอร์มออฟโรดที่ออกแบบสถาปัตยกรรมไฮบริดแบบมอเตอร์คู่ตามแนวยาว (Longitudinal dual-motor hybrid architecture) ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อไม่นานนี้ โดยเพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์สามารถเพิ่มระยะทางขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ถึง 200 กิโลเมตร ตอบโจทย์อย่างลงตัวได้ทั้งการขับขี่แบบในเมืองและการผจญภัยแบบออฟโรด และยังได้ท้าพิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์ตระกูลออฟโรดจาก GWM ทั้ง 5 รุ่น ใน 3 ตระกูลสุดแกร่งอย่าง GWM TANK, GWM HAVAL และ GWM POER ท่ามกลางธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่ตระการตาและสภาพอากาศที่เย็นยะเยือกเกือบกว่า -30 องศา ณ ภูเขาฉางไป่ ประเทศจีน โดยรถยนต์ออฟโรดจาก GWM ทั้ง 5 รุ่นที่เข้าร่วมพิสูจน์สมรรถนะสุดแกร่งนี้ ล้วนได้รับการออกแบบมาเพื่อพิชิตทุกสภาพภูมิประเทศ ทุกภูมิอากาศ และทุกเส้นทางออฟโรดที่ท้าทาย ตั้งแต่ภูเขาหิมะจนถึงเส้นทางขรุขระกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ หรือป่าเขตร้อนชื้น ด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อล้ำสมัย ระบบควบคุมการขับขี่แบบอัจฉริยะ และโหมดการขับขี่ที่ปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ ให้รับมือกับทุกสภาพการขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ด้วยสมรรถนะอันทรงพลังที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วในทุกสภาวะ เพื่อพาผู้ขับขี่ให้พิชิตจุดสูงสุดอีกด้านของความต้องการชีวิต และเติมเต็มสุดยอดประสบการณ์สุดท้าทาย

สานต่อแนวคิด “One Global Family” กับเทคโนโลยีอัจฉริยะสุดล้ำ Hi4-Z ขับเคลื่อนความฝันและเป้าหมายของนักผจญภัยทุกคนผ่านประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

หลังจากที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้จัดกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ในมหกรรมมอเตอร์สปอร์ตออฟโรดระดับโลกในปี 2567 ที่ผ่านมา ณ ทะเลทรายมองโกเลีย ในงาน Alxa Hero Festival 2024 ล่าสุด เปิดปี 2568 ด้วยความตื่นเต้นขั้นสุดผ่านการโชว์นวัตกรรม Hi4-Z แพลตฟอร์มออฟโรดที่มอบระยะทางการใช้งานที่ยาวนานด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 200 กิโลเมตร ระยะทางรวมน้ำมันวิ่งได้ไกลถึง 1,100 กิโลเมตร รองรับการชาร์จเร็วสูงสุดถึง 163 กิโลวัตต์ และการชาร์จจาก 30% ถึง 80% ของระดับการชาร์จ (SOC) ใช้เวลาเพียง 15 นาที ซึ่งแบตเตอรี่ 80% นี้ เพียงพอสำหรับการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนระยะทางสูงถึง 120 กิโลเมตร แพลตฟอร์มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ตอบโจทย์การขับขี่ออฟโรดทั้งในเมืองและเส้นทางธรรมชาติสุดท้าทาย โดยถือเป็นนวัตกรรมแรกของโลกในสถาปัตยกรรมปลั๊กอิน-ไฮบริดแบบมอเตอร์คู่ตามแนวยาว ที่ผสานกับเกียร์อัตโนมัตแบบ 3 สปีดและระบบเกียร์แปรผันต่อเนื่อง (CVT) ที่ล้ำสมัย พร้อมมอเตอร์กำลังสูงคู่หน้าและหลัง โดยมีระบบขับเคลื่อนให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ 2.0T และ 3.0T รวมถึงแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และโครงสร้างตัวถังแบบ Body-on-Frame ที่แข็งแกร่ง ที่ล้วนพัฒนาขึ้นสำหรับรองรับการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ เพื่อการขับขี่ที่เหนือกว่า สนุกกว่า และท้าทายกว่าในทุกมิติ พร้อมกันนี้ ยังได้ทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ออฟโรดทั้ง 5 รุ่น ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมท่ามกลางสายตาของผู้เข้าเยือนเทศกาล Ice and Snow 2025 จากทั่วโลกที่ต่างให้การยอมรับกับสมรรถนะแบบออฟโรดขับเคลื่อนสี่ล้อที่เหนือชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านประสบการณ์การขับขี่ที่ให้ความสะดวกสบายแบบเกินคาด จัดเต็มในทุกรุ่น แม้ว่าสถานการณ์การขับขี่นั้นจะท้าทายแค่ไหนก็ตาม

นำโดย GWM TANK 300 HEV ยานยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูง ดีไซน์หล่อ เท่ ที่ผสานพลังงานไฮบริดเข้ากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0L พร้อมด้วยระบบการขับขี่อัจฉริยะ และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมากมาย ร่วมด้วยการทำงานกับระบบช่วงล่างที่เกาะพื้นถนนได้ดี ทั้งด้านหน้าและ Multi-link ด้านหลังช่วยเสริมความสามารถการลุยในเส้นทางออฟโรดที่ปกคลุมไปด้วยหิมะได้อย่างง่ายดาย มั่นใจ และโดดเด่นเด่นท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน ในขณะที่ GWM TANK 400 Hi4-T อีกหนึ่งเอสยูวีสายพันธุ์ออฟโรด ดีไซน์สมบุกสมบัน แกร่ง หล่อ และคมคาย ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด 402 แรงม้า วิ่งในโหมดไฟฟ้าในระยะทาง 105 กิโลเมตร ได้ยาว ๆ และยังมีโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 12 รูปแบบพร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัยที่พร้อมรับมือทุกสภาวะการขับขี่ ให้ลุยความหนาวฝ่าความสูงของหิมะได้สบายเกินคาด ด้วยระยะห่างจากพื้น (Ground clearance) ของ GWM TANK 400 Hi4-T ที่สูงถึง 224 มิลลิเมตร

สำหรับ GWM TANK 500 Hi4-T รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ระดับพรีเมียมที่ยกระดับมาตรฐานรถยนต์เอสยูวีด้วยออปชั่นจัดเต็มทุกด้าน  ทั้งโหมดการขับขี่ถึง 12 โหมด ซึ่งรวมถึงโหมดพื้นหิมะ (Snow) เหมาะสำหรับการใช้งานบนถนนลื่น โดยระบบจะใช้เกียร์สูงเพื่อลดการฟรีของล้อ ซึ่งทำงานได้เป็นอย่างดี สามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างแม่นยำ มั่นคง และปลอดภัย  เมื่อผสานด้วยความอัจฉริยะทั้งการควบคุมรถที่ทำได้ง่ายดายด้วยระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยกว่า 17 ระบบที่ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ทำให้ยากที่จะปฏิเสธสมรรถนะขั้นสูงของ GWM TANK 500 Hi4-T หลังผ่านการพิสูจน์ท่ามกลางสภาพอากาศที่ท้าทาย ด้าน GWM HAVAL H9 HEV และรุ่นเครื่องยนต์ Diesel 2024 รถยนต์เอสยูวีขนาดใหญ่สำหรับครอบครัวสายลุยที่มีประสิทธิภาพด้านความเงียบที่สามารถลดเสียงจากภายนอกได้ท่ามกลางสภาพอากาศที่รุนแรงในฤดูหนาว พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้นักผจญภัยที่มีทักษะการขับขี่สูงได้สนุกกับการขับขี่ที่ง่ายดาย และรุ่นสุดท้ายกับ GWM POER Off-Road 2.4T รถกระบะที่มีพละกำลังสูงที่สุดเมื่อเทียบกับรถกระบะออฟโรดในระดับเดียวกัน มีระบบขับเคลื่อน 9 โหมดที่ช่วยให้การขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและท้าทายกลายเป็นเรื่องง่าย ลุยได้ดีในทุกสภาพถนนแม้จะเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งก็ตาม มอบประสบการณ์การขับขี่สุดเพลิดเพลินที่เต็มไปด้วยความมันในเส้นทางออฟโรดได้อย่างเต็มพิกัด

นอกจากนี้ ภายในเทศกาลนี้ยังอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยและมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมได้อย่างลงตัว ผ่านการแสดงการเต้นมังกร การแสดงสิงโต การแสดงหยางเกอ ขบวนพาเหรดมังกร 5 ตัว พร้อมด้วยงานเลี้ยงรอบกองไฟที่มาพร้อมกับการแสดงดอกไม้ไฟ อีกทั้งยังได้เปิดตัว GWM Off-Road Alliance ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ระดับโลกที่รวมคนรักออฟโรดสไตล์ GWM จากหลากหลายประเทศเข้าไว้ด้วยกัน และการจัดแบ่งประเภทการขับขี่ออฟโรด โดยได้รับเกียรติจากแขกผู้ทรงเกียรติระดับนานาชาติที่เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ออฟโรดและการขับขี่แบบออฟโรดเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในวงสนทนาพิเศษ พร้อมด้วยการมอบรางวัลให้กับเจ้าของรถ GWM ที่มีเรื่องราวการใช้งานที่น่าประทับใจ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชุมชนผู้ใช้รถ GWM ที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก

ในปี 2025 นี้ นอกเหนือจากการส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษในรูปแบบที่ตื่นตาตื่นใจมากมาย อาทิ GWM DAY ที่จะจัดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก, User Experience Day ที่จะให้ผู้ใช้รถได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่รูปแบบใหม่ และ User Service Day ที่จะยกระดับมาตรฐานการบริการให้กับลูกค้าทั่วโลก และแผนขยายกิจกรรมสำหรับผู้รักการผจญภัยไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเตรียมเผยโฉมรถยนต์รุ่นใหม่ที่ครอบคลุมทุกพลังงานและยังอัดแน่นด้วยความอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรถยนต์ประเภทเอสยูวีและกระบะทั้งเพื่อการขับขี่ในเมืองและออฟโรด เตรียมยกระดับประสบการณ์การผจญภัยให้น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น ตอกย้ำปณิธานในการขับเคลื่อนความฝันของนักผจญภัยทุกคน พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตในทุกเส้นทางอย่างยั่งยืนกับ เกรท วอลล์ มอเตอร์

สามารถรับชมไฮไลต์และบรรยากาศภายในงาน Ice and Snow 2025 ย้อนหลังได้ที่เฟซบุ๊ก GWM Thailand สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์การขับขี่สุดพิเศษกับยนตรกรรมออฟโรดจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) สามารถสัมผัสและทดลองขับได้ที่ GWM พาร์ทเนอร์ สโตร์ ทุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GWM แอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ www.gwm.co.th หรือสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GWM Contact Center 02-668-8888

“ไทยฮอนด้า” ร่วมประกาศขายบัตร “ไทยจีพี”

“ไทยฮอนด้า” ร่วมประกาศขายบัตร “ไทยจีพี” ชวนแฟนชาวไทยซื้อบัตร “จันทราสแตนด์” เชียร์ “ก้อง-สมเกียรติ” ประเดิม โมโตจีพี โฮมเรซ ติดขอบสนาม

“ไทยฮอนด้า” ผู้นำมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในงานแถลงข่าวเปิดขายบัตรเข้าชมศึก โมโตจีพี ชิงแชมป์โลก 2025 สนามแรก รายการ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ โดย ประธานบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ชวนแฟนชาวไทยซื้อบัตร “จันทราสแตนด์” ตามเชียร์ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ประเดิมสนามแรกในโฮมเรซที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในฐานะนักบิดพรีเมียร์คลาส กระทบไหล่ดีกรีแชมป์โลกระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568 นี้

การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี 2025 แถลงข่าวขายบัตรเข้าชมสนามแรกของฤดูกาล ในรายการ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ อย่างเป็นทางการในเมืองไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมี นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีแถลงข่าว พร้อมด้วยผู้สนับสนุนภาครัฐ-เอกชน นำโดย การกีฬาแห่งประเทศไทย, จังหวัดบุรีรัมย์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรมการขนส่งทางบก, และ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG พร้อมด้วยทัพสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนร่วมงานมากมาย

ดร.อารักษ์ พรประภา ประธานบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “สำหรับ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2025 จะเป็นครั้งแรกของ “ก้อง-สมเกียรติ” กับ โมโตจีพี แม้เขาจะแข่งในโฮมเรซมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ครั้งนี้ถือว่าไม่เหมือนเดิม เขายังใหม่กับรุ่นใหญ่ ใหม่กับรถแข่ง Honda RC213V ของ ฮอนด้า แต่ ก้อง มีความมุ่งมั่น ผมเชื่อว่าแฟนชาวไทยจะได้เห็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ในสุดสัปดาห์นั้น”

“สำหรับ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ เรื่องที่พักไม่ต้องห่วงเรามีแคมป์ของ ฮอนด้า เตรียมการรอแล้ว ส่วนแฟนๆ ที่ต้องการซื้อตั๋ว อย่าลืมถือกุญแจรถ ฮอนด้า ไปด้วยนะครับ เราะมีส่วนลดพิเศษเช่นกัน โดยวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม ผมหวังว่าแฟนๆ ชาวไทยจะเข้าไปเชียร์ใน จันทรา สแตนด์ และ ฮอนด้า สแตนด์ อย่างล้นหลาม” ดร.อารักษ์ เผย

ด้าน “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ จากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” กล่าวว่า “ดีใจมากครับที่สนามแรกของการขยับขึ้นไปบิดในรุ่น โมโตจีพี ได้ขี่ในโฮมเรซที่ บุรีรัมย์ ซึ่งผมมีความคุ้นเคย”

“หลังจากที่ทดสอบครั้งแรกที่ บาร์เซโลน่า ผมกลับมาทำงานอย่างหนักในเรื่องการทำความเข้าใจกับตัวรถ การทำงานกับทีม รวมถึงระบบต่างๆ ของตัวรถซึ่งสำคัญและซับซ้อนมาก นอกจากนี้ก็เร่งฟิตซ้อมเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายเพื่อให้พร้อมกับการทดสอบ โมโตจีพี ทั้งที่ มาเลเซีย และที่ บุรีรัมย์ ก่อนจะเปิดฤดูกาลใหม่ในปีนี้”

“สำหรับการแข่งขันฤดูกาลแรกใน โมโตจีพี ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่ที่สุด ที่ไม่ใช่งานง่าย ถ้าผมสามารถเก็บแต้มได้ในปีแรกนี้ได้จะดีใจมากๆ ครับ เพราะทุกคนก็รู้ดีว่าใน โมโตจีพี นักแข่งทุกคนคือหัวแถวของโลกที่แกร่งมากๆ และทุกคนล้วนมีประสบการณ์ อยากให้ทุกคนไปเชียร์กันเยอะๆ นะครับ ซึ่งผมจะสู้และทำผลงานให้เต็มที่อย่างที่สุด ครับ”

ทั้งนี้ “บัตรเข้าชม โมโตจีพี สนามประเทศไทย 2025” แบ่งเป็น 4 ประเภท เข้าชม Pre-Season Test ได้ฟรี และชม Main Race ได้ทั้ง 3 วัน ได้แก่ แกรนด์สแตนด์ (Grandstand)  5,000 บาท, ไรเดอร์ สแตนด์ (Rider Stand) 3,000 บาท สำหรับแฟนๆ กองเชียร์ จันทรา สแตนด์ (พร้อมของที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้), แบรนด์ สแตนด์ (Brand Stand ) 2,000 บาท สำหรับแฟนๆ ฮอนด้า (พร้อมสิทธิ์ลุ้นชิงโชคและรับของที่ระลึกจากผู้สนับสนุน) และ ไซด์สแตนด์  (Side Stand) 2,000 บาท)

ส่วนผู้ชมที่ต้องการซื้อเฉพาะบัตรชม Pre-Season Test ทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ราคาจำหน่ายบัตร แบ่งเป็น บัตร Grand Stand ราคา 500 บาทต่อวัน หรือเหมา 2 วัน 900 บาท, บัตร VIP 5,000 บาท ต่อวัน

สำหรับโมโตจีพี สนามประเทศไทย 2025 แฟนๆ ความเร็วจะได้ร่วมเชียร์นักบิดไทย “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ สังกัด “อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์” และ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี รุ่นโมโตทรี สังกัด ฮอนด้า ทีม เอเชีย รวมทั้งนักบิดเลือดใหม่ภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ที่จะลงแข่งขันในโฮมเรซกับรายการ อิเดมิตซึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ

โดย “ก้อง-สมเกียรติ” มีคิวทดสอบครั้งต่อไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ก่อนจะเปิดฉากดวลความเร็วสนามแรกในรายการ “พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์” ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์  ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568

แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ไปด้วยกัน ส่งกำลังใจให้นักแข่งไทย และนักแข่งฮอนด้า โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : Race to The Dream

ไทยยามาฮ่า จัดหนักรับ MotoGP สนามประเทศไทย

ไทยยามาฮ่าจัดหนักรับ ThaiGP ในงานแถลงข่าวเปิดขายบัตรเข้าชมการแข่งขัน MotoGP สนามประเทศไทยปี 2025

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธ รองผู้จัดการใหญ่ด้านวางแผนการค้า และการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับ นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย นายโชติชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมต่างประเทศ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และมร.มาร์กอส ตอร์โรบา ผู้จัดการด้านการจัดการแข่งขัน ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน ในงานแถลงข่าวการจำหน่ายบัตรชมการแข่งขัน MotoGP สนามประเทศไทย

ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติในการจัดการแข่งขันเป็นสนามแรกของฤดูกาล 2025 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 2 มีนาคม 2568 นี้ สำหรับโปรโมชันพิเศษของยามาฮ่ามอบส่วนลด 20% สำหรับบัตร YAMAHA STAND จากราคา 2,000 บาท พิเศษเพียง 1,600 บาท และส่วนลดนี้ยังสามารถใช้ได้กับบัตรทุกประเภท เช่น QUARTARARO Stand จากราคา 3,000 บาท พิเศษเพียง 2,400 บาท เมื่อโชว์กุญแจรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ณ เคาน์เตอร์เซอร์วิสทุกสาขา

พร้อมกันนี้ยามาฮ่า ยังจัดหนักแคมเปญเด็ดลุ้นรับรถจักรยานยนต์ YAMAHA R15 Connected มูลค่า 118,000 บาท พร้อมหมวกกันน็อก HJC RPHA1 QUARTARARO LE MANS SPECIAL 2024 Limited Edition พร้อมลายเซ็นจาก ฟาร์บิโอ กวาร์ตาราโร่ ให้กับแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตชาวไทย เมื่อซื้อบัตร YAMAHA STAND ทุกที่นั่ง โดยการแถลงข่าวเปิดจำหน่ายบัตรการแข่งขัน MotoGP สนามประเทศไทยในครั้งนี้ มีขึ้น ณ ห้องมัลติฟังก์ชั่น ชั้น 10 อาคาร CW Tower ถ.รัชดา เมื่อเร็วๆ นี้

PT Grand Prix of Thailand 2025 พร้อม

PT Grand Prix of Thailand 2025 พร้อม รัฐบาลแถลงใหญ่ เปิดประเทศต้อนรับอีเว้นต์ประวัติศาสตร์ PT Grand Prix of Thailand 2025 ด้วย 3 กิจกรรมที่ทั่วโลกเฝ้ารอ พร้อมกระหึ่มขายบัตรอย่างเป็นทางการวันแรก

รัฐบาลไทย โดย ก.ท่องเที่ยวและกีฬา แถลงข่าวใหญ่ต้อนรับศึกกรังด์ปรีซ์เบอร์ 1 ของโลก ยิ่งใหญ่ไปกับการเป็นสนามเปิดฤดูกาล “โมโตจีพี” ครั้งแรกในไทยและครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในรอบ 25 ปี กับ 3 กิจกรรมสุดพิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด-ทั่วโลกเฝ้ารอ คณะกรรมการฝ่ายจัดฯ ยืนยันพร้อมเสิร์ฟประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ต เฟสติวัล ชั้นพรีเมียม ด้วยเสน่ห์วิถีไทยครองใจคนทั่วโลก ร่วมเชียร์นักบิดไทยคนแรกในรุ่นโมโตจีพี “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” อย่างเต็มภาคภูมิ ถ่ายทอดสดกว่า 200 ประเทศ สู่ผู้ชม 800 ล้านคนทั่วโลก หลังเปิดจำหน่ายบัตร ที่นั่งแกรนด์สแตนด์ กว่า 10,000 ที่นั่ง ทุบสถิติ Sold Out ด้วยเวลา 2.55 นาที ขณะที่สแตนด์อื่นๆ มียอดจองอย่างรวดเร็วกว่าทุกปี คาดกระแสดี เต็มที่นั่งแน่นอน

การแถลงข่าวการจัดการแข่งขันและเปิดจำหน่ายบัตร ศึกรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก “โมโตจีพี” ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ สนามที่ 1 ของฤดูกาล รายการ PT Grand Prix of Thailand 2025 (พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์) ที่ไทยได้รับบทบาทสำคัญ ทั้ง การแถลงเปิดฤดูกาล Season Premier ที่ One Bangkok กรุงเทพ โดยดอร์น่าสปอร์ต วันที่ 9 ก.พ. ต่อด้วย Pre-Season Test 12-13 ก.พ.และ Main Race 28 ก.พ.-2 มี.ค.68 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพปีที่ 6

วันที่ 9 มกราคม 2568 ที่ CW Tower รัชดาภิเษก กรุงเทพ : นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีแถลงข่าว พร้อมด้วยผู้สนับสนุนภาครัฐ-เอกชน นำโดย การกีฬาแห่งประเทศไทย, จังหวัดบุรีรัมย์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรมการขนส่งทางบก, บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG, น้ำแร่ธรรมชาติ ตรา ช้าง, บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, บริษัท โมโตเร อิตาเลียโน จำกัด (ดูคาติ ไทยแลนด์), สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ทัพสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนร่วมงานมากมาย

นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นปีที่ 6 ของการเป็นเจ้าภาพจัด “โมโตจีพี” บนผืนแผ่นดินไทย โดยได้รับเกียรติสูงสุดในการเป็นเจ้าภาพสนามเปิดฤดูกาล 2 ปีซ้อนทั้งในปี 2568 และ 2569 ซึ่งสนามแรกในประเทศไทยในปีนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ -2 มีนาคม 2568 จากทั้งหมด 22 สนามใน 18 ประเทศ นับเป็นการเปิดฤดูกาลครั้งแรกในไทย และครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รอบ 25 ปี

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้มีความท้าทายค่อนข้างมาก จากกรอบเวลาการทำงานที่สั้นลง แต่ด้วยประสบการณ์และความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เดินหน้าเต็มระบบ มั่นใจได้ว่าการแข่งขันในปีนี้จะยิ่งใหญ่ที่สุด สมกับการเป็นสนามเปิดฤดูกาลอย่างแน่นอน ซึ่งความพิเศษในครั้งนี้ คือคนไทยจะได้ร่วมจารึกประวัติศาสตร์การมีนักแข่งไทยคนแรก คือ “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” ที่จะได้ลงแข่งในรุ่นโมโตจีพี ซึ่งนับเป็นความสำเร็จสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนานักกีฬา และสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนและนักกีฬารุ่นใหม่อย่างแท้จริง

มร.มาร์กอส ตอร์โรบา ผู้จัดการด้านการจัดการแข่งขัน ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุผลที่ดอร์น่าสปอร์ตเลือกประเทศไทย เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมหลักและเปิดประเดิมฤดูกาล มาจากทั้งความพร้อมด้านสนามแข่งขัน การจัดการ และความคลั่งไคล้ในโมโตจีพีของแฟนชาวไทย ทำให้มีผู้ชมที่จำนวนมาก โดยเฉพาะการจัดแถลงเปิดฤดูกาล Season Premier ที่กรุงเทพ ซึ่งเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยเป็นปีที่พิเศษที่คนไทยสามารถส่งกำลังใจให้ฮีโร่เจ้าบ้านในคลาส MotoGP ได้เป็นครั้งแรก การเปิดฤดูกาลในกรุงเทพ จะทำให้เข้าถึงแฟนๆ ชาวไทยได้มากขึ้น รวมทั้งทำให้ “โมโตจีพี สนามประเทศไทย” กลายเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างแท้จริง

นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ความพิเศษของปีนี้ชาวบุรีรัมย์จะมีโอกาสเปิดประตูเมืองต้อนรับ “โมโตจีพี” ด้วยช่วงเวลาที่มากขึ้นกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งการเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน จังหวัดฯ ได้ประสานทุกภาคส่วน เพื่อมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และมอบช่องเวลาที่แสนพิเศษให้แก่ผู้มาเยือน ตลอดช่วงเวลาที่พำนักอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยนำบทเรียนจากการแข่งขันในปีก่อนๆ มาปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการจราจร การรักษาความสะอาด และการเพิ่มศูนย์ให้ข้อมูลที่ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ชมจากหลากหลายประเทศ ขยายที่พัก สนับสนุนที่พักแบบโฮมสเตย์เพื่อให้แฟนความเร็วได้สัมผัสเสน่ห์ของวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริง

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ในฐานะไตเติ้ลสปอนเซอร์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการจารึกไทยแลนด์กรังด์ปรีซ์บทใหม่ในปี 2025 นั้น PTG ภายใต้ปณิธาน “บริษัทพลังงานของคนไทย เพื่อเติมความสุขให้คนไทย อยู่ดีมีสุข” การสนับสนุนการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นการเติมเต็มความฝันของแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย มอบโอกาสให้ได้สัมผัสกับการแข่งขันระดับโลกในบ้านเรา โดยไม่ต้องเดินทางไปชมยังต่างประเทศ นอกจากนี้ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของ PTG ในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการมอเตอร์สปอร์ต จะช่วยผลักดันประเทศไทยให้เป็น Destination สำคัญในโลกของมอเตอร์สปอร์ต และสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจและพัฒนาวงการกีฬาอย่างยั่งยืน

นายโชติชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมต่างประเทศ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา สนามประเทศไทยได้รับความชื่นชมจากดอร์น่า สปอร์ตว่าเป็นสนามที่มีการจัดการด้านกิจกรรมเสริมได้ดีที่สุดในฤดูกาล 2024 ไม่ว่าจะเป็น Hero walk, Meet & Greet, Rider Parade, กิจกรรมเสริมในลาน Commercial Area, คอนเสิร์ตจาก Chang Music Connection รวมถึง Thai Thai Pavilion ในปีนี้การได้เป็นเจ้าภาพ กิจกรรมหลักที่สำคัญมากมาย ยืนยันถึงความพร้อมและมาตรฐานการทำงานระดับโลกที่เป็นที่ยอมรับ คณะกรรมการจัดการแข่งขัน รวมถึงสนามช้างฯ จะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามาตรฐาน พร้อมกับพัฒนาทุกๆ ด้านให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้แฟนๆ ทุกท่าน ได้ประทับใจกับมนต์เสน่ห์ของโมโตจีพีวิถีไทย ที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก

ภายในงานยังได้มีการเปิดจำหน่ายบัตรชมการแข่งขัน โมโตจีพี สนามประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. โดยที่นั่งบัตรแกรนด์สแตนด์ ทุบสถิติอีกครั้ง Sold Out ด้วยเวลา 2.55 นาที ด้วยความพิเศษของ “บัตรชมโมโตจีพี” ที่สุดคุ้มถึง 2 ต่อ ได้ชม “Pre-Season Test” ฟรี รวมทั้งปรากฎการณ์แห่งการร่วมใจเชียร์นักบิดไทย ฝ่ายจัดฯคาดว่า บัตรชมการแข่งขันปีนี้ จะประสบความสำเร็จในแง่ยอดจัดจำหน่ายสูงสุด เต็มทุกสแตนด์ที่นั่งอย่างรวดเร็วแน่นอน

ทั้งนี้ “บัตรเข้าชม โมโตจีพี สนามประเทศไทย 2025” แบ่งเป็น 4 ประเภท เข้าชม Pre-Season Test ได้ฟรี และชม Main Race ได้ทั้ง 3 วัน ได้แก่ 1.แกรนด์สแตนด์ (Grandstand) 5,000 บาท (เห็นทุกโค้งทั่วสนาม) 2.ไรเดอร์ สแตนด์ (Rider Stand) 3,000 บาท สำหรับกองเชียร์นักแข่ง 3 คน ได้แก่ มาร์เกซ สแตนด์, กวาร์ตาราโร สแตนด์, จันทรา สแตนด์ (พร้อมของที่ระลึก ลิขสิทธิ์แท้จากนักบิด) 3. แบรนด์ สแตนด์ (Brand Stand ) 2,000 บาท สำหรับกองเชียร์จากค่ายรถจักรยานยนต์  Honda, YAMAHA และ DUCATI (พร้อมสิทธิ์ลุ้นชิงโชคและรับของที่ระลึกจากผู้สนับสนุน) 4. ไซด์สแตนด์  (Side Stand) 2,000 บาท ส่วนผู้ชมที่ต้องการซื้อเฉพาะบัตรชม Pre-Season Test ทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ราคาจำหน่ายบัตร แบ่งเป็น บัตร Grand Stand ราคา 500 บาทต่อวัน หรือเหมา 2 วัน 900 บาท, บัตร VIP 5,000 บาท ต่อวัน

สำหรับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ยังคงจัดเต็มเช่นเคย โดย PTG มอบส่วนลดในการซื้อบัตรชม การแข่งขัน เพื่อเติมความสุขอย่างเต็ม Max ไม่ว่าจะเป็น บัตรแดง PT Max Card Plus เพียงโชว์บัตรที่ จุดจำหน่าย รับส่วนลด 25% ,บัตรเขียว PT Max Card ลด 20% และยังมีกิจกรรมพิเศษ ลด-แลก-แจก-ช้อปภายในงาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในเครือ PT Maxnitron กาแฟพันธุ์ไทย ศูนย์บริการ Autobacs ฯลฯ และยังมีของที่ระลึกโมโตจีพีลิมิเต็ดมากมาย ติดตามได้ที่แฟนเพจ PT Station หรือสิทธิ์ส่วนลด 20% จากผู้สนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ Chang International Circuit Friend Club, กุญแจรถจักรยานยนต์ Honda, YAMAHA ส่วนกุญแจรถ DUCATI ใช้เป็นส่วนลดได้เฉพาะสแตนด์ดูคาติเท่านั้น (สงวนสิทธิ์เลือกใช้ส่วนลดได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง)

แฟนความเร็วซื้อบัตรได้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ allticket ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แฟนเพจ Chang Circuit Buriram หรือรับข่าวสารผ่านช่องทางไลน์ โดยเพิ่มเพื่อน Line ID : @changcircuit

ไทยฮอนด้า ก้าวสู่ปีที่ 60 เปิดตัว 2 โมเดลใหม่ รุกต้นปี 68

ไทยฮอนด้า ก้าวสู่ปีที่ 60 เปิดตัว 2 โมเดลใหม่! รุกต้นปี พร้อมเดินหน้าสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในประเทศไทย

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 60 พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์อันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยส่งรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นใหม่รุกตลาดต้นปี ในงาน ‘Thai Honda Leading The Future: Press Conference 2025’ ณ โรงแรม Centara Grand and Bangkok Convention Centre นำโดย รถจักรยานยนต์สปอร์ตพรีเมียม ‘All New Honda PCX160’ เอกลักษณ์แห่งความภูมิใจที่ชูเทคโนโลยีไปอีกระดับ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายและประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกกว่าที่เคย ตามด้วย รถจักรยานยนต์เอ.ที. ในสไตล์ High Fashion ‘Honda Giorno+ Disney Fantasia 85 Years Limited Edition’ ที่พร้อมสร้างปรากฏการณ์สุด Magical แก่เหล่าสาวกมิคกี้เมาส์ มาในลวดลายแอนิเมชันระดับตำนานอย่าง ‘Disney Fantasia’ เพื่อฉลองครบรอบ 85 ปี โดยผลิตจำนวนจำกัดเพียง 2,000 คันเท่านั้น

มร.มิโนรุ คาโตะ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ส่วนงานรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดของฮอนด้าทั่วโลกว่า “รถจักรยานยนต์ฮอนด้ามุ่งมั่นตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าทุกกลุ่มผ่านผลิตภัณฑ์ บริการที่เปี่ยมคุณภาพ และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันเสมอมา ส่งผลให้ฮอนด้ายังคงได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในปี 2024 ที่ผ่านมา โดยเราสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์กว่า 27.6 ล้านชิ้น ให้กับลูกค้าทั่วโลก ในจำนวนนี้เป็นรถจักรยานยนต์ถึง 19.9 ล้านคัน และคาดว่ายอดขายในปีงบประมาณนี้ ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม จะทะลุ 20 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอีก 1.3 ล้านคัน ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรถจักรยานยนต์ของฮอนด้าทั่วโลกสูงถึง 40% ธุรกิจรถจักรยานยนต์ยังคงเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจทั้งหมดของฮอนด้า”

“ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของฮอนด้าในภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นศูนย์กลางของธุรกิจรถจักรยานยนต์ของเรา ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและนวัตกรรมล้ำสมัย รวมถึงการบริการและช่องทางจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ปีนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยฮอนด้าฉลองครบรอบ 60 ปี และประสบความสำเร็จในฐานะฐานการผลิตเพื่อส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของฮอนด้า โดยผลิตรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์รวมกว่า 90 ล้านชิ้น ส่งออกไปยัง 96 ประเทศทั่วโลก”

ด้าน มร.ยูอิจิ ชิมิซุ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทยว่า “ปีที่ผ่านมา ไทยฮอนด้าสามารถจำหน่ายรถจักรยานยนต์ได้ถึง 1.38 ล้านคัน จากตลาดรวม 1.71 ล้านคัน พร้อมครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 36 ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือและการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากผู้จำหน่ายทั่วประเทศ”

“สำหรับปี 2025 แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความเปราะบาง แต่เราคาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโตประมาณ 101% อยู่ที่ 1.70-1.75 ล้านคัน โดยฮอนด้าตั้งเป้าจำหน่ายถึงผู้ใช้อยู่ที่ 1.36-1.40 ล้านคัน หรือเติบโต 102% เรามุ่งมั่นกระตุ้นตลาดด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 9 รุ่นในปีนี้ พร้อมพัฒนากลยุทธ์ด้านการขายและบริการในรูปแบบดิจิทัล เพื่อสร้างโครงสร้างตลาดที่แข็งแกร่ง และเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า”

“จากปีที่ผ่านมา ด้านตลาดในกลุ่มรถเอ.ที. มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น โดยมีสัดส่วนการขายอยู่ที่ 53% เราจึงผลักดันและสานต่อความสำเร็จของรถจักรยานยนต์ในกลุ่มเอ.ที. โดยในวันนี้พร้อมเปิดตัว 2 รุ่น คือ All New Honda PCX160 รถจักรยานยนต์สปอร์ตพรีเมียม มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ และ Honda Giorno+ Disney Fantasia 85 Years Limited Edition ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการคอลแลบฯ กับแอนิเมชันสุดพิเศษ Disney Fantasia เพื่อต่อยอดความสำเร็จและส่งเสริมภาพลักษณ์ของฮอนด้าในฐานะผู้นำตลาดที่ไม่หยุดพัฒนาและตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า”

“ปีนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับฮอนด้า เนื่องจากเป็นปีที่เราฉลองครบรอบ 60 ปีของการก่อตั้งบริษัทไทยฮอนด้า ในโอกาสนี้ เราได้จัดทำโครงการมอบหมวกกันน็อค มูลค่า 60 ล้านบาทให้แก่หน่วยงานภาครัฐและสถานศึกษา เพื่อแสดงความขอบคุณต่อสังคมไทยที่ให้การสนับสนุนเราเสมอมา ฮอนด้าพร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพ รวมถึงส่งเสริมสังคมไทยให้เติบโตไปพร้อมกับเราอย่างยั่งยืน”

สำหรับ ‘All New Honda PCX160’ ครั้งนี้มาพร้อมดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมในคอนเซปต์ ‘BE THE MARK OF PRIDE อีกระดับของความภูมิใจ ที่ใครก็อยากเป็น’ โดดเด่นด้วยหน้าจอแสดงผล TFT ใหม่ ขนาด 5 นิ้ว แสดงผลทุกข้อมูลการขับขี่ได้ครบถ้วนชัดเจน รวมถึงการแสดงผลระบบ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบตรวจจับและควบคุมล้อหน้า-ล้อหลังให้สัมพันธ์กัน ป้องกันรถเสียการทรงตัว สะดวก ปลอดภัยในทุกการขับขี่ พร้อมเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Honda RoadSync เทคโนโลยีอัจฉริยะจากฮอนด้าที่ควบคุมการทำงานด้วยเสียงโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน ในการรับสายโทรเข้า-โทรออก, ระบบนำทาง, แอปพลิเคชันฟังเพลง และประวัติการเดินทาง พร้อมควบคุมผ่านปุ่มคอนโทรลเลอร์ดีไซน์ใหม่ในแบบมัลติฟังก์ชันสั่งการได้หลากหลาย ถือเป็นอีกระดับของการเชื่อมต่อระหว่างคนและรถ

All New Honda PCX160 เสริมเอกลักษณ์แห่งความภูมิใจด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ทรง Victory Shape พร้อมไฟเลี้ยว LED เพิ่มการส่องสว่าง และไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม ทั้งนี้ มาพร้อมพลังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว 157 ซีซี. ให้สมรรถนะแรงต่อเนื่อง ส่งเต็มกำลัง สมูท ลื่นไหล ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบเบรก ABS ล้อหน้าที่มาพร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่จุได้ 30 ลิตร และกุญแจรีโมตอัจฉริยะ Honda SMART KEY & CONTROLLER ที่สั่งงานง่ายเพียงบิดสวิตช์

All New Honda PCX160 รุ่น RoadSync มีวางจำหน่ายในเฉดสีใหม่ ทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน Innovate Blue และ สีแดง-ดำ Matt Red ราคาแนะนำที่ 99,900 บาท รุ่น Standard มีวางจำหน่ายทั้งหมด 3 เฉดสีใหม่ ได้แก่ สีดำ Matt Gunpowder Black, สีน้ำเงิน-ดำ Victory Blue และสีเทา-ดำ Pearl Smoky Gray ราคาแนะนำที่ 96,000 บาท

นอกจากรุ่น All New Honda PCX160 รุ่น RoadSync และ Standard ไทยฮอนด้ายังได้นำเสนอ Exclusive Edition จากสำนักแต่ง H2C by Honda ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความเป็นขั้นสุดของรุ่น สะท้อนความหรูหราในคอนเซปต์ ‘MARK UP YOUR PRIDE’ พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งสุดพิเศษดีไซน์โดดเด่น มอบสมรรถนะแรงเร้าใจ ราคาแนะนำที่ 107,500 บาท

พร้อมกันนี้ ไทยฮอนด้ายังมาพร้อมโปรโมชันพิเศษให้กับผู้ทำการจองรถ All New Honda PCX160 ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 31 มกราคม 68 ด้วยแพคเกจ HSP (Honda Service Premium Package) ตรวจเช็คระยะฟรีตลอดระยะเวลา 2 ปี หรือระยะทาง 18,000 กิโลเมตร กดรับสิทธิ์ผ่าน Application “My Honda Moto” ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น : https://myhonda.page.link/invite

ตามด้วย ‘Honda Giorno+ Disney Fantasia 85 Years Limited Edition’ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘ENCHANT THE NEW HIGH เสกทุกสไตล์ ให้กลายเป็นดาว’ โดยนำเอาแอนิเมชันระดับตำนานอย่าง ‘Disney Fantasia’ ลวดลายจอมเวทย์มิกกี้เม้าส์มาคอลแลปกับมอเตอร์ไซค์สไตล์ High Fashion อย่าง Honda Giorno+ โดยสร้างปรากฏการณ์สุด Magical พาสไตล์ไปเหนือจินตนาการด้วยเฉดสีน้ำเงินเข้มแซมแดง ผสานความลงตัวด้วยสติกเกอร์ Reach for the stars โดดเด่นท่ามกลางลวดลายดวงดาวที่เรืองแสงได้ในยามค่ำคืน เพิ่มความพิเศษด้วย 3D Emblem สีทองและโลโก้ฉลองครบรอบ 85 ปี แอนิเมชันในตำนาน พร้อมระบุ Serial Number เสริมความลิมิเต็ดให้กับเหล่าสาวก Disney อีกด้วย ที่สำคัญเสริมภาพลักษณ์ความเท่ สะดุดตาไปอีกขั้นด้วยครอบท่อไอเสียสแตนเลส และสติกเกอร์วงล้อ H2C

Honda Giorno+ Disney Fantasia 85 Years Limited Edition ผลิตและวางจำหน่ายเพียง 2,000 คันเท่านั้น ในราคาแนะนำ 73,700 บาท มาพร้อมกับพรีเมียมบอกซ์เซ็ตสำหรับแฟน Disney Fantasia ได้แก่ เสื้อแจ็คแก็ตสุดแฟชั่น ลายจอมเวทย์มิกกี้เม้าส์ รวมถึงพวงกุญแจสุดคูล The Magical Keychain เพิ่มความน่ารักเหนือจินตนาการ ไม่ซ้ำใคร

เตรียมติดตามรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่จากไทยฮอนด้าที่กำลังจะเปิดตัวตลอดปี 2025 นี้ จำนวน 9 รุ่น ไม่รวม PCX160 ที่เปิดตัวในวันนี้ ไทยฮอนด้ามุ่งมั่นพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์

มาสด้า ประกาศสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน

มาสด้า ประกาศสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน รูปทรงกระบอก ณ เมืองอิวาคุนิ จังหวัดยามากูชิ เพื่อประกอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก

ฮิโรชิม่า – ประเทศญี่ปุ่น, วันที่ 9 มกราคม 2568 : มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศเดินหน้าเต็มกำลังต่อแผนงานการขยายการลงทุนเพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ สำหรับผลิตแบตเตอรี่ระดับโมดูล (Battery Module) และระดับแพ็ค (Battery Pack) ชนิดลิเธียม-ไอออน รูปทรงกระบอก เพื่อนำมาใช้สำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ณ เมืองอิวาคุนิ จังหวัดยามากูชิ ประเทศญี่ปุ่น โดยความร่วมมือกันระหว่างมาสด้ากับพานาโซนิค เอเนอร์จี ซึ่งจะเป็นซัพพลายเออร์ในการผลิต และแบตเตอรี่ที่จะทำการผลิตขึ้นมาใหม่นี้จะถูกนำมาติดตั้งเข้าไปในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รุ่นแรกของมาสด้า ที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ โดยจะทำการผลิตขึ้นในโรงงานผลิตรถยนต์ของมาสด้า ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ คาดว่ากำลังการผลิตของโรงงานใหม่แห่งนี้จะอยู่ที่ 10 GWh ต่อปี

ภายใต้แผนการดำเนินธุรกิจระยะกลาง 2030 มาสด้าได้เตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าตามกลยุทธ์ Multi-solution เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายและข้อกำหนดใหม่ เพื่อมีส่วนสนับสนุนและช่วยแก้ไขปัญหาสังคมในการลดภาวะโลกร้อนในระยะยาว โดยเฉพาะแบตเตอรี่ซึ่งถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า มาสด้าได้มีการลงนามข้อตกลงร่วมกับพานาโซนิค เอเนอร์จี เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2566 เพื่อจัดหาแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน รูปทรงกระบอก สำหรับใช้ในการประกอบในรถยนต์ ต่อมาในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา แผนการขยายการผลิตแบตเตอรี่และการพัฒนาเทคโนโลยีผ่านกระบวนการความร่วมมือในครั้งนี้ ก็ได้รับการรับรองจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) กลายเป็น “แผนงานรับรองการจัดหาแบตเตอรี่” จากแผนงานดังกล่าว จะส่งผลทำให้มาสด้าสามารถนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมแบตเตอรี่ที่มีลักษณะเฉพาะของมาสด้าให้กับลูกค้า โดยจะมาพร้อมกับการออกแบบที่เหนือระดับ ส่งมอบความสะดวกสบาย และการขับขี่ที่ให้ระยะทางไกลขึ้น นอกจากนั้น โรงงานใหม่แห่งนี้ ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างการจ้างงานในระดับท้องถิ่น รวมถึงช่วยพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย

มาสด้าจะยังคงเดินหน้ายกระดับ “ความสุขในการขับขี่” โดยยึดมั่นในคุณค่าของ “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” ไปจนถึงปี 2030 และมุ่งมั่นที่จะมอบ “ความสุขในการใช้ชีวิต” ด้วยการสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าตื่นเต้นในชีวิตประจำวันให้กับลูกค้าทุกคน

“พิมพ์พิศา รับรอง” คว้าแชมป์ Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers

พิมพ์พิศา รับรอง ฉลองวันเกิดด้วยแชมป์ Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers คว้าสิทธิ์เข้าดวลวงสวิงกับนักกอล์ฟระดับโลกในศึกฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025

บรรยายภาพ : ร่วมแสดงความยินดี – (ซ้าย) นางสาวมนวรา เพชรพลากร ผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) และ (ขวา) นายนคร วิมลจิตรสอาด ผู้จัดการทั่วไป สายงานการสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับ พิมพ์พิศา รับรอง ผู้ชนะการแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers ณ สยามคันทรีคลับ โรลลิ่งฮิลส์ พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 โดย พิมพ์พิศา จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025 ชิงเงินรางวัลรวม 1.7 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 60 ล้านบาท) ระหว่างวันที่ 20-23 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สยามคันทรีคลับ โอลด์คอร์ส พัทยา จ.ชลบุรี

ชลบุรี – 8 มกราคม 2568 : การแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers ณ สยามคันทรีคลับ โรลลิ่งฮิลส์ พัทยา จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 7 – 8 มกราคม 2568  ฝ้าย-พิมพ์พิศา รับรอง คว้าตำแหน่งผู้ชนะ พร้อมรับสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025 ชิงเงินรางวัลรวม 1.7 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 60 ล้านบาท) โดยการแข่งขันจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 23 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สยามคันทรีคลับ โอลด์คอร์ส พัทยา จ.ชลบุรี

ฝ้าย-พิมพ์พิศา นักกอล์ฟสมัครเล่นทีมชาติไทย วัย 18 ปี จากกรุงเทพมหานคร สามารถคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ จากผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 88 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มจัดการแข่งขัน ด้วยผลงานยอดเยี่ยม 6 อันเดอร์พาร์ 138 (69-69) ทิ้งอันดับ 2 สรัลพร เกตุสุวรรณ ที่ทำสกอร์เข้ามา 4 อันเดอร์พาร์ 140 (69-71) ฝ้าย-พิมพ์พิศา ซึ่งคว้าแชมป์ฉลองวันเกิดอายุครบ 18 ปี ในวันที่ 9 มกราคม 2568 นี้ กล่าวถึงความรู้สึกในการแข่งขันครั้งนี้ว่า ภูมิใจและดีใจมาก ตนเองได้ลงแข่ง Honda LPGA Thailand National Qualifiers มา 2 ครั้ง ทำให้รู้ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น    

ฝ้าย-พิมพ์พิศา ยังย้ำด้วยความมุ่งมั่นว่า จะตั้งใจทำผลงานให้ดีที่สุดในการแข่งขันกับนักกอล์ฟชั้นนำของโลก โดยจะซ้อมให้มากขึ้นโดยเฉพาะที่สนามโอลด์คอร์ส และฝึกควบคุมสมาธิ ขอบคุณครอบครัวที่เป็นกำลังใจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ และขอบคุณฮอนด้าที่จัดการแข่งขันนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้นักกอล์ฟไทยได้สัมผัสประสบการณ์การแข่งขันในระดับโลก

นายนคร วิมลจิตรสอาด ผู้จัดการทั่วไป สายงานการสื่อสารการตลาด บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ได้ผนึกกำลังกับ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้ามอเตอร์ จำกัด และบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนการแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ การได้มาเห็นบรรยากาศการแข่งขัน National Qualifiers ในวันนี้ ก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของบรรดานักกอล์ฟไทยทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นที่ตั้งใจก้าวเดินตามความฝันของตนเองในเส้นทางกีฬากอล์ฟ ต้องขอแสดงความยินดีกับพิมพ์พิศา และขอเป็นกำลังใจให้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ และได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจในการแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025 ที่จะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้”

การแข่งขัน Honda LPGA Thailand 2025 National Qualifiers จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 7 ในปีนี้ สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพสตรี (ไทยแอลพีจีเอ) ผู้จัดการแข่งขันกอล์ฟอาชีพสตรี ส่งเสริมและพัฒนากอล์ฟสตรีไทยก้าวสู่ระดับนานาชาติ ได้เข้าร่วมดำเนินการจัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก โดยเวทีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของนักกอล์ฟหลายคน อาทิ พราว-ชเนตตี วรรณแสน แชมป์ National Qualifiers ระดับประเทศ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 2021 และ 2022 ปัจจุบันได้สร้างผลงานยอดเยี่ยมและโลดแล่นในเวทีโลก ด้วยดีกรีแชมป์แอลพีจีเอทัวร์ 2 รายการ ได้แก่ Portland Classic 2023 และ Dana Open 2024  สำหรับนักกอล์ฟสาวไทยที่คว้าแชมป์รายการนี้ ได้แก่ กิฟท์ – เบญญาภา นิภัทร์โสภณ (แชมป์ 2019) รีน่า ทัตเทมัตซึ (แชมป์ 2020) พราว – ชเนตตี วรรณแสน (แชมป์ 2021 และ 2022) ซิม – ณัฐกฤตา วงศ์ทวีลาภ (แชมป์ 2023) ฮัท – สุวิชยา วินิจฉัยธรรม (แชมป์ 2024) และแชมป์คนล่าสุด ฝ้าย-พิมพ์พิศา รับรอง

การแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025 จะกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่และความตื่นเต้นเร้าใจให้กับแฟนกอล์ฟอีกครั้งในวันที่ 20-23 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สยามคันทรีคลับ โอลด์คอร์ส พัทยา จ.ชลบุรี สำหรับนักกอล์ฟไทยที่เข้าร่วมแข่งขัน นำโดย จีโน่-อาฒยา ฐิติกุล ที่คว้า 2 แชมป์แอลพีจีเอ ในปีที่ผ่านมา ทั้ง Dow Championship และ CME Group Tour Championship ก่อนจะก้าวขึ้นสู่อันดับ 4 ของโลก ในฤดูกาล 2024 พร้อมด้วย แพตตี้-ปภังกร ธวัชธนกิจ แชมป์ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2024 ที่จะกลับมาป้องกันแชมป์ โดยรายชื่อทั้งหมดของนักกอล์ฟสตรีชั้นนำระดับโลกทั้งไทยและต่างชาติจำนวน 72 คน จะมีการเปิดเผยในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นี้

แฟนกอล์ฟสามารถติดตามชมการแข่งขัน ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025 ผ่านการถ่ายทอดสดทาง PPTV HD 36 และทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงเว็บไซต์ www.pptvhd36.com  เฟซบุ๊ก www.facebook.com/PPTVHD36  และ YouTube ช่อง PPTV Sports สำหรับบัตรเข้าชมการแข่งขันทั้งแบบทั่วไปและแบบวีไอพี เปิดจำหน่ายแล้ว ทาง hondalpgathailand.com ผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี และอายุมากกว่า 60 ปี สามารถลงทะเบียนเข้าชมการแข่งขันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ฮอนด้า เผยโฉมโมเดลยนตรกรรมต้นแบบ “Honda 0 Saloon” และ “Honda 0 SUV” เป็นครั้งแรกในโลก

ฮอนด้า เผยโฉมโมเดลยนตรกรรมต้นแบบ “Honda 0 Saloon” และ “Honda 0 SUV” เป็นครั้งแรกในโลกที่งาน CES 2025 พร้อมเปิดตัว “ASIMO OS” ระบบปฏิบัติการรถยนต์ที่พัฒนาโดยฮอนด้า ซึ่งติดตั้งใน Honda 0 Series

•ฮอนด้า เผยโฉม Honda 0 Saloon และ Honda 0 SUV โมเดลรถต้นแบบภายใต้ “Honda 0 Series (ฮอนด้า ซีโร่ ซีรีส์)” เป็นครั้งแรกในโลก

•เปิดตัว “ASIMO OS” ระบบปฏิบัติการรถยนต์ที่พัฒนาโดยฮอนด้า ที่จะได้รับการติดตั้งในยนตรกรรมไฟฟ้า Honda 0 Series ทุกรุ่น

•พร้อมการเร่งขยายการใช้งานระบบการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 (แบบละสายตา) ในระดับโลกมากขึ้น โดยเริ่มจาก Honda 0 Series เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของโลก ที่มอบประสบการณ์ขับขี่แบบละสายตาได้ในทุกสภาวะการขับขี่ เพื่อเปิดความเป็นไปได้ใหม่แห่งการขับเคลื่อน

•ฮอนด้า ประกาศในสัญญาข้อตกลงความร่วมมือกับ Renesas Electronics Corporation บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ ในการพัฒนาระบบชิปบนอุปกรณ์ (SoC) ประสิทธิภาพสูงที่จะนำมาใช้ใน Honda 0 Series และยนตรกรรมฮอนด้ารุ่นอื่นๆ ที่จะเปิดตัวครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษที่ 2020

•พร้อมเร่งนำเสนอโครงการในส่วนของบริการด้านพลังงานที่รวมถึงการเสนอบริการด้านพลังงานใหม่ ผ่านระบบการจัดการพลังงานในบ้าน (Home Energy Management System)

(ลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา – 8 มกราคม 2568) : ฮอนด้า เผยโฉมโมเดลรถต้นแบบ 2 รุ่น เป็นครั้งแรกในโลกที่งาน CES 2025 ได้แก่ Honda 0 Saloon และ Honda 0 SUV ซึ่งเป็นรถภายใต้ไลน์อัป “Honda 0 Series (ฮอนด้า ซีโร่ ซีรีส์)” ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดโลกในปี พ.ศ. 2569 พร้อมทั้งเปิดตัว “ASIMO OS” ระบบปฏิบัติการรถยนต์ที่ฮอนด้าพัฒนาขึ้นเองสำหรับใช้กับรถ Honda 0 Series อีกด้วย

Honda 0 Saloon (ฮอนด้า ซีโร่ ซาลูน)

-รถต้นแบบที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจาก concept model ที่เปิดตัวในงาน CES 2024 เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อเตรียมเปิดตัวสู่ตลาดโลกในปี พ.ศ. 2569 โดยยังคงไว้ซึ่งดีไซน์เอกลักษณ์ตามแบบฉบับ concept model ที่มาพร้อมตัวถังต่ำสไตล์สปอร์ต พร้อมด้วยภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง

-นับเป็น Flagship Model ภายใต้ Honda 0 Series ที่จะได้รับการพัฒนาบนสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ อีกทั้งมาพร้อมหลากหลายเทคโนโลยีใหม่ที่ผสานแนวคิด “บาง เบา และชาญฉลาด” เข้าไว้ด้วยกัน

-ฮอนด้า จะนำเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติที่เชื่อถือได้สูงบนพื้นฐานของระบบการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 มาติดตั้งเพื่อการใช้งานจริงเป็นครั้งแรกในโลก พร้อมด้วยฟังก์ชัน “ultra-personal optimization” ที่ผู้ใช้รถแต่ละรายจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การเดินทางที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับตัวเอง เมื่อทำงานบนระบบปฏิบัติการยานยนต์ “ASIMO OS”

-ฮอนด้า จะเริ่มเดินสายการผลิต Honda 0 Saloon ในปี พ.ศ. 2569 โดยเริ่มจากอเมริกาเหนือเป็นที่แรกตามด้วยญี่ปุ่นและยุโรปตามลำดับ

Honda 0 Series

Honda 0 SUV (ฮอนด้า ซีโร่ เอสยูวี)

-ต้นแบบยนตรกรรมไฟฟ้าขนาดกลาง ที่จะเป็นโมเดลแรกภายใต้ Honda 0 Series ซึ่งได้รับการพัฒนาจากโมเดลต้นแบบ Space-Hub ที่เปิดตัวในงาน CES 2024

-Honda 0 SUV จะมาพร้อมกับหลากหลายเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สะท้อนแนวคิดการพัฒนา “บาง เบา และชาญฉลาด” เช่นเดียวกับ Honda 0 Saloon โดยจะส่งมอบพื้นที่สุดล้ำ ผ่านฟังก์ชัน “ultra-personal optimization” และประสบการณ์ดิจิทัล เมื่อทำงานบนระบบปฏิบัติการยานยนต์ “ASIMO OS”

-นอกจากนี้ Honda 0 Series จะใช้การประมาณค่าความสูงจากพื้น และการควบคุมเสถียรภาพที่มีความแม่นยำสูงโดยอิงจาก 3D Gyro Sensors ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ฮอนด้าสั่งสมผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ของตน เพื่อให้การควบคุมเป็นไปตามความต้องการของผู้ขับขี่ เมื่ออยู่บนพื้นผิวถนนหลากหลายรูปแบบ

-โดยฮอนด้าจะเริ่มเดินสายการผลิต Honda 0 SUV ในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2569 โดยเริ่มจากอเมริกาเหนือเป็นที่แรก ตามด้วยญี่ปุ่นและยุโรปตามลำดับ

Honda 0 SUV

ระบบปฏิบัติการรถยนต์ ASIMO OS

-ยนตรกรรมภายใต้ไลน์อัป Honda 0 Series จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการรถยนต์ “ASIMO OS” ที่พัฒนาขึ้นโดยฮอนด้าเอง โดยฮอนด้านำชื่อ ASIMO มาใช้เป็นชื่อระบบปฏิบัติการฯ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้ยานยนต์ซีรีส์นี้กลายเป็นไอคอนของยนตรกรรมไฟฟ้ารุ่นต่อไป ที่จะสร้างความประหลาดใจ และมอบแรงบันดาลใจแก่ผู้คนทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ ASIMO เคยทำมา

-นับตั้งแต่การพัฒนา ASIMO ฮอนด้าได้มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยมุ่งที่จะส่งมอบคุณค่าใหม่ของยานพาหนะที่ฟังก์ชันหลักถูกควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ (SDVs) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ด้วยการผสานเทคโนโลยีหุ่นยนต์เหล่านี้เข้ากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงสำหรับ Honda 0 Series

-ASIMO OS จะถูกนำไปใช้ในการควบคุมการทำงานร่วมกับหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (ECUs) ในยนตกรรมไฟฟ้า เช่น ระบบขับขี่อัตโนมัติ/ระบบช่วยผู้ขับขี่ขั้นสูง (AD/ADAS) และระบบความบันเทิงในรถยนต์ (IVI)

-โดยในทุกครั้งที่มีการอัปเดตซอฟต์แวร์ในรถยนต์อย่างต่อเนื่องผ่านการอัปเดตแบบ OTA (Over-the-Air) แม้หลังจากที่ซื้อรถแล้ว ฟังก์ชันและบริการจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามความชอบและความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละคน ซึ่งฟังก์ชันและบริการที่ได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่องนี้ จะช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของ “พื้นที่” และประสบการณ์ดิจิทัล ที่มอบความสนุกสนานและความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง รวมทั้งการควบคุมสมรรถนะการทรงตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า ที่จะทำให้ทุกการขับสนุกสนานยิ่งขึ้น และทำให้ผู้ขับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถ

-ทั้งนี้ ฮอนด้า วางแผนที่จะติดตั้ง ASIMO OS ใน Honda 0 SUV และ Honda 0 Saloon และยนตรกรรมรุ่นอื่นๆ ใน Honda 0 Series

ระบบการขับขี่อัตโนมัติ AD (Automated Driving)

-ในปี พ.ศ. 2564 ฮอนด้า เป็นผู้ผลิตยานยนต์รายแรกของโลกที่นำระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 มาใช้จริง โดยได้ติดตั้งใน Honda Legend ที่มาพร้อม ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท (Honda SENSING Elite) ซึ่งรองรับระบบการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 (แบบละสายตาได้) และการขับขี่อัตโนมัติแบบมีเงื่อนไขในพื้นที่จำกัด

-ฮอนด้า เชื่อว่าการใช้เทคโนโลยีการขับขี่แบบละสายตาได้อย่างแพร่หลาย จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการทำให้อุบัติเหตุทางท้องถนนเป็นศูนย์ในอนาคตได้ ฮอนด้า จึงพยายามนำเสนอยนตรกรรมขับขี่อัตโนมัติในราคาที่จับต้องได้ให้กับลูกค้าทั่วโลกผ่าน Honda 0 Series

-โดยฮอนด้า ได้นำเทคโนโลยี AI ของตนเองที่ผสมผสานเทคโนโลยีการเรียนรู้แบบไร้การควบคุม*1 ของ Helm.ai เข้ากับโมเดลพฤติกรรมของผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์ ซึ่งช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้ด้วยข้อมูลจำนวนน้อย และขยายขอบเขตของสถานการณ์ที่การขับขี่อัตโนมัติและการช่วยเหลือผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

-นอกจากนี้ ฮอนด้า จะนำเทคโนโลยี AI ของฮอนด้ามาประยุกต์ใช้กับงานพัฒนา ผ่านการวิจัยเกี่ยวกับผู้คนและการเคลื่อนที่ เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของพฤติกรรมการอยู่ร่วมกัน (cooperative behavior) เช่น การให้ทางกับผู้อื่นบนถนน ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยนี้ จะทำให้ฮอนด้าสามารถสร้างระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่เชื่อถือได้สูง ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสม เช่น เมื่อมีสัตว์วิ่งเข้าสู่ช่องทาง หรือวัตถุตกลงบนถนน

-Honda 0 Series จะได้รับการติดตั้งระบบที่ช่วยขยายขอบเขตความสามารถในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ในหลากหลายสภาพการขับขี่ ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 โดยจะเริ่มด้วยเทคโนโลยีการขับขี่แบบละสายตา (eyes-off) ที่ใช้ได้ในสภาพการจราจรติดขัดบนทางหลวง และสภาพการจราจรอื่นๆ จากการอัปเดต OTA ของฟังก์ชันต่างๆ

*1 การเรียนรู้แบบไร้การควบคุม (Unsupervised learning) เป็นหนึ่งในวิธีการเรียนรู้ของเครื่องยนต์ที่สนับสนุน AI โดยแตกต่างจากการเรียนรู้แบบมีการควบคุม (supervised learning) ซึ่ง AI เรียนรู้คำตอบที่ถูกต้องจากข้อมูลที่มีป้ายกำกับ การเรียนรู้แบบไร้การควบคุมนั้นอนุญาตให้ AI เรียนรู้โดยไม่ต้องได้รับคำตอบที่ถูกต้องและค้นหาแบบแผนและลักษณะเฉพาะของข้อมูลที่ไม่มีป้ายกำกับด้วยตนเอง

การพัฒนา SoC สำหรับ Honda 0 Series

-ในงาน CES 2025 ฮอนด้า และ Renesas Electronics Corporation (Renesas) ได้ประกาศการลงนามในข้อตกลงเพื่อพัฒนาระบบชิปบนอุปกรณ์ (SoC) ประสิทธิภาพสูง เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายด้านยานพาหนะในอนาคตที่ฟังก์ชันหลักถูกควบคุมการทำงานด้วยซอฟต์แวร์ (SDVs) ซึ่งฮอนด้ามุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จในไลน์อัป Honda 0 Series

-สำหรับยนตรกรรม Honda 0 Series เจเนอเรชันถัดไป ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษที่ 2020 ฮอนด้าจะนำสถาปัตยกรรม E&E แบบ Centralized ซึ่งเป็นการรวม ECU หลายตัวที่รับผิดชอบควบคุมระบบยานพาหนะแต่ละตัวให้เป็นหนึ่ง ECU หลัก ซึ่งทำหน้าที่เสมือนศูนย์กลางของยานพาหนะ (SDV) ในการจัดการระบบต่าง ๆ เช่น AD/ADAS, การควบคุมระบบขับเคลื่อน และฟีเจอร์เพื่อความสะดวกสบายต่าง ๆ ทั้งหมดอยู่ใน ECU เดียว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ECU จึงต้องการระบบชิป (SoC) ที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงกว่าระบบทั่วไป ในขณะที่ใช้พลังงานเพิ่มในอัตราที่น้อยที่สุด

-เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว ฮอนด้าและ Renesas จะสร้างระบบที่ใช้เทคโนโลยีชิปเล็ตแบบ Multi-Die Chiplet Technology*2 ที่นำชิป Renesas generic รุ่นที่ห้า (Gen 5) R-Car X5 SoC series มาทำงานร่วมกับ AI accelerator ที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับซอฟต์แวร์ AI ที่พัฒนาขึ้นโดยฮอนด้า ซึ่งการผสานการทำงานนี้ ทั้งสองบริษัทตั้งเป้าที่จะพัฒนาระบบ AI ชั้นนำของอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 2,000 TOPS*3 (Sparse) ด้วยประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 20 TOPS ต่อวัตต์ (TOPS/W)

*2 เทคโนโลยีในการสร้างระบบโดยการรวมชิปหลายตัว (dies) ที่มีฟังก์ชันต่างกันเข้าด้วยกัน

*3 Tera Operations Per Second (TOPS) เป็นหน่วยวัดประสิทธิภาพการประมวลผลของ AI และวัดจำนวนปฏิบัติการที่สามารถดำเนินการได้ต่อวินาที โดยอิงตามโมเดล AI แบบกระจาย (sparse AI model)

บริการด้านพลังงาน

เพื่อนำเสนอยนตรกรรมไฟฟ้า Honda 0 Series ที่สามารถส่งมอบความสุขและอิสระในการขับเคลื่อนให้กับผู้คนจำนวนมากโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฮอนด้า จึงมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอบริการด้านพลังงานใหม่ๆ ตาม 2 แนวคิดหลัก ได้แก่ 1) การสร้างเครือข่ายการชาร์จที่ช่วยให้ลูกค้าเพลิดเพลินและมีอิสระในการขับเคลื่อนอย่างไร้กังวล และ 2) การให้ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตประจำวันด้วยพลังงานสะอาดโดยใช้แบตเตอรี่ EV

1)การจัดตั้งเครือข่ายการชาร์จ

-ฮอนด้า มุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่ผู้ใช้ Honda 0 Series จะไม่มีปัญหาในการชาร์จรถยนต์ของพวกเขา เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ ในอเมริกาเหนือ ผู้ผลิตรถยนต์ 8 ราย*4 ได้ร่วมกันจัดตั้งกิจการร่วมค้าเพื่อสร้างเครือข่ายการชาร์จที่ชื่อว่า “IONNA” โดยมีเป้าหมายที่จะรวมสถานีชาร์จคุณภาพสูงอย่างน้อย 30,000 แห่งภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งยนตรกรรมไฟฟ้าทุกรุ่นในไลน์อัป Honda 0 Series จะมาพร้อมช่องชาร์จไฟตามมาตรฐานการชาร์จในอเมริกาเหนือ (NACS) โดยฮอนด้าจะเดินหน้าขยายเครือข่ายการชาร์จต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้ Honda 0 Series จะสามารถเข้าถึงสถานีชาร์จมากกว่า 100,000 แห่งภายในปี 2573

-นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเปิดตัวของ Honda 0 Series ฮอนด้า กำลังพิจารณาเพิ่มบริการชาร์จไฟใหม่จากเครือข่ายการชาร์จที่ครอบคลุมนี้ โดยใช้เทคโนโลยีของ Amazon Web Services, Inc. (AWS) เช่น Amazon Bedrock, เทคโนโลยี AI ของ AWS เข้ากับเทคโนโลยี AI ของฮอนด้า และหลังจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจาก Honda 0 Series และเครือข่ายการชาร์จที่ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต ฮอนด้า จะพยายามส่งมอบประสบการณ์การชาร์จไฟที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลในแง่ของการหาสถานที่ชาร์จและทำให้การชำระเงินเป็นเรื่องง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าฮอนด้าให้มากที่สุด

2)การทำให้ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตประจำวันด้วยพลังงานสะอาด เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน การใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น นับเป็นสิ่งสำคัญควบคู่กับความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า

-สำหรับการชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน ซึ่งคาดว่าจะเป็นประมาณ 80% ของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด*5 ฮอนด้าจะพัฒนา Honda Smart Charge ซึ่งเป็นบริการชาร์จไฟสำหรับผู้ใช้รถ EV ที่ฮอนด้ากำลังให้บริการในอเมริกาเหนือ โดยการรวมระบบการจัดการพลังงานในบ้านที่พัฒนาร่วมกับ Emporia Corp. เข้ากับระบบ Vehicle Grid Integration (VGI) ของ ChargeScape ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนด้านซอฟต์แวร์ที่ฮอนด้าจัดตั้งขึ้นร่วมกับบีเอ็ม ดับเบิ้ลยู และฟอร์ด และด้วยโครงการที่ฮอนด้าได้ริเริ่มเหล่านี้ คาดว่าจะมีส่วนช่วยลดค่าไฟฟ้าและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับลูกค้าในอเมริกาเหนือและตลาดอื่นๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป

-ด้วยบริการด้านพลังงานนี้ หากนำเอายนตรกรรมภายใต้ Honda 0 Series จำนวนหนึ่งมารวมกัน จะสามารถทำหน้าที่เป็นโรงไฟฟ้าเสมือน หรือ VPP ได้ และสามารถปรับแผนการชาร์จได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละคนได้มากขึ้น โดยเฉพาะยนตรกรรมภายใต้ Honda 0 Series จะชาร์จไฟตัวเองโดยการเลือกช่วงเวลาของวันที่ค่าไฟฟ้าต่ำ และสามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ และปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในบ้านในช่วงเวลาที่ค่าไฟฟ้าสูง จึงมีส่วนช่วยในการจัดการค่าไฟครัวเรือนทั้งบ้านได้อย่างชาญฉลาด

-นอกจากนี้ เมื่อกระแสไฟฟ้าเกิดการขาดแคลน ไฟฟ้าที่เก็บไว้ในรถ Honda 0 Series จะสามารถจ่ายไฟกลับเข้าสู่กริดพลังงานได้ จึงช่วยเสริมเสถียรภาพในระบบการจ่ายไฟฟ้า และช่วยให้เจ้าของรถสามารถสร้างรายได้จากรถยนต์ EV ของพวกเขา ในส่วนของการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ที่อาจเป็นข้อกังวลจากการชาร์จและปล่อยประจุซ้ำ ๆ ปัญหานี้จะลดลงได้ด้วยเทคโนโลยีการจัดการแบตเตอรี่ที่ฮอนด้าสั่งสมมาจากการพัฒนาระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด

*4  American Honda Motor, บริษัทในเครือของฮอนด้าในสหรัฐอเมริกา, BMW Group, General Motors, Hyundai Motors, Kia Corporation, Mercedes-Benz Group, Stellantis N.V., Toyota Motor

*5 ผลการวิจัยภายในของ Honda

ลิงก์รับชมการแถลงข่าวของฮอนด้าภายในงาน CES 2025

มาสด้า ประเทศไทย แต่งตั้งซีอีโอคนใหม่

มาสด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ประกาศแต่งตั้งคนไทยขึ้นเป็นประธานคนใหม่ ขับเคลื่อนองก์กรสู่ความสำเร็จแบบยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 7 มกราคม 2568 – มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ประกาศแต่งตั้ง นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (President & CEO) บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีบทบาทสำคัญในการบริหารองค์กรมาสด้ามายาวนาน สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนนับตั้งแต่ร่วมงานกับมาสด้า เมื่อปี พ.ศ. 2550 เริ่มจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนารถยนต์มาสด้าในตำแหน่งผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ฝ่ายการตลาด สั่งสมประสบการณ์กว่า 18 ปี บริหารงานครบทุกฟังก์ชั่น สร้างผลงานความสำเร็จมากมาย โดยเฉพาะการเปิดตัวมาสด้า2 ได้รับความนิยมสูงสุดจนสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตลาดรถยนต์นั่งซิตี้คาร์ ครองแชมป์ทำสถิติยอดขายสูงสุด 3 ปีติดต่อกัน รวมทั้งประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับบริษัทแม่ ประเทศญี่ปุ่น ขยายการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์ และเกียร์อัตโนมัตินอกประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในประเทศไทย ผลักดันโครงการขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจมาสด้าในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลา 18 ปี นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารองค์กรมาสด้า ทั้งส่วนงานวางแผนด้านผลิตภัณฑ์ การวางกลยุทธ์การตลาด ส่งเสริมการขาย การพัฒนาผู้จำหน่าย การเอาใจใส่ดูแลลูกค้าเสมือนคนในครอบครัว และส่วนอื่นๆ อย่างรอบด้าน ถือเป็นผู้บริหารที่มีส่วนร่วมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และอยู่ในทุกช่วงเวลา ทุกสถานการณ์ ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคมากมาย ร่วมมือปลุกปั้นแบรนด์มาสด้าจนได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย แรกเริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2558 จากยอดขาย 11,000 คันต่อปี ก้าวสู่การสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายสูงสุดถึง 74,000 คันต่อปี

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของธุรกิจมาสด้า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ท้าทาย และมีคุณค่ายิ่ง ความผูกพันกับทีมงานคนไทย ผู้จำหน่ายมาสด้า สื่อมวลชน และพันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดระยะเวลาที่ทำงานกับมาสด้า ผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เชื่อมั่นในศักยภาพของทีมงานทุกคน การที่มาสด้าทำงานลงลึกในรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การขาย การดูแลและการบริการ การมอบความประทับใจให้ลูกค้า ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกหล่อหลอมและส่งเสริมให้มาสด้าก้าวเดินและเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาถึงทุกวันนี้ ต่อจากนี้ อีกหนึ่งบทบาทใหม่จะมีความท้าทายยิ่งขึ้น มาสด้าจะเดินหน้าอย่างเต็มกำลังและเข้มข้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในทุกมิติ สร้างธุรกิจมาสด้าและผู้จำหน่ายให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ที่มอบประสบการณ์ความสุขในการขับขี่ให้ลูกค้าตลอดไป

มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว สิ่งสำคัญที่จะทำให้มาสด้าเกิดความแข็งแกร่งจึงไม่ใช่การขายรถใหม่เพียงอย่างเดียว ทุกภาคส่วนต้องสร้างความรัก ความผูกพัน ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่ดี จนเกิดเป็นความประทับใจ กลับมาซื้อซ้ำ และเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าได้ทุกรุ่น ทุกช่วงเวลาของชีวิต กลายมาเป็น “มาสด้า แฟมิลี่” นั่นคือแก่นแท้ของการดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ Retention Business คือการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าให้ดีที่สุด รวมถึงการแนะนำจุดเด่นของรถมาสด้าให้กับคนอื่นๆ ต่อไป มาสด้าเชื่อว่าแนวทางการทำธุรกิจด้วยวิถีนี้จะนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างเต็มกำลัง และให้ความสำคัญสูงสุดต่อการสร้างคุณค่าแบรนด์ โดยเฉพาะการบริการหลังการขายที่ต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือก และเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริการ เพื่อส่งมอบรอยยิ้มและความสุขให้ลูกค้า รวมถึงผลประกอบการของผู้จำหน่ายต้องแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ถือเป็นประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนไทยคนแรกที่มาจากสายเลือดอันเข้มข้นของ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เพียงคนเดียว เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในองค์กรระดับโลก และมีเพียงคนไทยไม่กี่คนที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคนานัปการมาได้ เป็นขุนศึกที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้บริหารระดับสูงมานับไม่ถ้วน โดยดำรงตำแหน่งล่าสุด คือ รองประธานกรรมการบริหาร  มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา

มร.ทาดาชิ มิอุระ จะขยับขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาอาวุโส กล่าวสั้นๆ แต่มากด้วยความหมายว่า “ผมเชื่อมั่นในพลังของการทำงานเป็นทีม ด้วยศักยภาพของพนักงานทุกคนใน มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และผู้จำหน่ายมาสด้าทุกราย ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสร้างมาสด้าให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในประเทศไทย แน่นอนที่สุดการสนับสนุนและให้ความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วยดีมาโดยตลอดนั้น คือสิ่งสำคัญยิ่งต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ผมภูมิใจและมีความสุขกับบทบาทใหม่ที่กำลังจะมาถึง อีกไม่นานจากนี้ไป มาสด้ากำลังเร่งมือเดินหน้าแนะนำยนตรกรรมใหม่และรถยนต์รุ่นใหม่ รวมถึงการสร้างความยั่งยืนที่ครอบคลุมทุกๆ ด้าน เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่อยู่คู่สังคมไทยตลอดไป ผมมั่นใจว่าเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่นำพามาสด้าในประเทศไทยประสบความสำเร็จและยั่งยืน ทำให้มาสด้าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ลูกค้าภาคภูมิใจที่ได้ครอบครอง”

การปรับทัพผู้บริหารของมาสด้าในช่วงเวลาที่ตลาดรถยนต์ไทยมีการแข่งขันรุนแรงเช่นนี้ นับว่าน่าจับตามองอย่างยิ่ง ถือเป็นความท้าทายที่มาสด้าจะต้องก้าวผ่านเพื่อไปสู่ความสำเร็จในระดับสูงขึ้น โดยเฉพาะการแนะนำรถมาสด้ารุ่นใหม่ที่กำลังจ่อคิวลงตลาดตามแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้ จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะส่งผลให้มาสด้ากลับมาทวงแชมป์ความยิ่งใหญ่ และได้รับความนิยมสูงสุดจากลูกค้าชาวไทยในเร็วๆ นี้

NEW MG4 ELECTRIC เติมสปอยเลอร์ TWIN ARROW WING เสริมหล่อทุกรุ่นย่อย

NEW MG4 ELECTRIC เติมสปอยเลอร์ TWIN ARROW WING เสริมหล่อทุกรุ่นย่อย พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ 0% 60 เดือน หมดกังวลในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าระยะยาว ด้วยการรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูงและระบบมอเตอร์ขับเคลื่อนแบบไม่จำกัดระยะทาง

กรุงเทพฯ – 7 มกราคม 2567 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เปิดศักราชใหม่ด้วยการเสริมสปอยเลอร์หลังให้กับ NEW MG4 ELECTRIC ทุกรุ่นย่อย เพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้กับ NEW MG4 ELECTRIC พร้อมราคาเริ่มต้น 709,900 บาท ข้อเสนอพิเศษดอกเบี้ย 0% 60 เดือน และการรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูงและระบบมอเตอร์ขับเคลื่อนตลอดอายุการใช้งาน และไม่จำกัดระยะทาง

NEW MG4 ELECTRIC ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ เอ็มจี ที่เป็นโกลบอลโมเดล ส่งมอบให้กับลูกค้าแล้วมากกว่า 12,000 คัน โดยได้รับการการันตีจากรางวัลระดับโลก ในเรื่องการขับขี่ที่มีเอกลักษณ์รวมถึงการออกแบบที่มีดีไซน์โฉบเฉี่ยว ราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยครบครัน ได้รับการรับรอง “Made in Thailand (MiT)” ซึ่งถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองในหมวดรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ EV OF THE YEAR ปี 2023 จากสมาคมสื่อมวลชนสายยานยนต์ไทย โดยรถยนต์รุ่นนี้ ทาง เอ็มจี ได้มีการรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูงและระบบมอเตอร์ขับเคลื่อนแบบไม่จำกัดระยะทาง ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในประเทศไทย เพื่อให้หมดกังวลในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าระยะยาว พร้อมตอกย้ำถึงความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าชาวไทย โดยจะมีการเสริมสปอยเลอร์ TWIN ARROW WING เพิ่มในรุ่นเริ่มต้น

ณ ปัจจุบัน NEW MG4 ELECTRIC มี ทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่

•NEW MG4 ELECTRIC รุ่น D ราคา 709,900 บาท

•NEW MG4 ELECTRIC รุ่น X ราคา 809,900 บาท

•NEW MG4 ELECTRIC รุ่น V (LONG RANGE) ราคา 889,900 บาท

•NEW MG4 ELECTRIC รุ่น X POWER ราคา 1,119,900 บาท

ข้อเสนอสุดพิเศษจาก NEW MG4 ELECTRIC ราคาเริ่มต้น 709,900 บาท

•ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0% ผ่อนชำระนาน 60 เดือน

•ฟรี! ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครอง 1 ปี

•ฟรี! MG HOME CHARGER จำนวน 1 ชุด

•ฟรี! ค่าติดตั้ง MG HOME CHARGER

•รับประกันแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน ตลอดอายุการใช้งาน

•ฟรี ชุดพรมปูพื้น

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save