- Advertisement -
26 C
Bangkok
Home Blog Page 33

โตโยต้า ร่วมสนับสนุนการแข่งขัน “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025”

โตโยต้า ร่วมสนับสนุนการแข่งขัน “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ขับเคลื่อนและพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันไทย

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายปรีชา ลาลุน รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าวจัดการแข่งขันแบดมินตันรายการ “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมเงินรางวัลรวม 240,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 8,286,000 บาท โดยงานแถลงข่าวจัดการแข่งขันได้จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 20 มกราคม 2568 ณ โรงแรมอโนมาแกรนด์ กรุงเทพฯ

สำหรับฤดูกาลแข่งขันของสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ในปี 2025 ประเทศไทยได้รับสิทธิเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแบดมินตัน รายการ “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมเงินรางวัลรวม 240,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 8,286,000 บาท ณ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา อีกทั้งเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พี่น้องประชาชนคนไทยโดยเฉพาะเยาวชน ให้หันมาสนใจชม เชียร์ และเล่นกีฬาแบดมินตัน ยกระดับฝีมือและมาตรฐานของนักแบดมินตันไทยให้ก้าวสู่ระดับนานาชาติ รวมถึงเพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยอีกด้วย

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของรายการ โตโยต้ามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน และพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันไทยให้ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยโตโยต้าเชื่อมั่นว่าการจัดการแข่งขันในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่นักกีฬาไทยจะได้แสดงศักยภาพ สร้างสรรผลงานที่ยอดเยี่ยม สร้างความสนุกเร้าใจ และความสุขให้กับแฟนกีฬาแบดมินตันไทย อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยให้หันมาสนใจเล่นกีฬาแบดมินตันให้มากยิ่งขึ้น”

“ผมขอขอบคุณ การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ได้ให้โอกาส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการเป็นผู้สนับสนุนหลักสำหรับการจัดการแข่งขัน “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ครั้งนี้”

ร่วมเชียร์นักตบขนไก่ไทย พร้อมต้อนรับนักกีฬาแบดมินตันระดับโลก ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ

“โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

มิตซูบิชิ มอบเครื่องยนต์ พร้อมชุดส่งกำลังให้แก่ วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม จ.กระบี่

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มอบเครื่องยนต์ พร้อมชุดส่งกำลัง ให้แก่ วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม จ.กระบี่ ส่งเสริมการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านยานยนต์

บรรยายภาพ : นายพรชัย อาจหาญ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างกระบี่ เป็นประธานในพิธีรับมอบเครื่องยนต์พร้อมชุดส่งกำลัง ให้แก่ วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม จังหวัดกระบี่ โดยมี นายอุดร แก้วถาวร (ที่ 2 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม รับมอบจาก บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ (กลาง) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ นายกุญญาวัตน์ รวยอารีย์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการศึกษาและฝึกอบรมและฝ่ายพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย นางสาวเกษสุดา ปิติเจริญกิจ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) และ นายดนู เทวรัตน์มณีกุล (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) โดยได้รับเกียรติจาก นายธิเบศร์ จันทวงศ์ (ซ้ายสุด) ประธานอุตสาหกรรม จังหวัดกระบี่ ร่วมเป็นสักขีพยาน

กระบี่ – 16 มกราคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการมอบเครื่องยนต์พร้อมชุดส่งกำลังให้แก่วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม จังหวัดกระบี่ โดยการมอบสื่อการเรียนการสอนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาศักยภาพของผู้เชี่ยวชาญรุ่นใหม่ ส่งเสริมรากฐานทางการศึกษาในประเทศไทยและพัฒนากลุ่มทรัพยากรบุคคลสายอาชีพที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการมาอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โดยได้มอบชุดเครื่องยนต์และเครื่องยนต์ไปแล้วกว่า 242 ชุด ให้กับสถาบันการศึกษาด้านยานยนต์จำนวน 112 แห่งทั่วไทย สื่อการเรียนการสอนประกอบด้วย เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบรหัส 4N16 รุ่นใหม่ที่ล้ำสมัยซึ่งเป็นขุมพลังขับเคลื่อนใน นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน เครื่องยนต์ 4N15 ชุดเกียร์ธรรมดา รุ่น R6M5A เฟืองท้าย และชุดแร็คพวงมาลัยเพาเวอร์ การมอบสื่อการเรียนการสอนเป็นส่วนสำคัญของแนวทางส่งเสริมทางการศึกษา ช่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะของนักเรียนด้วยการเปิดโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยียานยนต์ใหม่ล่าสุด เพื่อให้นักเรียนสามารถติดตามการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้และทักษะที่จำเป็น เพิ่มโอกาสการจ้างงาน และสร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคง

นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ร่วมกับผู้จำหน่าย บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) มุ่งมั่นพัฒนาทักษะและความสามารถให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ทำให้เราสามารถส่งเสริมการเรียนรู้โดยลงมือปฏิบัติกับอุปกรณ์จริงให้นักเรียนได้ศึกษาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและองค์ความรู้ทางเทคนิคที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มโอกาสการก้าวสู่ความสำเร็จในสายงานอุตสาหกรรมยานยนต์”

นายอุดร แก้วถาวร รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม กล่าวว่า “เราขอขอบคุณ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และผู้จำหน่าย บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) สำหรับการสนับสนุนที่ทรงคุณค่าในการส่งเสริมการศึกษาของสถาบันของเรา เครื่องยนต์และชุดส่งกำลังที่ได้รับจะช่วยยกระดับประสบการณ์การเรียนรู้และการสอนให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถสร้างบุคลากรที่มีทักษะที่พร้อมปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์แห่งอนาคต”

นางสาวเกษสุดา ปิติเจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) กล่าวว่า “เราให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความมุ่งมั่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในการยกระดับการศึกษาในประเทศไทย และเสริมศักยภาพให้กับคนรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่อไป เราต้องมั่นใจว่าเรามีกลุ่มบุคลากรที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ก้าวไปข้างหน้า เราจึงต้องส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้มีความรู้และเข้าใจในเทคโนโลยีล่าสุด ตลอดจนการประยุกต์ใช้ เราภูมิใจที่ได้ร่วมสนับสนุนไปพร้อมกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย”

ภายในพิธีมอบเครื่องยนต์และชุดส่งถ่ายกำลัง ผู้จำหน่าย มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ ยังจัดแสดงเทคโนโลยียานยนต์ที่ล้ำสมัยของมิตซูบิชิ ได้แก่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต รุ่นปี 2024 มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ขับเคลื่อน 4 ล้อ และ มิตซูบิชิ แอททราจ สมาร์ท รถยนต์อีโคคาร์ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้ทดลองขับเพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งเทคโนโลยีอันล้ำหน้าของมิตซูบิชิ

นอกเหนือจากกิจกรรมโรดโชว์และการทดลองขับ นักเรียนยังได้รับการฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ โดยได้เข้าร่วมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเครื่องยนต์ 4N16 รุ่นใหม่ และชุดเกียร์ธรรมดา รุ่น R6M5A เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนได้รับการสอนที่มีคุณภาพสูงสุด การฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ร่วมกับช่างเทคนิคจากมิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่

โครงการมอบเครื่องยนต์ให้แก่สถาบันการศึกษา ได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความมุ่งมั่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในการส่งเสริมการศึกษา สอดคล้องกับปณิธานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมภายใต้วิสัยทัศน์ “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” โดยมุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรม 3 ด้านหลัก ได้แก่ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ครองส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าโรงแรมสูงสุด

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ครองส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 70% เสริมแกร่งด้วยความร่วมมือก้บโรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ยกระดับไลฟ์สไตล์แห่งการเดินทางสุดหรูด้วยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด (ขวา) ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมด้วยคุณประภัสสร โต๋ววากุล (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบลล์ ทรานสพอร์ท จำกัด ส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 740d M Sport ให้กับเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ โดยมี มิส ทีน่า ลิว (กลาง) ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เป็นผู้รับมอบ

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย และ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ยกระดับประสบการณ์การเดินทางของผู้เข้าพักให้ได้สัมผัสกับความหรูหราและบริการส่วนบุคคลที่เหนือระดับด้วยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ซึ่งรวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่างบีเอ็มดับเบิลยู i7 xDrive60 M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู 740d M Sport ความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการร่วมแสดงความยินดีกับการเปิดตัวของโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ อันนับเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ แล้ว ยังเป็นการผสมผสานเทคโนโลยียานยนต์อันล้ำสมัยของบีเอ็มดับเบิลยูเข้ากับการบริการอันเป็นเลิศของเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน ได้อย่างลงตัว พร้อมมอบประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนนับตั้งแต่ช่วงเวลาแรกที่เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ

โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในโครงการ วัน แบงค็อก พร้อมทิวทัศน์งดงามของสวนลุมพินี โรงแรมแห่งนี้มอบโอเอซิสแห่งความสงบใจกลางความมีชีวิตชีวาของเมือง ตั้งแต่ห้องพักที่มีให้เลือกเพื่อประสบการณ์การพักผ่อนสุดหรูอย่างมีเอกลักษณ์ การบริการที่เข้าใจผู้มาเยือนอย่างแท้จริง ไปจนถึงการนำเสนอประสบการณ์ท้องถิ่นผ่านกิจกรรมสุดพิเศษประจำวันที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อให้แขกที่เข้าพักได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของไทย การเพิ่มบริการด้านการเดินทางด้วยรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ยิ่งช่วยยกระดับประสบการณ์อันน่าจดจำ ผ่านการเดินทางที่ราบรื่นและมีสไตล์ให้แก่แขกผู้เข้าพัก สะท้อนความเป็นเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน แห่งแรกในกรุงเทพฯ

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้สร้างความสำเร็จในกลุ่มลูกค้าโรงแรมด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 70% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 27% ซึ่งเป็นความสำเร็จที่สะท้อนความมั่นใจและความไว้วางใจจากพันธมิตรโรงแรมและผู้ประกอบการที่มีต่อรถยนต์และบริการของเรา ซึ่งผมอยากขอขอบคุณพันธมิตรของเราทุกท่านสำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ และที่สำคัญ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ โรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นการบริการเหนือระดับ หรือการผสานความแตกต่างทางวัฒนธรรมไว้ได้อย่างลงตัว เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เป็นแลนด์มาร์คโรงแรมระดับโลกที่มอบความหรูหราและประสบการณ์อันน่าจดจำให้แก่แขกผู้เข้าพัก ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการเดินทางระดับพรีเมียมในประเทศไทย และเรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของโรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ”

มิส ทีน่า ลิว ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ กล่าวว่า “เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบีเอ็มดับเบิลยู เพื่อยกระดับนิยามใหม่แห่งการเดินทางสุดหรูในกรุงเทพฯ ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้เราสามารถรังสรรค์ประสบการณ์การพักผ่อนอันหรูหราอย่างแท้จริงตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสิ้นสุดการเดินทาง ด้วยการผสานบริการรถรับส่งสุดพรีเมียมเข้ากับทุกช่วงเวลาของการเข้าพัก รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 นำเสนอการเดินทางที่ราบรื่นไร้รอยต่อ สู่วัฒนธรรมอันมีชีวิตชีวาของกรุงเทพฯ ได้อย่างมีสไตล์ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ในการมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่เหนือระดับ”

แขกผู้เข้าพักสามารถเลือกระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู i7 xDrive60 M Sport ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าสุดล้ำสมัย เหมาะสำหรับผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และบีเอ็มดับเบิลยู 740d M Sport ที่หรูหราทรงพลังสำหรับผู้ที่หลงใหลในยนตรกรรมสุดคลาสสิก รถยนต์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรู รวมถึง BMW Theatre Screen จอภาพพาโนรามาแบบสัมผัสขนาด 31.3 นิ้ว ความละเอียด 8K พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Bowers & Wilkins ที่จะเปลี่ยนทุกการเดินทางให้เป็นเสมือนโอเอซิสส่วนตัว ผสมผสานกับการบริการอันเป็นเลิศของโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ยกระดับมาตรฐานใหม่แห่งการเดินทางที่เหนือกว่าในกรุงเทพฯ

โตโยต้า ชวนคนไทยชมนิทรรศการตระหนักเรื่องโลกเดือด

โตโยต้า สร้างความตระหนักเรื่องโลกเดือด พร้อมชวนคนไทย ลดเปลี่ยนโลก ผ่านนิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด”

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานพันธมิตร ภาครัฐ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเกียรติในงานนิทรรศการ “Multiverse Future Thailand ทางเลือก หรือ ทางรอด” เพื่อสร้างความตระหนัก ถึงผลกระทบจากสถานการณ์ภาวะโลกเดือด ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้เกิดการลงมือปรับพฤติกรรม เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ณ ลาน Eden ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

“การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) เป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ได้มีการดำเนินงานอย่างจริงจัง ผ่าน การจัดการกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ควบคู่ไปกับนโยบายการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง (Multi Pathway) ที่ว่าด้วยการมุ่งมั่นในการพัฒนาทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน นำมาสู่การคิดค้นนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์รูปแบบใหม่ๆ รองรับการใช้งานพลังงานได้หลากหลายรูปแบบ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของประเทศ ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 โตโยต้าจึงได้มีการขยายผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจน ภาคประชาชน ซึ่งเป็นอีกส่วนที่โตโยต้าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ผ่านการดำเนินกิจกรรม “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า” ที่มุ่งเน้นให้เกิดการปรับพฤติกรรม เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ลดการใช้พลาสติกและพลังงาน ช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียว เดินทางด้วยพลังงานสะอาด และบริโภคอย่างยั่งยืน

นิทรรศการ Multiverse Future Thailand ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของโตโยต้า เพื่อขยายการรับรู้ และความสำคัญในการเริ่มลงมือปรับพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม แก่ภาคประชาชน ผ่านการจำลองอนาคตของประเทศไทย ออกเป็นโลกคู่ขนานใน 2 โซน ดังนี้

1.โซน “ทางเลือก”

มุ่งเน้นให้คนไทยตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะโลกเดือด ผ่านการจำลองเมืองอนาคต ในวันที่สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยนำเสนอวิถีชีวิตใหม่ผ่านร้านค้าต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปัญหาด้านความแห้งแล้ง สุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น

2.โซน “ทางรอด”

มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกผ่านการให้ความรู้ในแง่มุมต่างๆ อาทิ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การเดินทางที่ยั่งยืน เป็นต้น ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการลงมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ผ่านของรางวัลมากมายจากกิจกรรมลดเปลี่ยนโลก กิจกรรม Workshop นำขยะมารีไซเคิลทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ โดยคุณเป๋ – ธนวัต มณินาวา เจ้าของแบรนด์ TAMDA ที่มีชื่อเสียงในสร้างสรรค์สิ่งของเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นผลงานต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ Mini talk สร้างแรงบันดาลใจจากอินฟลูเอนเซอร์ ได้แก่ คุณเปรม พฤกษ์ทยานนท์ เจ้าของเพจ ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป ทำคอนเทนต์ชวนคนมารับผิดชอบขยะด้วยวิธีแสนง่าย คุณแตงโม-สยาภา สิงห์ชู หรือในชื่อ “สยาโม” ครีเอเตอร์สายวินเทจ กับเรื่องราวของอดีตที่หวนคิดถึงในเสื้อผ้ามือสอง และคุณกระติ๊บ-ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล อินฟลูเอนเซอร์สายอาหารที่จะมาแนะนำเมนูอาหารที่สามารถทำได้จากผักสวนครัว และพืชที่สามารถปลูกได้ง่าย ๆรอบบ้าน รวมทั้งกิจกรรมมีตแอนด์กรี๊ดกับศิลปินนักแสดงชื่อดัง ปอนด์และภูวินทร์

โตโยต้าคาดหวังว่างานในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมาย “สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน” อันจะเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “เมืองสีเขียว” อย่างยั่งยืนต่อไป

นิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด” จะจัดขึ้น ณ ลาน Eden ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตลอดวันที่ 17 – 19 มกราคม 2568 นี้

10 รถโบราณ ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ “สุขเต็มสิบ” คู่สะพานทศมราชัน

สมาคมรถโบราณฯ เชิญชมรถโบราณทรงคุณค่าบนสะพานทศมราชัน ในมหกรรม “สุขเต็มสิบ” โดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย สนับสนุนการจัดงานมหกรรม “สุขเต็มสิบ” ฉลองเปิดสะพานสะพานทศมราชัน หรือสะพานพระราม 10 ซึ่งจัดโดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ 10 – 19 มกราคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้ชม และสัมผัสความยิ่งใหญ่ของสะพานทศมราชัน ซึ่งเป็นสะพานคู่ขนานแห่งแรกของประเทศไทย ก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มกราคมศกนี้

โดยสมาคมฯ ได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ในมหกรรมดังกล่าว ด้วยการจัดแสดงรถโบราณ 10 คัน บนสะพานทศมราชัน ระหว่างวันที่ 17 – 19 มกราคม 2568 เวลา 16.00 – 22.00 น.

รถโบราณที่สมาคมฯ นำไปจอดแสดง ได้แก่ MG TB ปี 1939, Armstrong Siddeley Hurricane ปี 1949, Jaguar Mark V Saloon ปี 1951, Jaguar XK 140 FHC ปี 1956, Morris 1000 Convertible ปี 1957, Mercedes-Benz 190SL ปี 1958, Mercedes Benz 220S Cabriolet ปี 1958, Jaguar E-Type ปี 1964, Alfa Romeo Spider Duetto ปี 1966 และ Porsche Carrera 2 Cabriolet ปี 1990

เชิญติดตามชมภาพประวัติศาสตร์ของรถโบราณในงาน “สุขเต็มสิบ” ณ สะพานทศมราชัน เพิ่มเติมที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/VintageCarClub

Leapmotor ติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในประเทศจีน

Leapmotor ติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในประเทศจีนและรั้งอันดับที่ 7 ยอดขายรวม 293,724 คัน เติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปี 2023

•อันดับแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่ในจีนทั้งหมด : Leapmotor อยู่ในอันดับที่ 7 ด้วยยอดขาย 293,724 คัน เติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปี 2023

•อันดับรถยนต์พลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในจีน : Leapmotor ติดอันดับ Top 3

กรุงเทพฯ วันที่ 17 มกราคม 2568 : บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Leapmotor อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดตัวเลขยอดขายรวมของ Leapmotor ในตลาดของประเทศจีน โดยมีตัวเลขยอดขายรวมในปี 2024 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 293,724 คัน เติบโตมากขึ้น 100% ซึ่งทำให้แบรนด์ Leapmotor รั้งอันดันที่ 7 และติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่ในกลุ่ม Startup อีกด้วย

Leapmotor ติดอันดับ 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า Startup ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดของประเทศจีน และได้สร้างความเติบโตอย่างน่าทึ่ง ด้วยยอดที่ขายกว่า 293,724 คัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้ Leapmotor ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ชั้นนำที่พร้อมเดินหน้าสู่เวทีโลกผ่านเครือข่ายการขายและการให้บริการของ Stellantis

สำหรับ Leapmotor C10 รุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในตลาดของประเทศไทย มาพร้อมระยะทางการขับขี่สูงสุดถึง 477 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์เดี่ยวที่เพลาหลัง ภายในมีกว้างขวาง, เบาะที่นั่งแบบซิลิโคนที่มีความปลอดภัยต่อเด็กทารก มาพร้อมซอฟต์แวร์ four-leaf clover แบบศูนย์รวม Leap 3.0 และระบบจัดการแบตเตอรี่ด้วย AI

การออกแบบที่ล้ำสมัย

Leapmotor C10 ได้รับรางวัลการออกแบบระดับนานาชาติ ได้แก่ International CMF Design Award 2023 และ French Design Award 2024 ด้วยการออกแบบที่แปลกใหม่ ผสมผสานระหว่างเส้นสายแนวนอนและความโค้งมนอย่างลงตัว ไฟหน้า LED แบบ “Angel-Wing” มาพร้อม DRL แบบ Sequential ระบบ Active Grille Shutter (AGS) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแอโรไดนามิก และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วลาย “Trident” เพื่อเพิ่มความลงตัวให้กับตัวรถมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีแพลตฟอร์มและความปลอดภัยขั้นสูง

สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Leap 3.0 และมีพื้นที่กว้างขวาง ปลอดภัย มีสมรรถนะในการขับขี่สูง ด้วยมิติรถขนาดใหญ่ ยาว 4,739 มิลลิเมตร, กว้าง 1,900 มิลลิเมตร, สูง 1,680 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,825 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้น 190 มิลลิเมตร มาพร้อมแบตเตอรี่แบบ Lithium-Iron Phosphate (LFP) ขนาด 69.9 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็ว 30%-80% ภายใน 30 นาที นอกจากนี้ Leapmotor C10 ยังมาพร้อมแชสซีที่ปรับจูนโดย Maserati เพื่อความสมดุลระหว่างความหรูหรา ความสะดวกสบายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนการควบคุม เทคโนโลยีแบบ Cell-To-Chassis (CTC) 2.0 ช่วยเพิ่มความจุแบตเตอรี่ 17.5 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มความแข็งแกร่งของโครงสร้าง และปรับปรุงการจัดการความร้อนได้ดียิ่งขึ้น

ระบบดิจิทัลแบบขั้นสูง

Leapmotor C10 ใช้ชิป Qualcomm® Snapdragon™ 8155 พร้อม Leap OS 4.0 มีหน้าจอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับคำสั่งเสียง ระบบ OTA และหน้าจอแสดงข้อมูลขนาด 10.25 นิ้ว นอกจากนี้ยังมี กล้อง 360 องศา ไฟตกแต่งภายในที่ปรับเปลี่ยนได้ถึง 64 สี และระบบ ADAS ขั้นสูง อาทิ Adaptive Cruise Control (ACC), Automatic Emergency Braking (AEB), และ Lane Keeping Assist (LKA)

ภายในที่สะดวกสบายและทันสมัย

เบาะซิลิโคนที่ผ่านการรับรอง OEKO-Tex Standard 100® ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อเด็กทารก มาพร้อมกับหลังคา Panoramic Sunroof ขนาด 2.1 ตารางเมตร เบาะคนขับออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ พร้อมระบบระบายอากาศ, พื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด 1,410 ลิตร, พร้อมพอร์ต USB หลายจุด, การชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger  และระบบเสียงรอบทิศทางด้วยลำโพง 12 ตัว

ข้อเสนอสุดพิเศษ

มอบแคมเปญพิเศษรวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึงเดือนมีนาคมศกนี้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

•ฟรีประกันภัยปีแรก

•ฟรีเครื่องชาร์จบ้านพร้อมติดตั้ง

•ฟรีค่าจดทะเบียน

•ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี

•ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี

•รับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

•รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

สีตัวถัง และสีภายใน

สำหรับ Leapmotor C10 เรามีให้เลือกตัวถัง 5 สี ได้แก่ Glazed Green, Pearly White, Canopy Grey, Tundra Grey และ Metallic Black และภายในมี 2 สี คือ Criollo Brown และ Midnight Aurora

การขยายเครือข่ายการขาย

พระนครยนตรการ พร้อมเปิดโชว์รูม Leapmotor สาขาลาดพร้าว 103 และ Leapmotor สาขารัชโยธิน เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ และตั้งเป้าที่จะขยายโชว์รูมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ในปี 2568 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่สนใจรถ Leapmotor C10 อีกด้วย

**สำหรับลูกค้า Leapmotor Thailand สามารถดูรายละเอียดข้อมูลรถ Leapmotor C10 หรือรายละเอียดของแคมเปญพิเศษต่างๆ พร้อมติดต่อทดลองขับ ได้ที่เว็บไซต์ของ Leapmotor Thailand อย่างเป็นทางการ https://www.leapmotor-international.co/th

www.facebook.com/leapmotorthailand

Instagram : leapmotorthailand

Line ID : @leapmotorthailand หรือ คลิก https://lin.ee/fd3ZnQx

หรือสามารถโทร.สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Leapmotor Call center : 088 987 1562

(วันทำการ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น.)

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 30 ปี บุกเบิกนวัตกรรมยานยนต์โลกใน Silicon Valley

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 30 ปี ในฐานะผู้บุกเบิกนวัตกรรมยานยนต์โลกใน Silicon Valley มีสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งมอบให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบริษัทในเครือ พัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือชั้นที่สุดจากทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก

•เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) ในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์

เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา

•ศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัท Mercedes-Benz Research & Development North America, Inc. มีผลงานที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยมีสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งมอบให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบริษัทในเครือ

•ปัจจุบันมีทีมงานในศูนย์ฯ กว่า 600 คน กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์จำนวน 6 แห่ง ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือชั้นที่สุดจากทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก

ซันนีเวล, แคลิฟอร์เนีย – บริษัท Mercedes-Benz Research & Development North America, Inc. (MBRDNA) เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ดำเนินงานภายใต้ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ได้ฉลองครบรอบ 30 ปี แห่งความสำเร็จในด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก โดยศูนย์ฯ แห่งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการบุกเบิกเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมหลากหลายด้าน อาทิ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ให้บริการระบบ Music Navigation รองรับการใช้งาน iPod อย่างเต็มรูปแบบ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมจากเยอรมนีรายแรกที่นำระบบอินโฟเทนเมนต์ “CarPlay” ของ Apple เข้ามาใช้ในรถยนต์ และการเป็นผู้ผลิตรายแรกในสหรัฐฯ ที่เปิดตัวฟังก์ชัน Google “Send-to-Car” ในรถยนต์ รวมถึงครั้งล่าสุดกับการผสาน ChatGPT เข้ากับระบบ MBUX ในรถยนต์บางรุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ขับเคลื่อนวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง

Ola Källenius ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “นวัตกรรมคือหัวใจสำคัญที่อยู่ในดีเอ็นเอของเรา ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในการผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดเข้ากับความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ความสำเร็จนี้จึงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นและพยายามของทีมงาน ทำให้เราพร้อมก้าวสู่ปี 2568 และปีต่อๆ ไป อย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์รุ่น CLA และ MB.OS ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ คือข้อพิสูจน์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของเรา”

ศูนย์วิจัยและพัฒนา MBRDNA ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ด้วยพันธกิจในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับสถาบันวิจัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ จากจุดเริ่มต้นที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและไมโครอิเล็กทรอนิกส์ MBRDNA ได้ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม โดยผสานความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจากเยอรมนีเข้ากับวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ได้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ MBRDNA ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเฉพาะในด้านการขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving), ประสบการณ์ AI, ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (E-Drive) และการออกแบบภายนอกขั้นสูง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนานี้ตั้งอยู่ใน 6 พื้นที่ยุทธศาสตร์ทั่วอเมริกาเหนือ ตั้งแต่เมืองแอนน์อาร์เบอร์ (Ann Arbor) และฟาร์มิงตันฮิลส์ (Farmington Hills) ในรัฐมิชิแกน ไปจนถึงเมืองซีแอตเทิล (Seattle) ในรัฐวอชิงตัน และอีกสามแห่งในแคลิฟอร์เนีย ได้แก่ เมืองซันนีเวล (Sunnyvale) ลองบีช (Long Beach) และคาร์ลสแบด (Carlsbad) โดยมีทีมงานกว่า 600 คนที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ในการสานต่อมรดกแห่งความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งการฉลองครบรอบ 30 ปีในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ MBRDNA ในการสร้างสรรค์และออกแบบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ

Markus Schäfer คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “เครือข่ายวิจัยและพัฒนาระดับโลกของเรา มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วโลก โดยในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลและการใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรม ซึ่ง MBRDNA มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงระบบนิเวศอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ ทั้งจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ สตาร์ทอัพและมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก สิ่งเหล่านี้ช่วยผลักดันให้เราค้นหาแนวทางใหม่ๆ ที่ AI จะสามารถช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การขับขี่อัตโนมัติ ไปจนถึงการปรับแต่งประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในทุกมิติ”

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA ได้สร้างสรรค์ผลงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมาย จนได้รับสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตรที่อยู่ในความครอบครองของ Daimler Trucks North America โดยหนึ่งในผลงานสำคัญคือการพัฒนาและรับรองระบบ Mercedes-Benz DRIVE PILOT ซึ่งเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติแบบ SAE-Level 3 ระบบแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลในสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ MBRDNA ยังได้ยกระดับแนวคิดระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ด้วยหลักการออกแบบที่เน้นความเข้าใจและตอบสนองผู้ใช้งาน โดยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น ฟีเจอร์ “Zero-Layer” และ “Routines” ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งานและสามารถปรับการตั้งค่าความสะดวกสบายได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งระบบ MBUX Voice Assistant ยังได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการผสาน ChatGPT และ GPT-4o ซึ่งช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่ปรับแต่งได้เฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง โดยจะเริ่มตั้งแต่รถยนต์รุ่น CLA ที่จะเปิดตัวในปี 2568

นอกจากนี้ ระบบ MBUX Virtual Assistant จะรวมฟีเจอร์ Gemini on Google Cloud และข้อมูลจาก Google Places เพื่อช่วยยกระดับประสบการณ์การค้นหาสถานที่ด้วยการสนทนาให้ดียิ่งขึ้น

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกับ 5 พันธมิตร

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกับ 5 พันธมิตรผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ เร่งสร้างการเติบโตระยะยาวในประเทศไทย เดินหน้าผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาค

เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน ตั้งแต่พลังงานใหม่อย่าง BEV, HEV, PHEV, รวมถึงในปี 2568 นี้ที่จะมีการเสริมทัพยานยนต์ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในประเภทเครื่องยนต์ดีเซลให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ GWM TANK และ GWM POER เพื่อตอบรับทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วประเทศ รวมถึงมุ่งเน้นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย ด้วยการลงทุนในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์พลังงานใหม่ เสริมทักษะและสร้างอาชีพด้วยนวัตกรรมยานยนต์อัจฉริยะให้กับแรงงานชาวไทย ผ่าน 5 พันธมิตรผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์สำหรับรถยนต์ของ GWM ได้แก่ SVOLT, HYCET, NOBO, MIND และ Exquisite โดยประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก อันเนื่องมาจากพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสูงในหลาย ๆ ด้าน นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงแค่แบรนด์ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานเท่านั้น แต่ยังเน้นการสร้างการเติบโตในระยะยาวร่วมกับคนไทยและประเทศไทย พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนไปด้วยกัน

โดยเหล่า 5 พันธมิตรที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะช่วยยกระดับและผลักดันศักยภาพของแรงงาน รวมถึงช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานให้เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสุดอัจฉริยะ ผสมผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยได้อย่างลงตัว สู่ประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ ตลอดจนมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ประกอบด้วย

•SVOLT (เอสโวลต์) หรือ SVOLT Energy Technology (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท เอสโวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด) บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน ระบบแบตเตอรี่ และระบบกักเก็บพลังงานสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเพื่อใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน โดยมีกำลังการผลิต 60,000 แพ็กต่อปี ตั้งอยู่ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

•HYCET (ไฮเซ็ท) หรือ Hycet Engine System (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท ไฮเซ็ท เอ็นจิ้น ซิสเทม (ประเทศไทย) จำกัด) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีหลักตั้งแต่พลังงานดั้งเดิมไปจนถึงพลังงานไฮบริดและพลังงานไฟฟ้าบริสุทธิ์ (รวมถึงตัวควบคุม) ครอบคลุมทุกด้านของระบบส่งกำลังและโซลูชันอัจฉริยะ มาพร้อมกับประสบการณ์ด้านการวิจัยและการพัฒนาที่ยาวนานกว่า 24 ปี ในระดับโลก ไฮเซ็ท เอ็นจิ้น ซิสเทม (ประเทศไทย) จึงเป็นฐานการผลิตเครื่องยนต์ไฮบริดในประเทศไทย อีกทั้งผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังถูกจัดส่งให้กับลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

•NOBO (โนโบ) หรือ Nobo Automotive System (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท โนโบ ออโต้โมทีฟ ซิสเต็ม (ประเทศไทย) จำกัด) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งภายในและภายนอกรถยนต์ รวมถึงเบาะรถยนต์ให้กับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ และแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่เจ้าอื่นๆ ในประเทศไทย โดยบริษัทฯ มีความสามารถในการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์มามากกว่า 20 ปี มีเป้าหมายเพื่อให้บริการระบบที่ปลอดภัย สะดวกสบาย ชาญฉลาด และสร้างความแตกต่างให้กับลูกค้า สู่การสร้างประสบการณ์การขับขี่เหนือชั้น อีกทั้งยังส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงอัจฉริยะด้านยานยนต์ทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพ

•MIND (ไมน์) หรือ Mind Automotive Parts (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท ไมน์ ออโต้โมทีฟ พาร์ทส์ (ไทยแลนด์) จำกัด) ผู้ผลิตสายไฟสำหรับรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ รวมถึงไฟหน้าและไฟท้ายรถยนต์เป็นหลัก โดยมีโรงงานการผลิตตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้นยังมีพนักงานที่เป็นคนในพื้นที่มากกว่า 95% อีกด้วย

•Exquisite (เอคซ์ควิซิท) หรือ Exquisite Automotive Parts (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท เอคซ์ควิซิท ออโต้โมทีฟ พาร์ทส์ (ไทยแลนด์) จำกัด) มาพร้อมกับประสบการณ์ด้านการวิจัย การพัฒนา และการผลิตที่ยาวนานกว่า 30 ปี โดย เอคซ์ควิซิท ออโต้โมทีฟ พาร์ทส์ (ไทยแลนด์) ก่อตั้งขึ้นในปี 2563 กับการผลิตและจำหน่ายแชสซี ชุดโครงย่อย ชุดไอเสีย ชุดโครงสร้าง รวมถึงกระบวนการผลิต เช่น การเชื่อม การประกอบ พร้อมด้วยเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูงสู่การควบคุมการผลิตและประกอบที่มีคุณภาพ

มร.ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงยืนหยัดในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาวแม้ว่าจะกำลังเผชิญกับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์และเศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เคียงข้างพี่น้องชาวไทยที่ให้การสนับสนุน เกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นอย่างดีเสมอมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน โดยในปี 2568 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะเป็นแบรนด์ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน  โดยพร้อมส่งต่อองค์ความรู้ (Know-How) ให้กับแรงงานชาวไทย เพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะอีกมากมาย ในอดีตแรงงานชาวไทยนับว่าเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างมากจากตลาดโลกในด้านการผลิตและประกอบรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป โดยองค์ความรู้ใหม่ๆ ของเรา จะช่วยส่งเสริมทักษะและศักยภาพของแรงงานไทยด้านรถยนต์พลังงานใหม่เพื่อส่งมอบสู่ตลาดโลก นอกจากนี้เรายังมีการร่วมมือกับ 5 พันธมิตรในประเทศจีน เพื่อเข้ามาลงทุนและผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยอย่าง SVOLT, HYCET, NOBO, MIND และ Exquisite ซึ่งพันธมิตรเหล่านี้สามารถสร้างเม็ดเงินการลงทุน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับแรงงานชาวไทย”

นอกเหนือจากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับ 5 พันธมิตรนี้แล้ว ภายในปี 2568 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เตรียมมอบประสบการณ์ที่แตกต่างผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ หลากหลายรุ่น เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ในทุกพลังงานให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง ผ่านกลยุทธ์ระดับโลกอย่าง Ecological Globalization สร้างระบบนิเวศยานยนต์พลังงานใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสร้างประโยชน์ให้แก่คนไทยและประเทศไทย สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน จาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

มิตซูบิชิ เดินหน้าโครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เดินหน้า “โครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

กรุงเทพฯ – 14 มกราคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อ “โครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการ” (Disabled Employment Project) อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 มุ่งสร้างโอกาสการทำงานให้กับผู้พิการ เพื่อส่งเสริมให้ผู้พิการมีรายได้ที่มั่นคงและยกระดับคุณภาพชีวิต สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานเพื่อสังคมภายใต้วิสัยทัศน์ “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” โดยโครงการนี้เริ่มต้นในปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ได้สนับสนุนให้ผู้พิการมีโอกาสได้ทำงานไปแล้วรวม 477 คน

ในปีนี้ โครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการได้จัดหางานให้ผู้พิการเพิ่มอีก 57 คน แบ่งเป็นผู้พิการที่ได้รับการจ้างงานโดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำนวน 48 คน และโดยเอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น จำนวน 9 คน นอกจากนี้ โครงการนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้พิการให้ได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสมภายในองค์กรภาครัฐต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งในจังหวัดพิษณุโลก อุบลราชธานี สงขลาและชลบุรี ครอบคลุมหน่วยงานภาครัฐในด้านสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนตำบล ศูนย์บริการคนพิการ สถาบันการศึกษา และสมาคมต่างๆ

ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สำนักงานจัดหางานจังหวัด และมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม โดยความร่วมมือนี้ช่วยให้บริษัทสามารถมอบโอกาสการทำงานที่มีความหมายและยั่งยืนแก่ผู้พิการ ผ่านการจัดหางานในสถานที่ทำงานที่มั่นคงและได้รับการสนับสนุน ส่งผลให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตที่พึ่งพาตนเองได้ มีความมั่นคงทางการเงิน และสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมอย่างมีคุณค่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นในพันธกิจนี้ด้วยการขจัดอุปสรรคต่างๆ พร้อมสร้างโอกาสที่ครอบคลุมสำหรับทุกคนในสังคม

นายพิธา เทโวบัติ วัย 24 ปี ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว กล่าวว่า “ผมรู้สึกซาบซึ้งใจที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มอบโอกาสให้ผมได้ทำงาน งานของผมช่วยให้ผมสามารถดูแลครอบครัวและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวของผมเองได้นี่เป็นโอกาสที่ดีมากในการพิสูจน์ว่าผู้พิการสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ผมอยากเชิญชวนเพื่อนๆ ผู้พิการให้กล้าที่จะออกมาใช้ชีวิตและไล่ตามความฝันของตนเองอย่างเต็มที่”

นางสาวจันทนี แก้วกระแสร์ วัย 47 ปี ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว กล่าวว่า “หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ ดิฉันรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต แต่โครงการนี้ทำให้ดิฉันมีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ดิฉันภูมิใจที่ได้ทำงานที่มั่นคงและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ และรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ดิฉันอยากแสดงให้เห็นว่าทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเองและความพิการไม่ควรถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่”

SKILL DRIVING EXPERIENCE JUNIOR ร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568

SKILL DRIVING EXPERIENCE JUNIOR สนับสนุนกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 โดย โครงการ ขับเป็น…ขับปลอดภัย กับ สื่อสากล จัดกิจกรรม “โตไป…ขับเป็น” (SKILL DRIVING EXPERIENCE JUNIOR) อบรมวินัยจราจรให้เด็ก และเยาวชน ได้ขับขี่ในถนนจำลอง ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมบูธ ณ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save