- Advertisement -
31 C
Bangkok
Home Blog Page 32

สถาบันยานยนต์เดินหน้ายกระดับองค์กรสู่มาตรฐานขั้นสูงเพื่อยานยนต์แห่งอนาคต

สถาบันยานยนต์ ไม่หยุดพัฒนาเดินหน้ายกระดับความสามารถขององค์กรขยายความสามารถการทดสอบ พร้อมเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานขั้นสูง เพื่อยานยนต์แห่งอนาคต

สถาบันยานยนต์หน่วยงานให้บริการด้านทดสอบมาตรฐานทั่วไป มาตรฐานบังคับ และมาตรฐานสากล สำหรับยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ขยายความสามารถการให้บริการเพิ่มขึ้น โดยได้รับการรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบ มอก. 17025-2561 และได้รับการจดทะเบียนเป็น องค์กรกำหนดมาตรฐานประเภทขั้นสูง จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อยานยนต์แห่งอนาคต

เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติมอบใบรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบ มอก. 17025-2561 (Standard No. TIS 17025-2561 (2018) ISO/IEC 17025: 2017) ข้อกำหนดทั่วไปว่าด้วย ความสามารถของห้องปฏิบัติการทดสอบและห้องปฏิบัติการทดสอบเทียบ ออกให้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 และใบจดทะเบียนองค์กรกำหนดมาตรฐาน ประเภทขั้นสูง เพิ่มเติม 6 สาขา ออกให้ ณ วันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา

ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า “การที่ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ซึ่งดำเนินงานโดยสถาบันยานยนต์ ได้รับใบรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบ มอก. 17025 ใน 3 สาขา ได้แก่ 1. สาขายานยนต์ มาตรฐานมลพิษทางเสียงที่เกิดจากรถจักรยานยนต์และยานยนต์ตั้งแต่ 4 ล้อขึ้นไป (UN R 41, UN R 51)  มาตรฐานการยึดเกาะถนนบนพื้นเปียกและเสียงจากยางล้อ (UN R 117)  มาตรฐานระบบห้ามล้อสำหรับรถจักรยานยนต์, รถยนต์ และรถบรรทุก (UN R 78, UN R 13H และ UN R 13) 2.สาขาชิ้นส่วนยานยนต์ มาตารฐานยางล้อ (UN R 117) มาตรฐานเข็มขัดนิรภัยสำหรับรถยนต์ (UN R 14, UN R 16) มาตรฐานที่นั่งยานยนต์ (UN R 17, UN R 25) 3. สาขาระบบและชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า มาตรฐานแบตเตอรี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ (UN R 100, UN R 136) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ที่ห้องปฏิบัติการได้พัฒนาเพิ่มเติมความสามารถและปรับปรุงกระบวนการ เพื่อให้สอดรับกับมาตรฐานใหม่ที่ประกาศใช้ในการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025: 2017 มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการให้เป็นที่ยอมรับทั้งภายในประเทศและต่างประเทศทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องของคุณภาพและความน่าเชื่อถือของการรายงานผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการจากสถาบันยานยนต์ และศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ

พร้อมกันนี้สถาบันยานยนต์ยังได้รับการจดทะเบียนเป็น องค์กรกำหนดมาตรฐาน (Standard Developing Organization, SDOs) ประเภทขั้นสูง เพิ่มเติม จำนวน 6 สาขา ได้แก่ สาขาที่ 44 ระบบขับเคลื่อน ขับหมุนและเบรกยานยนต์ สาขาที่ 45 ระบบไฟฟ้า แสง และสัญญาณแสงยานยนต์ สาขาที่ 46 ความปลอดภัยยานยนต์ สาขาที่ 47 มลพิษ เสียง และพลังงานยานยนต์ สาขาที่ 76 แบตเตอรี่และ สาขาที่ 81 ยานพาหนะไฟฟ้า นั่นหมายความว่า สถาบันยานยนต์เป็นหน่วยงานที่มีความสามารถในการจัดทำมาตรฐานให้เป็นไปตามหลักสากล เสนอร่างกำหนดเป็นมาตฐานของชาติ เพื่อประชาชนผู้ใช้ปลายทางได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมีความปลอดภัยตรงตามวัตถุประสงค์การคุ้มครองผู้บริโภค โดยการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งในขณะนี้ศูนย์ทดสอบยานยนต์ สถาบันยานยนต์และศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์ทดสอบยานยนต์ ที่มีศักยภาพและครบวงจรที่สุดในอาเซียน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยบุคลากรที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านการทดสอบ พร้อมทำหน้าที่เพื่อรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้เป็นไปตามที่กำหนด เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์สู่อนาคต พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต อันดับ 1 ในอาเซียนอย่างเข้มแข็ง โดยสามารถตรวจสอบรายการและรายละเอียดการขอรับบริการได้ที่ www.thaiauto.or.th หรือ line @thaiauto

ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : แผนกการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ สถาบันยานยนต์  ชั้น 4  อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา (สพข.) ซ.ตรีมิตร กล้วยน้ำไท ถ.พระรามที่ 4  โทรศัพท์ : 02 712 2414 ต่อ 6301 – 6303  โทรสาร: 02 712 2415

เอ็มจี ขึ้นแท่นแบรนด์จีนตลาดยุโรป ทำยอดขายทะลุ 244,595 คัน

เอ็มจี สร้างยอดขายทะลุ 244,595 คัน ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์รถยนต์จีนที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในยุโรป

กรุงเทพ –  4 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้เผยยอดขายรวมของ เอ็มจี ภายใต้การดำเนินงานของ SAIC MOTOR CORPORATION ในตลาดยุโรป ปี 2024 ขึ้นแท่นบริษัทรถยนต์จีนที่มียอดขายรถยนต์สูงสุดในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และกลุ่มประเทศนอร์ดิก โดยมียอดขายรวมของ เอ็มจี อยู่ที่ 244,595 คัน เพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในส่วนของยอดขายรถยนต์รวมในสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และ กลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวีย มีจำนวนทั้งสิ้น 12.964 ล้านคัน มีอัตราเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

เอ็มจี ภายใต้การดำเนินงานของ SAIC MOTOR CORPORATION ยังคงมีผลงานที่ดีในตลาดยุโรป ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี โดยในฝรั่งเศส เอ็มจี ครองส่วนแบ่งตลาด 4.2% ในเดือนธันวาคม 2024 ด้วยยอดขายรถยนต์ใหม่ 7,692 คัน ขณะที่ในอิตาลี ยอดขายตลอดปี 2024 ของ เอ็มจี เพิ่มขึ้น 29.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหลักอย่างสหราชอาณาจักรมียอดขายรวมในปี 2024 ที่ 81,536 คัน คิดเป็นสัดส่วน 4.18% ของตลาดรถยนต์ในสหราชอาณาจักร โดย MG HS ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่ขายดีที่สุดของ เอ็มจี ในสหราชอาณาจักร มีทั้งเครื่องยนต์เบนซินและระบบปลั๊กอินไฮบริด โดยมียอดขายอยู่ที่ 30,207 คัน รวมถึงรถยนต์รุ่นล่าสุดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา มียอดขายรวมในปี 2024 กว่า 6,000 คัน

แม้ในปีที่ผ่านมาสหภาพยุโรปมีการเพิ่มภาษีรถยนต์ไฟฟ้า100% ที่มาจากจีนสูงขึ้น แต่ข้อจำกัดดังกล่าวไม่ได้ทำให้แบรนด์ เอ็มจี ลดความมุ่งมั่นและยังคงรักษาผลงานยอดขายโดยรวมได้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ เอ็มจี เข้าสู่ตลาดยุโรปเร็วกว่าบริษัทอื่น ทำให้มีการรับรู้แบรนด์และเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่เติบโตอย่างมั่นคง รวมถึงแบรนด์เอ็มจีมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเป็นที่รู้จักมามากกว่า 100 ปี อีกทั้ง SAIC MOTOR ได้มีการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย ทั้งรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฮบริด รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ช่วยสนับสนุนยอดขายของ เอ็มจี ในตลาดยุโรป สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ของ เอ็มจี ที่วางจำหน่ายในยุโรป จะมีสเปกเดียวกันกับรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย นับเป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้ลูกค้าชาวไทย ผ่านการนำเสนอโกลบอลโมเดลให้กับผู้บริโภค ที่ครอบคลุมทั้งคุณภาพและสเปคที่เทียบเท่ากับทุกประเทศทั่วโลก

MOTOR EXPO 2025 แนวคิด อลังการงานแสดง

IMC สื่อสากล” เผยแนวคิด “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” เพื่อตอกย้ำ และต่อยอดความอลังการของงานที่ว่า “อลังการงานแสดง – The Magnificent Motor Expo”

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” เผยว่า แนวคิดของการจัดงานปีนี้ต้องการเน้นความอลังการของงาน โดยที่ผ่านมา “มหกรรมยานยนต์” เป็นงานแสดงที่มีความอลังการหลายด้าน

เริ่มจาก อลังการด้านระยะเวลาดำเนินการจัดงาน ที่ยาวนานต่อเนื่องมากว่า 4 ทศวรรษ ยิ่งกว่านั้น ยังได้รับการรับรองให้เป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าระดับโลก โดย สมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก (UFI)

อลังการด้านขนาดของงาน เราใช้พื้นที่ภายใน และภายนอกอาคาร IMPACT CHALLENGER 1-3 เมืองทองธานี รวมทั้งหมดถึง 80,000 ตารางเมตร จัดแสดงยานยนต์ทุกประเภท พร้อมอุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง โดยมียานยนต์เข้าร่วมงานรวมแล้วกว่า 60 แบรนด์ แบ่งเป็นรถยนต์ กว่า 40 แบรนด์ และจักรยานยนต์ อีกกว่า 20 แบรนด์ มากที่สุดในบรรดางานแสดงยานยนต์ทั่วอาเซียน

อลังการด้านกิจกรรม ทั้งกิจกรรมนันทนาการของหน่วยงาน โครงการ และมูลนิธิต่างๆ รวมถึงกิจกรรมชิงรางวัลใหญ่ รถยนต์ 3 คัน และบิกไบค์ 1 คัน ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

อลังการด้านยอดจองรถในงาน ทุกปีจะมีผู้ชมตัดสินใจจองรถยนต์ และจักรยานยนต์ภายในงานปีละหลายหมื่นคัน สร้างความคึกคักให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย รวมถึงสร้างเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล

อลังการด้านจำนวนผู้ชม แต่ละปีจะมีประชาชนให้ความสนใจเข้าชมงานจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน นอกจากนี้ ยังมีผู้ชมงานผ่าน MOTOR EXPO ONLINE PLATFORM และ PLATFORM อื่นๆ ตลอดจนการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์อีกนับล้านคนทั่วประเทศ

“ทั้งหมดนี้ คือองค์ประกอบของงาน “มหกรรมยานยนต์” ที่ภาคภูมิใจ และมุ่งมั่นจะสร้างสรรค์งานปีนี้ ให้มีความอลังการยิ่งกว่าเดิมในทุกด้าน ดังนั้น เราจึงกำหนดแนวคิดเพื่อตอกย้ำเป้าหมาย พร้อมประกาศความยิ่งใหญ่ของงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” ว่า “อลังการงานแสดง – The Magnificent Motor Expo”

งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” จะจัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2568 ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ motorexpo.co.th และทุกสื่อในเครือ “IMC สื่อสากล”

มิตซูบิชิ เปิดตัว ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม รุ่นเริ่มต้นออปชั่นแน่นราคาเดิม

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดตัว มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม (PRIME) ใหม่ รถอเนกประสงค์รุ่นเริ่มต้น ที่ฟีเจอร์ครบครัน ในราคาที่คุ้มค่า

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยการเปิดตัว มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม (PRIME) ใหม่ พัฒนาขึ้นจากความต้องการของลูกค้า มาพร้อมความคุ้มค่า ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเหนือระดับสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกที่นั่ง ในราคาเดิม มอบนิยามของการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกไลฟ์สไตล์

มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญสูงสุดกับความต้องการของลูกค้า และมุ่งมั่นที่จะตอบสนองต่อความต้องการนั้น มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม ใหม่ คือรุ่นเริ่มต้นของรถอเนกประสงค์ยอดนิยม ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ครบครันมากขึ้น ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ โดยไม่ปรับเพิ่มราคา แต่ยกระดับความสะดวกสบายและความปลอดภัยในแบบที่ลูกค้าชาวไทยต้องการ”

“ด้วยยอดขายที่ผ่านมากว่า 200,000 คัน ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ เราพัฒนาคุณภาพรถยนต์ที่มีฟังก์ชันการใช้งานครบครัน ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มความมั่นใจ ด้วยบริการหลังการขายจากศูนย์บริการของผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพพร้อมให้บริการหลังการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมด้วยเครือข่ายผู้จำหน่ายเกือบ 200 แห่งทั่วประเทศ” มร.อินาบะ กล่าวเพิ่มเติม

มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม ใหม่ มาพร้อมกับความคุ้มค่ากว่าเดิมด้วยฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ 360 องศา (Diamond Sense): ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Warning with Lane Change Assist: BSW with LCA) ระบบเตือนด้านหลัง ขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA) เสริมความปลอดภัยด้วยถุงลมนิรภัยจากเดิม 2 ตำแหน่ง (บริเวณผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า) เพิ่มอีก 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วยถุงลมด้านข้าง และม่านถุงลม พร้อมถุงลมบริเวณหัวเข่าด้านผู้ขับขี่  รวมทั้งสิ้น 7 ตำแหน่ง  และมีจอแสดงผลการขับขี่ใหม่แบบ Full Digital ขนาด 8 นิ้ว พร้อมด้วย เบาะปรับดันหลังด้วยไฟฟ้าด้านผู้ขับ (Power Lumbar Support)

เทคโนโลยี Diamond Sense อื่นๆ ประกอบด้วย ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control: ACC) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM) และระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM) เพื่อความมั่นใจในทุกการเดินทาง และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ภายในห้องโดยสารสะดวกสบายด้วยการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน Apple CarPlay และ Android Auto จอเพดานสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขนาด 12.1 นิ้ว มาพร้อมกับรีโมท หูฟังอินฟราเรด และเชื่อมต่อ HDMI และ USB เพื่อความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และระบบชาร์จอุปกรณ์ไร้สาย พิถีพิถันในทุกรายละเอียดไปกับการตกแต่งด้วยสีเงินและเปียโนแบล็ก เหนือระดับความทันสมัยและความหรูหรา

พลังการควบคุมที่เหนือชั้นด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ไฮเปอร์ พาวเวอร์ (Hyper Power) แรง ประหยัดน้ำมัน ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร  ที่ 2,250 – 2,500 รอบต่อนาที ประหยัดน้ำมัน 15.2 กิโลเมตร/ลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker)

มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม ใหม่ คงราคาเดิมที่ 1,389,000 บาท ตอกย้ำนิยามความเป็นรถพีพีวีอเนกประสงค์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ที่ต้องการกำหนดทุกความสำเร็จด้วยตัวเอง โดยมีให้เลือก 4 สี ได้แก่สีเงิน Blade Silver สีดำ Jet Black Mica สีเทา Graphite Grey และสีขาว White Diamond (ราคาเพิ่ม 15,000 บาท)

มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม ใหม่ มาพร้อมกับแคมเปญพิเศษ

•ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 1 ปี

•ฟรี ประกันคุณภาพ พร้อมค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี/ 100,000 กิโลเมตร

•ฟรี ชุดอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณ WIFI (WIFI Dongle)

•เลือกรับ ดอกเบี้ยพิเศษ 1.09% กับสถาบันการเงินที่ร่วมรายการ

•เลือกรับ แพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี/ 100,000 กิโลเมตร พร้อมขยายบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี

•ครอบครัวมิตซูบิชิรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 30,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน M-Drive

หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

บีเอ็มดับเบิลยู สานต่อวิสัยทัศน์สู่สังคมแห่งความยั่งยืน

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สานต่อวิสัยทัศน์ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ มอบรางวัลแก่ผู้จำหน่ายที่ร่วมกันผลักดันสู่สังคมแห่งความยั่งยืน

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สานต่อความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความยั่งยืนสู่สังคมอย่างเป็นรูปธรรม มอบรางวัลแก่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ 3 ราย ได้แก่ เชิดชัย ออโต้เฮาส์ มิลเลนเนียม ออโต้ และ เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ในการประกวด Dealer Sustainability Awards 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม สนับสนุนผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยู และมินิอย่างเป็นทางการที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยเหลือสังคม

การประกวด Dealer Sustainability Awards 2024 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘CHOICEISYOURS 2024’ ซึ่งจัดขึ้นมาเป็นเวลาสามปีติดต่อกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมศักยภาพให้กับผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการ ในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม รวมถึงพนักงาน ผ่านแนวคิดนวัตกรรมความยั่งยืนที่พัฒนาไปสู่การลงมือปฏิบัติจริงจนมีผลลัพธ์อันเป็นที่ประจักษ์ ครอบคลุม 4 หัวข้อ ได้แก่ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ แนวคิดทรัพยากรหมุนเวียน การมีส่วนร่วมของพนักงาน และการช่วยเหลือสังคม โดยตัดสินภายใต้เกณฑ์ตามหลักการ ESG หรือแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เชื่อว่าการก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง เครือข่ายผู้จำหน่ายถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการขับเคลื่อนความมุ่งมั่นนี้ รางวัล Dealer Sustainability Awards 2024 ก็สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่เรามีร่วมกันในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความยั่งยืนในประเทศไทยและสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมไทยได้ ผมขอแสดงความชื่นชมแก่ผู้จำหน่ายทั้งสามรายที่ได้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืน สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ความสำเร็จด้านธุรกิจจะต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับความยั่งยืน และผู้จำหน่ายของเราก็ได้เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ถึงเป้าหมายในด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป”

สำหรับผู้จำหน่ายที่ได้รับรางวัล Dealer Sustainability Awards 2024 ในแต่ละหมวดหมู่ ได้แก่ :

รางวัลยอดเยี่ยมด้านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Outstanding Circularity Initiatives)โครงการ “ReVolt” โดยเชิดชัย ออโต้เฮาส์

คุณปริญ กัญจนาทิพย์ (กลาง) กรรมการผู้จัดการ และคุณกฤตกมล กัญจนาทิพย์ (ที่ 4 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชิดชัย ออโต้เฮ้าส์ จำกัด พร้อมด้วย รศ.ดร.วรวัฒน์ มีวาสนา (ขวาสุด) รองผู้อำนวยการเทคโนธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ร่วมรับมอบรางวัลยอดเยี่ยมด้านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจาก มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานและซีอีโอ และคุณกฤษฎา อุตตโมทย์ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

เชิดชัย ออโต้เฮาส์ เป็นผู้บุกเบิกแนวทางการจัดการแบตเตอรี่แบบหมุนเวียนด้วยโครงการ “ReVolt” โดยทำงานร่วมกับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พัฒนาโซลูชันเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วให้กลับมามีประโยชน์ใหม่ ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ และนำเสนอโซลูชั่นที่ใช้งานได้จริง โครงการดังกล่าวประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญคือ การปรับสภาพแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้สามารถรองรับการชาร์จเร็วในพื้นที่ชนบทที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าต่ำ การจัดหาแบตเตอรี่ให้กับสถานพยาบาลในระดับตำบลเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับตู้เย็นเก็บยา โซลูชั่นการชาร์จเคลื่อนที่กับการรวมแบตเตอรี่เข้ากับระบบการชาร์จเคลื่อนที่ที่ติดตั้งบนรถพ่วง เพื่อช่วยเหลือรถยนต์ไฟฟ้าที่แบตเตอรี่หมดระหว่างการเดินทาง ทำหน้าที่เป็นสถานีชาร์จแบบพกพา และระบบกักเก็บพลังงานสำหรับอุตสาหกรรมและบ้าน โดยนำแบตเตอรี่จากรถยนต์ไฟฟ้าเก่ามาใช้ใหม่สำหรับระบบกักเก็บพลังงานในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลดความต้องการพลังงานสูงสุด รวมถึงปรับเปลี่ยนให้ใช้ในที่อยู่อาศัยได้ ช่วยจัดการพลังงานในบ้านและส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

รางวัลยอดเยี่ยมด้านการสร้างประโยชน์แก่สังคม (Outstanding Societal Impact Initiatives) โครงการ “Giving Something Good: Give Back to Society” มิลเลนเนียม ออโต้

คุณเจิดนภางค์ ธรรมชวนวิริยะ (กลาง) ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วยคุณสมปราชญ์ โบสุวรรณ (ที่ 4 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด และคุณศรันย์ อรรถเวทยวรวุฒิ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด ร่วมรับมอบรางวัลยอดเยี่ยมด้านการสร้างประโยชน์แก่สังคมจาก มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานและซีอีโอ และคุณกฤษฎา อุตตโมทย์ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

มิลเลนเนียม ออโต้ สร้างความแตกต่างที่จับต้องได้ในชุมชนด้วยโครงการ “Giving Something Good” ด้วยการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่และการจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น โดยนำปฏิทินเก่ารวม 1,000 เล่ม ไปรีไซเคิลเพื่อทำหนังสืออักษรเบรลล์สำหรับผู้พิการทางสายตาในมูลนิธิต่าง ๆ รวบรวมขวดพลาสติกไม่ใช้แล้ว 3,200 ขวด บริจาคให้กับวัดจากแดง เพื่อเปลี่ยนขวดพลาสติกให้เป็นเส้นใย แล้วทอเป็นจีวรมอบให้พระภิกษุ และการนำสิ่งของจำเป็นมือสองที่ได้จากการร่วมบริจาค ไปจำหน่ายต่อเพื่อสร้างทุนการศึกษา

รางวัลยอดเยี่ยมด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โครงการ “Project South Pole” จาก เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส 

พอล ชาง อิน เชง (กลาง) กรรมการผู้จัดการ เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส รับมอบรางวัลยอดเยี่ยมด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จาก มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด (ขวา) ประธานและซีอีโอ และคุณกฤษฎา อุตตโมทย์ (ซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย “Project South Pole” ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ลดการใช้กระดาษมาเป็นนามบัตรดิจิทัล การนำแพลตฟอร์ม Kube มาใช้ด้วยแบบฟอร์มดิจิทัลแทนการใช้แบบฟอร์มกระดาษ เพื่อลดทั้งการใช้กระดาษและลดคาร์บอน

รางวัลยอดเยี่ยมด้านการมีส่วนร่วมของพนักงาน โครงการ “Great Strength Comes From Within” จาก เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส

พอล ชาง อิน เชง (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร รับมอบรางวัลยอดเยี่ยมด้านการมีส่วนร่วมของพนักงาน จาก มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานและซีอีโอ และคุณกฤษฎา อุตตโมทย์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส  ส่งเสริมวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่ดีในหมู่พนักงานด้วยโปรแกรม “Great Strength Comes From Within” ส่งเสริมให้พนักงานมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี ผ่านกิจกรรมกีฬา คำแนะนำด้านโภชนาการจากผู้เชี่ยวชาญ และการจัดการน้ำหนัก ส่งผลให้พนักงานมีความกระฉับกระเฉง สุขภาพแข็งแรง ลูกค้าสัมผัสได้ถึงพลังบวกจากภายใน

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป  ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับประเทศไทย ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยได้ดำเนินการร่วมกับหลายภาคส่วนเพื่อส่งเสริมการตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการ CHOICEISYOURS มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 ทั้งสำหรับเครือข่ายผู้จำหน่ายของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และการร่วมมือกับอีก 7 องค์กรชั้นนำ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่นิสิตนักศึกษา ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัลและมูลนิธิชัยพัฒนา ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เอสซีจี โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ และ บางจาก คอร์ปอเรชัน

เอ็มจี จัดงานทดสอบทักษะการบริการ MG SKILL CONTEST

เอ็มจี จัดงานทดสอบทักษะการบริการ MG SKILL CONTEST มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าทั่วประเทศ

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย จัดการแข่งขันทักษะฝีมือพนักงานผู้จำหน่าย หรือ MG SKILL CONTEST สื่อถึงความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณภาพการบริการที่ดีที่สุดให้ลูกค้า รวมถึงการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของพนักงานเอ็มจีทั่วประเทศ

สำหรับการแข่งขัน MG SKILL CONTEST ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 โดยในปีนี้ได้มีการปรับบททดสอบให้สอดรับกับบทบาทการเป็นแบรนด์ชั้นนำยานยนต์ไฟฟ้า และเอ็มจีถือเป็นแบรนด์ที่มีรถยนต์พลังงานทางเลือกหลากหลายรุ่น อีกทั้งในแต่ละรุ่นต่างอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยียานยนต์ที่ล้ำสมัย เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบทักษะของพนักงานทุกภาคส่วนจึงเป็นหนึ่งในแผนการยกระดับคุณภาพการให้บริการของพนักงานโดยแบ่งเป็น 8 ประเภท ได้แก่ ด้านที่ปรึกษาการขาย ด้านที่ปรึกษาการบริการ ด้านลูกค้าสัมพันธ์ ด้านการจัดการงานอะไหล่ ด้านการจัดการงานรับประกันคุณภาพ ด้านเทคนิคและงานซ่อม ด้านการประเมินราคางานซ่อมสีและตังถัง และด้านงานเทคนิคซ่อมสีและตัวถัง

ผลการแข่งขัน MG SKILL CONTEST ครั้งที่ 7

1. ด้านที่ปรึกษาการขาย

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย จักริน จันทสิทธิ์ (บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด สำนักงานใหญ่ เพชรเกษม)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นางสาว วิไลวรรณ อัศวภูมิ (บริษัท พรนุภาพ เอ็มจี จำกัด)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นางสาว ชราวดี อินภูธร (บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สาขาแม่โจ้)

2.ด้านที่ปรึกษาการบริการ

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย เกรียงไกร โกศัยเนตร (บริษัท เซควอญ่า หลักสี่ จำกัด สาขารามอินทรา)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย พัสกร เจริญบวรศักดิ์ (บริษัท ซีเอ็นเอ็กซ์ ออโต้ จำกัด สาขาลำพูน)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. วิรุฬรัตน์ สุนทรวัฒน์ (บริษัท สุวัฒนา ขอนแก่น จำกัด)

3.ด้านลูกค้าสัมพันธ์

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. ชนิตา ช่วงมณี (บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด สาขาเมืองสงขลา)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล15,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. ทัศวรรณ ประทุมทิพย์ (บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด สาขาพัทยา)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. กนกพร อร่ามโรจน์ (บริษัท เอ็มจี พระนคร จำกัด สาขาอ้อมน้อย)

4.ด้านการจัดการงานอะไหล่

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. แพรวพรรณ พลพิภักดิ์ (บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด สาขาชลบุรี)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : จ.ต. วิษณุ นาดี (บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร: นาย สุชาติ รัชนาทกุล (บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด สาขาชลบุรี)

5.ด้านการจัดการงานรับประกันคุณภาพ

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. สุนันทา สุริยะ (บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด สำนักงานใหญ่ ลพบุรีราเมศร์)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. สุธิดา ก้อนเกษ (บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. กัญชลิกา สลับสี (บริษัท เซควอญ่า หลักสี่ จำกัด สาขารามอินทรา)

6.ด้านเทคนิคและงานซ่อม

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย นิพนธ์ ภักดีวงษ์ (บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด สาขาทุ่งสง)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย จักรกฤษณ์ เจริญแพทย์ (บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด สาขาชลบุรี)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย พัฒน์พงศ์ สุกปลั่ง (บริษัท ดีพร้อม มอเตอร์เซลส์ จำกัด สาขาพิษณุโลก)

7. ด้านงานประเมินราคางานซ่อมสีและตัวถัง

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. จิรัชญา เทียมจันทร์ (บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด สำนักงานใหญ่ เพชรเกษม)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. ชนัญธิดา ฤทธิ์จันอัด (บริษัท ปฐพีทองออโต้ จำกัด สาขาหัวทะเล)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : น.ส. วรรณา มารรัมย์ (บริษัท เอ็มจี อนันตภัณฑ์ ออโตเซลส์ จำกัด)  

8.ด้านเทคนิคงานซ่อมสีและตัวถัง (แข่งขันเป็นทีม ทีมละ 2 ท่าน)

•รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ เงินรางวัล 40,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย ณัฐกิตต์ แสงสุข และ นาย นิรันด์ แก่นนาคำ (บริษัท เอเลแกนซ์ วีฮีเคิล จำกัด)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย วรวุฒิ บุตรสุวรรณ และ นาย สมศักดิ์ พรหมพิทักษ์ (บริษัท เอ็มจี เอเบิล มอเตอร์ส จำกัด สาขาปทุมธานี)

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และใบประกาศนียบัตร : นาย คงภัค ยันจอหอ และ นาย จักรกฤษณ์ ซึมกลาง (บริษัท เอ็มจี อนันตภัณฑ์ ออโตเซลส์ จำกัด)

นอกเหนือจากรางวัลผู้ชนะเลิศแต่ละประเภทแล้ว ทางบริษัทฯ ยังได้ทำการมอบรางวัลพิเศษ สำหรับผู้จำหน่ายที่ได้รับการโหวตคะแนนสูงสุด แต่ละประเภท โดยได้เปิดให้ผู้สนใจ ได้เข้าร่วมโหวดผู้ชนะการแข่งขัน ในแต่ละประเภทผ่านทาง Website MGcars.com MGThailand Facebook page และกลุ่มไลน์ MG Family โดยผู้จำหน่ายที่ได้รับการโหวตคะแนนสูงสุด แต่ละประเภท ดังนี้

1.Popular Vote ด้านที่ปรึกษาการขาย : บริษัท วัชรเซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด

2.Popular Vote ด้านที่ปรึกษาการบริการ : บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด (สำนักงานใหญ่) เพชรเกษม

3.Popular Vote ด้านลูกค้าสัมพันธ์ : บริษัท เอ็มจี เอซี ตาก ออโตโมบิล จำกัด (สาขาแม่สอด)

4.Popular Vote ด้านการจัดการงานอะไหล่ : บริษัท เอ็มจีลักซูรี่ หาดใหญ่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) ลพบุรีราเมศร์

5.Popular Vote ด้านการจัดการงานรับประกันคุณภาพ : บริษัท เคพีออโต้คลองหลวง จำกัด

6.Popular Vote ด้านเทคนิคและงานซ่อม : บริษัท เคเอเอส มอเตอร์ส จำกัด

7.Popular Vote ด้านงานประเมินราคาซ่อมสีและตัวถัง : บริษัท เอ็มจี ลักซูรี่ นครศรีธรรมราช จำกัด (สำนักงานใหญ่)

8.Popular Vote ด้านเทคนิคงานซ่อมสีแลตัวถัง : บริษัท อยุธยา แกรนด์ เอ็มจี เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด

JAECOO 7 PHEV ทำสถิติใหม่วิ่งได้ไกลกว่า 1,427 กิโลเมตร

JAECOO 7 PHEV ทำสถิติใหม่วิ่งได้ไกลกว่า 1,427 กิโลเมตร จากสิงคโปร์ ผ่านมาเลเซีย มาสู่ประเทศไทย โดยใช้น้ำมัน 1 ถัง และแบตเตอรี่ 1 ชาร์จ จากสถิติที่เคยทำไว้ 1,200 กิโลเมตร สถิติใหม่ของการใช้น้ำมันและไฟฟ้า สร้างความเชื่อมั่นให้รถเครื่องยนต์ไฮบริดในตลาดไทย

JAECOO 7 PHEV (ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ) ออกเดินทางจากประเทศสิงคโปร์ ผ่านประเทศมาเลเซีย จนมาถึงอำเภอหาดใหญ่ ประเทศไทย เพื่อทดสอบระยะการขับขี่สูงสุดด้วยเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ผลทดสอบจากการขับรถ JAECOO 7 PHEV ทั้ง 5 คัน สามารถทุบสถิติเดิมด้วยระยะทางกว่า 1,427.5 กิโลเมตร จากการใช้น้ำมัน 1 ถัง และแบตเตอรี่ 1 ชาร์จ

เอมิลี่ เล็ค รองประธานของเจคู่ (JAECOO) ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้แสดงสมรรถนะและศักยภาพของรถยนต์ JAECOO 7 PHEV ให้ตลาดในประเทศมาเลเซียและประเทศอื่นๆ ได้เห็นว่ารถรุ่นนี้ผ่านการทดสอบอย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดเส้นทาง สะท้อนถึงคำมั่นของแบรนด์เจคู่ (JAECOO) ที่มุ่งมั่นในการมอบรถยนต์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค ด้วยเทคโนโลยีระบบ Super Hybrid (SHS หรือ Super Hybrid System) ของเรา เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยีแถวหน้า ของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเป็นเทคโนโลยี PHEV แบบเดียวที่รองรับการชาร์จไฟโดยใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct current หรือ DC) รวมถึงมีข้อดีอีกมากมายในรถยนต์ JAECOO 7 PHEV นี้”

จากการทดสอบการขับขี่ระยะไกลผ่าน 3 ประเทศ JAECOO 7 PHEV มีสมรรถนะเหนือกว่าตัวเลขที่ระบุในรายละเอียดทางเทคนิค เนื่องจากรถรุ่นนี้สามารถขับขี่โดยใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 947 กิโลเมตร (โดยที่น้ำมันยังคงเพียงพอในการขับขี่อีก 372 กิโลเมตร) และขับขี่โดยใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 108 กิโลเมตร ซึ่งไกลกว่าระยะทางที่ระบุในรายละเอียดทางเทคนิคถึง 18 กิโลเมตร การทดสอบการขับขี่ครั้งนี้ยังเป็นการทดสอบอัตราการใช้น้ำมันของ JAECOO 7 PHEV โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ 3.5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ซึ่งดีกว่ามาตรฐานที่ 6.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

“เราเชื่อมั่นว่าเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของ JAECOO 7 PHEV สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งด้านการประหยัดพลังงานและสมรรถนะที่เหนือกว่า โดยเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของ JAECOO 7 PHEV ประกอบด้วยแบตเตอรี่ขนาด 18.3 กิโลวัตต์ ถังน้ำมันความจุ 60 ลิตร พร้อมระบบส่งกำลังไฮบริดโดยเฉพาะซึ่งสามารถสลับการทำงานได้อย่างไร้รอยต่อและสร้างแรงบิดได้ถึง 525 นิวตันเมตร”

สมรรถนะของรถยนต์ JAECOO 7 PHEV เป็นผลของการใช้ระบบ Super Hybrid (SHS หรือ Super Hybrid System) ซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ เครื่องยนต์ 1.5TDGI เจเนอเรชั่นที่ 5 สำหรับรถยนต์ไฮบริด ระบบส่งกำลังไฮบริดแบบแปรผันต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ไฮบริดประสิทธิภาพสูง ส่วนประกอบทั้ง 3 ส่วนทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อเพื่อให้ได้สมรรถนะที่สูง กำลังที่มากขึ้น รวมถึงอัตราการใช้พลังงานน้ำมันและไฟฟ้าที่ลดลง

ระบบ Super Hybrid (SHS หรือ Super Hybrid System) ของเจคู่ ได้รับการออกแบบให้รองรับการชาร์จไฟได้อย่างหลากหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ รูปแบบแรกคือการชาร์จไฟแบบช้าผ่านปลั๊กไฟ 3 ขา 230 โวลต์ สามารถชาร์จไฟรถจาก 0% ถึง 100% ได้ภายในเวลา 8.5 ชั่วโมง ด้วยกำลังไฟ 3.3 กิโลวัตต์ รูปแบบที่ 2 คือการชาร์จแบบ AC ที่สามารถชาร์จไฟรถจาก 30% ถึง 80% ในเวลา 3 ชั่วโมงด้วยกำลังไฟ 6.6 กิโลวัตต์ และรูปแบบสุดท้าย คือ การชาร์จแบบ DC ซึ่งถือเป็นระบบที่สร้างความแตกต่างที่สำคัญที่ทำให้ JAECOO 7 PHEV แตกต่างไปจากเดิม รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของเจคู่เป็นรถยนต์ PHEV รุ่นเดียวในท้องตลาดปัจจุบันที่รองรับการชาร์จไฟแบบเร็วโดยใช้การชาร์จแบบ DC ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 30% ถึง 80% ได้ภายในเวลาเพียง 20 นาที ที่กำลังไฟ 40 กิโลวัตต์

JAECOO 7 PHEV เป็นรถยนต์ที่ติดตั้งแบตเตอรี่ไฮบริดที่ออกแบบมาให้มีระบบจัดการความร้อนแบบพิเศษเฉพาะ ซึ่งมาจากการลงทุนด้านคุณภาพ การออกแบบ และความปลอดภัยของแบตเตอรี่ของเจคู่ ที่ออกแบบให้แบตเตอรี่มีความทนทานต่อแรงกระแทกด้วยเกราะแบตเตอรี่ขั้นสูง มีโล่ป้องกันภายในและโครงสร้างหุ้มเหล็กภายนอก พร้อมได้รับการออกแบบมาให้สามารถทำงานได้ภายใต้อุณหภูมิที่สูง ซึ่งได้รับการรับรองจากมาตรฐานระดับ IP68 และทนทานต่อไฟแม้อยู่ในสภาวะที่รุนแรง เช่น แบตเตอรี่โดนเจาะทะลุหรือถูกบีบอัด

เป้าหมายของเจคู่ในการจัดการทดสอบการเดินทางระยะไกลจากสิงคโปร์ มาเลเซีย มาสู่ประเทศไทย เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ให้เข้าใจถึงความเข้ากันได้ของเครื่องยนต์ PHEV กับตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ขับขี่สนใจอย่างระยะทางสูงสุดในการขับขี่และอัตราการใช้พลังงานของรถยนต์ JAECOO 7 PHEV ซึ่งสเปคของประเทศไทยจะประกาศ และพร้อมจำหน่าย อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเร็วๆ นี้

สำหรับ Chery Automobile Co., Ltd. ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 เป็นแบรนด์รถยนต์ระดับโลกที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน ด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาขึ้นในประเทศจีน เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และบราซิล นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งทีมวิจัยและพัฒนายานยนต์ระดับโลกที่มีบุคลากรมากกว่า 5,500 คน และก่อตั้งเทคโนโลยีองค์รวมและระบบ R&D ของผลิตภัณฑ์ Chery ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ โดยมียอดขายสะสมทั่วโลกมากกว่า 9.5 ล้านคัน เป็นบริษัทรถยนต์แห่งแรกของจีนที่ส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วน CKD เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีการผลิตยานยนต์และอุปกรณ์ไปทั่วโลก

ปัจจุบัน Chery ดำเนินธุรกิจในหลายภูมิภาคทั่วโลกครอบคลุม 80 ประเทศ และตั้งโรงงานในต่างประเทศ 10 แห่ง มีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการในต่างประเทศมากกว่า 1,500 แห่ง มีผู้ใช้เกือบ 10 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงผู้ใช้จำนวน 1.95 ล้านคนนอกประเทศจีน นอกจากนี้ Chery ยังครองอันดับหนึ่งในด้านการส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจากประเทศจีนเป็นเวลา 20 ปีติดต่อกัน

อนึ่ง OMODA & JAECOO ผู้พัฒนาแบรนด์รถยนต์ส่วนบุคคล ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานใหม่ พร้อมนำเสนอยนตรกรรมพลังงานใหม่ทางเลือกที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้ง BEV, PHEV, HV และอื่นๆ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น เติบโตอย่างรวดเร็วใน 33 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก มีผู้ใช้ทั่วโลกเกิน 410,000 คน โดยเริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งแรกในปี 2567

มิตซูบิชิ ฉลองความสำเร็จ 7 ผู้ชนะเลิศ การแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 24

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จ 7 ผู้ชนะเลิศ จากการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 24 “เชื่อมต่อความเชี่ยวชาญ สู่ประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า”

กรุงเทพฯ – 31 มกราคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศผลผู้ชนะเลิศ 7 คน จากการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 24 ณ สถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาศักยภาพของพนักงานผู้จำหน่าย ทั้งบริการด้านการขาย และบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้ามิตซูบิชิทุกท่าน โดยการแข่งขันในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เชื่อมต่อความเชี่ยวชาญ สู่ประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า” ด้วยหัวใจแห่งการบริการ 3 มิติ ได้แก่ ความเชี่ยวชาญ (Expertise)  การสร้างประสบการณ์ที่ดี (Experience) และบริการที่ยอดเยี่ยม (Excellence)

มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความเชี่ยวชาญที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการเรียนรู้ การฝึกฝน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นที่สุด ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ช่วยให้เรามอบประสบการณ์ที่ประทับใจ จากการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เพราะเราตระหนักดีว่า ทุกประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับ คือโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่น และความไว้วางใจในรถยนต์มิตซูบิชิ”

การแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครอบคลุมทั้ง 7 ประเภทงานบริการลูกค้า เริ่มต้นจาก ที่ปรึกษาการขาย (Sales Consultant) ที่พร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานในด้านต่าง ๆ รวมถึงจัดการทดลองขับสำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อรถยนต์ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relation Officer) จะติดต่อเพื่อนัดหมายและแจ้งกำหนดการ การให้บริการ โดย ที่ปรึกษางานบริการ (Service Advisor) จะให้การต้อนรับลูกค้า รับฟังความต้องการ และให้คำแนะนำที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า

ในส่วนของการตรวจสอบรถยนต์ ช่างเทคนิคเช็กระยะ (Periodic Maintenance Technician) หรือ ช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา (Diagnostic Technician) จะทำงานประสานกับลูกค้าที่ศูนย์บริการ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อะไหล่ (Parts Officer) จะจัดเตรียมอะไหล่ให้พร้อมเพื่อสนับสนุนการซ่อมบำรุงที่มีคุณภาพและตรงเวลาตามความต้องการของลูกค้า ในกรณีที่รถยนต์ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ ที่ปรึกษางานบริการศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง (Service Advisor (BP)) จะให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อให้ลูกค้าได้รับการซ่อมสีและตัวถังที่มีคุณภาพสูงสุด

กระบวนการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2567 โดยแบ่งเป็น 3 รอบ ในรอบแรก มีพนักงานของผู้จำหน่าย มากกว่า 2,400 คน จากทั่วประเทศ เข้าร่วมการแข่งขัน โดยได้รับคัดเลือกให้ผ่านเข้าสู่รอบที่สองเป็นจำนวน 325 คน จากนั้นเลือกเฟ้นสุดยอดฝีมือเพียง 65 คน เข้าชิงชัยในรอบชิงชนะเลิศ

ผู้ชนะเลิศ รางวัลที่ปรึกษาการขาย นายสิทธิชัย ภมรานนท์ จาก บริษัท แสงชัยมอเตอร์เซลล์ จำกัด (สาขาแม่เหียะ) จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “สำหรับการแข่งขันในปีนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทั้งโจทย์ที่ได้รับในการแข่งขันที่ค่อนข้างเข้มข้นและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในสายงานมาประยุกต์ใช้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นที่ปรึกษาการขาย คือการรับฟัง ทำความเข้าใจลูกค้า อีกทั้งต้องมีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์รถยนต์มิตซูบิชิเป็นอย่างดี จึงจะสามารถนำเสนอสมรรถนะรถยนต์ สิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ เพื่อให้ลูกค้าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาศูนย์บริการของเรา ความสำเร็จในครั้งนี้นับเป็นขวัญกำลังใจที่มีคุณค่า ในการส่งมอบความประทับใจให้กับลูกค้ามิตซูบิชิ ต่อไป”

นายวัฒนา ดวงอบมา บริษัท มิตซูออโต้ซิตี้ จำกัด (สำนักงานใหญ่) กรุงเทพมหานคร ผู้ชนะเลิศรางวัลช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา บอกเล่าถึงความรู้สึกในการเข้าแข่งขันครั้งนี้ว่า “ผมทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อการแข่งขันในครั้งนี้ โจทย์ของการแข่งขันปีนี้ เป็นรถโมเดลใหม่คือ NEW MITSUBISHI XPANDER HEV ซึ่งมีระบบ HEV มาเกี่ยวข้อง ผมจึงอ่านหนังสือคู่มือและฝึกซ้อมค่อนข้างมากเพื่อให้วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ โดยผมเองได้นำประสบการณ์จริงมาประยุกต์ใช้ คือ เมื่อได้รับการแจ้งปัญหาจากลูกค้า เราจะดำเนินการสอบถามรายละเอียดต่างๆ ตามขั้นตอน และเมื่อได้รับการยืนยันปัญหาจึงนำมาวางแผน วิเคราะห์หาสาเหตุ และซ่อมบำรุงอย่างถูกขั้นตอนตรงตามมาตรฐาน รวมถึงควบคุมคุณภาพหลังงานซ่อม เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าประทับใจในบริการ และปัญหาได้รับการแก้ไข”

ภาพข่าว: มร.เรียวอิจิ อินาบะ (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมฉลองความสำเร็จร่วมกับ 7 ผู้ชนะเลิศ จากการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 24 ณ สถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ การแข่งขันทักษะรถยนต์ประจำปี ครั้งที่ 24 ทั้ง 7 สายงาน ได้แก่ (จากซ้ายไปขวา)

– นายอนุพงษ์ พินุวงค์ บริษัท แสงชัยมอเตอร์เซลล์ จำกัด (สาขาแม่โจ้) จ.เชียงใหม่ ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษางานบริการศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง

– นายธีระศักดิ์ โรจน์ประเสริฐสุด บริษัท มิตซูชัยพร จำกัด จ.สมุทรสาคร ผู้ชนะเลิศรางวัล ช่างเทคนิคเช็กระยะ

– นายวัฒนา ดวงอบมา บริษัท มิตซูออโต้ ซิตี้ จำกัด กรุงเทพมหานคร ผู้ชนะเลิศรางวัล ช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา

– นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

– มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

– นายสิทธิชัย ภมรานนท์ บริษัท แสงชัยมอเตอร์เซลล์ จำกัด (สาขาแม่เหียะ) จ.เชียงใหม่ ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษาการขาย

– นางสาวกาญจนา ปิติยะ บริษัท ทีเคซี มิตซูตาก จำกัด (สำนักงานใหญ่) จ.ตาก ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษางานบริการ

– นางสาวสุนารี อักขระกิจ บริษัท ทีเคซี มิตซูตาก จำกัด (สำนักงานใหญ่) จ.ตาก ผู้ชนะเลิศรางวัล เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์

– นางสาวสุภาพร เหล่าลาด บริษัท มิตซูชลบุรี จำกัด (สาขาบ่อวิน) จ.ชลบุรี ผู้ชนะเลิศรางวัล เจ้าหน้าที่อะไหล่

มูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน มอบรางวัลการประกวดปี 2567

“มูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน” ร่วมกับ กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประกาศผลและมอบรางวัล จากการประกวดกิจกรรม 4 ประเภทประจำปี 2567

นางาวชไมพร ปภัสร์พงษ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน เผยว่า มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมการประกวดประจำปี 2567 รวม 4 ประเภท ได้แก่ เรียงความ ร้องเพลง วาดภาพศิลปะ และวีดีโอคลิป ซึ่งปีนี้มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทั้งหมด 1,469 ชิ้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 76% และทุกชิ้นมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาประกาศผลพร้อมมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดประเภทต่างๆ ดังนี้

ประกวดเรียงความหัวข้อ “คนรุ่นใหม่ใจซื่อมือสะอาด”

ระดับประถมศึกษา ได้แก่ ด.ญ.ธัญญาภรณ์ ภาชี  รร.วัดสุวรรณ กรุงเทพมหานคร

ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ได้แก่ น.ส.ณัฐทิชา  สีน้ำเงิน รร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จังหวัดเพชรบุรี

ระดับอาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวส.) และอุดมศึกษา ได้แก่ นายพงศธร ประกฤติพงศ มหาวิทยาลัยศิลปากร จังหวัดนครปฐม

ประกวดร้องเพลงประกอบดนตรีตามเพลง

เพลง “คิดดี ทำดี”

-ระดับประถมศึกษา ประเภทเดี่ยว ได้แก่ ด.ช.สุทิวัส ยนปลัดยศ รร.นารีวิทยา จังหวัดราชบุรี

-ระดับประถมศึกษา ประเภทหมู่ ได้แก่ ทีม TN.Junior Band รร.ไทยนิยมสงเคราะห์ กรุงเทพมหานคร

เพลง “ด้วยลมหายใจที่ไร้มลทิน”

ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ประเภทเดี่ยว ได้แก่ น.ส.จันจิรา ศักดิ์สุวรรณ รร.นวมินทราชินูทิศ หอวัง จังหวัดนนทบุรี

-ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ประเภทหมู่ ได้แก่ ทีม BBL รร.สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา

-ระดับอาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวส.) และอุดมศึกษา ประเภทเดี่ยว ได้แก่ น.ส.พิชาพร สถิตพรบรรพต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี

ประกวดวาดภาพศิลปะสะท้อนค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์สุจริต

หัวข้อ “พลิกฟื้นลมหายใจของโลกในยุคหมอกควัน”

-ระดับปฐมวัย ได้แก่ ด.ญ.ณัฐรดา จรดล รร.อนุบาลสุธีธร จังหวัดนครปฐม

-ระดับประถมศึกษา ได้แก่ ด.ช.ชวัลวิทย์ อ่างมัจฉา รร.บ้านม่วง จังหวัดหนองคาย

-ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ได้แก่ ด.ญ.เกศชฎาพร คุ้มบ้าน รร.สมคิดจิตต์วิทยา จังหวัดชลบุรี

ประกวดวีดีโอคลิปสะท้อนค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์สุจริต

หัวข้อ “ซื่อสัตย์สุจริต ชีวิตติดโซเชียล”

-ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ได้แก่ ทีม BC Studio รร.ปากคาดพิทยาคม จังหวัดบึงกาฬ

สามารถติดตามผลการประกวด และกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน ได้ที่ lomhaijai.org dcy.go.th และ facebook.com/LomhaijaiFoundation

The new E-Class คว้ารางวัล Best Performer จาก Euro NCAP

The new E-Class จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ คว้ารางวัล “Best Performer” โดย Euro NCAP ขึ้นแท่นรถยนต์ที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดประจำปี 2024

Mercedes-Benz E-Klasse | 2023 Mercedes-Benz E-Class 2023

เมอร์เซเดส-เบนซ์ สร้างบรรทัดฐานใหม่ด้านความปลอดภัยให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก ส่งรถยนต์รุ่น The new E-Class คว้ารางวัล “Best Performer” ประจำปี 2024 จาก Euro NCAP พร้อมครองตำแหน่งรถยนต์ที่ได้รับคะแนนด้านความปลอดภัยสูงที่สุดจากผลการทดสอบในปีที่ผ่านมา

รางวัล “Best Performer” ของ The new E-Class เป็นหนึ่งในรางวัลในหมวด “Best in Class” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจาก Euro NCAP ได้พิจารณาคะแนนเฉลี่ยจาก 4 หมวดหมู่หลัก โดยครอบคลุมถึงความปลอดภัยทั้ง Active Safety และ Passive Safety ได้แก่ การปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection: AOP) การปกป้องผู้โดยสารเด็ก (Child Occupant Protection: COP) การปกป้องผู้ใช้ถนน (Vulnerable Road User Protection) และเทคโนโลยีช่วยเหลือด้านความปลอดภัยขั้นสูง (Safety Assist Technologies) ซึ่งจากการประเมินโดยรวม The new E-Class ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถทำคะแนนได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมในทุกหมวดหมู่

Markus Schäfer คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งมาตรฐานความปลอดภัย เพราะเราเป็นผู้บุกเบิกในด้านความปลอดภัยของยานยนต์อย่างแท้จริง พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล Best Performer จาก Euro NCAP ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของพวกเรา ในการยกระดับความปลอดภัยให้แก่ผู้คนบนท้องถนน” Euro NCAP (European New Car Assessment Programme) เป็นองค์กรที่เกิดจากความร่วมมือของกระทรวงคมนาคมในสหภาพยุโรป สมาคมยานยนต์ และสมาคมประกันภัยในประเทศต่างๆ โดยมีหน้าที่ในการทดสอบการชน (Crash Test) และการประเมินความปลอดภัยของรถยนต์ที่ครอบคลุมในทุกมิติ

การได้รับรางวัลจาก Euro NCAP นับเป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในระดับสูงสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยผลการทดสอบในครั้งนี้ ยังตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการพัฒนานวัตกรรมช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save