- Advertisement -
32.4 C
Bangkok
Home Blog Page 30

มิตซูบิชิ ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้แก่ โรงพยาบาลพรเจริญ และ โรงพยาบาลสระใคร

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มุ่งสนับสนุนความเป็นกลางทางคาร์บอน ติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้แก่ โรงพยาบาลพรเจริญ และ โรงพยาบาลสระใคร ภายใต้โครงการ “Solar For Lives: พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า”

กรุงเทพฯ – 14 กุมภาพันธ์ 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้า โครงการ ‘Solar For Lives: พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้แก่โรงพยาบาลชุมชนเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่โรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ และโรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย ซึ่งช่วยให้จำนวนโรงพยาบาลชุมชนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้เพิ่มขึ้นเป็น 12 แห่ง รวมกำลังไฟฟ้าทั้งหมด 600 กิโลวัตต์ และช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 360 ตันต่อปี สอดคล้องกับเป้าหมายและความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้แก่โรงพยาบาลชุมชน 40 แห่งทั่วประเทศภายใน 10 ปี นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน

มร.ชิน คุโบะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารองค์กรและการเงิน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โครงการ ‘Solar For Lives: พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนในประเทศไทย การติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้กับโรงพยาบาลชุมชน จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน พร้อมยกระดับบริการด้านการแพทย์สำหรับชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ดีได้มากขึ้น เราคาดว่าจะลงทุนจำนวน 60 ล้านบาท ในการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชนจำนวน 40 แห่ง  ภายในระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับโรงพยาบาล ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกด้วย”

นายแพทย์ตฤณกฤต สิทธิศร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ กล่าวแสดงความขอบคุณว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Solar for Lives: พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์นี้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของเราได้อย่างมาก ทำให้เราสามารถจัดสรรทรัพยากรเพิ่มเติมเพื่อยกระดับบริการทางการแพทย์สำหรับชุมชนของเรา โครงการนี้ยังช่วยผลักดันเราสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมนำพลังงานสะอาดมาสู่ชุมชนท้องถิ่นของเรา”

นายแพทย์อลงกฏ ดอนละ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของพลังงานสะอาดในการพัฒนาบริการด้านการแพทย์ ระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์จะช่วยลดค่าไฟฟ้าของเราได้อย่างมาก ทำให้เราสามารถนำทรัพยากรไปลงทุนเพิ่มเติมในด้านการดูแลผู้ป่วยและโครงการด้านสุขภาพ การสนับสนุนจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความสามารถของโรงพยาบาลของเรา แต่ยังช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกด้วย”

โครงการ “Solar for Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” เป็นหนึ่งในแผนการดำเนินงานเพื่อสังคมของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” และหลักสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยได้ทำการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชนแล้วทั้งหมด 12 แห่ง ประกอบด้วย

1. โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

2. โรงพยาบาลพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย

3. โรงพยาบาลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง

4. โรงพยาบาลวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี

5. โรงพยาบาลปง จังหวัดพะเยา

6. โรงพยาบาลชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ

7. โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี

8. โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

9. โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี

10. โรงพยาบาลนายายอาม จังหวัดจันทบุรี        

11. โรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ

12. โรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย

ภาพข่าว (โรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ)

มร.ชิน คุโบะ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารองค์กรและการเงิน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้แก่ นายแพทย์ตฤณกฤต สิทธิศร (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในภาคสาธารณสุข และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยได้รับเกียรติจาก นายดนุเดช ใจศรี (ที่ 4 จากขวา) ปลัดอาวุโส อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ และ พันธมิตรร่วมโครงการ นายแพทย์ภมร ดรุณ (ที่ 4 จากซ้าย) นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ นางธิดาวรรณ แสวงการ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน-2 ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน และ นายสไกร คงธรรม (ซ้ายสุด) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม-1 ฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วยผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิในจังหวัดบึงกาฬ ดร.พงษ์ศักดิ์ สกุลคู (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร และ ดร.กิตติพงษ์ สกุลคู (ขวาสุด) กรรมการบริหาร บริษัท มิตซูเจียงหนองคาย จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยานการรับมอบ

ภาพข่าว (โรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย)

มร.ชิน คุโบะ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารองค์กรและการเงิน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้แก่ นายแพทย์อลงกฏ ดอนละ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในภาคสาธารณสุข และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยได้รับเกียรติจาก นายทวีป ไทยสวี (ที่ 4 จากขวา) นายอำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย และ พันธมิตรร่วมโครงการ นายแพทย์บรรจบ อุบลแสน (ที่ 4 จากซ้าย) รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย นางธิดาวรรณ แสวงการ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน-2  ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน และ นายสไกร คงธรรม (ซ้ายสุด) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม-1 ฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วยผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิในจังหวัดหนองคาย ดร.พงษ์ศักดิ์ สกุลคู (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร และ ดร.กิตติพงษ์ สกุลคู (ขวาสุด) กรรมการบริหาร บริษัท มิตซูเจียงหนองคาย จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยานการรับมอบ

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ปี 2568 เดินหน้าธุรกิจลักชัวรีรีเทลเต็มสูบ

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ปี 2568 เดินหน้าธุรกิจลักชัวรีรีเทลเต็มรูปแบบ พร้อมประเดิมเปิดตัว Mercedes-AMG กว่า 3 รุ่นในงาน Motor Show 2025

•เมอร์เซเดส-เบนซ์ กวาดยอดขายทั่วโลก 2,389,000 คัน ในปี 2567 โดยแบ่งเป็นรถยนต์นั่งจำนวน 1,983,400 คัน และรถแวน 405,600 คัน

•เปิดตัวรถยนต์รวมกว่า 25 รุ่น ในปี 2567 ชูความสำเร็จของ The new E-Class ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นถึง 65% พร้อมเสริมไลน์อัพรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในไทย

•เฉลิมฉลองการประกอบรถยนต์ในประเทศไทยครบ 200,000 คัน ในเดือนมกราคม 2567 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยยอดการผลิตสะสมสูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์ลักชัวรี

•เดินหน้าวิสัยทัศน์ “Brand at Heart, Performance in Mind” ในโอกาสครบรอบ 75 ปีแห่งความสำเร็จของรถยนต์นั่งจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ระดับโลกที่ครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่อนาคต

•ผลักดันตลาดอีวีด้วย “EV Worry-Free Package” ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า 100% ด้วยข้อเสนอพิเศษกับค่างวดเริ่มต้น 45,000 บาทต่อเดือน ในรุ่น EQE 350 4MATIC SUV Electric Art โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ก้อนแรกและก้อนสุดท้าย

•ต่อยอดโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” และเสริมศักยภาพในการแข่งขันในตลาดด้วยการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคา (Pricing Strategy) ที่สะท้อนให้เห็นถึงการคงมูลค่าในระยะยาวของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกรุ่น

•ครองตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ลักชัวรีที่มีเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนตัวแทนจำหน่ายกว่า 33 แห่ง และศูนย์บริการรวม 41 แห่ง

•ผสานแนวคิด MAR20X (Mercedes-Benz Retail Experience) เพื่อยกระดับขีดความสามารถของตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ

มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดรถยนต์ระดับลักชัวรี แต่เรายังคงสร้างผลลัพธ์ที่แข็งแกร่ง และเดินหน้าพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เราพร้อมก้าวเข้าสู่ปี 2568 ภายใต้วิสัยทัศน์ “Brand at Heart, Performance in Mind” ที่จะยกระดับการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ การขับเคลื่อนผลประกอบการทางธุรกิจ และการขยายไลน์อัพรถยนต์ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 100% ควบคู่ไปกับสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านกิจกรรมสุดพิเศษที่จะเข้าถึงไลฟ์สไตล์และยกระดับมอบประสบการณ์ของผู้บริโภคในทุกมิติ”

ในปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวยนตรกรรมใหม่กว่า 25 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่เซกเมนต์ Entry Luxury ไปจนถึงรถยนต์ระดับ Top-End Luxury โดยโมเดลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ The new E-Class ที่มีการเติบโตของยอดขายกว่า 65% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและสามารถคว้ารางวัล “Best Performer” ประจำปี 2567 จากสถาบัน Euro NCAP แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่สุดของยนตรกรรมที่มาพร้อมสมรรถนะและความปลอดภัยขั้นสูง

นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของผู้บุกเบิกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในตลาดลักชัวรี ด้วยการนำเสนอโมเดลใหม่อย่างต่อเนื่อง นำโดยรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นประกอบในประเทศอย่าง EQS 450 4MATIC SUV ที่เปิดตัวพร้อมกับ EQE 300 Sedan ต่อด้วย Mercedes-Maybach EQS 680 SUV และ G 580 with EQ Technology ในขณะที่รถสปอร์ต 2 ประตู รุ่นสมรรถนะสูงอย่าง Mercedes-AMG CLE 53 ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่มีกระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมด้วยการครองสัดส่วนยอดขายกว่า 30% จากยอดขายทั้งหมดของแบรนด์ Mercedes-AMG

โดยในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มกำลัง เริ่มต้นด้วยการต่อยอดความสำเร็จของโมเดลล่าสุดอย่าง The new E-Class, CLE Coupé, EQE 300 Sedan, EQS 450 4MATIC SUV และอีกหลากหลายรุ่นจากทุกเซกเมนต์ของแบรนด์ รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จาก Mercedes-AMG พร้อมกันถึง 3 รุ่น ในงาน Motor Show 2025 เพื่อสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี

สำหรับโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงสะท้อนความโดดเด่นในเรื่องของราคาจำหน่ายที่เท่าเทียมกันทั้งประเทศ ความโปร่งใสในขั้นตอนการซื้อรถ และการยกระดับประสบการณ์ในทุกมิติสำหรับลูกค้าทุกคน รวมถึงการนำแนวคิด MAR20X (Mercedes-Benz Retail Experience) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาและออกแบบศูนย์บริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มาปรับใช้ในประเทศไทย ครอบคลุมทั้งในด้านการยกระดับช่องทางการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Touchpoints) การพัฒนาบุคลากรและกระบวนการ (People & Process) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) และการออกแบบสถาปัตยกรรม (Architecture) โดยในปีที่ผ่านมา มีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ กว่า 50% ที่เริ่มดำเนินงานภายใต้แนวคิด MAR20X และในปีนี้จะขยายสู่ 60% จนไปถึงในปี 2570 ที่บริษัทฯ วางแผนที่จะขยายให้ครอบคลุมมากกว่า 90% ของจำนวนตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการทั้งหมดในประเทศไทย

นอกจากนี้ ในด้านของกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมีการจัดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เริ่มด้วยกิจกรรมที่จัดร่วมกับคอมมูนิตี้อย่างเป็นทางการอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ คลับ (ประเทศไทย) ในการรวมรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ คลาสสิก ในตำนานไว้มากกว่า 10 คัน มาขับขี่กันใน Road Trip สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องด้วยการจัดกิจกรรมทดสอบรถยนต์ประจำปีอย่าง Mercedes-Benz Driving Events และ SUV Driving Events รวมทั้งสิ้น 18 ครั้ง โดยมีทั้งการขับขี่ในบนถนนและบนสนามแข่ง (On Road/On Track) รวมถึงการกลับมาในรอบ 5 ปี ของ “MercedesTrophy” รายการการแข่งขันกอล์ฟ ที่มีนักกอล์ฟผู้ร่วมแข่งขันมากกว่า 1,000 คน จาก 7 รอบการแข่งขัน โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกคน

นายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับความสำเร็จในด้านการบริการลูกค้าในปี 2567 ที่ผ่านมา เรามีเครือข่ายศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมทั้งหมด 41 แห่ง และมีศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง (Certified Body & Paint Service Center) ที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาคกว่า 26 แห่ง ในส่วนของผลิตภัณฑ์ต่างๆ มียอดการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยแพ็กเกจ MBSP มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 12% พร้อมกับการเปิดตัวแพ็กเกจ MBSP Extra Guarantee Lite ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าเก่าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์จาก MBTires มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 84% และบริการ Digital Extras บนแพลตฟอร์ม Mercedes-Benz Store มียอดขายเพิ่มขึ้น 86%

นอกจากนี้ เรายังจัดแคมเปญต่างๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น แคมเปญ Welcome Back Stars สำหรับการคืนสิทธิการรับประกันคุณภาพเดิมของ High Voltage Battery จนถึงอายุรถปีที่ 10 และการร่วมมือกับแบรนด์มิชลิน ในแคมเปญ Mercedes-Benz & Michelin Sustainability in Motion เพื่อช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

ทางด้านฝ่ายบริการลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมพัฒนาและนำเสนอบริการหลังการขายแก่ลูกค้าในทุกมิติ โดยมีแผนที่จะเปิดตัว Service Select Loyalty Program สำหรับลูกค้าเก่าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อมอบประสบการณ์การดูแลรถยนต์ทั้งในด้านการบำรุงรักษาและข้อเสนอพิเศษสำหรับชิ้นส่วนอะไหล่ StarParts รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ด้านดิจทัลด้วยบริการ Digital Extras ที่จะมีแพ็คเกจเสริมอย่าง Entertainment Package Plus ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์วิดีโอสตรีมมิงและการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในรถยนต์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความบันเทิงให้กับผู้ใช้งาน อีกทั้งกิจกรรม Nationwide Service Clinics ที่จะจัดร่วมกับทีม Flying Doctor จากประเทศเยอรมนี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 เพื่อมอบการบริการและการดูแลรักษารถยนต์ที่เป็นมาตรฐานระดับโลก

“ทุกการลงทุนและความมุ่งมั่นของเรา ล้วนสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เรามองเห็นถึงโอกาสการเติบโตที่มั่นคง และศักยภาพอันแข็งแกร่งของตลาด เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเดินหน้าพัฒนารถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกการขับขี่และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี ผ่านการบริการและการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อสร้างแรงผลักดันให้กับธุรกิจรีเทลและภาพรวมอุตสาหกรรมให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” มร.มาร์ทิน ชเวงค์ กล่าวสรุป

มาสด้า ปักหมุดประเทศไทยทุ่มลงทุนกว่า 5,000 ล้าน สร้างฐานการผลิต xEVs

มาสด้า ปักหมุดประเทศไทยทุ่มลงทุนกว่า 5,000 ล้าน สร้างฐานการผลิต xEVs เตรียมผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี 100,000 คันต่อปี พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนด้วย Customer Centric ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางคู่ขนานไปกับการสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 – มาสด้าประกาศแนวทางการดำเนินธุรกิจครั้งประวัติศาสตร์ขึ้นในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ดีลเลอร์ และพันธมิตรทางธุรกิจ นำทัพโดย มร.มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วย นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญสุดในรอบทศวรรษ เพื่อเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อการก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน ภายใต้ธีม The Future, Crafted by the Joy of Driving ชูวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ล่าสุด เพื่อส่งมอบความสุขในการขับขี่ตามแนวทาง Multi-solution ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าควบคู่กับแผนเปิดตัวรถยนต์ใหม่ 5 รุ่น ภายใน 3 ปี เชื่อมั่นระบบเศรษฐกิจและศักยภาพของประเทศไทยประกาศทุ่มเงินลงทุนอีกกว่า 5,000 ล้านบาท ผลักดันโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตและพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ หรือ xEVs นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต โดยทำการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็ค เอสยูวี 100,000 คันต่อปี เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก

มร.มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์รอบด้านจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่มาสด้ายังคงยึดมั่นในแนวทางที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง นั่นคือ การพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง เพื่อมอบความสุขในการขับขี่และการใช้ชีวิตทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน เพราะมาสด้าเป็นแบรนด์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเมืองฮิโรชิมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ เราจึงต้องการมอบความสุข สร้างรอยยิ้มและช่วยยกระดับความเป็นอยู่ให้กับผู้คนในสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการดำเนินธุรกิจของเรา แม้ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของพลังงานไฟฟ้าก็ตาม

ภาพรวมมาสด้าทั่วโลกเพื่อก้าวสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า ด้วยแนวทาง Multi-solution และ Intentional Follower

ภาพรวมของมาสด้าทั่วโลก เป้าหมายของเราคือการนำเสนอรถยนต์ที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2573 รวมถึงรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้า มาสด้าคาดว่ายอดจำหน่ายของรถ BEVs อยู่ที่ประมาณ 25-40% ของยอดจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งมาสด้ากำลังเดินหน้าตามแนวทาง Multi-Solution Strategy เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ควบคู่กับการใช้แนวทาง Intentional Follower Approach โดยทำการศึกษาตลาดอย่างใกล้ชิดและรับฟังข้อคิดเห็นจากลูกค้า เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ดีที่สุด คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2573 มาสด้าจะมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อน 100% ของยอดจำหน่ายรวมทั้งหมด แต่ในระหว่างนี้ เรากำลังเดินหน้าตามแผนพัฒนา xEVs ประกอบด้วยแผนกลยุทธ์ 3 เฟส ประกอบด้วย เฟสที่ 1 เป็นการเตรียมความพร้อม เฟสที่ 2 การเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจาก HEV, PHEV และ BEV จนถึงเฟสที่ 3 เป็นการแนะนำรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ

มาสด้าพร้อมเดินหน้าส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ตามแนวทาง Multi-solution ซึ่งรวมถึง MHEVs, HEVs, PHEVs, BEVs, R-EVs และรถยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตรงกับความต้องการมากที่สุด เราเชื่อว่าแนวทางนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด

แผนกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในไทย

สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญอันดับต้น ๆ มาสด้าตระหนักถึงกระแสตอบรับที่ดีและความต้องการรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มาสด้าจึงเร่งแผนในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า โดยวางแผนในการแนะนำรถไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปตามกลยุทธ์ 3 เฟส เช่นเดียวกัน ซึ่งเฟส 2 จะเป็นการนำเสนอรถพลังงานไฟฟ้าในไทย โดยมาสด้าจะทำการเปิดตัวแนะนำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้ง BEV, PHEV, HEV ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570 โดยเริ่มจากการเปิดตัวแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6e ในปีนี้ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างมาสด้าและพาร์ทเนอร์ในประเทศจีน

สร้างไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า คอมแพ็คเอสยูวี ตั้งเป้าการผลิต 100,000 คันต่อปี

มร.มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงแผนธุรกิจว่า มาสด้าในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 70 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ มาสด้า เซลส์ และผู้จำหน่ายมาสด้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงงานผลิตรถยนต์ที่จังหวัดระยอง AutoAlliance (AAT) ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ทำการผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ที่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2558 ทั้งสองโรงงานนี้คือรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์มาสด้าและชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก วันนี้ มาสด้าได้เตรียมความพร้อมไปอีกขั้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญในการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า xEVs ด้วยการเพิ่มเงินลงทุนเป็นจำนวนกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี โดยมุ่งเน้นไปที่การประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ เกียร์ และแบตเตอรี่ พร้อมวางเป้ากำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี นี่คือจุดเริ่มต้นและก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ต่อการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับประเทศไทยเพื่อผลิตรถพลังงานไฟฟ้าของมาสด้าและเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ไม่เพียงเท่านี้ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่สุด รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย ควบคู่กับการพัฒนาทักษะช่างฝีมือประกอบรถยนต์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยจะเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับมาสด้าทั่วโลก และพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า xEVs ในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเกี่ยวกับทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจมาสด้าในประเทศไทยว่า สำหรับประเทศไทยนั้น มาสด้ามุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเดินหน้าสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันทั้งองค์กร ตามแนวทาง Management Policy ประกอบด้วย ผู้จำหน่าย พนักงาน และที่สำคัญสูงสุด คือ ลูกค้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer-Centric) สำหรับการเปลี่ยนแปลงของมาสด้าที่กำลังจะเกิดขึ้น แบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

กลยุทธ์ที่ 1 : การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย “ผู้คน”

•สร้างการเปลี่ยนแปลงองค์กร โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ Agile และ Insight-Driven คล่องตัว ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก ในปัจจุบัน กลุ่มมิลเลนเนียล หรือ Gen-Y มีประมาณ 70% ของพนักงานทั้งหมด กลุ่มคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มีการศึกษาสูง ปรับตัวได้ดี มีเป้าหมายชัดเจน มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราจะใช้จุดแข็งและพลังของกลุ่มมิลเลนเนียลผสานการทำงานร่วมกับ Gen-X และ Gen-Z เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า

•สนับสนุนการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ด้วยโปรแกรม “Career@Mazda” ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของพนักงานทั้งที่ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และผู้จำหน่าย เพื่อพัฒนาทักษะ และส่งเสริมการสร้างความผูกพันของพนักงานกับแบรนด์และเพื่อนร่วมงาน

•สร้างโปรแกรม “Mazda Signature Services” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อยู่บนพื้นฐานของการส่งมอบคุณค่าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า 3 ประการ ได้แก่ -“Radically Human,” การให้ความสำคัญกับมนุษย์ “Challenger Spirit,” สปิริตที่ไม่ย่อท้อ และ “Omotenashi” ให้การดูแลเช่นเดียวกับคนในครอบครัว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณค่าของแบรนด์จะถูกถ่ายทอดไปยังลูกค้าในทุกๆ touchpoint ของการบริการ

กลยุทธ์ที่ 2 : ยกระดับการบริการและการสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก

ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม VOF หรือ “Voice of Fans” เพื่อช่วยวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมนำความคิดเห็นมาจัดเก็บเป็นข้อมูล วิเคราะห์ และตอบกลับอย่างทันท่วงที ทั้งในช่องทาง Digital และผ่านพนักงาน เพื่อปรับปรุงการบริการและสร้างความพึงพอใจสูงสุด

นอกจากนี้ มาสด้ากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง รวมถึงคลังข้อมูลที่สามารถให้ข้อมูลลูกค้าอย่างครบถ้วน อาทิ การสร้างระบบ Data Warehouse และการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าแบบ SCV (Single Customer View) 360 องศา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ Social Listening เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ นำมาออกแบบ พัฒนา และปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่นำเสนอนั้นตรงกับความต้องการและความรู้สึกของลูกค้าอย่างแท้จริง

กลยุทธ์ที่ 3 : การสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ด้านออนไลน์ : มีการพัฒนาเว็บไซต์องค์กรใหม่ โดยเปลี่ยนให้เป็น Mazda NEXTperience Hub ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยี รวมถึงข่าวสารและการให้บริการต่างๆ ไม่ว่าลูกค้าต้องการลงทะเบียนจองคิวรถเพื่อทดลองขับ หรือนัดหมายเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ซึ่งจะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์เป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และไร้รอยต่อ

นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์ม “Mazda SkyJourney” ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานที่ผู้จำหน่ายมาสด้าทุกแห่งใช้ในการดำเนินงาน ระบบนี้ถูกการออกแบบมาเพื่อให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างแม่นยำและมีมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและสะดวกสบายในทุกขั้นตอน

ด้านออฟไลน์ : มีการนำ “Mazda BASICS” แนวทางใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจของผู้จำหน่าย โดยมีพื้นฐานมาจากปรัชญาและคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งเกิดจากแนวทางที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และสปิริตของ Omotenashi หรือปรัชญาด้านการบริการแบบญี่ปุ่น คุณค่าเหล่านี้จะถ่ายทอดผ่านการพัฒนาบุคลากร และการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของมาสด้าในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคต มาสด้ามีแนวทางในการดำเนินงานด้านอื่นๆ ดังต่อไปนี้

ด้านการปรับโครงสร้างและพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย

ปัจจุบัน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาสด้ามีผู้จำหน่ายทั้งหมด 19 โชว์รูม สามารถรองรับลูกค้าที่มาเข้ารับการบริการได้ถึง 250,000 รายต่อปี หรือมากกว่า 20,000 คันต่อปี ซึ่งเพียงพอกับลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในส่วนต่างจังหวัด มาสด้ากำลังเพิ่มศักยภาพของผู้จำหน่ายที่มีอยู่ทั้งหมด 65 แห่ง ให้พร้อมรองรับต่อความต้องการของลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการ ด้วยกลยุทธ์ PMA ใหม่ ที่กำหนดขอบเขตให้ผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูงมีพื้นที่ในการดูแลลูกค้าเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน สามารถรองรับปริมาณงานซ่อมได้สูงสุด 450,000 คันต่อปี หรือมากกว่า 37,000 คันต่อเดือน สำหรับภาพรวมทั่วประเทศ ปัจจุบันเรามีลูกค้า 250,000 คัน ที่อยู่ในระบบของเรา ซึ่งเครือข่ายผู้จำหน่ายของเราทั้งหมด 84 โชว์รูม สามารถส่งมอบการบริการที่ดีที่สุดได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เรายังนำ Mazda BASICS มาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้จำหน่ายสามารถส่งมอบงานด้านการขายและการบริการที่มีมาตรฐานสูงสุดได้

กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์

มาสด้าในประเทศไทยมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานถึง 70 ปี เรามีพันธกิจสำคัญคือการยกระดับประสบการณ์และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน เพราะเราเชื่อว่า “ความสุขในการขับขี่รถยนต์” นำมาซึ่ง “ความสุขในการใช้ชีวิต” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า เพราะความสุขไม่ได้หมายถึงแค่เพียงการมีรอยยิ้ม แต่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากภายใน คือความหมายและการเติมเต็มการใช้ชีวิต สะท้อนการสร้างคุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึก มีต้นกำเนิดจากความเข้าใจพื้นฐานของมนุษย์ และได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “Omotenashi” หรือปรัชญาแนวคิดการบริการแบบญี่ปุ่น

หลังจากนี้ มาสด้าจะผลักดันธุรกิจด้วยการนำเสนอปรัชญาใหม่ของแบรนด์ นั่นคือ “Joy Drives Lives” หรือ ความสุขที่ขับเคลื่อนชีวิต เพื่อนำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนประสบการณ์ลูกค้า และสร้าง Customer Journey รูปแบบใหม่ และพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกๆ ขั้นตอน รวมถึงการเริ่มต้นปรับรูปแบบธุรกิจในประเทศไทย (Business Transformation) โดยมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในทุกสิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาสด้าจะนำมาซึ่งคุณค่าและความสุขของการเป็นเจ้าของรถมาสด้า

กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในไทย

มาสด้ากำลังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ Multi-solution โดยจะทำการเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ ถึง 5 รุ่น ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570 เพื่อสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV 2 รุ่น รถ PHEV 1 รุ่น และรถ HEV 2 รุ่น โดยรุ่นแรกที่ลูกค้าได้สัมผัสในเร็วๆ นี้ คือ รถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda 6e

กลยุทธ์ด้านการผลิต

มาสด้ายังคงเดินหน้าผลักดันการผลิตที่โรงงานในประเทศไทย ทั้งที่โรงงาน AAT และ MPMT เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากโรงงานทั้งสองแห่ง และสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี ทั้งการจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก โดยโรงงานผลิตทั้งสองแห่งมีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก นี่คือรากฐานที่มั่นคงที่จะช่วยเสริมสร้างให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการผลิตรถ xEVs ในอนาคต

ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมาสด้าทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ที่ทางมาสด้าออกมาประกาศเดินหน้าเต็มขุมกำลัง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งสำคัญสุดของมาสด้าในการผลิตและส่งออก เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งพนักงาน ผู้จำหน่าย โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทย เพราะลูกค้าคือหัวใจสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจของมาสด้า ดังนั้น เราจึงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเราจะดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและมั่นคงกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและการใช้ชีวิต เพื่อให้แบรนด์มาสด้าเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงไปพร้อมๆ กับการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ” นายธีร์ กล่าว

“สื่อสากล” รับมอบโล่สนับสนุน “ร.ย.ส.ท.” ปี 2024

“สื่อสากล” รับมอบโล่สนับสนุน “ร.ย.ส.ท.” ปี 2024

นายพฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ นายกสมาคม และคณะกรรมการบริหาร ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬา มอบโล่ผู้สนับสนุนการแข่งขัน RAAT 2024 แก่ ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด เพื่อขอบคุณที่สนับสนุนการแข่งขันกีฬายานยนต์ ในงาน RAAT NIGHT OF CHAMPIONS 2024 ณ ESC PARK HOTEL เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568

วิริยะประกันภัย ร่วมสนับสนุนเดิน – วิ่งการกุศล เพื่อโรงพยาบาล

วิริยะประกันภัย ร่วมสนับสนุนเดิน – วิ่งการกุศล “ก้าวด้วยธรรม ครั้งที่ 8 เพื่อ 19 โรงพยาบาล”

พระครูปริตรโกศล (พีรเดช ฐิตเตโช) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รับถวายปัจจัยสมทบทุน จำนวน 50,000 บาท จาก บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมี นายภาคภูมิ วิริยะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้แทนถวาย ภายใต้กิจกรรมเดิน – วิ่งการกุศล “ก้าวด้วยธรรม ครั้งที่ 8 เพื่อ 19 โรงพยาบาล” ซึ่งจัดขึ้นโดย สำนักงานมูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อสมทบทุนการจัดสร้างอาคารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ และสนับสนุนทุนฉุกเฉิน สำหรับโรงพยาบาล 19 แห่ง เพื่อนำไปอุปถัมภ์ดูแลผู้ป่วยกรณีเร่งด่วน และผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในพื้นที่ห่างไกล โดยพิธีมอบจัดขึ้น ณ วัดบวรนิเวศวิหาร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนกิจกรรมเดิน – วิ่งการกุศล “ก้าวด้วยธรรม” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมสานต่อพระปนิธานแห่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ที่ทรงบำเพ็ญสาธารณสุขประโยชน์แก่ประชาชนผู้เผชิญโรคภัยไข้เจ็บมาอย่างยาวนาน โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนโรงพยาบาลที่ขาดแคลนและช่วยเหลือผู้ป่วยด้อยโอกาส ให้ได้รับบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว ไม่เพียงแต่สนับสนุนแนวคิดแห่งการแบ่งปันตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพกายและใจที่ดีให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมอีกด้วย

เกรท วอลล์ มอเตอร์ โชว์ความสำเร็จปี 2567 คว้า 14 รางวัลจากโลก

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตอกย้ำความสำเร็จแห่งปี 2567 คว้า 14 รางวัลคุณภาพทั่วโลก การันตีสมรรถนะการขับขี่เหนือระดับ คุ้มค่าทุกมิติ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก

กรุงเทพฯ 11 กุมภาพันธ์ 2568 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผู้นำตลาดรถยนต์ระดับโลก พร้อมยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน ล่าสุดประกาศความสำเร็จระดับโลกตลอดทั้งปี 2567 คว้า 14 รางวัลคุณภาพชั้นนำจากทั่วโลก การันตีถึงความสำเร็จของแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถยนต์กลุ่มเซกเมนต์เอสยูวีและกระบะพรีเมียม ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกมิติ ทั้งด้านสมรรถนะที่ทรงพลัง เหนือชั้น และมีประสิทธิภาพรวม 8 รางวัล และด้านความคุ้มค่าแบบรอบด้าน 4 รางวัล รวมถึงรางวัลที่สะท้อนด้านความปลอดภัยอีก 2 รางวัล ซึ่งทุกรางวัลได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญและสื่อชั้นนำในวงการยานยนต์ระดับโลก ซึ่งล้วนเป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความสำเร็จของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการพัฒนายานยนต์คุณภาพที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมล้ำหน้าที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างรอบด้าน สู่การมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในทุกการขับขี่

สมรรถนะเปี่ยมประสิทธิภาพและทรงพลังที่การันตีโดย 8 รางวัลแห่งความภาคภูมิจากกว่า 3 ทวีป

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้รับการยอมรับจากหลากหลายองค์กรและสื่อยานยนต์ชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะในด้านสมรรถนะที่โดดเด่นของรถยนต์แต่ละรุ่น ซึ่งสามารถคว้ารางวัลสำคัญ ได้แก่

•GWM HAVAL H6 คว้ารางวัล Best Hybrid 2024 จากนิตยสาร Autoesporte และ Best Hybrid of Top Car TV Premio ในประเทศบราซิล ซึ่งรางวัล Best Hybrid of Top Car TV Premio เป็นรางวัลด้านยานยนต์เพียงรางวัลเดียวในบราซิลที่รวบรวมนักข่าวจากโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต วิทยุ/พอตแคสต์ หนังสือพิมพ์ และสื่อสิ่งพิมพ์เข้าด้วยกัน ทั้ง 2 รางวัลนี้ยืนยันถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยีไฮบริดอัจฉริยะที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค

•GWM POER SAHAR กวาดถึง 4 รางวัล จากเวที NAMPO Cape exhibition ในเมือง Bredasdorp ประเทศแอฟริกาใต้ ได้แก่ 4×4 Winner 2024, Pickup Truck of the Year 2024, Towing Winner 2024 และ Category Winner 161KW+ สะท้อนถึงความแข็งแกร่ง สมรรถนะออฟโรดที่เหนือชั้น และความสามารถในการลากจูงที่โดดเด่น

•GWM ORA 07 LONG RANGE ได้รับรางวัล Best EV SEDAN จากเวที Thailand Car of The Year 2024 โดย Grandprix International ประเทศไทย ตอกย้ำถึงศักยภาพของรถยนต์ไฟฟ้าที่มอบระยะทางวิ่งที่เหนือกว่าพร้อมประสบการณ์การขับขี่ที่ล้ำสมัย

•GWM TANK 300 HEV ได้รับรางวัล BEST HYBRID 4×4 OFFROAD จากเวที Thailand Car of The Year 2024 โดย Grandprix International ประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านของ GWM TANK 300 HEV ในฐานะ รถออฟโรดไฮบริดที่มีทั้งพละกำลัง ประสิทธิภาพ และความล้ำสมัย พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ที่ต้องการ ความทนทาน ความสะดวกสบาย และเทคโนโลยีล้ำหน้า ในการเดินทางทั้งบนถนนและเส้นทางออฟโรดที่ท้าทาย

ความคุ้มค่าแบบรอบด้าน ที่ได้รับการยอมรับจาก 4 รางวัลสำคัญ

นอกจากสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมแล้ว เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังได้รับการยอมรับด้านความคุ้มค่าคุ้มราคาจากหลากหลายสื่อและองค์กรชั้นนำ ได้แก่

•GWM HAVAL H6 คว้า 2 รางวัลจากประเทศบราซิลอย่าง Award of Lowest Cost Ownership และ 2024 “Best Buy” Category by Quatro Rodas แสดงให้เห็นถึงความประหยัดทั้งในด้านการบำรุงรักษาและต้นทุนการใช้งานในระยะยาว สะท้อนความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพและราคา

•GWM ORA ได้รับรางวัล 2024 “Best Buy” Category by Quatro Rodas จากประเทศบราซิล ตอกย้ำถึงความคุ้มค่าในแง่ของคุณสมบัติ ฟังก์ชัน และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

•GWM POER SAHAR ได้รับรางวัล The Best Commercial HEV Award จากการประกาศรางวัล Thailand Car of The Year 2024 โดย Grandprix International ประเทศไทย ยืนยันถึงสมรรถนะ ความสะดวกสบาย และความสามารถในการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย

ความปลอดภัยระดับ 5 ดาวที่ได้รับการรับรองจากประเทศออสเตรเลีย

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะและความคุ้มค่า แต่ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยระดับสูงสุด โดยพัฒนารถยนต์ทุกคันให้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุดระดับโลก โดยในปี 2024 เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก Australasian New Car Assessment Program (ANCAP) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

•GWM POER SAHAR และ GWM TANK 500 ผ่านมาตรฐาน Five-star Certification in Australia จาก ANCAP ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่ง ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ รวมถึงฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเชิงป้องกันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ

นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบความปลอดภัยให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ไม่เพียงแต่ผ่านมาตรฐานในปัจจุบัน แต่ยังพัฒนาเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) และระบบความปลอดภัยเชิงแก้ไข (Passive Safety) ให้ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับการปกป้องสูงสุดในทุกเส้นทาง

นอกเหนือจากความสำเร็จในการคว้ารางวัลระดับโลก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังประกาศความสำเร็จด้านยอดขายทั่วโลกในปี 2567 ด้วยยอดขายสะสมทะลุ 14.9 ล้านคัน โดยเฉพาะในเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียว มียอดขายเติบโตสูงถึง 20.25% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตอกย้ำการเติบโตที่แข็งแกร่งและการขยายตลาดในระดับสากล ในกลุ่มรถยนต์เอสยูวี GWM HAVAL ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยยอดขายตลอดปีที่ 706,234 คัน และยอดขายสะสมทั่วโลกกว่า 9.46 ล้านคัน ขณะที่ GWM TANK รถยนต์ออฟโรดระดับพรีเมียมทำยอดขาย 231,001 คัน เพิ่มขึ้น 42.12% จากปีก่อน และ GWM WEY ในกลุ่มรถ MPV หรู มียอดขาย 54,728 คัน เพิ่มขึ้น 31.55% จากปีก่อน ความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนถึงความสามารถของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ และการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ชี้จุดเด่น TANK Series ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดมิติใหม่ยนตรกรรมสายลุย ชวนมาทำความรู้จักกับเอสยูวีออฟโรดพรีเมียมทั้ง 5 รุ่น ในตระกูล GWM TANK Series ตอบโจทย์ 5 ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง กับสุดยอดนวัตกรรมที่เปลี่ยนทุกอุปสรรคเป็นความสนุกในทุกเส้นทาง

กรุงเทพฯ 30 มกราคม 2568 – เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ผู้นำในตลาดรถยนต์ออฟโรดระดับโลก และยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน เปิดศักราชใหม่รับปีมะเส็ง พร้อมพ่นความสนุกในทุกการเดินทาง เพื่อตอบสนองทุกความต้องการ และทุกไลฟสไตล์สายลุยทั้ง 5 รูปแบบ ผ่านประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยนวัตกรรมที่ล้ำหน้าใน GWM TANK Series ได้แก่ GWM TANK 300 HEV, GWM TANK 330 HEV, GWM TANK 400 Hi4-T, GWM TANK 500 HEV และ GWM TANK 700 Hi4-T โดย GWM TANK Series ได้รับการพัฒนาให้มีเทคโนโลยีและฟีเจอร์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักผจญภัยที่ต้องการสมรรถนะสูงและความทนทานในทุกสภาพถนน เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การขับขี่ที่ท้าทาย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมอบความสะดวกสบาย เปลี่ยนทุกอุปสรรคให้เป็นความสนุกและง่ายดายในทุกเส้นทาง ตั้งแต่การขับขี่ในเมืองจนถึงการผจญภัยในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคแบบขั้นสุด GWM TANK Series ยังตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันด้วยนวัตกรรมที่ล้ำหน้าเพื่อประสบการณ์ขั้นสุดของความสะดวกสบายและปลอดภัย

GWM TANK Family: นวัตกรรมล้ำหน้า สร้างประสบการณ์ขับขี่ระดับใหม่สำหรับผู้บริโภคสายลุย

GWM TANK 300 HEV : ความท้าทายที่ไม่มีขีดจำกัด

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ออฟโรดในพื้นที่ที่ท้าทายและต้องการความคล่องตัวในทุกเส้นทาง GWM TANK 300 HEV คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ด้วยขนาดกะทัดรัดแต่ทรงพลัง ระบบขับเคลื่อน 4WD ทรงประสิทธิภาพทั้งด้านพละกำลัง สมรรถนะ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ให้กำลังสูงสุด 244 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 106 แรงม้า และแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตันเมตร ระบบเกียร์แบบ 9 สปีด (9HAT) ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลายของรถยนต์ไฮบริด มีโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 7 รูปแบบ พร้อมนวัตกรรมอันล้ำสมัยเพื่อการขับขี่ออฟโรดที่มีอยู่ในรถเอสยูวีระดับไฮเอนด์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ระบบล็อกเฟืองขับด้านหน้าและด้านหลัง ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Off-road หรือแม้แต่ระบบแสดงภาพใต้ท้องรถ ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่ทราบสภาพใต้ท้องรถและหน้ารถ รวมถึงระบบ 360-Degree Camera System ช่วยให้มองเห็นพื้นที่รอบคันเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ในพื้นที่แคบอย่างการหาที่จอดรถในเมือง เป็นต้น

GWM TANK 330 HEV : การขับขี่อันทรงพลังไปอีกขั้น

GWM TANK 330 HEV ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก GWM TANK 300 Frontier Limited Edition จากแนวคิดในการแบ่งปันประสบการณ์ความสนุกและความท้าทายร่วมกัน เหมาะกับการเดินทางที่ต้องการทั้งความสะดวกสบายและความสามารถในการขับขี่ในเส้นผจญภัย GWM TANK 330 HEV ขับเคลื่อนด้วยระบบ Mild Hybrid เครื่องยนต์ 3.0T V6 เทอร์โบชาร์จ มอบพละกำลังสูงสุด 355 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์เอสยูวีพรีเมียม ที่มีขนาดกว้างขวาง พร้อมเทคโนโลยีการขับขี่ที่ไม่ทิ้งการผจญภัยในเส้นทางออฟโรด ด้วยห้องโดยสารที่มีพื้นที่กว้างขวางและฟังก์ชันครบครัน ผสมผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยให้ขับขี่ในทุกสภาพถนนเป็นไปได้อย่างราบรื่น ด้วยระบบ 4WD และโหมดการขับขี่ เช่น Mud หรือ Sand ช่วยให้การขับขี่ผ่านเส้นทางโคลนหรือทรายเป็นไปได้อย่างราบรื่น ระบบ Infotainment ทำให้การเดินทางในระยะยาวมีความสะดวกสบาย พร้อมบรรยากาศที่เพลิดเพลินกันทั้งครอบครัวและกลุ่มเพื่อน GWM TANK 330 HEV ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมในประเทศจีน โดยได้รับยอดจองสูงถึง 1,000 คันภายในระยะเวลาเพียง 6 วินาทีหลังการประกาศแคมเปญ

GWM TANK 400 Hi4-T: สมรรถนะสูงสำหรับนักผจญภัยระดับโปร

เมื่อนักผจญภัยสายโปรจับคู่กับรถยนต์เอสยูวีพรีเมียมระดับโปร อุปสรรคที่เหลือก็ไม่ต้องกังวล เพราะ GWM TANK 400 Hi4-Tรุ่นที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์ออฟโรดที่มีสมรรถนะสูง การผสมผสานระหว่างพลังเครื่องยนต์ที่แข็งแกร่ง และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0T รุ่นใหม่ มอบพละกำลังที่มีทั้งความแรงและความต่อเนื่องให้กับรถยนต์ ผสมผสานกับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ตอบสนองความต้องการของนักผจญภัยทั้งด้านการขับขี่สู่การปีนป่ายได้อย่างมั่นคง โดยสามารถขับขี่ได้ในพื้นที่ลาดชันสูงถึง 57.24 องศา สามารถทำความเร็วต่ำสุดที่ 2.7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ GWM TANK 400 Hi4-T พร้อมสำหรับการเดินทางในเส้นทางที่ท้าทายที่สุด ด้วยระบบกันสะเทือนที่สามารถรับมือกับเส้นทางขรุขระ ในขณะเดียวกันยังคงความปลอดภัยและความสะดวกสบายในทุกเส้นทางที่ยากลำบากด้วยระบบ 4WD  Multi-Link Suspension และ Differential Lock ช่วยรับมือกับเส้นทางภูเขาที่มีหินและหลุมบ่อได้อย่างมั่นคง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีระบบ Night Vision และ 360-Degree Camera ช่วยให้การขับขี่ในพื้นที่มืดหรือไม่ชัดเจนจากในสภาวะที่แสงน้อยหรือกลางคืน ให้อุ่นใจยิ่งขึ้น ปลอดภัยและสะดวกสบาย

GWM TANK 500 HEV: การผสานกันที่ลงตัวระหว่างความหรูหราและสมรรถนะที่เหนือชั้น

GWM TANK 500 HEV ผสมผสานความหรูหราและสมรรถนะการขับขี่ออฟโรดที่ยอดเยี่ยมระดับสูง ด้วยการออกแบบภายในที่มีความพิถีพิถัน มาพร้อมความสะดวกสบาย และระบบขับขี่ที่แข็งแกร่งในทุกสภาพถนนและสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ตอบโจทย์การเดินทางไกลและการผจญภัยออฟโรด GWM TANK 500 HEV มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ความจุ 1.76 กิโลวัตต์ ให้กำลังเครื่องยนต์สูงสุด 244 แรงม้า พร้อมแรงบิดเครื่องยนต์สูงสุด 380 นิวตันเมตรและกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 106 แรงม้า พร้อมแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 268 นิวตันเมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 สปีด (9HAT) ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบการขับเคลื่อนที่หลากหลาย และโหมดการขับขี่ 11 รูปแบบ พร้อมระบบ 4WD ช่วยให้การขับขี่ทั้งในเส้นทางออฟโรดและทางหลวงเป็นไปได้อย่างมั่นคง และยังตอบโจทย์การขับขี่ในเมืองด้วยห้องโดยสารที่หรูหราและระบบช่วยเหลือการขับขี่ หรือ ADAS มากมาย ช่วยให้การขับขี่ในเมืองเต็มไปด้วยสุดยอดประสบการณ์ที่สะดวกสบายและปลอดภัยขั้นสุด

GWM TANK 700 Hi4-T: ที่สุดของพละกำลังและความสะดวกสบาย

รถเอสยูวีพรีเมียมตัวบนสุดของตระกูล GWM TANK Series ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการผจญภัยในทุกสภาพแวดล้อม ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า พร้อมมอบความหรูหรา ความปลอดภัย และความสะดวกสบายขั้นสุด เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่ออฟโรดที่ไม่เหมือนใคร ด้วยเครื่องยนต์ V8 4.0 Twin-Turbo ร่วมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 385 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร (850 นิวตันเมตร สำหรับรุ่น Limited Edition) และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาไม่ถึง 5 วินาที อีกทั้งยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกเส้นทางมากถึง 12 โหมด และสามารถลุยน้ำได้สูงสุดถึง 970 มิลลิเมตร พร้อม Electronic Air Suspension ช่วยให้การขับขี่ในทุกเส้นทางที่ท้าทายเป็นไปได้อย่างราบรื่น นุ่มนวล และปลอดภัย GWM TANK 700 Hi4-T มอบความเพลิดเพลินในการผจญภัยด้วยระบบเสียงจาก Harman Kardon ที่มาพร้อมลำโพง 16 ตัวที่สร้างความละเอียดเสียงระดับ Hi-Fi (High Fidelity) พร้อมระบบเก็บเสียงที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยการผนึกประตูข้างถึง 3 ชั้น และประตูด้านหลังถึง 2 ชั้น และกระจกที่ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกหนา 5 มิลลิเมตร ทำให้ห้องโดยสารเงียบแม้จะขับขี่ที่ความเร็วสูงถึง 199 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ตาม

ด้านความสำเร็จของ GWM TANK Series ตั้งแต่ที่การเปิดตัว GWM TANK 300 ในงานเฉิงตู ออโต้ โชว์ 2563 แบรนด์ GWM TANK ก็สามารถครอบครองตลาดได้อย่างรวดเร็วผ่านการเปิดตัว GWM TANK 400 Hi4-T,GWM TANK 500, GWM TANK 500 Hi4-T และ GWM TANK 700 Hi4-T สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยยอดขายทะลุ 1 แสนคัน ภายใน 14 เดือน ยอดขายทะลุ 2 แสนคัน ภายใน 24 เดือน ยอดขายทะลุ 3 แสนคัน ภายใน 33 เดือน และยอดขายสูงถึง 5 แสนคัน ภายใน 44 เดือนเท่านั้น โดยตั้งแต่ที่ GWM TANK 300 เปิดตัวมานั้นส่งผลให้สัดส่วนการครองตลาดรถยนต์ออฟโรดในประเทศจีนเพิ่มขึ้นจาก 47.4% เป็น 83.1% ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งใหญ่ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่สามารถกระตุ้นตลาดรถยนต์ออฟโรดของประเทศจีนได้สำเร็จ

นี่คือ GWM TANK Series ทั้ง 5 รุ่น ที่ล้วนได้รับการออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภคสายลุยทั้ง 5 สไตล์ ที่ไม่ว่าจะเป็นสายลุยแบบไหน GWM TANK Series พร้อมแล้วที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการของนักผจญภัย แต่ยังเต็มไปด้วยเทคโนโลยีปลอดภัยที่เหนือชั้น เริ่มสัมผัสประสบการณ์ใหม่พร้อมทดลองขับ GWM TANK Series ในรุ่น GWM TANK 300 HEV และ GWM TANK 500 HEV ได้แล้ววันนี้ที่ GWM พาร์ทเนอร์ สโตร์ ทุกสาขาทั่วประเทศ และเตรียมสัมผัสกับ GWM TANK 300 และ 500 ในรูปแบบเครื่องยนต์ดีเซลได้ภายในปี 2568 นี้ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านช่องทาง GWM Application หรือเว็บไซต์ https://www.gwm.co.th

ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่ บูสต์ความภูมิใจครั้งใหม่ สปอร์ตเร้าใจเกินห้าม

ALL NEW YAMAHA NMAX “THE MAX PRIDE BOOSTER” ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! บูสต์ความภูมิใจครั้งใหม่แบบสุดฟีลมันส์…เปลี่ยนโลก

ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่! เขย่าตลาดรถจักรยานยนต์เมืองไทย ด้วยการเปิดตัว All NEW YAMAHA NMAX “Premium Sport on Road” บูสต์โลกออโตเมติกสู่ความพรีเมียมใหม่ สปอร์ตเร้าใจเกินห้าม! มันส์…เปลี่ยนโลก The MAX Pride Booster มาพร้อมดีไซน์พรีเมียมสปอร์ตใหม่ที่ถูกปรับแต่งสู่ความสมบูรณ์แบบรอบคัน พร้อมเทคโนโลยีใหม่เหนือระดับ ครั้งแรก! ในสกู๊ตเตอร์คลาส 150 ที่วิวัฒนาการไปอีกขั้น เพื่อตอบสนองทุกความเร้าใจ ฟีเจอร์ล้ำสมัยให้ความสะดวกสบาย ที่จะพาคุณเปิดโลกใหม่ ภูมิใจไปกับความมีระดับ พร้อมประสบการณ์ในการขับขี่ที่สนุกเร้าใจยิ่งขึ้น และคุ้มค่ากว่าด้วยการรับประกันมากกว่า ถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

สำหรับ ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! บูสต์ความภูมิใจครั้งใหม่แบบสุดฟีล…มันส์เปลี่ยนโลก พร้อมเปลี่ยนโลกรถออโตเมติกครั้งใหม่! ด้วย…

NEW! MAX Series DESIGN วิวัฒนาการใหม่แห่งดีไซน์สไตล์ MAX ที่ได้รับการออกแบบใหม่ภายใต้ DNA ของ MAX Series ที่พัฒนาไปอีกขั้น ยกระดับความเป็น Premium Sport Scooter รอบคัน ปรับแต่งในทุกรายละเอียด ให้สปอร์ตดุดันด้วยเส้นสายเฉียบคม เพื่อตอบสนองความเท่แบบเร้าใจ

NEW! LED Projector Headlight ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ใหม่แบบยานยนต์ชั้นนำ ด้วยไฟหน้าแบบ LED Projector ทั้งไฟสูง-ต่ำ ทนทาน ให้แสงสว่างชัดเจน ไม่ฟุ้งกระจายรบกวนสายตาเพื่อนร่วมทาง เพิ่มทัศนะวิสัยในเวลากลางคืน บ่งบอกความมีระดับอย่างเป็นเอกลักษณ์

NEW! LED Taillight / Flasher Light ชุดไฟท้ายใหม่แบบ LED ทั้งหมด ให้ความสว่างกว่าหลอดธรรมดา ประหยัดพลังงาน และทนทานกว่า ดีไซน์สไตล์ MAX Series ที่พัฒนาจากรุ่นพี่อย่าง TMAX

NEW! Dual Digital Meters (TFT Infotainment & Negative LCD) หน้าจอเรือนไมล์ดิจิทัลแบบใหม่ 2 หน้าจอ ซึ่งสามารถควบคุมการใช้งาน ได้อย่างง่ายดายด้วยสวิตช์บนแฮนด์ด้านซ้าย *เฉพาะรุ่น TECH MAX

โดยหน้าจอสี TFT 4.2 นิ้ว ฟังก์ชันสุดล้ำแบบ INFOTAINMENT แสดงผลข้อมูลมากมาย เพิ่มความสะดวกสบายขณะขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น แสดงผล และแจ้งเตือนการทำงานของรถ โหมดการขับขี่ รอบเครื่องยนต์ และสถานะการทำงานของ YECVT, แสดงเบอร์โทรศัพท์สายเรียกเข้า พร้อมกดรับหรือวางสายได้, แสดงข้อความ SMS – Line – Messenger, แสดงมิวสิคเพลย์ลิสต์ Streaming และเพิ่ม-ลด เสียง รวมถึงเลือกเปลี่ยนเพลงได้, แสดงผลสภาพภูมิอากาศแบบ Realtime, แสดงสถานะการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

NEW! Garmin Navigation System *เฉพาะรุ่น TECH MAX

แสดงผลระบบนำทางบนหน้าจอเรือนไมล์โดยการเชื่อมต่อ กับแอปพลิเคชันGarmin StreetCross ค้นหาสถานที่ กำหนดปลายทาง และเลือกเส้นทางบนสมาร์ทโฟน ระบบนำทางจะแสดงบนหน้าจอแสดงผล TFT เพื่อรองรับการเดินทางของผู้ใช้โดยไม่มีค่าบริการ สามารถซูมแผนที่เส้นทางเข้าออก หรือปรับเปลี่ยนมุมมองได้โดยใช้สวิตช์บนแฮนด์ด้านซ้ายในการควบคุม

– แสดงแผนที่เส้นทาง

– ข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์

– แสดงเส้นทางเลี่ยงที่เป็นไปได้

– เวลาถึงที่หมายโดยประมาณ

– สภาพอากาศที่ปลายทาง

– แจ้งเตือนข้อมูลเส้นทางที่อาจไม่ปลอดภัย เช่น ทางโค้งหักศอก ทางจำกัดความเร็ว *เมื่อเชื่อมต่อ Y-Connect

NEW! Negative LCD Meter (รุ่น Standard)

เท่ไม่เหมือนใครด้วยหน้าจอดิจิทัล 3.2 นิ้ว ในรูปแบบ Negative LCD แสดงผลชัดเจนขณะขับขี่ดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ตเร้าใจแสดงผลครบครัน ไม่ว่าจะเป็นแสดงผลความเร็ว / ระยะทาง / ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง / เวลา พร้อมแสดงไอคอนการเชื่อมต่อ Y-Connect, แสดงไอคอนแจ้งเตือนสายเรียกเข้าหรือมีข้อความ, แสดงปริมาณแบตเตอรี่มือถือ, แสดงการทำงานรอบเครื่องยนต์, แสดงค่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Average หรือ Real Time และแจ้งเตือนเมื่อถึงรอบการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และสายพาน

NEW! Special TECH MAX Seat *เฉพาะรุ่น TECH MAX

เบาะนั่งดีไซน์พิถีพิถัน วัสดุ และลวดลายพิเศษ เพิ่มความพรีเมียมสปอร์ต กระชับ พร้อมความสบาย ช่วยลดอาการเมื่อยล้าขณะเดินทางทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อน

ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! มาพร้อมกับขุมพลัง BOOST TO THE MAX PERFORMANCE พร้อมตอบสนองผู้ขับขี่ได้อย่างเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ Blue Core 155 ซีซี 4 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VVA ให้อัตราเร่งดีเยี่ยม ช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองทุกแรงบิด ลดอาการรอรอบ ให้อัตราเร่งเต็มกำลัง ทั้งรอบต่ำ กลาง และสูง ตั้งแต่ออกตัว และเร่งแซง ระบายความร้อนด้วยน้ำควบคุมประสิทธิภาพของการเผาไหม้ให้สมบูรณ์ และจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมกับการจุดระเบิดอย่างแม่นยำ ลดการสูญเสียกำลังของเครื่องยนต์ ระบายความร้อน ของเครื่องยนต์ได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดี และประหยัดน้ำมันมากขึ้น

ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! บูสต์ความภูมิใจครั้งใหม่แบบสุดฟีล มันส์…เปลี่ยนโลก ให้ความเร้าใจมากยิ่งขึ้นด้วย…

NEW! ระบบขับเคลื่อน YECVT ระบบควบคุมชุดส่งกำลังอัตโนมัติด้วยระบบ Electronic สั่งงานผ่าน ECU ผู้ใช้งานสามารถเลือกโหมดการขับขี่เพื่อออกแบบการขับขี่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน มั่นใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น *ระบบ YECVT จะยกเลิกการทำงานอัตโนมัติ เมื่อความเร็ว ≤ 15 ก.ม./ชม. โปรดศึกษาการใช้งานเพิ่มเติมได้จากคู่มือการใช้งาน (เฉพาะรุ่น TECH MAX)

NEW! Riding Mode Selection ตอบรับทุกการขับขี่ ด้วยโหมดการขับขี่ปรับได้ 2 รูปแบบ ตามลักษณะการใช้งาน ทั้งในเมืองหรือขับขี่ทางไกล เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานตามความเหมาะสม *เฉพาะรุ่น TECH MAX

– T Mode (Town Mode) – ขับขี่ง่าย นุ่มนวล เหมาะกับใช้งานในเมือง ประหยัดน้ำมัน

– S Mode (Sport Mode) – อัตราเร่งดี เครื่องยนต์ทางานเต็มประสิทธิภาพ ขับขี่เร้าใจสไตล์สปอร์ต

NEW! Shift Down Function *เฉพาะรุ่น TECH MAX พร้อมเปลี่ยนโลกรถออโตเมติกครั้งใหม่! ด้วย  2 ฟังก์ชัน ได้แก่…

– ฟังก์ชันที่ 1 เพิ่มอัตราเร่ง เพื่อเร่งแซงได้ทันใจ เพียงแค่เปิดคันเร่งอย่างรวดเร็ว

– ฟังก์ชันที่ 2 เพิ่มทางเลือกในการควบคุม สมรรถนะด้วยตัวเอง แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ

1) เปิดคันเร่ง และกดปุ่ม Shift เพื่อเพิ่มอัตราเร่ง โดย ECU จะปรับอัตราทดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมในการเร่งแซง โดยสามารถเพิ่มได้ 3 ระดับ

2) ปิดคันเร่ง และกดปุ่ม Shift เพื่อสร้างแรงเบรกจากเครื่องยนต์ (Engine Brake) โดย ECU จะปรับอัตราทดของเครื่องยนต์ ทำให้เกิดแรงต้าน และความเร็วของรถจะลดลงเร็วกว่าการปิดคันเร่งเพียงอย่างเดียว โดยสามารถลดได้ 3 ระดับ

ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! ให้ฟิลลิงการขับขี่ที่เต็มเปี่ยมด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยมด้วย NEW! โช้คหน้า-หลัง ที่ได้รับการเซ็ตอัพใหม่ รองรับการขับขี่ที่สนุกมากยิ่งขึ้น ตอบสนองการขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังหยุดรถได้อย่างปลอดภัยด้วยระบบดิสก์เบรก ABS ทั้งล้อหน้า-หลัง มั่นใจได้มากกว่า ควบคุมแรงดันเบรกอัตโนมัติ ลดอาการล้อล็อกทั้งหน้า และหลัง กรณีเบรกกะทันหัน พร้อมระบบ Traction Control System (TCS) ช่วยลดอาการล้อลื่นไถล ปรับสมดุลการหมุนของล้อหน้า – หลังให้สัมพันธ์กัน หากล้อหลังเกิดอาการหมุนฟรี ระบบจะลดการส่งกำลังของเครื่องยนต์อัตโนมัติ ช่วยลดอาการลื่นไถลใน สภาพพื้นถนนผิดปกติ และระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Stop and Start System) ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเครื่องยนต์จะหยุดทำงาน เมื่อรถหยุดในการจราจรติดขัด ช่วยประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น

ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! ยังล้ำสมัยด้วย BOOST TO THE MAX SMART VALUE ระบบเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพิ่มความสามารถในการใช้งาน ด้วยการติดตั้งแอปพลิเคชัน Y-Connect ในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน CCU ของตัวรถ เพื่อให้สามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ได้มากมายบนสมาร์ทโฟน ดังนี้…

 1. METER INDICATOR – แจ้งเตือนเมื่อมีสายเรียกเข้า/ข้อความมือถือบนหน้าจอ

2. MAINTENANCE RECOMMEND – แจ้งเตือนการบำรุงรักษาเมื่อถึงรอบระยะ

3. MALFUNCTION NOTIFICATION – แจ้งเตือนเมื่อเครื่องยนต์เกิดปัญหา

4. FUEL CONSUMPTION – แสดงข้อมูลการอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

5. REVS DASHBOARD – แสดงมาตรวัดสมรรถนะขณะขับขี่

6. PARKING LOCATION – แสดงตำแหน่งจอดรถล่าสุด

7. RANKING – แสดงอันดับในการขับขี่

8. RIDING LOG – บันทึกประวัติการขับขี่

9. CONTACT FORM – ช่องทางการติดต่อยามาฮ่า

ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! ตอบโจทย์ความพรีเมียมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Smart Key System สะดวกในการใช้งาน ที่สามารถสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์, ปลดล็อกแฮนด์รถ / ปลดล็อกเบาะ / ปลด ล็อกหรือล็อกฝาถังน้ำมัน และเป็นสัญญาณตอบรับ ANSWER BACK รวมถึงยังให้กล่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 25 ลิตร เก็บสัมภาระได้มาก ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบหรือกระเป๋าเอกสารได้ และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ด้วย Front Luggage & Type C – Mobile Charging เก็บสะดวก ชาร์จมือถือสบาย ด้วยการอัพเกรดช่องชาร์จสมาร์ทโฟนเป็น USB-Type C เพื่อรองรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า 2 ด้านสำหรับเก็บอุปกรณ์หรือสิ่งของ

ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างเหมาะสม โดยมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นคือ รุ่น ALL NEW NMAX TECH MAX ที่มีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือ สีน้ำตาล-ดำ (Magma Black) และสีเทา-ดำ (Prestige Gray) พร้อมวางจำหน่ายในราคาแนะนำเริ่มต้น 113,500 บาท และรุ่น ALL NEW NMAX (Standard) ที่มีให้เลือกถึง 4 สี คือ สีแดง (Super Red), สีฟ้า (Pastel Blue), สีดำ (Vivid Black) และสีขาว (Glossy White) วางจำหน่ายในราคาแนะนำเริ่มต้น 98,500 บาท โดยทั้ง 2 รุ่นยังให้ความคุ้มค่ากว่าด้วยการรับประกันมากกว่า ถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

สำหรับผู้ที่สนใจ ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ ใหม่! บูสต์ความภูมิใจครั้งใหม่แบบสุดฟีล…มันส์เปลี่ยนโลก สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์   ยามาฮ่าทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263-9999 และสามารถติดตามความเคลื่อนไหว และข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่ Website: www.yamaha-motor.co.th

เจาะลึกสเปก NEW XMAX CONNECTED พรีเมียมสปอร์ต  ออโตเมติก

NEW XMAX CONNECTED…Follow the MAX MY PREMIUM SPORT, MY PRIDE…MY XMAX หนึ่งเดียวต้อง MAX

ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ “พรีเมียมสปอร์ต  ออโตเมติก” ด้วยการส่ง “NEW XMAX CONNECTED” โมเดลปี 2025 ที่มาพร้อมกับสีสันใหม่! ภายใต้คอนเซ็ปต์ MY PREMIUM SPORT, MY PRIDE …MY XMAX หนึ่งเดียวต้อง MAX…รุกตลาดรถจักรยานยนต์ออโตเมติกคลาส 300 แบบเต็ม MAX

NEW XMAX CONNECTED พรีเมียมสปอร์ตออโตเมติกที่สะท้อนความภาคภูมิใจ ดีไซน์สปอร์ตหรูอันโดดเด่น มีสไตล์เฉพาะตัวเป็นเอกลักษณ์ของ MAX Series ยกระดับด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนสุดล้ำ ด้วยจอสี TFT พร้อมเชื่อมต่อระบบนำทางจาก GARMIN เพิ่มความสะดวกสบายที่นำคุณไปได้ทุกเส้นทาง การันตีด้วยรางวัล Bike of the Year ขับขี่ได้อย่างเต็มสมรรถนะ และมั่นใจในประสิทธิภาพพร้อมรับประกันถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร*

NEW XMAX CONNECTED ยังคงมาพร้อมกับ MAXIMIZED THE PREMIUM, MAXIMUM SPORT ด้วยรูปลักษณ์สุดสปอร์ต “X” MOTIF FULL LED ไฟหน้า ไฟท้าย LED ดีไซน์เอกลักษณ์สไตล์ “X” ส่องสว่างอย่างมีสไตล์! ผสานความล้ำ และโฉบเฉี่ยวให้สมบูรณ์แบบในทุกมุมมองสไตล์ MAX Series ระบบไฟ LED เต็มรูปแบบทั้งหน้า-หลัง สัมผัสถึงความสปอร์ตในทุกการขับขี่ เพิ่มวิสัยทัศน์ในการเดินทางยามค่ำคืน, DUAL DISPLAYS : DIGITAL LCD & TFT INFOTAINMENT เรือนไมล์แบบใหม่ แสดงผล 2 หน้าจอ Digital LCD 3.2” พร้อมจอสี TFT 4.2” ซึ่งสามารถควบคุมการใช้งานได้อย่างง่ายดายด้วยสวิตช์บนแฮนด์ด้านซ้าย ที่สามารถแสดงข้อมูลรถ และการขับขี่, แสดงข้อมูล/รับสายโทรศัพท์ (เมื่อเชื่อมต่อกับ Headset), แสดงข้อความ Text Message (รวม SMS และ Email), แสดง / เล่นเพลงจากสมาร์ทโฟน และปรับระดับเสียง (เมื่อเชื่อมต่อกับ Headset), แสดงสภาพอากาศ / เวลา, เลือกภาษาที่แสดง, แสดงระบบนำทาง (เมื่อเปิดใช้แอป Garmin StreetCross)

นอกจากนี้ NEW XMAX CONNECTED ยังสามารถเชื่อมต่อขั้นสูงกับโลกแห่งข้อมูลอันล้ำสมัย CONNECTIVITY การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพียงติดตั้งแอปพลิเคชั่น Y-Connect ในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ CCU ของตัวรถผ่าน Bluetooth พร้อมทั้งเปิด Location โดยสามารถตรวจสอบสถานะได้บนจอแสดงผล TFT ผ่านฟังก์ชันที่หลากหลายให้ใช้งาน เพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของคุณ  เมื่อเชื่อมต่อกับ Y-Connect Application แอปพลิเคชันหลากหลายฟังก์ชันที่ทำให้เชื่อมต่อกับรถได้อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยการแจ้งเตือนดังนี้

1. SMARTPHONE NOTIFICATIONS ON METER – แจ้งเตือนข้อมูลจากสมาร์ทโฟน

2. MAINTENANCE RECOMMENDATIONS – แจ้งเตือนการบำรุงรักษา

3. MALFUNCTION NOTIFICATION –แจ้งเตือนเมื่อเครื่องยนต์เกิดปัญหา

4. FUEL CONSUMPTION แสดงข้อมูลการอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

5. REVS DASHBOARD – แสดงมาตรวัดสมรรถนะขณะขับขี่

 6. LAST PARKING LOCATION – แสดงตำแหน่งจอดรถล่าสุด

7. RANKING – แสดงอันดับในการขับขี่

8. RIDING LOG –บันทึกประวัติการขับขี่

9. WEATHER – แสดงสถานะภูมิอากาศ

10. MUSIC – แสดงรายละเอียดและควบคุมการฟังเพลง

11. CONTACT FORM – ช่องทางการติดต่อยามาฮ่า

NEW XMAX CONNECTED ยังเหนือชั้นด้วย GARMIN NAVIGATION SYSTEM ระบบนำทางจาก GARMIN มุ่งสู่จุดหมายอย่างมั่นใจทุกเส้นทาง ด้วยการเชื่อมต่อ Y-Connect และแอปพลิเคชัน Garmin StreetCross เพื่อค้นหาสถานที่และกำหนดปลายทาง ระบบนำทางจะแสดงผลบนหน้าจอ TFT สามารถซูมแผนที่และปรับเปลี่ยนมุมมองได้ง่ายด้วยสวิตช์ที่แฮนด์ซ้ายอย่างราบรื่น ช่วยให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างมั่นใจไร้กังวล ซึ่งสามารถดูข้อมูลต่างๆ ได้ดังนี้

– แสดงแผนที่เส้นทาง

– ข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์

– แสดงเส้นทางเลี่ยงที่เป็นไปได้

– เวลาถึงที่หมายโดยประมาณ

– สภาพอากาศที่ปลายทาง

– แจ้งเตือนข้อมูลเส้นทางที่อาจไม่ปลอดภัย เช่น ทางโค้งหักศอก ทางจำกัดความเร็วและทางที่วิ่งผ่านสถานศึกษา

โดย NEW XMAX CONNECTED ยังมาพร้อมกับ SMART KEY SYSTEM กุญแจรีโมทอัจฉริยะหรูล้ำ ที่สามารถเปิด-ปิดรถได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องการค้นหากุญแจ ด้วยเทคโนโลยีกุญแจรีโมทที่ทันสมัย มั่นใจได้ในความปลอดภัย และความสะดวกในการใช้งาน

 สำหรับ NEW XMAX CONNECTED ยังมาพร้อมสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ด้วยขุมพลัง BLUE CORE เครื่องยนต์หัวฉีด 300 ซีซี ระบบเกียร์อัตโนมัติ มาตรฐาน EURO5 ที่ให้ความแรง และความประหยัดน้ำมันในเวลาเดียวกัน เพลิดเพลินกับการขับขี่ที่เต็มไปด้วยพลัง และประสิทธิภาพ, TRACTION CONTROL SYSTEM ระบบช่วยลดอาการล้อหมุนฟรี เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ ไม่ว่าสภาพถนนแบบไหน จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทาง ช่วยลดอาการล้อหมุนฟรีและรักษาสมดุลให้กับรถ, ABS DUAL CHANNEL SYSTEM ระบบเบรก ABS ทั้ง 2 ล้อ ความรู้สึกมั่นใจที่ควบคุมได้ ด้วยระบบเบรก ABS ที่ควบคุมแรงดันเบรกอัตโนมัติทั้งหน้า-หลัง ช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกการขับขี่ ลดอาการเกิดล้อล็อก, SEAT & UNDERSEAT STORAGE SHAPEเบาะนั่งและที่เก็บของดีไซน์ปราดเปรียว ขึ้น-ลงง่าย ควบคุมรถได้คล่องตัวมากขึ้น ที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่สามารถเก็บหมวกกันน็อกเต็มใบได้ 2 ใบ, LIGHTWEIGHT FRAME & SPORT FRONT FORK เฟรมแข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบา ผนวกกับโช้คหน้าเทเลสโคปิคแบบรถสปอร์ต ขนาด 33 ม.ม. ทำให้มั่นคงทุกการควบคุม เฉียบคมทุกการเข้าโค้ง เพิ่มความมั่นใจและตอบสนองการขับขี่ได้ดีเป็นพิเศษ และ NEW! USB-C MOBILE CHARGING เก็บสะดวก ชาร์จมือถือสบาย ด้วยการอัพเกรดช่องชาร์จสมาร์ทโฟนเป็น USB-C รองรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า 2 ด้านสำหรับเก็บอุปกรณ์หรือสิ่งของได้

สำหรับ NEW XMAX CONNECTED มาพร้อมกับไลน์อัพสีใหม่! 5 สี คือ สีแดง (Hyper Red), สีเทา (Smoky Gray), สีเทา-ดำ (Shadow Gray) สีดำ (Midnight Black) และ สีเทา (Silver Gray) พร้อมวางจำหน่ายในราคาแนะนำเริ่มต้นที่ 176,100 บาท…พร้อมตอกย้ำคุณภาพด้วยการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263-9999 และสามารถติดตามความเคลื่อนไหว และข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่ Website :  www.yamaha-motor.co.th

มิตซูบิชิ โรงงาน 3 รับรางวัล ธงขาวดาวเขียว ประจำปี 2567

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โรงงาน 3 รับรางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว ประจำปี 2567 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

บรรยายภาพ : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายธีรุตม์ บุตรเลิศเจริญ (ซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายกลยุทธ์สิ่งแวดล้อม บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด รับรางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว ประจำปี 2567 จาก นายธีรวุฒิ เจริญสุข รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ 2) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในพิธีมอบธงธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประจำปี 2567

กรุงเทพฯ – 10 กุมภาพันธ์ 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด โรงงาน 3 รับรางวัลใบประกาศเกียรติคุณธงขาวดาวเขียว ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประจำปี 2567 จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อเป็นการยกย่องความเป็นเลิศในการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การตรวจประเมินทั้งหมด 5 มิติ ได้แก่ มิติกายภาพ มิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติการบริหารจัดการ โดยโรงงาน 3 ได้รับรางวัลนี้ต่อจากโรงงาน 1 และ 2 ที่ได้รับรางวัลเดียวกันในปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่มุ่งมั่นจะเติบโตอย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่น พร้อมเติบโตควบคู่ไปกับสังคมไทย

สำหรับรางวัลธงขาว-ดาวเขียว มุ่งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและกำกับดูแลโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม พร้อมส่งเสริมให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมนำหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคมมาใช้ในการดำเนินงาน พร้อมทั้งสร้างการยอมรับและความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการโรงงาน ทำให้เกิดการบริหารจัดการที่มีมาตรฐานและความโปร่งใส อีกทั้งยังสนับสนุนให้อุตสาหกรรมและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้และเติบโตอย่างยั่งยืน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โรงงาน 3 ได้รับการยอมรับในด้านความเป็นเลิศตามหลักเกณฑ์การตรวจประเมินครบทั้ง 5 มิติ เริ่มจาก มิติกายภาพ แสดงถึงความเป็นเลิศในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางกายภาพทั้งองค์รวม ซึ่งรวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกัน มิติเศรษฐกิจ โรงงาน 3 ได้รับการยกย่องจากการดำเนินโครงการนักศึกษาฝึกงาน MMTh Talent Internship Program ที่มอบโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติจริงในโรงงานที่ทันสมัย พร้อมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจชุมชน โดยอนุญาตให้ร้านค้าชุมชนเข้ามาค้าขายสินค้าในพื้นที่ที่โรงงานจัดเตรียมไว้ให้เพื่อส่งเสริมการสร้างอาชีพ

ภายใต้ มิติสิ่งแวดล้อม โรงงาน 3 ผ่านการรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 4 (วัฒนธรรมสีเขียว) จากกระทรวงอุตสาหกรรม และการรับรองธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จากการนิคมอุตสาหกรรม ทั้งยังมีระบบและผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษที่เป็นไปตามกฎหมายกำหนด พร้อมด้วยระบบการจัดการน้ำเสียที่มีการหมุนเวียนน้ำในระบบพ่นสี และมีการควบคุมคุณภาพตลอดเวลา ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมที่ไม่มีการนำกากอุตสาหกรรมไปกำจัดด้วยวิธีฝังกลบ (Zero Landfill) และมีการรณรงค์ส่งเสริมการแยกขยะในองค์กร โดยมีการเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้สีฐานน้ำ (Water-Based Paint) ในกระบวนการพ่นสีทั้งยังติดตั้งระบบบำบัดมลพิษอากาศชนิด Regenerative Thermal Oxidizer เพื่อกำจัดสารอินทรีย์ระเหย (VOCs) ก่อนปล่อยอากาศสู่สิ่งแวดล้อม มีการตรวจวัดค่ามลพิษและควบคุมไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้านการอนุรักษ์พลังงาน โรงงาน 3 มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานที่มีกำลังการผลิต 7.6 เมกะวัตต์ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 6,200 ตันต่อปี การติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง LED และจัดทำโครงการและนวัตกรรมอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อประหยัดพลังงานซึ่งจะช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ความมุ่งมั่นในด้านสิ่งแวดล้อม ยังรวมถึงนโยบายจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement Policy)  โดยจัดซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น และปราศจากส่วนประกอบที่เป็นโลหะหนักอันตราย รวมไปถึงโครงการรากกล้าแห่งความยั่งยืน (Root for Sustainability) เพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปูทางสู่แนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในประเทศไทย

ภายใต้ มิติด้านสังคม โรงงาน 3 ได้รับการยกย่องในด้านโครงการให้ความรู้เรื่องการแยกขยะและการรีไซเคิล รวมถึงโครงการภายในองค์กรต่างๆ เช่น โครงการมอบทุนการศึกษาให้เยาวชนที่เรียนดี มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมด้านการศึกษาในสังคมไทย โดยมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนปีละ 100 ทุน โครงการมอบระบบไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่สร้างพลังงานมากกว่า 50 กิโลวัตต์ ให้แก่โรงพยาบาลชุมชน 40 แห่ง ภายในระยะเวลา 10 ปี โครงการวิ่งการกุศลเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ในจังหวัดชลบุรี โครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการอย่างต่อเนื่องร่วมกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม และการได้รับการรับรองมาตรฐานโรงงานสีขาวจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสำหรับการส่งเสริมกิจกรรมต่อต้านยาเสพติด เป็นต้น

ด้าน มิติการบริหารจัดการ โรงงาน 3 ได้ใบรับรองมาตรฐาน ISO 9001, ISO 14001 และ ISO 45001 จากทียูวี (TÜV) พร้อมด้วยใบรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 4 และการดำเนินนโยบายจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว

รางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ริเริ่มโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดในปี 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีความปลอดภัย มุ่งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและกำกับดูแลโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อการประกอบการของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม สำหรับโรงงานที่ได้รับธงธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2567 แบ่งเป็นโรงงานที่ได้รับรางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวเขียว จำนวน 177 โรงงาน และโรงงานที่ได้รับรางวัลใบประกาศเกียรติคุณ ธงขาวดาวทอง จำนวน 51 โรงงาน เพื่อยกย่องความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save