- Advertisement -
32.4 C
Bangkok
Home Blog Page 29

เอ็มจี เผยโมเดลไลน์อัพใหม่ “NEW MG IM6” ที่พร้อมบุกตลาดไทย

เอ็มจี เผยเรื่องราว โมเดลไลน์อัพใหม่ในกลุ่มพรีเมี่ยมอีวีกับ “NEW MG IM6” ที่พร้อมบุกตลาดไทย ในเดือนมีนาคมนี้

กรุงเทพฯ – 21 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยหนึ่งในโมเดลเรือธงจากเครือ SAIC MOTOR CORPORATION อย่าง IM6 ที่พร้อมเข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการยานยนต์ไทย หลังจากปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งล่าสุดกับเวอร์ชันพวงมาลัยขวาครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยในงาน Motor Expo 2024 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ล่าสุด IM6 พร้อมแล้วที่จะขยายตลาดสู่ระดับสากล โดยประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นประเทศแรกต่อจากประเทศจีนที่เปิดตัวรุ่นนี้ภายใต้ชื่อ “NEW MG IM6″ ซึ่งเป็น e-SUV อัจฉริยะที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ

เอ็มจี เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการยานยนต์ไทย โดยเตรียมนำ NEW MG IM6 ซึ่งเป็นยนตรกรรมไฟฟ้าระดับพรีเมียมในเครือ SAIC MOTOR CORPORATION ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีนเข้าสู่ตลาดยานยนต์ไทย โดย IM6 เป็นผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ด้วยการผสานนวัตกรรมขั้นสูงเข้ากับงานออกแบบที่เหนือระดับ โดย IM6 ยังชูจุดเด่นในการเป็นยนตรกรรมอีวีระดับพรีเมียมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความหรูหรา เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ล้ำสมัยสำหรับผู้ใช้งาน

ความเชื่อมโยงระหว่าง เอ็มจี และ IM6

IM6 ถือเป็นยานยนต์ที่เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ร่วมกันของบริษัทยักษ์ใหญ่ 3 ราย ได้แก่ SAIC MOTOR CORPORATION ผู้ถือหุ้นใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เอ็มจี, Zhangjiang Hi-Tech และ Alibaba Group การผนึกกำลังครั้งนี้รวมความเชี่ยวชาญจากหลากหลายด้าน ทั้งประสบการณ์การผลิตรถยนต์อันยาวนานของ SAIC MOTOR CORPORATION เทคโนโลยีขั้นสูงจาก Zhangjiang Hi-Tech และความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลของ Alibaba Group นับเป็นก้าวใหม่สู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยสองปัจจัยหลัก คือ ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (Electrification) และเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Intelligent Technologies) ด้วยเหตุนี้ IM6 จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้แนวคิด “Intelligence in Motion” โดยมุ่งมั่นที่จะไม่เพียงสร้างสรรค์ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าปฏิวัติประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย โดยวางรากฐานการพัฒนาบนเสาหลัก 3 ประการ ได้แก่

Intelligent Driving Experience – เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้เหนือชั้น ด้วยการผสานระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติขั้นสูงเข้ากับระบบช่วงล่างดิจิทัลที่สามารถปรับตัวได้ตามสภาพถนน ทำให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหมือนกำลังควบคุมรถสมรรถนะสูง ไม่ว่าจะขับขี่ในเส้นทางใดก็มั่นใจได้ในสมรรถนะและความปลอดภัย

Futuristic Safety Technology – เทคโนโลยีที่ได้รับการออกแบบให้ฉลาดล้ำยุค ด้วยระบบ AI ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้ขับขี่ พร้อมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์รอบคัน เพื่อคาดการณ์และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน

Advanced Electrification – นำเสนอนวัตกรรมขั้นสูงด้านพลังงานไฟฟ้า เริ่มจากแพลตฟอร์มไฟฟ้า 800V ที่ชาร์จได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์พลังสูงที่ให้อัตราเร่งระดับซูเปอร์คาร์ พร้อมแบตเตอรี่รุ่นใหม่ และระบบระบายอากาศรุ่นล่าสุดที่มีความปลอดภัยสูงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ ผู้ขับขี่มั่นใจได้ในทุกการเดินทาง

นอกจากดีไซน์รถยนต์ที่ล้ำสมัยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอัจฉริยะแล้วนั้น IM6 ยังสะท้อนความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผ่านโลโก้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หน้ารถ โดยนำตัวอักษร “IM” มาเปลี่ยนเป็นเลขฐานสอง (Binary Code) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล สะท้อนปรัชญาการออกแบบได้อย่างลงตัว

นอกจากยนตรกรรมที่เป็นที่น่าจับตามองแล้ว IM6 ยังสามารถคว้ารางวัลมากมายในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็น รางวัล Red Dot Design Award ปี 2021 และ 2024 ประเทศเยอรมนี จากระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ  IM OS  สาขา Brand & Communication Design และ รางวัล Product Design Award จาก IM6 ตามลำดับ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นเลิศในศาสตร์แห่งการออกแบบ สะท้อนความหรูหรา และตอกย้ำความมั่นใจในระบบความปลอดภัย ด้วยการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก C-NCAP (China-New Car Assessment Programme) อีกด้วย

ความสำเร็จของ IM6 ที่เดบิ้วต์ในตลาดจีน

IM6 ปรากฏตัวครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show 2024 โดยเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์อัจฉริยะที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวเมืองด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ภายนอกโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ผสานความสง่างามและทรงพลัง โดยได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์  จากทั่วทุกมุมโลก พิสูจน์ได้จากยอดจองที่พุ่งสูงทะลุ 6,000 คันในช่วงเวลาเพียง 12 ชั่วโมงแรกของการเปิดจอง นับเป็นความสำเร็จที่เกินความคาดหมาย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2024 ยอดขายสะสมได้พุ่งทะยานขึ้นไปถึง 61,450 คัน ครองสัดส่วนถึง 57 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมดของแบรนด์ ตัวเลขความสำเร็จอันน่าประทับใจนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างสูงของผู้บริโภคที่มีต่อรถ e-SUV ไฟฟ้าขนาดกลางถึงใหญ่รุ่นนี้เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจุดเด่นสำคัญหลายประการที่ได้รับการกล่าวถึงของยนตรกรรมรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบที่ผสานความหรูหราและความทันสมัย ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือระดับ ระบบขับขี่อัจฉริยะที่ใช้งานง่าย และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญนั่นคือ ระยะเวลาการชาร์จไฟที่รองรับการชาร์จไฟแบบ DC สูงสุดถึง 396 kW

เตรียมพร้อมบุกตลาดไทยด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยภายใต้ชื่อ “NEW MG IM6”

ในฐานะที่ เอ็มจี เป็นผู้บุกเบิกในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เอ็มจี จึงตัดสินใจนำยนตรกรรมรุ่นเรือธง IM6 เข้ามาทำเปิดตลาดในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “NEW MG IM6” เพื่อยกระดับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมในประเทศไทยเทียบชั้นอุตสาหกรรมยานยนต์โลก

การเปิดตัว NEW MG IM6 อย่างเป็นทางการในประเทศไทยจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ และเอ็มจี พร้อมจะยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของผู้บริโภคชาวไทยให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยระดับโลกพร้อมตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างครบครัน

อาวดี้ ส่ง RS 3 Sportback ตัวแรง ชูความแตกต่างไม่เหมือนใคร

อาวดี้ส่ง RS 3 Sportback ตัวแรง คอมแพกต์คาร์สมรรถนะสูงจาก Audi Sport แรงเต็มขั้น 400 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 5.699 ล้านบาท

อาวดี้ ประเทศไทย เดินหน้ารุกตลาดรถยนต์พรีเมียมอย่างต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์ด้วยยนตรกรรมคุณภาพนำเข้า มาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น พร้อมวัสดุระดับพรีเมียมในทุกจุด กับราคาที่สมเหตุสมผล ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทั้งเครื่องยนต์สันดาป รถยนต์ไฟฟ้า 100% รถ PHEV รวมไปถึงรถสมรรถนะสูงตระกูล RS ที่เปิดตัวมาแล้วทั้งหมด 11 รุ่น และเพื่อเอาใจแฟนๆ อาวดี้ที่หลงใหลในสมรรถนะของรถ High Performance สุดยอดเทคโนโลยีระดับสนามแข่งจาก Audi Sport อาวดี้จ่อเปิดตัว RS 3 Sportback คอมแพกต์คาร์สมรรถนะสูง ดีไซน์โดดเด่นลงตัวกับการใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะบนท้องถนนหรือลงสนามแข่ง มอบประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจ เปิดตัวในราคา 5.699 ล้านบาท

สุดยอดขุมพลังจากสนามแข่ง

RS 3 Sportback ถือได้ว่ามีสมรรถนะโดดเด่นที่สุดในกลุ่มคอมแพกต์คาร์สมรรถนะสูงของ Audi Sport ถ่ายทอดสมรรถนะความแรงจากสนามแข่งสู่ท้องถนน เครื่องยนต์เบนซิน 5 สูบ 2.5 ลิตร ในตำนาน ด้วยลำดับจุดระเบิดแบบ 1-2-4-5-3 ที่สร้างชื่อเสียงในวงการ Motor Sport มายาวนานจนได้รับรางวัล International Engine of the Year Award กว่า 9 ปีซ้อน ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 5 สูบ แถวเรียงพร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรงเทอร์โบชาร์จ พละกำลัง 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่สามารถปรับเปลี่ยนกำลังได้อย่างชาญฉลาดทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า หรือปรับเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อตามสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม มอบทั้งความสปอร์ต ความปลอดภัย และความประหยัดในเวลาเดียวกัน พร้อมช่วงล่างแบบ RS Sport และท่อไอเสีย RS Sport อันเป็นเอกลักษณ์ที่ส่งเสียงดังกระหึ่มสุดเร้าใจ สามารถเปิด-ปิดได้เพื่อให้เสียงท่อเงียบลงในเขตชุมชนหรือเปิดให้เสียงดังขึ้นเพื่อเพิ่มอรรถรสในการขับขี่

RS Torque Splitter

เพิ่มความมั่นใจอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำกับระบบ RS Torque Splitter หนึ่งเดียวเฉพาะ RS 3 Sportback เท่านั้น ออกแบบมาเพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ โดยทำหน้าที่กระจายแรงบิดไปยังล้อหลังแต่ละข้างอย่างอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนและความเสถียรของรถ โดยเฉพาะในขณะขับขี่แบบสปอร์ต นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มความสนุกในการขับขี่ในสถานที่ปิดหรือสนามแข่งได้ด้วยระบบ RS Torque Rear ที่สามารถส่งแรงบิดไปยังล้อหลังหนึ่งข้างด้วยกำลังสูงสุดถึง 1,750 นิวตันเมตร ซึ่งจะทำให้รถยนต์สามารถดริฟท์ให้ท้ายปัดได้ ระบบ Torque Splitter เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทำให้ RS 3 Sportback ทั้งแรง ทั้งเฉียบคมและควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดีไซน์ภายนอก

RS 3 Sportback คอมแพกต์คาร์สมรรถนะสูงทรง Hatchback 5 ประตู ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ปลุก DNA ความเป็น Audi Sport ด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ Glossy Black พร้อมตกแต่ง Audi Ring และชื่อรุ่นด้วยสี Glossy Black เสริมความมีสไตล์ด้วย Audi Lettering ที่เสา B และโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าแบบใหม่ Matrix LED และไฟท้ายแบบ LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟ Light Staging หน้า-หลัง ไฟหน้าที่ส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED พร้อมเอฟเฟกต์ RS 3 Signature ลายธงตารางหมากรุกที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีองค์ประกอบไฟถึง 24 ดวง สามารถเปลี่ยนการแสดงผลได้ทั้งหมด 4 แบบ ล้อลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงปั้มลาย RS ทำให้รถดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น

ดีไซน์ภายใน

ชุดแต่งภายในดีไซน์ใหม่สไตล์ Vanadium Look ตกแต่งสีดำ ห้องโดยสารภายในตกแต่งลาย Carbon Atlas Structure เสริมความพิเศษด้วยไฟเรืองแสงลาย Rhombus ที่ติดอยู่กับประตูด้านหน้าภายในห้องโดยสารทั้งฝั่งคนนั่งและฝั่งคนขับ เพิ่มความสปอร์ตดุดันด้วยเบาะหุ้มหนัง Dinamica/artificial ลาย Diamond cut สีดำ กระชับ มั่นใจได้ทุกการเข้าโค้ง มอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยเบาะคู่หน้าที่มาพร้อมระบบทำความร้อน และเสริมลุคสปอร์ตด้วยพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ทรงตัดทั้งด้านบนและด้านล่าง หุ้มด้วยหนังเจาะรูเพื่อความกระชับ และไฮไลท์พิเศษกับลาย Diamond RS lettering และตรา Audi ในดีไซน์ Vanadium Look มาพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ซ้าย-ขวา และปุ่มควบคุม 2 จุด สำหรับเลือกโหมด Audi Drive Select หรือโหมดเฉพาะของ RS

เทคโนโลยีล้ำสมัย

Audi RS 3 Sportback มาพร้อมกับชุดเครื่องเสียงระดับพรีเมียม SONOS พร้อมระบบเสียง 3 มิติ จัดเต็มระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแปรผันและรักษาระยะห่างด้านหน้า (Adaptive cruise control with Stop&Go function) ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา (Lane change assist) ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane departure warning) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (Front emergency brake assist) ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง (Proactive occupant protection front side rear) ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Fatigue warning) พร้อมระบบช่วยจอด (Parking assist plus) ที่ช่วยเสริมทั้งความปลอดภัยและความสะดวกสบายใน RS 3 ตัวใหม่

Audi RS 3 Sportback มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี คือ

•Mythos black, metallic

•Progressive red metallic

•Kyalami green solid

•Python yellow, metallic

•Ascari blue, metallic (สีพิเศษเพิ่มเติมจากราคามาตรฐาน 100,000 บาท ซึ่งราคาข้างต้นได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)

ลูกค้าสามารถปรับแต่งเสริมความสปอร์ตแบบจัดเต็มกับแพ็คเกจชุดตกแต่งลายคาร์บอนที่มาพร้อมกับสี Matt black รอบคัน ในราคา 500,000 บาท (ราคาข้างต้นได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) ไม่ว่าจะเป็นช่อง Air inlet ด้านหน้า ขอบ Diffuser ด้านท้าย กระจกมองข้าง Spoiler หลังคา ขอบสเกิร์ตด้านข้างและกระจังหน้าสี Matt black สัมผัสสมรรถนะเหนือระดับ Audi RS 3 Sportback รถยนต์คอมแพกต์สมรรถนะสูงหนึ่งเดียวของอาวดี้ที่ให้ทั้งความพรีเมียม ความเร็วและความแรง ตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์ไม่ว่าจะขับขี่บนท้องถนนในชีวิตประจำวันหรือใช้ในสนามแข่ง มากับราคาที่เร้าใจสุดๆ

•ราคาเริ่มต้น 5,699,000 บาท

•ราคาพร้อมสีพิเศษ Ascari blue, metallic 5,799,000 บาท

•ราคาพร้อมแพ็คเกจชุดตกแต่งคาร์บอน 6,199,000 บาท

•ราคาพร้อมสีพิเศษและแพ็คเกจชุดตกแต่งคาร์บอน 6,299,000 บาท

ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารการเปิดตัวรถได้จาก FB : Audi Thailand หรือพิมพ์ #AudiThailand #RS3Sportback

Audi เป็นรถยนต์นำเข้าประกอบนอกทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถอาวดี้ทุกรุ่น ได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน

Audi Centre Thailand                02-765-8888

Audi New Petchburi                  02-023-4888

Audi Pattaya                              038-197-888

Audi Phuket                               076-646-666

Audi Service Ratchapruek        02-034-5888

Audi Korat                       044-017-888

Audi Chiangmai              081-792-3696

Audi Hat Yai                               098-140-1440

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ พัฒนาขึ้นเพื่อพร้อมตะลุยทะเลทราย พิชิตภูเขาสูงชัน และการขับขี่ในทุกสภาพเส้นทางหฤโหด สร้างมาตรฐานที่เหนือชั้นในตลาดรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูงเพื่อคอออฟโรดตัวจริง และนี่คือ เกร็ดน่ารู้ 5 ข้อ กับอีก 1 เรื่องอันน่าสนุกเกี่ยวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์

เครื่องยนต์ วี 6 ของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์พร้อมอวดความดุดัน

ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 พัฒนาโดยทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ ให้กำลังแรงสูงสุดถึง 397 แรงม้า และแรงบิด 538 นิวตันเมตร ตัวเครื่องยนต์ทำจากเหล็กกราไฟท์ ซึ่งเป็นวัสดุที่แข็งแรงระดับเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง

ปรับแต่งเสียงได้ตามต้องการ

เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ซึ่งเกียร์แต่ละสปีดจะได้รับการตั้งค่าเฉพาะตัวแตกต่างกัน เพื่อให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ว่าจะขับขี่บนเส้นทางแบบใด ระบบท่อไอเสียแบบแอคทีฟวาล์วพร้อมโหมดปรับเสียงท่อไอเสียที่เลือกปรับเสียงได้ถึง 4 โหมดตามความชอบของผู้ขับขี่ ตั้งแต่โหมดเงียบ ไปจนถึงเสียงคำรามในโหมดบาฮา1

ช่วงล่างสุดล้ำ พร้อมลุยทุกเส้นทาง

ระบบช่วงล่างของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ไม่ได้มีแค่โช้คอัพขนาดใหญ่และแข็งแกร่ง แต่ยังแสดงถึงความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีและวิศวกรรมอีกด้วย ปีกนกควบคุมด้านบนและล่างที่ทำจากอลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา มอบทั้งความแข็งแกร่งและช่วยควบคุมน้ำหนักตัวรถ ขณะที่ระบบกันสะเทือนด้านหน้าและด้านหลังมีระยะยืดยุบสูง ช่วยซับแรงกระแทกได้อย่างเหนือชั้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบกันสะเทือนหลังแบบวัตต์ลิงก์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถอย่างแม่นยำแม้ขับขี่ด้วยความเร็วสูงบนถนนที่ขรุขระ อย่างไรก็ตามหัวใจสำคัญของระบบช่วงล่างคือโช้คอัพ FOX แบบ Live Valve Internal Bypass 2.5 นิ้ว ที่สามารถปรับตัวได้ตามสภาพพื้นที่ รูปแบบการขับขี่ และโหมดการขับขี่อย่างต่อเนื่อง โดยเซนเซอร์ทั่วทั้งคันจะอ่านการตั้งค่า 500 ครั้งต่อวินาที และวิเคราะห์ตั้งแต่การบังคับพวงมาลัยไปจนถึงการเคลื่อนที่ของแชสซี ข้อมูลนี้จะป้อนเข้าสู่ระบบที่ “คาดการณ์” ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบนเส้นทางข้างหน้า เพื่อเตรียมโช้คอัพให้พร้อมสำหรับการควบคุม และความสะดวกสบายสูงสุด

พิชิตทุกสภาพถนนด้วยโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 7 โหมด2 ซึ่งแต่ละโหมดจะปรับแต่งการตั้งค่าให้เหมาะกับสถานการณ์การขับขี่แต่ละรูปแบบ โดยโหมดการขับขี่แต่ละโหมด2 จะควบคุมการทำงานส่วนต่างๆ ของรถโดยละเอียด ตั้งแต่เครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ไปจนถึงความไวในการประมวลผลระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) การยึดเกาะถนนและเสถียรภาพการทรงตัว การทำงานของระบบไอเสีย พวงมาลัย การตอบสนองต่อการเร่งเครื่อง ไปจนถึงการแสดงผลบนแผงหน้าปัดรถยนต์ และหน้าจอสัมผัสกลางคอนโซล และในช่วงความเร็วต่ำที่ท้าทาย ระบบควบคุมความเร็วสำหรับการขับขี่ออฟโรด Trail Control™3 จะทำหน้าที่เสมือนระบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติสำหรับเส้นทางออฟโรด ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิจดจ่อกับการบังคับควบคุมพวงมาลัยได้ ในขณะที่ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ช่วยจัดการการเร่งความเร็วและเบรก เพื่อรักษาระดับความเร็วที่ผู้ขับขี่เลือก

การออกแบบที่ดุดัน สะท้อนความแกร่งในทุกมิติ

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ไม่ได้โดดเด่นแค่เพียงสมรรถนะ แต่ยังสะท้อนความแข็งแกร่งในทุมมุมมอง ตั้งแต่การออกแบบภายนอก ตัวอักษร F-O-R-D ตัวหนาบนกระจังหน้าอวดความเป็นแร็พเตอร์อย่างชัดเจน ขณะที่กันชนเหล็กพร้อมตะขอลากจูงในตัวแสดงถึงตัวตนเจ้าของรถที่รักการผจญภัย จนถึงซุ้มล้อกว้าง พร้อมช่องระบายอากาศรองรับยางออลเทอร์เรน BFGoodrich® KO2® ขนาด 33 นิ้ว ติดตั้งบนล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว

ความแกร่งของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ไม่ได้มีแค่ตัวถังภายนอกเท่านั้น แต่รวมถึงแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถความแข็งแรงสูงเพื่อช่วยปกป้องบริเวณด้านหน้ารถ โดยเครื่องยนต์ ชุดเกียร์ และถังน้ำมันเองก็มีแผ่นกันกระแทกที่มอบความมั่นใจให้ผู้ขับขี่เมื่อต้องออกไปเผชิญกับเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

จากโชว์รูมสู่ชัยชนะบนสนามแข่ง

นอกจากฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ จะสร้างมาเพื่อการผจญภัยแล้ว ยังพัฒนามาเพื่อเป็นผู้นำในเซ็กเมนต์ โดยไม่มีบทพิสูจน์ใดที่จะแสดงให้เห็นสมรรถนะของรถได้ดีไปกว่าการเข้าร่วมการแข่งขัน Baja 1000 หนึ่งในการแข่งขันออฟโรดที่ท้าทายที่สุดในโลก

ในปี 2565 ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์เข้าร่วมการแข่งขัน Baja 1000 ด้วยรถที่เกือบจะเป็นสเปกเดิมจากโรงงาน เพียงแค่เสริมอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยเปลี่ยนล้อและยาง เพิ่มไฟส่องสว่าง และติดตั้งแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ ซึ่งนอกจากจะสามารถลงแข่งได้แล้ว ยังคว้าชัยชนะในรุ่น Production มาครองได้สำเร็จอีกด้วย ต่อมาในปี 2566 ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์คันเดิม กลับมาลงสนามอีกครั้งในรายการ Finke Desert Race ซึ่งเป็นสนามแข่งที่ท้าทายอีกแหน่ง และก็คว้าชัยชนะในรุ่นที่ลงแข่งได้อีกครั้ง จากนั้นในปี 2567 ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ยังคงเดินหน้าสร้างตำนาน ด้วยการคว้าอันดับ 1 ในรุ่น ทั้งในรายการ Finke Desert Race และ Baja 1000 ซึ่งนับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสมรรถนะของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์อย่างแท้จริง

หมายเหตุ :

1.โหมดบาฮาออกแบบมาสำหรับการขับขี่ออฟโรดเท่านั้น

2.ระบบช่วยการขับขี่เป็นเพียงระบบเสริม ไม่สามารถทดแทนความตั้งใจ การตัดสินใจ และการควบคุมรถของผู้ขับขี่ได้ ระบบนี้ไม่สามารถทดแทนการขับขี่อย่างปลอดภัย กรุณาศึกษารายละเอียดและข้อจำกัดเพิ่มเติมในคู่มือการใช้รถ

3.ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ออฟโรด ระบบช่วยเลี้ยวในพื้นที่แคบ และระบบควบคุมการออกตัวและเบรกด้วยคันเร่งเป็นคุณสมบัติช่วยขับขี่เพิ่มเติม ซึ่งไม่สามารถทดแทนความสนใจและการตัดสินใจของผู้ขับขี่ หรือความจำเป็นในการเหยียบเบรกได้ โปรดศึกษารายละเอียดและข้อจำกัดต่างๆ จากคู่มือผู้ใช้รถ

ฮุนได เปิดตัว IONIQ 5 N Line เพิ่มไลน์อัปอีวีใหม่

ฮุนได เพิ่มไลน์อัปอีวีใหม่ “The New IONIQ 5 N Line” Spark your drive. เติมตัวตนที่ใช่ ด้วยชุดแต่งดีไซน์จากสนามแข่ง แบตเตอรี่ใหม่ 84.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ไกลขึ้นถึง 530 กม. เปิดราคาในประเทศไทยที่ 1.988 ล้านบาท

ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย เปิดตัว IONIQ 5 N Line รุ่นปี 2025 เสริมไลน์อัป IONIQ 5 เจ้าของรางวัลระดับโลกด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ผสานกับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ พัฒนาไดนามิกการขับขี่ด้วยแบตเตอรี่ใหม่ การเปิดตัวรุ่น N Line ยังเป็นก้าวสำคัญของฮุนไดในการนำสุนทรียศาสตร์การออกแบบจากมอเตอร์สปอร์ตมาสู่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ผู้ที่มองหาทั้งดีไซน์สปอร์ตและความอเนกประสงค์ในหนึ่งเดียว

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “N Line คือการออกแบบพิเศษของฮุนไดเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจมากขึ้นสำหรับรถไฟฟ้า โดยฮุนไดมุ่งทลายข้อจำกัดของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ผ่านการนำเสนอนวัตกรรม สมรรถนะ และการออกแบบที่ล้ำสมัย ซึ่งรถยนต์ในรุ่น N Line ยังเป็นมากกว่าความสวยงาม เพราะผสมผสานทั้งองค์ประกอบดีไซน์แนวสปอร์ต ในขณะเดียวกันยังคงความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือเดินทางไกลบนทางหลวง IONIQ 5 N Line จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความเร้าใจในชีวิตประจำวัน”

IONIQ 5 N Line เปี่ยมพลังและนวัตกรรมที่ดีขึ้น

การอัปเกรดครั้งสำคัญของ IONIQ 5 N Line ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยชุดแบตเตอรี่แบบใหม่ขนาด 84.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มระยะทางการขับขี่ได้สูงสุดถึง 530 กม. (จากเดิม 481 กม. ในแบตเตอรี่ขนาด 72.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง) มอบประสิทธิภาพและความมั่นใจในการเดินทางที่ไกลขึ้น นอกจากนี้ดีไซน์ภายนอกยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้ดูสปอร์ต ด้วยดีไซน์ด้านหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกันชนหน้า-หลัง และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่เฉพาะรุ่น N Line เพื่อเพิ่มสมรรถนะด้านอากาศพลศาสตร์

ภายในห้องโดยสารของ IONIQ 5 N Line ผสานความสปอร์ตและความสะดวกสบายระดับพรีเมียมอย่างลงตัว พวงมาลัยหุ้มหนังฉลุลายพร้อมตะเข็บด้ายแดง เบาะนั่งสไตล์สปอร์ตหุ้มด้วยหนัง Alcantara พร้อมโลโก้ N เบาะผู้ขับขี่ปรับเอนนอนได้แบบ Zero Gravity ด้วยไฟฟ้าพร้อมที่พักขา เพิ่มบรรยากาศสปอร์ตด้วยคันเร่งและเบรกดีไซน์สปอร์ต แผงหน้าปัดดีไซน์ N Line และแผงบุหลังคาสีดำ คอนโซลกลางแบบ Universal Island ที่ปรับปรุงใหม่ วางปุ่มควบคุมต่างๆ ในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย พร้อมแท่นชาร์จไร้สายที่ย้ายมาตำแหน่งด้านบนของคอนโซลกลาง เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดในทุกการเดินทาง

Spark your drive. เติมตัวตนที่ใช่” ด้วย IONIQ 5 N Line

IONIQ 5 N Line เป็นโมเดลแรกที่ทำตลาดพร้อมชุดแต่ง N Line ของฮุนได เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจมากขึ้น โดยถูกวางตำแหน่งให้อยู่ระหว่าง IONIQ 5 และ รุ่นสมรรถนะสูงอย่าง IONIQ 5 N ผสมผสานแรงบันดาลใจจากโลกมอเตอร์สปอร์ตมายังการออกแบบ IONIQ 5 N Line ภายใต้สโลแกน “Spark your drive. เติมตัวตนที่ใช่” ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของยานยนต์กลุ่ม N ของฮุนได ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการโดดเด่นบนท้องถนนด้วยการออกแบบที่แตกต่าง ในขณะที่ยังคงความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

เทคโนโลยีการขับขี่ที่ปลอดภัย และล้ำสมัย

IONIQ 5 N Line ผสานเทคโนโลยีล่าสุดของฮุนไดเพื่อมอบความมั่นใจในการขับขี่ที่ปลอดภัยและชาญฉลาด มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ล้ำสมัย ด้วยหน้าจอสัมผัสมัลติมีเดียขนาด 12.3 นิ้วและแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว รองรับ wireless  Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนที่สะดวกไร้สาย เพื่อเพิ่มความปลอดภัย IONIQ 5 N Line ยังติดตั้งระบบ Hyundai SmartSense™ ซึ่งมีทั้งระบบช่วยหลีกเลี่ยงการชนในจุดบอด (BCA) ระบบหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า (FCA) ระบบช่วยรักษาตำแหน่งในช่องเดินรถ (LKA) และระบบควบคุมในช่องเดินรถ (LFA) รวมถึงระบบควบคุมความเร็วคงที่อัจฉริยะ (SCC) พร้อมระบบ Stop & Go โดยคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสะดวกสบายในการขับขี่ทางไกลของคุณ

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัว IONIQ 5 N Line ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลง รถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์อัปของ IONIQ 5 โดยผสานการออกแบบที่นำแรงบันดาลใจจากวงการมอเตอร์สปอร์ตเข้ากับเทคโนโลยีไฟฟ้าขั้นสูง เพื่อนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นสมรรถนะมาสู่ตลาดเมืองไทย ยกระดับพอร์ตโฟลิโอของ IONIQ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ฮุนไดในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม”

IONIQ 5 N Line เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1.988 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสรถคันจริง ได้ที่ IONIQ Lab อาคารทรูดิจิทัลพาร์ค ฝั่งเวสต์ ได้ระหว่างวันที่ 21-28 กุมภาพันธ์ 2568 หรือพบกับข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่ งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ IMPACT Challenger กรุงเทพฯ

“ซูซูกิ” ประกาศกลยุทธ์การตลาด เปิดตัวรถใหม่พร้อมยกระดับคุณภาพบริการภายในปี 2568

“ซูซูกิ” ประกาศแผนรุกตลาด เปิดตัวรถใหม่พร้อมยกระดับคุณภาพงานบริการภายในปี 2568 ดันยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 41% จากเป้าหมายตัวรถยนต์ใหม่ 2 รุ่น พร้อมมอบรางวัล Best Dealer Award 2024

บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้มีการจัดประชุมผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “Empowering Growth for Sustainable Future ขับเคลื่อนพลังสู่อนาคตที่ยั่งยืน” เปิดเผยแผนกลยุทธ์ทางการตลาดพร้อมการสนับสนุนผู้จำหน่ายเพื่อบรรลุเป้าหมายยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 41% อีกทั้งแผนยกระดับคุณภาพงานบริการและอะไหล่ เพื่อรองรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ในปี 2568 พร้อมมอบรางวัล Best Dealer Award 2024 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์การหดตัวของตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์และการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศ รวมถึงความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายใหม่ ส่งผลทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ของซูซูกิมีจำนวน 5,654 คัน

สำหรับในปีนี้ ซูซูกิมีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจเป็นการนำเข้ารถยนต์จากหลากหลายประเทศเข้ามาจำหน่าย จะนำไปสู่การเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายรถยนต์ Global Model ในตลาดประเทศไทย ซึ่งยังคงรักษาจุดแข็งในเรื่องความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีให้ลูกค้าได้เลือกใช้งานตามไลฟ์สไตล์และความต้องการเช่นเดิม ยังมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวน 2 รุ่น ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานในวงกว้างมากขึ้น คาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้าและสามารถแข่งขันได้ในอนาคตอย่างแน่นอน รวมถึงเรายังมีแผนที่จะยกระดับงานบริการในทุกด้าน เพื่อดูแลลูกค้าด้วยความจริงใจ และสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าซูซูกิของเราได้ โดยในปีนี้เรามีเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ซูซูกิเป็น 8,000 คัน คิดเป็นการเติบโตในอัตราที่เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเที่ยบจากยอดขายในปีทีผ่านมา

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา เราเดินหน้าแผนงานเพื่อยกระดับงานบริการและอะไหล่ในหลายด้าน ทั้งการแนะนำแคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” ไปจนถึงการเร่งขยายเปิดศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสีมาตรฐานซูซูกิ ซึ่งในปีนี้ เรายังคงพัฒนาการยกระดับงานบริการแบบ S-Solution เพื่อสร้างความมั่นใจในงานบริการแก่ลูกค้าทุกขั้นตอน อีกทั้งเรายังมี HELLO SUZUKI APPLICATION เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ทั้งการนัดหมายเข้ารับบริการ รายงานสถานะการซ่อม ตรวจสอบประวัติการบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซมที่ศูนย์บริการของซูซูกิทั่วประเทศ เพื่อรองรับกับแผนงานในอนาคต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดรถยนต์ เน้นย้ำถึงการสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าว่าจะสามารถมอบบริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของซูซูกิได้อย่างแท้จริง

สำหรับแคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถรองรับการดูแลลูกค้าด้วยคุณภาพและมาตรฐานของ ซูซูกิได้อย่างแท้จริง ซึ่งรายละเอียดจะประกอบไปด้วย 7 หัวข้อ ดังนี้

1. ฟรี! ค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี

•สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้าเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนดกับศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิทุกสาขา ฟรี! ค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

2. ขยายการรับประกันอะไหล่และงานบริการ

•อุ่นใจไร้กังวล กับการขยายการรับประกันงานซ่อมและอะไหล่แท้ทุกชิ้น นานถึง 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) จากเดิมที่รับประกันเพียง 3 เดือน หรือ 5,000 กิโลเมตร

3. บริการพิเศษรถสำรองใช้ระหว่างซ่อม

•รถยนต์ที่อยู่ในระยะรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ไร้ความกังวลเรื่องไม่มีรถใช้งานระหว่างซ่อม ด้วยบริการพิเศษ ‘รถสำรองใช้ระหว่างซ่อม’ สำหรับรถยนต์ซูซูกิที่ต้องใช้เวลาตรวจเช็กมากกว่า 1 วัน (ไม่รวมระยะเวลาวิเคราะห์ปัญหา) และไม่รวมกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ

4. HELLO SUZUKI APPLICATION ยกระดับงานบริการแบบ S-Solution

•HELLO SUZUKI คือ แอปพลิเคชัน ที่จะเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานกับลูกค้า อำนวยความสะดวกสบายและความมั่นใจในงานบริการทุกขั้นตอน ทั้งการนัดหมายนำรถเข้ารับบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รายงานการการตรวจสอบและดูแลรถในทุกขั้นตอน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซมที่ศูนย์บริการของซูซูกิทั่วประเทศ

5. ระบบการจัดการอะไหล่ มีเป้าหมายรองรับบริการได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี

•การจัดการเตรียมระบบจัดการอะไหล่รถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายภายในประเทศ ช่วยให้ลูกค้าคลายความกังวลเรื่องการขาดแคลนอะไหล่ในการบำรุงรักษารถ เพราะซูซูกิมีคลังอะไหล่ 2 แห่ง ทั้งที่คลังอ่อนนุช กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 1,216 ตารางเมตร และคลังอะไหล่ จังหวัดระยอง มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 4,076 ตารางเมตร รวมถึงคลังอะไหล่ของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ มีอะไหล่จัดเก็บรวมมากถึง 741,000 ชิ้น โดยมีเป้าหมายรองรับความต้องการของลูกค้าได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่สิ้นสุดการผลิต

•บริการจัดส่งอะไหล่แบบเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่อื่นๆ ภายใน 48 ชั่วโมง คุ้มค่าต่อการใช้งาน ด้วยอะไหล่ในราคาที่เข้าถึงง่าย

6. ศูนย์บริการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

•ลูกค้ามั่นใจกับศูนย์บริการ 91 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

7. ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังตามมาตรฐานของซูซูกิ

•ปัจจุบันซูซูกิมีผู้จำหน่ายที่มีบริการศูนย์ซ่อมตัวถังและสีตามมาตรฐานของซูซูกิ ด้วยกันทั้งหมด 41 แห่ง มั่นใจในบริการและการให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพเป็นมิตรและใส่ใจทุกรายละเอียดการซ่อมโดยช่างผู้มีความชำนาญที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการอบรมในการซ่อมรถยนต์ซูซูกิ

นอกจากการประกาศวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังได้มีการจัดพิธีมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะในการแข่งขัน ‘SUZUKI Best Dealer Award 2024’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนพัฒนางานบริการของผู้จำหน่าย ผ่านการจัดการแข่งขันผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม ซึ่งจัดมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 มุ่งหวังจะยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานในทุกด้าน  โดยมีรายชื่อผู้ได้รับรางวัล ดังนี้

รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม 2567 ระดับ Best of the Best

ชื่อผู้จำหน่ายชื่อบริษัทผู้จำหน่ายจังหวัด
คุณรณกฤต  ฐิติกฤตานน บริษัท ดี โฟร์ คาร์ซิตี้กรุงเทพมหานคร

รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม 2567 ระดับ Platinum Dealer

ชื่อผู้จำหน่ายชื่อบริษัทผู้จำหน่ายจังหวัด
คุณสนาวุธ คลังเจริญพงษ์ภาบริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด (สำนักงานใหญ่)นครราชสีมา
คุณวรปรัชญ์ อุปัติศฤงค์บริษท เอส.ยู.ซูซูกิ ภูเก็ตภูเก็ต
คุณชยธร อุเทนพัฒนันท์บริษัท อาร์เฮงวัฒนา จำกัด (สำนักงานใหญ่)ขอนแก่น
คุณณัฐวุฒิ   ชคทิศบริษัท เอ.ซี.ออโตโมบิล(2002) จำกัด (สำนักงานใหญ่)สงขลา
คุณพีรพัฒน์ สิทธิยานุรักษ์บริษัท ซูซูกิ หัวหิน (สิทธิภัณฑ์) จำกัดประจวบคีรีขันธ์
คุณศุภชัย พฤฒิธาดาบริษัท ยนต์ตระการ พรีเมียม คาร์ จำกัดนนทบุรี

‘SUZUKI Best Dealer Award 2024’ มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก โดยให้ผู้จำหน่ายที่เข้าแข่งขัน นำเสนอแนวคิดสู่ความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านการขาย และการบริการหลังการขาย ไปจนถึงการพัฒนางานเพื่อยกระดับงานบริการให้ดีมากยิ่งขึ้น และสามารถผ่านตามเกณฑ์ที่บริษัทฯ ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้เป็นแนวทางการพัฒนางานเพื่อแข่งขันกับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันและเตรียมพร้อมสู่การแข่งขันในอนาคตอีกด้วย

นายวัลลภ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ซูซูกิมีความพยายามอย่างยิ่งในการพัฒนางานบริการหลังการขายเพื่อยกระดับคุณภาพของผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จำหน่ายของซูซูกิทุกรายที่ทุ่มเทและทำงานอย่างหนัก จึงขอให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่า เราจะยังเดินหน้าพัฒนาคุณภาพในทุกด้าน พร้อมส่งมอบสินค้าที่มีความคุ้มค่า คุ้มราคาเหมาะสมกับลูกค้า โดยยึดความสำคัญด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการขายเป็นที่ตั้ง เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเป็นครอบครัวเดียวกันกับซูซูกิ

บีเอ็มดับเบิลยู เผยโฉมทัพยานยนต์ เร่งเครื่องรับตลาดแข่งเดือดปี 2568

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เร่งเครื่องรับปี 2568 เผยโฉมทัพรถยนต์-มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่พร้อมแผนขยายธุรกิจ ต่อยอดความเป็นผู้นำในตลาดพรีเมียม

•หลังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดพรีเมียมได้ 5 ปีซ้อน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมกระตุ้นตลาดต่อเนื่องด้วยยานยนต์สมรรถนะสูง

•เผยโฉม 9 รุ่นใหม่จากทั้งสามแบรนด์ จุดพลังขับเคลื่อนให้ตลาดด้วยนวัตกรรมที่ส่งตรงจากสนามแข่งสู่ท้องถนน

•อีกหนึ่งก้าวประวัติศาสตร์ของโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กับการกลับมาประกอบ มินิ คันทรีแมน ในประเทศอีกครั้ง

•บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย พร้อมต่อยอดความพึงพอใจของลูกค้าและประสิทธิภาพทางธุรกิจ ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและ AI

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จในการครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน พร้อมเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่น จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานแถลงข่าวประจำปี 2568 ณ โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

บรรยายภาพ : (จากซ้าย)มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย

กรุงเทพฯ : บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดฉากปี 2568 อย่างแข็งแกร่งด้วยการประกาศกลยุทธ์สำคัญระลอกแรก หลังจากที่รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยไว้ได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยจากเสียงตอบรับที่ดีของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยตลอดรอบปีที่ผ่านมา บริษัทจึงพร้อมที่จะสานต่อกระแสตลาดด้วยการเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่นในช่วงต้นปีนี้ เพื่อนำสมรรถนะและนวัตกรรมสุดตื่นตาจากสนามแข่งมาให้สัมผัสกันบนท้องถนนในไทย ก่อนจะเดินหน้าเปิดตัวรุ่นอื่นๆ เพิ่มเติมอีกตลอดปี 2568

สำหรับปีที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดรถยนต์เซกเมนต์พรีเมียมในประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน บีเอ็มดับเบิลยูและมินิทำยอดส่งมอบรถยนต์รวมกันอยู่ที่ 13,659 คันในปี 2567 ครองส่วนแบ่งตลาดที่ 45% ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ 12,208 คันของบีเอ็มดับเบิลยูในปีที่แล้ว ทำให้แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำยอดจดทะเบียนรถยนต์ระดับพรีเมียมในประเทศไทยได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่การเปิดตัวรุ่นใหม่ในตระกูล New MINI Family ส่งผลให้มินิมียอดส่งมอบรถเพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 7.6%

นอกเหนือจากยอดส่งมอบรถยนต์ที่มั่นคงในภาพรวมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังทำผลงานในตลาดรถยนต์สำหรับลูกค้าองค์กรได้อย่างยอดเยี่ยมในปีที่แล้ว หลังจากที่ส่วนแบ่งตลาดฟลีทในกลุ่มรถยนต์หรูของบีเอ็มดับเบิลยูขยายตัวขึ้นมาเป็น 70% ในปี 2567 หรือโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 27% ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลุ่มธุรกิจการโรงแรมมีให้ต่อบีเอ็มดับเบิลยู

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เราได้ก้าวเข้าสู่ปี 2568 อย่างเต็มตัว ด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ายิ่งขึ้นในการยกระดับทั้งนวัตกรรมการขับขี่และความพึงพอใจของลูกค้า ในปีที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรุ่นสมรรถนะสูงของเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในตลาด เราจึงพร้อมสนองความต้องการของลูกค้าทันทีด้วยทัพรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance นำโดยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 ใหม่ พร้อมด้วยมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ รุ่นแรกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและซูเปอร์ไบค์ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ที่ผ่านการปรับโฉมอีกครั้ง นอกจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ทั้งหมดนี้แล้ว เรายังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้เป้าหมายที่จะนำแนวคิด ‘Retail Next’ เข้าไปเป็นหัวใจของโชว์รูมบีเอ็มดับเบิลยูทุกแห่งทั่วประเทศภายในสองปีข้างหน้า สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าทั้งในด้านการขายและบริการ ผ่านความร่วมมือกับผู้จำหน่ายตลอดทั้งปี 2568″

รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเติบโตโดดเด่น เสริมรากฐานที่แข็งแกร่งให้อนาคตวงการยานยนต์ไทย

ในปี 2567 ภารกิจการขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูดำเนินอย่างต่อเนื่องด้วยไลน์รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 6 รุ่นในประเทศไทย หลังจากที่ได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i5 และ iX2 เข้ามาเสริมทัพรุ่น iX3, i4, i7 และ iX ทั้งนี้ ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยูเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่แล้ว โดยพุ่งขึ้นจาก 13.5% ในปี 2566 มาเป็น 22.6% ในปี 2567 และมีส่วนช่วยผลักดันให้ส่วนแบ่งตลาดพรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยูเพิ่มสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ที่ 39.9% ส่วนการเปิดตัวมินิในเจเนอเรชันใหม่ New MINI Family ในปีที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้แฟนๆ ชาวไทยได้เป็นเจ้าของมินิไฟฟ้าโฉมใหม่ได้ ทั้งในรุ่นคูเปอร์ คันทรีแมนและน้องใหม่ล่าสุดอย่างเอซแมน จึงทำให้ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของมินิเติบโตขึ้นกว่า 44% จากปีก่อนหน้า

สำหรับตลาดไทย แฟน ๆ ของบีเอ็มดับเบิลยู M ยังคงให้การต้อนรับรุ่นใหม่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู M5 และ M4 CS อย่างอบอุ่น หลังจากที่เปิดตัวไปในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 ที่ผ่านมา และปี 2568 ก็จะตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่าเดิม ด้วยรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance ที่จ่อคิวรอเปิดตัวเพิ่มเติมอีกตลอดปี

สถิติและผลการดำเนินงานในตลาดไทยทั้งหมดนี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าและตลาดที่มอบให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตลอดปี 2567 บริษัทได้พิสูจน์ถึงสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการยอมรับสูงสุดโดยผู้บริโภคไทย ด้วยรางวัลจากเวที “Thailand’s Most Admired Company” สาขาอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยนิตยสาร BrandAge และรางวัลสาขาตลาดรถยนต์พรีเมียมจากเวที “No.1 Brand Thailand” โดยนิตยสาร Marketeer ส่วนในวงการยานยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ก็ได้รับเลือกให้เป็นรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 และ i5 ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีและรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปีด้วยเช่นกัน

เครือข่ายผู้จำหน่ายพร้อมต่อยอดประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และสานต่อการขยายแนวคิด ‘Retail Next’ ทั่วประเทศ

ผลการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าในปี 2567 เผยให้เห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำผลงานได้ดีขึ้นทั้งในด้านการขายและการบริการ ด้วยคะแนน Net Promoter Score (NPS) ด้านการขายที่ 95 คะแนน (เพิ่มขึ้น 1 คะแนนจากปี 2566) และด้านการบริการที่ 93 คะแนน (เพิ่มขึ้น 2 คะแนนจากปี 2566) โดยนับเป็นสถิติสูงสุดสำหรับทั้งสองด้าน

ในปี 2568 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นในทุกจุดสัมผัส แนวคิด “Retail Next” ที่มุ่งเน้นการผสานนวัตกรรมดิจิทัลและงานออกแบบที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จะขยายตัวครอบคลุมโชว์รูมและศูนย์บริการกว้างขวางขึ้นในปีนี้ ภายใต้เป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราส่วนของโชว์รูมแบบ Retail Next จาก 60% เป็น 100% ทั่วประเทศภายในสองปีข้างหน้า ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวโชว์รูม เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส อยุธยา ในช่วงปลายปีที่แล้ว ด้วยพื้นที่โชว์รูมและศูนย์บริการรวม 8,800 ตารางเมตรที่ครบครันด้วยประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ และงานออกแบบที่สะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมของอยุธยา

เพื่อตอบสนองต่อกระแสความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย บริษัทได้ขยายความร่วมมือกับเครือข่ายผู้จำหน่ายด้วยการรับรองโชว์รูม “M Certified” เพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ ยุโรปา มอเตอร์ (สาขาสำนักงานใหญ่), อมร เพรสทีจ รังสิต และบาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค ซึ่งทำให้บีเอ็มดับเบิลยูมีโชว์รูม M Certified พร้อมมอบประสบการณ์สุดตื่นตาตื่นใจในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู M ให้กับลูกค้าในกว่า 8 สาขาทั่วกรุงเทพฯ

ทางด้านมินิ ก็เตรียมเดินเกมรุกต่อยอดความคึกคักจากปีที่ผ่านมา ด้วยการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการ ทั้งที่บาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค, เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ราชพฤกษ์ และยุโรปา มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรแล้วเช่นกันด้วยการเปิดตัวโชว์รูมใหม่ของโมโตกรุ๊ปในย่านพระราม 5

มินิเตรียมกลับสู่สายการผลิตในไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

โรงงานและสายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง นับเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายสายการผลิตทั่วโลก ในปีนี้ โรงงานแห่งนี้จะได้ต้อนรับมินิ ในโอกาสที่มินิ คันทรีแมน รุ่นล่าสุด จะหวนคืนสู่สายการผลิตในประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้แฟนๆ ชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของมินิรุ่นใหญ่ตัวนี้กันได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การกลับมาของมินิยังทำให้โรงงานแห่งนี้เป็นสายการผลิตแห่งเดียวในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่สามารถประกอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

พร้อมยกระดับบริการทางการเงินด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ต่อยอดความไว้วางใจของลูกค้า ท่ามกลางความท้าทายตลอดปี 2567

บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ทำผลงานได้อย่างมั่นคงในปี 2567 ด้วยยอดลูกค้าใหม่ที่ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยท่ามกลางการหดตัวของตลาดรวมในประเทศไทย อย่างไรก็ดี กลยุทธ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาเสริมประสบการณ์ให้กับลูกค้า สามารถสร้างเสียงตอบรับได้ดีไม่น้อย และส่งผลให้ครึ่งหนึ่งของลูกค้าใหม่ที่เลือกเป็นเจ้าของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จากทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด วางใจในบริการทางการเงินของบริษัท ขณะที่ 1 ใน 3 รายก็เลือกจัดการข้อตกลงทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ myBMW / MINI Finance

นอกจากนี้ ธุรกิจในกลุ่มประกันภัยรถยนต์และกลุ่มลูกค้าองค์กรล้วนทำผลงานได้ดีในปี 2567 ด้วยอัตราการเข้าถึงตลาดที่เพิ่มขึ้นเป็น 64% และ 68% ตามลำดับ

คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “เรามีเป้าหมายที่จะยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า สอดคล้องกับทิศทางในภาพรวมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งเป็นผลให้ในปีที่แล้ว เราทำคะแนน Net Promoter Score ได้สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 78 คะแนน เรายังคงยกให้ลูกค้าเป็นหัวใจหลักในการทำงานทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบีเอ็ม

ดับเบิลยู มินิ หรือบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด คันใหม่อย่างง่ายดายและสบายใจที่สุดด้วยข้อเสนอทางการเงินของเรา หรือประสบการณ์พิเศษมากมายสำหรับลูกค้า เช่น การแข่งขัน BMW Golf Cup หรือกิจกรรม BMW Driving Experience ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2568 เราก็จะสานต่อภารกิจเหล่านี้ด้วยนวัตกรรมที่มี AI เป็นแรงขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์และเข้าถึงบริการทางการเงินของเราได้สะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก”

ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ได้นำระบบอัตโนมัติแบบ Robotic Process Automation (RPA) เข้ามาใช้งานรวม 12 ระบบ ซึ่งส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อของลูกค้าราว 13% สามารถทำได้แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ขณะที่การแนะนำเทคโนโลยีลายเซ็นแบบดิจิทัลที่ปลอดภัยก็ทำให้ 36% ของสัญญาใหม่ในปีที่แล้วผ่านการเซ็นรับรองแบบดิจิทัล

ZEEKR 009 ตอกย้ำความสำเร็จ ส่งมอบแล้วกว่า 1,000 คัน

ZEEKR 009 ตอกย้ำความสำเร็จ ส่งมอบกว่า 1,000 คันในไทย พร้อมเปิดตัวรุ่น 7 ที่นั่ง เพื่อตอบโจทย์ทุกการเดินทางทั้งครอบครัวและกลุ่มเพื่อนภายใต้แนวคิด “Every Journey Shines, Every Seat Matters”

(กรุงเทพฯ) 18 กุมภาพันธ์ 2568 – ZEEKR ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรีพร้อมพลิกโฉมประสบการณ์แห่งการเดินทาง ด้วยการเปิดตัว ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง อย่างเป็นทางการ ยนตรกรรมไฟฟ้าเอ็มพีวีที่ถูกรังสรรค์เพื่อนิยามใหม่ของความลักชูรี ภายใต้แนวคิด “Every Journey Shines, Every Seat Matters” ด้วยการยกระดับความสะดวกสบายให้ทุกการเดินทาง ทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยยังคงประสบการณ์ระดับเฟิร์สคลาสในทุกที่นั่ง ราคาจำหน่ายเริ่มต้น 3.099 ล้านบาท

ความสำเร็จของ ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการส่งมอบแล้วกว่า 1,000 คัน ทั่วประเทศไทยเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ZEEKR 009 ไม่เพียงแค่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนรสนิยมของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว ZEEKR 009 ทลายกรอบ “ความหรูหราแบบเดิมๆ” และมุ่งเน้นประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นสำคัญ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดเอ็มพีวีระดับลักชูรี โดย ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่ง ออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวและความหรูหราอย่างลงตัว

ส่วน ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง ที่ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้แนวคิดเดียวกัน “Every Journey Shines, Every Seat Matters” นำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายและเหนือระดับ โดยยกระดับมาตรฐานยนตรกรรมหรูสำหรับครอบครัวให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ด้วยการผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับความหรูหรา ทำให้ ZEEKR 009 ไม่ใช่เพียงแค่พาหนะสำหรับการเดินทาง แต่เป็นนิยามใหม่ของความพรีเมียมที่มอบทั้งสมรรถนะเหนือชั้น ห้องโดยสารระดับเฟิร์สคลาส และวัสดุคุณภาพสูงที่สะท้อนถึงความประณีตในทุกรายละเอียด โดยในรุ่นนี้ยังคงไว้ซึ่งฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์อย่างครบครัน เช่น เบาะหนัง Nappa นุ่มพิเศษ มาพร้อมระบบนวดไฟฟ้าเพื่อความสบายสูงสุด พร้อมดื่มด่ำกับความบันเทิงผ่านหน้าจอ OLED ทัชสกรีนขนาด 15.05 นิ้ว, หน้าจอแสดงผลแบบเออาร์ AR-HUD ขนาด 35.95 นิ้ว และ หน้าจอเพดานสำหรับผู้โดยสารด้านหลังแบบ OLED ระบบสัมผัสขนาด 17 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8295 อันทรงพลัง พร้อมระบบเสียง YAMAHA 30 จุดรอบคัน มอบประสบการณ์เสียงรอบทิศทางระดับพรีเมียม ให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย หรูหราและเหนือระดับอย่างแท้จริง ที่พร้อมยกระดับทุกการเดินทางของคุณให้กลายเป็นช่วงเวลาพิเศษที่น่าจดจำ พร้อมกันนี้ยังมาพร้อมกับสมรรถนะที่เหนือชั้น กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ที่ให้กำลังสูงถึง  603 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 4.5 วินาทีและแบตเตอรี่ขนาด 116 kWh ที่ให้ระยะทางการขับขี่ 686 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC เดินทางอย่างนุ่มนวลด้วยช่วงล่างแบบถุงลมประสิทธิภาพสูง และระบบกันสะเทือน CCD Electromagnetic Vibration Reduction System และระบบความปลอดภัย ZEEKR AD ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติระบบป้องกันการชนด้านหน้า รวมไปถึงเตือนการชนจากด้านหลัง มั่นใจในทุกเส้นทางกับระบบ Passive Safety Systems ทั้งโครงสร้างด้านหลังแบบ Single-Piece Die-Casting Aluminum และถุงลม 7 จุด

ZEEKR 009 มี 3 โทนสีรถภายนอกได้แก่

•สีขาว (Crystal White) พร้อมสีภายในสีดำ (Stone Black)

•สีดำ (Phantom Black) พร้อมสีภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black)

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวสีใหม่ ได้แก่

•สีเขียว (Mineral Green) พร้อมสีภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black)

มร.อเล็กซ์ เป่า กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี กล่าวว่า “หลังจากความสำเร็จของ ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่ง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากตลาด เราได้ศึกษาความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยและพบว่า ความต้องการรถเอ็มพีวีไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเปิดตัว ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง จึงเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าที่เดินทางกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เทคโนโลยี และดีไซน์แบบลักชูรี ตอกย้ำแนวคิด ‘Every Journey Shines, Every Seat Matters’ โดยภายใต้เเนวคิดนี้ เรามีการนำเสนอเรื่องราวของ ZEEKR 009 ผ่านภาพยนตร์โฆษณาใหม่ที่ถ่ายทอดแก่นแท้ของการเดินทางสุดพิเศษ โดยบอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวละครหลักที่กำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เปรียบการเดินทางด้วย ZEEKR 009 เสมือนการเดินทางของชีวิตที่ทุกก้าวล้วนมีความหมาย ทุกที่นั่งคือพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ และทุกความสำเร็จคือจุดหมายหลักที่จะมุ่งไป โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ไม่เพียงต้องการนำเสนอคุณสมบัติอันโดดเด่นของ ZEEKR 009 แต่เป็นการสะท้อนคุณค่าและอารมณ์ที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถสัมผัสได้อย่างมีชั้นเชิง”

สำหรับ ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง ราคา 3,099,000 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

•ฟรี Wallbox ขนาด 11 kW พร้อมแพ็กเกจติดตั้ง*

•ฟรี สายชาร์จฉุกเฉิน*

•ฟรี ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครองเป็นระยะเวลา 1 ปี*

•ฟรี ค่าจดทะเบียนรถยนต์*

•การรับประกันรถยนต์ เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•การรับประกันมอเตอร์ขับเคลื่อนและแบตเตอรี่แรงดันสูง เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 180,000 กิโลเมตร

(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี*

•ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง สูงสุดไม่เกิน 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 3 ปี หรือระยะทาง 60,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

สำหรับผู้ที่สนใจ ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่ง พร้อมข้อเสนอพิเศษดังนี้

•ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง สูงสุดไม่เกิน 6 ครั้ง ภายในระยะเวลา 6 ปี หรือระยะทาง 120,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•ฟรี Wallbox ขนาด 11 kW พร้อมแพ็กเกจติดตั้ง*

•ฟรี สายชาร์จฉุกเฉิน*

•ฟรี ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครองเป็นระยะเวลา 1 ปี*

•ฟรี ค่าจดทะเบียนรถยนต์*

•การรับประกันรถยนต์ เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•การรับประกันมอเตอร์ขับเคลื่อนและแบตเตอรี่แรงดันสูง เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 180,000 กิโลเมตร

(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี* ในราคา 3,159,000 บาท

โดยข้อเสนอพิเศษนี้กำหนดให้มีผลเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 – วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 และกำหนดรับรถรับรถภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ZEEKR 009 ทั้งรุ่น 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดได้แล้ววันนี้ที่ ZEEKR House ทั้ง 10 แห่ง ทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ZEEKR Call Center โทร 02-086-9999, Official Facebook Page ZEEKR Thailand และ LINE Official ZEEKR Thailand (@zeekrtha) หรือคลิก https://lin.ee/3lJF6Jbo

โตโยต้า เชิญชวนชาวขอนแก่น ร่วมตระหนักเรื่องโลกเดือด

โตโยต้า เชิญชวนชาวขอนแก่น ร่วมตระหนักเรื่องโลกเดือด พร้อมลดเปลี่ยนโลกผ่านนิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด”

นายสิริวิทย์ ปรีชาศุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนองค์กร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ นายยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนในจังหวัดขอนแก่น ร่วมเป็นเกียรติในงานนิทรรศการ “Multiverse Future Thailand  ทางเลือก หรือ ทางรอด” ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 เซ็นทรัล ขอนแก่นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568

นิทรรศการ Multiverse Future Thailand คือการจำลองอนาคตประเทศไทยออกเป็นโลกคู่ขนานใน 2 โซน ได้แก่ โซน “ทางเลือก” ที่เน้นสร้างความตระหนักถึงผลกระทบจากสถานการณ์ภาวะโลกเดือด ผ่านร้านค้าต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และ โซน “ทางรอด” ที่มุ่งเน้นในการสร้างจิตสำนึกผ่านการให้ความรู้ในแง่มุมต่างๆ ตลอดจนชักชวนผู้คนมาร่วมปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

ผ่านกิจกรรม “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า” โดยโตโยต้าได้มีการจัดนิทรรศการฯ ครั้งแรก ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 – 19 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา และได้ขยายความสำเร็จมายังจังหวัดขอนแก่นต่อไป

ภายในงาน มีกิจกรรม Workshop นำขยะมารีไซเคิลทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ โดย TAMDA Studio ที่มีชื่อเสียงในการสร้างสรรค์สิ่งของเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นผลงาน และยังมีความสนุกกับกิจกรรมมินิทอล์คและมินิคอนเสิร์ต โดยศิลปิน “บิวบองและด้งเด้ง ไทบ้าน” และ “หญิงลี ศรีจุมพล”

โตโยต้าคาดหวังว่างานในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมาย “สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน” อันจะเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “เมืองสีเขียว” อย่างยั่งยืนต่อไป

“นิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด” จัดขึ้น ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 เซ็นทรัล ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 14 – 16 กุมภาพันธ์ 2568

โตโยต้า ร่วมมือกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย

โตโยต้า ร่วมลงนามความร่วมมือกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ภายใต้แนวคิด “Safety Culture Together”

นายสมคิด ประดิษฐกำจรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม ความปลอดภัยภายใต้แนวคิด “Safety Culture Together” โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามปฏิญญาความปลอดภัย เพื่อร่วมขับเคลื่อนแคมเปญ “Safety Culture Together” ตั้งเป้าลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงาน ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา

ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โตโยต้าให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก (Safety First) และกำหนดเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหลัก (KPI) ขององค์กร โดยมุ่งมั่นในการส่งเสริมความปลอดภัย ตลอดจนพัฒนาระบบการจัดการ ด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงขยายความร่วมมือไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วน (Supplier) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทรัพยากรบุคคลตลอดทั้งห่วงโซ่ธุรกิจ

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้รับรางวัล “สถานประกอบการดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” จากสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมาโดยตลอดเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันในทุกโรงงาน ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศ ดังต่อไปนี้

โรงงานสำโรง       :  ได้รับรางวัลเกียรติยศ “ระดับเพชร” (ติดต่อกันเป็นปีที่ 8)

โรงงานบ้านโพธิ์   :  ได้รับรางวัลเกียรติยศ “ระดับแพลทินัม” (ติดต่อกันเป็นปีที่ 11)

โรงงานเกตเวย์     :  ได้รับรางวัลเกียรติยศ “ระดับแพลทินัม” (ติดต่อกันเป็นปีที่ 17)

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานภายในองค์กร ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำ เพื่อลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงาน และส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืนแก่ประเทศไทยต่อไป

โตโยต้ามอบโอกาสทางการศึกษาอย่างยั่งยืน มอบทุนแก่นิสิตจุฬาฯ

โตโยต้ามอบโอกาสทางการศึกษาอย่างยั่งยืน ผ่านการมอบทุนแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 52

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และ นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบทุนการศึกษาแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 52 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยคณาจารย์และคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมแสดงความยินดี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาอันเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยให้มีความรู้ความสามารถ และทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการมอบทุนการศึกษาภายใต้โครงการ “TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน”ด้วยการแบ่งปันโอกาสทางการศึกษาให้แก่นิสิตที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 52 ปี

โดยโตโยต้า ได้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 1,627 ทุน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 22,482,000 บาท ซึ่งในปีนี้ มีนิสิตเข้ารับทุนดังกล่าว จำนวน 12 ทุน รวมเป็นมูลค่า 960,000 บาท ดังนี้

คณะวิศวกรรมศาสตร์                            จำนวน 4 ทุน      

คณะอักษรศาสตร์                                 จำนวน 2 ทุน      

คณะเศรษฐศาสตร์                                จำนวน 2 ทุน 

คณะทันตแพทยศาสตร์                          จำนวน 1 ทุน     

คณะรัฐศาสตร์                                       จำนวน 1 ทุน    

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี           จำนวน 1 ทุน    

คณะศิลปกรรมศาสตร์                            จำนวน 1 ทุน

โตโยต้ายังคงมุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ในการสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนในสังคมไทยให้เติบโตไปด้วยกัน ภายใต้แนวคิด “TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน” ผ่านการให้ในทุกมิติ ได้แก่

ให้…สุขภาพที่ยั่งยืน

ให้…ความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน

ให้…ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน

ให้…การศึกษาที่ยั่งยืน

ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญของโตโยต้า เพื่อร่วมผลักดันสังคมไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ต่อไป

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save