- Advertisement -
31 C
Bangkok
Home Blog Page 28

อีซูซุ ส่งเสริมศิลปะคู่เยาวชนรุ่นใหม่ ประกาศผลประกวดวาดภาพดิจิทัล

อีซูซุ เดินหน้าส่งเสริมศิลปะคู่เยาวชนรุ่นใหม่จัดประกวดวาดภาพดิจิทัลในโครงการ “อีซูซุเยาวชนสัมพันธ์ 2567” ชิงทุนการศึกษากว่า 500,000 บาท

บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เดินหน้าสนับสนุนเยาวชนรุ่นใหม่ในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดดิจิทัลโครงการ “อีซูซุเยาวชนสัมพันธ์” ประจำปี 2567 รอบชิงชนะเลิศ ชิงทุนการศึกษารวมกว่า 500,000 บาท ณ อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด

กลุ่มตรีเพชร โดย มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า “อีซูซุจัดการประกวดวาดภาพดิจิทัล “โครงการอีซูซุเยาวชนสัมพันธ์ 2567” อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี สำหรับรอบคัดเลือกปีนี้ เราต้องการส่งเสริมให้เยาวชนไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญและผลกระทบของสื่อดิจิทัลต่อการดำเนินชีวิต เนื่องจากโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ข้อมูลสามารถแพร่หลายได้ทันทีอย่างไร้พรมแดน ทำให้ผู้บริโภคยุคดิจิทัลจำเป็นต้องคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณก่อนแชร์เนื้อหาออนไลน์ ไตร่ตรองถึงความสำคัญโดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลผ่านหัวข้อ “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อย่าเผลอทำผิด คิดก่อนแชร์” ในระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงมกราคม 2568 ที่ผ่านมา”

โครงการ “อีซูซุเยาวชนสัมพันธ์ 2567” เป็นโครงการเปิดโอกาสให้น้องๆ เยาวชนได้มีโอกาสแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการผ่านการใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการวาดภาพ ในปีนี้มีน้องๆ ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดถึง 531 ผลงาน โดยมีผู้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศจำนวน 20 คน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งประกอบด้วย

•รศ.ดร.ศุภชัย อารีรุ่งเรือง

คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

•ผศ.ดร.วิชญ มุกดามณี

คณบดีคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร       

•ผศ.อนุพงษ์ จันทร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาศิลปกรรม คณะสถาปัตยกรรมศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง

รวมถึงกิจกรรมบรรยายพิเศษที่ได้รับเกียรติจาก “คุณนัด ธนิษฐ์ เจียรสวัสดิ์วัฒนา” ครีเอเตอร์ชื่อดังจากเพจ นัดเป็ด ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งมีผลงานที่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ ถูกใจผู้คนมากมาย ได้มาร่วมพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ และให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่น้องๆ เยาวชนที่เข้าร่วมประกวดในวันนี้ รวมทั้งได้ให้ทุกคนร่วมทำกิจกรรม  Workshop  สร้างผลงานสติกเกอร์ สำหรับแอปพลิเคชัน Line อีกด้วย

โดยการประกวดรอบชิงชนะเลิศนั้น เป็นการวาดภาพแบบสดในเวลา 3 ชั่วโมง ในหัวข้อที่กำหนดขึ้นใหม่ ซึ่งในปีนี้อีซูซุได้ประกาศหัวข้อ “ไทยช่วยไทย ก้าวไปด้วยกัน” สำหรับรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สร้างสรรค์โดยคนไทย นอกจากช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการจ้างงานและความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาวแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนความรู้ ความสามารถ และความชำนาญของชาวไทยให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงต่อไป โดยผลการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศมีดังนี้

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เด็กหญิงกันตา ณ ลำพูน โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา กรุงเทพมหานคร ได้รับทุนการศึกษา 50,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ เด็กหญิงฮานีนี่ โมหมัดตอเฮด โรงเรียนเกาะจันทร์พิทยาคาร จังหวัดชลบุรี ได้รับทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ เด็กหญิงอารีฟะฮ์ ชาญชัยชนะ โรงเรียนวิชัยวิทยา จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

รางวัลชมเชยจำนวน 7 รางวัล ได้รับทุนการศึกษารางวัลละ 10,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ ได้แก่

1.เด็กหญิงภัทรภร จันทิมา โรงเรียนระยองวิทยาคม จังหวัดระยอง

2.เด็กหญิงพรนพรัตน์ วายุวรรธนะ โรงเรียนวิสุทธรังษี จังหวัดกาญจนบุรี

3.เด็กหญิงกรรวี หลีกภัย โรงเรียนราชินีบน กรุงเทพมหานคร

4.เด็กหญิงเพชรอาภา เพ็ชรละออ โรงเรียนโพธิสัมพันธ์พิทยาคาร จังหวัดชลบุรี

5.เด็กหญิงชญานิศ เชียงทอง โรงเรียนวิสุทธรังสี จังหวัดกาญจนบุรี

6.เด็กชายปรารภัฏ บุญเกษม โรงเรียนธัมมสิริศึกษาสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

7.เด็กหญิงธนารีย์ ดอกดี โรงเรียนหล่มสักวิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

•รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวชญาดา อุทัยธัน  โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) กรุงเทพมหานคร ได้รับทุนการศึกษา 50,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ นางสาวสุชญา ใจกล้า โรงเรียนสว่างบริบูรณ์วิทยา จังหวัดชลบุรี ได้รับทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ นางสาววิรัลพัชร เจริญสันติสุข โรงเรียนมารีวิทย์สัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้รับทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

รางวัลชมเชยจำนวน 7 รางวัล ได้รับทุนการศึกษารางวัลละ 10,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ ได้แก่

1.นางสาวณัฏฐณิชา บางดี โรงเรียนบัวขาว จังหวัดกาฬสินธุ์

2.นางสาวธิดาวัลย์ สิงห์คำ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จังหวัดขอนแก่น

3.นายภีรศักดิ์ ศรีสุระ โรงเรียนสว่างบริบูรณ์วิทยา จังหวัดชลบุรี

4.นางสาวเกวลิน ญาณอภิมนตรี โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร

5.นางสาวชนกนันท์ พันธุ์มาตย์ โรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร จังหวัดระยอง

6.นายนฤพล หยองวังปา โรงเรียนสันติวิทยาสรรพ์ จังหวัดเลย

7.นางสาวพิมพ์พิศา โคตศิริ โรงเรียนท่าเรือ “นิตยานุกูล” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

“หัวข้อสดในรอบชิงชนะเลิศปีนี้ “ไทยช่วยไทย ก้าวไปด้วยกัน” ทำให้หนูรู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะไม่ได้เตรียมตัวสำหรับหัวข้อนี้มา แต่ก็เข้ากับยุคสมัยตอนนี้ดีค่ะ ภาพวาดของหนูต้องการสะท้อนว่า เราเป็นคนไทยและอยู่ในเมืองไทยด้วยกันก็ควรให้ความช่วยเหลือกัน ถ้าอยู่ใกล้ก็เอื้อมมือไปช่วย ถ้าไกลก็ส่งกำลังใจ แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็ช่วยกันได้เสมอค่ะ อยากเชิญชวนเพื่อนๆ ให้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ในครั้งต่อๆ ไป เพราะเป็นโอกาสที่ดีมากที่จะได้โชว์ฝีมือการวาดภาพของเรา” เด็กหญิงกันตา ณ ลำพูน โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา กรุงเทพมหานคร ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เผยที่มาของผลงาน “ไม่ไกลเกินเอื้อม”

สำหรับ นางสาวชญาดา อุทัยธัน จากโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) กรุงเทพมหานคร ผู้ชนะเลิศระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เผยความรู้สึกว่า “แรงบันดาลใจของผลงานชิ้นนี้มาจากวลีหนึ่ง คือ ส่งต่อความห่วงใย เราเปรียบเปรยความห่วงใยเป็นรูปห่วงสีทอง และคำว่า ก้าวไปด้วยกัน นั้นหมายถึง ไม่ว่าเราจะอยู่ต่างที่คนละมุมโลก เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ถ้าหากว่าเราทุกคนห่วงใยคนรอบข้างกันสักนิด แค่นี้สังคมก็จะน่าอยู่ขึ้นและพร้อมก้าวไปด้วยกัน ดังนั้นเพื่อนๆ ที่สนใจวาดรูป มีใจรักในศิลปะ เข้ามาประกวดกันได้นะคะ อีซูซุเขาใจดีค่ะ”

นอกจากนี้ยังมีรางวัล Popular Vote จำนวน 10 รางวัล จากระดับการศึกษาละ 5 คน จะได้รับทุนการศึกษาคนละ 2,500 บาท และพิเศษ! รางวัล Content Creator 10 รางวัล สำหรับผู้เข้าแข่งที่จัดทำคลิปที่เกี่ยวข้องกับผลงานหรือกิจกรรมนี้อย่างสร้างสรรค์ลงในช่องทาง TikTok โดย 10 คลิปที่ถูกใจคณะกรรมการ มากที่สุด และทำถูกต้องตามกติกา จะได้รับทุนการศึกษารางวัลละ 2,500 บาท ทั้งนี้สามารถติดตามประกาศรางวัลในโครงการ “อีซูซุเยาวชนสัมพันธ์” ประจำปี 2567 ได้ที่ https://isuzuyouthrelations.com/  และสามารถติดตามข่าวสารของอีซูซุเพิ่มได้ทางเว็บไซต์ www.isuzuyouthrelations.com  หรือ www.isuzu-tis.com

JAECOO 6 EV คว้ารางวัล BEST OFF ROAD EV

OMODA & JAECOO พา JAECOO 6 EV คว้ารางวัล BEST OFF ROAD EV ในงาน THAILAND CAR OF THE YEAR 2025 ประกาศความมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย 10 มีนาคม 2568 – OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก นำรถพลังงานไฟฟ้าแบบออฟโรด JAECOO 6 EV (หรือ iCAR 03 ในประเทศจีน) สร้างความภาคภูมิใจให้กับวงการยานยนต์ไทย คว้ารางวัล “BEST OFF ROAD EV” จากเวที THAILAND CAR OF THE YEAR 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ดีทางธุรกิจยานยนต์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ณ ห้องรอยัล จูบิลี บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

รางวัล BEST OFF ROAD EV ครั้งนี้ ถือเป็นการยืนยันถึงคุณภาพและนวัตกรรมของ JAECOO 6 EV (หรือ iCAR 03 ในประเทศจีน) รถพลังงานไฟฟ้าแบบออฟโรด โดดเด่นด้วยดีไซน์ ONE BOX STYLE ซึ่งได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งด้านความสวยงามที่มาพร้อมคุณประโยชน์การใช้สอย นอกจากนี้ JAECOO 6 EV ได้รับการยกย่องในด้านสมรรถนะการขับขี่ออฟโรดที่โดดเด่น ควบคู่ไปกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของ OMODA & JAECOO ในการพัฒนารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบัน

JAECOO 6 EV (หรือ iCAR 03 ในประเทศจีน) EV รถพลังงานไฟฟ้าแบบออฟโรด โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ผสมผสานจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยแบบออฟโรดเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยด้วยดีไซน์ที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งอนาคต ฉีกกฎงานดีไซน์ทุกการเดินทาง พร้อมท้าทายทุกเส้นทางอย่างไร้ขอบเขต สามารถขับขี่ทั้งออฟโรดและออนโรดได้อย่างมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือระดับ ตั้งแต่การขับในตัวเมืองใหญ่ไปจนถึงเส้นทางขับขี่ที่ยากลำบาก พร้อมด้วยความสะดวกสบายที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานสำหรับทุกเพศทุกวัยทุกไลฟ์สไตล์ในการเดินทางไกล ด้วยระยะทางการขับขี่ที่ยาวนานถึง 426 กิโลเมตร (NEDC) กับความมั่นใจในทุกการเดินทางไปกับระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงจาก JAECOO 6 EV

“รางวัล BEST OFF ROAD EV นี้ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับ OMODA & JAECOO เรามุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกสภาพพื้นที่ JAECOO 6 EV พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราสามารถผสมผสานดีไซน์ที่คงเอกลักษณ์ รวมกับสมรรถนะของรถที่ตอบโจทย์การเดินทางทุกรูปแบบ และเทคโนโลยีพลังงานใหม่ได้อย่างลงตัว” นางสาวสุชาดา ชูสงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

ปี 2568 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความมุ่งมั่นของ OMODA & JAECOO ในการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ควบคู่ไปกับการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย รางวัล BEST OFF ROAD EV ครั้งนี้ เปรียบเหมือนจุดเริ่มต้นสำหรับ OMODA & JAECOO ในการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตต่อไป

มิตซูบิชิ เปิดตัว เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดตัว “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์” รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด อีกขั้นของสไตล์ที่โดดเด่นเติมเต็มความสนุกของครอบครัวยุคใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุดแอ็กทีฟ

กรุงเทพฯ – 10 มีนาคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถ “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์” รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม ที่สะท้อนตัวตนของครอบครัวรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความทันสมัยและไลฟ์สไตล์แอ็กทีฟ ตอกย้ำความแข็งแกร่งและโดดเด่นในการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก

มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เพลย์ เป็นรถรุ่นพิเศษ ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก ของรถจากซีรีส์ “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์” มาพร้อมรูปลักษณ์ที่สะท้อนความสปอร์ตพรีเมียมอันโดดเด่นและสะดุดตา ตอบสนองไลฟ์ไตล์สุดแอ็กทีฟของครอบครัวยุคใหม่ ที่พร้อมออกไปสนุกกับกับการใช้ชีวิตและกิจกรรมด้วยกัน มอบความอุ่นใจตลอดการใช้งาน ด้วยเครือข่ายผู้จำหน่ายกว่า 190 แห่งทั่วประเทศ พร้อมบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม ลูกค้าจึงสามารถเชื่อมั่นได้ในสมรรถนะที่เหนือชั้นและความคุ้มค่า” มร.อินาบะ กล่าวเพิ่มเติม

“มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์” มอบประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ เต็มเปี่ยมด้วยพลังและมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ปลอดภัย สะดวกสบาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาพร้อม MITSUBISHI e:MOTION ที่ผสาน 3 สุดยอดเทคโนโลยี อันเป็นเอกลักษณ์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประกอบไปด้วย ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดที่ทรงพลัง เพื่อพละกำลังที่เหนือกว่าและความประหยัดน้ำมัน โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ให้ความปลอดภัย ลุยได้ในทุกสภาพถนน และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจสูงสุดขณะเข้าโค้ง ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะนั่งปรับพับได้หลากหลายรูปแบบและมีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระที่ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ตอบโจทย์ทุกความต้องการและรองรับทุกไลฟ์สไตล์

ดีไซน์แบบสปอร์ตพรีเมียมโดดเด่นด้วยหลังคาสีดำ กระจกมองข้างสีดำ คิ้วขอบกระจกประตูสีดำ กระจังหน้าตกแต่งไดนามิกชิลด์สีดำ เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ และล้ออัลลอยสีดำ นอกจากนี้ ยังมีมือเปิดประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ และไฟท้ายแบบ LED สี Smoke โดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ ยังมาพร้อมไฟหน้าและกรอบไฟหน้าสีดำ ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง พร้อมด้วยชุดตกแต่งชายกันชนหน้า กันชนข้างและกันชนหลัง ขณะที่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เพลย์ มาพร้อมกันชนหน้า แผงตกแต่งข้างประตู แบบ Cross Design สีดำ และกระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถ

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ มีสีตัวถังให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว White Diamond พร้อมหลังคาสีดำ และ สีเทา Graphite Gray พร้อมหลังคาสีดำ ขณะที่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เพลย์ มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว White Diamond พร้อมหลังคาสีดำ สีเทา Graphite Gray พร้อมหลังคาสีดำ และสีเขียว Green Bronze พร้อมหลังคาสีดำ ในราคาจำหน่ายที่ 981,000 บาท ทั้งสองรุ่น

มาสด้าคว้า 6 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2568

มาสด้าคว้า 6 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2568 ตอกย้ำความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์เพื่อลูกค้าทุกคน

กรุงเทพฯ– ประเทศไทย, วันที่ 10 มีนาคม 2568 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง เข้ารับรอบรางวัล Thailand Car of the Year 2025 หรือรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2568 ที่จัดขึ้นโดย บริษัท กรังซ์ปรีด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และผู้จัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ซึ่งยนตรกรรมมาสด้าสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติมาครองได้ถึง 6 รุ่น รวมถึงยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดทั้งสองรุ่น ทั้งรถครอสโอเวอร์เอสยูวีมาสด้า CX-5 และรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 ที่เปิดตัวสู่ตลาดไปเมื่อเร็วๆ นี้ ที่กำลังเรียกกระแสตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในประเทศไทย สำหรับรางวัลที่มาสด้าได้รับในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยียานยนต์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟและการออกแบบอันสง่างามจาก โคโดะ ดีไซน์ โดยมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้าและผู้ขับขี่อย่างแท้จริง ภายในงานฯ ได้รับเกียรติอย่างสูงจาก นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล พร้อมด้วย นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน Thailand Car & Bike of the Year 2025 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายภพนิพิฐ จิรวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centric) คือแนวทางที่มาสด้ายึดถือเป็นหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยยานยนต์อันล้ำสมัยเสมอมา ตลอดจนการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในด้านการบริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน เพราะเราเชื่อว่า ความสุขในการขับขี่รถยนต์จะนำมาซึ่งความสุขในการใช้ชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า ดังนั้น การได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของมาสด้าต่อพันธกิจดังกล่าว เพราะไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่ารถยนต์มาสด้ามีคุณภาพมาตรฐานสูงจนได้รับการยอมรับจากผู้ทรงคุณวฺฒิทางด้านวิศวกรรมยานยนต์ และยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการนำมาซึ่งประสบการณ์ที่ดีจากการใช้รถยนต์ที่มาสด้าตั้งใจส่งมอบให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

รถยนต์มาสด้าที่ได้รับรางวัล Thailand Car of The Year 2025 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.รถยนต์นั่งสปอร์ต Mazda2 รุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล           Best Sedan Diesel under 1500 cc.

2.รถยนต์นั่งสปอร์ต Mazda3 รุ่น SP Fastback                     Best Hatchback under 2000 cc.

3.รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวี Mazda CX-5 XDL          Best Diesel SUV Over 2500 cc.

4.รถปิกอัพมาสด้า BT-50 DBL 2.2 XT Hi-Racer 8AT          Best High-lifted pickup 2200 cc.

5.รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวี Mazda CX-30 SP          The Best performance compact SUV

6.รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวี Mazda CX-8 SP          The Most Valuable SUV

มาสด้าให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยียานยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ตามแนวทาง Multi-solution เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเลือกใช้เทคโนโลยียานยนต์จากมาสด้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ เพื่อคงไว้ซึ่งโลกที่สวยงาม เพื่อผู้คน และเพื่อสังคมที่ยั่งยืนตลอดไป

บุคคลในภาพ (จากซ้ายสุดไปขวาสุด) คณะผู้บริหารระดับสูงจาก บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบด้วย นายวัชระ เจียรบุญ รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์และรัฐกิจสัมพันธ์, นายภพนิพิฐ จิรวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์, มร.ทาเคชิ ซาโตะ รองประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน, ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอรเนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, นายพิเชษฐ์ ปุณณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย และ นายศราวุฒิ บรรยงค์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า

PTG ชูธงปี 68 นำทัพด้วยฐานสมาชิก PT Max Card

PTG ชูธงปี 68 นำทัพด้วยฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus เน้นขยายพอร์ต Non-Oil กาแฟพันธุ์ไทยเป็นอาวุธหนุนเติบโต พร้อมก้าวสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2573

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ประกาศกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 2568 ภายใต้ Max World เดินหน้าขยายเครือข่ายธุรกิจในหลากหลายมิติ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ “อยู่ดี มีสุข” ผ่านการพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่เชื่อมโยงทุกไลฟ์สไตล์ และใช้ฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus กว่า 25 ล้านสมาชิก เป็นกลไกสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ Oil และ Non-Oil ตั้งเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2571 มุ่งเน้น กาแฟพันธุ์ไทย เป็นหัวหอกสำคัญ ขยายสู่ 5,000 สาขาทั่วประเทศ และก้าวสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2573

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยในงาน “PTG Drive for Tomorrow : Max Card. Max Growth. Max World.” ว่าปี 2567 ที่ผ่านมา PTG สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมี PT Max Card และ PT Max Card Plus กว่า 25 ล้านสมาชิก (คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรไทย) เป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ และกลยุทธ์ธุรกิจ Oil ของ PTG ทำสถิติใหม่ด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6,548 ล้านลิตร เติบโต 12.9% (YoY : year on year_เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน) สูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมกว่า 10 เท่า (ตลาดเติบโต 0.4% YoY) พร้อมครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 21.9% จาก Same-Store Sales Growth (SSSG) กว่า 11.6% YoY โดยมี PT Max Card เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาเติมน้ำมันมากขึ้น บ่อยขึ้น และต่อเนื่องขึ้น นอกจากปริมาณที่เติบโตขึ้นแล้ว PTG ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ โดยเน้นโครงการหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐาน และคุณภาพการบริการ เช่น บริการส่งน้ำมัน Max Service การเช็ดกระจก การดูแลลูกค้า พร้อมกลยุทธ์การเติบโตควบคู่ไปกับลูกค้า ชุมชน และ คู่ค้า ผ่านการพัฒนา Max Enterprise Connect (MEC) โซลูชันสำหรับลูกค้าองค์กร และร่วมมือกับกรมการค้าภายใน เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกับภาครัฐและชุมชน อีกทั้งได้พัฒนาและปรับปรุงสถานีบริการให้เป็น One-Stop Destination รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วให้ทุกสถานีกลายเป็นมากกว่าสถานีเติมน้ำมัน

ขณะเดียวกัน ธุรกิจ Non-Oil เติบโตอย่างแข็งแกร่งครอบคลุมทุกมิติ ในมุมของปริมาณทางฝั่งธุรกิจ Non-Oil มีรายได้เติบโต 31.2% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP 10 เท่า (GDP เติบโต 2.5% YoY) ขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้น 35% YoY โดยมีกาแฟพันธุ์ไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจ Non-Oil ด้วยการเติบโตที่โดดเด่นของกำไรขั้นต้นซึ่งเพิ่มขึ้น 80.2% YoY จากการขยายสาขาเฉลี่ยกว่า 1.3 สาขาต่อวันไปยังสถานีบริการน้ำมันและภายนอกสถานีบริการน้ำมันที่มีศักยภาพ อีกทั้งได้พัฒนาสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยพัฒนาโมเดลร้านให้หลากหลาย รวมถึงการทำแคมเปญที่สอดรับกับการสนับสนุนวัตถุดิบท้องถิ่นอย่าง “ไทยริกาโน” ขณะที่ Autobacs ซึ่งประกอบธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ และศูนย์บริการ มาตรฐานระดับญี่ปุ่น กำไรขั้นต้นเติบโต 70.9% YoY จากการขยายสาขาเป็น 117 สาขาภายในปี 2567 โดยมีรายได้เติบโตด้วยเช่นกันที่ 76% YoY

ทั้งนี้การเติบโตของกาแฟพันธุ์ไทย และ Autobacs เกิดจากพลังของฐานลูกค้าสมาชิกมีการเติบโตสะท้อนจากยอดขายกาแฟพันธ์ไทยกว่า 75% มาจากสมาชิก Max Card และ Max Card Plus โดยสมาชิก Max Card Plus มีการบริโภคกาแฟมากกว่าลูกค้าทั่วไป 7 เท่าต่อเดือน อีกทั้งซื้อกาแฟต่อครั้งมากกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 2 เท่า

นอกจากนี้ PTG ยังเติบโตเชิงกลยุทธ์โดยร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง บสย. เพื่อเสริมรากฐานการขยายแฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทยที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังได้มีการร่วมมือกับ กรมป่าไม้ แม่ฟ้าหลวง และ ธกส. ในการพัฒนาและส่งเสริมการปลูกกาแฟอาราบิก้าและพืชเศรษฐกิจยั่งยืนเพื่อรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมในอนาคต รวมถึงการส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดผ่านการรังสรรค์เมนูเครื่องดื่มของกาแฟพันธุ์ไทยเพื่อต่อยอดเพิ่มมูลค่า สนับสนุนเกษตรกร กระจายรายได้สู่ชุมชน และสร้างความยั่งยืนในทุกภูมิภาค

นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่าสำหรับอนาคต PTG มุ่งสู่ Max World ซึ่งเป็นระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่เชื่อมโยงทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้เข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ผ่าน 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่

1. ยกระดับคุณภาพให้ลูกค้ามี “ชีวิตดี” ผ่านบัตร Max Card และ Max Card Plus โดยมอบโอกาสให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย และได้รับสิทธิพิเศษมากขึ้น เช่น เข้าพักจุดบริการ PT MAX CAMP ฟรีระหว่างการเดินทาง ส่วนลด 50 สตางค์/ลิตร สำหรับน้ำมันใสหรือ LPG ส่วนลด 50% สำหรับเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยหรือคอฟฟี่เวิลด์ ฟรีค่าบริการจัดส่งน้ำมันฉุกเฉิน มูลค่า 100 บาท เป็นต้น โดยสิทธิประโยชน์เหล่านี้ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม และเกิดการบอกต่ออย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่าทุกสิ่งที่ PTG ขับเคลื่อนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจลูกค้า ดังคำกล่าว “ใครจะเข้าใจคนไทย…ได้ดีกว่าคนไทยด้วยกัน”

2. ขยายธุรกิจ Non-Oil ให้ “เติบโต” โดยตั้งเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2571 ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของกําไรขั้นต้น พร้อมกับธุรกิจ Non-Oil อื่นๆ อีก 25% โดยการเพิ่มในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีปัจจัยมาจากการขยายกาแฟพันธุ์ไทยสู่ 5,000 สาขา ภายในปี พ.ศ. 2571 การขยายสาขานี้จะทําให้กาแฟพันธุ์ไทยเข้าถึงชุมชนและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ในมุมธุรกิจใหม่ Subway ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศธุรกิจของ PTG ผ่านบัตร Max Card โดยใช้ประโยชน์จากฐานสมาชิกกว่า 25 ล้านราย เพื่อมอบความคุ้มค่าและสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ได้กล่าวเสริมว่า PTG ได้ขยายขอบเขตไปยังธุรกิจ Non-Oil อื่นๆ อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการเชื่อมต่อกับ Max Card ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะในด้าน บริการสินเชื่อที่ PTG ได้ร่วมมือกับ Paisan Capital เพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่ง เสริมศักยภาพในการเข้าถึงสินเชื่อด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการ อีกทั้ง PTG เป็นผู้นำในการนำ Subscription Model มาเชื่อมต่อกับสถานีชาร์จ EV Elex by EGAT PT ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า พร้อมยกระดับสุขอนามัยของคนในชุมชนผ่านธุรกิจบริหารจัดการขยะ

3. PTG ได้ย่อ Max World มาอยู่ในมือลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me เพื่อเพิ่ม “ความสะดวกสบาย” ให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มที่รวมสินค้า บริการ และสิทธิพิเศษไว้ในที่เดียว

นอกจากนี้ PTG ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเติบโตของธุรกิจ แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งมอบคุณค่าให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมา PTG ได้ดำเนินโครงการที่ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการติดตั้ง Solar Roof ในสถานีบริการ, ค่ายอาสาทำจริงไม่ทิ้งกัน, การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจและไม้ยืนต้นร่วมกับการปลูกกาแฟ และการฟื้นฟูป่าชายเลน รวมถึง การร่วมมือกับกรมการค้าภายใน รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรเพื่อนำมาแจกให้ลูกค้าสถานีบริการน้ำมัน

อีกทั้ง PTG ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นด้าน ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส โดยได้รับรอง CAC ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยแนวคิดของ PTG คือ การเติบโตของธุรกิจต้องไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะ PTG ตระหนักดีว่าภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุกภาคส่วนจากวิกฤตน้ำท่วม ไฟป่า ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและต้นทุนคาร์บอนในระดับโลก ปัจจุบัน 140 ประเทศทั่วโลกได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมพลังงานผ่าน นโยบาย COP, ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนให้กับธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ด้วยเหตุนี้ PTG จึงให้คำมั่นในการก้าวสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2030 (Scope 1 และ 1) ผ่าน 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่

-Reduce (10%) : ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กร (Drive Internal Decarbonization)

-Reforestation (30%) : ดูดซับและกักเก็บคาร์บอนผ่านการปลูกป่า การฟื้นฟู และการปกป้องระบบนิเวศชายฝั่ง (Forest Protection & Conservation Actions)

-Readjust Portfolio (60%) : ลงทุนใน ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต ที่สามารถชดเชยคาร์บอนและเติบโตในระยะยาว (Deploy investments in a carbon offset portfolio)

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ PTG ที่ไม่ได้มอง ESG เป็นเพียงมาตรฐาน แต่เป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ PTG เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมเชื่อมต่อทุกคนให้เข้าถึง ชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกช่วงของชีวิต ผ่าน Max Card และ Max Card Plus ซึ่งเป็นมากกว่าบัตรสะสมแต้ม แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม

“บางกอกมอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 กรังด์ปรีซ์ฯ ผนึกพันธมิตร 54 แบรนด์ดัง ปลุกอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) รวมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 54 แบรนด์ดัง จัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 ภายใต้ธีม “The Talk of Sensuous  Automotive” หรือ “สนทนาภาษายานยนต์” ชูไฮไลต์พื้นที่โซนใหม่จัดแสดงอะไหล่รถอีวีและสันดาป หลังปิดดีลเครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายจากประเทศจีน โดยงานจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน พ.ศ.2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 กล่าวว่า “สำหรับงานมอเตอร์โชว์ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม “The Talk of Sensuous  Automotive” หรือ “สนทนาภาษายานยนต์” สื่อถึงปรัชญาแนวทางการออกแบบในโลกยานยนต์ที่สื่อสารเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง ความปรารถนา แรงบันดาลใจ สื่อสารเป็นภาษาของยานยนต์ เพื่อสะท้อนแนวคิด การสร้างสรรค์พัฒนา และประสบการณ์สุนทรียภาพทางอารมณ์อย่างที่คุณค่า”

นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานจัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 “โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการยานยนต์จากยุโรปและเอเชียตอบรับเข้าร่วมออกบูธภายในงานฯ แล้ว 54 ราย แยกเป็นรถยนต์ 41 บริษัท และจักรยานยนต์ 13  สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมออกงานอย่างเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้รับการตอบรับการเข้าร่วมออกงานฯของกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่เป็นแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า ที่เพิ่งเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย อาทิ ZEEKR, OMODA&JAECOO, CHERY, KINGGEN, JUNEYAO , RIDDARA และ GEELY รวมถึงเทคโนโลยีระบบนำทางภายในรถยนต์ HUAWEI นอกจากนี้ยังมีแบรนด์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า YADEA ที่มาเปิดตัวครั้งแรกภายในงานฯ โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 14 ราย”

“ส่วนในไฮไลต์ของการจัดงานฯ ปีนี้ นอกจากมีการเปิดตัวรถยนต์และรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ ทั้งรถสันดาปและรถอีวีของผู้ประกอบการยานยนต์แล้ว บริษัทฯ ได้จัดเตรียมพื้นที่ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พื้นที่กว่า 9,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการออกบูธอุปกรณ์ตกแต่งรถโดยเฉพาะ โดยในปีนี้ได้ขยายฐานผู้ออกบูธแสดงสินค้าสู่กลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถอีวีและสันดาปที่ต้องการขยายตลาดในประเทศไทย เนื่องจากเห็นโอกาสและศักยภาพของงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่เป็นงานจัดแสดงยานยนต์ระดับสากล”

“จึงได้รับความร่วมมือจาก บริษัท หนานจิง ฉ่วงฉี เอ็กซิบิชั่น จากประเทศจีน ได้นำสินค้าอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จากประเทศจีน มาจัดแสดงเพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยที่สนใจเป็นร่วมตัวแทนจำหน่ายอีกด้วย นับได้ว่า เป็นครั้งแรกของการจัดงานแสดงรถยนต์เพื่อผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงทางธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ บนพื้นที่กว่า 3,800 ตารางเมตรภายในฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ระหว่างวันที่ 24 – 30 มีนาคม 2568 มั่นใจได้ว่า จะได้สินค้าที่ตรงตามคุณภาพ ราคาจากผู้ประกอบการโดยตรง”

นอกจากนี้ ยังมีการออกบูธจัดแสดง USED CAR หรือรถมือสองระดับลักชัวรี่ รวมถึง สินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น สินค้ามูเตลู การแข่งขันชิงรางวัล พร้อมกิจกรรมสนุกๆ อีกมากมาย ภายในฮอลล์

และอีก 1 งานที่แต่งเติมสีสันให้ล้อกันไปกับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ คือ MU-NIVERSE “เปิดจักรวาลมูเตลูไทย สู่คนรุ่นใหม่” เป็นอีเวนต์ที่รวบรวม เรื่องราวมูเตลูของเมืองไทยในแบบที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยง ความเชื่อม ศิลปะ เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน ระหว่าง วันที่ 2-6 เมษายน 2568 ที่บริเวณฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พบปะกับอ.ลักษณ์ โหราธิบดี และแขกรับเชิญสายมูชื่อดังมากมาย พร้อมกิจกรรมดูดวง ปรึกษาฤกษ์ออกรถ ป้ายทะเบียนมงคล สินค้าเครื่องรางวัตถุมงคล กิจกรรมแลกเปลี่ยนข้อมูลของดีของสะสมสายมู พร้อมรับสติ๊กเกอร์เสริมดวงรุ่นพิเศษเฉพาะงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เท่านั้น

นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่สายการผลิต บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับกิจกรรมในปีนี้ นอกจากกิจกรรม E-Racing ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์การแข่งขันรถยนต์เสมือนจริงผ่านเครื่องเล่น Simulator แล้ว ทางผู้จัดยังได้รับความร่วมมือจาก R.C.S. (Runbike Championship Series) ประเทศญี่ปุ่น จัดกิจกรรมการแข่งขันจักรยานทรงตัวรายการ “Grandprix Runbike Championship With R.C.S.” ขึ้นภายในงาน โดยเป็นการจัด Pre-Event จำนวน 2 สนาม ซึ่งการจัดการแข่งขันดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันวงการกีฬาสำหรับเยาวชนในประเทศไทย รวมถึงบูธแสดงสินค้าเกี่ยวกับเด็ก กีฬา และไลฟ์สไตล์ ตลอดจนโซนกิจกรรมสำหรับครอบครัวอีกด้วย”

นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาบริษัทฯ ในฐานะผู้จัดงาน ได้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้เข้าร่วมงาน และผู้เข้าชมงานได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี digital transformation เข้ามาอำนวยความสะดวกในการเข้าชมงาน”

“เราได้พัฒนาบัญชี LINE Official Account หรือ Line OA ขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกใช้ในการลงทะเบียน และยังเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทฯ กับผู้บริโภคในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบการให้บริการใหม่ๆ ทั้งกลุ่ม Auto และ กลุ่ม Lifestyle ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นมา เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ”

“นอกจากนี้ เรายังได้จัดทำโปรแกรม Fullloop ที่สามารถเก็บข้อมูลฟีดแบ็กจากผู้เข้าชมได้ในรูปแบบที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ผู้เข้าชมสามารถกรอกแบบสอบถามสั้นๆ เพื่อประเมินการจัดงาน ช่วยให้ผู้จัดงานสามารถรวบรวมข้อมูลได้ทันทีและวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการเก็บฟีดแบ็กจากผู้เข้าชมในงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้จัดงานสามารถปรับปรุงการจัดงานในหลายๆ ด้าน และตอบสนองต่อความต้องการของผู้เข้าชมได้ดียิ่งขึ้น”

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการจัดงานฯ ปีนี้จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา  ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปีนี้คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนและเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน ประกอบกับสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อรถใหม่และรถมือสอง

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ผู้จัดงานฯ มีการปรับเพิ่มวันสำหรับสื่อมวลชน หรือ Press day เป็น วันที่ 24 มีนาคม 2568 สือมวลชน สามารถเข้าภายในบริเวณงานได้ตั้งแต่เวลา 7:30 น. โดยรอบนำเสนอของบริษัทแรกจะเริ่มในเวลา 08:00 – 21:00 น. ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมจากแบรนด์ที่ร่วมออกงานฯ โดยสื่อมวลชนที่ไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้า สามารถลงทะเบียนได้ที่กองอำนวยการ ได้ตั้งแต่เวลา 07:00 น.

ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 พิธีเปิดการจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 อย่างเป็นทางการ จะเริ่มในเวลา 09:00 – 10:00 น. และ เปิดรอบสำหรับ VIP ตั้งแต่เวลา 10:00 – 18:00 น.

การจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 นี้ มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ มั่นใจว่า การจองรถยนต์ ภายในงานครั้งนี้ จะได้รับข้อเสนอที่คุ้มค่า เข้าถึงเทคโนโลยีล่าสุด และสิทธิพิเศษมากมาย ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตัดสินใจ!  และ สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่แพ้การจัดงานในอดีตที่ผ่านมา

แคมเปญแจกรถรางวัล สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ เรามี 4 แคมเปญด้วยกัน ดังนี้

1.ซื้อบัตรเข้าชมงาน ตอบแบบสอบถาม ลุ้นรับรางวัลรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้า JAECOO 6 EV (2WD) และ รถจักรยานยนต์ 2 รางวัล จากแบรนด์ YAMAHA และ HONDA

2.จองรถยนต์ ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ลุ้นรับรถยนต์ไฟฟ้า NETA V-II smart หรือ จองรถจักรยานยนต์ภายในงานฯ ลุ้นรางวัล รถจักรยานยนต์ KAWASAKI W230

3.ร่วมกิจกรรมลงทะเบียนบัตรอภินันทนาการ ลุ้นรับรางวัลรถจักรยานยนต์ SUZUKI BURGMAN ได้ที่ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4

4.กิจกรรม Shopping มูลค่า 1,000 บาทขึ้นไปภายใน ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ร่วมลุ้นรางวัล E-Scooter YADEA MODERN

สำหรับบัตรเข้าชมงานฯ มีจำหน่ายบริเวณด้านหน้างาน และ ทางออนไลน์ ผ่านไลน์แอปพลิเคชั่น ทั้งนี้นอกจากสิทธิประโยชน์จากการร่วมลุ้นรางวัลรถยนต์และรถจักรยานยนต์แล้ว สามารถนำบัตรเข้าชมงานแบบซื้อที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว มาร่วมกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมายได้ที่ บูธกิจกรรมพิเศษ ภายในอาคารฟอรั่ม ฮอลล์4 และ สำหรับการจัดงานฯ ครั้งนี้ ผู้จัดงานฯ ได้จัดเตรียมรถshuttle ไว้อำนวยความสะดวก สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสีชมพู สามารถลงที่สถานีศรีรัช แล้วต่อรถ shuttle ที่ผู้จัดงานฯได้เตรียมไว้ เพื่อเข้าสู่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 เส้นทางศรีรัช  – ACTIVE HALL 4 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่ประการใด

มาร่วมสัมผัสนวัตกรรมแห่งยานยนต์ AI ที่จะตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และคุณภาพชีวิตใหม่ของทุกคนได้ที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 นี้  วันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี งานแสดงเทคโนโลยียานยนต์ อันดับ 1 ของเมืองไทย

โตโยต้าคว้ารางวัล “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย

โตโยต้าคว้ารางวัล “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย” สาขา กลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีซ้อน ในงาน 13th THAILAND SOCIAL AWARDS

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คว้ารางวัล “BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA” หรือ “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลมีเดีย” สาขากลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีซ้อน (2021-2025) จากการประกาศรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS ครั้งที่ 13 โดยมี นายอภิสิทธิ์ กาบบัวลอย ผู้จัดการโครงการ ฝ่ายบริหารการตลาดและประชาสัมพันธ์ เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม ชั้น 7

THAILAND SOCIAL AWARDS เป็นงานประกาศรางวัลโซเชี่ยลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจัดโดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาซอฟแวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดชั้นนำของไทย จุดประสงค์ในการจัดงานเพื่อให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลมีเดีย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทย ผ่านการมอบรางวัลเพื่อส่งเสริม เชิดชูแบรนด์ที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์และยกระดับวงการโซเชียลในสาขาต่างๆ

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล “BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA” สาขากลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีติดต่อกัน ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับลูกค้า โดยมีการพัฒนาเนื้อหา ข้อมูล มัลติมีเดีย ให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดียที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน นอกจากนั้นทางบริษัทมีการติดตามความรู้สึกและเสียงของลูกค้าที่มีต่ออุตสาหกรรมหรือแบรนด์ ทำให้เราสามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำมาซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยป้องกันและแก้ปัญหาต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของลูกค้าอีกด้วย

Isuzu Thailand Championship 2025

“Isuzu Thailand Championship 2025” เฟ้นหาสุดยอดนักมวยไทยทั่วประเทศ ชิงถ้วยพระราชทาน พร้อมรางวัลรถปิกอัพอีซูซุ

อีซูซุเดินหน้าจัดการแข่งขัน “Isuzu Thailand Championship 2025” ต่อเนื่องหลังการปรับรูปแบบเมื่อปีที่แล้วจาก “ศึกอีซูซุคัพ” มวยไทยระดับตำนานถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ และยาวนานที่สุดของไทยมากกว่า 3 ทศวรรษ สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนมวยทั่วประเทศ ด้วยการค้นหานักมวยฝีมือดีจาก 6 ภูมิภาค เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในรูปแบบทีม ผู้ชนะจะได้รับถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข็มขัดแชมป์ และรถปิกอัพ  อีซูซุ ดีแมคซ์ สปาร์ค 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก! ทั้งหมด 3 คัน มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท พร้อมสิทธิ์เป็นตัวแทนนักมวยจากประเทศไทยในการแข่งขันระดับโลก THAI FIGHT 2025

กลุ่มตรีเพชร โดย มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “อีซูซุได้จัดการแข่งขันมวยรอบถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ และยาวนานที่สุดของไทยมากกว่า 3 ทศวรรษ จนได้ชื่อว่า “มวยไทยทางทีวีระดับตำนาน” สำหรับ “Isuzu Thailand Championship” ในปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ด้วย TV Rating สูงมาก และในปีนี้เราก็ได้ 18 นักมวยที่มีความสามารถจากทั่วประเทศ เพื่อชิงแชมป์ประเทศไทย ซึ่งนับเป็นการสร้าง “เลือดใหม่” ให้แก่วงการมวยไทยอีกครั้งหนึ่ง ผมขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายสำหรับการสนับสนุนอย่างดียิ่งมาโดยตลอดจนทำให้เกิดการแข่งขันในครั้งนี้”

การแข่งขันมวย Isuzu Thailand Championship เป็นการจัดแข่งขันมวยคาดเชือกโดยชกมวยแบบ “ยกทีมปะทะกัน” ซึ่งThai Fight International Boxing Association (TFIBA) หรือ สมาคมกีฬามวยไทยไฟท์นานาชาติ เป็นผู้รับรองการแข่งขัน ด้วยการนำนักมวยท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค จัดเป็นทีมๆ ละ 3 คน เป็นตัวแทนของภูมิภาค โดยแบ่งเป็น 6 ภูมิภาค นักมวย 18 คน ดังนี้

1.ภาคเหนือ

พิกัด 61 กิโลกรัม : ขุนศึกเล็ก ศิษย์ผู้ใหญ่เทพ

พิกัด 63 กิโลกรัม : ธนูเงิน ภ.หลักบุญ

พิกัด 65 กิโลกรัม : เพชรลือชา ช.ห้าพยัคฆ์

2.ภาคอีสานเหนือ

พิกัด 61 กิโลกรัม : ขวัญ ส.เพลินจิตร

พิกัด 63 กิโลกรัม : ชัยบุรี ลูกสิงห์นําชัย

พิกัด 65 กิโลกรัม : เกียรติเพชร สวนอาหารปีกไม้

3.ภาคอีสานใต้

พิกัด 61 กิโลกรัม : จอมพล ส.กลิ่นมี

พิกัด 63 กิโลกรัม : พลอยพันล้าน กําปั้นมวยไทย

พิกัด 65 กิโลกรัม : สายน้ำเพชร มวยไทยแอคทีฟ

4.ภาคกลาง

พิกัด 61 กิโลกรัม : ฉัตรชัย ส.ตระกูลสิงห์

พิกัด 63 กิโลกรัม : ปราบปราม ส. สุวรรณารัณย์

พิกัด 65 กิโลกรัม : ดาวเหนือ เอ็นแอนด์พีบ๊อกซิ่งยิมส์

5.ภาคตะวันออก

พิกัด 61 กิโลกรัม : ปราบศึก ศิษย์แก้วประพล

พิกัด 63 กิโลกรัม : ซามูไร สีโอปอล

พิกัด 65 กิโลกรัม : ฟ้านิมิต ว. เทคโนหลวงปู่สรวง

6.ภาคใต้

พิกัด 61 กิโลกรัม : เบิกบาน ลูกเมืองเพชร

พิกัด 63 กิโลกรัม : ซุปเปอร์บอล น้องแพรลูกสาวกํานันกุ้ง

พิกัด 65 กิโลกรัม : พลเอก ภูตะลึงคาเฟ่

โดยในการแข่งขันรอบแรก วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568 เป็นการพบกันระหว่างทีมภาคตะวันออกกับทีมภาคใต้ และทีมภาคเหนือกับทีมภาคอีสานใต้ โดยมีผลกรแข่งขันดังนี้

ผลการแข่งขันมวย Isuzu Thailand Championship 2025

•คู่ที่ 1 น้ำหนัก  61 กิโลกรัม รอบแรก

ปราบศึก ศิษย์แก้วประพล (ทีมภาคตะวันออก) เสมอ เบิกบาน ลูกเมืองเพชร (ทีมภาคใต้)

•คู่ที่ 2 น้ำหนัก 65 กิโลกรัม รอบแรก

ฟ้านิมิต ว.เทคโนหลวงปู่สรวง (ทีมภาคตะวันออก) แพ้น็อคยก 2 พลเอก ภูตะลึงคาเฟ่

(ทีมภาคใต้)

•คู่ที่ 3 น้ำหนัก 63 กิโลกรัม รอบแรก

ซามูไร สีโอปอล (ทีมภาคตะวันออก) ชนะคะแนน ซุปเปอร์บอล น้องแพรลูกสาวกำนันกุ้ง (ทีมภาคใต้)

•คู่ที่ 4 น้ำหนัก 63 กิโลกรัม รอบแรก

ธนูเงิน ภ.หลักบุญ (ทีมภาคเหนือ) ชนะน็อคยก 2 พลอยพันล้าน กำปั้นมวยไทย

(ทีมภาคอีสานใต้)

•คู่ที่ 5 น้ำหนัก 65 กิโลกรัม รอบแรก

เพชรลือชา ช.ห้าพยัคฆ์ (ทีมภาคเหนือ) ชนะคะแนน สายน้ำเพชร มวยไทยแอคทีฟ

(ทีมภาคอีสานใต้)

•คู่ 5 น้ำหนัก 61 กิโลกรัม รอบแรก

ขุนศึกเล็ก ศิษย์ผู้ใหญ่เทพ (ทีมภาคเหนือ) ชนะคะแนน จอมพล ส.กลิ่นมี (ทีมภาคอีสานใต้)

สรุปรวมผลคะแนนรอบแรก

ภาคตะวันออก 3 คะแนน

ภาคใต้ 4 คะแนน

ภาคเหนือ 7 คะแนน

ภาคอีสานใต้ 0 คะแนน

รูปแบบการแข่งขัน

เป็นการแข่งขันชกในรูปแบบมวยคาดเชือก แข่งขันชกกัน 3 ยก จะมีทีมเข้าแข่งขัน 6 ทีม ตามภูมิภาคที่กำหนดไว้ และทำการแข่งขันแบบยกทีม ซึ่งนักมวยทั้ง 3 คน 3 รุ่นน้ำหนักของแต่ละทีม จะต้องแข่งขันชกเพื่อชัยชนะในการสะสมคะแนน ซึ่งทุกทีมจะแข่งขันแบบพบกันหมด ทั้ง 6 ทีม โดยทุกทีมจะทำการแข่งขันในรอบแรก ทีมละ 5 ไฟท์ รวมการแข่งขันในรอบแรก และมีการเก็บคะแนนแบบระบบ League โดยกำหนดการให้คะแนน ดังนี้

•ชนะน็อค ได้ 3 แต้ม

•ชนะคะแนน ได้ 2 แต้ม

•เสมอ ได้ 1 แต้ม (เฉพาะการแข่งขันรอบแรก) (การแข่งขันรอบสอง ในกรณีแข่งขันชกครบ 3 ยก ผลการตัดสินออกมา “เสมอ” จะทำการแข่งขันชกกันต่อในยกที่ 4 ซึ่งจะเป็นยกตัดสิน เพื่อหาผู้ชนะ)

เมื่อทุกทีมแข่งขันครบทุกทีมแล้ว จะนำเอาทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 1 – 4 เข้ารอบสองต่อไป แล้วทำการแข่งขันกันต่อ เพื่อหาทีมที่ดีที่สุด

การแข่งขันรอบแรก จำนวน 6 ทีม นำมาแข่งขันแบบพบกันหมด โดยทุกทีมจะทำการแข่งขันในรอบแรก ทีมละ 5 ไฟท์ แล้วเอาทีมที่มีคะแนนเก็บมากที่สุด 4 อันดับแรก นำเข้าสู่รอบสอง (รอบ 4 ทีมสุดท้าย)

การแข่งขันรอบสอง จำนวน 4 ทีม นำมาแข่งขันแบบไขว้ทีม คือ ด้วยการนำเอาทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 1 มาแข่งขันกับทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 4 และนำทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 2 มาแข่งขันกับทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 3 ในกรณีที่ทีมมีคะแนนผลการแข่งขันรวมเท่ากัน ก็จะนำเอาผลการให้คะแนนย่อยในแต่ละยก ของแต่ละคู่ นำมารวมกันทั้ง 3 คู่ ออกมาเป็นคะแนนรวมตัดสิน ซึ่งจะทำการแข่งขันยกทีมเพียงแค่ 2 ไฟท์ ทีมใดแพ้จะตกรอบทันที และทีมที่ชนะจะได้เข้ารอบชิงชนะเลิศในสังเวียน THAI FIGHT และนักมวยทีมชนะเลิศ จะเป็นนักมวยในสังกัด THAI FIGHT

โดยทีมที่เป็นแชมป์จะได้รับถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข็มขัดแชมป์รถปิกอัพ อีซูซุ ดีแมคซ์ สปาร์ค 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก! คนละ 1 คัน รวมทั้งหมด 3 คัน มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท พร้อมสิทธิ์เป็นตัวแทนนักชกไทยในสังเวียนมวยโลก THAI FIGHT 2024 แฟนมวยสามารถติดตามรายการ “Isuzu Thailand Championship” ทุกวันอาทิตย์ ทางช่อง 8 และ YouTube ช่อง THAI FIGHT OFFICIAL ตั้งแต่เวลา 18.00 – 20.00 น. ถ่ายทอดสดจาก World Siam Stadium ตะวันนา บางกะปิ

MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 รุกหนัก LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร

MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 ยืนหนึ่งผู้นำ LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร อันดับ 1 ของประเทศ กางแผน Road Map 3 ปี สู่การพัฒนาธุรกิจเชิงรุก เพื่อความยั่งยืนปี 68 เล็งสยายปีก 4 กลุ่มธุรกิจ ปั้นรายได้เพิ่ม

บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 เดินหน้าตอกย้ำการเป็นผู้นำ LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร พร้อมประกาศยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568-2570) เร่งขับเคลื่อน 4 กลุ่มธุรกิจ สู่การพัฒนาแพลตฟอร์มตอบโจทย์ลูกค้า-พัฒนาบุคลากร-พัฒนาเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อมุ่งสู่กลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้าน CEO “สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ” เดินเกมรุกลุยธุรกิจ EV – Alpha X – Howden Maxi สร้างรายได้เพิ่มในอนาคต

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปี 2568 MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 ของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งขององค์กรและความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร โดยในปีนี้ บริษัทฯ วางกลยุทธ์การขับเคลื่อนทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต 4 กลุ่มธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่าน 3Ps ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักสู่ความสำเร็จ คือ PEOPLE : มุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถสูง มีทัศนคติที่มุ่งเน้นการให้บริการ และส่งเสริมศักยภาพองค์กรให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ PROCESS : พัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ โดยมุ่งปรับขั้นตอนการทำงานในส่วนต่างๆ ให้เหมาะสม ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้ทัดเทียมสากล และ PROFIT : ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมุ่งสร้างผลกำไรให้บริษัทฯ ผ่านการจำหน่ายยานยนต์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงบริการต่างๆ แบบครบวงจร ผสานกับบริการหลังการขาย รวมถึงศูนย์ซ่อมสีตัวถังและบริการดูแลรถยนต์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รถเช่า มีแผนนำเทคโนโลยีทันสมัย มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับฟลีตรถเช่า ทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงเพิ่มจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าในฟลีตรถเช่าระยะยาว รองรับการเติบโตของลูกค้าองค์กร นำไปสู่การสร้างผลกำไรสูงสุด ท่ามกลางระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ”

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางยุทธศาสตร์การเติบโต ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1. STRATEGIC GROWTH OBJECTIVES : โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ ควบคู่กับแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือและรักษาการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความประทับใจกับกลุ่มลูกค้าในทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการ

2. BUSINESS ECOSYSTEM SEGMENTS : สร้างแบรนด์ร่วม (Co-Branding) สู่การพัฒนา เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงแผนการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก โดยบริษัทฯ จะร่วมกับ XPENG และ ZEEKR ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน เพื่อขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่

3. SUSTAINABILITY AND INNOVATION : ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดปริมาณปล่อยคาร์บอนเพื่อต่อยอดสู่พลังงานหมุนเวียน

ปี 2568 ทางบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มความได้เปรียบสูงสุด ให้ธุรกิจในกลุ่มการเงิน, ประกันภัย และยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อน MGC-ASIA สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต สอดรับกับกลยุทธ์การขับเคลื่อนใน 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่

1. กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) : บริษัทฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดรถพรีเมียม เพื่อครองอันดับ 1 โดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายแบรนด์ดังอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเตรียมพัฒนา MGC-MOBILIFE แพลตฟอร์ม loyalty program ที่มอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับ โดยใช้ระบบ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและปรับแต่งให้ลงตัวกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า

2. กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) : ปีนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายสาขา MMS Car Service & Tire ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) เพิ่มอีก 6 สาขา จากเดิม 22 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อขยายการให้บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) และเพิ่มบริการให้ครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่ เพื่อสร้างอัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าให้สูงขึ้น

3. กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว (Car Rental and Driver Services) : กลุ่มบริษัทฯ วางแผนในการดำเนินธุรกิจ

ให้ครอบคลุมการเดินทางให้ครบวงจรทุกมิติ และปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การให้บริการ ตามการเติบโตของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มที่ให้บริการลูกค้าองค์กรมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ “MGC-ASIA Ecosystem” เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ให้ทุกกลุ่มธุรกิจ

4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) : สำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่ง MGC-ASIA ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในปีนี้ จะมุ่งเน้นการเติบโตจากการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับปรุงกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และควบคุมผลขาดทุนด้านเครดิต โดยการนำเสนอการแก้ปัญหาในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า เพื่อสร้างผลกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ส่วนบริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัย ชั้นแนวหน้า กลุ่มบริษัทฯ วางแผนกลยุทธ์ในปีนี้ ที่จะขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ รักษาการเป็นโบรกเกอร์ระดับชั้นนำ

อย่างไรก็ตาม จากแผนกลยุทธ์และเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว สอดคล้องกับเป้าพันธกิจ 3 ปี (2568-2570 )ของ MGC-ASIA ที่จะนำพาบริษัทฯ สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผ่านธุรกิจใหม่ อย่าง AI- Powered Solutions รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ผ่านการทำ ESG อย่างเป็นระบบ พร้อมความมุ่งมั่นในการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าปัจจุบัน สร้างประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ผ่านการบริการที่โดดเด่นและเหนือระดับ นำไปสู่ความพึงพอใจสูงสุด สำหรับลูกค้าทุกราย ภายใต้วิสัยทัศน์ ที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร ภายใต้ระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานของ MGC-ASIA ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 20,334 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 145.60 ล้านบาท และ EBITDA ที่ระดับ1,631 ล้านบาท โดยไตรมาส 4/2567 (ตุลาคม-ธันวาคม 2567) บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรได้สูงสุด โดยมีรายได้รวม 5,977 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 ที่ผ่านมา(QoQ) และมีกำไรสุทธิ 95.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 888.40% (QoQ) ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) แตะ 468 ล้านบาท เติบโต 23% (QoQ)

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ในปีที่ผ่านมานับว่ามีความท้าทาย โดยหากอ้างอิงจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ มีอัตราส่วนลดลงประมาณ 26% เทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ MGC-ASIA รับมือกับสถานการณ์ได้น่าพอใจ โดยมีอัตราส่วนลดลงเพียง 10% เป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างมีนัย ทั้งแบรนด์ XPENG และ ZEEKR ที่ได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และมียอดส่งมอบรถมากกว่า 1,000 คัน จากปีก่อนที่ภาพรวมการส่งมอบรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสองประมาณ 9,000 คัน นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) แบ่งเป็น, XPENG จำนวน 767 คัน, ZEEKR จำนวน 230 คัน, Rolls-Royce จำนวน 8 คัน, BMW จำนวน 42 คัน, MINI Cooper จำนวน 78 คัน, HONDA จำนวน 337 คัน, Harley-Davidson จำนวน 50 คัน และ BMW Motorrad จำนวน 41 คัน และในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ ยังเตรียมส่งมอบรถยนต์ XPENG X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ พวงมาลัยขวาล็อตแรกของโลก เพื่อต่อยอดผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะแบรนด์ XPENG จำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ และ ZEEKR by Z Mobility Plus อีก 2 สาขา คือ ศรีนครินทร์ และวิภาวดี ขณะที่ธุรกิจบริการหลังการขาย รวมถึงศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง Tesla Approved Body Shop (TAB) ที่ได้รับความไว้วางใจจาก TESLA ให้เป็นผู้บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า TESLA ก็อยู่ในช่วงขยายตัวและมีกำไรต่อเนื่อง จากการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ที่เข้ารับบริการ 19%

“ช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจาก คอนติเทนทอล ไทรส์ ผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับโลกในการร่วมมือกันทำโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้า พร้อมตอบแทนสังคมอย่างยั่งยืน อีกทั้งมีการขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่เราได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ CITY AUTO GROUP ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ เพื่อศึกษาโอกาสธุรกิจร่วมกัน ทั้งบริการ รถใหม่ รถมือสอง รถเช่า บริการทางการเงิน และประกันภัย เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจ และสร้างการเติบโตร่วมกันในไทยและเวียดนาม” นายสัณหวุฒิ กล่าวเสริม

ด้าน Alpha X ผู้ให้บริการทางการเงินให้กับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง มีความชำนาญในด้านสินทรัพย์ที่เป็นยานพาหนะหรู ทั้งรถยนต์ เรือยอทช์ และเครื่องบิน ตลอดจน อสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ที่เป็นผู้นำในการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อให้บริการแบบครบวงจร โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เน้นการให้สินเชื่อเพื่อสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Lending) ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับสูง และมีความเสี่ยงที่ต่ำ ส่งผลให้พอร์ตการให้สินเชื่อเติบโตขึ้นกว่า 45% นอกจากนี้ มีการปรับลดขั้นตอนทำงาน และลดต้นทุนในการดำเนินงานลงได้กว่า 10% จากปีก่อนหน้า และลดการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยง ส่งผลให้การลงทุนทางด้านเครดิตลดลงกว่า 50% เทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเป็นปีแรก และปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเน้นการเติบโตผ่านบริการ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วย AI พร้อมนำเสนอทางออกในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า

ส่วนธุรกิจบริการประกันภัย ที่บริหารงานโดย บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (Howden Maxi) ในปีงบประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2566 ถึง กันยายน 2567 บริษัทฯ สามารถทำรายได้แตะระดับ 337 ล้านบาท เติบโต 2% และ มีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตของกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงการขยายพอร์ตไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่มากขึ้น โดยทีมที่สามารถสร้างรายได้เข้าเป้า มาจากทีมอัญมณีเครื่องประดับ, ทีมงานศิลปะ และทีมงานโครงการพิเศษ

นอกจากนี้ ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเฟื่องฟู ส่งผลให้ธุรกิจรถเช่า SIXT  มีรายได้เติบโต 11.10% ซึ่งถือว่ามีอัตราการเติบโตและผลกำไรที่น่าพอใจ ทั้งรถเช่าระยะสั้น และรถเช่าระยะยาว รวมถึงบริการพนักงานขับรถ

“ไทยจีพี 2025” เปิดฤดูกาลยิ่งใหญ่ประทับใจ “มาร์เกซ” เหนือชั้นเหมาชัยสนามแรก

“โมโตจีพี” ศึกสองล้อเบอร์หนึ่งของโลก เปิดฤดูกาล 2025 ที่ประเทศไทยอย่างสนุกสุดมันส์  ตลอด 3 วันแฟนความเร็วทั้งไทย-เทศร่วมงาน 224,634 คน สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ 5,043 ล้านบาท โดย “มาร์ค มาร์เกซ” แชมป์โลก 8 สมัยจาก ดูคาติ สร้างผลงานระดับมาสเตอร์ผงาดคว้าชัยชนะไปครองได้ทั้ง “เมนกรังด์ปรีซ์” และ “สปรินต์เรซ” ขณะ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกของประวัติศาตร์จากฮอนด้า ประเดิมพรีเมียร์คลาสเรซแรกในชีวิต เริ่มเกมกริด 22 บิดคว้าอันดับ 18 ท่ามกลางเสียงเชียร์กระหึ่มของแฟนมอเตอร์สปอร์ต

ศึกโมโตจีพี รายการ “พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025” (PT Grand Prix of Thailand 2025) การแข่งขันกีฬาระดับโลกรายการใหญ่ที่สุด ที่มีการจัดในประเทศไทย และมีผู้ติดตามชมมากกว่า  800 ล้านคน จาก 220 ประเทศทั่วโลก ดวลความเร็วรอบ “เมนกรังด์ปรีซ์” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

ไฮไลต์ของการแข่งขันอยู่ที่การดวลฝีมือของสุดยอดนักบิดระดับแชมป์โลก นำโดย “มาร์ค มาร์เกซ” ยอดนักบิดสแปนิชจาก ดูคาติ เลอโนโว ทีม และทีมเมทชาวอิตาเลียนอย่าง ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า, ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร นักบิดเฟรนช์จาก มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี, โจอัน เมียร์ นักบิดสแปนิชจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี คาสตรอล และนักบิดแถวหน้าของโลกอีกหลายคน

รวมถึงการเปิดตัวลงสนามในพรีเมียร์คลาสครั้งประวัติศาสตร์ของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกจากสังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ รวมถึงนักบิดรุกกี้อีก 2 คนอย่าง ไอ โอกูระ นักบิดญี่ปุ่นจาก แทร็คเฮาส์ เรซซิ่ง และ เฟร์มิน อัลเดเกร์ นักบิดสแปนิชจาก เกรซินี เรซซิ่ง

กริดสตาร์ทเรซนี้มี มาร์ค มาร์เกซ เป็นเจ้าของโพล ขนาบข้างด้วยน้องชายอย่าง อเล็กซ์ มาร์เกซ และ บันยาญ่า ในแถวหน้า ขณะที่ โอกูระ รุกี้ที่ทำผลงานสุดเซอร์ไพรส์ในรอบ สปรินต์เรซ ได้ออกตัวจากกริดที่ 5 ส่วน “ก้อง” สมเกียรติ นักแข่งชาวไทยประเดิมเรซแรกในชีวิตด้วยกริดสตาร์ตอันดับ 22

เกมเรซนี้จบลงด้วยชัยชนะแบบหมดจดของ “มาร์ค มาร์เกซ” ที่ออกนำได้ตั้งแต่เริ่มเกม แม้จะตัดสินใจถอยลงมาบิดตามหลัง อเล็กซ์ มาร์เกซ แต่ก็แซงคืนได้แบบง่ายดายในช่วง 3 รอบสุดท้าย เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกด้วยเวลา 39 นาที 37.244 วินาที กวาดแชมป์ไปครองทั้งรอบ เมนกรังด์ปรีซ์ และ สปรินต์ เรซ อันดับ 2 เป็นของ อเล็กซ์ มาร์เกซ ตามหลัง 1.732 วินาที ส่วน บันยาญ่า ตามเข้าป้ายอันดับ 3 ตามหลัง 2.398 วินาที

ขณะที่อันดับ 4 ได้แก่ ฟรานโก้ มอร์บิเดลลี นักบิดอิตาเลียนจาก เปอร์ตามิน่า เอ็นดูโร วีอาร์46 เรซซิ่ง ตามหลัง 5.176 วินาที ด้าน โอกูระ สร้างผลงานโดดเด่นสุดๆ แม้จะเป็นรุกกี้ โดยขึ้นมาไล่บดกับรุ่นพี่อย่างสนุก ก่อนคว้าอันดับ 5 มาครองได้สำเร็จ ตามหลังผู้ชนะ 7.450 วินาที

ส่วน “ก้อง” สมเกียรติ ประเดิมเรซแรกในฐานะนักบิดโมโตจีพี ได้อย่างยอดเยี่ยม ออกตัวจากกริดที่ 22 ไล่แซงคู่แข่งได้ในช่วงต้นเรซ และบดกับ กวาร์ตาราโร, มาเวริค บีญาเลส และ อเล็กซ์ รินส์ อย่างสุดมันส์ ก่อนบิดเข้าป้ายในอันดับ 18 ตามหลังผู้ชนะเพียง 31.480 วินาที

โดยผ่านการแข่งขันสนามแรกของปี มาร์ค มาร์เกซ ขยับขึ้นมารั้งจ่าฝูงบนตารางแชมเปียนชิพ เก็บไปทั้งสิ้น 37 คะแนนเต็ม ตามด้วย อเล็กซ์ มาร์เกซ อันดับ 2 มี 29 คะแนน ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ บันยาญ่า มี 23 คะแนน

ด้านเกมในรุ่น โมโตทู เวิลด์ แชมเปียนชิพ ชัยชนะสนามแรกเป็นของ มานูเอล กอนซาเลซ นักบิดสแปนิชจาก ลิควิ โมลี ไดนาโวลต์ อินแท็ค จีพี ด้วยเวลา 35 นาที 13.072 วินาที เหนืออันดับ 2 อย่าง แอรอน คาเน็ต นักบิดชาวสแปนิชจาก ฟานติค เรซซิ่ง ลิโน โซเนโก ถึง 2.600 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ เซนน่า เอเจียส นักบิดออสซี่จาก ลิควิด โมลี ไดนาโวลต์ อินแท็ค จีพี ตามหลัง 6.491 วินาที

สำหรับเกมในรุ่นเล็กอย่าง โมโตทรี เวิลด์ แชมเปียนชิพ เป็นอีกหนึ่งเรซที่ดวลกันอย่างเข้มข้น แต่จุดเปลี่ยนในกลุ่มหน้าเกิดจากการพลาดล้มของนักบิดหลายคน โดยชัยชนะเป็นของ “โฮเซ อันโตนิโอ รูเอด้า” ดาวรุ่งชาวสแปนิชจาก เรดบูล เคทีเอ็ม อาโย ด้วยเวลา 32 นาที 14.402 วินาที เหนือทีมเมทอย่าง อัลบาโร คาร์เป อันดับ 2 ถึง 7.276 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ อาเดรียน เฟอร์นันเดซ นักบิดสแปนิชจาก เลพเพิร์ด เรซซิ่ง ตามหลัง 7.341 วินาที ขณะที่นักบิดไทยอย่าง “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี จาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย เกี่ยวกันล้มกับคู่แข่งช่วงกลางเรซ พลาดการคว้าแต้มแรกในฤดูกาลอย่างน่าเสียดาย

ทั้งนี้ ศึก โมโตจีพี 2025 สนามถัดไปจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคม 2568 ที่ สนามเทอร์มาส เดอ ริโอ ฮอนโด้ ประเทศอาร์เจนติน่า ในรายการ กรังด์ปรีซ์ ออฟ อาร์เจนติน่า

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save