- Advertisement -
29.9 C
Bangkok
Home Blog Page 19

โตโยต้าคว้ารางวัล “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย

โตโยต้าคว้ารางวัล “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย” สาขา กลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีซ้อน ในงาน 13th THAILAND SOCIAL AWARDS

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คว้ารางวัล “BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA” หรือ “แบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโลกโซเชียลมีเดีย” สาขากลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีซ้อน (2021-2025) จากการประกาศรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS ครั้งที่ 13 โดยมี นายอภิสิทธิ์ กาบบัวลอย ผู้จัดการโครงการ ฝ่ายบริหารการตลาดและประชาสัมพันธ์ เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม ชั้น 7

THAILAND SOCIAL AWARDS เป็นงานประกาศรางวัลโซเชี่ยลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจัดโดย บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาซอฟแวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดชั้นนำของไทย จุดประสงค์ในการจัดงานเพื่อให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลมีเดีย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทย ผ่านการมอบรางวัลเพื่อส่งเสริม เชิดชูแบรนด์ที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์และยกระดับวงการโซเชียลในสาขาต่างๆ

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล “BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA” สาขากลุ่มธุรกิจรถยนต์ 5 ปีติดต่อกัน ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับลูกค้า โดยมีการพัฒนาเนื้อหา ข้อมูล มัลติมีเดีย ให้เหมาะสมกับแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดียที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน นอกจากนั้นทางบริษัทมีการติดตามความรู้สึกและเสียงของลูกค้าที่มีต่ออุตสาหกรรมหรือแบรนด์ ทำให้เราสามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำมาซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนช่วยป้องกันและแก้ปัญหาต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของลูกค้าอีกด้วย

Isuzu Thailand Championship 2025

“Isuzu Thailand Championship 2025” เฟ้นหาสุดยอดนักมวยไทยทั่วประเทศ ชิงถ้วยพระราชทาน พร้อมรางวัลรถปิกอัพอีซูซุ

อีซูซุเดินหน้าจัดการแข่งขัน “Isuzu Thailand Championship 2025” ต่อเนื่องหลังการปรับรูปแบบเมื่อปีที่แล้วจาก “ศึกอีซูซุคัพ” มวยไทยระดับตำนานถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ และยาวนานที่สุดของไทยมากกว่า 3 ทศวรรษ สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนมวยทั่วประเทศ ด้วยการค้นหานักมวยฝีมือดีจาก 6 ภูมิภาค เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในรูปแบบทีม ผู้ชนะจะได้รับถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข็มขัดแชมป์ และรถปิกอัพ  อีซูซุ ดีแมคซ์ สปาร์ค 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก! ทั้งหมด 3 คัน มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท พร้อมสิทธิ์เป็นตัวแทนนักมวยจากประเทศไทยในการแข่งขันระดับโลก THAI FIGHT 2025

กลุ่มตรีเพชร โดย มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “อีซูซุได้จัดการแข่งขันมวยรอบถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ และยาวนานที่สุดของไทยมากกว่า 3 ทศวรรษ จนได้ชื่อว่า “มวยไทยทางทีวีระดับตำนาน” สำหรับ “Isuzu Thailand Championship” ในปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ด้วย TV Rating สูงมาก และในปีนี้เราก็ได้ 18 นักมวยที่มีความสามารถจากทั่วประเทศ เพื่อชิงแชมป์ประเทศไทย ซึ่งนับเป็นการสร้าง “เลือดใหม่” ให้แก่วงการมวยไทยอีกครั้งหนึ่ง ผมขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายสำหรับการสนับสนุนอย่างดียิ่งมาโดยตลอดจนทำให้เกิดการแข่งขันในครั้งนี้”

การแข่งขันมวย Isuzu Thailand Championship เป็นการจัดแข่งขันมวยคาดเชือกโดยชกมวยแบบ “ยกทีมปะทะกัน” ซึ่งThai Fight International Boxing Association (TFIBA) หรือ สมาคมกีฬามวยไทยไฟท์นานาชาติ เป็นผู้รับรองการแข่งขัน ด้วยการนำนักมวยท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค จัดเป็นทีมๆ ละ 3 คน เป็นตัวแทนของภูมิภาค โดยแบ่งเป็น 6 ภูมิภาค นักมวย 18 คน ดังนี้

1.ภาคเหนือ

พิกัด 61 กิโลกรัม : ขุนศึกเล็ก ศิษย์ผู้ใหญ่เทพ

พิกัด 63 กิโลกรัม : ธนูเงิน ภ.หลักบุญ

พิกัด 65 กิโลกรัม : เพชรลือชา ช.ห้าพยัคฆ์

2.ภาคอีสานเหนือ

พิกัด 61 กิโลกรัม : ขวัญ ส.เพลินจิตร

พิกัด 63 กิโลกรัม : ชัยบุรี ลูกสิงห์นําชัย

พิกัด 65 กิโลกรัม : เกียรติเพชร สวนอาหารปีกไม้

3.ภาคอีสานใต้

พิกัด 61 กิโลกรัม : จอมพล ส.กลิ่นมี

พิกัด 63 กิโลกรัม : พลอยพันล้าน กําปั้นมวยไทย

พิกัด 65 กิโลกรัม : สายน้ำเพชร มวยไทยแอคทีฟ

4.ภาคกลาง

พิกัด 61 กิโลกรัม : ฉัตรชัย ส.ตระกูลสิงห์

พิกัด 63 กิโลกรัม : ปราบปราม ส. สุวรรณารัณย์

พิกัด 65 กิโลกรัม : ดาวเหนือ เอ็นแอนด์พีบ๊อกซิ่งยิมส์

5.ภาคตะวันออก

พิกัด 61 กิโลกรัม : ปราบศึก ศิษย์แก้วประพล

พิกัด 63 กิโลกรัม : ซามูไร สีโอปอล

พิกัด 65 กิโลกรัม : ฟ้านิมิต ว. เทคโนหลวงปู่สรวง

6.ภาคใต้

พิกัด 61 กิโลกรัม : เบิกบาน ลูกเมืองเพชร

พิกัด 63 กิโลกรัม : ซุปเปอร์บอล น้องแพรลูกสาวกํานันกุ้ง

พิกัด 65 กิโลกรัม : พลเอก ภูตะลึงคาเฟ่

โดยในการแข่งขันรอบแรก วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568 เป็นการพบกันระหว่างทีมภาคตะวันออกกับทีมภาคใต้ และทีมภาคเหนือกับทีมภาคอีสานใต้ โดยมีผลกรแข่งขันดังนี้

ผลการแข่งขันมวย Isuzu Thailand Championship 2025

•คู่ที่ 1 น้ำหนัก  61 กิโลกรัม รอบแรก

ปราบศึก ศิษย์แก้วประพล (ทีมภาคตะวันออก) เสมอ เบิกบาน ลูกเมืองเพชร (ทีมภาคใต้)

•คู่ที่ 2 น้ำหนัก 65 กิโลกรัม รอบแรก

ฟ้านิมิต ว.เทคโนหลวงปู่สรวง (ทีมภาคตะวันออก) แพ้น็อคยก 2 พลเอก ภูตะลึงคาเฟ่

(ทีมภาคใต้)

•คู่ที่ 3 น้ำหนัก 63 กิโลกรัม รอบแรก

ซามูไร สีโอปอล (ทีมภาคตะวันออก) ชนะคะแนน ซุปเปอร์บอล น้องแพรลูกสาวกำนันกุ้ง (ทีมภาคใต้)

•คู่ที่ 4 น้ำหนัก 63 กิโลกรัม รอบแรก

ธนูเงิน ภ.หลักบุญ (ทีมภาคเหนือ) ชนะน็อคยก 2 พลอยพันล้าน กำปั้นมวยไทย

(ทีมภาคอีสานใต้)

•คู่ที่ 5 น้ำหนัก 65 กิโลกรัม รอบแรก

เพชรลือชา ช.ห้าพยัคฆ์ (ทีมภาคเหนือ) ชนะคะแนน สายน้ำเพชร มวยไทยแอคทีฟ

(ทีมภาคอีสานใต้)

•คู่ 5 น้ำหนัก 61 กิโลกรัม รอบแรก

ขุนศึกเล็ก ศิษย์ผู้ใหญ่เทพ (ทีมภาคเหนือ) ชนะคะแนน จอมพล ส.กลิ่นมี (ทีมภาคอีสานใต้)

สรุปรวมผลคะแนนรอบแรก

ภาคตะวันออก 3 คะแนน

ภาคใต้ 4 คะแนน

ภาคเหนือ 7 คะแนน

ภาคอีสานใต้ 0 คะแนน

รูปแบบการแข่งขัน

เป็นการแข่งขันชกในรูปแบบมวยคาดเชือก แข่งขันชกกัน 3 ยก จะมีทีมเข้าแข่งขัน 6 ทีม ตามภูมิภาคที่กำหนดไว้ และทำการแข่งขันแบบยกทีม ซึ่งนักมวยทั้ง 3 คน 3 รุ่นน้ำหนักของแต่ละทีม จะต้องแข่งขันชกเพื่อชัยชนะในการสะสมคะแนน ซึ่งทุกทีมจะแข่งขันแบบพบกันหมด ทั้ง 6 ทีม โดยทุกทีมจะทำการแข่งขันในรอบแรก ทีมละ 5 ไฟท์ รวมการแข่งขันในรอบแรก และมีการเก็บคะแนนแบบระบบ League โดยกำหนดการให้คะแนน ดังนี้

•ชนะน็อค ได้ 3 แต้ม

•ชนะคะแนน ได้ 2 แต้ม

•เสมอ ได้ 1 แต้ม (เฉพาะการแข่งขันรอบแรก) (การแข่งขันรอบสอง ในกรณีแข่งขันชกครบ 3 ยก ผลการตัดสินออกมา “เสมอ” จะทำการแข่งขันชกกันต่อในยกที่ 4 ซึ่งจะเป็นยกตัดสิน เพื่อหาผู้ชนะ)

เมื่อทุกทีมแข่งขันครบทุกทีมแล้ว จะนำเอาทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 1 – 4 เข้ารอบสองต่อไป แล้วทำการแข่งขันกันต่อ เพื่อหาทีมที่ดีที่สุด

การแข่งขันรอบแรก จำนวน 6 ทีม นำมาแข่งขันแบบพบกันหมด โดยทุกทีมจะทำการแข่งขันในรอบแรก ทีมละ 5 ไฟท์ แล้วเอาทีมที่มีคะแนนเก็บมากที่สุด 4 อันดับแรก นำเข้าสู่รอบสอง (รอบ 4 ทีมสุดท้าย)

การแข่งขันรอบสอง จำนวน 4 ทีม นำมาแข่งขันแบบไขว้ทีม คือ ด้วยการนำเอาทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 1 มาแข่งขันกับทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 4 และนำทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 2 มาแข่งขันกับทีมที่มีคะแนนรวมมากเป็นอันดับที่ 3 ในกรณีที่ทีมมีคะแนนผลการแข่งขันรวมเท่ากัน ก็จะนำเอาผลการให้คะแนนย่อยในแต่ละยก ของแต่ละคู่ นำมารวมกันทั้ง 3 คู่ ออกมาเป็นคะแนนรวมตัดสิน ซึ่งจะทำการแข่งขันยกทีมเพียงแค่ 2 ไฟท์ ทีมใดแพ้จะตกรอบทันที และทีมที่ชนะจะได้เข้ารอบชิงชนะเลิศในสังเวียน THAI FIGHT และนักมวยทีมชนะเลิศ จะเป็นนักมวยในสังกัด THAI FIGHT

โดยทีมที่เป็นแชมป์จะได้รับถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข็มขัดแชมป์รถปิกอัพ อีซูซุ ดีแมคซ์ สปาร์ค 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก! คนละ 1 คัน รวมทั้งหมด 3 คัน มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท พร้อมสิทธิ์เป็นตัวแทนนักชกไทยในสังเวียนมวยโลก THAI FIGHT 2024 แฟนมวยสามารถติดตามรายการ “Isuzu Thailand Championship” ทุกวันอาทิตย์ ทางช่อง 8 และ YouTube ช่อง THAI FIGHT OFFICIAL ตั้งแต่เวลา 18.00 – 20.00 น. ถ่ายทอดสดจาก World Siam Stadium ตะวันนา บางกะปิ

MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 รุกหนัก LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร

MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 ยืนหนึ่งผู้นำ LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร อันดับ 1 ของประเทศ กางแผน Road Map 3 ปี สู่การพัฒนาธุรกิจเชิงรุก เพื่อความยั่งยืนปี 68 เล็งสยายปีก 4 กลุ่มธุรกิจ ปั้นรายได้เพิ่ม

บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) หรือ MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 เดินหน้าตอกย้ำการเป็นผู้นำ LIFESTYLE MOBILITY ครบวงจร พร้อมประกาศยุทธศาสตร์ 3 ปี (2568-2570) เร่งขับเคลื่อน 4 กลุ่มธุรกิจ สู่การพัฒนาแพลตฟอร์มตอบโจทย์ลูกค้า-พัฒนาบุคลากร-พัฒนาเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อมุ่งสู่กลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้าน CEO “สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ” เดินเกมรุกลุยธุรกิจ EV – Alpha X – Howden Maxi สร้างรายได้เพิ่มในอนาคต

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปี 2568 MGC-ASIA ก้าวสู่ปีที่ 25 ของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งขององค์กรและความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร โดยในปีนี้ บริษัทฯ วางกลยุทธ์การขับเคลื่อนทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต 4 กลุ่มธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่าน 3Ps ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักสู่ความสำเร็จ คือ PEOPLE : มุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถสูง มีทัศนคติที่มุ่งเน้นการให้บริการ และส่งเสริมศักยภาพองค์กรให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ PROCESS : พัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สร้างมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ โดยมุ่งปรับขั้นตอนการทำงานในส่วนต่างๆ ให้เหมาะสม ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานให้ทัดเทียมสากล และ PROFIT : ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมุ่งสร้างผลกำไรให้บริษัทฯ ผ่านการจำหน่ายยานยนต์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงบริการต่างๆ แบบครบวงจร ผสานกับบริการหลังการขาย รวมถึงศูนย์ซ่อมสีตัวถังและบริการดูแลรถยนต์ ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รถเช่า มีแผนนำเทคโนโลยีทันสมัย มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับฟลีตรถเช่า ทั้งระยะสั้น และระยะยาว รวมถึงเพิ่มจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าในฟลีตรถเช่าระยะยาว รองรับการเติบโตของลูกค้าองค์กร นำไปสู่การสร้างผลกำไรสูงสุด ท่ามกลางระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ”

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางยุทธศาสตร์การเติบโต ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1. STRATEGIC GROWTH OBJECTIVES : โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนการเติบโตผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ ควบคู่กับแผนการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือและรักษาการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความประทับใจกับกลุ่มลูกค้าในทุกครั้งที่เข้ามาใช้บริการ

2. BUSINESS ECOSYSTEM SEGMENTS : สร้างแบรนด์ร่วม (Co-Branding) สู่การพัฒนา เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงแผนการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก โดยบริษัทฯ จะร่วมกับ XPENG และ ZEEKR ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน เพื่อขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่

3. SUSTAINABILITY AND INNOVATION : ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดปริมาณปล่อยคาร์บอนเพื่อต่อยอดสู่พลังงานหมุนเวียน

ปี 2568 ทางบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการเพิ่มความได้เปรียบสูงสุด ให้ธุรกิจในกลุ่มการเงิน, ประกันภัย และยานยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อน MGC-ASIA สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต สอดรับกับกลยุทธ์การขับเคลื่อนใน 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่

1. กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) : บริษัทฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดรถพรีเมียม เพื่อครองอันดับ 1 โดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลากหลายแบรนด์ดังอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเตรียมพัฒนา MGC-MOBILIFE แพลตฟอร์ม loyalty program ที่มอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับ โดยใช้ระบบ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและปรับแต่งให้ลงตัวกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า

2. กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) : ปีนี้ บริษัทฯ เตรียมขยายสาขา MMS Car Service & Tire ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) เพิ่มอีก 6 สาขา จากเดิม 22 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อขยายการให้บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) และเพิ่มบริการให้ครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่ เพื่อสร้างอัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าให้สูงขึ้น

3. กลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว (Car Rental and Driver Services) : กลุ่มบริษัทฯ วางแผนในการดำเนินธุรกิจ

ให้ครอบคลุมการเดินทางให้ครบวงจรทุกมิติ และปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การให้บริการ ตามการเติบโตของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มที่ให้บริการลูกค้าองค์กรมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ “MGC-ASIA Ecosystem” เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ให้ทุกกลุ่มธุรกิจ

4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Other Services) : สำหรับธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่ง MGC-ASIA ร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ในปีนี้ จะมุ่งเน้นการเติบโตจากการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับปรุงกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และควบคุมผลขาดทุนด้านเครดิต โดยการนำเสนอการแก้ปัญหาในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า เพื่อสร้างผลกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ส่วนบริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัย ชั้นแนวหน้า กลุ่มบริษัทฯ วางแผนกลยุทธ์ในปีนี้ ที่จะขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ รักษาการเป็นโบรกเกอร์ระดับชั้นนำ

อย่างไรก็ตาม จากแผนกลยุทธ์และเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว สอดคล้องกับเป้าพันธกิจ 3 ปี (2568-2570 )ของ MGC-ASIA ที่จะนำพาบริษัทฯ สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผ่านธุรกิจใหม่ อย่าง AI- Powered Solutions รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ผ่านการทำ ESG อย่างเป็นระบบ พร้อมความมุ่งมั่นในการต่อยอดความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าปัจจุบัน สร้างประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ผ่านการบริการที่โดดเด่นและเหนือระดับ นำไปสู่ความพึงพอใจสูงสุด สำหรับลูกค้าทุกราย ภายใต้วิสัยทัศน์ ที่ต้องการเป็นผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้แบบครบวงจร ภายใต้ระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

สำหรับผลการดำเนินงานของ MGC-ASIA ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 20,334 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 145.60 ล้านบาท และ EBITDA ที่ระดับ1,631 ล้านบาท โดยไตรมาส 4/2567 (ตุลาคม-ธันวาคม 2567) บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรได้สูงสุด โดยมีรายได้รวม 5,977 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2567 ที่ผ่านมา(QoQ) และมีกำไรสุทธิ 95.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 888.40% (QoQ) ส่งผลให้มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) แตะ 468 ล้านบาท เติบโต 23% (QoQ)

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ในปีที่ผ่านมานับว่ามีความท้าทาย โดยหากอ้างอิงจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ มีอัตราส่วนลดลงประมาณ 26% เทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ MGC-ASIA รับมือกับสถานการณ์ได้น่าพอใจ โดยมีอัตราส่วนลดลงเพียง 10% เป็นผลมาจากรถยนต์ไฟฟ้าก็มีการเติบโตอย่างมีนัย ทั้งแบรนด์ XPENG และ ZEEKR ที่ได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และมียอดส่งมอบรถมากกว่า 1,000 คัน จากปีก่อนที่ภาพรวมการส่งมอบรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสองประมาณ 9,000 คัน นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) แบ่งเป็น, XPENG จำนวน 767 คัน, ZEEKR จำนวน 230 คัน, Rolls-Royce จำนวน 8 คัน, BMW จำนวน 42 คัน, MINI Cooper จำนวน 78 คัน, HONDA จำนวน 337 คัน, Harley-Davidson จำนวน 50 คัน และ BMW Motorrad จำนวน 41 คัน และในไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ ยังเตรียมส่งมอบรถยนต์ XPENG X9 รถตู้ไฟฟ้าทรงสปอร์ตอัจฉริยะ พวงมาลัยขวาล็อตแรกของโลก เพื่อต่อยอดผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะแบรนด์ XPENG จำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ และ ZEEKR by Z Mobility Plus อีก 2 สาขา คือ ศรีนครินทร์ และวิภาวดี ขณะที่ธุรกิจบริการหลังการขาย รวมถึงศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง Tesla Approved Body Shop (TAB) ที่ได้รับความไว้วางใจจาก TESLA ให้เป็นผู้บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า TESLA ก็อยู่ในช่วงขยายตัวและมีกำไรต่อเนื่อง จากการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ที่เข้ารับบริการ 19%

“ช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจาก คอนติเทนทอล ไทรส์ ผู้ผลิตยางรถยนต์ระดับโลกในการร่วมมือกันทำโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้า พร้อมตอบแทนสังคมอย่างยั่งยืน อีกทั้งมีการขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่เราได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ CITY AUTO GROUP ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ เพื่อศึกษาโอกาสธุรกิจร่วมกัน ทั้งบริการ รถใหม่ รถมือสอง รถเช่า บริการทางการเงิน และประกันภัย เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจ และสร้างการเติบโตร่วมกันในไทยและเวียดนาม” นายสัณหวุฒิ กล่าวเสริม

ด้าน Alpha X ผู้ให้บริการทางการเงินให้กับกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง มีความชำนาญในด้านสินทรัพย์ที่เป็นยานพาหนะหรู ทั้งรถยนต์ เรือยอทช์ และเครื่องบิน ตลอดจน อสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ที่เป็นผู้นำในการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เพื่อให้บริการแบบครบวงจร โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เน้นการให้สินเชื่อเพื่อสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Lending) ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับสูง และมีความเสี่ยงที่ต่ำ ส่งผลให้พอร์ตการให้สินเชื่อเติบโตขึ้นกว่า 45% นอกจากนี้ มีการปรับลดขั้นตอนทำงาน และลดต้นทุนในการดำเนินงานลงได้กว่า 10% จากปีก่อนหน้า และลดการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยง ส่งผลให้การลงทุนทางด้านเครดิตลดลงกว่า 50% เทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเป็นปีแรก และปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเน้นการเติบโตผ่านบริการ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วย AI พร้อมนำเสนอทางออกในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า

ส่วนธุรกิจบริการประกันภัย ที่บริหารงานโดย บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (Howden Maxi) ในปีงบประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2566 ถึง กันยายน 2567 บริษัทฯ สามารถทำรายได้แตะระดับ 337 ล้านบาท เติบโต 2% และ มีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตของกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงการขยายพอร์ตไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่มากขึ้น โดยทีมที่สามารถสร้างรายได้เข้าเป้า มาจากทีมอัญมณีเครื่องประดับ, ทีมงานศิลปะ และทีมงานโครงการพิเศษ

นอกจากนี้ ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเฟื่องฟู ส่งผลให้ธุรกิจรถเช่า SIXT  มีรายได้เติบโต 11.10% ซึ่งถือว่ามีอัตราการเติบโตและผลกำไรที่น่าพอใจ ทั้งรถเช่าระยะสั้น และรถเช่าระยะยาว รวมถึงบริการพนักงานขับรถ

“ไทยจีพี 2025” เปิดฤดูกาลยิ่งใหญ่ประทับใจ “มาร์เกซ” เหนือชั้นเหมาชัยสนามแรก

“โมโตจีพี” ศึกสองล้อเบอร์หนึ่งของโลก เปิดฤดูกาล 2025 ที่ประเทศไทยอย่างสนุกสุดมันส์  ตลอด 3 วันแฟนความเร็วทั้งไทย-เทศร่วมงาน 224,634 คน สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ 5,043 ล้านบาท โดย “มาร์ค มาร์เกซ” แชมป์โลก 8 สมัยจาก ดูคาติ สร้างผลงานระดับมาสเตอร์ผงาดคว้าชัยชนะไปครองได้ทั้ง “เมนกรังด์ปรีซ์” และ “สปรินต์เรซ” ขณะ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกของประวัติศาตร์จากฮอนด้า ประเดิมพรีเมียร์คลาสเรซแรกในชีวิต เริ่มเกมกริด 22 บิดคว้าอันดับ 18 ท่ามกลางเสียงเชียร์กระหึ่มของแฟนมอเตอร์สปอร์ต

ศึกโมโตจีพี รายการ “พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025” (PT Grand Prix of Thailand 2025) การแข่งขันกีฬาระดับโลกรายการใหญ่ที่สุด ที่มีการจัดในประเทศไทย และมีผู้ติดตามชมมากกว่า  800 ล้านคน จาก 220 ประเทศทั่วโลก ดวลความเร็วรอบ “เมนกรังด์ปรีซ์” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2568 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

ไฮไลต์ของการแข่งขันอยู่ที่การดวลฝีมือของสุดยอดนักบิดระดับแชมป์โลก นำโดย “มาร์ค มาร์เกซ” ยอดนักบิดสแปนิชจาก ดูคาติ เลอโนโว ทีม และทีมเมทชาวอิตาเลียนอย่าง ฟรานเชสโก้ บันยาญ่า, ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร นักบิดเฟรนช์จาก มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี, โจอัน เมียร์ นักบิดสแปนิชจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี คาสตรอล และนักบิดแถวหน้าของโลกอีกหลายคน

รวมถึงการเปิดตัวลงสนามในพรีเมียร์คลาสครั้งประวัติศาสตร์ของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกจากสังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ รวมถึงนักบิดรุกกี้อีก 2 คนอย่าง ไอ โอกูระ นักบิดญี่ปุ่นจาก แทร็คเฮาส์ เรซซิ่ง และ เฟร์มิน อัลเดเกร์ นักบิดสแปนิชจาก เกรซินี เรซซิ่ง

กริดสตาร์ทเรซนี้มี มาร์ค มาร์เกซ เป็นเจ้าของโพล ขนาบข้างด้วยน้องชายอย่าง อเล็กซ์ มาร์เกซ และ บันยาญ่า ในแถวหน้า ขณะที่ โอกูระ รุกี้ที่ทำผลงานสุดเซอร์ไพรส์ในรอบ สปรินต์เรซ ได้ออกตัวจากกริดที่ 5 ส่วน “ก้อง” สมเกียรติ นักแข่งชาวไทยประเดิมเรซแรกในชีวิตด้วยกริดสตาร์ตอันดับ 22

เกมเรซนี้จบลงด้วยชัยชนะแบบหมดจดของ “มาร์ค มาร์เกซ” ที่ออกนำได้ตั้งแต่เริ่มเกม แม้จะตัดสินใจถอยลงมาบิดตามหลัง อเล็กซ์ มาร์เกซ แต่ก็แซงคืนได้แบบง่ายดายในช่วง 3 รอบสุดท้าย เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกด้วยเวลา 39 นาที 37.244 วินาที กวาดแชมป์ไปครองทั้งรอบ เมนกรังด์ปรีซ์ และ สปรินต์ เรซ อันดับ 2 เป็นของ อเล็กซ์ มาร์เกซ ตามหลัง 1.732 วินาที ส่วน บันยาญ่า ตามเข้าป้ายอันดับ 3 ตามหลัง 2.398 วินาที

ขณะที่อันดับ 4 ได้แก่ ฟรานโก้ มอร์บิเดลลี นักบิดอิตาเลียนจาก เปอร์ตามิน่า เอ็นดูโร วีอาร์46 เรซซิ่ง ตามหลัง 5.176 วินาที ด้าน โอกูระ สร้างผลงานโดดเด่นสุดๆ แม้จะเป็นรุกกี้ โดยขึ้นมาไล่บดกับรุ่นพี่อย่างสนุก ก่อนคว้าอันดับ 5 มาครองได้สำเร็จ ตามหลังผู้ชนะ 7.450 วินาที

ส่วน “ก้อง” สมเกียรติ ประเดิมเรซแรกในฐานะนักบิดโมโตจีพี ได้อย่างยอดเยี่ยม ออกตัวจากกริดที่ 22 ไล่แซงคู่แข่งได้ในช่วงต้นเรซ และบดกับ กวาร์ตาราโร, มาเวริค บีญาเลส และ อเล็กซ์ รินส์ อย่างสุดมันส์ ก่อนบิดเข้าป้ายในอันดับ 18 ตามหลังผู้ชนะเพียง 31.480 วินาที

โดยผ่านการแข่งขันสนามแรกของปี มาร์ค มาร์เกซ ขยับขึ้นมารั้งจ่าฝูงบนตารางแชมเปียนชิพ เก็บไปทั้งสิ้น 37 คะแนนเต็ม ตามด้วย อเล็กซ์ มาร์เกซ อันดับ 2 มี 29 คะแนน ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ บันยาญ่า มี 23 คะแนน

ด้านเกมในรุ่น โมโตทู เวิลด์ แชมเปียนชิพ ชัยชนะสนามแรกเป็นของ มานูเอล กอนซาเลซ นักบิดสแปนิชจาก ลิควิ โมลี ไดนาโวลต์ อินแท็ค จีพี ด้วยเวลา 35 นาที 13.072 วินาที เหนืออันดับ 2 อย่าง แอรอน คาเน็ต นักบิดชาวสแปนิชจาก ฟานติค เรซซิ่ง ลิโน โซเนโก ถึง 2.600 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ เซนน่า เอเจียส นักบิดออสซี่จาก ลิควิด โมลี ไดนาโวลต์ อินแท็ค จีพี ตามหลัง 6.491 วินาที

สำหรับเกมในรุ่นเล็กอย่าง โมโตทรี เวิลด์ แชมเปียนชิพ เป็นอีกหนึ่งเรซที่ดวลกันอย่างเข้มข้น แต่จุดเปลี่ยนในกลุ่มหน้าเกิดจากการพลาดล้มของนักบิดหลายคน โดยชัยชนะเป็นของ “โฮเซ อันโตนิโอ รูเอด้า” ดาวรุ่งชาวสแปนิชจาก เรดบูล เคทีเอ็ม อาโย ด้วยเวลา 32 นาที 14.402 วินาที เหนือทีมเมทอย่าง อัลบาโร คาร์เป อันดับ 2 ถึง 7.276 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ อาเดรียน เฟอร์นันเดซ นักบิดสแปนิชจาก เลพเพิร์ด เรซซิ่ง ตามหลัง 7.341 วินาที ขณะที่นักบิดไทยอย่าง “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี จาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย เกี่ยวกันล้มกับคู่แข่งช่วงกลางเรซ พลาดการคว้าแต้มแรกในฤดูกาลอย่างน่าเสียดาย

ทั้งนี้ ศึก โมโตจีพี 2025 สนามถัดไปจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคม 2568 ที่ สนามเทอร์มาส เดอ ริโอ ฮอนโด้ ประเทศอาร์เจนติน่า ในรายการ กรังด์ปรีซ์ ออฟ อาร์เจนติน่า

เอ็มจี เผยโมเดลไลน์อัพใหม่ “NEW MG IM6” ที่พร้อมบุกตลาดไทย

เอ็มจี เผยเรื่องราว โมเดลไลน์อัพใหม่ในกลุ่มพรีเมี่ยมอีวีกับ “NEW MG IM6” ที่พร้อมบุกตลาดไทย ในเดือนมีนาคมนี้

กรุงเทพฯ – 21 กุมภาพันธ์ 2568 – บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยหนึ่งในโมเดลเรือธงจากเครือ SAIC MOTOR CORPORATION อย่าง IM6 ที่พร้อมเข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการยานยนต์ไทย หลังจากปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งล่าสุดกับเวอร์ชันพวงมาลัยขวาครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยในงาน Motor Expo 2024 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ล่าสุด IM6 พร้อมแล้วที่จะขยายตลาดสู่ระดับสากล โดยประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นประเทศแรกต่อจากประเทศจีนที่เปิดตัวรุ่นนี้ภายใต้ชื่อ “NEW MG IM6″ ซึ่งเป็น e-SUV อัจฉริยะที่มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ

เอ็มจี เดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการยานยนต์ไทย โดยเตรียมนำ NEW MG IM6 ซึ่งเป็นยนตรกรรมไฟฟ้าระดับพรีเมียมในเครือ SAIC MOTOR CORPORATION ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีนเข้าสู่ตลาดยานยนต์ไทย โดย IM6 เป็นผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ด้วยการผสานนวัตกรรมขั้นสูงเข้ากับงานออกแบบที่เหนือระดับ โดย IM6 ยังชูจุดเด่นในการเป็นยนตรกรรมอีวีระดับพรีเมียมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความหรูหรา เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ล้ำสมัยสำหรับผู้ใช้งาน

ความเชื่อมโยงระหว่าง เอ็มจี และ IM6

IM6 ถือเป็นยานยนต์ที่เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ร่วมกันของบริษัทยักษ์ใหญ่ 3 ราย ได้แก่ SAIC MOTOR CORPORATION ผู้ถือหุ้นใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เอ็มจี, Zhangjiang Hi-Tech และ Alibaba Group การผนึกกำลังครั้งนี้รวมความเชี่ยวชาญจากหลากหลายด้าน ทั้งประสบการณ์การผลิตรถยนต์อันยาวนานของ SAIC MOTOR CORPORATION เทคโนโลยีขั้นสูงจาก Zhangjiang Hi-Tech และความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลของ Alibaba Group นับเป็นก้าวใหม่สู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยสองปัจจัยหลัก คือ ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (Electrification) และเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Intelligent Technologies) ด้วยเหตุนี้ IM6 จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้แนวคิด “Intelligence in Motion” โดยมุ่งมั่นที่จะไม่เพียงสร้างสรรค์ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าปฏิวัติประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย โดยวางรากฐานการพัฒนาบนเสาหลัก 3 ประการ ได้แก่

Intelligent Driving Experience – เทคโนโลยีอัจฉริยะที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้เหนือชั้น ด้วยการผสานระบบควบคุมการขับขี่อัตโนมัติขั้นสูงเข้ากับระบบช่วงล่างดิจิทัลที่สามารถปรับตัวได้ตามสภาพถนน ทำให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหมือนกำลังควบคุมรถสมรรถนะสูง ไม่ว่าจะขับขี่ในเส้นทางใดก็มั่นใจได้ในสมรรถนะและความปลอดภัย

Futuristic Safety Technology – เทคโนโลยีที่ได้รับการออกแบบให้ฉลาดล้ำยุค ด้วยระบบ AI ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้ขับขี่ พร้อมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์รอบคัน เพื่อคาดการณ์และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน

Advanced Electrification – นำเสนอนวัตกรรมขั้นสูงด้านพลังงานไฟฟ้า เริ่มจากแพลตฟอร์มไฟฟ้า 800V ที่ชาร์จได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์พลังสูงที่ให้อัตราเร่งระดับซูเปอร์คาร์ พร้อมแบตเตอรี่รุ่นใหม่ และระบบระบายอากาศรุ่นล่าสุดที่มีความปลอดภัยสูงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ ผู้ขับขี่มั่นใจได้ในทุกการเดินทาง

นอกจากดีไซน์รถยนต์ที่ล้ำสมัยและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอัจฉริยะแล้วนั้น IM6 ยังสะท้อนความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผ่านโลโก้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หน้ารถ โดยนำตัวอักษร “IM” มาเปลี่ยนเป็นเลขฐานสอง (Binary Code) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล สะท้อนปรัชญาการออกแบบได้อย่างลงตัว

นอกจากยนตรกรรมที่เป็นที่น่าจับตามองแล้ว IM6 ยังสามารถคว้ารางวัลมากมายในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็น รางวัล Red Dot Design Award ปี 2021 และ 2024 ประเทศเยอรมนี จากระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ  IM OS  สาขา Brand & Communication Design และ รางวัล Product Design Award จาก IM6 ตามลำดับ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นเลิศในศาสตร์แห่งการออกแบบ สะท้อนความหรูหรา และตอกย้ำความมั่นใจในระบบความปลอดภัย ด้วยการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก C-NCAP (China-New Car Assessment Programme) อีกด้วย

ความสำเร็จของ IM6 ที่เดบิ้วต์ในตลาดจีน

IM6 ปรากฏตัวครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show 2024 โดยเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์อัจฉริยะที่ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของชาวเมืองด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ภายนอกโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ผสานความสง่างามและทรงพลัง โดยได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากสื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญในวงการยานยนต์  จากทั่วทุกมุมโลก พิสูจน์ได้จากยอดจองที่พุ่งสูงทะลุ 6,000 คันในช่วงเวลาเพียง 12 ชั่วโมงแรกของการเปิดจอง นับเป็นความสำเร็จที่เกินความคาดหมาย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2024 ยอดขายสะสมได้พุ่งทะยานขึ้นไปถึง 61,450 คัน ครองสัดส่วนถึง 57 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมดของแบรนด์ ตัวเลขความสำเร็จอันน่าประทับใจนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างสูงของผู้บริโภคที่มีต่อรถ e-SUV ไฟฟ้าขนาดกลางถึงใหญ่รุ่นนี้เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจุดเด่นสำคัญหลายประการที่ได้รับการกล่าวถึงของยนตรกรรมรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบที่ผสานความหรูหราและความทันสมัย ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือระดับ ระบบขับขี่อัจฉริยะที่ใช้งานง่าย และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญนั่นคือ ระยะเวลาการชาร์จไฟที่รองรับการชาร์จไฟแบบ DC สูงสุดถึง 396 kW

เตรียมพร้อมบุกตลาดไทยด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยภายใต้ชื่อ “NEW MG IM6”

ในฐานะที่ เอ็มจี เป็นผู้บุกเบิกในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เอ็มจี จึงตัดสินใจนำยนตรกรรมรุ่นเรือธง IM6 เข้ามาทำเปิดตลาดในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “NEW MG IM6” เพื่อยกระดับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมในประเทศไทยเทียบชั้นอุตสาหกรรมยานยนต์โลก

การเปิดตัว NEW MG IM6 อย่างเป็นทางการในประเทศไทยจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ และเอ็มจี พร้อมจะยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของผู้บริโภคชาวไทยให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยระดับโลกพร้อมตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างครบครัน

อาวดี้ ส่ง RS 3 Sportback ตัวแรง ชูความแตกต่างไม่เหมือนใคร

อาวดี้ส่ง RS 3 Sportback ตัวแรง คอมแพกต์คาร์สมรรถนะสูงจาก Audi Sport แรงเต็มขั้น 400 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 5.699 ล้านบาท

อาวดี้ ประเทศไทย เดินหน้ารุกตลาดรถยนต์พรีเมียมอย่างต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์ด้วยยนตรกรรมคุณภาพนำเข้า มาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น พร้อมวัสดุระดับพรีเมียมในทุกจุด กับราคาที่สมเหตุสมผล ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทั้งเครื่องยนต์สันดาป รถยนต์ไฟฟ้า 100% รถ PHEV รวมไปถึงรถสมรรถนะสูงตระกูล RS ที่เปิดตัวมาแล้วทั้งหมด 11 รุ่น และเพื่อเอาใจแฟนๆ อาวดี้ที่หลงใหลในสมรรถนะของรถ High Performance สุดยอดเทคโนโลยีระดับสนามแข่งจาก Audi Sport อาวดี้จ่อเปิดตัว RS 3 Sportback คอมแพกต์คาร์สมรรถนะสูง ดีไซน์โดดเด่นลงตัวกับการใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะบนท้องถนนหรือลงสนามแข่ง มอบประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจ เปิดตัวในราคา 5.699 ล้านบาท

สุดยอดขุมพลังจากสนามแข่ง

RS 3 Sportback ถือได้ว่ามีสมรรถนะโดดเด่นที่สุดในกลุ่มคอมแพกต์คาร์สมรรถนะสูงของ Audi Sport ถ่ายทอดสมรรถนะความแรงจากสนามแข่งสู่ท้องถนน เครื่องยนต์เบนซิน 5 สูบ 2.5 ลิตร ในตำนาน ด้วยลำดับจุดระเบิดแบบ 1-2-4-5-3 ที่สร้างชื่อเสียงในวงการ Motor Sport มายาวนานจนได้รับรางวัล International Engine of the Year Award กว่า 9 ปีซ้อน ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 5 สูบ แถวเรียงพร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรงเทอร์โบชาร์จ พละกำลัง 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่สามารถปรับเปลี่ยนกำลังได้อย่างชาญฉลาดทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า หรือปรับเปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อตามสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม มอบทั้งความสปอร์ต ความปลอดภัย และความประหยัดในเวลาเดียวกัน พร้อมช่วงล่างแบบ RS Sport และท่อไอเสีย RS Sport อันเป็นเอกลักษณ์ที่ส่งเสียงดังกระหึ่มสุดเร้าใจ สามารถเปิด-ปิดได้เพื่อให้เสียงท่อเงียบลงในเขตชุมชนหรือเปิดให้เสียงดังขึ้นเพื่อเพิ่มอรรถรสในการขับขี่

RS Torque Splitter

เพิ่มความมั่นใจอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำกับระบบ RS Torque Splitter หนึ่งเดียวเฉพาะ RS 3 Sportback เท่านั้น ออกแบบมาเพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ โดยทำหน้าที่กระจายแรงบิดไปยังล้อหลังแต่ละข้างอย่างอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนและความเสถียรของรถ โดยเฉพาะในขณะขับขี่แบบสปอร์ต นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มความสนุกในการขับขี่ในสถานที่ปิดหรือสนามแข่งได้ด้วยระบบ RS Torque Rear ที่สามารถส่งแรงบิดไปยังล้อหลังหนึ่งข้างด้วยกำลังสูงสุดถึง 1,750 นิวตันเมตร ซึ่งจะทำให้รถยนต์สามารถดริฟท์ให้ท้ายปัดได้ ระบบ Torque Splitter เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทำให้ RS 3 Sportback ทั้งแรง ทั้งเฉียบคมและควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดีไซน์ภายนอก

RS 3 Sportback คอมแพกต์คาร์สมรรถนะสูงทรง Hatchback 5 ประตู ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ปลุก DNA ความเป็น Audi Sport ด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ Glossy Black พร้อมตกแต่ง Audi Ring และชื่อรุ่นด้วยสี Glossy Black เสริมความมีสไตล์ด้วย Audi Lettering ที่เสา B และโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าแบบใหม่ Matrix LED และไฟท้ายแบบ LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟ Light Staging หน้า-หลัง ไฟหน้าที่ส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED พร้อมเอฟเฟกต์ RS 3 Signature ลายธงตารางหมากรุกที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีองค์ประกอบไฟถึง 24 ดวง สามารถเปลี่ยนการแสดงผลได้ทั้งหมด 4 แบบ ล้อลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงปั้มลาย RS ทำให้รถดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น

ดีไซน์ภายใน

ชุดแต่งภายในดีไซน์ใหม่สไตล์ Vanadium Look ตกแต่งสีดำ ห้องโดยสารภายในตกแต่งลาย Carbon Atlas Structure เสริมความพิเศษด้วยไฟเรืองแสงลาย Rhombus ที่ติดอยู่กับประตูด้านหน้าภายในห้องโดยสารทั้งฝั่งคนนั่งและฝั่งคนขับ เพิ่มความสปอร์ตดุดันด้วยเบาะหุ้มหนัง Dinamica/artificial ลาย Diamond cut สีดำ กระชับ มั่นใจได้ทุกการเข้าโค้ง มอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยเบาะคู่หน้าที่มาพร้อมระบบทำความร้อน และเสริมลุคสปอร์ตด้วยพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ทรงตัดทั้งด้านบนและด้านล่าง หุ้มด้วยหนังเจาะรูเพื่อความกระชับ และไฮไลท์พิเศษกับลาย Diamond RS lettering และตรา Audi ในดีไซน์ Vanadium Look มาพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ซ้าย-ขวา และปุ่มควบคุม 2 จุด สำหรับเลือกโหมด Audi Drive Select หรือโหมดเฉพาะของ RS

เทคโนโลยีล้ำสมัย

Audi RS 3 Sportback มาพร้อมกับชุดเครื่องเสียงระดับพรีเมียม SONOS พร้อมระบบเสียง 3 มิติ จัดเต็มระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแปรผันและรักษาระยะห่างด้านหน้า (Adaptive cruise control with Stop&Go function) ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตา (Lane change assist) ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane departure warning) ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (Front emergency brake assist) ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง (Proactive occupant protection front side rear) ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Fatigue warning) พร้อมระบบช่วยจอด (Parking assist plus) ที่ช่วยเสริมทั้งความปลอดภัยและความสะดวกสบายใน RS 3 ตัวใหม่

Audi RS 3 Sportback มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี คือ

•Mythos black, metallic

•Progressive red metallic

•Kyalami green solid

•Python yellow, metallic

•Ascari blue, metallic (สีพิเศษเพิ่มเติมจากราคามาตรฐาน 100,000 บาท ซึ่งราคาข้างต้นได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)

ลูกค้าสามารถปรับแต่งเสริมความสปอร์ตแบบจัดเต็มกับแพ็คเกจชุดตกแต่งลายคาร์บอนที่มาพร้อมกับสี Matt black รอบคัน ในราคา 500,000 บาท (ราคาข้างต้นได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%) ไม่ว่าจะเป็นช่อง Air inlet ด้านหน้า ขอบ Diffuser ด้านท้าย กระจกมองข้าง Spoiler หลังคา ขอบสเกิร์ตด้านข้างและกระจังหน้าสี Matt black สัมผัสสมรรถนะเหนือระดับ Audi RS 3 Sportback รถยนต์คอมแพกต์สมรรถนะสูงหนึ่งเดียวของอาวดี้ที่ให้ทั้งความพรีเมียม ความเร็วและความแรง ตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์ไม่ว่าจะขับขี่บนท้องถนนในชีวิตประจำวันหรือใช้ในสนามแข่ง มากับราคาที่เร้าใจสุดๆ

•ราคาเริ่มต้น 5,699,000 บาท

•ราคาพร้อมสีพิเศษ Ascari blue, metallic 5,799,000 บาท

•ราคาพร้อมแพ็คเกจชุดตกแต่งคาร์บอน 6,199,000 บาท

•ราคาพร้อมสีพิเศษและแพ็คเกจชุดตกแต่งคาร์บอน 6,299,000 บาท

ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารการเปิดตัวรถได้จาก FB : Audi Thailand หรือพิมพ์ #AudiThailand #RS3Sportback

Audi เป็นรถยนต์นำเข้าประกอบนอกทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถอาวดี้ทุกรุ่น ได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน

Audi Centre Thailand                02-765-8888

Audi New Petchburi                  02-023-4888

Audi Pattaya                              038-197-888

Audi Phuket                               076-646-666

Audi Service Ratchapruek        02-034-5888

Audi Korat                       044-017-888

Audi Chiangmai              081-792-3696

Audi Hat Yai                               098-140-1440

5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ พัฒนาขึ้นเพื่อพร้อมตะลุยทะเลทราย พิชิตภูเขาสูงชัน และการขับขี่ในทุกสภาพเส้นทางหฤโหด สร้างมาตรฐานที่เหนือชั้นในตลาดรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูงเพื่อคอออฟโรดตัวจริง และนี่คือ เกร็ดน่ารู้ 5 ข้อ กับอีก 1 เรื่องอันน่าสนุกเกี่ยวกับฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์

เครื่องยนต์ วี 6 ของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์พร้อมอวดความดุดัน

ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 พัฒนาโดยทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ ให้กำลังแรงสูงสุดถึง 397 แรงม้า และแรงบิด 538 นิวตันเมตร ตัวเครื่องยนต์ทำจากเหล็กกราไฟท์ ซึ่งเป็นวัสดุที่แข็งแรงระดับเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง

ปรับแต่งเสียงได้ตามต้องการ

เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ซึ่งเกียร์แต่ละสปีดจะได้รับการตั้งค่าเฉพาะตัวแตกต่างกัน เพื่อให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ว่าจะขับขี่บนเส้นทางแบบใด ระบบท่อไอเสียแบบแอคทีฟวาล์วพร้อมโหมดปรับเสียงท่อไอเสียที่เลือกปรับเสียงได้ถึง 4 โหมดตามความชอบของผู้ขับขี่ ตั้งแต่โหมดเงียบ ไปจนถึงเสียงคำรามในโหมดบาฮา1

ช่วงล่างสุดล้ำ พร้อมลุยทุกเส้นทาง

ระบบช่วงล่างของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ไม่ได้มีแค่โช้คอัพขนาดใหญ่และแข็งแกร่ง แต่ยังแสดงถึงความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีและวิศวกรรมอีกด้วย ปีกนกควบคุมด้านบนและล่างที่ทำจากอลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา มอบทั้งความแข็งแกร่งและช่วยควบคุมน้ำหนักตัวรถ ขณะที่ระบบกันสะเทือนด้านหน้าและด้านหลังมีระยะยืดยุบสูง ช่วยซับแรงกระแทกได้อย่างเหนือชั้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบกันสะเทือนหลังแบบวัตต์ลิงก์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถอย่างแม่นยำแม้ขับขี่ด้วยความเร็วสูงบนถนนที่ขรุขระ อย่างไรก็ตามหัวใจสำคัญของระบบช่วงล่างคือโช้คอัพ FOX แบบ Live Valve Internal Bypass 2.5 นิ้ว ที่สามารถปรับตัวได้ตามสภาพพื้นที่ รูปแบบการขับขี่ และโหมดการขับขี่อย่างต่อเนื่อง โดยเซนเซอร์ทั่วทั้งคันจะอ่านการตั้งค่า 500 ครั้งต่อวินาที และวิเคราะห์ตั้งแต่การบังคับพวงมาลัยไปจนถึงการเคลื่อนที่ของแชสซี ข้อมูลนี้จะป้อนเข้าสู่ระบบที่ “คาดการณ์” ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบนเส้นทางข้างหน้า เพื่อเตรียมโช้คอัพให้พร้อมสำหรับการควบคุม และความสะดวกสบายสูงสุด

พิชิตทุกสภาพถนนด้วยโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 7 โหมด2 ซึ่งแต่ละโหมดจะปรับแต่งการตั้งค่าให้เหมาะกับสถานการณ์การขับขี่แต่ละรูปแบบ โดยโหมดการขับขี่แต่ละโหมด2 จะควบคุมการทำงานส่วนต่างๆ ของรถโดยละเอียด ตั้งแต่เครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ไปจนถึงความไวในการประมวลผลระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) การยึดเกาะถนนและเสถียรภาพการทรงตัว การทำงานของระบบไอเสีย พวงมาลัย การตอบสนองต่อการเร่งเครื่อง ไปจนถึงการแสดงผลบนแผงหน้าปัดรถยนต์ และหน้าจอสัมผัสกลางคอนโซล และในช่วงความเร็วต่ำที่ท้าทาย ระบบควบคุมความเร็วสำหรับการขับขี่ออฟโรด Trail Control™3 จะทำหน้าที่เสมือนระบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติสำหรับเส้นทางออฟโรด ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิจดจ่อกับการบังคับควบคุมพวงมาลัยได้ ในขณะที่ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ช่วยจัดการการเร่งความเร็วและเบรก เพื่อรักษาระดับความเร็วที่ผู้ขับขี่เลือก

การออกแบบที่ดุดัน สะท้อนความแกร่งในทุกมิติ

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ไม่ได้โดดเด่นแค่เพียงสมรรถนะ แต่ยังสะท้อนความแข็งแกร่งในทุมมุมมอง ตั้งแต่การออกแบบภายนอก ตัวอักษร F-O-R-D ตัวหนาบนกระจังหน้าอวดความเป็นแร็พเตอร์อย่างชัดเจน ขณะที่กันชนเหล็กพร้อมตะขอลากจูงในตัวแสดงถึงตัวตนเจ้าของรถที่รักการผจญภัย จนถึงซุ้มล้อกว้าง พร้อมช่องระบายอากาศรองรับยางออลเทอร์เรน BFGoodrich® KO2® ขนาด 33 นิ้ว ติดตั้งบนล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว

ความแกร่งของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ไม่ได้มีแค่ตัวถังภายนอกเท่านั้น แต่รวมถึงแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถความแข็งแรงสูงเพื่อช่วยปกป้องบริเวณด้านหน้ารถ โดยเครื่องยนต์ ชุดเกียร์ และถังน้ำมันเองก็มีแผ่นกันกระแทกที่มอบความมั่นใจให้ผู้ขับขี่เมื่อต้องออกไปเผชิญกับเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย

จากโชว์รูมสู่ชัยชนะบนสนามแข่ง

นอกจากฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ จะสร้างมาเพื่อการผจญภัยแล้ว ยังพัฒนามาเพื่อเป็นผู้นำในเซ็กเมนต์ โดยไม่มีบทพิสูจน์ใดที่จะแสดงให้เห็นสมรรถนะของรถได้ดีไปกว่าการเข้าร่วมการแข่งขัน Baja 1000 หนึ่งในการแข่งขันออฟโรดที่ท้าทายที่สุดในโลก

ในปี 2565 ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์เข้าร่วมการแข่งขัน Baja 1000 ด้วยรถที่เกือบจะเป็นสเปกเดิมจากโรงงาน เพียงแค่เสริมอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยเปลี่ยนล้อและยาง เพิ่มไฟส่องสว่าง และติดตั้งแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ ซึ่งนอกจากจะสามารถลงแข่งได้แล้ว ยังคว้าชัยชนะในรุ่น Production มาครองได้สำเร็จอีกด้วย ต่อมาในปี 2566 ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์คันเดิม กลับมาลงสนามอีกครั้งในรายการ Finke Desert Race ซึ่งเป็นสนามแข่งที่ท้าทายอีกแหน่ง และก็คว้าชัยชนะในรุ่นที่ลงแข่งได้อีกครั้ง จากนั้นในปี 2567 ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ยังคงเดินหน้าสร้างตำนาน ด้วยการคว้าอันดับ 1 ในรุ่น ทั้งในรายการ Finke Desert Race และ Baja 1000 ซึ่งนับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสมรรถนะของฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์อย่างแท้จริง

หมายเหตุ :

1.โหมดบาฮาออกแบบมาสำหรับการขับขี่ออฟโรดเท่านั้น

2.ระบบช่วยการขับขี่เป็นเพียงระบบเสริม ไม่สามารถทดแทนความตั้งใจ การตัดสินใจ และการควบคุมรถของผู้ขับขี่ได้ ระบบนี้ไม่สามารถทดแทนการขับขี่อย่างปลอดภัย กรุณาศึกษารายละเอียดและข้อจำกัดเพิ่มเติมในคู่มือการใช้รถ

3.ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ออฟโรด ระบบช่วยเลี้ยวในพื้นที่แคบ และระบบควบคุมการออกตัวและเบรกด้วยคันเร่งเป็นคุณสมบัติช่วยขับขี่เพิ่มเติม ซึ่งไม่สามารถทดแทนความสนใจและการตัดสินใจของผู้ขับขี่ หรือความจำเป็นในการเหยียบเบรกได้ โปรดศึกษารายละเอียดและข้อจำกัดต่างๆ จากคู่มือผู้ใช้รถ

ฮุนได เปิดตัว IONIQ 5 N Line เพิ่มไลน์อัปอีวีใหม่

ฮุนได เพิ่มไลน์อัปอีวีใหม่ “The New IONIQ 5 N Line” Spark your drive. เติมตัวตนที่ใช่ ด้วยชุดแต่งดีไซน์จากสนามแข่ง แบตเตอรี่ใหม่ 84.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง วิ่งได้ไกลขึ้นถึง 530 กม. เปิดราคาในประเทศไทยที่ 1.988 ล้านบาท

ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย เปิดตัว IONIQ 5 N Line รุ่นปี 2025 เสริมไลน์อัป IONIQ 5 เจ้าของรางวัลระดับโลกด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ผสานกับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ พัฒนาไดนามิกการขับขี่ด้วยแบตเตอรี่ใหม่ การเปิดตัวรุ่น N Line ยังเป็นก้าวสำคัญของฮุนไดในการนำสุนทรียศาสตร์การออกแบบจากมอเตอร์สปอร์ตมาสู่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์ผู้ที่มองหาทั้งดีไซน์สปอร์ตและความอเนกประสงค์ในหนึ่งเดียว

นายเจ กิว จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “N Line คือการออกแบบพิเศษของฮุนไดเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจมากขึ้นสำหรับรถไฟฟ้า โดยฮุนไดมุ่งทลายข้อจำกัดของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ผ่านการนำเสนอนวัตกรรม สมรรถนะ และการออกแบบที่ล้ำสมัย ซึ่งรถยนต์ในรุ่น N Line ยังเป็นมากกว่าความสวยงาม เพราะผสมผสานทั้งองค์ประกอบดีไซน์แนวสปอร์ต ในขณะเดียวกันยังคงความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองหรือเดินทางไกลบนทางหลวง IONIQ 5 N Line จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสความเร้าใจในชีวิตประจำวัน”

IONIQ 5 N Line เปี่ยมพลังและนวัตกรรมที่ดีขึ้น

การอัปเกรดครั้งสำคัญของ IONIQ 5 N Line ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยชุดแบตเตอรี่แบบใหม่ขนาด 84.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพิ่มระยะทางการขับขี่ได้สูงสุดถึง 530 กม. (จากเดิม 481 กม. ในแบตเตอรี่ขนาด 72.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง) มอบประสิทธิภาพและความมั่นใจในการเดินทางที่ไกลขึ้น นอกจากนี้ดีไซน์ภายนอกยังได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้ดูสปอร์ต ด้วยดีไซน์ด้านหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกันชนหน้า-หลัง และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่เฉพาะรุ่น N Line เพื่อเพิ่มสมรรถนะด้านอากาศพลศาสตร์

ภายในห้องโดยสารของ IONIQ 5 N Line ผสานความสปอร์ตและความสะดวกสบายระดับพรีเมียมอย่างลงตัว พวงมาลัยหุ้มหนังฉลุลายพร้อมตะเข็บด้ายแดง เบาะนั่งสไตล์สปอร์ตหุ้มด้วยหนัง Alcantara พร้อมโลโก้ N เบาะผู้ขับขี่ปรับเอนนอนได้แบบ Zero Gravity ด้วยไฟฟ้าพร้อมที่พักขา เพิ่มบรรยากาศสปอร์ตด้วยคันเร่งและเบรกดีไซน์สปอร์ต แผงหน้าปัดดีไซน์ N Line และแผงบุหลังคาสีดำ คอนโซลกลางแบบ Universal Island ที่ปรับปรุงใหม่ วางปุ่มควบคุมต่างๆ ในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย พร้อมแท่นชาร์จไร้สายที่ย้ายมาตำแหน่งด้านบนของคอนโซลกลาง เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดในทุกการเดินทาง

Spark your drive. เติมตัวตนที่ใช่” ด้วย IONIQ 5 N Line

IONIQ 5 N Line เป็นโมเดลแรกที่ทำตลาดพร้อมชุดแต่ง N Line ของฮุนได เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจมากขึ้น โดยถูกวางตำแหน่งให้อยู่ระหว่าง IONIQ 5 และ รุ่นสมรรถนะสูงอย่าง IONIQ 5 N ผสมผสานแรงบันดาลใจจากโลกมอเตอร์สปอร์ตมายังการออกแบบ IONIQ 5 N Line ภายใต้สโลแกน “Spark your drive. เติมตัวตนที่ใช่” ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของยานยนต์กลุ่ม N ของฮุนได ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการโดดเด่นบนท้องถนนด้วยการออกแบบที่แตกต่าง ในขณะที่ยังคงความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน

เทคโนโลยีการขับขี่ที่ปลอดภัย และล้ำสมัย

IONIQ 5 N Line ผสานเทคโนโลยีล่าสุดของฮุนไดเพื่อมอบความมั่นใจในการขับขี่ที่ปลอดภัยและชาญฉลาด มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ล้ำสมัย ด้วยหน้าจอสัมผัสมัลติมีเดียขนาด 12.3 นิ้วและแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว รองรับ wireless  Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อการเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนที่สะดวกไร้สาย เพื่อเพิ่มความปลอดภัย IONIQ 5 N Line ยังติดตั้งระบบ Hyundai SmartSense™ ซึ่งมีทั้งระบบช่วยหลีกเลี่ยงการชนในจุดบอด (BCA) ระบบหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า (FCA) ระบบช่วยรักษาตำแหน่งในช่องเดินรถ (LKA) และระบบควบคุมในช่องเดินรถ (LFA) รวมถึงระบบควบคุมความเร็วคงที่อัจฉริยะ (SCC) พร้อมระบบ Stop & Go โดยคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสะดวกสบายในการขับขี่ทางไกลของคุณ

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเปิดตัว IONIQ 5 N Line ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ในการเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลง รถยนต์รุ่นนี้ถือเป็นการขยายไลน์อัปของ IONIQ 5 โดยผสานการออกแบบที่นำแรงบันดาลใจจากวงการมอเตอร์สปอร์ตเข้ากับเทคโนโลยีไฟฟ้าขั้นสูง เพื่อนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นสมรรถนะมาสู่ตลาดเมืองไทย ยกระดับพอร์ตโฟลิโอของ IONIQ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ฮุนไดในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม”

IONIQ 5 N Line เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1.988 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสรถคันจริง ได้ที่ IONIQ Lab อาคารทรูดิจิทัลพาร์ค ฝั่งเวสต์ ได้ระหว่างวันที่ 21-28 กุมภาพันธ์ 2568 หรือพบกับข้อเสนอสุดพิเศษได้ที่ งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ IMPACT Challenger กรุงเทพฯ

“ซูซูกิ” ประกาศกลยุทธ์การตลาด เปิดตัวรถใหม่พร้อมยกระดับคุณภาพบริการภายในปี 2568

“ซูซูกิ” ประกาศแผนรุกตลาด เปิดตัวรถใหม่พร้อมยกระดับคุณภาพงานบริการภายในปี 2568 ดันยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 41% จากเป้าหมายตัวรถยนต์ใหม่ 2 รุ่น พร้อมมอบรางวัล Best Dealer Award 2024

บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ได้มีการจัดประชุมผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด “Empowering Growth for Sustainable Future ขับเคลื่อนพลังสู่อนาคตที่ยั่งยืน” เปิดเผยแผนกลยุทธ์ทางการตลาดพร้อมการสนับสนุนผู้จำหน่ายเพื่อบรรลุเป้าหมายยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 41% อีกทั้งแผนยกระดับคุณภาพงานบริการและอะไหล่ เพื่อรองรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ในปี 2568 พร้อมมอบรางวัล Best Dealer Award 2024 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์การหดตัวของตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์และการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศ รวมถึงความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายใหม่ ส่งผลทำให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ของซูซูกิมีจำนวน 5,654 คัน

สำหรับในปีนี้ ซูซูกิมีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจเป็นการนำเข้ารถยนต์จากหลากหลายประเทศเข้ามาจำหน่าย จะนำไปสู่การเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายรถยนต์ Global Model ในตลาดประเทศไทย ซึ่งยังคงรักษาจุดแข็งในเรื่องความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีให้ลูกค้าได้เลือกใช้งานตามไลฟ์สไตล์และความต้องการเช่นเดิม ยังมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวน 2 รุ่น ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานในวงกว้างมากขึ้น คาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้าและสามารถแข่งขันได้ในอนาคตอย่างแน่นอน รวมถึงเรายังมีแผนที่จะยกระดับงานบริการในทุกด้าน เพื่อดูแลลูกค้าด้วยความจริงใจ และสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าซูซูกิของเราได้ โดยในปีนี้เรามีเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ซูซูกิเป็น 8,000 คัน คิดเป็นการเติบโตในอัตราที่เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเที่ยบจากยอดขายในปีทีผ่านมา

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา เราเดินหน้าแผนงานเพื่อยกระดับงานบริการและอะไหล่ในหลายด้าน ทั้งการแนะนำแคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” ไปจนถึงการเร่งขยายเปิดศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสีมาตรฐานซูซูกิ ซึ่งในปีนี้ เรายังคงพัฒนาการยกระดับงานบริการแบบ S-Solution เพื่อสร้างความมั่นใจในงานบริการแก่ลูกค้าทุกขั้นตอน อีกทั้งเรายังมี HELLO SUZUKI APPLICATION เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ทั้งการนัดหมายเข้ารับบริการ รายงานสถานะการซ่อม ตรวจสอบประวัติการบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซมที่ศูนย์บริการของซูซูกิทั่วประเทศ เพื่อรองรับกับแผนงานในอนาคต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาดรถยนต์ เน้นย้ำถึงการสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าว่าจะสามารถมอบบริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของซูซูกิได้อย่างแท้จริง

สำหรับแคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถรองรับการดูแลลูกค้าด้วยคุณภาพและมาตรฐานของ ซูซูกิได้อย่างแท้จริง ซึ่งรายละเอียดจะประกอบไปด้วย 7 หัวข้อ ดังนี้

1. ฟรี! ค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี

•สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้าเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนดกับศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิทุกสาขา ฟรี! ค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

2. ขยายการรับประกันอะไหล่และงานบริการ

•อุ่นใจไร้กังวล กับการขยายการรับประกันงานซ่อมและอะไหล่แท้ทุกชิ้น นานถึง 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) จากเดิมที่รับประกันเพียง 3 เดือน หรือ 5,000 กิโลเมตร

3. บริการพิเศษรถสำรองใช้ระหว่างซ่อม

•รถยนต์ที่อยู่ในระยะรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ไร้ความกังวลเรื่องไม่มีรถใช้งานระหว่างซ่อม ด้วยบริการพิเศษ ‘รถสำรองใช้ระหว่างซ่อม’ สำหรับรถยนต์ซูซูกิที่ต้องใช้เวลาตรวจเช็กมากกว่า 1 วัน (ไม่รวมระยะเวลาวิเคราะห์ปัญหา) และไม่รวมกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ

4. HELLO SUZUKI APPLICATION ยกระดับงานบริการแบบ S-Solution

•HELLO SUZUKI คือ แอปพลิเคชัน ที่จะเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานกับลูกค้า อำนวยความสะดวกสบายและความมั่นใจในงานบริการทุกขั้นตอน ทั้งการนัดหมายนำรถเข้ารับบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รายงานการการตรวจสอบและดูแลรถในทุกขั้นตอน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซมที่ศูนย์บริการของซูซูกิทั่วประเทศ

5. ระบบการจัดการอะไหล่ มีเป้าหมายรองรับบริการได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี

•การจัดการเตรียมระบบจัดการอะไหล่รถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายภายในประเทศ ช่วยให้ลูกค้าคลายความกังวลเรื่องการขาดแคลนอะไหล่ในการบำรุงรักษารถ เพราะซูซูกิมีคลังอะไหล่ 2 แห่ง ทั้งที่คลังอ่อนนุช กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 1,216 ตารางเมตร และคลังอะไหล่ จังหวัดระยอง มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 4,076 ตารางเมตร รวมถึงคลังอะไหล่ของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ มีอะไหล่จัดเก็บรวมมากถึง 741,000 ชิ้น โดยมีเป้าหมายรองรับความต้องการของลูกค้าได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่สิ้นสุดการผลิต

•บริการจัดส่งอะไหล่แบบเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่อื่นๆ ภายใน 48 ชั่วโมง คุ้มค่าต่อการใช้งาน ด้วยอะไหล่ในราคาที่เข้าถึงง่าย

6. ศูนย์บริการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

•ลูกค้ามั่นใจกับศูนย์บริการ 91 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

7. ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังตามมาตรฐานของซูซูกิ

•ปัจจุบันซูซูกิมีผู้จำหน่ายที่มีบริการศูนย์ซ่อมตัวถังและสีตามมาตรฐานของซูซูกิ ด้วยกันทั้งหมด 41 แห่ง มั่นใจในบริการและการให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพเป็นมิตรและใส่ใจทุกรายละเอียดการซ่อมโดยช่างผู้มีความชำนาญที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการอบรมในการซ่อมรถยนต์ซูซูกิ

นอกจากการประกาศวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังได้มีการจัดพิธีมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะในการแข่งขัน ‘SUZUKI Best Dealer Award 2024’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนพัฒนางานบริการของผู้จำหน่าย ผ่านการจัดการแข่งขันผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม ซึ่งจัดมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 มุ่งหวังจะยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานในทุกด้าน  โดยมีรายชื่อผู้ได้รับรางวัล ดังนี้

รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม 2567 ระดับ Best of the Best

ชื่อผู้จำหน่ายชื่อบริษัทผู้จำหน่ายจังหวัด
คุณรณกฤต  ฐิติกฤตานน บริษัท ดี โฟร์ คาร์ซิตี้กรุงเทพมหานคร

รางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม 2567 ระดับ Platinum Dealer

ชื่อผู้จำหน่ายชื่อบริษัทผู้จำหน่ายจังหวัด
คุณสนาวุธ คลังเจริญพงษ์ภาบริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด (สำนักงานใหญ่)นครราชสีมา
คุณวรปรัชญ์ อุปัติศฤงค์บริษท เอส.ยู.ซูซูกิ ภูเก็ตภูเก็ต
คุณชยธร อุเทนพัฒนันท์บริษัท อาร์เฮงวัฒนา จำกัด (สำนักงานใหญ่)ขอนแก่น
คุณณัฐวุฒิ   ชคทิศบริษัท เอ.ซี.ออโตโมบิล(2002) จำกัด (สำนักงานใหญ่)สงขลา
คุณพีรพัฒน์ สิทธิยานุรักษ์บริษัท ซูซูกิ หัวหิน (สิทธิภัณฑ์) จำกัดประจวบคีรีขันธ์
คุณศุภชัย พฤฒิธาดาบริษัท ยนต์ตระการ พรีเมียม คาร์ จำกัดนนทบุรี

‘SUZUKI Best Dealer Award 2024’ มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก โดยให้ผู้จำหน่ายที่เข้าแข่งขัน นำเสนอแนวคิดสู่ความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านการขาย และการบริการหลังการขาย ไปจนถึงการพัฒนางานเพื่อยกระดับงานบริการให้ดีมากยิ่งขึ้น และสามารถผ่านตามเกณฑ์ที่บริษัทฯ ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้เป็นแนวทางการพัฒนางานเพื่อแข่งขันกับภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันและเตรียมพร้อมสู่การแข่งขันในอนาคตอีกด้วย

นายวัลลภ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ซูซูกิมีความพยายามอย่างยิ่งในการพัฒนางานบริการหลังการขายเพื่อยกระดับคุณภาพของผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จำหน่ายของซูซูกิทุกรายที่ทุ่มเทและทำงานอย่างหนัก จึงขอให้ลูกค้าเชื่อมั่นได้ว่า เราจะยังเดินหน้าพัฒนาคุณภาพในทุกด้าน พร้อมส่งมอบสินค้าที่มีความคุ้มค่า คุ้มราคาเหมาะสมกับลูกค้า โดยยึดความสำคัญด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการขายเป็นที่ตั้ง เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเป็นครอบครัวเดียวกันกับซูซูกิ

บีเอ็มดับเบิลยู เผยโฉมทัพยานยนต์ เร่งเครื่องรับตลาดแข่งเดือดปี 2568

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เร่งเครื่องรับปี 2568 เผยโฉมทัพรถยนต์-มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่พร้อมแผนขยายธุรกิจ ต่อยอดความเป็นผู้นำในตลาดพรีเมียม

•หลังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดพรีเมียมได้ 5 ปีซ้อน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมกระตุ้นตลาดต่อเนื่องด้วยยานยนต์สมรรถนะสูง

•เผยโฉม 9 รุ่นใหม่จากทั้งสามแบรนด์ จุดพลังขับเคลื่อนให้ตลาดด้วยนวัตกรรมที่ส่งตรงจากสนามแข่งสู่ท้องถนน

•อีกหนึ่งก้าวประวัติศาสตร์ของโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กับการกลับมาประกอบ มินิ คันทรีแมน ในประเทศอีกครั้ง

•บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย พร้อมต่อยอดความพึงพอใจของลูกค้าและประสิทธิภาพทางธุรกิจ ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและ AI

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จในการครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน พร้อมเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่น จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานแถลงข่าวประจำปี 2568 ณ โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

บรรยายภาพ : (จากซ้าย)มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย

กรุงเทพฯ : บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดฉากปี 2568 อย่างแข็งแกร่งด้วยการประกาศกลยุทธ์สำคัญระลอกแรก หลังจากที่รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยไว้ได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยจากเสียงตอบรับที่ดีของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยตลอดรอบปีที่ผ่านมา บริษัทจึงพร้อมที่จะสานต่อกระแสตลาดด้วยการเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่นในช่วงต้นปีนี้ เพื่อนำสมรรถนะและนวัตกรรมสุดตื่นตาจากสนามแข่งมาให้สัมผัสกันบนท้องถนนในไทย ก่อนจะเดินหน้าเปิดตัวรุ่นอื่นๆ เพิ่มเติมอีกตลอดปี 2568

สำหรับปีที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดรถยนต์เซกเมนต์พรีเมียมในประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน บีเอ็มดับเบิลยูและมินิทำยอดส่งมอบรถยนต์รวมกันอยู่ที่ 13,659 คันในปี 2567 ครองส่วนแบ่งตลาดที่ 45% ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ 12,208 คันของบีเอ็มดับเบิลยูในปีที่แล้ว ทำให้แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำยอดจดทะเบียนรถยนต์ระดับพรีเมียมในประเทศไทยได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่การเปิดตัวรุ่นใหม่ในตระกูล New MINI Family ส่งผลให้มินิมียอดส่งมอบรถเพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 7.6%

นอกเหนือจากยอดส่งมอบรถยนต์ที่มั่นคงในภาพรวมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังทำผลงานในตลาดรถยนต์สำหรับลูกค้าองค์กรได้อย่างยอดเยี่ยมในปีที่แล้ว หลังจากที่ส่วนแบ่งตลาดฟลีทในกลุ่มรถยนต์หรูของบีเอ็มดับเบิลยูขยายตัวขึ้นมาเป็น 70% ในปี 2567 หรือโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 27% ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลุ่มธุรกิจการโรงแรมมีให้ต่อบีเอ็มดับเบิลยู

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เราได้ก้าวเข้าสู่ปี 2568 อย่างเต็มตัว ด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ายิ่งขึ้นในการยกระดับทั้งนวัตกรรมการขับขี่และความพึงพอใจของลูกค้า ในปีที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรุ่นสมรรถนะสูงของเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในตลาด เราจึงพร้อมสนองความต้องการของลูกค้าทันทีด้วยทัพรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance นำโดยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 ใหม่ พร้อมด้วยมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ รุ่นแรกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและซูเปอร์ไบค์ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ที่ผ่านการปรับโฉมอีกครั้ง นอกจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ทั้งหมดนี้แล้ว เรายังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้เป้าหมายที่จะนำแนวคิด ‘Retail Next’ เข้าไปเป็นหัวใจของโชว์รูมบีเอ็มดับเบิลยูทุกแห่งทั่วประเทศภายในสองปีข้างหน้า สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าทั้งในด้านการขายและบริการ ผ่านความร่วมมือกับผู้จำหน่ายตลอดทั้งปี 2568″

รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเติบโตโดดเด่น เสริมรากฐานที่แข็งแกร่งให้อนาคตวงการยานยนต์ไทย

ในปี 2567 ภารกิจการขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูดำเนินอย่างต่อเนื่องด้วยไลน์รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 6 รุ่นในประเทศไทย หลังจากที่ได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i5 และ iX2 เข้ามาเสริมทัพรุ่น iX3, i4, i7 และ iX ทั้งนี้ ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยูเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่แล้ว โดยพุ่งขึ้นจาก 13.5% ในปี 2566 มาเป็น 22.6% ในปี 2567 และมีส่วนช่วยผลักดันให้ส่วนแบ่งตลาดพรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยูเพิ่มสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ที่ 39.9% ส่วนการเปิดตัวมินิในเจเนอเรชันใหม่ New MINI Family ในปีที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้แฟนๆ ชาวไทยได้เป็นเจ้าของมินิไฟฟ้าโฉมใหม่ได้ ทั้งในรุ่นคูเปอร์ คันทรีแมนและน้องใหม่ล่าสุดอย่างเอซแมน จึงทำให้ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของมินิเติบโตขึ้นกว่า 44% จากปีก่อนหน้า

สำหรับตลาดไทย แฟน ๆ ของบีเอ็มดับเบิลยู M ยังคงให้การต้อนรับรุ่นใหม่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู M5 และ M4 CS อย่างอบอุ่น หลังจากที่เปิดตัวไปในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 ที่ผ่านมา และปี 2568 ก็จะตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่าเดิม ด้วยรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance ที่จ่อคิวรอเปิดตัวเพิ่มเติมอีกตลอดปี

สถิติและผลการดำเนินงานในตลาดไทยทั้งหมดนี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าและตลาดที่มอบให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตลอดปี 2567 บริษัทได้พิสูจน์ถึงสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการยอมรับสูงสุดโดยผู้บริโภคไทย ด้วยรางวัลจากเวที “Thailand’s Most Admired Company” สาขาอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยนิตยสาร BrandAge และรางวัลสาขาตลาดรถยนต์พรีเมียมจากเวที “No.1 Brand Thailand” โดยนิตยสาร Marketeer ส่วนในวงการยานยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ก็ได้รับเลือกให้เป็นรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 และ i5 ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีและรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปีด้วยเช่นกัน

เครือข่ายผู้จำหน่ายพร้อมต่อยอดประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และสานต่อการขยายแนวคิด ‘Retail Next’ ทั่วประเทศ

ผลการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าในปี 2567 เผยให้เห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำผลงานได้ดีขึ้นทั้งในด้านการขายและการบริการ ด้วยคะแนน Net Promoter Score (NPS) ด้านการขายที่ 95 คะแนน (เพิ่มขึ้น 1 คะแนนจากปี 2566) และด้านการบริการที่ 93 คะแนน (เพิ่มขึ้น 2 คะแนนจากปี 2566) โดยนับเป็นสถิติสูงสุดสำหรับทั้งสองด้าน

ในปี 2568 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นในทุกจุดสัมผัส แนวคิด “Retail Next” ที่มุ่งเน้นการผสานนวัตกรรมดิจิทัลและงานออกแบบที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จะขยายตัวครอบคลุมโชว์รูมและศูนย์บริการกว้างขวางขึ้นในปีนี้ ภายใต้เป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราส่วนของโชว์รูมแบบ Retail Next จาก 60% เป็น 100% ทั่วประเทศภายในสองปีข้างหน้า ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวโชว์รูม เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส อยุธยา ในช่วงปลายปีที่แล้ว ด้วยพื้นที่โชว์รูมและศูนย์บริการรวม 8,800 ตารางเมตรที่ครบครันด้วยประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ และงานออกแบบที่สะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมของอยุธยา

เพื่อตอบสนองต่อกระแสความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย บริษัทได้ขยายความร่วมมือกับเครือข่ายผู้จำหน่ายด้วยการรับรองโชว์รูม “M Certified” เพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ ยุโรปา มอเตอร์ (สาขาสำนักงานใหญ่), อมร เพรสทีจ รังสิต และบาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค ซึ่งทำให้บีเอ็มดับเบิลยูมีโชว์รูม M Certified พร้อมมอบประสบการณ์สุดตื่นตาตื่นใจในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู M ให้กับลูกค้าในกว่า 8 สาขาทั่วกรุงเทพฯ

ทางด้านมินิ ก็เตรียมเดินเกมรุกต่อยอดความคึกคักจากปีที่ผ่านมา ด้วยการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการ ทั้งที่บาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค, เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ราชพฤกษ์ และยุโรปา มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรแล้วเช่นกันด้วยการเปิดตัวโชว์รูมใหม่ของโมโตกรุ๊ปในย่านพระราม 5

มินิเตรียมกลับสู่สายการผลิตในไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

โรงงานและสายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง นับเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายสายการผลิตทั่วโลก ในปีนี้ โรงงานแห่งนี้จะได้ต้อนรับมินิ ในโอกาสที่มินิ คันทรีแมน รุ่นล่าสุด จะหวนคืนสู่สายการผลิตในประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้แฟนๆ ชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของมินิรุ่นใหญ่ตัวนี้กันได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การกลับมาของมินิยังทำให้โรงงานแห่งนี้เป็นสายการผลิตแห่งเดียวในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่สามารถประกอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

พร้อมยกระดับบริการทางการเงินด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ต่อยอดความไว้วางใจของลูกค้า ท่ามกลางความท้าทายตลอดปี 2567

บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ทำผลงานได้อย่างมั่นคงในปี 2567 ด้วยยอดลูกค้าใหม่ที่ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยท่ามกลางการหดตัวของตลาดรวมในประเทศไทย อย่างไรก็ดี กลยุทธ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาเสริมประสบการณ์ให้กับลูกค้า สามารถสร้างเสียงตอบรับได้ดีไม่น้อย และส่งผลให้ครึ่งหนึ่งของลูกค้าใหม่ที่เลือกเป็นเจ้าของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จากทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด วางใจในบริการทางการเงินของบริษัท ขณะที่ 1 ใน 3 รายก็เลือกจัดการข้อตกลงทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ myBMW / MINI Finance

นอกจากนี้ ธุรกิจในกลุ่มประกันภัยรถยนต์และกลุ่มลูกค้าองค์กรล้วนทำผลงานได้ดีในปี 2567 ด้วยอัตราการเข้าถึงตลาดที่เพิ่มขึ้นเป็น 64% และ 68% ตามลำดับ

คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “เรามีเป้าหมายที่จะยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า สอดคล้องกับทิศทางในภาพรวมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งเป็นผลให้ในปีที่แล้ว เราทำคะแนน Net Promoter Score ได้สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 78 คะแนน เรายังคงยกให้ลูกค้าเป็นหัวใจหลักในการทำงานทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบีเอ็ม

ดับเบิลยู มินิ หรือบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด คันใหม่อย่างง่ายดายและสบายใจที่สุดด้วยข้อเสนอทางการเงินของเรา หรือประสบการณ์พิเศษมากมายสำหรับลูกค้า เช่น การแข่งขัน BMW Golf Cup หรือกิจกรรม BMW Driving Experience ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2568 เราก็จะสานต่อภารกิจเหล่านี้ด้วยนวัตกรรมที่มี AI เป็นแรงขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์และเข้าถึงบริการทางการเงินของเราได้สะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก”

ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ได้นำระบบอัตโนมัติแบบ Robotic Process Automation (RPA) เข้ามาใช้งานรวม 12 ระบบ ซึ่งส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อของลูกค้าราว 13% สามารถทำได้แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ขณะที่การแนะนำเทคโนโลยีลายเซ็นแบบดิจิทัลที่ปลอดภัยก็ทำให้ 36% ของสัญญาใหม่ในปีที่แล้วผ่านการเซ็นรับรองแบบดิจิทัล

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save