- Advertisement -
28.9 C
Bangkok
Home Blog Page 18

ไทยฮอนด้า เปิดตัว ‘New Honda X-ADV’ โฉมใหม่ แรงที่สุดในคลาส

ไทยฮอนด้า เปิดตัว ‘New Honda X-ADV’ โฉมใหม่ SUV พรีเมียมที่แรงที่สุดในคลาส พร้อมมอบประสบการณ์การผจญภัยที่คาดไม่ถึง

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย จัดงาน ‘THE UNEXPECTED LIFE EVENT’ เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ ‘New Honda X-ADV’ พร้อมด้วย 4 เฉดสีใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ ‘LIVE THE UNEXPECTED LIFE’ เท่ ตอบโจทย์สไตล์แอดเวนเจอร์ตัวจริงยิ่งกว่าเดิม แรงที่สุดในคลาสด้วยเครื่องยนต์ 750 ซีซี อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อประสบการณ์ขับขี่ที่คาดไม่ถึง ซึ่งงานครั้งนี้จัดขึ้น ณ ศูนย์ Honda BigWing รามอินทรา โดยมี The Unexpected Guest อินฟลูเอนเซอร์นักเดินทางสายลุยชื่อดัง ‘ภูริ หิรัญพฤกษ์’ และ ‘เบนซ์ ไกจิน’ มาร่วมแชร์ประสบการณ์การออกไปใช้ชีวิตที่คาดไม่ถึงในแบบของตัวเอง พร้อมเปิดรับจองได้แล้ววันนี้

สำหรับ New Honda X-ADV มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ 750 ซีซี แรงที่สุดในคลาส ควบคู่กับ Honda DCT เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำลื่นไหลโดยไม่ต้องกำคลัตช์ ตอบโจทย์ทุกเส้นทางด้วย 5 Riding Modes ได้แก่ Standard, Sport, Rain, Gravel และโหมด User ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถปรับการตั้งค่าเองได้ มาพร้อม Cruise Control ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เพื่อการเดินทางที่สะดวกสบายและมอบประสบการณ์ที่พาผู้ขับขี่ไปได้ไกลกว่าเดิม

นอกจากนี้ New Honda X-ADV ยังโดดเด่นด้วย NEW FAIRING DESIGN แฟริ่งหน้าดีไซน์ใหม่ เสริมความพรีเมียมในแบบฉบับ SUV Bike แต่ยังคงความดุดันแบบนักผจญภัย บังลมหน้าออกแบบใหม่ด้วยวัสดุรีไซเคิล Durabio ปรับได้สูงถึง 139 มม. อีกทั้งเบาะนั่งออกแบบรูปทรงใหม่สไตล์แอดเวนเจอร์ให้วางเท้ากับพื้นได้ราบขึ้น เพิ่มความมั่นใจในการทรงตัว พร้อมปรับวัสดุเพิ่มยูริเทนโฟมอีก 10% นั่งสบายขึ้น เหมาะกับการขับขี่บนเส้นทางไกล รวมถึงดีไซน์ชุดไฟหน้าใหม่ NEW LED HEADLIGHT & DRL WITH WINKER ที่รวมไฟเลี้ยวเข้ากับ Daytime Running Light (DRL) เพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาในช่วงกลางวัน และไฟหน้า LED แบบโปรเจกต์เตอร์คู่ ส่องสว่างมองเห็นชัดเจนในช่วงกลางคืน พร้อมไปค้นพบเส้นทางใหม่อย่างไม่รู้จบ

New Honda X-ADV มาพร้อมกับ NEW 5-INCH TFT WITH Honda RoadSync หน้าจอแสดงผลแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อกับระบบสั่งการด้วยเสียงผ่าน Honda RoadSync ให้ผู้ขับขี่ควบคุมการโทรและเพลงได้ผ่านบลูทูธในหมวกกันน็อก และมาพร้อมพื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 22 ลิตร ช่วยเติมเต็มความสะดวกสบายทุกการเดินทาง สามารถเก็บหมวกกันน็อคเต็มใบได้

New Honda X-ADV พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ ด้วย 4 สีใหม่ ตอบโจทย์ทุกการผจญภัยที่คาดไม่ถึง รุ่น Standard ราคาแนะนำ 433,000 บาท ได้แก่

•สีดำ GRAPHITE BLACK

•สีเทา-ดำ MATTE DEEP MUD GRAY

•สีขาว-ดำ PEARL GLARE WHITE

และ Special Edition สีเหลือง-ดำ MATTE GOLD FINCH YELLOW ที่มาพร้อมลายกราฟิกแสดงถึงตัวตนเอกลักษณ์ความเป็น Adventure ตัวจริง ราคาแนะนำที่ 438,000 บาท

พิเศษ! สำหรับผู้ที่จอง 100 ท่านแรกรับเสื้อ Honda X-ADV The Unexpected Jersey พร้อมฟรี! ค่าจดทะเบียน และ พ.ร.บ

สัมผัสประสบการณ์ขับขี่แบบ ‘LIVE THE UNEXPECTED LIFE’ ไปกับ New Honda X-ADV ได้แล้วที่ Honda BigWing ทุกสาขาทั่วประเทศ

RIDDARA RD6 คว้ารางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2025

RIDDARA RD6 คว้ารางวัลรถกระบะพลังงานไฟฟ้ายอดเยี่ยม “BEST PICKUP EV” ในงาน CAR OF THE YEAR 2025

GEELY RIDDARA รายงานความสำเร็จอีกขั้นของการดำเนินงานในประเทศไทย โดย RIDDARA RD6 รถกระบะพลังงานไฟฟ้า 100% ได้รับรางวัล “BEST PICKUP EV” ในงานประกาศรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR OF THE YEAR 2025” จัดโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี

สำหรับรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR OF THE YEAR” ถือเป็นเวทีสำคัญในการคัดเลือกและมอบรางวัลให้กับรถที่จัดจำหน่ายในประเทศไทยที่มีความยอดเยี่ยมในแต่ละด้าน เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยรวมไปถึงเป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกซื้อรถให้เหมาะกับเป้าหมายของการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทย โดยในปีนี้ RIDDARA RD6  รถกระบะพลังงานไฟฟ้าจาก GEELY RIDDARA ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้รับการยอมรับและตัดสินจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ในเมืองไทยให้เป็นรถที่มีความยอดเยี่ยมในประเภทรถกระบะพลังงานไฟฟ้า “BEST PICKUP EV”

“รางวัลนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีคุณภาพสามารถคอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี โดย GEELY RIDDARA จะมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องต่อไป” มร.หลิว ไห่โจว (Mr.Liu Haizhou) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าว

บรรยายภาพ : มร.หวู่ เทา ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาด บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นรับรางวัล

RIDDARA RD6  

โดดเด่นด้วยนวัตกรรม M.A.P (Multiplex Attached Platform) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์มรถยนต์ที่พัฒนาเอาจุดเด่นของรถกระบะและรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาผสมผสานกัน ทำให้ RIDDARA RD6 มีความโดดเด่นทั้งในด้านของการออกแบบ สมรรถนะและความอัจฉริยะในแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยโครงสร้างตัวถังขนาดใหญ่และมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมอบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย และติดตั้งระบบความปลอดภัยและระบบช่วยในการขับขี่ที่ครบครัน พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่รองรับทั้งการเดินทาง และการทำกิจกรรมแบบเอาท์ดอร์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่น้อยกว่ารถกระบะสันดาปทั่วไป

RIDDARA RD6 ให้สมรรถนะที่โดดเด่นด้วยอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.5 วินาที และแรงบิดสูงสุด 595 นิวตันเมตร มาพร้อมช่องจ่ายกระแสไฟตามมาตรฐานยุโรปขนาด 6KW ที่กระบะท้าย รวมไปถึงการเชื่อมต่อและควบคุมรถผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือทำให้สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน

RIDDARA RD6 มอบความสะดวกสบายระดับ SUV ด้วยห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่เงียบสงบด้วยเทคโนโลยี Pure Electric NVH Silent พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 14.6 นิ้ว ที่ชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สายขนาด 50W ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone ที่มาพร้อมระบบกรองอากาศ CN95 filter PM 2.5และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เบาะหนังคุณภาพสูงดีไซน์เอกลักษณ์สามารถปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศที่เบาะโดยสาร เบาะหน้าเอนได้แบบ 180 องศา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกครบครัน

RIDDARA RD6 ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 แบบอัตโนมัติ โดยมีโหมดการขับขี่ 7 โหมด สำหรับสภาพถนนที่แตกต่างกัน (Sand / Mud / Off-road / Wading / Economy / Comfort / Sport) อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยความสามารถในการลุยน้ำลึกได้สูงสุด 815 มิลลิเมตร มีพื้นที่บรรทุกกระบะท้ายขนาด 1,200 ลิตร ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 70 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บเพิ่มเติมใต้เบาะผู้โดยสารด้านหลังอีก 48 ลิตร อีกทั้งยังมีความสามารถในการลากจูงได้สูงสุดถึง 3,000 กิโลกรัม

RIDDARA RD6 มีระบบความปลอดภัยรอบคัน ซึ่งรวมถึงระบบช่วยในการขับขี่ ADAS (Advanced Driving Assistance Systems) สูงสุด 14 ระบบ และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 540 องศา รวมไปถึงถุงลมนิรภัย 6 จุดช่วยปกป้องทั่วทั้งห้องโดยสาร ยิ่งไปกว่านั้นตัวรถสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของโครงสร้างรถ

สำหรับ RIDDARA RD6 มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมี 4 รุ่นย่อย ด้วยราคาจำหน่ายดังนี้

•RIDDARA RD6 2WD 63kWh ราคา 899,000 บาท

•RIDDARA RD6 2WD 73kWh ราคา 999,000 บาท

•RIDDARA RD6 4WD 73kWh ราคา 1,149,000 บาท •RIDDARA RD6 4WD 86kWh ราคา 1,299,000 บาท

CUB House เปิดตัว “New C125 Custom Edition” คู่สีใหม่

CUB House เปิดตัว “New C125 Custom Edition” คู่สีใหม่แห่งความหรูหรา ภายใต้คอนเซปต์ “THE CRAFTPIECE”

CUB House by Honda เปิดตัว New Honda C125 Custom Edition นำเสนอความหรูหราด้วยคู่สีใหม่ “สีขาว : Original White” สีที่เป็นตัวแทนของความเรียบหรู และ ‘สีแดง (Artisan Red)’ สีที่เป็นตัวแทนของความหลงใหลผสมผสานกันอย่างลงตัว ภายใต้คอนเซปต์ “THE CRAFTPIECE” ตกแต่งด้วยความประณีต เปรียบงานศิลปะเมื่อปลายยุค 50 สะท้อนความคราฟต์เหนือระดับสำหรับคนมีคลาสพร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้

New Honda C125 Custom Edition สร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันด้วยวัสดุระดับพรีเมียม อีกทั้งยังคงเสน่ห์ของความคลาสสิกไว้อย่างเต็มเปี่ยม ด้วย 𝗦-𝗦𝗵𝗮𝗽𝗲 𝗗𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻 รูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์เหนือกาลเวลาตามแบบ Honda Super Cub ปี 1958 สไตล์เรโทรคลาสสิก ตั้งแต่แฮนด์ไปจรดบังโคลนล้อหลังลงตัวคู่กับ Double Seat เบาะสองตอนสุดคลาสสิกสีแดงใหม่ (Artisan Red) ที่ตัดกับสีขาวเสริมความหรูหราอย่างมีระดับ

New Honda C125 Custom Edition มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยเครื่องยนต์ 125 ซีซี หัวฉีด PGM-FI ระบายความร้อนด้วยอากาศ ส่งกำลังขับผ่านระบบเกียร์วน 5 สปีด อีกทั้งยังมีเทคโนโลโนยีครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ไฟส่องสว่างแบบ FULL LED LIGHT หน้าจอ LCD METER แบบดิจิทัล และระบบกุญแจ Honda Smart Key มอบความสะดวกสบายได้ทุกการเดินทาง

CUB House by Honda พร้อมวางจำหน่าย New Honda C125 Custom Edition สีขาว (Original White) ราคาแนะนำที่ 94,600 บาท ที่ CUB House Flagship ทุกสาขาทั่วประเทศ

ฮอนด้า คว้า 4 รางวัล Thailand Car of the Year 2025

ฮอนด้า คว้า 4 รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี Thailand Car of the Year 2025 นำโดยไลน์อัป Full Hybrid e:HEV ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ น่าใช้ น่าขับ ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้

ฮอนด้า เริ่มต้นปี 2568 ด้วยรางวัลที่สะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้า โดย บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด คว้า 4 รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปีในงาน Thailand Car of the Year 2025 จากบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) นำโดยไลน์อัป e:HEV ยนตรกรรมฟูลไฮบริด 3 รุ่น ที่สามารถคว้ารางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปีต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน (ปี 2567 – 2568) ได้แก่ ฮอนด้า ซีวิค รุ่น e:HEV RS ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี รุ่น e:HEV RS และฮอนด้า ซีอาร์-วี รุ่น e:HEV RS โดยไลน์อัปฟูลไฮบริด e:HEV เป็นเทคโนโลยีที่ลงตัวกับการใช้ชีวิต มอบสมรรถนะการขับขี่อันทรงพลัง อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม มั่นใจยิ่งขึ้นกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ติดตั้งในยนตรกรรมไลน์อัป e:HEV ทุกรุ่น พร้อมด้วยอีกหนึ่งรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี กับ ฮอนด้า ซีวิค ไทป์ อาร์ ที่สุดแห่งความสปอร์ตระดับตำนาน

สำหรับรถยนต์ฮอนด้าทั้ง 4 รุ่นที่คว้ารางวัล Thailand Car of the Year 2025 ได้แก่

1.ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี รุ่น e:HEV RS ยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดาน ได้รางวัลรถยอดเยี่ยมประเภทไฮบริดซีดาน เครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี (Best Hybrid Sedan under 2,000 c.c.)

2.ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี รุ่น e:HEV RS ยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมซีดาน ได้รางวัลรถยอดเยี่ยมประเภทไฮบริดซีดานขนาดกลาง เครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี (Best Mid-size Hybrid Sedan under 2,000 c.c.)

3.ฮอนด้า ซีอาร์-วี รุ่น e:HEV RS ยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมเอสยูวี ได้รางวัลรถยอดเยี่ยมประเภทไฮบริดเอสยูวีขนาดกลาง (Best Mid-size Hybrid SUV)

4.ฮอนด้า ซิวิค ไทป์ อาร์ ที่สุดแห่งความสปอร์ตระดับตำนาน ได้รางวัลรถยอดเยี่ยมประเภทสปอร์ตซีดาน (Best Sport Sedan)

รางวัลดังกล่าวตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของฮอนด้าในการพัฒนาและส่งมอบยนตรกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้าอย่างไม่หยุดนิ่ง ด้วยยนตรกรรรมที่มีคุณภาพ มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่อันดีเยี่ยม ดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกสบาย และเทคโนโลยีความปลอดภัยครบครัน อุ่นใจด้วยศูนย์บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

สามารถสัมผัสกับยนตรกรรมฮอนด้าที่ได้รับการการันตีคุณภาพด้วยรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี  (Thailand Car of the Year 2025) พร้อมด้วยยนตรกรรมรุ่นอื่นๆ ได้ที่บูทฮอนด้าในงาน มอเตอร์ โชว์ 2025 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 โดยมาพร้อมข้อเสนอพิเศษที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่น ทั้งภายในงานที่โชว์รูมและศูนย์บริการฮอนด้าประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือแชตกับที่ปรึกษาการขายออนไลน์ได้ที่ www.honda.co.th หรือศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777

อีซูซุ ส่งเสริมศิลปะคู่เยาวชนรุ่นใหม่ ประกาศผลประกวดวาดภาพดิจิทัล

อีซูซุ เดินหน้าส่งเสริมศิลปะคู่เยาวชนรุ่นใหม่จัดประกวดวาดภาพดิจิทัลในโครงการ “อีซูซุเยาวชนสัมพันธ์ 2567” ชิงทุนการศึกษากว่า 500,000 บาท

บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เดินหน้าสนับสนุนเยาวชนรุ่นใหม่ในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดดิจิทัลโครงการ “อีซูซุเยาวชนสัมพันธ์” ประจำปี 2567 รอบชิงชนะเลิศ ชิงทุนการศึกษารวมกว่า 500,000 บาท ณ อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด

กลุ่มตรีเพชร โดย มร.ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า “อีซูซุจัดการประกวดวาดภาพดิจิทัล “โครงการอีซูซุเยาวชนสัมพันธ์ 2567” อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี สำหรับรอบคัดเลือกปีนี้ เราต้องการส่งเสริมให้เยาวชนไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญและผลกระทบของสื่อดิจิทัลต่อการดำเนินชีวิต เนื่องจากโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ข้อมูลสามารถแพร่หลายได้ทันทีอย่างไร้พรมแดน ทำให้ผู้บริโภคยุคดิจิทัลจำเป็นต้องคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณก่อนแชร์เนื้อหาออนไลน์ ไตร่ตรองถึงความสำคัญโดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลผ่านหัวข้อ “พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์อย่าเผลอทำผิด คิดก่อนแชร์” ในระหว่างเดือนธันวาคม 2567 ถึงมกราคม 2568 ที่ผ่านมา”

โครงการ “อีซูซุเยาวชนสัมพันธ์ 2567” เป็นโครงการเปิดโอกาสให้น้องๆ เยาวชนได้มีโอกาสแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการผ่านการใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการวาดภาพ ในปีนี้มีน้องๆ ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดถึง 531 ผลงาน โดยมีผู้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศจำนวน 20 คน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งประกอบด้วย

•รศ.ดร.ศุภชัย อารีรุ่งเรือง

คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

•ผศ.ดร.วิชญ มุกดามณี

คณบดีคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร       

•ผศ.อนุพงษ์ จันทร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาศิลปกรรม คณะสถาปัตยกรรมศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง

รวมถึงกิจกรรมบรรยายพิเศษที่ได้รับเกียรติจาก “คุณนัด ธนิษฐ์ เจียรสวัสดิ์วัฒนา” ครีเอเตอร์ชื่อดังจากเพจ นัดเป็ด ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งมีผลงานที่มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ ถูกใจผู้คนมากมาย ได้มาร่วมพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ และให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่น้องๆ เยาวชนที่เข้าร่วมประกวดในวันนี้ รวมทั้งได้ให้ทุกคนร่วมทำกิจกรรม  Workshop  สร้างผลงานสติกเกอร์ สำหรับแอปพลิเคชัน Line อีกด้วย

โดยการประกวดรอบชิงชนะเลิศนั้น เป็นการวาดภาพแบบสดในเวลา 3 ชั่วโมง ในหัวข้อที่กำหนดขึ้นใหม่ ซึ่งในปีนี้อีซูซุได้ประกาศหัวข้อ “ไทยช่วยไทย ก้าวไปด้วยกัน” สำหรับรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สร้างสรรค์โดยคนไทย นอกจากช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการจ้างงานและความเจริญรุ่งเรืองในระยะยาวแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนความรู้ ความสามารถ และความชำนาญของชาวไทยให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงต่อไป โดยผลการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศมีดังนี้

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เด็กหญิงกันตา ณ ลำพูน โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา กรุงเทพมหานคร ได้รับทุนการศึกษา 50,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ เด็กหญิงฮานีนี่ โมหมัดตอเฮด โรงเรียนเกาะจันทร์พิทยาคาร จังหวัดชลบุรี ได้รับทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ เด็กหญิงอารีฟะฮ์ ชาญชัยชนะ โรงเรียนวิชัยวิทยา จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

รางวัลชมเชยจำนวน 7 รางวัล ได้รับทุนการศึกษารางวัลละ 10,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ ได้แก่

1.เด็กหญิงภัทรภร จันทิมา โรงเรียนระยองวิทยาคม จังหวัดระยอง

2.เด็กหญิงพรนพรัตน์ วายุวรรธนะ โรงเรียนวิสุทธรังษี จังหวัดกาญจนบุรี

3.เด็กหญิงกรรวี หลีกภัย โรงเรียนราชินีบน กรุงเทพมหานคร

4.เด็กหญิงเพชรอาภา เพ็ชรละออ โรงเรียนโพธิสัมพันธ์พิทยาคาร จังหวัดชลบุรี

5.เด็กหญิงชญานิศ เชียงทอง โรงเรียนวิสุทธรังสี จังหวัดกาญจนบุรี

6.เด็กชายปรารภัฏ บุญเกษม โรงเรียนธัมมสิริศึกษาสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

7.เด็กหญิงธนารีย์ ดอกดี โรงเรียนหล่มสักวิทยาคม จังหวัดเพชรบูรณ์

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

•รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวชญาดา อุทัยธัน  โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) กรุงเทพมหานคร ได้รับทุนการศึกษา 50,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ นางสาวสุชญา ใจกล้า โรงเรียนสว่างบริบูรณ์วิทยา จังหวัดชลบุรี ได้รับทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

•รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ นางสาววิรัลพัชร เจริญสันติสุข โรงเรียนมารีวิทย์สัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้รับทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

รางวัลชมเชยจำนวน 7 รางวัล ได้รับทุนการศึกษารางวัลละ 10,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ ได้แก่

1.นางสาวณัฏฐณิชา บางดี โรงเรียนบัวขาว จังหวัดกาฬสินธุ์

2.นางสาวธิดาวัลย์ สิงห์คำ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จังหวัดขอนแก่น

3.นายภีรศักดิ์ ศรีสุระ โรงเรียนสว่างบริบูรณ์วิทยา จังหวัดชลบุรี

4.นางสาวเกวลิน ญาณอภิมนตรี โรงเรียนสตรีวัดอัปสรสวรรค์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร

5.นางสาวชนกนันท์ พันธุ์มาตย์ โรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร จังหวัดระยอง

6.นายนฤพล หยองวังปา โรงเรียนสันติวิทยาสรรพ์ จังหวัดเลย

7.นางสาวพิมพ์พิศา โคตศิริ โรงเรียนท่าเรือ “นิตยานุกูล” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

“หัวข้อสดในรอบชิงชนะเลิศปีนี้ “ไทยช่วยไทย ก้าวไปด้วยกัน” ทำให้หนูรู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะไม่ได้เตรียมตัวสำหรับหัวข้อนี้มา แต่ก็เข้ากับยุคสมัยตอนนี้ดีค่ะ ภาพวาดของหนูต้องการสะท้อนว่า เราเป็นคนไทยและอยู่ในเมืองไทยด้วยกันก็ควรให้ความช่วยเหลือกัน ถ้าอยู่ใกล้ก็เอื้อมมือไปช่วย ถ้าไกลก็ส่งกำลังใจ แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็ช่วยกันได้เสมอค่ะ อยากเชิญชวนเพื่อนๆ ให้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ในครั้งต่อๆ ไป เพราะเป็นโอกาสที่ดีมากที่จะได้โชว์ฝีมือการวาดภาพของเรา” เด็กหญิงกันตา ณ ลำพูน โรงเรียนเลิร์นสาธิตพัฒนา กรุงเทพมหานคร ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เผยที่มาของผลงาน “ไม่ไกลเกินเอื้อม”

สำหรับ นางสาวชญาดา อุทัยธัน จากโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) กรุงเทพมหานคร ผู้ชนะเลิศระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เผยความรู้สึกว่า “แรงบันดาลใจของผลงานชิ้นนี้มาจากวลีหนึ่ง คือ ส่งต่อความห่วงใย เราเปรียบเปรยความห่วงใยเป็นรูปห่วงสีทอง และคำว่า ก้าวไปด้วยกัน นั้นหมายถึง ไม่ว่าเราจะอยู่ต่างที่คนละมุมโลก เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ถ้าหากว่าเราทุกคนห่วงใยคนรอบข้างกันสักนิด แค่นี้สังคมก็จะน่าอยู่ขึ้นและพร้อมก้าวไปด้วยกัน ดังนั้นเพื่อนๆ ที่สนใจวาดรูป มีใจรักในศิลปะ เข้ามาประกวดกันได้นะคะ อีซูซุเขาใจดีค่ะ”

นอกจากนี้ยังมีรางวัล Popular Vote จำนวน 10 รางวัล จากระดับการศึกษาละ 5 คน จะได้รับทุนการศึกษาคนละ 2,500 บาท และพิเศษ! รางวัล Content Creator 10 รางวัล สำหรับผู้เข้าแข่งที่จัดทำคลิปที่เกี่ยวข้องกับผลงานหรือกิจกรรมนี้อย่างสร้างสรรค์ลงในช่องทาง TikTok โดย 10 คลิปที่ถูกใจคณะกรรมการ มากที่สุด และทำถูกต้องตามกติกา จะได้รับทุนการศึกษารางวัลละ 2,500 บาท ทั้งนี้สามารถติดตามประกาศรางวัลในโครงการ “อีซูซุเยาวชนสัมพันธ์” ประจำปี 2567 ได้ที่ https://isuzuyouthrelations.com/  และสามารถติดตามข่าวสารของอีซูซุเพิ่มได้ทางเว็บไซต์ www.isuzuyouthrelations.com  หรือ www.isuzu-tis.com

JAECOO 6 EV คว้ารางวัล BEST OFF ROAD EV

OMODA & JAECOO พา JAECOO 6 EV คว้ารางวัล BEST OFF ROAD EV ในงาน THAILAND CAR OF THE YEAR 2025 ประกาศความมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย 10 มีนาคม 2568 – OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก นำรถพลังงานไฟฟ้าแบบออฟโรด JAECOO 6 EV (หรือ iCAR 03 ในประเทศจีน) สร้างความภาคภูมิใจให้กับวงการยานยนต์ไทย คว้ารางวัล “BEST OFF ROAD EV” จากเวที THAILAND CAR OF THE YEAR 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ดีทางธุรกิจยานยนต์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ณ ห้องรอยัล จูบิลี บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

รางวัล BEST OFF ROAD EV ครั้งนี้ ถือเป็นการยืนยันถึงคุณภาพและนวัตกรรมของ JAECOO 6 EV (หรือ iCAR 03 ในประเทศจีน) รถพลังงานไฟฟ้าแบบออฟโรด โดดเด่นด้วยดีไซน์ ONE BOX STYLE ซึ่งได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งด้านความสวยงามที่มาพร้อมคุณประโยชน์การใช้สอย นอกจากนี้ JAECOO 6 EV ได้รับการยกย่องในด้านสมรรถนะการขับขี่ออฟโรดที่โดดเด่น ควบคู่ไปกับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของ OMODA & JAECOO ในการพัฒนารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบัน

JAECOO 6 EV (หรือ iCAR 03 ในประเทศจีน) EV รถพลังงานไฟฟ้าแบบออฟโรด โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ผสมผสานจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยแบบออฟโรดเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยด้วยดีไซน์ที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งอนาคต ฉีกกฎงานดีไซน์ทุกการเดินทาง พร้อมท้าทายทุกเส้นทางอย่างไร้ขอบเขต สามารถขับขี่ทั้งออฟโรดและออนโรดได้อย่างมั่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเหนือระดับ ตั้งแต่การขับในตัวเมืองใหญ่ไปจนถึงเส้นทางขับขี่ที่ยากลำบาก พร้อมด้วยความสะดวกสบายที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานสำหรับทุกเพศทุกวัยทุกไลฟ์สไตล์ในการเดินทางไกล ด้วยระยะทางการขับขี่ที่ยาวนานถึง 426 กิโลเมตร (NEDC) กับความมั่นใจในทุกการเดินทางไปกับระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงจาก JAECOO 6 EV

“รางวัล BEST OFF ROAD EV นี้ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับ OMODA & JAECOO เรามุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกสภาพพื้นที่ JAECOO 6 EV พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราสามารถผสมผสานดีไซน์ที่คงเอกลักษณ์ รวมกับสมรรถนะของรถที่ตอบโจทย์การเดินทางทุกรูปแบบ และเทคโนโลยีพลังงานใหม่ได้อย่างลงตัว” นางสาวสุชาดา ชูสงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

ปี 2568 นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความมุ่งมั่นของ OMODA & JAECOO ในการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ ควบคู่ไปกับการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเป้าหมายที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย รางวัล BEST OFF ROAD EV ครั้งนี้ เปรียบเหมือนจุดเริ่มต้นสำหรับ OMODA & JAECOO ในการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตต่อไป

มิตซูบิชิ เปิดตัว เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดตัว “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์” รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด อีกขั้นของสไตล์ที่โดดเด่นเติมเต็มความสนุกของครอบครัวยุคใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุดแอ็กทีฟ

กรุงเทพฯ – 10 มีนาคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถ “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์” รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม ที่สะท้อนตัวตนของครอบครัวรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความทันสมัยและไลฟ์สไตล์แอ็กทีฟ ตอกย้ำความแข็งแกร่งและโดดเด่นในการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก

มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เพลย์ เป็นรถรุ่นพิเศษ ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก ของรถจากซีรีส์ “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์” มาพร้อมรูปลักษณ์ที่สะท้อนความสปอร์ตพรีเมียมอันโดดเด่นและสะดุดตา ตอบสนองไลฟ์ไตล์สุดแอ็กทีฟของครอบครัวยุคใหม่ ที่พร้อมออกไปสนุกกับกับการใช้ชีวิตและกิจกรรมด้วยกัน มอบความอุ่นใจตลอดการใช้งาน ด้วยเครือข่ายผู้จำหน่ายกว่า 190 แห่งทั่วประเทศ พร้อมบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม ลูกค้าจึงสามารถเชื่อมั่นได้ในสมรรถนะที่เหนือชั้นและความคุ้มค่า” มร.อินาบะ กล่าวเพิ่มเติม

“มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์” มอบประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ เต็มเปี่ยมด้วยพลังและมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม ปลอดภัย สะดวกสบาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาพร้อม MITSUBISHI e:MOTION ที่ผสาน 3 สุดยอดเทคโนโลยี อันเป็นเอกลักษณ์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประกอบไปด้วย ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดที่ทรงพลัง เพื่อพละกำลังที่เหนือกว่าและความประหยัดน้ำมัน โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ให้ความปลอดภัย ลุยได้ในทุกสภาพถนน และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจสูงสุดขณะเข้าโค้ง ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะนั่งปรับพับได้หลากหลายรูปแบบและมีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระที่ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ ตอบโจทย์ทุกความต้องการและรองรับทุกไลฟ์สไตล์

ดีไซน์แบบสปอร์ตพรีเมียมโดดเด่นด้วยหลังคาสีดำ กระจกมองข้างสีดำ คิ้วขอบกระจกประตูสีดำ กระจังหน้าตกแต่งไดนามิกชิลด์สีดำ เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ และล้ออัลลอยสีดำ นอกจากนี้ ยังมีมือเปิดประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ และไฟท้ายแบบ LED สี Smoke โดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ ยังมาพร้อมไฟหน้าและกรอบไฟหน้าสีดำ ชุดตกแต่งสปอยเลอร์หลัง พร้อมด้วยชุดตกแต่งชายกันชนหน้า กันชนข้างและกันชนหลัง ขณะที่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เพลย์ มาพร้อมกันชนหน้า แผงตกแต่งข้างประตู แบบ Cross Design สีดำ และกระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถ

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี เพลย์ มีสีตัวถังให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว White Diamond พร้อมหลังคาสีดำ และ สีเทา Graphite Gray พร้อมหลังคาสีดำ ขณะที่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เพลย์ มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาว White Diamond พร้อมหลังคาสีดำ สีเทา Graphite Gray พร้อมหลังคาสีดำ และสีเขียว Green Bronze พร้อมหลังคาสีดำ ในราคาจำหน่ายที่ 981,000 บาท ทั้งสองรุ่น

มาสด้าคว้า 6 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2568

มาสด้าคว้า 6 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2568 ตอกย้ำความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์เพื่อลูกค้าทุกคน

กรุงเทพฯ– ประเทศไทย, วันที่ 10 มีนาคม 2568 – บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง เข้ารับรอบรางวัล Thailand Car of the Year 2025 หรือรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2568 ที่จัดขึ้นโดย บริษัท กรังซ์ปรีด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และผู้จัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ซึ่งยนตรกรรมมาสด้าสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติมาครองได้ถึง 6 รุ่น รวมถึงยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดทั้งสองรุ่น ทั้งรถครอสโอเวอร์เอสยูวีมาสด้า CX-5 และรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 ที่เปิดตัวสู่ตลาดไปเมื่อเร็วๆ นี้ ที่กำลังเรียกกระแสตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในประเทศไทย สำหรับรางวัลที่มาสด้าได้รับในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยียานยนต์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟและการออกแบบอันสง่างามจาก โคโดะ ดีไซน์ โดยมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้าและผู้ขับขี่อย่างแท้จริง ภายในงานฯ ได้รับเกียรติอย่างสูงจาก นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล พร้อมด้วย นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน Thailand Car & Bike of the Year 2025 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายภพนิพิฐ จิรวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centric) คือแนวทางที่มาสด้ายึดถือเป็นหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยยานยนต์อันล้ำสมัยเสมอมา ตลอดจนการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในด้านการบริการ เพื่อยกระดับประสบการณ์และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน เพราะเราเชื่อว่า ความสุขในการขับขี่รถยนต์จะนำมาซึ่งความสุขในการใช้ชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า ดังนั้น การได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของมาสด้าต่อพันธกิจดังกล่าว เพราะไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่ารถยนต์มาสด้ามีคุณภาพมาตรฐานสูงจนได้รับการยอมรับจากผู้ทรงคุณวฺฒิทางด้านวิศวกรรมยานยนต์ และยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการนำมาซึ่งประสบการณ์ที่ดีจากการใช้รถยนต์ที่มาสด้าตั้งใจส่งมอบให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

รถยนต์มาสด้าที่ได้รับรางวัล Thailand Car of The Year 2025 มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.รถยนต์นั่งสปอร์ต Mazda2 รุ่น XDL เครื่องยนต์ดีเซล           Best Sedan Diesel under 1500 cc.

2.รถยนต์นั่งสปอร์ต Mazda3 รุ่น SP Fastback                     Best Hatchback under 2000 cc.

3.รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวี Mazda CX-5 XDL          Best Diesel SUV Over 2500 cc.

4.รถปิกอัพมาสด้า BT-50 DBL 2.2 XT Hi-Racer 8AT          Best High-lifted pickup 2200 cc.

5.รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวี Mazda CX-30 SP          The Best performance compact SUV

6.รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวี Mazda CX-8 SP          The Most Valuable SUV

มาสด้าให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยียานยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า ตามแนวทาง Multi-solution เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเลือกใช้เทคโนโลยียานยนต์จากมาสด้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ เพื่อคงไว้ซึ่งโลกที่สวยงาม เพื่อผู้คน และเพื่อสังคมที่ยั่งยืนตลอดไป

บุคคลในภาพ (จากซ้ายสุดไปขวาสุด) คณะผู้บริหารระดับสูงจาก บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบด้วย นายวัชระ เจียรบุญ รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์และรัฐกิจสัมพันธ์, นายภพนิพิฐ จิรวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์, มร.ทาเคชิ ซาโตะ รองประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน, ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอรเนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, นายพิเชษฐ์ ปุณณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย และ นายศราวุฒิ บรรยงค์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า

PTG ชูธงปี 68 นำทัพด้วยฐานสมาชิก PT Max Card

PTG ชูธงปี 68 นำทัพด้วยฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus เน้นขยายพอร์ต Non-Oil กาแฟพันธุ์ไทยเป็นอาวุธหนุนเติบโต พร้อมก้าวสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2573

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) ประกาศกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 2568 ภายใต้ Max World เดินหน้าขยายเครือข่ายธุรกิจในหลากหลายมิติ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ “อยู่ดี มีสุข” ผ่านการพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่เชื่อมโยงทุกไลฟ์สไตล์ และใช้ฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus กว่า 25 ล้านสมาชิก เป็นกลไกสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ Oil และ Non-Oil ตั้งเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2571 มุ่งเน้น กาแฟพันธุ์ไทย เป็นหัวหอกสำคัญ ขยายสู่ 5,000 สาขาทั่วประเทศ และก้าวสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2573

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยในงาน “PTG Drive for Tomorrow : Max Card. Max Growth. Max World.” ว่าปี 2567 ที่ผ่านมา PTG สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมี PT Max Card และ PT Max Card Plus กว่า 25 ล้านสมาชิก (คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรไทย) เป็นกุญแจสำคัญที่ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านปริมาณ คุณภาพ และกลยุทธ์ธุรกิจ Oil ของ PTG ทำสถิติใหม่ด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6,548 ล้านลิตร เติบโต 12.9% (YoY : year on year_เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน) สูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมกว่า 10 เท่า (ตลาดเติบโต 0.4% YoY) พร้อมครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 21.9% จาก Same-Store Sales Growth (SSSG) กว่า 11.6% YoY โดยมี PT Max Card เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ดึงดูดลูกค้าให้กลับมาเติมน้ำมันมากขึ้น บ่อยขึ้น และต่อเนื่องขึ้น นอกจากปริมาณที่เติบโตขึ้นแล้ว PTG ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ โดยเน้นโครงการหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐาน และคุณภาพการบริการ เช่น บริการส่งน้ำมัน Max Service การเช็ดกระจก การดูแลลูกค้า พร้อมกลยุทธ์การเติบโตควบคู่ไปกับลูกค้า ชุมชน และ คู่ค้า ผ่านการพัฒนา Max Enterprise Connect (MEC) โซลูชันสำหรับลูกค้าองค์กร และร่วมมือกับกรมการค้าภายใน เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกับภาครัฐและชุมชน อีกทั้งได้พัฒนาและปรับปรุงสถานีบริการให้เป็น One-Stop Destination รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วให้ทุกสถานีกลายเป็นมากกว่าสถานีเติมน้ำมัน

ขณะเดียวกัน ธุรกิจ Non-Oil เติบโตอย่างแข็งแกร่งครอบคลุมทุกมิติ ในมุมของปริมาณทางฝั่งธุรกิจ Non-Oil มีรายได้เติบโต 31.2% YoY ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP 10 เท่า (GDP เติบโต 2.5% YoY) ขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้น 35% YoY โดยมีกาแฟพันธุ์ไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนธุรกิจ Non-Oil ด้วยการเติบโตที่โดดเด่นของกำไรขั้นต้นซึ่งเพิ่มขึ้น 80.2% YoY จากการขยายสาขาเฉลี่ยกว่า 1.3 สาขาต่อวันไปยังสถานีบริการน้ำมันและภายนอกสถานีบริการน้ำมันที่มีศักยภาพ อีกทั้งได้พัฒนาสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยพัฒนาโมเดลร้านให้หลากหลาย รวมถึงการทำแคมเปญที่สอดรับกับการสนับสนุนวัตถุดิบท้องถิ่นอย่าง “ไทยริกาโน” ขณะที่ Autobacs ซึ่งประกอบธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ และศูนย์บริการ มาตรฐานระดับญี่ปุ่น กำไรขั้นต้นเติบโต 70.9% YoY จากการขยายสาขาเป็น 117 สาขาภายในปี 2567 โดยมีรายได้เติบโตด้วยเช่นกันที่ 76% YoY

ทั้งนี้การเติบโตของกาแฟพันธุ์ไทย และ Autobacs เกิดจากพลังของฐานลูกค้าสมาชิกมีการเติบโตสะท้อนจากยอดขายกาแฟพันธ์ไทยกว่า 75% มาจากสมาชิก Max Card และ Max Card Plus โดยสมาชิก Max Card Plus มีการบริโภคกาแฟมากกว่าลูกค้าทั่วไป 7 เท่าต่อเดือน อีกทั้งซื้อกาแฟต่อครั้งมากกว่าลูกค้าทั่วไปถึง 2 เท่า

นอกจากนี้ PTG ยังเติบโตเชิงกลยุทธ์โดยร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง บสย. เพื่อเสริมรากฐานการขยายแฟรนไชส์กาแฟพันธุ์ไทยที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังได้มีการร่วมมือกับ กรมป่าไม้ แม่ฟ้าหลวง และ ธกส. ในการพัฒนาและส่งเสริมการปลูกกาแฟอาราบิก้าและพืชเศรษฐกิจยั่งยืนเพื่อรับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมในอนาคต รวมถึงการส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดผ่านการรังสรรค์เมนูเครื่องดื่มของกาแฟพันธุ์ไทยเพื่อต่อยอดเพิ่มมูลค่า สนับสนุนเกษตรกร กระจายรายได้สู่ชุมชน และสร้างความยั่งยืนในทุกภูมิภาค

นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่าสำหรับอนาคต PTG มุ่งสู่ Max World ซึ่งเป็นระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่เชื่อมโยงทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้เข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ผ่าน 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่

1. ยกระดับคุณภาพให้ลูกค้ามี “ชีวิตดี” ผ่านบัตร Max Card และ Max Card Plus โดยมอบโอกาสให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่าย และได้รับสิทธิพิเศษมากขึ้น เช่น เข้าพักจุดบริการ PT MAX CAMP ฟรีระหว่างการเดินทาง ส่วนลด 50 สตางค์/ลิตร สำหรับน้ำมันใสหรือ LPG ส่วนลด 50% สำหรับเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยหรือคอฟฟี่เวิลด์ ฟรีค่าบริการจัดส่งน้ำมันฉุกเฉิน มูลค่า 100 บาท เป็นต้น โดยสิทธิประโยชน์เหล่านี้ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม และเกิดการบอกต่ออย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่าทุกสิ่งที่ PTG ขับเคลื่อนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจลูกค้า ดังคำกล่าว “ใครจะเข้าใจคนไทย…ได้ดีกว่าคนไทยด้วยกัน”

2. ขยายธุรกิจ Non-Oil ให้ “เติบโต” โดยตั้งเป้าสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2571 ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของกําไรขั้นต้น พร้อมกับธุรกิจ Non-Oil อื่นๆ อีก 25% โดยการเพิ่มในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มีปัจจัยมาจากการขยายกาแฟพันธุ์ไทยสู่ 5,000 สาขา ภายในปี พ.ศ. 2571 การขยายสาขานี้จะทําให้กาแฟพันธุ์ไทยเข้าถึงชุมชนและเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ในมุมธุรกิจใหม่ Subway ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศธุรกิจของ PTG ผ่านบัตร Max Card โดยใช้ประโยชน์จากฐานสมาชิกกว่า 25 ล้านราย เพื่อมอบความคุ้มค่าและสิทธิประโยชน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ได้กล่าวเสริมว่า PTG ได้ขยายขอบเขตไปยังธุรกิจ Non-Oil อื่นๆ อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการเชื่อมต่อกับ Max Card ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะในด้าน บริการสินเชื่อที่ PTG ได้ร่วมมือกับ Paisan Capital เพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่ง เสริมศักยภาพในการเข้าถึงสินเชื่อด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการ อีกทั้ง PTG เป็นผู้นำในการนำ Subscription Model มาเชื่อมต่อกับสถานีชาร์จ EV Elex by EGAT PT ให้ลูกค้าปลดล็อกสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่า พร้อมยกระดับสุขอนามัยของคนในชุมชนผ่านธุรกิจบริหารจัดการขยะ

3. PTG ได้ย่อ Max World มาอยู่ในมือลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me เพื่อเพิ่ม “ความสะดวกสบาย” ให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มที่รวมสินค้า บริการ และสิทธิพิเศษไว้ในที่เดียว

นอกจากนี้ PTG ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเติบโตของธุรกิจ แต่ยังให้ความสำคัญกับการส่งมอบคุณค่าให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมา PTG ได้ดำเนินโครงการที่ช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการติดตั้ง Solar Roof ในสถานีบริการ, ค่ายอาสาทำจริงไม่ทิ้งกัน, การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจและไม้ยืนต้นร่วมกับการปลูกกาแฟ และการฟื้นฟูป่าชายเลน รวมถึง การร่วมมือกับกรมการค้าภายใน รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรเพื่อนำมาแจกให้ลูกค้าสถานีบริการน้ำมัน

อีกทั้ง PTG ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นด้าน ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส โดยได้รับรอง CAC ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยแนวคิดของ PTG คือ การเติบโตของธุรกิจต้องไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม เพราะ PTG ตระหนักดีว่าภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุกภาคส่วนจากวิกฤตน้ำท่วม ไฟป่า ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบและต้นทุนคาร์บอนในระดับโลก ปัจจุบัน 140 ประเทศทั่วโลกได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมพลังงานผ่าน นโยบาย COP, ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนให้กับธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ด้วยเหตุนี้ PTG จึงให้คำมั่นในการก้าวสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2030 (Scope 1 และ 1) ผ่าน 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่

-Reduce (10%) : ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กร (Drive Internal Decarbonization)

-Reforestation (30%) : ดูดซับและกักเก็บคาร์บอนผ่านการปลูกป่า การฟื้นฟู และการปกป้องระบบนิเวศชายฝั่ง (Forest Protection & Conservation Actions)

-Readjust Portfolio (60%) : ลงทุนใน ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต ที่สามารถชดเชยคาร์บอนและเติบโตในระยะยาว (Deploy investments in a carbon offset portfolio)

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ PTG ที่ไม่ได้มอง ESG เป็นเพียงมาตรฐาน แต่เป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ PTG เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมเชื่อมต่อทุกคนให้เข้าถึง ชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกช่วงของชีวิต ผ่าน Max Card และ Max Card Plus ซึ่งเป็นมากกว่าบัตรสะสมแต้ม แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างธุรกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม

“บางกอกมอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 กรังด์ปรีซ์ฯ ผนึกพันธมิตร 54 แบรนด์ดัง ปลุกอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) รวมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์กว่า 54 แบรนด์ดัง จัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 ภายใต้ธีม “The Talk of Sensuous  Automotive” หรือ “สนทนาภาษายานยนต์” ชูไฮไลต์พื้นที่โซนใหม่จัดแสดงอะไหล่รถอีวีและสันดาป หลังปิดดีลเครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายจากประเทศจีน โดยงานจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน พ.ศ.2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี

ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 กล่าวว่า “สำหรับงานมอเตอร์โชว์ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม “The Talk of Sensuous  Automotive” หรือ “สนทนาภาษายานยนต์” สื่อถึงปรัชญาแนวทางการออกแบบในโลกยานยนต์ที่สื่อสารเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง ความปรารถนา แรงบันดาลใจ สื่อสารเป็นภาษาของยานยนต์ เพื่อสะท้อนแนวคิด การสร้างสรรค์พัฒนา และประสบการณ์สุนทรียภาพทางอารมณ์อย่างที่คุณค่า”

นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานจัดงาน “บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 “โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการยานยนต์จากยุโรปและเอเชียตอบรับเข้าร่วมออกบูธภายในงานฯ แล้ว 54 ราย แยกเป็นรถยนต์ 41 บริษัท และจักรยานยนต์ 13  สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมออกงานอย่างเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังได้รับการตอบรับการเข้าร่วมออกงานฯของกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่เป็นแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า ที่เพิ่งเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย อาทิ ZEEKR, OMODA&JAECOO, CHERY, KINGGEN, JUNEYAO , RIDDARA และ GEELY รวมถึงเทคโนโลยีระบบนำทางภายในรถยนต์ HUAWEI นอกจากนี้ยังมีแบรนด์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า YADEA ที่มาเปิดตัวครั้งแรกภายในงานฯ โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 14 ราย”

“ส่วนในไฮไลต์ของการจัดงานฯ ปีนี้ นอกจากมีการเปิดตัวรถยนต์และรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ ทั้งรถสันดาปและรถอีวีของผู้ประกอบการยานยนต์แล้ว บริษัทฯ ได้จัดเตรียมพื้นที่ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พื้นที่กว่า 9,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการออกบูธอุปกรณ์ตกแต่งรถโดยเฉพาะ โดยในปีนี้ได้ขยายฐานผู้ออกบูธแสดงสินค้าสู่กลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายอะไหล่รถอีวีและสันดาปที่ต้องการขยายตลาดในประเทศไทย เนื่องจากเห็นโอกาสและศักยภาพของงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่เป็นงานจัดแสดงยานยนต์ระดับสากล”

“จึงได้รับความร่วมมือจาก บริษัท หนานจิง ฉ่วงฉี เอ็กซิบิชั่น จากประเทศจีน ได้นำสินค้าอุปกรณ์อะไหล่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จากประเทศจีน มาจัดแสดงเพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยที่สนใจเป็นร่วมตัวแทนจำหน่ายอีกด้วย นับได้ว่า เป็นครั้งแรกของการจัดงานแสดงรถยนต์เพื่อผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงทางธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ บนพื้นที่กว่า 3,800 ตารางเมตรภายในฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ระหว่างวันที่ 24 – 30 มีนาคม 2568 มั่นใจได้ว่า จะได้สินค้าที่ตรงตามคุณภาพ ราคาจากผู้ประกอบการโดยตรง”

นอกจากนี้ ยังมีการออกบูธจัดแสดง USED CAR หรือรถมือสองระดับลักชัวรี่ รวมถึง สินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น สินค้ามูเตลู การแข่งขันชิงรางวัล พร้อมกิจกรรมสนุกๆ อีกมากมาย ภายในฮอลล์

และอีก 1 งานที่แต่งเติมสีสันให้ล้อกันไปกับงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ คือ MU-NIVERSE “เปิดจักรวาลมูเตลูไทย สู่คนรุ่นใหม่” เป็นอีเวนต์ที่รวบรวม เรื่องราวมูเตลูของเมืองไทยในแบบที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยง ความเชื่อม ศิลปะ เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน ระหว่าง วันที่ 2-6 เมษายน 2568 ที่บริเวณฟอรั่ม ฮอลล์ 4 พบปะกับอ.ลักษณ์ โหราธิบดี และแขกรับเชิญสายมูชื่อดังมากมาย พร้อมกิจกรรมดูดวง ปรึกษาฤกษ์ออกรถ ป้ายทะเบียนมงคล สินค้าเครื่องรางวัตถุมงคล กิจกรรมแลกเปลี่ยนข้อมูลของดีของสะสมสายมู พร้อมรับสติ๊กเกอร์เสริมดวงรุ่นพิเศษเฉพาะงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เท่านั้น

นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่สายการผลิต บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “สำหรับกิจกรรมในปีนี้ นอกจากกิจกรรม E-Racing ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์การแข่งขันรถยนต์เสมือนจริงผ่านเครื่องเล่น Simulator แล้ว ทางผู้จัดยังได้รับความร่วมมือจาก R.C.S. (Runbike Championship Series) ประเทศญี่ปุ่น จัดกิจกรรมการแข่งขันจักรยานทรงตัวรายการ “Grandprix Runbike Championship With R.C.S.” ขึ้นภายในงาน โดยเป็นการจัด Pre-Event จำนวน 2 สนาม ซึ่งการจัดการแข่งขันดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันวงการกีฬาสำหรับเยาวชนในประเทศไทย รวมถึงบูธแสดงสินค้าเกี่ยวกับเด็ก กีฬา และไลฟ์สไตล์ ตลอดจนโซนกิจกรรมสำหรับครอบครัวอีกด้วย”

นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาบริษัทฯ ในฐานะผู้จัดงาน ได้มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้เข้าร่วมงาน และผู้เข้าชมงานได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี digital transformation เข้ามาอำนวยความสะดวกในการเข้าชมงาน”

“เราได้พัฒนาบัญชี LINE Official Account หรือ Line OA ขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกใช้ในการลงทะเบียน และยังเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างบริษัทฯ กับผู้บริโภคในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และรูปแบบการให้บริการใหม่ๆ ทั้งกลุ่ม Auto และ กลุ่ม Lifestyle ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นมา เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ”

“นอกจากนี้ เรายังได้จัดทำโปรแกรม Fullloop ที่สามารถเก็บข้อมูลฟีดแบ็กจากผู้เข้าชมได้ในรูปแบบที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ผู้เข้าชมสามารถกรอกแบบสอบถามสั้นๆ เพื่อประเมินการจัดงาน ช่วยให้ผู้จัดงานสามารถรวบรวมข้อมูลได้ทันทีและวิเคราะห์ผลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการเก็บฟีดแบ็กจากผู้เข้าชมในงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้จัดงานสามารถปรับปรุงการจัดงานในหลายๆ ด้าน และตอบสนองต่อความต้องการของผู้เข้าชมได้ดียิ่งขึ้น”

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการจัดงานฯ ปีนี้จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา  ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปีนี้คาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนและเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน ประกอบกับสถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อรถใหม่และรถมือสอง

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ผู้จัดงานฯ มีการปรับเพิ่มวันสำหรับสื่อมวลชน หรือ Press day เป็น วันที่ 24 มีนาคม 2568 สือมวลชน สามารถเข้าภายในบริเวณงานได้ตั้งแต่เวลา 7:30 น. โดยรอบนำเสนอของบริษัทแรกจะเริ่มในเวลา 08:00 – 21:00 น. ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมจากแบรนด์ที่ร่วมออกงานฯ โดยสื่อมวลชนที่ไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้า สามารถลงทะเบียนได้ที่กองอำนวยการ ได้ตั้งแต่เวลา 07:00 น.

ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 พิธีเปิดการจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 อย่างเป็นทางการ จะเริ่มในเวลา 09:00 – 10:00 น. และ เปิดรอบสำหรับ VIP ตั้งแต่เวลา 10:00 – 18:00 น.

การจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 นี้ มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ มั่นใจว่า การจองรถยนต์ ภายในงานครั้งนี้ จะได้รับข้อเสนอที่คุ้มค่า เข้าถึงเทคโนโลยีล่าสุด และสิทธิพิเศษมากมาย ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตัดสินใจ!  และ สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่แพ้การจัดงานในอดีตที่ผ่านมา

แคมเปญแจกรถรางวัล สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ เรามี 4 แคมเปญด้วยกัน ดังนี้

1.ซื้อบัตรเข้าชมงาน ตอบแบบสอบถาม ลุ้นรับรางวัลรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้า JAECOO 6 EV (2WD) และ รถจักรยานยนต์ 2 รางวัล จากแบรนด์ YAMAHA และ HONDA

2.จองรถยนต์ ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ลุ้นรับรถยนต์ไฟฟ้า NETA V-II smart หรือ จองรถจักรยานยนต์ภายในงานฯ ลุ้นรางวัล รถจักรยานยนต์ KAWASAKI W230

3.ร่วมกิจกรรมลงทะเบียนบัตรอภินันทนาการ ลุ้นรับรางวัลรถจักรยานยนต์ SUZUKI BURGMAN ได้ที่ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4

4.กิจกรรม Shopping มูลค่า 1,000 บาทขึ้นไปภายใน ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 ร่วมลุ้นรางวัล E-Scooter YADEA MODERN

สำหรับบัตรเข้าชมงานฯ มีจำหน่ายบริเวณด้านหน้างาน และ ทางออนไลน์ ผ่านไลน์แอปพลิเคชั่น ทั้งนี้นอกจากสิทธิประโยชน์จากการร่วมลุ้นรางวัลรถยนต์และรถจักรยานยนต์แล้ว สามารถนำบัตรเข้าชมงานแบบซื้อที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว มาร่วมกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมายได้ที่ บูธกิจกรรมพิเศษ ภายในอาคารฟอรั่ม ฮอลล์4 และ สำหรับการจัดงานฯ ครั้งนี้ ผู้จัดงานฯ ได้จัดเตรียมรถshuttle ไว้อำนวยความสะดวก สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสีชมพู สามารถลงที่สถานีศรีรัช แล้วต่อรถ shuttle ที่ผู้จัดงานฯได้เตรียมไว้ เพื่อเข้าสู่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 เส้นทางศรีรัช  – ACTIVE HALL 4 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่ประการใด

มาร่วมสัมผัสนวัตกรรมแห่งยานยนต์ AI ที่จะตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และคุณภาพชีวิตใหม่ของทุกคนได้ที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 นี้  วันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 และ ฟอรั่ม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี งานแสดงเทคโนโลยียานยนต์ อันดับ 1 ของเมืองไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save