- Advertisement -
32.4 C
Bangkok
Home Blog Page 16

Leapmotor ติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในประเทศจีน

Leapmotor ติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในประเทศจีนและรั้งอันดับที่ 7 ยอดขายรวม 293,724 คัน เติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปี 2023

•อันดับแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่ในจีนทั้งหมด : Leapmotor อยู่ในอันดับที่ 7 ด้วยยอดขาย 293,724 คัน เติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปี 2023

•อันดับรถยนต์พลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในจีน : Leapmotor ติดอันดับ Top 3

กรุงเทพฯ วันที่ 17 มกราคม 2568 : บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Leapmotor อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดตัวเลขยอดขายรวมของ Leapmotor ในตลาดของประเทศจีน โดยมีตัวเลขยอดขายรวมในปี 2024 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 293,724 คัน เติบโตมากขึ้น 100% ซึ่งทำให้แบรนด์ Leapmotor รั้งอันดันที่ 7 และติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่ในกลุ่ม Startup อีกด้วย

Leapmotor ติดอันดับ 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า Startup ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดของประเทศจีน และได้สร้างความเติบโตอย่างน่าทึ่ง ด้วยยอดที่ขายกว่า 293,724 คัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้ Leapmotor ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ชั้นนำที่พร้อมเดินหน้าสู่เวทีโลกผ่านเครือข่ายการขายและการให้บริการของ Stellantis

สำหรับ Leapmotor C10 รุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในตลาดของประเทศไทย มาพร้อมระยะทางการขับขี่สูงสุดถึง 477 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์เดี่ยวที่เพลาหลัง ภายในมีกว้างขวาง, เบาะที่นั่งแบบซิลิโคนที่มีความปลอดภัยต่อเด็กทารก มาพร้อมซอฟต์แวร์ four-leaf clover แบบศูนย์รวม Leap 3.0 และระบบจัดการแบตเตอรี่ด้วย AI

การออกแบบที่ล้ำสมัย

Leapmotor C10 ได้รับรางวัลการออกแบบระดับนานาชาติ ได้แก่ International CMF Design Award 2023 และ French Design Award 2024 ด้วยการออกแบบที่แปลกใหม่ ผสมผสานระหว่างเส้นสายแนวนอนและความโค้งมนอย่างลงตัว ไฟหน้า LED แบบ “Angel-Wing” มาพร้อม DRL แบบ Sequential ระบบ Active Grille Shutter (AGS) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแอโรไดนามิก และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วลาย “Trident” เพื่อเพิ่มความลงตัวให้กับตัวรถมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีแพลตฟอร์มและความปลอดภัยขั้นสูง

สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Leap 3.0 และมีพื้นที่กว้างขวาง ปลอดภัย มีสมรรถนะในการขับขี่สูง ด้วยมิติรถขนาดใหญ่ ยาว 4,739 มิลลิเมตร, กว้าง 1,900 มิลลิเมตร, สูง 1,680 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,825 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้น 190 มิลลิเมตร มาพร้อมแบตเตอรี่แบบ Lithium-Iron Phosphate (LFP) ขนาด 69.9 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็ว 30%-80% ภายใน 30 นาที นอกจากนี้ Leapmotor C10 ยังมาพร้อมแชสซีที่ปรับจูนโดย Maserati เพื่อความสมดุลระหว่างความหรูหรา ความสะดวกสบายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนการควบคุม เทคโนโลยีแบบ Cell-To-Chassis (CTC) 2.0 ช่วยเพิ่มความจุแบตเตอรี่ 17.5 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มความแข็งแกร่งของโครงสร้าง และปรับปรุงการจัดการความร้อนได้ดียิ่งขึ้น

ระบบดิจิทัลแบบขั้นสูง

Leapmotor C10 ใช้ชิป Qualcomm® Snapdragon™ 8155 พร้อม Leap OS 4.0 มีหน้าจอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับคำสั่งเสียง ระบบ OTA และหน้าจอแสดงข้อมูลขนาด 10.25 นิ้ว นอกจากนี้ยังมี กล้อง 360 องศา ไฟตกแต่งภายในที่ปรับเปลี่ยนได้ถึง 64 สี และระบบ ADAS ขั้นสูง อาทิ Adaptive Cruise Control (ACC), Automatic Emergency Braking (AEB), และ Lane Keeping Assist (LKA)

ภายในที่สะดวกสบายและทันสมัย

เบาะซิลิโคนที่ผ่านการรับรอง OEKO-Tex Standard 100® ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อเด็กทารก มาพร้อมกับหลังคา Panoramic Sunroof ขนาด 2.1 ตารางเมตร เบาะคนขับออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ พร้อมระบบระบายอากาศ, พื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด 1,410 ลิตร, พร้อมพอร์ต USB หลายจุด, การชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger  และระบบเสียงรอบทิศทางด้วยลำโพง 12 ตัว

ข้อเสนอสุดพิเศษ

มอบแคมเปญพิเศษรวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึงเดือนมีนาคมศกนี้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

•ฟรีประกันภัยปีแรก

•ฟรีเครื่องชาร์จบ้านพร้อมติดตั้ง

•ฟรีค่าจดทะเบียน

•ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี

•ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี

•รับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

•รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

สีตัวถัง และสีภายใน

สำหรับ Leapmotor C10 เรามีให้เลือกตัวถัง 5 สี ได้แก่ Glazed Green, Pearly White, Canopy Grey, Tundra Grey และ Metallic Black และภายในมี 2 สี คือ Criollo Brown และ Midnight Aurora

การขยายเครือข่ายการขาย

พระนครยนตรการ พร้อมเปิดโชว์รูม Leapmotor สาขาลาดพร้าว 103 และ Leapmotor สาขารัชโยธิน เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ และตั้งเป้าที่จะขยายโชว์รูมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ในปี 2568 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่สนใจรถ Leapmotor C10 อีกด้วย

**สำหรับลูกค้า Leapmotor Thailand สามารถดูรายละเอียดข้อมูลรถ Leapmotor C10 หรือรายละเอียดของแคมเปญพิเศษต่างๆ พร้อมติดต่อทดลองขับ ได้ที่เว็บไซต์ของ Leapmotor Thailand อย่างเป็นทางการ https://www.leapmotor-international.co/th

www.facebook.com/leapmotorthailand

Instagram : leapmotorthailand

Line ID : @leapmotorthailand หรือ คลิก https://lin.ee/fd3ZnQx

หรือสามารถโทร.สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Leapmotor Call center : 088 987 1562

(วันทำการ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น.)

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 30 ปี บุกเบิกนวัตกรรมยานยนต์โลกใน Silicon Valley

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 30 ปี ในฐานะผู้บุกเบิกนวัตกรรมยานยนต์โลกใน Silicon Valley มีสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งมอบให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบริษัทในเครือ พัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือชั้นที่สุดจากทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก

•เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) ในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์

เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา

•ศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัท Mercedes-Benz Research & Development North America, Inc. มีผลงานที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยมีสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งมอบให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบริษัทในเครือ

•ปัจจุบันมีทีมงานในศูนย์ฯ กว่า 600 คน กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์จำนวน 6 แห่ง ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือชั้นที่สุดจากทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก

ซันนีเวล, แคลิฟอร์เนีย – บริษัท Mercedes-Benz Research & Development North America, Inc. (MBRDNA) เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ดำเนินงานภายใต้ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ได้ฉลองครบรอบ 30 ปี แห่งความสำเร็จในด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก โดยศูนย์ฯ แห่งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการบุกเบิกเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมหลากหลายด้าน อาทิ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ให้บริการระบบ Music Navigation รองรับการใช้งาน iPod อย่างเต็มรูปแบบ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมจากเยอรมนีรายแรกที่นำระบบอินโฟเทนเมนต์ “CarPlay” ของ Apple เข้ามาใช้ในรถยนต์ และการเป็นผู้ผลิตรายแรกในสหรัฐฯ ที่เปิดตัวฟังก์ชัน Google “Send-to-Car” ในรถยนต์ รวมถึงครั้งล่าสุดกับการผสาน ChatGPT เข้ากับระบบ MBUX ในรถยนต์บางรุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ขับเคลื่อนวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง

Ola Källenius ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “นวัตกรรมคือหัวใจสำคัญที่อยู่ในดีเอ็นเอของเรา ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในการผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดเข้ากับความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ความสำเร็จนี้จึงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นและพยายามของทีมงาน ทำให้เราพร้อมก้าวสู่ปี 2568 และปีต่อๆ ไป อย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์รุ่น CLA และ MB.OS ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ คือข้อพิสูจน์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของเรา”

ศูนย์วิจัยและพัฒนา MBRDNA ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ด้วยพันธกิจในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับสถาบันวิจัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ จากจุดเริ่มต้นที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและไมโครอิเล็กทรอนิกส์ MBRDNA ได้ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม โดยผสานความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจากเยอรมนีเข้ากับวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ได้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ MBRDNA ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเฉพาะในด้านการขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving), ประสบการณ์ AI, ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (E-Drive) และการออกแบบภายนอกขั้นสูง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนานี้ตั้งอยู่ใน 6 พื้นที่ยุทธศาสตร์ทั่วอเมริกาเหนือ ตั้งแต่เมืองแอนน์อาร์เบอร์ (Ann Arbor) และฟาร์มิงตันฮิลส์ (Farmington Hills) ในรัฐมิชิแกน ไปจนถึงเมืองซีแอตเทิล (Seattle) ในรัฐวอชิงตัน และอีกสามแห่งในแคลิฟอร์เนีย ได้แก่ เมืองซันนีเวล (Sunnyvale) ลองบีช (Long Beach) และคาร์ลสแบด (Carlsbad) โดยมีทีมงานกว่า 600 คนที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ในการสานต่อมรดกแห่งความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งการฉลองครบรอบ 30 ปีในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ MBRDNA ในการสร้างสรรค์และออกแบบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ

Markus Schäfer คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “เครือข่ายวิจัยและพัฒนาระดับโลกของเรา มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วโลก โดยในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลและการใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรม ซึ่ง MBRDNA มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงระบบนิเวศอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ ทั้งจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ สตาร์ทอัพและมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก สิ่งเหล่านี้ช่วยผลักดันให้เราค้นหาแนวทางใหม่ๆ ที่ AI จะสามารถช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การขับขี่อัตโนมัติ ไปจนถึงการปรับแต่งประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในทุกมิติ”

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA ได้สร้างสรรค์ผลงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมาย จนได้รับสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตรที่อยู่ในความครอบครองของ Daimler Trucks North America โดยหนึ่งในผลงานสำคัญคือการพัฒนาและรับรองระบบ Mercedes-Benz DRIVE PILOT ซึ่งเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติแบบ SAE-Level 3 ระบบแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลในสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ MBRDNA ยังได้ยกระดับแนวคิดระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ด้วยหลักการออกแบบที่เน้นความเข้าใจและตอบสนองผู้ใช้งาน โดยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น ฟีเจอร์ “Zero-Layer” และ “Routines” ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งานและสามารถปรับการตั้งค่าความสะดวกสบายได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งระบบ MBUX Voice Assistant ยังได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการผสาน ChatGPT และ GPT-4o ซึ่งช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่ปรับแต่งได้เฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง โดยจะเริ่มตั้งแต่รถยนต์รุ่น CLA ที่จะเปิดตัวในปี 2568

นอกจากนี้ ระบบ MBUX Virtual Assistant จะรวมฟีเจอร์ Gemini on Google Cloud และข้อมูลจาก Google Places เพื่อช่วยยกระดับประสบการณ์การค้นหาสถานที่ด้วยการสนทนาให้ดียิ่งขึ้น

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกับ 5 พันธมิตร

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกับ 5 พันธมิตรผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ เร่งสร้างการเติบโตระยะยาวในประเทศไทย เดินหน้าผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาค

เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน ตั้งแต่พลังงานใหม่อย่าง BEV, HEV, PHEV, รวมถึงในปี 2568 นี้ที่จะมีการเสริมทัพยานยนต์ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในประเภทเครื่องยนต์ดีเซลให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ GWM TANK และ GWM POER เพื่อตอบรับทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วประเทศ รวมถึงมุ่งเน้นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย ด้วยการลงทุนในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์พลังงานใหม่ เสริมทักษะและสร้างอาชีพด้วยนวัตกรรมยานยนต์อัจฉริยะให้กับแรงงานชาวไทย ผ่าน 5 พันธมิตรผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์สำหรับรถยนต์ของ GWM ได้แก่ SVOLT, HYCET, NOBO, MIND และ Exquisite โดยประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศยุทธศาสตร์สำคัญของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก อันเนื่องมาจากพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสูงในหลาย ๆ ด้าน นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงแค่แบรนด์ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานเท่านั้น แต่ยังเน้นการสร้างการเติบโตในระยะยาวร่วมกับคนไทยและประเทศไทย พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนไปด้วยกัน

โดยเหล่า 5 พันธมิตรที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะช่วยยกระดับและผลักดันศักยภาพของแรงงาน รวมถึงช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานให้เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสุดอัจฉริยะ ผสมผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยได้อย่างลงตัว สู่ประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ ตลอดจนมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ประกอบด้วย

•SVOLT (เอสโวลต์) หรือ SVOLT Energy Technology (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท เอสโวลต์ เอเนอร์จี้ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด) บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน ระบบแบตเตอรี่ และระบบกักเก็บพลังงานสำหรับยานยนต์พลังงานใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเพื่อใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน โดยมีกำลังการผลิต 60,000 แพ็กต่อปี ตั้งอยู่ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

•HYCET (ไฮเซ็ท) หรือ Hycet Engine System (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท ไฮเซ็ท เอ็นจิ้น ซิสเทม (ประเทศไทย) จำกัด) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีหลักตั้งแต่พลังงานดั้งเดิมไปจนถึงพลังงานไฮบริดและพลังงานไฟฟ้าบริสุทธิ์ (รวมถึงตัวควบคุม) ครอบคลุมทุกด้านของระบบส่งกำลังและโซลูชันอัจฉริยะ มาพร้อมกับประสบการณ์ด้านการวิจัยและการพัฒนาที่ยาวนานกว่า 24 ปี ในระดับโลก ไฮเซ็ท เอ็นจิ้น ซิสเทม (ประเทศไทย) จึงเป็นฐานการผลิตเครื่องยนต์ไฮบริดในประเทศไทย อีกทั้งผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังถูกจัดส่งให้กับลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

•NOBO (โนโบ) หรือ Nobo Automotive System (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท โนโบ ออโต้โมทีฟ ซิสเต็ม (ประเทศไทย) จำกัด) บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งภายในและภายนอกรถยนต์ รวมถึงเบาะรถยนต์ให้กับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ และแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่เจ้าอื่นๆ ในประเทศไทย โดยบริษัทฯ มีความสามารถในการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์มามากกว่า 20 ปี มีเป้าหมายเพื่อให้บริการระบบที่ปลอดภัย สะดวกสบาย ชาญฉลาด และสร้างความแตกต่างให้กับลูกค้า สู่การสร้างประสบการณ์การขับขี่เหนือชั้น อีกทั้งยังส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงอัจฉริยะด้านยานยนต์ทั่วโลกอย่างมีประสิทธิภาพ

•MIND (ไมน์) หรือ Mind Automotive Parts (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท ไมน์ ออโต้โมทีฟ พาร์ทส์ (ไทยแลนด์) จำกัด) ผู้ผลิตสายไฟสำหรับรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ รวมถึงไฟหน้าและไฟท้ายรถยนต์เป็นหลัก โดยมีโรงงานการผลิตตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง นอกจากนี้ ในช่วงเริ่มต้นยังมีพนักงานที่เป็นคนในพื้นที่มากกว่า 95% อีกด้วย

•Exquisite (เอคซ์ควิซิท) หรือ Exquisite Automotive Parts (Thailand) Co., Ltd. (บริษัท เอคซ์ควิซิท ออโต้โมทีฟ พาร์ทส์ (ไทยแลนด์) จำกัด) มาพร้อมกับประสบการณ์ด้านการวิจัย การพัฒนา และการผลิตที่ยาวนานกว่า 30 ปี โดย เอคซ์ควิซิท ออโต้โมทีฟ พาร์ทส์ (ไทยแลนด์) ก่อตั้งขึ้นในปี 2563 กับการผลิตและจำหน่ายแชสซี ชุดโครงย่อย ชุดไอเสีย ชุดโครงสร้าง รวมถึงกระบวนการผลิต เช่น การเชื่อม การประกอบ พร้อมด้วยเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูงสู่การควบคุมการผลิตและประกอบที่มีคุณภาพ

มร.ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงยืนหยัดในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาวแม้ว่าจะกำลังเผชิญกับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์และเศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เคียงข้างพี่น้องชาวไทยที่ให้การสนับสนุน เกรท วอลล์ มอเตอร์ เป็นอย่างดีเสมอมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ไปด้วยกัน โดยในปี 2568 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะเป็นแบรนด์ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน  โดยพร้อมส่งต่อองค์ความรู้ (Know-How) ให้กับแรงงานชาวไทย เพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงานที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะอีกมากมาย ในอดีตแรงงานชาวไทยนับว่าเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างมากจากตลาดโลกในด้านการผลิตและประกอบรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป โดยองค์ความรู้ใหม่ๆ ของเรา จะช่วยส่งเสริมทักษะและศักยภาพของแรงงานไทยด้านรถยนต์พลังงานใหม่เพื่อส่งมอบสู่ตลาดโลก นอกจากนี้เรายังมีการร่วมมือกับ 5 พันธมิตรในประเทศจีน เพื่อเข้ามาลงทุนและผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยอย่าง SVOLT, HYCET, NOBO, MIND และ Exquisite ซึ่งพันธมิตรเหล่านี้สามารถสร้างเม็ดเงินการลงทุน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับแรงงานชาวไทย”

นอกเหนือจากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับ 5 พันธมิตรนี้แล้ว ภายในปี 2568 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ เตรียมมอบประสบการณ์ที่แตกต่างผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ หลากหลายรุ่น เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่แห่งอนาคตและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ในทุกพลังงานให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง ผ่านกลยุทธ์ระดับโลกอย่าง Ecological Globalization สร้างระบบนิเวศยานยนต์พลังงานใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสร้างประโยชน์ให้แก่คนไทยและประเทศไทย สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน จาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

มิตซูบิชิ เดินหน้าโครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เดินหน้า “โครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

กรุงเทพฯ – 14 มกราคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อ “โครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการ” (Disabled Employment Project) อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 มุ่งสร้างโอกาสการทำงานให้กับผู้พิการ เพื่อส่งเสริมให้ผู้พิการมีรายได้ที่มั่นคงและยกระดับคุณภาพชีวิต สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานเพื่อสังคมภายใต้วิสัยทัศน์ “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” โดยโครงการนี้เริ่มต้นในปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ได้สนับสนุนให้ผู้พิการมีโอกาสได้ทำงานไปแล้วรวม 477 คน

ในปีนี้ โครงการส่งเสริมการจ้างงานผู้พิการได้จัดหางานให้ผู้พิการเพิ่มอีก 57 คน แบ่งเป็นผู้พิการที่ได้รับการจ้างงานโดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำนวน 48 คน และโดยเอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น จำนวน 9 คน นอกจากนี้ โครงการนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้พิการให้ได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสมภายในองค์กรภาครัฐต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งในจังหวัดพิษณุโลก อุบลราชธานี สงขลาและชลบุรี ครอบคลุมหน่วยงานภาครัฐในด้านสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนตำบล ศูนย์บริการคนพิการ สถาบันการศึกษา และสมาคมต่างๆ

ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สำนักงานจัดหางานจังหวัด และมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม โดยความร่วมมือนี้ช่วยให้บริษัทสามารถมอบโอกาสการทำงานที่มีความหมายและยั่งยืนแก่ผู้พิการ ผ่านการจัดหางานในสถานที่ทำงานที่มั่นคงและได้รับการสนับสนุน ส่งผลให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตที่พึ่งพาตนเองได้ มีความมั่นคงทางการเงิน และสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมอย่างมีคุณค่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นในพันธกิจนี้ด้วยการขจัดอุปสรรคต่างๆ พร้อมสร้างโอกาสที่ครอบคลุมสำหรับทุกคนในสังคม

นายพิธา เทโวบัติ วัย 24 ปี ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว กล่าวว่า “ผมรู้สึกซาบซึ้งใจที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มอบโอกาสให้ผมได้ทำงาน งานของผมช่วยให้ผมสามารถดูแลครอบครัวและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวของผมเองได้นี่เป็นโอกาสที่ดีมากในการพิสูจน์ว่าผู้พิการสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ผมอยากเชิญชวนเพื่อนๆ ผู้พิการให้กล้าที่จะออกมาใช้ชีวิตและไล่ตามความฝันของตนเองอย่างเต็มที่”

นางสาวจันทนี แก้วกระแสร์ วัย 47 ปี ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว กล่าวว่า “หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ ดิฉันรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต แต่โครงการนี้ทำให้ดิฉันมีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ดิฉันภูมิใจที่ได้ทำงานที่มั่นคงและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ และรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ดิฉันอยากแสดงให้เห็นว่าทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเองและความพิการไม่ควรถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่”

SKILL DRIVING EXPERIENCE JUNIOR ร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568

SKILL DRIVING EXPERIENCE JUNIOR สนับสนุนกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 โดย โครงการ ขับเป็น…ขับปลอดภัย กับ สื่อสากล จัดกิจกรรม “โตไป…ขับเป็น” (SKILL DRIVING EXPERIENCE JUNIOR) อบรมวินัยจราจรให้เด็ก และเยาวชน ได้ขับขี่ในถนนจำลอง ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมบูธ ณ กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา

เกรท วอลล์ มอเตอร์ โชว์นวัตกรรม Hi4-Z และพิสูจน์สมรรถนะในเทศกาล Ice and Snow 2025

เกรท วอลล์ มอเตอร์ โชว์นวัตกรรม Hi4-Z ด้วยเครื่องยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริดมอเตอร์คู่ตามแนวยาว สู่ระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าไกลถึง 200 กิโลเมตร พร้อมด้วยคาราวานรถยนต์ออฟโรดอีก 5 รุ่น พิสูจน์สมรรถนะขั้นสูง ในเทศกาล Ice and Snow 2025

กรุงเทพฯ 14 มกราคม 2568 : เกรท วอลล์ มอเตอร์ เร่งเครื่องเปิดศักราชใหม่ด้วยการโชว์สมรรถนะของนวัตกรรม Hi4-Z แพลตฟอร์มออฟโรดที่ออกแบบสถาปัตยกรรมไฮบริดแบบมอเตอร์คู่ตามแนวยาว (Longitudinal dual-motor hybrid architecture) ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อไม่นานนี้ โดยเพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์สามารถเพิ่มระยะทางขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ถึง 200 กิโลเมตร ตอบโจทย์อย่างลงตัวได้ทั้งการขับขี่แบบในเมืองและการผจญภัยแบบออฟโรด และยังได้ท้าพิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์ตระกูลออฟโรดจาก GWM ทั้ง 5 รุ่น ใน 3 ตระกูลสุดแกร่งอย่าง GWM TANK, GWM HAVAL และ GWM POER ท่ามกลางธรรมชาติสุดยิ่งใหญ่ตระการตาและสภาพอากาศที่เย็นยะเยือกเกือบกว่า -30 องศา ณ ภูเขาฉางไป่ ประเทศจีน โดยรถยนต์ออฟโรดจาก GWM ทั้ง 5 รุ่นที่เข้าร่วมพิสูจน์สมรรถนะสุดแกร่งนี้ ล้วนได้รับการออกแบบมาเพื่อพิชิตทุกสภาพภูมิประเทศ ทุกภูมิอากาศ และทุกเส้นทางออฟโรดที่ท้าทาย ตั้งแต่ภูเขาหิมะจนถึงเส้นทางขรุขระกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ หรือป่าเขตร้อนชื้น ด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อล้ำสมัย ระบบควบคุมการขับขี่แบบอัจฉริยะ และโหมดการขับขี่ที่ปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ ให้รับมือกับทุกสภาพการขับขี่ได้อย่างมั่นใจ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ด้วยสมรรถนะอันทรงพลังที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วในทุกสภาวะ เพื่อพาผู้ขับขี่ให้พิชิตจุดสูงสุดอีกด้านของความต้องการชีวิต และเติมเต็มสุดยอดประสบการณ์สุดท้าทาย

สานต่อแนวคิด “One Global Family” กับเทคโนโลยีอัจฉริยะสุดล้ำ Hi4-Z ขับเคลื่อนความฝันและเป้าหมายของนักผจญภัยทุกคนผ่านประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

หลังจากที่ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้จัดกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ในมหกรรมมอเตอร์สปอร์ตออฟโรดระดับโลกในปี 2567 ที่ผ่านมา ณ ทะเลทรายมองโกเลีย ในงาน Alxa Hero Festival 2024 ล่าสุด เปิดปี 2568 ด้วยความตื่นเต้นขั้นสุดผ่านการโชว์นวัตกรรม Hi4-Z แพลตฟอร์มออฟโรดที่มอบระยะทางการใช้งานที่ยาวนานด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 200 กิโลเมตร ระยะทางรวมน้ำมันวิ่งได้ไกลถึง 1,100 กิโลเมตร รองรับการชาร์จเร็วสูงสุดถึง 163 กิโลวัตต์ และการชาร์จจาก 30% ถึง 80% ของระดับการชาร์จ (SOC) ใช้เวลาเพียง 15 นาที ซึ่งแบตเตอรี่ 80% นี้ เพียงพอสำหรับการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนระยะทางสูงถึง 120 กิโลเมตร แพลตฟอร์มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ตอบโจทย์การขับขี่ออฟโรดทั้งในเมืองและเส้นทางธรรมชาติสุดท้าทาย โดยถือเป็นนวัตกรรมแรกของโลกในสถาปัตยกรรมปลั๊กอิน-ไฮบริดแบบมอเตอร์คู่ตามแนวยาว ที่ผสานกับเกียร์อัตโนมัตแบบ 3 สปีดและระบบเกียร์แปรผันต่อเนื่อง (CVT) ที่ล้ำสมัย พร้อมมอเตอร์กำลังสูงคู่หน้าและหลัง โดยมีระบบขับเคลื่อนให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ 2.0T และ 3.0T รวมถึงแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และโครงสร้างตัวถังแบบ Body-on-Frame ที่แข็งแกร่ง ที่ล้วนพัฒนาขึ้นสำหรับรองรับการขับขี่แบบออฟโรดโดยเฉพาะ เพื่อการขับขี่ที่เหนือกว่า สนุกกว่า และท้าทายกว่าในทุกมิติ พร้อมกันนี้ ยังได้ทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ออฟโรดทั้ง 5 รุ่น ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมท่ามกลางสายตาของผู้เข้าเยือนเทศกาล Ice and Snow 2025 จากทั่วโลกที่ต่างให้การยอมรับกับสมรรถนะแบบออฟโรดขับเคลื่อนสี่ล้อที่เหนือชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านประสบการณ์การขับขี่ที่ให้ความสะดวกสบายแบบเกินคาด จัดเต็มในทุกรุ่น แม้ว่าสถานการณ์การขับขี่นั้นจะท้าทายแค่ไหนก็ตาม

นำโดย GWM TANK 300 HEV ยานยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูง ดีไซน์หล่อ เท่ ที่ผสานพลังงานไฮบริดเข้ากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0L พร้อมด้วยระบบการขับขี่อัจฉริยะ และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมากมาย ร่วมด้วยการทำงานกับระบบช่วงล่างที่เกาะพื้นถนนได้ดี ทั้งด้านหน้าและ Multi-link ด้านหลังช่วยเสริมความสามารถการลุยในเส้นทางออฟโรดที่ปกคลุมไปด้วยหิมะได้อย่างง่ายดาย มั่นใจ และโดดเด่นเด่นท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน ในขณะที่ GWM TANK 400 Hi4-T อีกหนึ่งเอสยูวีสายพันธุ์ออฟโรด ดีไซน์สมบุกสมบัน แกร่ง หล่อ และคมคาย ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด 402 แรงม้า วิ่งในโหมดไฟฟ้าในระยะทาง 105 กิโลเมตร ได้ยาว ๆ และยังมีโหมดการขับขี่สูงสุดถึง 12 รูปแบบพร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัยที่พร้อมรับมือทุกสภาวะการขับขี่ ให้ลุยความหนาวฝ่าความสูงของหิมะได้สบายเกินคาด ด้วยระยะห่างจากพื้น (Ground clearance) ของ GWM TANK 400 Hi4-T ที่สูงถึง 224 มิลลิเมตร

สำหรับ GWM TANK 500 Hi4-T รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ระดับพรีเมียมที่ยกระดับมาตรฐานรถยนต์เอสยูวีด้วยออปชั่นจัดเต็มทุกด้าน  ทั้งโหมดการขับขี่ถึง 12 โหมด ซึ่งรวมถึงโหมดพื้นหิมะ (Snow) เหมาะสำหรับการใช้งานบนถนนลื่น โดยระบบจะใช้เกียร์สูงเพื่อลดการฟรีของล้อ ซึ่งทำงานได้เป็นอย่างดี สามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างแม่นยำ มั่นคง และปลอดภัย  เมื่อผสานด้วยความอัจฉริยะทั้งการควบคุมรถที่ทำได้ง่ายดายด้วยระบบการช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยกว่า 17 ระบบที่ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ทำให้ยากที่จะปฏิเสธสมรรถนะขั้นสูงของ GWM TANK 500 Hi4-T หลังผ่านการพิสูจน์ท่ามกลางสภาพอากาศที่ท้าทาย ด้าน GWM HAVAL H9 HEV และรุ่นเครื่องยนต์ Diesel 2024 รถยนต์เอสยูวีขนาดใหญ่สำหรับครอบครัวสายลุยที่มีประสิทธิภาพด้านความเงียบที่สามารถลดเสียงจากภายนอกได้ท่ามกลางสภาพอากาศที่รุนแรงในฤดูหนาว พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้นักผจญภัยที่มีทักษะการขับขี่สูงได้สนุกกับการขับขี่ที่ง่ายดาย และรุ่นสุดท้ายกับ GWM POER Off-Road 2.4T รถกระบะที่มีพละกำลังสูงที่สุดเมื่อเทียบกับรถกระบะออฟโรดในระดับเดียวกัน มีระบบขับเคลื่อน 9 โหมดที่ช่วยให้การขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและท้าทายกลายเป็นเรื่องง่าย ลุยได้ดีในทุกสภาพถนนแม้จะเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งก็ตาม มอบประสบการณ์การขับขี่สุดเพลิดเพลินที่เต็มไปด้วยความมันในเส้นทางออฟโรดได้อย่างเต็มพิกัด

นอกจากนี้ ภายในเทศกาลนี้ยังอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยและมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมได้อย่างลงตัว ผ่านการแสดงการเต้นมังกร การแสดงสิงโต การแสดงหยางเกอ ขบวนพาเหรดมังกร 5 ตัว พร้อมด้วยงานเลี้ยงรอบกองไฟที่มาพร้อมกับการแสดงดอกไม้ไฟ อีกทั้งยังได้เปิดตัว GWM Off-Road Alliance ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ระดับโลกที่รวมคนรักออฟโรดสไตล์ GWM จากหลากหลายประเทศเข้าไว้ด้วยกัน และการจัดแบ่งประเภทการขับขี่ออฟโรด โดยได้รับเกียรติจากแขกผู้ทรงเกียรติระดับนานาชาติที่เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ออฟโรดและการขับขี่แบบออฟโรดเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในวงสนทนาพิเศษ พร้อมด้วยการมอบรางวัลให้กับเจ้าของรถ GWM ที่มีเรื่องราวการใช้งานที่น่าประทับใจ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชุมชนผู้ใช้รถ GWM ที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก

ในปี 2025 นี้ นอกเหนือจากการส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษในรูปแบบที่ตื่นตาตื่นใจมากมาย อาทิ GWM DAY ที่จะจัดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก, User Experience Day ที่จะให้ผู้ใช้รถได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่รูปแบบใหม่ และ User Service Day ที่จะยกระดับมาตรฐานการบริการให้กับลูกค้าทั่วโลก และแผนขยายกิจกรรมสำหรับผู้รักการผจญภัยไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเตรียมเผยโฉมรถยนต์รุ่นใหม่ที่ครอบคลุมทุกพลังงานและยังอัดแน่นด้วยความอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรถยนต์ประเภทเอสยูวีและกระบะทั้งเพื่อการขับขี่ในเมืองและออฟโรด เตรียมยกระดับประสบการณ์การผจญภัยให้น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น ตอกย้ำปณิธานในการขับเคลื่อนความฝันของนักผจญภัยทุกคน พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตในทุกเส้นทางอย่างยั่งยืนกับ เกรท วอลล์ มอเตอร์

สามารถรับชมไฮไลต์และบรรยากาศภายในงาน Ice and Snow 2025 ย้อนหลังได้ที่เฟซบุ๊ก GWM Thailand สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์การขับขี่สุดพิเศษกับยนตรกรรมออฟโรดจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) สามารถสัมผัสและทดลองขับได้ที่ GWM พาร์ทเนอร์ สโตร์ ทุกสาขาทั่วประเทศ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GWM แอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ www.gwm.co.th หรือสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GWM Contact Center 02-668-8888

“ไทยฮอนด้า” ร่วมประกาศขายบัตร “ไทยจีพี”

“ไทยฮอนด้า” ร่วมประกาศขายบัตร “ไทยจีพี” ชวนแฟนชาวไทยซื้อบัตร “จันทราสแตนด์” เชียร์ “ก้อง-สมเกียรติ” ประเดิม โมโตจีพี โฮมเรซ ติดขอบสนาม

“ไทยฮอนด้า” ผู้นำมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในงานแถลงข่าวเปิดขายบัตรเข้าชมศึก โมโตจีพี ชิงแชมป์โลก 2025 สนามแรก รายการ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ โดย ประธานบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ชวนแฟนชาวไทยซื้อบัตร “จันทราสแตนด์” ตามเชียร์ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ประเดิมสนามแรกในโฮมเรซที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในฐานะนักบิดพรีเมียร์คลาส กระทบไหล่ดีกรีแชมป์โลกระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568 นี้

การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก โมโตจีพี 2025 แถลงข่าวขายบัตรเข้าชมสนามแรกของฤดูกาล ในรายการ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ อย่างเป็นทางการในเมืองไทย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมี นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีแถลงข่าว พร้อมด้วยผู้สนับสนุนภาครัฐ-เอกชน นำโดย การกีฬาแห่งประเทศไทย, จังหวัดบุรีรัมย์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรมการขนส่งทางบก, และ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG พร้อมด้วยทัพสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนร่วมงานมากมาย

ดร.อารักษ์ พรประภา ประธานบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “สำหรับ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2025 จะเป็นครั้งแรกของ “ก้อง-สมเกียรติ” กับ โมโตจีพี แม้เขาจะแข่งในโฮมเรซมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ครั้งนี้ถือว่าไม่เหมือนเดิม เขายังใหม่กับรุ่นใหญ่ ใหม่กับรถแข่ง Honda RC213V ของ ฮอนด้า แต่ ก้อง มีความมุ่งมั่น ผมเชื่อว่าแฟนชาวไทยจะได้เห็นเซอร์ไพรส์เล็กๆ ในสุดสัปดาห์นั้น”

“สำหรับ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ เรื่องที่พักไม่ต้องห่วงเรามีแคมป์ของ ฮอนด้า เตรียมการรอแล้ว ส่วนแฟนๆ ที่ต้องการซื้อตั๋ว อย่าลืมถือกุญแจรถ ฮอนด้า ไปด้วยนะครับ เราะมีส่วนลดพิเศษเช่นกัน โดยวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม ผมหวังว่าแฟนๆ ชาวไทยจะเข้าไปเชียร์ใน จันทรา สแตนด์ และ ฮอนด้า สแตนด์ อย่างล้นหลาม” ดร.อารักษ์ เผย

ด้าน “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ จากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” กล่าวว่า “ดีใจมากครับที่สนามแรกของการขยับขึ้นไปบิดในรุ่น โมโตจีพี ได้ขี่ในโฮมเรซที่ บุรีรัมย์ ซึ่งผมมีความคุ้นเคย”

“หลังจากที่ทดสอบครั้งแรกที่ บาร์เซโลน่า ผมกลับมาทำงานอย่างหนักในเรื่องการทำความเข้าใจกับตัวรถ การทำงานกับทีม รวมถึงระบบต่างๆ ของตัวรถซึ่งสำคัญและซับซ้อนมาก นอกจากนี้ก็เร่งฟิตซ้อมเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายเพื่อให้พร้อมกับการทดสอบ โมโตจีพี ทั้งที่ มาเลเซีย และที่ บุรีรัมย์ ก่อนจะเปิดฤดูกาลใหม่ในปีนี้”

“สำหรับการแข่งขันฤดูกาลแรกใน โมโตจีพี ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่ที่สุด ที่ไม่ใช่งานง่าย ถ้าผมสามารถเก็บแต้มได้ในปีแรกนี้ได้จะดีใจมากๆ ครับ เพราะทุกคนก็รู้ดีว่าใน โมโตจีพี นักแข่งทุกคนคือหัวแถวของโลกที่แกร่งมากๆ และทุกคนล้วนมีประสบการณ์ อยากให้ทุกคนไปเชียร์กันเยอะๆ นะครับ ซึ่งผมจะสู้และทำผลงานให้เต็มที่อย่างที่สุด ครับ”

ทั้งนี้ “บัตรเข้าชม โมโตจีพี สนามประเทศไทย 2025” แบ่งเป็น 4 ประเภท เข้าชม Pre-Season Test ได้ฟรี และชม Main Race ได้ทั้ง 3 วัน ได้แก่ แกรนด์สแตนด์ (Grandstand)  5,000 บาท, ไรเดอร์ สแตนด์ (Rider Stand) 3,000 บาท สำหรับแฟนๆ กองเชียร์ จันทรา สแตนด์ (พร้อมของที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้), แบรนด์ สแตนด์ (Brand Stand ) 2,000 บาท สำหรับแฟนๆ ฮอนด้า (พร้อมสิทธิ์ลุ้นชิงโชคและรับของที่ระลึกจากผู้สนับสนุน) และ ไซด์สแตนด์  (Side Stand) 2,000 บาท)

ส่วนผู้ชมที่ต้องการซื้อเฉพาะบัตรชม Pre-Season Test ทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ราคาจำหน่ายบัตร แบ่งเป็น บัตร Grand Stand ราคา 500 บาทต่อวัน หรือเหมา 2 วัน 900 บาท, บัตร VIP 5,000 บาท ต่อวัน

สำหรับโมโตจีพี สนามประเทศไทย 2025 แฟนๆ ความเร็วจะได้ร่วมเชียร์นักบิดไทย “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ สังกัด “อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์” และ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี รุ่นโมโตทรี สังกัด ฮอนด้า ทีม เอเชีย รวมทั้งนักบิดเลือดใหม่ภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ที่จะลงแข่งขันในโฮมเรซกับรายการ อิเดมิตซึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ

โดย “ก้อง-สมเกียรติ” มีคิวทดสอบครั้งต่อไปในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ก่อนจะเปิดฉากดวลความเร็วสนามแรกในรายการ “พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์” ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์  ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568

แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ไปด้วยกัน ส่งกำลังใจให้นักแข่งไทย และนักแข่งฮอนด้า โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : Race to The Dream

ไทยยามาฮ่า จัดหนักรับ MotoGP สนามประเทศไทย

ไทยยามาฮ่าจัดหนักรับ ThaiGP ในงานแถลงข่าวเปิดขายบัตรเข้าชมการแข่งขัน MotoGP สนามประเทศไทยปี 2025

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธ รองผู้จัดการใหญ่ด้านวางแผนการค้า และการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับ นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย นายโชติชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมต่างประเทศ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และมร.มาร์กอส ตอร์โรบา ผู้จัดการด้านการจัดการแข่งขัน ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน ในงานแถลงข่าวการจำหน่ายบัตรชมการแข่งขัน MotoGP สนามประเทศไทย

ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติในการจัดการแข่งขันเป็นสนามแรกของฤดูกาล 2025 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 2 มีนาคม 2568 นี้ สำหรับโปรโมชันพิเศษของยามาฮ่ามอบส่วนลด 20% สำหรับบัตร YAMAHA STAND จากราคา 2,000 บาท พิเศษเพียง 1,600 บาท และส่วนลดนี้ยังสามารถใช้ได้กับบัตรทุกประเภท เช่น QUARTARARO Stand จากราคา 3,000 บาท พิเศษเพียง 2,400 บาท เมื่อโชว์กุญแจรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ณ เคาน์เตอร์เซอร์วิสทุกสาขา

พร้อมกันนี้ยามาฮ่า ยังจัดหนักแคมเปญเด็ดลุ้นรับรถจักรยานยนต์ YAMAHA R15 Connected มูลค่า 118,000 บาท พร้อมหมวกกันน็อก HJC RPHA1 QUARTARARO LE MANS SPECIAL 2024 Limited Edition พร้อมลายเซ็นจาก ฟาร์บิโอ กวาร์ตาราโร่ ให้กับแฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตชาวไทย เมื่อซื้อบัตร YAMAHA STAND ทุกที่นั่ง โดยการแถลงข่าวเปิดจำหน่ายบัตรการแข่งขัน MotoGP สนามประเทศไทยในครั้งนี้ มีขึ้น ณ ห้องมัลติฟังก์ชั่น ชั้น 10 อาคาร CW Tower ถ.รัชดา เมื่อเร็วๆ นี้

PT Grand Prix of Thailand 2025 พร้อม

PT Grand Prix of Thailand 2025 พร้อม รัฐบาลแถลงใหญ่ เปิดประเทศต้อนรับอีเว้นต์ประวัติศาสตร์ PT Grand Prix of Thailand 2025 ด้วย 3 กิจกรรมที่ทั่วโลกเฝ้ารอ พร้อมกระหึ่มขายบัตรอย่างเป็นทางการวันแรก

รัฐบาลไทย โดย ก.ท่องเที่ยวและกีฬา แถลงข่าวใหญ่ต้อนรับศึกกรังด์ปรีซ์เบอร์ 1 ของโลก ยิ่งใหญ่ไปกับการเป็นสนามเปิดฤดูกาล “โมโตจีพี” ครั้งแรกในไทยและครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในรอบ 25 ปี กับ 3 กิจกรรมสุดพิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด-ทั่วโลกเฝ้ารอ คณะกรรมการฝ่ายจัดฯ ยืนยันพร้อมเสิร์ฟประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ต เฟสติวัล ชั้นพรีเมียม ด้วยเสน่ห์วิถีไทยครองใจคนทั่วโลก ร่วมเชียร์นักบิดไทยคนแรกในรุ่นโมโตจีพี “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” อย่างเต็มภาคภูมิ ถ่ายทอดสดกว่า 200 ประเทศ สู่ผู้ชม 800 ล้านคนทั่วโลก หลังเปิดจำหน่ายบัตร ที่นั่งแกรนด์สแตนด์ กว่า 10,000 ที่นั่ง ทุบสถิติ Sold Out ด้วยเวลา 2.55 นาที ขณะที่สแตนด์อื่นๆ มียอดจองอย่างรวดเร็วกว่าทุกปี คาดกระแสดี เต็มที่นั่งแน่นอน

การแถลงข่าวการจัดการแข่งขันและเปิดจำหน่ายบัตร ศึกรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก “โมโตจีพี” ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ สนามที่ 1 ของฤดูกาล รายการ PT Grand Prix of Thailand 2025 (พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์) ที่ไทยได้รับบทบาทสำคัญ ทั้ง การแถลงเปิดฤดูกาล Season Premier ที่ One Bangkok กรุงเทพ โดยดอร์น่าสปอร์ต วันที่ 9 ก.พ. ต่อด้วย Pre-Season Test 12-13 ก.พ.และ Main Race 28 ก.พ.-2 มี.ค.68 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพปีที่ 6

วันที่ 9 มกราคม 2568 ที่ CW Tower รัชดาภิเษก กรุงเทพ : นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีแถลงข่าว พร้อมด้วยผู้สนับสนุนภาครัฐ-เอกชน นำโดย การกีฬาแห่งประเทศไทย, จังหวัดบุรีรัมย์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรมการขนส่งทางบก, บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG, น้ำแร่ธรรมชาติ ตรา ช้าง, บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, บริษัท โมโตเร อิตาเลียโน จำกัด (ดูคาติ ไทยแลนด์), สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ทัพสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนร่วมงานมากมาย

นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ปีนี้นับเป็นปีที่ 6 ของการเป็นเจ้าภาพจัด “โมโตจีพี” บนผืนแผ่นดินไทย โดยได้รับเกียรติสูงสุดในการเป็นเจ้าภาพสนามเปิดฤดูกาล 2 ปีซ้อนทั้งในปี 2568 และ 2569 ซึ่งสนามแรกในประเทศไทยในปีนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ -2 มีนาคม 2568 จากทั้งหมด 22 สนามใน 18 ประเทศ นับเป็นการเปิดฤดูกาลครั้งแรกในไทย และครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รอบ 25 ปี

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้มีความท้าทายค่อนข้างมาก จากกรอบเวลาการทำงานที่สั้นลง แต่ด้วยประสบการณ์และความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เดินหน้าเต็มระบบ มั่นใจได้ว่าการแข่งขันในปีนี้จะยิ่งใหญ่ที่สุด สมกับการเป็นสนามเปิดฤดูกาลอย่างแน่นอน ซึ่งความพิเศษในครั้งนี้ คือคนไทยจะได้ร่วมจารึกประวัติศาสตร์การมีนักแข่งไทยคนแรก คือ “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” ที่จะได้ลงแข่งในรุ่นโมโตจีพี ซึ่งนับเป็นความสำเร็จสูงสุดของวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนานักกีฬา และสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนและนักกีฬารุ่นใหม่อย่างแท้จริง

มร.มาร์กอส ตอร์โรบา ผู้จัดการด้านการจัดการแข่งขัน ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุผลที่ดอร์น่าสปอร์ตเลือกประเทศไทย เป็นเจ้าภาพในกิจกรรมหลักและเปิดประเดิมฤดูกาล มาจากทั้งความพร้อมด้านสนามแข่งขัน การจัดการ และความคลั่งไคล้ในโมโตจีพีของแฟนชาวไทย ทำให้มีผู้ชมที่จำนวนมาก โดยเฉพาะการจัดแถลงเปิดฤดูกาล Season Premier ที่กรุงเทพ ซึ่งเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยเป็นปีที่พิเศษที่คนไทยสามารถส่งกำลังใจให้ฮีโร่เจ้าบ้านในคลาส MotoGP ได้เป็นครั้งแรก การเปิดฤดูกาลในกรุงเทพ จะทำให้เข้าถึงแฟนๆ ชาวไทยได้มากขึ้น รวมทั้งทำให้ “โมโตจีพี สนามประเทศไทย” กลายเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างแท้จริง

นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ความพิเศษของปีนี้ชาวบุรีรัมย์จะมีโอกาสเปิดประตูเมืองต้อนรับ “โมโตจีพี” ด้วยช่วงเวลาที่มากขึ้นกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งการเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน จังหวัดฯ ได้ประสานทุกภาคส่วน เพื่อมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และมอบช่องเวลาที่แสนพิเศษให้แก่ผู้มาเยือน ตลอดช่วงเวลาที่พำนักอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยนำบทเรียนจากการแข่งขันในปีก่อนๆ มาปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการจราจร การรักษาความสะอาด และการเพิ่มศูนย์ให้ข้อมูลที่ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ชมจากหลากหลายประเทศ ขยายที่พัก สนับสนุนที่พักแบบโฮมสเตย์เพื่อให้แฟนความเร็วได้สัมผัสเสน่ห์ของวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริง

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ในฐานะไตเติ้ลสปอนเซอร์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการจารึกไทยแลนด์กรังด์ปรีซ์บทใหม่ในปี 2025 นั้น PTG ภายใต้ปณิธาน “บริษัทพลังงานของคนไทย เพื่อเติมความสุขให้คนไทย อยู่ดีมีสุข” การสนับสนุนการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นการเติมเต็มความฝันของแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย มอบโอกาสให้ได้สัมผัสกับการแข่งขันระดับโลกในบ้านเรา โดยไม่ต้องเดินทางไปชมยังต่างประเทศ นอกจากนี้ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของ PTG ในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการมอเตอร์สปอร์ต จะช่วยผลักดันประเทศไทยให้เป็น Destination สำคัญในโลกของมอเตอร์สปอร์ต และสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจและพัฒนาวงการกีฬาอย่างยั่งยืน

นายโชติชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมต่างประเทศ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา สนามประเทศไทยได้รับความชื่นชมจากดอร์น่า สปอร์ตว่าเป็นสนามที่มีการจัดการด้านกิจกรรมเสริมได้ดีที่สุดในฤดูกาล 2024 ไม่ว่าจะเป็น Hero walk, Meet & Greet, Rider Parade, กิจกรรมเสริมในลาน Commercial Area, คอนเสิร์ตจาก Chang Music Connection รวมถึง Thai Thai Pavilion ในปีนี้การได้เป็นเจ้าภาพ กิจกรรมหลักที่สำคัญมากมาย ยืนยันถึงความพร้อมและมาตรฐานการทำงานระดับโลกที่เป็นที่ยอมรับ คณะกรรมการจัดการแข่งขัน รวมถึงสนามช้างฯ จะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามาตรฐาน พร้อมกับพัฒนาทุกๆ ด้านให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อให้แฟนๆ ทุกท่าน ได้ประทับใจกับมนต์เสน่ห์ของโมโตจีพีวิถีไทย ที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลก

ภายในงานยังได้มีการเปิดจำหน่ายบัตรชมการแข่งขัน โมโตจีพี สนามประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. โดยที่นั่งบัตรแกรนด์สแตนด์ ทุบสถิติอีกครั้ง Sold Out ด้วยเวลา 2.55 นาที ด้วยความพิเศษของ “บัตรชมโมโตจีพี” ที่สุดคุ้มถึง 2 ต่อ ได้ชม “Pre-Season Test” ฟรี รวมทั้งปรากฎการณ์แห่งการร่วมใจเชียร์นักบิดไทย ฝ่ายจัดฯคาดว่า บัตรชมการแข่งขันปีนี้ จะประสบความสำเร็จในแง่ยอดจัดจำหน่ายสูงสุด เต็มทุกสแตนด์ที่นั่งอย่างรวดเร็วแน่นอน

ทั้งนี้ “บัตรเข้าชม โมโตจีพี สนามประเทศไทย 2025” แบ่งเป็น 4 ประเภท เข้าชม Pre-Season Test ได้ฟรี และชม Main Race ได้ทั้ง 3 วัน ได้แก่ 1.แกรนด์สแตนด์ (Grandstand) 5,000 บาท (เห็นทุกโค้งทั่วสนาม) 2.ไรเดอร์ สแตนด์ (Rider Stand) 3,000 บาท สำหรับกองเชียร์นักแข่ง 3 คน ได้แก่ มาร์เกซ สแตนด์, กวาร์ตาราโร สแตนด์, จันทรา สแตนด์ (พร้อมของที่ระลึก ลิขสิทธิ์แท้จากนักบิด) 3. แบรนด์ สแตนด์ (Brand Stand ) 2,000 บาท สำหรับกองเชียร์จากค่ายรถจักรยานยนต์  Honda, YAMAHA และ DUCATI (พร้อมสิทธิ์ลุ้นชิงโชคและรับของที่ระลึกจากผู้สนับสนุน) 4. ไซด์สแตนด์  (Side Stand) 2,000 บาท ส่วนผู้ชมที่ต้องการซื้อเฉพาะบัตรชม Pre-Season Test ทดสอบก่อนเปิดฤดูกาล วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ราคาจำหน่ายบัตร แบ่งเป็น บัตร Grand Stand ราคา 500 บาทต่อวัน หรือเหมา 2 วัน 900 บาท, บัตร VIP 5,000 บาท ต่อวัน

สำหรับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ยังคงจัดเต็มเช่นเคย โดย PTG มอบส่วนลดในการซื้อบัตรชม การแข่งขัน เพื่อเติมความสุขอย่างเต็ม Max ไม่ว่าจะเป็น บัตรแดง PT Max Card Plus เพียงโชว์บัตรที่ จุดจำหน่าย รับส่วนลด 25% ,บัตรเขียว PT Max Card ลด 20% และยังมีกิจกรรมพิเศษ ลด-แลก-แจก-ช้อปภายในงาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในเครือ PT Maxnitron กาแฟพันธุ์ไทย ศูนย์บริการ Autobacs ฯลฯ และยังมีของที่ระลึกโมโตจีพีลิมิเต็ดมากมาย ติดตามได้ที่แฟนเพจ PT Station หรือสิทธิ์ส่วนลด 20% จากผู้สนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ Chang International Circuit Friend Club, กุญแจรถจักรยานยนต์ Honda, YAMAHA ส่วนกุญแจรถ DUCATI ใช้เป็นส่วนลดได้เฉพาะสแตนด์ดูคาติเท่านั้น (สงวนสิทธิ์เลือกใช้ส่วนลดได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง)

แฟนความเร็วซื้อบัตรได้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ allticket ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แฟนเพจ Chang Circuit Buriram หรือรับข่าวสารผ่านช่องทางไลน์ โดยเพิ่มเพื่อน Line ID : @changcircuit

ไทยฮอนด้า ก้าวสู่ปีที่ 60 เปิดตัว 2 โมเดลใหม่ รุกต้นปี 68

ไทยฮอนด้า ก้าวสู่ปีที่ 60 เปิดตัว 2 โมเดลใหม่! รุกต้นปี พร้อมเดินหน้าสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในประเทศไทย

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 60 พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์อันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยส่งรถจักรยานยนต์ 2 รุ่นใหม่รุกตลาดต้นปี ในงาน ‘Thai Honda Leading The Future: Press Conference 2025’ ณ โรงแรม Centara Grand and Bangkok Convention Centre นำโดย รถจักรยานยนต์สปอร์ตพรีเมียม ‘All New Honda PCX160’ เอกลักษณ์แห่งความภูมิใจที่ชูเทคโนโลยีไปอีกระดับ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายและประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกกว่าที่เคย ตามด้วย รถจักรยานยนต์เอ.ที. ในสไตล์ High Fashion ‘Honda Giorno+ Disney Fantasia 85 Years Limited Edition’ ที่พร้อมสร้างปรากฏการณ์สุด Magical แก่เหล่าสาวกมิคกี้เมาส์ มาในลวดลายแอนิเมชันระดับตำนานอย่าง ‘Disney Fantasia’ เพื่อฉลองครบรอบ 85 ปี โดยผลิตจำนวนจำกัดเพียง 2,000 คันเท่านั้น

มร.มิโนรุ คาโตะ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ส่วนงานรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดของฮอนด้าทั่วโลกว่า “รถจักรยานยนต์ฮอนด้ามุ่งมั่นตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าทุกกลุ่มผ่านผลิตภัณฑ์ บริการที่เปี่ยมคุณภาพ และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันเสมอมา ส่งผลให้ฮอนด้ายังคงได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในปี 2024 ที่ผ่านมา โดยเราสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์กว่า 27.6 ล้านชิ้น ให้กับลูกค้าทั่วโลก ในจำนวนนี้เป็นรถจักรยานยนต์ถึง 19.9 ล้านคัน และคาดว่ายอดขายในปีงบประมาณนี้ ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม จะทะลุ 20 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอีก 1.3 ล้านคัน ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรถจักรยานยนต์ของฮอนด้าทั่วโลกสูงถึง 40% ธุรกิจรถจักรยานยนต์ยังคงเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจทั้งหมดของฮอนด้า”

“ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของฮอนด้าในภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นศูนย์กลางของธุรกิจรถจักรยานยนต์ของเรา ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและนวัตกรรมล้ำสมัย รวมถึงการบริการและช่องทางจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ปีนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยฮอนด้าฉลองครบรอบ 60 ปี และประสบความสำเร็จในฐานะฐานการผลิตเพื่อส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของฮอนด้า โดยผลิตรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์รวมกว่า 90 ล้านชิ้น ส่งออกไปยัง 96 ประเทศทั่วโลก”

ด้าน มร.ยูอิจิ ชิมิซุ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทยว่า “ปีที่ผ่านมา ไทยฮอนด้าสามารถจำหน่ายรถจักรยานยนต์ได้ถึง 1.38 ล้านคัน จากตลาดรวม 1.71 ล้านคัน พร้อมครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 36 ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือและการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากผู้จำหน่ายทั่วประเทศ”

“สำหรับปี 2025 แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความเปราะบาง แต่เราคาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโตประมาณ 101% อยู่ที่ 1.70-1.75 ล้านคัน โดยฮอนด้าตั้งเป้าจำหน่ายถึงผู้ใช้อยู่ที่ 1.36-1.40 ล้านคัน หรือเติบโต 102% เรามุ่งมั่นกระตุ้นตลาดด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 9 รุ่นในปีนี้ พร้อมพัฒนากลยุทธ์ด้านการขายและบริการในรูปแบบดิจิทัล เพื่อสร้างโครงสร้างตลาดที่แข็งแกร่ง และเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า”

“จากปีที่ผ่านมา ด้านตลาดในกลุ่มรถเอ.ที. มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น โดยมีสัดส่วนการขายอยู่ที่ 53% เราจึงผลักดันและสานต่อความสำเร็จของรถจักรยานยนต์ในกลุ่มเอ.ที. โดยในวันนี้พร้อมเปิดตัว 2 รุ่น คือ All New Honda PCX160 รถจักรยานยนต์สปอร์ตพรีเมียม มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำ และ Honda Giorno+ Disney Fantasia 85 Years Limited Edition ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการคอลแลบฯ กับแอนิเมชันสุดพิเศษ Disney Fantasia เพื่อต่อยอดความสำเร็จและส่งเสริมภาพลักษณ์ของฮอนด้าในฐานะผู้นำตลาดที่ไม่หยุดพัฒนาและตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า”

“ปีนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับฮอนด้า เนื่องจากเป็นปีที่เราฉลองครบรอบ 60 ปีของการก่อตั้งบริษัทไทยฮอนด้า ในโอกาสนี้ เราได้จัดทำโครงการมอบหมวกกันน็อค มูลค่า 60 ล้านบาทให้แก่หน่วยงานภาครัฐและสถานศึกษา เพื่อแสดงความขอบคุณต่อสังคมไทยที่ให้การสนับสนุนเราเสมอมา ฮอนด้าพร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพ รวมถึงส่งเสริมสังคมไทยให้เติบโตไปพร้อมกับเราอย่างยั่งยืน”

สำหรับ ‘All New Honda PCX160’ ครั้งนี้มาพร้อมดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมในคอนเซปต์ ‘BE THE MARK OF PRIDE อีกระดับของความภูมิใจ ที่ใครก็อยากเป็น’ โดดเด่นด้วยหน้าจอแสดงผล TFT ใหม่ ขนาด 5 นิ้ว แสดงผลทุกข้อมูลการขับขี่ได้ครบถ้วนชัดเจน รวมถึงการแสดงผลระบบ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบตรวจจับและควบคุมล้อหน้า-ล้อหลังให้สัมพันธ์กัน ป้องกันรถเสียการทรงตัว สะดวก ปลอดภัยในทุกการขับขี่ พร้อมเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Honda RoadSync เทคโนโลยีอัจฉริยะจากฮอนด้าที่ควบคุมการทำงานด้วยเสียงโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน ในการรับสายโทรเข้า-โทรออก, ระบบนำทาง, แอปพลิเคชันฟังเพลง และประวัติการเดินทาง พร้อมควบคุมผ่านปุ่มคอนโทรลเลอร์ดีไซน์ใหม่ในแบบมัลติฟังก์ชันสั่งการได้หลากหลาย ถือเป็นอีกระดับของการเชื่อมต่อระหว่างคนและรถ

All New Honda PCX160 เสริมเอกลักษณ์แห่งความภูมิใจด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ทรง Victory Shape พร้อมไฟเลี้ยว LED เพิ่มการส่องสว่าง และไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม ทั้งนี้ มาพร้อมพลังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว 157 ซีซี. ให้สมรรถนะแรงต่อเนื่อง ส่งเต็มกำลัง สมูท ลื่นไหล ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบเบรก ABS ล้อหน้าที่มาพร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่จุได้ 30 ลิตร และกุญแจรีโมตอัจฉริยะ Honda SMART KEY & CONTROLLER ที่สั่งงานง่ายเพียงบิดสวิตช์

All New Honda PCX160 รุ่น RoadSync มีวางจำหน่ายในเฉดสีใหม่ ทั้งหมด 2 เฉดสี ได้แก่ สีน้ำเงิน Innovate Blue และ สีแดง-ดำ Matt Red ราคาแนะนำที่ 99,900 บาท รุ่น Standard มีวางจำหน่ายทั้งหมด 3 เฉดสีใหม่ ได้แก่ สีดำ Matt Gunpowder Black, สีน้ำเงิน-ดำ Victory Blue และสีเทา-ดำ Pearl Smoky Gray ราคาแนะนำที่ 96,000 บาท

นอกจากรุ่น All New Honda PCX160 รุ่น RoadSync และ Standard ไทยฮอนด้ายังได้นำเสนอ Exclusive Edition จากสำนักแต่ง H2C by Honda ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความเป็นขั้นสุดของรุ่น สะท้อนความหรูหราในคอนเซปต์ ‘MARK UP YOUR PRIDE’ พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งสุดพิเศษดีไซน์โดดเด่น มอบสมรรถนะแรงเร้าใจ ราคาแนะนำที่ 107,500 บาท

พร้อมกันนี้ ไทยฮอนด้ายังมาพร้อมโปรโมชันพิเศษให้กับผู้ทำการจองรถ All New Honda PCX160 ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 31 มกราคม 68 ด้วยแพคเกจ HSP (Honda Service Premium Package) ตรวจเช็คระยะฟรีตลอดระยะเวลา 2 ปี หรือระยะทาง 18,000 กิโลเมตร กดรับสิทธิ์ผ่าน Application “My Honda Moto” ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น : https://myhonda.page.link/invite

ตามด้วย ‘Honda Giorno+ Disney Fantasia 85 Years Limited Edition’ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘ENCHANT THE NEW HIGH เสกทุกสไตล์ ให้กลายเป็นดาว’ โดยนำเอาแอนิเมชันระดับตำนานอย่าง ‘Disney Fantasia’ ลวดลายจอมเวทย์มิกกี้เม้าส์มาคอลแลปกับมอเตอร์ไซค์สไตล์ High Fashion อย่าง Honda Giorno+ โดยสร้างปรากฏการณ์สุด Magical พาสไตล์ไปเหนือจินตนาการด้วยเฉดสีน้ำเงินเข้มแซมแดง ผสานความลงตัวด้วยสติกเกอร์ Reach for the stars โดดเด่นท่ามกลางลวดลายดวงดาวที่เรืองแสงได้ในยามค่ำคืน เพิ่มความพิเศษด้วย 3D Emblem สีทองและโลโก้ฉลองครบรอบ 85 ปี แอนิเมชันในตำนาน พร้อมระบุ Serial Number เสริมความลิมิเต็ดให้กับเหล่าสาวก Disney อีกด้วย ที่สำคัญเสริมภาพลักษณ์ความเท่ สะดุดตาไปอีกขั้นด้วยครอบท่อไอเสียสแตนเลส และสติกเกอร์วงล้อ H2C

Honda Giorno+ Disney Fantasia 85 Years Limited Edition ผลิตและวางจำหน่ายเพียง 2,000 คันเท่านั้น ในราคาแนะนำ 73,700 บาท มาพร้อมกับพรีเมียมบอกซ์เซ็ตสำหรับแฟน Disney Fantasia ได้แก่ เสื้อแจ็คแก็ตสุดแฟชั่น ลายจอมเวทย์มิกกี้เม้าส์ รวมถึงพวงกุญแจสุดคูล The Magical Keychain เพิ่มความน่ารักเหนือจินตนาการ ไม่ซ้ำใคร

เตรียมติดตามรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่จากไทยฮอนด้าที่กำลังจะเปิดตัวตลอดปี 2025 นี้ จำนวน 9 รุ่น ไม่รวม PCX160 ที่เปิดตัวในวันนี้ ไทยฮอนด้ามุ่งมั่นพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save