- Advertisement -
30.3 C
Bangkok
Home Blog Page 12

บีเอ็มดับเบิลยู เผยโฉมทัพยานยนต์ เร่งเครื่องรับตลาดแข่งเดือดปี 2568

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เร่งเครื่องรับปี 2568 เผยโฉมทัพรถยนต์-มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่พร้อมแผนขยายธุรกิจ ต่อยอดความเป็นผู้นำในตลาดพรีเมียม

•หลังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดพรีเมียมได้ 5 ปีซ้อน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมกระตุ้นตลาดต่อเนื่องด้วยยานยนต์สมรรถนะสูง

•เผยโฉม 9 รุ่นใหม่จากทั้งสามแบรนด์ จุดพลังขับเคลื่อนให้ตลาดด้วยนวัตกรรมที่ส่งตรงจากสนามแข่งสู่ท้องถนน

•อีกหนึ่งก้าวประวัติศาสตร์ของโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กับการกลับมาประกอบ มินิ คันทรีแมน ในประเทศอีกครั้ง

•บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย พร้อมต่อยอดความพึงพอใจของลูกค้าและประสิทธิภาพทางธุรกิจ ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลและ AI

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จในการครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน พร้อมเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่น จากบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในงานแถลงข่าวประจำปี 2568 ณ โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

บรรยายภาพ : (จากซ้าย)มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย

กรุงเทพฯ : บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดฉากปี 2568 อย่างแข็งแกร่งด้วยการประกาศกลยุทธ์สำคัญระลอกแรก หลังจากที่รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยไว้ได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยจากเสียงตอบรับที่ดีของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อรถยนต์รุ่นใหม่ๆ จากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยตลอดรอบปีที่ผ่านมา บริษัทจึงพร้อมที่จะสานต่อกระแสตลาดด้วยการเปิดตัวรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่รวม 9 รุ่นในช่วงต้นปีนี้ เพื่อนำสมรรถนะและนวัตกรรมสุดตื่นตาจากสนามแข่งมาให้สัมผัสกันบนท้องถนนในไทย ก่อนจะเดินหน้าเปิดตัวรุ่นอื่นๆ เพิ่มเติมอีกตลอดปี 2568

สำหรับปีที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดรถยนต์เซกเมนต์พรีเมียมในประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน บีเอ็มดับเบิลยูและมินิทำยอดส่งมอบรถยนต์รวมกันอยู่ที่ 13,659 คันในปี 2567 ครองส่วนแบ่งตลาดที่ 45% ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ 12,208 คันของบีเอ็มดับเบิลยูในปีที่แล้ว ทำให้แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำยอดจดทะเบียนรถยนต์ระดับพรีเมียมในประเทศไทยได้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่การเปิดตัวรุ่นใหม่ในตระกูล New MINI Family ส่งผลให้มินิมียอดส่งมอบรถเพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 7.6%

นอกเหนือจากยอดส่งมอบรถยนต์ที่มั่นคงในภาพรวมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังทำผลงานในตลาดรถยนต์สำหรับลูกค้าองค์กรได้อย่างยอดเยี่ยมในปีที่แล้ว หลังจากที่ส่วนแบ่งตลาดฟลีทในกลุ่มรถยนต์หรูของบีเอ็มดับเบิลยูขยายตัวขึ้นมาเป็น 70% ในปี 2567 หรือโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 27% ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลุ่มธุรกิจการโรงแรมมีให้ต่อบีเอ็มดับเบิลยู

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เราได้ก้าวเข้าสู่ปี 2568 อย่างเต็มตัว ด้วยความมุ่งมั่นที่แรงกล้ายิ่งขึ้นในการยกระดับทั้งนวัตกรรมการขับขี่และความพึงพอใจของลูกค้า ในปีที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรุ่นสมรรถนะสูงของเราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในตลาด เราจึงพร้อมสนองความต้องการของลูกค้าทันทีด้วยทัพรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance นำโดยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 4 ใหม่ พร้อมด้วยมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ รุ่นแรกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและซูเปอร์ไบค์ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ที่ผ่านการปรับโฉมอีกครั้ง นอกจากการเปิดตัวรุ่นใหม่ทั้งหมดนี้แล้ว เรายังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายใต้เป้าหมายที่จะนำแนวคิด ‘Retail Next’ เข้าไปเป็นหัวใจของโชว์รูมบีเอ็มดับเบิลยูทุกแห่งทั่วประเทศภายในสองปีข้างหน้า สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าทั้งในด้านการขายและบริการ ผ่านความร่วมมือกับผู้จำหน่ายตลอดทั้งปี 2568″

รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเติบโตโดดเด่น เสริมรากฐานที่แข็งแกร่งให้อนาคตวงการยานยนต์ไทย

ในปี 2567 ภารกิจการขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูดำเนินอย่างต่อเนื่องด้วยไลน์รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 6 รุ่นในประเทศไทย หลังจากที่ได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i5 และ iX2 เข้ามาเสริมทัพรุ่น iX3, i4, i7 และ iX ทั้งนี้ ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยูเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่แล้ว โดยพุ่งขึ้นจาก 13.5% ในปี 2566 มาเป็น 22.6% ในปี 2567 และมีส่วนช่วยผลักดันให้ส่วนแบ่งตลาดพรีเมียมของบีเอ็มดับเบิลยูเพิ่มสูงขึ้นเป็นสถิติใหม่ที่ 39.9% ส่วนการเปิดตัวมินิในเจเนอเรชันใหม่ New MINI Family ในปีที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้แฟนๆ ชาวไทยได้เป็นเจ้าของมินิไฟฟ้าโฉมใหม่ได้ ทั้งในรุ่นคูเปอร์ คันทรีแมนและน้องใหม่ล่าสุดอย่างเอซแมน จึงทำให้ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของมินิเติบโตขึ้นกว่า 44% จากปีก่อนหน้า

สำหรับตลาดไทย แฟน ๆ ของบีเอ็มดับเบิลยู M ยังคงให้การต้อนรับรุ่นใหม่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู M5 และ M4 CS อย่างอบอุ่น หลังจากที่เปิดตัวไปในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 41 ที่ผ่านมา และปี 2568 ก็จะตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่าเดิม ด้วยรถยนต์ใหม่จากตระกูล M และ M Performance ที่จ่อคิวรอเปิดตัวเพิ่มเติมอีกตลอดปี

สถิติและผลการดำเนินงานในตลาดไทยทั้งหมดนี้ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าและตลาดที่มอบให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตลอดปี 2567 บริษัทได้พิสูจน์ถึงสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและหนึ่งในบริษัทที่ได้รับการยอมรับสูงสุดโดยผู้บริโภคไทย ด้วยรางวัลจากเวที “Thailand’s Most Admired Company” สาขาอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยนิตยสาร BrandAge และรางวัลสาขาตลาดรถยนต์พรีเมียมจากเวที “No.1 Brand Thailand” โดยนิตยสาร Marketeer ส่วนในวงการยานยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ก็ได้รับเลือกให้เป็นรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 และ i5 ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีและรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปีด้วยเช่นกัน

เครือข่ายผู้จำหน่ายพร้อมต่อยอดประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และสานต่อการขยายแนวคิด ‘Retail Next’ ทั่วประเทศ

ผลการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าในปี 2567 เผยให้เห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำผลงานได้ดีขึ้นทั้งในด้านการขายและการบริการ ด้วยคะแนน Net Promoter Score (NPS) ด้านการขายที่ 95 คะแนน (เพิ่มขึ้น 1 คะแนนจากปี 2566) และด้านการบริการที่ 93 คะแนน (เพิ่มขึ้น 2 คะแนนจากปี 2566) โดยนับเป็นสถิติสูงสุดสำหรับทั้งสองด้าน

ในปี 2568 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นในทุกจุดสัมผัส แนวคิด “Retail Next” ที่มุ่งเน้นการผสานนวัตกรรมดิจิทัลและงานออกแบบที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จะขยายตัวครอบคลุมโชว์รูมและศูนย์บริการกว้างขวางขึ้นในปีนี้ ภายใต้เป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราส่วนของโชว์รูมแบบ Retail Next จาก 60% เป็น 100% ทั่วประเทศภายในสองปีข้างหน้า ดังจะเห็นได้จากการเปิดตัวโชว์รูม เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส อยุธยา ในช่วงปลายปีที่แล้ว ด้วยพื้นที่โชว์รูมและศูนย์บริการรวม 8,800 ตารางเมตรที่ครบครันด้วยประสบการณ์สุดพิเศษสำหรับลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ และงานออกแบบที่สะท้อนมรดกทางวัฒนธรรมของอยุธยา

เพื่อตอบสนองต่อกระแสความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย บริษัทได้ขยายความร่วมมือกับเครือข่ายผู้จำหน่ายด้วยการรับรองโชว์รูม “M Certified” เพิ่มอีก 3 สาขา ได้แก่ ยุโรปา มอเตอร์ (สาขาสำนักงานใหญ่), อมร เพรสทีจ รังสิต และบาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค ซึ่งทำให้บีเอ็มดับเบิลยูมีโชว์รูม M Certified พร้อมมอบประสบการณ์สุดตื่นตาตื่นใจในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู M ให้กับลูกค้าในกว่า 8 สาขาทั่วกรุงเทพฯ

ทางด้านมินิ ก็เตรียมเดินเกมรุกต่อยอดความคึกคักจากปีที่ผ่านมา ด้วยการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายมินิอย่างเป็นทางการ ทั้งที่บาร์เซโลนา มอเตอร์ บางแค, เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ราชพฤกษ์ และยุโรปา มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรแล้วเช่นกันด้วยการเปิดตัวโชว์รูมใหม่ของโมโตกรุ๊ปในย่านพระราม 5

มินิเตรียมกลับสู่สายการผลิตในไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

โรงงานและสายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง นับเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทย และยังเป็นส่วนสำคัญของเครือข่ายสายการผลิตทั่วโลก ในปีนี้ โรงงานแห่งนี้จะได้ต้อนรับมินิ ในโอกาสที่มินิ คันทรีแมน รุ่นล่าสุด จะหวนคืนสู่สายการผลิตในประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้แฟนๆ ชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของมินิรุ่นใหญ่ตัวนี้กันได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การกลับมาของมินิยังทำให้โรงงานแห่งนี้เป็นสายการผลิตแห่งเดียวในโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่สามารถประกอบรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

พร้อมยกระดับบริการทางการเงินด้วยนวัตกรรมดิจิทัล ต่อยอดความไว้วางใจของลูกค้า ท่ามกลางความท้าทายตลอดปี 2567

บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ทำผลงานได้อย่างมั่นคงในปี 2567 ด้วยยอดลูกค้าใหม่ที่ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยท่ามกลางการหดตัวของตลาดรวมในประเทศไทย อย่างไรก็ดี กลยุทธ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาเสริมประสบการณ์ให้กับลูกค้า สามารถสร้างเสียงตอบรับได้ดีไม่น้อย และส่งผลให้ครึ่งหนึ่งของลูกค้าใหม่ที่เลือกเป็นเจ้าของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จากทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด วางใจในบริการทางการเงินของบริษัท ขณะที่ 1 ใน 3 รายก็เลือกจัดการข้อตกลงทางการเงินผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ myBMW / MINI Finance

นอกจากนี้ ธุรกิจในกลุ่มประกันภัยรถยนต์และกลุ่มลูกค้าองค์กรล้วนทำผลงานได้ดีในปี 2567 ด้วยอัตราการเข้าถึงตลาดที่เพิ่มขึ้นเป็น 64% และ 68% ตามลำดับ

คุณจริยา คูนลินทิพย์ ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “เรามีเป้าหมายที่จะยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า สอดคล้องกับทิศทางในภาพรวมของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งเป็นผลให้ในปีที่แล้ว เราทำคะแนน Net Promoter Score ได้สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 78 คะแนน เรายังคงยกให้ลูกค้าเป็นหัวใจหลักในการทำงานทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมให้ลูกค้าเป็นเจ้าของบีเอ็ม

ดับเบิลยู มินิ หรือบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด คันใหม่อย่างง่ายดายและสบายใจที่สุดด้วยข้อเสนอทางการเงินของเรา หรือประสบการณ์พิเศษมากมายสำหรับลูกค้า เช่น การแข่งขัน BMW Golf Cup หรือกิจกรรม BMW Driving Experience ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2568 เราก็จะสานต่อภารกิจเหล่านี้ด้วยนวัตกรรมที่มี AI เป็นแรงขับเคลื่อน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์และเข้าถึงบริการทางการเงินของเราได้สะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก”

ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ได้นำระบบอัตโนมัติแบบ Robotic Process Automation (RPA) เข้ามาใช้งานรวม 12 ระบบ ซึ่งส่งผลให้การอนุมัติสินเชื่อของลูกค้าราว 13% สามารถทำได้แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ขณะที่การแนะนำเทคโนโลยีลายเซ็นแบบดิจิทัลที่ปลอดภัยก็ทำให้ 36% ของสัญญาใหม่ในปีที่แล้วผ่านการเซ็นรับรองแบบดิจิทัล

ZEEKR 009 ตอกย้ำความสำเร็จ ส่งมอบแล้วกว่า 1,000 คัน

ZEEKR 009 ตอกย้ำความสำเร็จ ส่งมอบกว่า 1,000 คันในไทย พร้อมเปิดตัวรุ่น 7 ที่นั่ง เพื่อตอบโจทย์ทุกการเดินทางทั้งครอบครัวและกลุ่มเพื่อนภายใต้แนวคิด “Every Journey Shines, Every Seat Matters”

(กรุงเทพฯ) 18 กุมภาพันธ์ 2568 – ZEEKR ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชูรีพร้อมพลิกโฉมประสบการณ์แห่งการเดินทาง ด้วยการเปิดตัว ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง อย่างเป็นทางการ ยนตรกรรมไฟฟ้าเอ็มพีวีที่ถูกรังสรรค์เพื่อนิยามใหม่ของความลักชูรี ภายใต้แนวคิด “Every Journey Shines, Every Seat Matters” ด้วยการยกระดับความสะดวกสบายให้ทุกการเดินทาง ทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยยังคงประสบการณ์ระดับเฟิร์สคลาสในทุกที่นั่ง ราคาจำหน่ายเริ่มต้น 3.099 ล้านบาท

ความสำเร็จของ ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการส่งมอบแล้วกว่า 1,000 คัน ทั่วประเทศไทยเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ZEEKR 009 ไม่เพียงแค่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นตัวแทนของไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนรสนิยมของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว ZEEKR 009 ทลายกรอบ “ความหรูหราแบบเดิมๆ” และมุ่งเน้นประสบการณ์ของผู้ใช้เป็นสำคัญ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดเอ็มพีวีระดับลักชูรี โดย ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่ง ออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัวและความหรูหราอย่างลงตัว

ส่วน ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง ที่ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้แนวคิดเดียวกัน “Every Journey Shines, Every Seat Matters” นำเสนอทางเลือกใหม่สำหรับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายและเหนือระดับ โดยยกระดับมาตรฐานยนตรกรรมหรูสำหรับครอบครัวให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ด้วยการผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับความหรูหรา ทำให้ ZEEKR 009 ไม่ใช่เพียงแค่พาหนะสำหรับการเดินทาง แต่เป็นนิยามใหม่ของความพรีเมียมที่มอบทั้งสมรรถนะเหนือชั้น ห้องโดยสารระดับเฟิร์สคลาส และวัสดุคุณภาพสูงที่สะท้อนถึงความประณีตในทุกรายละเอียด โดยในรุ่นนี้ยังคงไว้ซึ่งฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์อย่างครบครัน เช่น เบาะหนัง Nappa นุ่มพิเศษ มาพร้อมระบบนวดไฟฟ้าเพื่อความสบายสูงสุด พร้อมดื่มด่ำกับความบันเทิงผ่านหน้าจอ OLED ทัชสกรีนขนาด 15.05 นิ้ว, หน้าจอแสดงผลแบบเออาร์ AR-HUD ขนาด 35.95 นิ้ว และ หน้าจอเพดานสำหรับผู้โดยสารด้านหลังแบบ OLED ระบบสัมผัสขนาด 17 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 8295 อันทรงพลัง พร้อมระบบเสียง YAMAHA 30 จุดรอบคัน มอบประสบการณ์เสียงรอบทิศทางระดับพรีเมียม ให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย หรูหราและเหนือระดับอย่างแท้จริง ที่พร้อมยกระดับทุกการเดินทางของคุณให้กลายเป็นช่วงเวลาพิเศษที่น่าจดจำ พร้อมกันนี้ยังมาพร้อมกับสมรรถนะที่เหนือชั้น กับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ที่ให้กำลังสูงถึง  603 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เพียง 4.5 วินาทีและแบตเตอรี่ขนาด 116 kWh ที่ให้ระยะทางการขับขี่ 686 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC เดินทางอย่างนุ่มนวลด้วยช่วงล่างแบบถุงลมประสิทธิภาพสูง และระบบกันสะเทือน CCD Electromagnetic Vibration Reduction System และระบบความปลอดภัย ZEEKR AD ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติระบบป้องกันการชนด้านหน้า รวมไปถึงเตือนการชนจากด้านหลัง มั่นใจในทุกเส้นทางกับระบบ Passive Safety Systems ทั้งโครงสร้างด้านหลังแบบ Single-Piece Die-Casting Aluminum และถุงลม 7 จุด

ZEEKR 009 มี 3 โทนสีรถภายนอกได้แก่

•สีขาว (Crystal White) พร้อมสีภายในสีดำ (Stone Black)

•สีดำ (Phantom Black) พร้อมสีภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black)

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวสีใหม่ ได้แก่

•สีเขียว (Mineral Green) พร้อมสีภายในสีเทาขาว (Stone Grey & Polar white) และสีดำ (Stone Black)

มร.อเล็กซ์ เป่า กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอาร์ อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี กล่าวว่า “หลังจากความสำเร็จของ ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่ง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากตลาด เราได้ศึกษาความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยและพบว่า ความต้องการรถเอ็มพีวีไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเปิดตัว ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง จึงเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าที่เดินทางกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เทคโนโลยี และดีไซน์แบบลักชูรี ตอกย้ำแนวคิด ‘Every Journey Shines, Every Seat Matters’ โดยภายใต้เเนวคิดนี้ เรามีการนำเสนอเรื่องราวของ ZEEKR 009 ผ่านภาพยนตร์โฆษณาใหม่ที่ถ่ายทอดแก่นแท้ของการเดินทางสุดพิเศษ โดยบอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของตัวละครหลักที่กำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เปรียบการเดินทางด้วย ZEEKR 009 เสมือนการเดินทางของชีวิตที่ทุกก้าวล้วนมีความหมาย ทุกที่นั่งคือพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ และทุกความสำเร็จคือจุดหมายหลักที่จะมุ่งไป โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ไม่เพียงต้องการนำเสนอคุณสมบัติอันโดดเด่นของ ZEEKR 009 แต่เป็นการสะท้อนคุณค่าและอารมณ์ที่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถสัมผัสได้อย่างมีชั้นเชิง”

สำหรับ ZEEKR 009 รุ่น 7 ที่นั่ง ราคา 3,099,000 บาท พร้อมข้อเสนอพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

•ฟรี Wallbox ขนาด 11 kW พร้อมแพ็กเกจติดตั้ง*

•ฟรี สายชาร์จฉุกเฉิน*

•ฟรี ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครองเป็นระยะเวลา 1 ปี*

•ฟรี ค่าจดทะเบียนรถยนต์*

•การรับประกันรถยนต์ เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•การรับประกันมอเตอร์ขับเคลื่อนและแบตเตอรี่แรงดันสูง เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 180,000 กิโลเมตร

(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี*

•ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง สูงสุดไม่เกิน 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 3 ปี หรือระยะทาง 60,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

สำหรับผู้ที่สนใจ ZEEKR 009 รุ่น 6 ที่นั่ง พร้อมข้อเสนอพิเศษดังนี้

•ฟรี ค่าอะไหล่และค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทาง สูงสุดไม่เกิน 6 ครั้ง ภายในระยะเวลา 6 ปี หรือระยะทาง 120,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•ฟรี Wallbox ขนาด 11 kW พร้อมแพ็กเกจติดตั้ง*

•ฟรี สายชาร์จฉุกเฉิน*

•ฟรี ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครองเป็นระยะเวลา 1 ปี*

•ฟรี ค่าจดทะเบียนรถยนต์*

•การรับประกันรถยนต์ เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•การรับประกันมอเตอร์ขับเคลื่อนและแบตเตอรี่แรงดันสูง เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 180,000 กิโลเมตร

(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)*

•ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี* ในราคา 3,159,000 บาท

โดยข้อเสนอพิเศษนี้กำหนดให้มีผลเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 – วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 และกำหนดรับรถรับรถภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ZEEKR 009 ทั้งรุ่น 6 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดได้แล้ววันนี้ที่ ZEEKR House ทั้ง 10 แห่ง ทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ZEEKR Call Center โทร 02-086-9999, Official Facebook Page ZEEKR Thailand และ LINE Official ZEEKR Thailand (@zeekrtha) หรือคลิก https://lin.ee/3lJF6Jbo

โตโยต้า เชิญชวนชาวขอนแก่น ร่วมตระหนักเรื่องโลกเดือด

โตโยต้า เชิญชวนชาวขอนแก่น ร่วมตระหนักเรื่องโลกเดือด พร้อมลดเปลี่ยนโลกผ่านนิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด”

นายสิริวิทย์ ปรีชาศุทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนองค์กร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ นายยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนในจังหวัดขอนแก่น ร่วมเป็นเกียรติในงานนิทรรศการ “Multiverse Future Thailand  ทางเลือก หรือ ทางรอด” ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 เซ็นทรัล ขอนแก่นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568

นิทรรศการ Multiverse Future Thailand คือการจำลองอนาคตประเทศไทยออกเป็นโลกคู่ขนานใน 2 โซน ได้แก่ โซน “ทางเลือก” ที่เน้นสร้างความตระหนักถึงผลกระทบจากสถานการณ์ภาวะโลกเดือด ผ่านร้านค้าต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และ โซน “ทางรอด” ที่มุ่งเน้นในการสร้างจิตสำนึกผ่านการให้ความรู้ในแง่มุมต่างๆ ตลอดจนชักชวนผู้คนมาร่วมปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

ผ่านกิจกรรม “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า” โดยโตโยต้าได้มีการจัดนิทรรศการฯ ครั้งแรก ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 17 – 19 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา และได้ขยายความสำเร็จมายังจังหวัดขอนแก่นต่อไป

ภายในงาน มีกิจกรรม Workshop นำขยะมารีไซเคิลทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ โดย TAMDA Studio ที่มีชื่อเสียงในการสร้างสรรค์สิ่งของเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นผลงาน และยังมีความสนุกกับกิจกรรมมินิทอล์คและมินิคอนเสิร์ต โดยศิลปิน “บิวบองและด้งเด้ง ไทบ้าน” และ “หญิงลี ศรีจุมพล”

โตโยต้าคาดหวังว่างานในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมาย “สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน” อันจะเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “เมืองสีเขียว” อย่างยั่งยืนต่อไป

“นิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด” จัดขึ้น ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 เซ็นทรัล ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 14 – 16 กุมภาพันธ์ 2568

โตโยต้า ร่วมมือกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย

โตโยต้า ร่วมลงนามความร่วมมือกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ภายใต้แนวคิด “Safety Culture Together”

นายสมคิด ประดิษฐกำจรชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม ความปลอดภัยภายใต้แนวคิด “Safety Culture Together” โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามปฏิญญาความปลอดภัย เพื่อร่วมขับเคลื่อนแคมเปญ “Safety Culture Together” ตั้งเป้าลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงาน ณ ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน ชั้น 5 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา

ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โตโยต้าให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก (Safety First) และกำหนดเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหลัก (KPI) ขององค์กร โดยมุ่งมั่นในการส่งเสริมความปลอดภัย ตลอดจนพัฒนาระบบการจัดการ ด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงขยายความร่วมมือไปยังผู้ผลิตชิ้นส่วน (Supplier) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทรัพยากรบุคคลตลอดทั้งห่วงโซ่ธุรกิจ

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้รับรางวัล “สถานประกอบการดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” จากสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมาโดยตลอดเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันในทุกโรงงาน ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศ ดังต่อไปนี้

โรงงานสำโรง       :  ได้รับรางวัลเกียรติยศ “ระดับเพชร” (ติดต่อกันเป็นปีที่ 8)

โรงงานบ้านโพธิ์   :  ได้รับรางวัลเกียรติยศ “ระดับแพลทินัม” (ติดต่อกันเป็นปีที่ 11)

โรงงานเกตเวย์     :  ได้รับรางวัลเกียรติยศ “ระดับแพลทินัม” (ติดต่อกันเป็นปีที่ 17)

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานภายในองค์กร ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชนชั้นนำ เพื่อลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงาน และส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืนแก่ประเทศไทยต่อไป

โตโยต้ามอบโอกาสทางการศึกษาอย่างยั่งยืน มอบทุนแก่นิสิตจุฬาฯ

โตโยต้ามอบโอกาสทางการศึกษาอย่างยั่งยืน ผ่านการมอบทุนแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 52

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และ นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบทุนการศึกษาแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 52 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยคณาจารย์และคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมแสดงความยินดี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาอันเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยให้มีความรู้ความสามารถ และทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการมอบทุนการศึกษาภายใต้โครงการ “TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน”ด้วยการแบ่งปันโอกาสทางการศึกษาให้แก่นิสิตที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 52 ปี

โดยโตโยต้า ได้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 1,627 ทุน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 22,482,000 บาท ซึ่งในปีนี้ มีนิสิตเข้ารับทุนดังกล่าว จำนวน 12 ทุน รวมเป็นมูลค่า 960,000 บาท ดังนี้

คณะวิศวกรรมศาสตร์                            จำนวน 4 ทุน      

คณะอักษรศาสตร์                                 จำนวน 2 ทุน      

คณะเศรษฐศาสตร์                                จำนวน 2 ทุน 

คณะทันตแพทยศาสตร์                          จำนวน 1 ทุน     

คณะรัฐศาสตร์                                       จำนวน 1 ทุน    

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี           จำนวน 1 ทุน    

คณะศิลปกรรมศาสตร์                            จำนวน 1 ทุน

โตโยต้ายังคงมุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ในการสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนในสังคมไทยให้เติบโตไปด้วยกัน ภายใต้แนวคิด “TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน” ผ่านการให้ในทุกมิติ ได้แก่

ให้…สุขภาพที่ยั่งยืน

ให้…ความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน

ให้…ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน

ให้…การศึกษาที่ยั่งยืน

ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญของโตโยต้า เพื่อร่วมผลักดันสังคมไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ต่อไป

มิตซูบิชิ ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้แก่ โรงพยาบาลพรเจริญ และ โรงพยาบาลสระใคร

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มุ่งสนับสนุนความเป็นกลางทางคาร์บอน ติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้แก่ โรงพยาบาลพรเจริญ และ โรงพยาบาลสระใคร ภายใต้โครงการ “Solar For Lives: พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า”

กรุงเทพฯ – 14 กุมภาพันธ์ 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้า โครงการ ‘Solar For Lives: พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้แก่โรงพยาบาลชุมชนเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่โรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ และโรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย ซึ่งช่วยให้จำนวนโรงพยาบาลชุมชนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้เพิ่มขึ้นเป็น 12 แห่ง รวมกำลังไฟฟ้าทั้งหมด 600 กิโลวัตต์ และช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 360 ตันต่อปี สอดคล้องกับเป้าหมายและความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้แก่โรงพยาบาลชุมชน 40 แห่งทั่วประเทศภายใน 10 ปี นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้ในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน

มร.ชิน คุโบะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารองค์กรและการเงิน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โครงการ ‘Solar For Lives: พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนในประเทศไทย การติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ให้กับโรงพยาบาลชุมชน จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน พร้อมยกระดับบริการด้านการแพทย์สำหรับชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ดีได้มากขึ้น เราคาดว่าจะลงทุนจำนวน 60 ล้านบาท ในการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชนจำนวน 40 แห่ง  ภายในระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับโรงพยาบาล ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกด้วย”

นายแพทย์ตฤณกฤต สิทธิศร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ กล่าวแสดงความขอบคุณว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Solar for Lives: พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์นี้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของเราได้อย่างมาก ทำให้เราสามารถจัดสรรทรัพยากรเพิ่มเติมเพื่อยกระดับบริการทางการแพทย์สำหรับชุมชนของเรา โครงการนี้ยังช่วยผลักดันเราสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมนำพลังงานสะอาดมาสู่ชุมชนท้องถิ่นของเรา”

นายแพทย์อลงกฏ ดอนละ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของพลังงานสะอาดในการพัฒนาบริการด้านการแพทย์ ระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์จะช่วยลดค่าไฟฟ้าของเราได้อย่างมาก ทำให้เราสามารถนำทรัพยากรไปลงทุนเพิ่มเติมในด้านการดูแลผู้ป่วยและโครงการด้านสุขภาพ การสนับสนุนจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความสามารถของโรงพยาบาลของเรา แต่ยังช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกด้วย”

โครงการ “Solar for Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” เป็นหนึ่งในแผนการดำเนินงานเพื่อสังคมของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” และหลักสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) โดยได้ทำการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชนแล้วทั้งหมด 12 แห่ง ประกอบด้วย

1. โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

2. โรงพยาบาลพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย

3. โรงพยาบาลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง

4. โรงพยาบาลวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี

5. โรงพยาบาลปง จังหวัดพะเยา

6. โรงพยาบาลชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ

7. โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี

8. โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

9. โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี

10. โรงพยาบาลนายายอาม จังหวัดจันทบุรี        

11. โรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ

12. โรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย

ภาพข่าว (โรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ)

มร.ชิน คุโบะ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารองค์กรและการเงิน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้แก่ นายแพทย์ตฤณกฤต สิทธิศร (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในภาคสาธารณสุข และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยได้รับเกียรติจาก นายดนุเดช ใจศรี (ที่ 4 จากขวา) ปลัดอาวุโส อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ และ พันธมิตรร่วมโครงการ นายแพทย์ภมร ดรุณ (ที่ 4 จากซ้าย) นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ นางธิดาวรรณ แสวงการ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน-2 ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน และ นายสไกร คงธรรม (ซ้ายสุด) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม-1 ฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วยผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิในจังหวัดบึงกาฬ ดร.พงษ์ศักดิ์ สกุลคู (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร และ ดร.กิตติพงษ์ สกุลคู (ขวาสุด) กรรมการบริหาร บริษัท มิตซูเจียงหนองคาย จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยานการรับมอบ

ภาพข่าว (โรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย)

มร.ชิน คุโบะ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารองค์กรและการเงิน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้แก่ นายแพทย์อลงกฏ ดอนละ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระใคร จังหวัดหนองคาย เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในภาคสาธารณสุข และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยได้รับเกียรติจาก นายทวีป ไทยสวี (ที่ 4 จากขวา) นายอำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย และ พันธมิตรร่วมโครงการ นายแพทย์บรรจบ อุบลแสน (ที่ 4 จากซ้าย) รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย นางธิดาวรรณ แสวงการ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน-2  ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน และ นายสไกร คงธรรม (ซ้ายสุด) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม-1 ฝ่ายจัดการด้านการใช้พลังงานและสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วยผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิในจังหวัดหนองคาย ดร.พงษ์ศักดิ์ สกุลคู (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร และ ดร.กิตติพงษ์ สกุลคู (ขวาสุด) กรรมการบริหาร บริษัท มิตซูเจียงหนองคาย จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยานการรับมอบ

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ปี 2568 เดินหน้าธุรกิจลักชัวรีรีเทลเต็มสูบ

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ปี 2568 เดินหน้าธุรกิจลักชัวรีรีเทลเต็มรูปแบบ พร้อมประเดิมเปิดตัว Mercedes-AMG กว่า 3 รุ่นในงาน Motor Show 2025

•เมอร์เซเดส-เบนซ์ กวาดยอดขายทั่วโลก 2,389,000 คัน ในปี 2567 โดยแบ่งเป็นรถยนต์นั่งจำนวน 1,983,400 คัน และรถแวน 405,600 คัน

•เปิดตัวรถยนต์รวมกว่า 25 รุ่น ในปี 2567 ชูความสำเร็จของ The new E-Class ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นถึง 65% พร้อมเสริมไลน์อัพรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในไทย

•เฉลิมฉลองการประกอบรถยนต์ในประเทศไทยครบ 200,000 คัน ในเดือนมกราคม 2567 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยยอดการผลิตสะสมสูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์ลักชัวรี

•เดินหน้าวิสัยทัศน์ “Brand at Heart, Performance in Mind” ในโอกาสครบรอบ 75 ปีแห่งความสำเร็จของรถยนต์นั่งจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ระดับโลกที่ครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่อนาคต

•ผลักดันตลาดอีวีด้วย “EV Worry-Free Package” ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า 100% ด้วยข้อเสนอพิเศษกับค่างวดเริ่มต้น 45,000 บาทต่อเดือน ในรุ่น EQE 350 4MATIC SUV Electric Art โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ก้อนแรกและก้อนสุดท้าย

•ต่อยอดโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” และเสริมศักยภาพในการแข่งขันในตลาดด้วยการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคา (Pricing Strategy) ที่สะท้อนให้เห็นถึงการคงมูลค่าในระยะยาวของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกรุ่น

•ครองตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ลักชัวรีที่มีเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนตัวแทนจำหน่ายกว่า 33 แห่ง และศูนย์บริการรวม 41 แห่ง

•ผสานแนวคิด MAR20X (Mercedes-Benz Retail Experience) เพื่อยกระดับขีดความสามารถของตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ

มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดรถยนต์ระดับลักชัวรี แต่เรายังคงสร้างผลลัพธ์ที่แข็งแกร่ง และเดินหน้าพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เราพร้อมก้าวเข้าสู่ปี 2568 ภายใต้วิสัยทัศน์ “Brand at Heart, Performance in Mind” ที่จะยกระดับการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ การขับเคลื่อนผลประกอบการทางธุรกิจ และการขยายไลน์อัพรถยนต์ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 100% ควบคู่ไปกับสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าผ่านกิจกรรมสุดพิเศษที่จะเข้าถึงไลฟ์สไตล์และยกระดับมอบประสบการณ์ของผู้บริโภคในทุกมิติ”

ในปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวยนตรกรรมใหม่กว่า 25 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่เซกเมนต์ Entry Luxury ไปจนถึงรถยนต์ระดับ Top-End Luxury โดยโมเดลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ The new E-Class ที่มีการเติบโตของยอดขายกว่า 65% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและสามารถคว้ารางวัล “Best Performer” ประจำปี 2567 จากสถาบัน Euro NCAP แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่สุดของยนตรกรรมที่มาพร้อมสมรรถนะและความปลอดภัยขั้นสูง

นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของผู้บุกเบิกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในตลาดลักชัวรี ด้วยการนำเสนอโมเดลใหม่อย่างต่อเนื่อง นำโดยรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นประกอบในประเทศอย่าง EQS 450 4MATIC SUV ที่เปิดตัวพร้อมกับ EQE 300 Sedan ต่อด้วย Mercedes-Maybach EQS 680 SUV และ G 580 with EQ Technology ในขณะที่รถสปอร์ต 2 ประตู รุ่นสมรรถนะสูงอย่าง Mercedes-AMG CLE 53 ถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่มีกระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมด้วยการครองสัดส่วนยอดขายกว่า 30% จากยอดขายทั้งหมดของแบรนด์ Mercedes-AMG

โดยในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มกำลัง เริ่มต้นด้วยการต่อยอดความสำเร็จของโมเดลล่าสุดอย่าง The new E-Class, CLE Coupé, EQE 300 Sedan, EQS 450 4MATIC SUV และอีกหลากหลายรุ่นจากทุกเซกเมนต์ของแบรนด์ รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จาก Mercedes-AMG พร้อมกันถึง 3 รุ่น ในงาน Motor Show 2025 เพื่อสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี

สำหรับโมเดลธุรกิจ “Retail of the Future” เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงสะท้อนความโดดเด่นในเรื่องของราคาจำหน่ายที่เท่าเทียมกันทั้งประเทศ ความโปร่งใสในขั้นตอนการซื้อรถ และการยกระดับประสบการณ์ในทุกมิติสำหรับลูกค้าทุกคน รวมถึงการนำแนวคิด MAR20X (Mercedes-Benz Retail Experience) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาและออกแบบศูนย์บริการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มาปรับใช้ในประเทศไทย ครอบคลุมทั้งในด้านการยกระดับช่องทางการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Touchpoints) การพัฒนาบุคลากรและกระบวนการ (People & Process) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) และการออกแบบสถาปัตยกรรม (Architecture) โดยในปีที่ผ่านมา มีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ กว่า 50% ที่เริ่มดำเนินงานภายใต้แนวคิด MAR20X และในปีนี้จะขยายสู่ 60% จนไปถึงในปี 2570 ที่บริษัทฯ วางแผนที่จะขยายให้ครอบคลุมมากกว่า 90% ของจำนวนตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการทั้งหมดในประเทศไทย

นอกจากนี้ ในด้านของกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ จะมีการจัดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เริ่มด้วยกิจกรรมที่จัดร่วมกับคอมมูนิตี้อย่างเป็นทางการอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ คลับ (ประเทศไทย) ในการรวมรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ คลาสสิก ในตำนานไว้มากกว่า 10 คัน มาขับขี่กันใน Road Trip สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องด้วยการจัดกิจกรรมทดสอบรถยนต์ประจำปีอย่าง Mercedes-Benz Driving Events และ SUV Driving Events รวมทั้งสิ้น 18 ครั้ง โดยมีทั้งการขับขี่ในบนถนนและบนสนามแข่ง (On Road/On Track) รวมถึงการกลับมาในรอบ 5 ปี ของ “MercedesTrophy” รายการการแข่งขันกอล์ฟ ที่มีนักกอล์ฟผู้ร่วมแข่งขันมากกว่า 1,000 คน จาก 7 รอบการแข่งขัน โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์และลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกคน

นายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับความสำเร็จในด้านการบริการลูกค้าในปี 2567 ที่ผ่านมา เรามีเครือข่ายศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมทั้งหมด 41 แห่ง และมีศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง (Certified Body & Paint Service Center) ที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาคกว่า 26 แห่ง ในส่วนของผลิตภัณฑ์ต่างๆ มียอดการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยแพ็กเกจ MBSP มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 12% พร้อมกับการเปิดตัวแพ็กเกจ MBSP Extra Guarantee Lite ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าเก่าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์จาก MBTires มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 84% และบริการ Digital Extras บนแพลตฟอร์ม Mercedes-Benz Store มียอดขายเพิ่มขึ้น 86%

นอกจากนี้ เรายังจัดแคมเปญต่างๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น แคมเปญ Welcome Back Stars สำหรับการคืนสิทธิการรับประกันคุณภาพเดิมของ High Voltage Battery จนถึงอายุรถปีที่ 10 และการร่วมมือกับแบรนด์มิชลิน ในแคมเปญ Mercedes-Benz & Michelin Sustainability in Motion เพื่อช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

ทางด้านฝ่ายบริการลูกค้าเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมพัฒนาและนำเสนอบริการหลังการขายแก่ลูกค้าในทุกมิติ โดยมีแผนที่จะเปิดตัว Service Select Loyalty Program สำหรับลูกค้าเก่าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เพื่อมอบประสบการณ์การดูแลรถยนต์ทั้งในด้านการบำรุงรักษาและข้อเสนอพิเศษสำหรับชิ้นส่วนอะไหล่ StarParts รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ด้านดิจทัลด้วยบริการ Digital Extras ที่จะมีแพ็คเกจเสริมอย่าง Entertainment Package Plus ซึ่งมาพร้อมฟีเจอร์วิดีโอสตรีมมิงและการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในรถยนต์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความบันเทิงให้กับผู้ใช้งาน อีกทั้งกิจกรรม Nationwide Service Clinics ที่จะจัดร่วมกับทีม Flying Doctor จากประเทศเยอรมนี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 เพื่อมอบการบริการและการดูแลรักษารถยนต์ที่เป็นมาตรฐานระดับโลก

“ทุกการลงทุนและความมุ่งมั่นของเรา ล้วนสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เรามองเห็นถึงโอกาสการเติบโตที่มั่นคง และศักยภาพอันแข็งแกร่งของตลาด เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเดินหน้าพัฒนารถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกการขับขี่และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี ผ่านการบริการและการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อสร้างแรงผลักดันให้กับธุรกิจรีเทลและภาพรวมอุตสาหกรรมให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” มร.มาร์ทิน ชเวงค์ กล่าวสรุป

มาสด้า ปักหมุดประเทศไทยทุ่มลงทุนกว่า 5,000 ล้าน สร้างฐานการผลิต xEVs

มาสด้า ปักหมุดประเทศไทยทุ่มลงทุนกว่า 5,000 ล้าน สร้างฐานการผลิต xEVs เตรียมผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี 100,000 คันต่อปี พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนด้วย Customer Centric ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางคู่ขนานไปกับการสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 – มาสด้าประกาศแนวทางการดำเนินธุรกิจครั้งประวัติศาสตร์ขึ้นในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ดีลเลอร์ และพันธมิตรทางธุรกิจ นำทัพโดย มร.มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วย นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญสุดในรอบทศวรรษ เพื่อเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อการก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน ภายใต้ธีม The Future, Crafted by the Joy of Driving ชูวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ล่าสุด เพื่อส่งมอบความสุขในการขับขี่ตามแนวทาง Multi-solution ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าควบคู่กับแผนเปิดตัวรถยนต์ใหม่ 5 รุ่น ภายใน 3 ปี เชื่อมั่นระบบเศรษฐกิจและศักยภาพของประเทศไทยประกาศทุ่มเงินลงทุนอีกกว่า 5,000 ล้านบาท ผลักดันโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตและพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ หรือ xEVs นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคต โดยทำการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็ค เอสยูวี 100,000 คันต่อปี เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก

มร.มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์รอบด้านจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่มาสด้ายังคงยึดมั่นในแนวทางที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง นั่นคือ การพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง เพื่อมอบความสุขในการขับขี่และการใช้ชีวิตทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน เพราะมาสด้าเป็นแบรนด์ที่ถือกำเนิดขึ้นจากเมืองฮิโรชิมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ เราจึงต้องการมอบความสุข สร้างรอยยิ้มและช่วยยกระดับความเป็นอยู่ให้กับผู้คนในสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการดำเนินธุรกิจของเรา แม้ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของพลังงานไฟฟ้าก็ตาม

ภาพรวมมาสด้าทั่วโลกเพื่อก้าวสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า ด้วยแนวทาง Multi-solution และ Intentional Follower

ภาพรวมของมาสด้าทั่วโลก เป้าหมายของเราคือการนำเสนอรถยนต์ที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2573 รวมถึงรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มาพร้อมพลังงานไฟฟ้า มาสด้าคาดว่ายอดจำหน่ายของรถ BEVs อยู่ที่ประมาณ 25-40% ของยอดจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งมาสด้ากำลังเดินหน้าตามแนวทาง Multi-Solution Strategy เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ควบคู่กับการใช้แนวทาง Intentional Follower Approach โดยทำการศึกษาตลาดอย่างใกล้ชิดและรับฟังข้อคิดเห็นจากลูกค้า เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าให้ดีที่สุด คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2573 มาสด้าจะมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อน 100% ของยอดจำหน่ายรวมทั้งหมด แต่ในระหว่างนี้ เรากำลังเดินหน้าตามแผนพัฒนา xEVs ประกอบด้วยแผนกลยุทธ์ 3 เฟส ประกอบด้วย เฟสที่ 1 เป็นการเตรียมความพร้อม เฟสที่ 2 การเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจาก HEV, PHEV และ BEV จนถึงเฟสที่ 3 เป็นการแนะนำรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ

มาสด้าพร้อมเดินหน้าส่งมอบเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ตามแนวทาง Multi-solution ซึ่งรวมถึง MHEVs, HEVs, PHEVs, BEVs, R-EVs และรถยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกของผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตรงกับความต้องการมากที่สุด เราเชื่อว่าแนวทางนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด

แผนกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในไทย

สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญอันดับต้น ๆ มาสด้าตระหนักถึงกระแสตอบรับที่ดีและความต้องการรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มาสด้าจึงเร่งแผนในการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า โดยวางแผนในการแนะนำรถไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปตามกลยุทธ์ 3 เฟส เช่นเดียวกัน ซึ่งเฟส 2 จะเป็นการนำเสนอรถพลังงานไฟฟ้าในไทย โดยมาสด้าจะทำการเปิดตัวแนะนำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้ง BEV, PHEV, HEV ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570 โดยเริ่มจากการเปิดตัวแนะนำรถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda6e ในปีนี้ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างมาสด้าและพาร์ทเนอร์ในประเทศจีน

สร้างไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์พลังงานไฟฟ้า คอมแพ็คเอสยูวี ตั้งเป้าการผลิต 100,000 คันต่อปี

มร.มาซาฮิโร โมโร ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงแผนธุรกิจว่า มาสด้าในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 70 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ มาสด้า เซลส์ และผู้จำหน่ายมาสด้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงงานผลิตรถยนต์ที่จังหวัดระยอง AutoAlliance (AAT) ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ทำการผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ที่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2558 ทั้งสองโรงงานนี้คือรากฐานสำคัญที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์มาสด้าและชิ้นส่วน เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกยังตลาดต่างประเทศทั่วโลก วันนี้ มาสด้าได้เตรียมความพร้อมไปอีกขั้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญในการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้า xEVs ด้วยการเพิ่มเงินลงทุนเป็นจำนวนกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี โดยมุ่งเน้นไปที่การประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ เกียร์ และแบตเตอรี่ พร้อมวางเป้ากำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี นี่คือจุดเริ่มต้นและก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ต่อการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับประเทศไทยเพื่อผลิตรถพลังงานไฟฟ้าของมาสด้าและเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ไม่เพียงเท่านี้ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่สุด รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามายังประเทศไทย ควบคู่กับการพัฒนาทักษะช่างฝีมือประกอบรถยนต์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยจะเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันกับมาสด้าทั่วโลก และพร้อมสำหรับการเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า xEVs ในอนาคตอันใกล้นี้ต่อไป

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร & ซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเกี่ยวกับทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจมาสด้าในประเทศไทยว่า สำหรับประเทศไทยนั้น มาสด้ามุ่งมั่นที่จะปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเดินหน้าสู่ความสำเร็จไปพร้อมกันทั้งองค์กร ตามแนวทาง Management Policy ประกอบด้วย ผู้จำหน่าย พนักงาน และที่สำคัญสูงสุด คือ ลูกค้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer-Centric) สำหรับการเปลี่ยนแปลงของมาสด้าที่กำลังจะเกิดขึ้น แบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

กลยุทธ์ที่ 1 : การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย “ผู้คน”

•สร้างการเปลี่ยนแปลงองค์กร โดยมีเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่ Agile และ Insight-Driven คล่องตัว ยืดหยุ่น และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลเชิงลึก ในปัจจุบัน กลุ่มมิลเลนเนียล หรือ Gen-Y มีประมาณ 70% ของพนักงานทั้งหมด กลุ่มคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มีการศึกษาสูง ปรับตัวได้ดี มีเป้าหมายชัดเจน มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราจะใช้จุดแข็งและพลังของกลุ่มมิลเลนเนียลผสานการทำงานร่วมกับ Gen-X และ Gen-Z เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า

•สนับสนุนการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ด้วยโปรแกรม “Career@Mazda” ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของพนักงานทั้งที่ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และผู้จำหน่าย เพื่อพัฒนาทักษะ และส่งเสริมการสร้างความผูกพันของพนักงานกับแบรนด์และเพื่อนร่วมงาน

•สร้างโปรแกรม “Mazda Signature Services” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่อยู่บนพื้นฐานของการส่งมอบคุณค่าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า 3 ประการ ได้แก่ -“Radically Human,” การให้ความสำคัญกับมนุษย์ “Challenger Spirit,” สปิริตที่ไม่ย่อท้อ และ “Omotenashi” ให้การดูแลเช่นเดียวกับคนในครอบครัว เพื่อให้มั่นใจว่าคุณค่าของแบรนด์จะถูกถ่ายทอดไปยังลูกค้าในทุกๆ touchpoint ของการบริการ

กลยุทธ์ที่ 2 : ยกระดับการบริการและการสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก

ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อมูลเชิงลึก ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์ม VOF หรือ “Voice of Fans” เพื่อช่วยวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมนำความคิดเห็นมาจัดเก็บเป็นข้อมูล วิเคราะห์ และตอบกลับอย่างทันท่วงที ทั้งในช่องทาง Digital และผ่านพนักงาน เพื่อปรับปรุงการบริการและสร้างความพึงพอใจสูงสุด

นอกจากนี้ มาสด้ากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง รวมถึงคลังข้อมูลที่สามารถให้ข้อมูลลูกค้าอย่างครบถ้วน อาทิ การสร้างระบบ Data Warehouse และการบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าแบบ SCV (Single Customer View) 360 องศา รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ Social Listening เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ นำมาออกแบบ พัฒนา และปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่นำเสนอนั้นตรงกับความต้องการและความรู้สึกของลูกค้าอย่างแท้จริง

กลยุทธ์ที่ 3 : การสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ด้านออนไลน์ : มีการพัฒนาเว็บไซต์องค์กรใหม่ โดยเปลี่ยนให้เป็น Mazda NEXTperience Hub ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยี รวมถึงข่าวสารและการให้บริการต่างๆ ไม่ว่าลูกค้าต้องการลงทะเบียนจองคิวรถเพื่อทดลองขับ หรือนัดหมายเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ซึ่งจะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์เป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และไร้รอยต่อ

นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์ม “Mazda SkyJourney” ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานที่ผู้จำหน่ายมาสด้าทุกแห่งใช้ในการดำเนินงาน ระบบนี้ถูกการออกแบบมาเพื่อให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างแม่นยำและมีมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและสะดวกสบายในทุกขั้นตอน

ด้านออฟไลน์ : มีการนำ “Mazda BASICS” แนวทางใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจของผู้จำหน่าย โดยมีพื้นฐานมาจากปรัชญาและคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งเกิดจากแนวทางที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และสปิริตของ Omotenashi หรือปรัชญาด้านการบริการแบบญี่ปุ่น คุณค่าเหล่านี้จะถ่ายทอดผ่านการพัฒนาบุคลากร และการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของมาสด้าในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาธุรกิจในอนาคต มาสด้ามีแนวทางในการดำเนินงานด้านอื่นๆ ดังต่อไปนี้

ด้านการปรับโครงสร้างและพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย

ปัจจุบัน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาสด้ามีผู้จำหน่ายทั้งหมด 19 โชว์รูม สามารถรองรับลูกค้าที่มาเข้ารับการบริการได้ถึง 250,000 รายต่อปี หรือมากกว่า 20,000 คันต่อปี ซึ่งเพียงพอกับลูกค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในส่วนต่างจังหวัด มาสด้ากำลังเพิ่มศักยภาพของผู้จำหน่ายที่มีอยู่ทั้งหมด 65 แห่ง ให้พร้อมรองรับต่อความต้องการของลูกค้าที่จะเข้ามารับบริการ ด้วยกลยุทธ์ PMA ใหม่ ที่กำหนดขอบเขตให้ผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูงมีพื้นที่ในการดูแลลูกค้าเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน สามารถรองรับปริมาณงานซ่อมได้สูงสุด 450,000 คันต่อปี หรือมากกว่า 37,000 คันต่อเดือน สำหรับภาพรวมทั่วประเทศ ปัจจุบันเรามีลูกค้า 250,000 คัน ที่อยู่ในระบบของเรา ซึ่งเครือข่ายผู้จำหน่ายของเราทั้งหมด 84 โชว์รูม สามารถส่งมอบการบริการที่ดีที่สุดได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ เรายังนำ Mazda BASICS มาใช้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้จำหน่ายสามารถส่งมอบงานด้านการขายและการบริการที่มีมาตรฐานสูงสุดได้

กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์

มาสด้าในประเทศไทยมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานถึง 70 ปี เรามีพันธกิจสำคัญคือการยกระดับประสบการณ์และการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าทุกคน เพราะเราเชื่อว่า “ความสุขในการขับขี่รถยนต์” นำมาซึ่ง “ความสุขในการใช้ชีวิต” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า เพราะความสุขไม่ได้หมายถึงแค่เพียงการมีรอยยิ้ม แต่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากภายใน คือความหมายและการเติมเต็มการใช้ชีวิต สะท้อนการสร้างคุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึก มีต้นกำเนิดจากความเข้าใจพื้นฐานของมนุษย์ และได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “Omotenashi” หรือปรัชญาแนวคิดการบริการแบบญี่ปุ่น

หลังจากนี้ มาสด้าจะผลักดันธุรกิจด้วยการนำเสนอปรัชญาใหม่ของแบรนด์ นั่นคือ “Joy Drives Lives” หรือ ความสุขที่ขับเคลื่อนชีวิต เพื่อนำมาใช้ในการปรับเปลี่ยนประสบการณ์ลูกค้า และสร้าง Customer Journey รูปแบบใหม่ และพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกๆ ขั้นตอน รวมถึงการเริ่มต้นปรับรูปแบบธุรกิจในประเทศไทย (Business Transformation) โดยมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในทุกสิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาสด้าจะนำมาซึ่งคุณค่าและความสุขของการเป็นเจ้าของรถมาสด้า

กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในไทย

มาสด้ากำลังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ Multi-solution โดยจะทำการเปิดตัวรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบ ถึง 5 รุ่น ระหว่างปี พ.ศ. 2568 – 2570 เพื่อสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV 2 รุ่น รถ PHEV 1 รุ่น และรถ HEV 2 รุ่น โดยรุ่นแรกที่ลูกค้าได้สัมผัสในเร็วๆ นี้ คือ รถยนต์ไฟฟ้า BEV รุ่น Mazda 6e

กลยุทธ์ด้านการผลิต

มาสด้ายังคงเดินหน้าผลักดันการผลิตที่โรงงานในประเทศไทย ทั้งที่โรงงาน AAT และ MPMT เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากโรงงานทั้งสองแห่ง และสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางในการผลิตและจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคอมแพ็คเอสยูวี ทั้งการจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก โดยโรงงานผลิตทั้งสองแห่งมีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าระดับโลก นี่คือรากฐานที่มั่นคงที่จะช่วยเสริมสร้างให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการผลิตรถ xEVs ในอนาคต

ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับมาสด้าทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ที่ทางมาสด้าออกมาประกาศเดินหน้าเต็มขุมกำลัง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งสำคัญสุดของมาสด้าในการผลิตและส่งออก เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งพนักงาน ผู้จำหน่าย โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทย เพราะลูกค้าคือหัวใจสำคัญที่สุดของการดำเนินธุรกิจของมาสด้า ดังนั้น เราจึงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา ซึ่งเราจะดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและมั่นคงกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและการใช้ชีวิต เพื่อให้แบรนด์มาสด้าเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงไปพร้อมๆ กับการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ” นายธีร์ กล่าว

“สื่อสากล” รับมอบโล่สนับสนุน “ร.ย.ส.ท.” ปี 2024

“สื่อสากล” รับมอบโล่สนับสนุน “ร.ย.ส.ท.” ปี 2024

นายพฤฒิรัตน์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ นายกสมาคม และคณะกรรมการบริหาร ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬา มอบโล่ผู้สนับสนุนการแข่งขัน RAAT 2024 แก่ ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด เพื่อขอบคุณที่สนับสนุนการแข่งขันกีฬายานยนต์ ในงาน RAAT NIGHT OF CHAMPIONS 2024 ณ ESC PARK HOTEL เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568

วิริยะประกันภัย ร่วมสนับสนุนเดิน – วิ่งการกุศล เพื่อโรงพยาบาล

วิริยะประกันภัย ร่วมสนับสนุนเดิน – วิ่งการกุศล “ก้าวด้วยธรรม ครั้งที่ 8 เพื่อ 19 โรงพยาบาล”

พระครูปริตรโกศล (พีรเดช ฐิตเตโช) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รับถวายปัจจัยสมทบทุน จำนวน 50,000 บาท จาก บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมี นายภาคภูมิ วิริยะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้แทนถวาย ภายใต้กิจกรรมเดิน – วิ่งการกุศล “ก้าวด้วยธรรม ครั้งที่ 8 เพื่อ 19 โรงพยาบาล” ซึ่งจัดขึ้นโดย สำนักงานมูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อสมทบทุนการจัดสร้างอาคารผู้ป่วยใน โรงพยาบาลอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ และสนับสนุนทุนฉุกเฉิน สำหรับโรงพยาบาล 19 แห่ง เพื่อนำไปอุปถัมภ์ดูแลผู้ป่วยกรณีเร่งด่วน และผู้ป่วยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในพื้นที่ห่างไกล โดยพิธีมอบจัดขึ้น ณ วัดบวรนิเวศวิหาร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนกิจกรรมเดิน – วิ่งการกุศล “ก้าวด้วยธรรม” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมสานต่อพระปนิธานแห่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ที่ทรงบำเพ็ญสาธารณสุขประโยชน์แก่ประชาชนผู้เผชิญโรคภัยไข้เจ็บมาอย่างยาวนาน โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนโรงพยาบาลที่ขาดแคลนและช่วยเหลือผู้ป่วยด้อยโอกาส ให้ได้รับบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว ไม่เพียงแต่สนับสนุนแนวคิดแห่งการแบ่งปันตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพกายและใจที่ดีให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมอีกด้วย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save