- Advertisement -
29.9 C
Bangkok
Home Blog Page 87

“ก้อง-สมเกียรติ” บินแข่งโมโตทู ลั่นพร้อมคว้าโพเดียม

“ก้อง-สมเกียรติ” บินแข่งโมโตทู ลั่นพร้อมสร้างผลงานเต็มที่ ตั้งเป้าคว้าโพเดียม เก็บคะแนนท็อปไฟว์

“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดขวัญใจชาวไทย หมายเลข 35 นักบิดผู้สร้างประวัติศาสตร์หนึ่งเดียวของไทยที่คว้าชัยชนะใน เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ในรุ่น โมโตทู จากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” สังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย บินมุ่งหน้าสู่อังกฤษ หลังพักเบรกการแข่งขัน กลับมาเติมพลังกับครอบครัว พร้อมฟิตซ้อมอย่างหนัก เจ้าตัวลั่นพร้อมเต็มที่สำหรับการสร้างผลงานในอีก 12 สนามต่อจากนี้ หลังได้ฝากผลงานยอดเยี่ยมด้วยการรั้งอันดับ 7 ของโลกในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก รุ่น โมโตทู  โดยเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา “ก้อง สมเกียรติ” ได้บินมุ่งหน้าเพื่อเตรียมทำการแข่งขันในรายการ “บริติช กรังด์ปรีซ์” ซึ่งเป็นสนามที่ 9 ของการแข่งขัน พร้อมตั้งเป้าไล่ล่าโพเดียมจากสนามที่เหลือของฤดูกาล เพื่อติดท็อปไฟว์ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ โดยฝากแฟนๆ ช่วยส่งแรงเชียร์ในทุกสนาม โดยเฉพาะสนามโฮมเรซ รายการ “ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์” ซึ่งแฟนๆ สามารถตามเชียร์ตน และซึมซับบรรยากาศอย่างใกล้ชิดที่สุดผ่าน “จันทรา สแตนด์” พร้อมรับของที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้

“ก้อง-สมเกียรติ” เผยว่า “การกลับบ้านครั้งนี้ ผมได้ทำทั้ง 2 สิ่ง คือการพักผ่อนกับครอบครัวเพื่อเติมพลังในช่วงพักเบรกการแข่งขัน และการเตรียมพร้อมนอกสนามซึ่งสำคัญอย่างมาก สิ่งที่นักแข่งต้องทำอย่างต่อเนื่องคือ การฟิตซ้อม รักษาสภาพร่างกาย ผมได้ฝึกซ้อมอย่างหนักและทบทวนผลงานที่ผ่านมาเพื่อปรับปรุงข้อบกพร่อง เตรียมทำการบ้านสนามต่อๆ ไป ผมพร้อมสร้างผลงานเต็มที่กับสนามที่เหลือ จะทำให้เต็มที่ที่สุดทุกสนามเช่นเคย เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายในฤดูกาลนี้ด้วยการจบในท็อปไฟว์บนตารางคะแนนสะสมชิงแชมป์โลกให้สำเร็จ ผมหวังที่จะคว้าโพเดียมมาฝากแฟนๆ ที่ติดตามส่งแรงใจเชียร์ ขอขอบคุณกำลังใจจากแฟนๆ ทุกคนที่สนับสนุนผมมาโดยตลอด อย่างไรก็ฝากเชียร์ผมในทุกๆ สนามที่เหลือ โดยเฉพาะสนามที่ผมตั้งความหวังไว้มากที่สุดที่จะกลับมาแก้มือ คือ สนาม โฮมเรซ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 27-29 ตุลาคม นี้ ซึ่งจะมีบัตร “จันทรา สแตนด์” ที่จะได้รับของที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้ มาใส่เชียร์ผมอย่างใกล้ชิดที่สุด ในบรรยากาศที่พิเศษที่ทุกคนมารวมตัวกันเชียร์ให้ก้อง ถือเป็นความภูมิใจของผมอย่างมาก ผมอยากชวนให้แฟนๆ รีบจับจองก่อนที่บัตรจะหมด แล้วมาพบกันนะครับ”

สำหรับ “ก้อง-สมเกียรติ” ซึ่งขณะนี้รั้งอยู่ในอันดับ 7 บนตารางแชมเปี้ยนชิพ มีทั้งสิ้น 59 คะแนน มีคิวลงทำการแข่งขันในศึกโมโตทู สนามที่ 9 ระหว่างวันที่ 4-6 สิงหาคมนี้ ที่ ซิลเวอร์สโตน เซอร์กิต สหราชอาณาจักร ในรายการ บริติช กรังด์ปรีซ์

ทั้งนี้ แฟนความเร็วชาวไทยสามารถติดตามข่าวสารของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา พร้อมส่งกำลังใจเชียร์ยอดนักบิดไทยในศึก โมโตจีพี รุ่นโมโตทู ตลอดทั้งฤดูกาล 2023 และติดตามความเคลื่อนไหวของนักบิดฮอนด้าได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH

#WhatStopsYou #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #SC35 #Moto2 #HondaRaceToTheDream #HondaRacingThailand #IdemitsuHondaTeamAsia #RaceToTheOne

มุกข์ลดา-นครินทร์ ผงาดคว้าชัย 3 เรซติด

OR BRIC Superbike 2023 สนาม 3 ปิดฉากสุดเข้มข้น! “นครินทร์-มุกข์ลดา” ควงแขนคว้าชัย 3 เรซติด ด้าน “สิรภพ” ผงาด ซูเปอร์สต็อก

ศึกซูเปอร์ไบค์เบอร์หนึ่งของไทย “โออาร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิพ” ดวลความเร็วสนาม 3 สุดมัน ผ่านโค้งสุดท้ายการลุ้นแชมป์ประเทศไทยอย่างดุเดือด “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ อดีตนักบิดโมโตทรีจาก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ นำโด่งคว้าชัยรุ่นใหญ่ 3 สนามติด ขณะ สิรภพ พูลศรี จาก ไบค์สตอรี่ บริดจสโตน บีบีเค ยูนิแบ็ต เรซซิ่ง ทีม เข้าวิน ซูเปอร์สต็อก ด้านนักบิดสาวแกร่ง “มุกข์” มุกข์ลดา สารพืช จาก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ฟอร์มเหนือซิวชัย ซูเปอร์สปอร์ต 3 เรซติดต่อกัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์ประเทศไทย รายการ โออาร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิพ 2023 สนาม 3 (OR BRIC Superbike Championship) ดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม 2566 โดยในหลายรุ่นต้องเจอสภาพแทร็กกึ่งแห้งกึ่งเปียก  ทำให้นักแข่ง-ทีมแข่งต้องวางแผนการขับขี่อย่างหนัก สถานการณ์ลุ้นแชมป์ขับเคี่ยวกันอย่างมันหยด ท่ามกลางการติดตามของแฟนความเร็วทั่วโลก ซึ่งในปีนี้มีนักบิดต่างชาติร่วมดวลคันเร่งจากหลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย, แคนาดา, สวีเดน, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ

ไฮไลต์ของสุดสัปดาห์นี้อยู่ที่การดวลความเร็วในรุ่นใหญ่อย่าง ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี โดยเกมการแข่งขันในรุ่นนี้ไม่มีอะไรพลิกผันหลังจากแทร็กแห้ง เมื่อ “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ จ่าฝูงจาก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ยังคงสร้างผลงานสุดร้อนแรงบิดนำม้วนเดียวจบด้วยเวลา 19 นาที 55.034 วินาที คว้าชัยไปครองแบบหายห่วง ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง “บอล” จักรกฤษณ์ แสวงสวาท จาก อีสต์ เอ็นเจที เรซซิ่ง ทีม อันดับ 2 ถึง 15.869 วินาที อันดับ 3 เป็นของ “ซีเค” ชัยวิชิต นิสกุล จาก ทีเอ็นพี มอเตอร์สปอร์ต ตามหลังผู้ชนะ 24.539 วินาที ขณะที่อันดับ 4 เป็นของ วริทธิ์ ทองนพคุณ นักบิดดาวรุ่งจาก อีสต์ เอ็นเจที เรซซิ่ง ทีม ตามหลังผู้ชนะ 1 นาที 23.998 วินาที ตามด้วยทีมเมทอย่าง ธนิต แก้รัมย์ ในอันดับ 5 ตามหลัง 1 นาที 39.104 วินาที

เกมในรุ่น ซูเปอร์สต็อก 1,000 ซีซี ถือเป็นอีกเรซที่มีความพลิกผันอย่างมาก เมื่อ โคลิน บัตเลอร์ นักบิดแคนาดา จาก บัตเลอร์ เรซซิ่ง ทีม เจ้าของโพลนั้นต้องพลาดการลงแข่งขันอย่างน่าเสียดาย โดยชัยชนะตกเป็นของ สิรภพ พูลศรี จาก ไบค์สตอรี่ บริดจสโตน บีบีเค ยูนิแบ็ต เรซซิ่ง ทีม ที่บิดเข้าป้ายคันแรกด้วยเวลา 20 นาที 28.586 วินาที ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง นทีธาร ทองโคตร จาก ทีเอ็นพี มอเตอร์สปอร์ต 5.172 วินาที ส่วนอันดับ 3 เป็นของ พุทธินัฐ สินทรัพย์ ตามหลัง 5.571 วินาที

ขณะที่การแข่งขันในรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี นับเป็นอีกหนึ่งเรซที่นักบิดต้องเจอกับความยากลำบาก เนื่องจากมีฝนตกลงมาระหว่างการแข่งขันแต่บางส่วนของสนามแทร็กกลับแห้ง ผลปรากฏว่า “มุกข์” มุกข์ลดา สารพืช ยอดนักบิดสาวจาก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ บิดนำม้วนเดียวจบคว้าชัยชนะไปครองด้วยเวลา 18 นาที 24.977 วินาที เหนืออันดับ 2 อย่าง “ฟอง” คณาทัต ใจมั่น จาก ยามาฮ่า ไฮสปีด เรซซิ่ง ทีม ตามหลัง 1.492 วินาที ด้านอันดับ 3 ตกเป็นของ “นิว” ปัณณสรณ์ แก้วสนธิ จาก ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ตามหลัง 2.534 วินาที

ส่วนในรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 400 ซีซี ชัยชนะเป็นของ ภาสกร แสนหลวง จาก ยามาฮ่า ดั๊กแฮมส์ ดำ เรซซิ่ง ทีม เจ้าของโพลไล่บดกันอย่างสุดมันกับ วัชรินทร์ ทับทิมอ่อน จาก อีสต์ เอ็นเจที เรซซิ่ง ทีม จนต้องมาตัดสินกันถึงโค้งสุดท้าย ผลปรากฏว่า ภาสกรณ์ คว้าชัยไปครองด้วยเวลา 12 นาที 44.421 วินาที เฉือนอันดับ 2 อย่าง วัชรินทร์ เพียง 0.848 วินาทีเท่านั้น ขณะที่อันดับ 3 เป็นของ ภณณัฎฐ์ นิลภา จาก เน็กซ์เตอร์ โมริเท็ค เอวีอาร์พี เรซซิ่ง ตามหลังผู้ชนะ 18.653 วินาที

สำหรับผลการแข่งขันในคลาสจูเนียร์อย่าง สปอร์ต โปรดักชั่น 400 ซีซี ผลปรากฏว่า อธิศ กังแฮ จาก ศักดิ์ศิริ เรซซิ่ง ทีม บุรีรัมย์ ออกสตาร์ตจากโพล บิดนำม้วนเดียวจบคว้าชัยชนะไปครองด้วยเวลา 13 นาที 2.448 วินาที ทิ้งห่าง แอ็กเซล เพเดอร์สัน นักบิดออสเตรเลียน จาก วาโวลีน เอสเอ็มเอส เรซซิ่ง ทีม อันดับ 2 ถึง 9.400 วินาที ส่วนอันดับ 3 เป็นของ วรพรต ทองดอนเหมือน จาก ยามาฮ่า ดั๊กแฮมส์ ดำ เรซซิ่ง ทีม

ทั้งนี้ ศึก โออาร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิพ 2023 สนามถัดไปจะมีความพิเศษอย่างมาก เพราะเป็นการดวลความเร็วถึง 2 เรซ ซึ่งเป็นสนามสุดท้ายของฤดูกาลระหว่างวันที่ 21-24 กันยายนนี้ ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

“ลามิน่า” แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ในใจผู้บริโภคต่อเนื่อง 8 ปี

นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร “ลามิน่า” รับรางวัล No.1 Brand Thailand 2023 : รางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ณ โรงแรมสยามเคมปปินสกี้ กรุงเทพฯ

“ลามิน่าฟิล์ม” ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคารยอดนิยมอันดับ 1 ได้รับรางวัล No.1 Brand Thailand 2023 สะท้อนความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากผู้บริโภค ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 จัดโดยนิตยสารมาร์เก็ตเธียร์ จากผลสำรวจโดยบริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด ด้วยคะแนนสูงสุดจากผู้บริโภคทั่วประเทศ

บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร “ลามิน่า” จากสหรัฐอเมริกา แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดย นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับรางวัลดังกล่าวด้วยคะแนนโหวตสูงสุดอันดับ 1 ในหมวดฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ ที่ได้รับความนิยมและความเชื่อมั่นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติกันร้อนกันยูวียอดเยี่ยม การบริการเหนือชั้น และการให้ข้อมูลที่แท้จริงมาโดยตลอด

การได้รับรางวัล No.1 Brand Thailand ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 สะท้อนให้เห็นว่า ฟิล์มกรองแสง “ลามิน่า” ครองใจผู้บริโภคในฐานะฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูงเพียงหนึ่งเดียวที่ประสบความสำเร็จทุกด้าน ด้วยองค์กรและแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง นอกจากจะยังรักษาตำแหน่งฟิล์มกรองแสงรถยนต์คุณภาพระดับพรีเมียมที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของเมืองไทยมาอย่างยาวนานแล้ว ยังเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคนึกถึงเป็นแบรนด์แรก

พิสูจน์ชัดถึงความสำเร็จที่ล้วนเกิดจากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่ยอดเยี่ยม ไม่เคยหยุดพัฒนามาตลอด 28 ปี ลามิน่าสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตลาดฟิล์มกรองแสงเมืองไทยมากมาย ตั้งแต่การแนะนำฟิล์มเมทัลลิก สปัตเตอริ่ง มาถึงฟิล์มเซรามิกแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ตัวจริง และวันนี้ลามิน่าฟิล์ม ผู้นำอันดับ 1 ของตลาดฟิล์มกรองแสงเมืองไทย เปิดตลาดฟิล์มกรองแสงดิจิทัลเพื่อรถยนต์ยุคใหม่ “ฟิล์มลามิน่า ดิจิทัลบูสต์” ตอบรับเทรนด์ยานยนต์อีวี (EV)

รวมถึงสมาร์ทคาร์ยุคใหม่เป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลบูสต์ (DigitalBoost) รองรับระบบสมองกลอัจฉริยะในรถยนต์ให้ทำงานได้อย่าง เร็ว แรง ลื่น เสถียร เต็มประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์การขับขี่ และกันร้อนสูง อย่างที่ไม่เคยมีฟิล์มใดทำได้

นอกจากนี้บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูงมืออาชีพระดับเอเชียแปซิฟิค ยังนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์อีกมากมาย อาทิ อุปกรณ์บรรทุกสัมภาระธูเล่ (Thule) จากประเทศสวีเดน ผลิตภัณฑ์ฟิล์มนิรภัยปกป้องสีรถลูมาร์ (LLumar) จากสหรัฐอเมริกา และผลิตภัณฑ์ดูแลรักษายานยนต์ครบวงจรแอลลักซ์ (LLux) คุณภาพเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกา แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

เรนาสโซ มอเตอร์ เผยโฉม Lamborghini Revuelto ซูเปอร์สปอร์ต HEV

เรนาสโซ มอเตอร์ เผยโฉม Lamborghini Revuelto รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรกของแบรนด์เฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีแห่งค่ายกระทิงดุ เคาะราคาค่าตัวที่ 47,490,000 บาท ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย จัดงานเปิดตัว Lamborghini Revuelto รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตปลั๊กอินไฮบริดเครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) รุ่นแรกของแบรนด์อย่างเป็นทางการ พร้อมร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 60 ปีของแบรนด์อย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติและบุคคลสำคัญแถวหน้าของเมืองไทยร่วมงานมากกว่า 600 ท่าน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

งานครั้งนี้ยังจัดขึ้นเพื่อยกย่องมรดกด้านนวัตกรรมของเครื่องยนต์ระดับตำนานของลัมโบร์กินี โดยภายในงานได้พาแขกผู้มีเกียรติทุกท่านย้อนรอยไปชมความสำเร็จของเหล่าตำนานเครื่องยนต์ V12 ไม่ว่าจะเป็น Diablo, Murcielago 40th Anniversary, Aventador SV LP750-4 Coupe, Aventador LP700-4 Coupe, Aventador SVJ 63 Roadster และ Aventador Ultimae Coupe ที่แบรนด์รวบรวมมาจัดแสดง ร่วมด้วยโชว์เคสชิ้นพิเศษในรูปแบบ Generative Art ที่ถ่ายทอดอัตลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างมีสไตล์และทรงพลัง

Lamborghini Revuelto สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะ ภาพลักษณ์แนวสปอร์ต และประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจ ด้วยสถาปัตยกรรมโครงสร้างรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน นวัตกรรมการออกแบบรถยนต์ ระบบอากาศพลศาสตร์ประสิทธิภาพสูง และคอนเซ็ปต์ใหม่ของการใช้โครงคาร์บอนไฟเบอร์ มอบพละกำลังมากถึง 1,015 CV ที่ผสานพลังระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยทำงานร่วมกับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ดีไซน์ใหม่ ซึ่งถูกเปิดตัวในรถยนต์ลัมโบร์กินี 12 สูบรุ่นนี้เป็นครั้งแรก

ระบบส่งกำลังประสานพลังของขุมพลังแรงสูง ทั้งจากเครื่องยนต์สันดาปรุ่นใหม่ที่มีค่ากำลังจำเพาะถึง 128 CV ต่อลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Axial Flux Motor ด้านหน้า 2 ตัว ซึ่งมอบอัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าที่ดีเยี่ยม ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Radial Flux Electric Motor อีก 1 ตัว ซึ่งติดตั้งด้านบนชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีดดีไซน์ใหม่ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในรถยนต์ลัมโบร์กินี 12 สูบรุ่นนี้ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 3 ตัวใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนกำลังสูง (4,500 วัตต์ต่อกิโลกรัม) ซึ่งสามารถรองรับโหมดการขับขี่แบบไฟฟ้า 100%

วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งผลิตขึ้นด้วยศาสตร์และศิลป์ขั้นสูงในโรงงานที่ Sant’Agata Bolognese ถือเป็นองค์ประกอบในโครงสร้างหลักของรถยนต์รุ่นใหม่นี้ ซึ่งไม่เพียงใช้กับส่วนโครง Monofuselage และเฟรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบหลายส่วนของตัวถัง ด้วยคอนเซ็ปต์การใช้คาร์บอนไฟเบอร์และวัสดุน้ำหนักเบาที่ครอบคลุมตัวรถเกือบทั้งหมด เมื่อบวกกับขุมพลังเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง จึงมอบอัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าที่ 1.75 kg/CV ซึ่งถือว่าดีเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี

Revuelto ผสานขุมพลังเพื่อมอบสมรรถนะสูงสุดในเซกเมนต์ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.5 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 350 กม./ชม. โดยประสิทธิภาพพลวัตขั้นสูงนี้เกิดจากการใช้ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้าและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งสามารถขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าได้ 100% เพื่อสร้างความมั่นใจว่า Revuelto คือรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพในการขับขี่ทุกสถานการณ์ ทั้งการโลดแล่นในสนามแข่งและการเดินทางในชีวิตประจำวันบนท้องถนน

มร.ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอ Revuelto ให้แก่แฟนๆ ในประเทศไทย เพราะ Revuelto ได้นำเราเข้าสู่ยุคใหม่แห่งวิวัฒนาการรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบไฮบริด และยังเป็นก้าวสำคัญในการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของลัมโบร์กินี ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ารถยนต์รุ่นนี้จะสร้างนิยามใหม่ให้แบรนด์ของเราได้ก้าวไปอีกขั้น ตลอดจนร่วมปฏิวัติโลกยานยนต์ด้วยเครื่องยนต์รุ่น V12 อันเป็นเอกลักษณ์ของเรา”

นายอภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด ในฐานะตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า “ในโอกาสพิเศษครบรอบ 60 ปี แบรนด์ลัมโบร์กินีในปีนี้ ลัมโบร์กินีกำลังจะพาเราข้ามผ่านพรมแดนของประวัติศาสตร์และอนาคต โดยการเปิดตัว Lamborghini Revuelto ซูเปอร์สปอร์ตปลั๊กอินไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรกของแบรนด์ ซึ่งถือเป็นจุดผ่านสำคัญทางเทคโนโลยีของลัมโบร์กินี เพื่อข้ามพ้นขีดจำกัดของสมรรถนะ แต่ยังคงไว้ด้วยเอกลักษณ์ดีไซน์อันเป็นตัวตนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของลัมโบร์กินี ซึ่งเรามั่นใจว่า ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดนี้จะตอบโจทย์ทุกประสบการณ์การขับขี่และได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆลัมโบร์กินีทั่วประเทศอย่างแน่นอน”

นวัตกรรมการออกแบบรถยนต์

Revuelto นำอนาคตแห่งการออกแบบรถยนต์ของลัมโบร์กินีสู่ท้องถนนในวันนี้ โดยยังคงยึดมั่นในดีไซน์ระดับเอ็กซ์คลูซีฟของลัมโบร์กินีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง หากสื่อสารด้วยสไตล์การออกแบบแนวใหม่ในทุกรายละเอียด รวมถึงการเชื่อมโยงเครื่องยนต์ V12 ระดับตำนานอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ ตลอดจนการออกแบบสัดส่วนใหม่ เพื่อเปิดประตูสู่อนาคตใหม่ของลัมโบร์กินี

ในขณะที่ Revuelto นำเสนอความล้ำหน้าแบบก้าวกระโดดด้วยดีไซน์ใหม่หมดจดทั้งภายนอกและภายใน หากแรงบันดาลใจจากเครื่องยนต์ V12 ในตำนานยังคงอยู่อย่างชัดเจน ด้วยต้นแบบจากรุ่น Countach ในปี 1971 และสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบซึ่งได้รับการพัฒนามาเพื่อติดตั้งตามแนวยาว ทำให้รถยนต์รุ่นนี้มอบสไตล์ที่งดงามอย่างแท้จริง ชวนให้นึกถึงความล้ำหน้าของยุคอวกาศ ทั้งยังเป็นการสร้างนิยามใหม่ตามแบบฉบับรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่น V12 ของลัมโบร์กินี และยังนำเสนอหนึ่งในองค์ประกอบอันโดดเด่นของรถยนต์เครื่อง V12 นั่นคือประตูปีกนกที่เปิดในแนวตั้ง (Scissor Doors) ซึ่งได้สร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัวให้แก่ Revuelto ได้อย่างน่าประทับใจ

รถยนต์รุ่นนี้ยังใช้สัดส่วนชั้นเลิศที่ยากจะมีใครเลียนแบบได้ของรุ่น Diablo และใช้ Floating blade บนบังโคลนท้าย โชว์ความบึกบึนสมความเป็นชายและออกแบบให้ส่วนหน้ารถลู่ลงเหมือนในรุ่น Murciélago ได้อย่างลงตัว

การปรากฏตัวของ Revuelto เสมือนลัมโบร์กินีได้เปิดตัวยานอวกาศรุ่นใหม่ ด้วยการนำเสนอการออกแบบใหม่เพื่อรับมือความท้าทายในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนเป็นการกำหนดรูปลักษณ์และสัดส่วนของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อีกด้วย โดยดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอุตสาหกรรมการบินซึ่งมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวจากโครงสองเส้นสายหลักที่พาดผ่านจากด้านหน้า โอบล้อมห้องโดยสารและเครื่องยนต์ และลู่ลงสู่ชุดท่อไอเสียทรงหกเหลี่ยมส่วนท้ายอย่างสง่างาม

องค์ประกอบจากอุตสาหกรรมการบินถูกผสานอย่างกลมกลืนเข้ากับงานออกแบบส่วนหน้าที่ดูแข็งแรง ด้วยรูปทรงแบบ Shark-nose ของฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่ซึ่งใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ บ่งบอกถึงสัมผัสแห่งพลังและความเร็วอย่างชัดเจน ทั้งยังดูสอดรับกับชุดไฟหน้ารูปตัววาย “Y” ที่ใช้ส่องสว่างในเวลากลางวัน ถือเป็นฟีเจอร์งานออกแบบแนวร่วมสมัยที่เปี่ยมด้วยสไตล์สุดล้ำของลัมโบร์กินี ล้อมด้วยแผงระบบอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamic blades) ที่เชื่อมต่อกับสปลิตเตอร์ไปจนถึงฝาครอบ ส่วนฟินข้างซึ่งติดตั้งอยู่ด้านหลังซุ้มล้อหน้า ช่วยนำอากาศไหลไปตามด้านข้างและส่วนโค้งเว้าของประตูสู่ท่อดักอากาศ ซึ่งมีลักษณะเป็นสันคมที่สะท้อนรูปทรงหัวลูกศรด้านหน้าได้อย่างงดงาม

หลังคารถได้รับการออกแบบให้มีความโค้งเหนือศีรษะมากขึ้น ซึ่งมอบทั้งสุนทรียศาสตร์และฟังก์ชั่นด้านอากาศพลศาสตร์ที่ดีเยี่ยม รูปทรงที่ลู่ลมนี้ช่วยนำอากาศให้ไหลสู่สปอยเลอร์หลัง พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความสูงของห้องโดยสารทั้งในส่วนผู้ขับและผู้โดยสารให้สูงขึ้น

การออกแบบส่วนท้ายรถให้ความสำคัญกับการติดตั้งระบบไฮบริดเครื่องยนต์ V12 ซึ่งเครื่องยนต์ที่ติดตั้งตามแนวยาวแบบเปิดโล่งซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของ Revuelto นี้จะเชื่อมต่อไปยังชุดท่อไอเสียคู่รูปหกเหลี่ยมให้เห็นอย่างชัดเจน และเสริมความโดดเด่นด้วยปีกทรงเรขาคณิต โอบล้อมด้วยชุดไฟหน้ารูปตัววาย “Y” อันเป็นดีไซน์ไฟระดับซิกเนเจอร์ของลัมโบร์กินี

ดีไซน์รูปตัววาย “Y” เป็นมาตรฐานการออกแบบภายในที่กำหนดให้ผู้ขับมีความสำคัญมากที่สุดตามปรัชญา ‘Feel like a pilot’ ของแบรนด์ การตกแต่งภายในยังสะท้อนถึงดีไซน์ใหม่แห่งโลกอนาคตของตัวรถภายนอก โดยทุกองค์ประกอบของห้องโดยสารยังคงแบบฉบับของลัมโบร์กินีอย่างชัดเจน โดยผสานดุลยภาพแห่งประสบการณ์ยุคดิจิทัลเข้ากับสัมผัสทางกายภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเพื่อการขับขี่ในชีวิตประจำวันและการพุ่งทะยานในสนามแข่ง จุดรวมสายตาในห้องโดยสารนำเสนอการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์อย่างโดดเด่น ผ่านการออกแบบสไตล์ “ยานอวกาศ” ที่โอบล้อมช่องแอร์กลางและจอแสดงผลทัชสกรีนแนวตั้งขนาด 8.4 นิ้ว ซึ่งถือเป็นหัวใจแห่งเทคโนโลยีของรถยนต์รุ่นนี้

การเปิดตัว Revuelto ทำให้ลัมโบร์กินีนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ร่วมกันระหว่างผู้ขับและผู้โดยสารได้อย่างเต็มอารมณ์ โดยรู้สึกเสมือนเป็นนักบินและนักบินร่วม โดยสามารถมองเห็นข้อมูลการขับขี่เดียวกันบนจอแสดงผลดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้วบนฝั่งผู้ขับและจอขนาด 9.1 นิ้วที่ติดตั้งบนแผงหน้าปัดด้านผู้โดยสาร อีกทั้ง Revuelto ยังนำเสนอฟังก์ชั่น “การปัดหน้าจอ” สู่รถยนต์ลัมโบร์กินี ช่วยให้นักบินและนักบินร่วมสามารถเลื่อนแอปพลิเคชันและข้อมูลจากจอแสดงผลกลางไปยังจอด้านข้างได้เหมือนกับการปัดหน้าจอสมาร์ตโฟน จอดิจิทัลทั้ง 3 จอนี้ไม่เพียงมอบความโปร่งโล่งในห้องโดยสารอย่างมีสไตล์ด้วยการขจัดปุ่มกดที่ดูรกตาส่วนใหญ่ให้เหลือน้อยที่สุด แต่ยังมอบฟีเจอร์ใหม่อีกมากมายที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถมีสมาธิจดจ่อกับการขับได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับเมื่ออยู่ในรถแข่ง

การออกแบบพวงมาลัยได้แรงบันดาลใจมาจากโลกมอเตอร์สปอร์ตและประสบการณ์จากรุ่น Essenza SCV12 โดยติดตั้งโรเตอร์สี่ตัวบนก้านพวงมาลัยเพื่อใช้เลือกทั้งโหมดการขับขี่และระบบยกตัวรถและการปรับระดับสปอยเลอร์หลัง กล่าวได้ว่า การออกแบบห้องโดยสารและระบบควบคุมถูกจัดมาให้ใช้งานง่ายเพื่อมอบสัมผัสที่เป็นธรรมชาติในแบบฉบับของลัมโบร์กินี โดยปุ่มต่าง ๆ บนพวงมาลัยจะใช้เพื่อเปิดปิดสัญญาณเลี้ยวและควบคุมของฟังก์ชั่นต่างๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ขับสามารถจับพวงมาลัยได้อย่างมั่นคงตลอดเวลาในขณะขับขี่

Revuelto มอบภาพลักษณ์ของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสนามแข่ง ผสานคาแรกเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ขับขี่ได้ทุกวันพร้อมสมรรถนะอันโดดเด่นมากมาย และยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษในขั้นตอนการออกแบบเพื่อสร้างห้องโดยสารที่กว้างขวางและใช้งานง่าย รวมถึงติดตั้งอุปกรณ์อย่างครบครันให้พร้อมสำหรับการเข้าร่วมในสนามแข่งขันอันเร้าใจ การดีไซน์หลังคาใหม่ยังช่วยเพิ่มความสูงของห้องโดยสารได้มากกว่ารุ่น Aventador Ultimae ถึง 26 มม. ในขณะที่โครงสร้าง Monofuselage มอบพื้นที่วางขาได้กว้างกว่าเดิมอีก 84 มม. จึงช่วยเพิ่มพื้นที่ด้านหลังเบาะนั่งให้มากขึ้น ซึ่งสามารถเก็บสัมภาระขนาดใหญ่เท่ากับถุงกอล์ฟได้อย่างพอดี อีกทั้งยังเพิ่มพื้นที่ใต้ฝากระโปรงหน้าให้สามารถใส่กระเป๋าเดินทางได้มากถึงสองใบ นอกจากนี้ เพื่อยกระดับความสบายของห้องโดยสารให้มากยิ่งขึ้น ยังเพิ่มพื้นที่ใช้งานต่าง ๆ อาทิ ช่องเก็บสัมภาระใต้แผงหน้าปัดกลางและระหว่างเบาะที่นั่ง รวมถึงที่วางแก้วที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างแผงหน้าปัดฝั่งผู้โดยสาร

มอบภาพลักษณ์ในแบบฉบับที่เป็นคุณ

Revuelto คือโมเดลการผลิตรถยนต์ลัมโบร์กินีที่มอบทางเลือกในการปรับแต่งรูปลักษณ์ได้มากที่สุด โดยการเลือกสีรถของ Revuelto มีให้เลือกมากถึง 400 เฉดสีเลยทีเดียว ร่วมกับออปชันการปรับแต่งได้อีกมากมายเพื่อรังสรรค์รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตในฝันของลูกค้าแต่ละท่านได้อย่างตรงใจมากที่สุด ซึ่งจิตวิญญาณแห่งรถยนต์สปอร์ตที่ยั่งยืนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการใช้ระบบไฮบริดในทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสีที่นำมาใช้ทั้งหมดนั้นเป็นแบบสูตรน้ำ (Water-based) มากกว่าสูตรน้ำมันเคมี (Solvent-based)

“แนวคิดความยั่งยืน” ยังครอบคลุมถึงทุกส่วนของการตกแต่งห้องโดยสาร ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการหลีกเลี่ยงการสร้างขยะสู่สิ่งแวดล้อม และได้กลายเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกบริษัทในเครือลัมโบร์กินี แนวคิดนี้ยังรวมไปถึงการใช้วัสดุหุ้มเบาะ การทำเบาะหนังสไตล์ลัมโบร์กินี (Lamborghini Selleria) ซึ่งใช้เครื่องจักรรุ่นใหม่ล่าสุดเพื่อลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของงานฝีมือและกระบวนการเย็บที่ยังคงใช้แรงงานช่างฝีมือ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่ทรงคุณค่าของลัมโบร์กินี

งานออกแบบห้องโดยสารนำเสนอความโดดเด่นจากการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งส่วนแผงหน้าปัด ช่องแอร์รูปหกเหลี่ยม รวมถึงกรอบแผงหน้าปัดและช่องแอร์กลาง งานหุ้มเบาะผสานการใช้หนังเนื้อละเอียดเข้ากับวัสดุสิ่งทอน้ำหนักเบาพิเศษ Corsa-Tex ในผ้าไมโครไฟเบอร์ของ Dinamica® ซึ่งเป็นโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลด้วยกระบวนการผลิตแบบน้ำ ลูกค้ายังสามารถตกแต่งห้องโดยสารได้ตามต้องการ โดยเลือกผสมทั้งวัสดุหนังและ Corsa-Tex หรือเลือกวัสดุที่ต้องการเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีให้เลือกมากถึง 70 เฉดสี

สุดยอดแห่งระบบอากาศพลศาสตร์

การออกแบบฟังก์ชั่นและดีไซน์ตัวรถของ Lamborghini Revuelto มีเป้าหมายหนึ่งร่วมกันนั่นคือประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ขั้นสุดยอด ทำให้การวางเลย์เอาต์ของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นนี้มีหลักการออกแบบที่แตกต่างไปเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador เพราะส่งผลถึงการพัฒนาระบบอากาศพลศาสตร์อย่างชัดเจน การพัฒนานี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดหลัก 4 ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพ การทำงานเสริมกันขององค์ประกอบต่างๆ การผสานองค์ประกอบต่างๆ เป็นส่วนเดียวกัน และการออกแบบที่เป็นเลิศ

ประสิทธิภาพขั้นสูงสุดเกิดจากการผสานแรงกดระดับสูงเข้ากับแรงต้านซึ่งถูกปรับให้น้อยที่สุด หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การออกแบบนี้คือการใช้สปอยเลอร์หลังแบบแอ็กทีฟรุ่นใหม่ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุดในทุกสภาวะการขับขี่ และด้วยเหตุผลนี้ ลัมโบร์กินีจึงได้พัฒนาอุปกรณ์หัวฉีดรุ่นใหม่ขึ้นด้วยเพื่อการบริหารแรงกดที่ดีที่สุดในทุกๆ สถานการณ์ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามโหมดการขับขี่ทั้งสามรูปแบบ

ตำแหน่งของสปอยเลอร์จะเปลี่ยนไปตามโหมดการขับขี่และไดนามิกที่เลือก หรือผู้ขับสามารถปรับให้เป็นสไตล์ที่ต้องการได้เองโดยใช้โรเตอร์ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะและติดตั้งไว้ที่พวงมาลัย โดยตำแหน่งสปอยเลอร์ “ปิด (Closed)” จะเกิดแรงต้านต่ำที่สุดเช่นในการใช้ขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้า ตำแหน่งนี้ยังช่วยประหยัดน้ำมันมากที่สุดอีกด้วย เมื่อสปอยเลอร์อยู่ใน “ตำแหน่งแรงต้านต่ำ (Low Drag Position)” จะเกิดแรงต้านต่ำเมื่อขับด้วยความเร็วสูง ช่วยเพิ่มความเร็วสูงสุดพร้อมกับเพิ่มเสถียรภาพได้มากที่สุด สปอยเลอร์ใน “ตำแหน่งแรงกดสูง (High Downforce Position)” จะเพิ่มแรงกด โดยปรับระดับความคล่องตัวและการควบคุมตัวรถ Revuelto ให้เหมาะสมที่สุด

ด้านหน้าของรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นใหม่จาก Sant’Agata นี้มอบความโดดเด่นด้วยสปลิตเตอร์คาร์บอนไฟเบอร์ที่มีลักษณะขอบแผ่ออกรอบด้านตรงส่วนกลางและเอียงลาดลงทางด้านข้าง ซึ่งช่วยสร้างกระแสอากาศเพื่อเพิ่มแรงกดส่วนหน้าตัวรถและทำการเบี่ยงลมให้เลี่ยงส่วนล้อ การออกแบบรูปทรงกลางตัวรถช่วยให้อากาศไหลไปยังครีบ Vortex Generators สี่ตัวหลัง ซึ่งประกอบด้วยแผ่นทรงโค้งแคบที่ติดตั้งอยู่ใต้ตัวถังที่จำเป็นสำหรับการเพิ่มแรงของกระแสลมที่ปะทะตัวรถด้านล่าง โดยจะช่วยเพิ่มแรงกดและกำหนดทิศทางของกระแสลมให้ไหลไปยังดิฟฟิวเซอร์ประสิทธิภาพสูงอย่างที่ไม่เคยมีในรถยนต์ V12 รุ่นใดมาก่อน ดิฟฟิวเซอร์จะทำหน้าที่ด้านอากาศพลศาสตร์ด้วยการแยกกระแสลมที่ไหลมาจากใต้ตัวถังผ่านระบบกำหนดช่องทางลมระหว่างส่วนกลางตัวรถซึ่งมีความลาดต่ำ (ที่ 11° เมื่อเปรียบเทียบกับ 7° ในรุ่น Aventador Ultimae) และส่วนท้ายของตัวรถที่มีความลาดเอียงสูง (ที่ 15° เมื่อเปรียบเทียบกับ  8° ในรุ่น Aventador Ultimae) โดยดิฟฟิวเซอร์นี้ยังทำหน้าที่ในเชิงโครงสร้างและช่วยในระบบระบายความร้อนให้กับส่วนเครื่องยนต์อีกด้วย

โดยสรุปแล้ว แนวทางการออกแบบตัวรถใหม่ทำให้ Revuelto สามารถเพิ่มแรงอากาศพลศาสตร์ส่วนหน้ารถได้ถึง 33% และส่วนท้ายรถได้ถึง 74% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae (ภายใต้สภาวะแรงสูงสุด)

การเสริมประสิทธิภาพขององค์ประกอบต่าง ๆ ร่วมกันสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องการระบายความร้อน ซึ่งทำให้ Lamborghini Revuelto โดดเด่นอย่างแตกต่างจากรถยนต์รุ่นอื่น ๆ หม้อน้ำด้านหน้าจะสร้างลมร้อนจึงต้องมีช่องทางระบายที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้ส่งผลถึงการลดประสิทธิภาพของหม้อน้ำด้านข้าง จึงมีการติดตั้งช่องบานเกล็ดระบายลมที่หันออกสู่ด้านนอกไว้บนตะแกรงของหม้อน้ำด้านหน้า เพื่อให้นำลมร้อนไหลออกห่างจากล้อและหม้อน้ำด้านข้าง ในขณะที่ครีบซึ่งติดอยู่แต่ละข้างของกันชนหน้าจะช่วยลดแรงต้านอากาศอีกทางหนึ่ง

องค์ประกอบทุกส่วนล้วนถูกออกแบบและพัฒนาให้เกิดการไหลเวียนอากาศที่ดีที่สุด แม้แต่มือจับประตูก็ยังมีหน้าที่ด้านอากาศพลศาสตร์โดยทำงานร่วมกับปีกรูปตัววาย “Y” ซึ่งเป็นโซลูชันที่สามารถเปลี่ยนทิศทางกระแสลมบริสุทธิ์ที่ไหลผ่านเข้ามาทางฝากระโปรงหน้า ให้ไหลไปยังฟินแนวขวางด้านข้างด้านใดด้านหนึ่งและพัดเข้าหาหม้อน้ำโดยตรง

การเสริมประสิทธิภาพขององค์ประกอบต่างๆ ที่สำคัญยังเห็นได้อย่างชัดเจนที่การระบายความร้อนของระบบเบรก ซึ่งนำระบบอากาศพลศาสตร์เข้ามาทำงานร่วมด้วย แผ่นกันสะเทือนคู่หน้าและตะแกรงด้านในซุ้มล้อได้ถูกออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่เพียงเพื่อระบายความร้อนเบรกหน้าโดยแผ่นนี้จะช่วยพาอากาศจากดิฟฟิวเซอร์หน้าไปที่เบรกเท่านั้น แต่ยังมีรูปทรงที่ช่วยลดแรงต้านภายในล้อได้ด้วย จึงช่วยจำกัดการบีบอัดและเพิ่มแรงโหลดในส่วนหน้า

นอกจากนี้ ท่อดักอากาศ (NACA) คู่บริเวณด้านหน้าของล้อหลังทั้งสอง ยังคอยเก็บลมจากใต้ท้องรถและส่งตรงไปยังท่อระบายความร้อนของเบรกหลังได้อีกด้วย

หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ก็มีบทบาทสำคัญในด้านอากาศพลศาสตร์ ผ่านการออกแบบโครงสร้างที่เพิ่มความกว้างของห้องโดยสารภายใน โดยดีไซน์รูปทรงปีกซึ่งมีโพรงอากาศตรงกลางจะช่วยนำลมไปยังท่อดักลมด้านหลังและไหลต่อไปยังอุปกรณ์แปลงกระแสไฟ (Inverter) และมอเตอร์ไฟฟ้าที่อยู่ด้านบนชุดเกียร์ นอกจากนี้ ด้านข้างของหลังคายังยกพื้นที่เหนือศีรษะให้สูงขึ้นทั้งในส่วนผู้ขับและผู้โดยสาร

เทคโนโลยีโครงสร้าง Monofuselage

Revuelto ใช้นวัตกรรมโครงสร้างใหม่ล่าสุด “Monofuselage” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวถัง Monocoque ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบินและผลิตด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด โดย Monofuselage มีโครงสร้างส่วนหน้าเป็น Forged Composites ซึ่งเป็นวัสดุพิเศษที่ผลิตจากชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ขนาดเล็กชุบด้วยเรซิ่น โดยลัมโบร์กินีได้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีนี้และเริ่มใช้ในการผลิตโครงสร้างครั้งแรกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008

โครงสร้าง Monofuselage แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญต่อจากรุ่น Aventador ทั้งในด้านประสิทธิภาพความแข็งแรงและทนต่อแรงบิด คุณสมบัติน้ำหนักเบา และพลศาสตร์การขับขี่ นอกจากนี้ Revuelto ยังเป็นรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นแรกที่ใช้โครงสร้างส่วนหน้าเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ 100% โดยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ยังใช้กับโครงรูปโคนส่วนหน้าเพื่อยกระดับการดูดพลังงาน ซึ่งพบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างโลหะแบบดั้งเดิม และมากกว่าเป็นสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงส่วนหน้าแบบอลูมิเนียมของรุ่น Aventador บวกกับคุณสมบัติน้ำหนักที่เบาลงอย่างมาก

ข้อเท็จจริงคือโครงสร้าง Monofuselage ของ Revuelto มีน้ำหนักเบากว่าโครงแชสซีของรุ่น Aventador ถึง 10% และโครงส่วนหน้าเบากว่าโครงอลูมิเนียมของรุ่นก่อนหน้าถึง 20% นอกจากนี้ ความแข็งแรงและทนต่อแรงบิดยังเพิ่มขึ้นไปที่ 40,000 Nm/° ซึ่งสูงขึ้น 25% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador ซึ่งการันตีสมรรถนะที่เป็นเลิศด้านพลศาสตร์ที่ดีที่สุดในคลาสอีกด้วย

แนวคิดเบื้องหลังการพัฒนาโครงสร้าง Monofuselage รุ่นใหม่นี้มีพื้นฐานมาจากการผสมผสานขั้นสูงสุดขององค์ประกอบต่าง ๆ โดยเกิดจากการนำเทคโนโลยี Forged Composites มาใช้งานอย่างครอบคลุม รวมไปถึงการพัฒนาร็อคเกอร์ริงขนาดใหญ่ ซึ่งการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูงนี้ยังทำให้ Revuelto อวดความโดดเด่นบนเวที   ยานยนต์ซูเปอร์สปอร์ตได้อย่างสง่างาม โดยชิ้นส่วนรูปวงแหวนเดี่ยวนี้ผลิตจากวัสดุ CFRP เพื่อเป็นโครงสร้างรับน้ำหนักของตัวรถยนต์ ร็อคเกอร์ริงจะติดตั้งล้อมรอบและเชื่อมต่อกับชิ้นส่วน Forged Composites อื่น ๆ อาทิ โครงส่วนห้องโดยสาร ผนังห้องเครื่องส่วนหน้า และโครงส่วน A pillar เป็นต้น

การผลิตชิ้นส่วน Forged Composites ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมความยั่งยืนในกระบวนการผลิต ผ่านการลดอัตราการใช้พลังงานของอุปกรณ์หล่อเย็นและลดปริมาณของเศษขยะวัสดุต่าง ๆ ให้น้อยลง

การผลิตโครงหลังคายังคงใช้เทคโนโลยีการผลิตจากเครื่อง Autoclave ซึ่งไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพความแข็งแกร่งลดลง เทคโนโลยีดังกล่าวได้ถูกผสานเข้ากับมาตรฐานด้านเทคนิค ความงาม และคุณภาพระดับสูง เสริมด้วยงานฝีมือในกระบวนการขึ้นรูปที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูงซึ่งสั่งสมจากประสบการณ์นานนับปีในการผลิตชิ้นส่วนคอมโพสิตของบริษัทซึ่งมุ่งเน้นที่คุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ถือเป็นแนวทางการผลิตที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกแบบหลังคาได้หลากหลายและตรงใจมากที่สุด

โครงสร้างแชสซีส่วนท้ายผลิตจากอลูมินัมอัลลอย์คุณภาพสูงและมีการสร้างโพรงสองตำแหน่งสำคัญในส่วนโดมท้ายรถ โดยสิ่งนี้จะช่วยผสานการทำงานของระบบช่วงล่างส่วนหลังและระบบส่งกำลังให้เป็นหนึ่งเดียว โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อการลดน้ำหนัก เพิ่มความแข็งแกร่ง และลดจุดเชื่อมต่อของโครงสร้างได้อย่างมาก

Revuelto ยังเป็นเสมือนการนับ “ปีที่ศูนย์” เพื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตรถยนต์ซึ่งใช้ตัวย่อว่า AIM (Automation, Integration, Modularity) โดย “Automation” หมายถึงการใช้กระบวนการผลิตอัตโนมัติระบบดิจิทัลในการแปรรูปวัสดุ พร้อมการอนุรักษ์การผลิตแบบดั้งเดิมของลัมโบร์กินี อาทิ ศาสตร์การใช้วัสดุคอมโพสิต เป็นต้น

“Integration” คือการผสานฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้มารวมอยู่ในชิ้นส่วนเดียวผ่านการพัฒนากระบวนการขึ้นรูปแบบบีบอัด (Compression Molding) กระบวนการนี้ใช้โพลิเมอร์ที่นำมาให้ความร้อนก่อน (Preheated Polymers) เพื่อให้สามารถผลิตชิ้นส่วนที่มีความยาว ความหนา และความซับซ้อนที่แตกต่างกันได้ ทั้งยังช่วยรับประกันการผสานเข้ากันของชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีเพื่อสร้างความทนต่อแรงบิดในระดับสูง และสุดท้าย “Modularity” หมายถึงการสร้างเทคโนโลยีประยุกต์แบบโมดูลาร์ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมรองรับข้อกำหนดและลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ได้ทุกรูปแบบ

ระบบส่งกำลังและการวางเลย์เอาต์รูปแบบใหม่

รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นใหม่นี้ใช้เลย์เอาต์การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศขนาด 6.5 ลิตรบริเวณกลางตัวรถและมีมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแรกจะอยู่ที่เพลาขับคู่หน้า และอีก 1 ตัวจะติดตั้งอยู่กับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีดรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชุดเกียร์ถูกติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ โดยเป็นการติดตั้งแนวขวางอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์สันดาป V12 เป็นครั้งแรก ส่วนพื้นที่ของอุโมงค์เกียร์ที่มีมาตั้งแต่รุ่น Countach ถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนพลังสูงเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า

มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถช่วยจ่ายไฟให้กับเครื่องได้ในขณะทำงานรอบต่ำและสามารถเปลี่ยน Revuelto ให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์รวมได้ถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae

สถาปัตยกรรมโครงสร้างอันโดดเด่น

ลัมโบร์กินีอยู่คู่เครื่องยนต์ V12 มาตั้งแต่ยุคก่อตั้งบริษัท โดยรถยนต์รุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีคุณสมบัติพิเศษนี้คือรุ่นไอคอนิกอย่าง 350GT ซึ่งเปิดตัวในปี 1963 ส่วนครั้งแรกที่มอเตอร์ไฟฟ้าได้ถูกนำมาผสานเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปภายใน 12 สูบของลัมโบร์กินี คือรุ่น Sián ในปี 2019 โดยใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า 25 กิโลวัตต์ มาเสริมกำลังของเครื่องยนต์ V12 ผ่านการเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในตัวเก็บประจุ (Supercapacitor)

Revuelto ยังนำเสนอสถาปัตยกรรมโครงสร้างแบบไฮบริดที่ไม่เคยมีมาก่อนรวมถึงเครื่องยนต์ V12 เจนใหม่ และเป็นการเปิดตัวรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตระบบไฮบริดในรูปแบบรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) รุ่นแรกที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนกำลังไฟสูงน้ำหนักเบา โดยติดตั้งในท่อส่งกำลังที่อยู่ส่วนกลางของโครงแชสซี ซึ่งถือเป็นโซลูชันใหม่ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยไอเสีย เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ V12 ที่ผ่านมา พร้อมกับการเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ในระดับสูงสุด

เครื่องยนต์ L545 รุ่นใหม่นี้มีความจุ 6.5 ลิตร โดยเป็นเครื่อง12 สูบที่เบาที่สุดและให้กำลังเครื่องสูงสุดเท่าที่ลัมโบร์กินีเคยผลิตมา โดยมีน้ำหนักรวมเพียง 218 กิโลกรัม ซึ่งเบากว่าเครื่องรุ่น Aventador ถึง 17 กิโลกรัม โดย Revuelto เปลี่ยนมุมติดตั้งเครื่องยนต์ถึง 180 องศาเมื่อเปรียบเทียบกับเลย์เอาต์ของ Aventador โดยเครื่องยนต์ Superquadro V12 มอบกำลัง 825 CV ที่ 9,250 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นผลมาจากระบบจ่ายกำลังเครื่องรุ่นใหม่ที่รองรับรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดถึง 9,500 รอบต่อนาที โดยมีค่ากำลังจำเพาะอยู่ที่ 128 CV ต่อลิตร ซึ่งถือว่าเป็นกำลังเครื่องที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของเครื่องยนต์ 12 สูบของลัมโบร์กินี ทั้งยังให้แรงบิดสูงสุดถึง 725 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบต่อนาที

ท่อดักอากาศได้รับการออกแบบโครงสร้างใหม่เพื่อเพิ่มปริมาณอากาศและเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนอากาศสู่ห้องเผาไหม้ให้ดียิ่งขึ้น การเผาไหม้ในห้องเครื่องประสิทธิภาพสูงสุดยังมาจากระบบควบคุมการแตกตัวของประจุในห้องเครื่องผ่านหน่วยควบคุม 2 ยูนิต ซึ่งเป็นโซลูชันที่เคยใช้ในรุ่น Aventador และวันนี้ได้ถูกส่งต่อมายังรถยนต์รุ่นนี้ ระบบการสันดาปใหม่มีอัตราส่วนกำลังอัดเพิ่มขึ้น (12.6:1 เมื่อเปรียบเทียบกับ 11.8:1 ในรุ่น Aventador Ultimae) ท่อไอเสียได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อการไหลเวียนของไอเสียเมื่อเครื่องมีกำลังรอบสูงได้ดีขึ้นและเพิ่มกำลังเครื่องจำเพาะให้สูงขึ้น

ลัมโบร์กินีมีชื่อเสียงเลื่องลือมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งในด้านพลังเสียงอันกระหึ่มสุดเร้าใจที่ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง ซึ่งพลังเสียงนี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ในเครื่องรุ่น L545 นี้เช่นกัน เพื่อเน้นย้ำถึงพลังเครื่องยนต์ซึ่งจะให้เสียงที่ไพเราะในขณะรอบเครื่องต่ำ และค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปอย่างเป็นธรรมชาติในยามที่รถยนต์พุ่งทะยานไป

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า

Revuelto ยังคงรักษาหนึ่งในมาตรฐานที่แข็งแกร่งที่สุดของลัมโบร์กินีนั่นคือระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งในขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในมอบกำลังให้กับล้อหลัง มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ก็จะมอบกำลังให้กับเพลาหน้า โดยมอเตอร์แต่ละตัวจะสร้างแรงดึงกับล้อหน้าแต่ละข้าง นอกจากนี้ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่สามที่วางอยู่เหนือชุดเกียร์ดับเบิลคลัตช์ 8 สปีด ที่ช่วยส่งแรงให้ล้อหลัง โดยขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่เลือกและสภาพของพื้นถนน

แรงบิดรวมจากเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบสมรรถนะการขับขี่ที่โดดเด่นเหนือใครแม้ในหมู่รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต ด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 725 นิวตันเมตรจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน และอีก 350 นิวตันเมตรจากมอเตอร์หน้าแต่ละตัว ซึ่งเมื่อรวมแล้วจะสามารถมอบกำลังรวมสูงสุดได้ถึง 1,015 CV เลยทีเดียว

มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวด้านหน้าเป็นมอเตอร์แกนฟลักซ์แบบน้ำมันหล่อเย็นและให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าดีเยี่ยมที่ 18.5 กิโลกรัมจากมอเตอร์ 110 กิโลวัตต์แต่ละตัว นอกจากการส่งกำลังแก่ล้อหน้าแต่ละข้าง ยังมีฟังก์ชั่นกระจายแรงบิด (Torque Vectoring) เพื่อยกระดับพลศาสตร์การขับขี่และกู้พลังงานจากการเบรก โดยเมื่อเลือกโหมดการขับขี่แบบไฟฟ้า Revuelto จะขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าเท่านั้นเพื่อลดอัตราการใช้พลังงานให้น้อยที่สุด ซึ่งในขณะขับด้วยระบบไฟฟ้า เพลาหลังจะทำงานเฉพาะเมื่อถูกสั่งการในสถานการณ์ที่จำเป็นเท่านั้น

ประสิทธิภาพการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์

ลัมโบร์กินี Revuelto ติดตั้งชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนกำลังสูง (4,500 วัตต์ต่อกิโลกรัม) ไว้บริเวณท่อแกนกลาง ทำให้มีจุดศูนย์ถ่วงได้ต่ำสุดและมั่นใจได้ถึงการกระจายน้ำหนักที่ดีเยี่ยม ตัวแบตเตอรี่ได้รับการปกป้องโดยชั้นโครงสร้างส่วนล่างและเชื่อมต่อไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าตัวหน้า มอเตอร์ไฟฟ้าตัวหลัง และหน่วยชาร์จไฟที่รวมไว้ในระบบ

แบตเตอรี่มีความยาว 1,550 มม. สูง 301 มม. และกว้าง 240 มม. บรรจุเซลล์พลังงานรวมความจุ 3.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เมื่อประจุลดลงเหลือศูนย์ สามารถชาร์จใหม่ได้ทั้งการใช้กระแสสลับและแบบชาร์จในบ้านที่มีกระแสสูงสุด 7 กิโลวัตต์ โดยชาร์จเต็มในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จไฟจากการเบรกของล้อหน้าที่ช่วยประจุไฟได้ หรือชาร์จโดยตรงจากเครื่องยนต์ V12 ในเวลาเพียง 6 นาที

ระบบเกียร์ที่ล้ำหน้า

การประยุกต์ใช้แพลตฟอร์มใหม่ยังครอบคลุมถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญทางเทคนิคอย่างเรื่องชุดเกียร์ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของรถยนต์แบบ Plug-in Hybrid ครั้งนี้ลัมโบร์กินีได้พัฒนาหน่วยส่งกำลังขนาดเล็กรุ่นใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ข้อกำหนดเรื่องพลังงานไฟฟ้าแรงสูงได้ ซึ่งพัฒนาและออกแบบโดยทีมงานภายในบริษัทลัมโบร์กินีทั้งหมด และหลังจากติดตั้งใช้งานใน Revuelto อุปกรณ์นี้จะถูกนำไปใช้ในรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นต่อไปที่จะผลิตใน Sant’Agata Bolognese แห่งนี้ ตลอดจนยังนำระบบคลัตช์คู่แบบเปียกในการสร้างโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเน้นการเสริมสมรรถนะเครื่องยนต์เป็นหลัก เพื่อให้สามารถสร้างแรงบิดสูงสุดถึง 725 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบต่อนาทีจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน

ชุดเกียร์ 8 สปีดรุ่นใหม่ถูกวางตำแหน่งตามขวางด้านหลังเครื่องยนต์ V12 ที่วางตามแนวยาว เพื่อเว้นเนื้อที่ในท่อระบบส่งกำลังสำหรับการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่จะเป็นตัวให้พลังงานแก่มอเตอร์ไฟฟ้า ถือเป็นโซลูชันทางเทคนิคที่ยอดเยี่ยมในโลกรถยนต์สมรรถนะสูง และยกระดับให้ลัมโบร์กินีขึ้นแท่นผู้นำด้านวิศวกรรมยานยนต์อีกครั้ง การวางเลย์เอาต์ลักษณะนี้ยังช่วยรักษาตำแหน่งของฐานล้อและเสริมการกระจายน้ำหนักให้ดีขึ้น เพื่อเสริมระบบพลศาสตร์การขับขี่ให้ดีที่สุด

ตลอดประวัติศาสตร์กว่า 60 ปีของลัมโบร์กินี มีรถยนต์เครื่อง V12 เพียง 2 รุ่นที่ติดตั้งชุดเกียร์ตามแนวขวาง นั่นคือรุ่นปฏิวัติวงการอย่าง Miura ที่เปิดตัวในปี 1966 ซึ่งใช้เลย์เอาต์เครื่องยนต์แนวขวางบริเวณกลางค่อนมาทางท้ายรถ และรุ่น Essenza SCV12 รถยนต์ไฮเปอร์คาร์ที่เน้นการขับขี่ในสนามแข่งซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์แนวยาวและชุดเกียร์รับน้ำหนักแนวขวาง

โครงสร้างภายในของชุดเกียร์รุ่นใหม่นี้มีชาฟต์พิเศษ 2 ชิ้นซึ่งตรงข้ามกับตามปกติที่มี 3 ชิ้น ชิ้นหนึ่งทำหน้าที่ควบคุมเกียร์เลขคู่ อีกชิ้นควบคุมเกียร์เลขคี่ โดยทั้งสองชิ้นทำงานกับโรเตอร์ตัวเดียวกัน การวางเลย์เอาต์ลักษณะนี้ยังช่วยลดน้ำหนักรวมและประหยัดพื้นที่ได้อย่างมาก

การพัฒนาระบบส่งกำลังดับเบิลคลัตช์ (Double Clutch Transmission: DCT) 8 สปีด เกิดจากแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์อุปกรณ์ที่สามารถมอบทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการขับขี่แนวสปอร์ต อย่างการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว ในขณะที่การทำงานร่วมกันของทั้ง 8 สปีดช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและความสามารถในการขับขี่ในขณะโลดแล่น โดยมีฟีเจอร์พิเศษอย่าง “การลดเกียร์ต่อเนื่อง” ซึ่งสามารถลดเกียร์ทีละหลายสเต็ปเมื่อทำการเบรกได้อย่างง่ายดายเพียงกดค้างที่แป้นด้านซ้าย ซึ่งทำให้ผู้ขับรู้สึกถึงการควบคุมที่สมบูรณ์แบบ

เมื่อไม่นับรวมชิ้นส่วนระบบไฟฟ้า ชุดเกียร์ DCT รุ่นใหม่นี้จะมีน้ำหนักเบากว่าและเร็วกว่าในการเปลี่ยนเกียร์เมื่อเปรียบเทียบกับระบบดับเบิลคลัตช์ 7 สปีดที่ใช้ในตระกูล Huracán การวางเลย์เอาต์แนวขวางยังช่วยเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารให้กว้างขวางกว่า จึงมีเนื้อที่ด้านหลังคนขับและผู้โดยสารที่โปร่งตาและผ่อนคลายมากขึ้น

ชุดเกียร์ดับเบิลคลัตช์มีขนาดกะทัดรัดมาก โดยยาวเพียง 560 มม. กว้าง 750 มม. และสูง 580 มม. เท่านั้น น้ำหนักรวมเพียง 193 กิโลกรัม ซึ่งรวมถึงชิ้นส่วนพื้นฐานใหม่ในโครงสร้างรถยนต์ไฮบริดด้วย นั่นคือมอเตอร์ไฟฟ้าส่วนหลังซึ่งมีกำลังไฟสูงสุด 110 กิโลวัตต์และแรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร

มอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งด้านบนชุดเกียร์ทำหน้าที่สองด้าน ทั้งเป็นมอเตอร์สตาร์ตและเจเนอเรเตอร์ รวมถึงจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าส่วนหน้าผ่านทางแบตเตอรี่ในท่อระบบส่งกำลัง เมื่อเปลี่ยนมาใช้โหมดไฟฟ้าทั้งหมด มอเตอร์นี้ยังส่งกำลังให้กับล้อหลัง ซึ่งนอกจากเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้า ยังทำให้การขับเคลื่อนสี่ล้อมีอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ การปรับฟังก์ชั่นการทำงานให้สอดคล้องตามโหมดการขับขี่นี้เกิดจากการกลไกแบบแยกส่วนที่ควบคุมผ่านตัวประสานที่ออกแบบมาโดยเฉพาะซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนชุดเกียร์ดับเบิลคลัตช์  โดยในขณะส่งกำลังเสริมให้กับเครื่องยนต์สันดาปภายใน V12 มอเตอร์ไฟฟ้านี้จะอยู่ในตำแหน่ง P3 โดยแยกตัวจากชุดเกียร์ และจะเคลื่อนไปอยู่ตำแหน่ง P2 เพื่อชาร์จไฟแก่แบตเตอรี่ในขณะวิ่งด้วยความเร็วต่ำและจอดนิ่ง จึงทำหน้าที่เป็นมอเตอร์สตาร์ตด้วย

เมื่ออยู่ในตำแหน่ง P3 นั้น Revuelto จะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนสี่ล้อในทันที ขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่เลือก จึงถือเป็นการสานต่อมาตรฐานการขับเคลื่อนสี่ล้อของลัมโบร์กินีที่มีอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ไปพร้อมกัน

เกียร์ถอยหลังจะทำงานผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวหน้า ซึ่งหากจำเป็นต้องการแรงเสริม มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังก็จะเข้ามาช่วยเสริมแรงโดยส่งกำลังให้เพลาและล้อหลัง ผลลัพธ์ก็คือ Revuelto จะสามารถขับเคลื่อนสี่ล้อโดยมีอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ แม้ในขณะถอยหลังบนพื้นถนนที่มีแรงยึดเกาะต่ำก็ตาม

สุดยอดประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ

Revuelto ได้รับการออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์สุดเร้าใจและการควบคุมที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพถนนและโหมดการขับขี่ สร้างความรู้สึกที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ พร้อมยกระดับความมั่นใจที่ไม่มีนักขับคนไหนเคยสัมผัสมาก่อน

นวัตกรรมที่ถูกนำมาติดตั้งใน Revuelto ล้วนเป็นสุดยอดเทคโนโลยีของแต่ละด้าน ซึ่งรวมถึงสถาปัตยกรรมโครงสร้างและดุลยภาพยานยนต์ ผ่านแนวทางที่ล้ำหน้าในการใช้โครงแชสซีและการออกแบบอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ไปจนถึงระบบส่งกำลังแบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ช่วยเสริมกำลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถสร้างโหมดการขับขี่ใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงโหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อที่ปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ (Zero-emission 4WD) เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การเดินทางที่แตกต่างกันได้มากถึง 13 รูปแบบ

Revuelto ใช้เลย์เอาต์การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ขนาด 6.5 ลิตร บริเวณกลางตัวรถและมีมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแรกจะอยู่ที่เพลาขับคู่หน้า และอีก 1 ตัวถูกติดตั้งอยู่กับชุดเกียร์ดับเบิลคลัชต์ 8 สปีดรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชุดเกียร์ถูกติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ โดยเป็นการติดตั้งแนวขวางอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์สันดาป V12 เป็นครั้งแรก ส่วนพื้นที่ของอุโมงค์เกียร์ที่มีมาตั้งแต่รุ่น Countach ถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนพลังสูงเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า

สถาปัตยกรรมโครงสร้างรูปแบบใหม่ช่วยให้กระจายน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม (44% ที่ส่วนหน้าและ 56% ที่ส่วนท้าย) ทั้งยังมีน้ำหนักเข้าใกล้จุดศูนย์ถ่วงมากที่สุดและยังลดความยาวของฐานล้ออีกด้วย ส่งผลให้การกระจายน้ำหนักมีความสมดุลและมีความสมบูรณ์แบบ Revuelto จึงมีความคล่องตัวสูงและขับขี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งบนพื้นถนนทั่วไปและในสนามแข่งอันคดเคี้ยว ทั้งยังเสริมคุณสมบัติการกระจายน้ำหนักด้วยการเพิ่มระดับความแข็งของเหล็กกันโคลง (+11% ด้านหน้าและ +50% ด้านท้าย) และลดอัตราทดเฟืองพวงมาลัย (-10% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae) ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้งานจนประสบความสำเร็จมาแล้วในรุ่น Huracán STO นอกจากนี้ Revuelto ยังยกระดับขีดความสามารถด้วยระบบบังคับเลี้ยว ซึ่งช่วยเพิ่มสัมผัสการควบคุมที่ฉับไว ตอบสนองเร็วทันใจ และเปี่ยมด้วยความคล่องตัวสูงโดยยังรู้สึกได้ถึงเสถียรภาพและแม่นยำในทุกจังหวะการขับขี่ รวมถึงจากการใช้ยาง Bridgestone Potenza Sport ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมอบพื้นที่ด้านหน้าที่กว้างขึ้น (+4% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae)

ด้วยการติดตั้งเพลาไฟฟ้า (e-axle) ใน Revuelto ทำให้ลัมโบร์กินีสามารถนำระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ามาใช้งานเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์และทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dinamica Veicolo 2.0 อย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้าช่วยเพิ่มความฉับไวให้กับตัวรถเมื่อต้องเข้าโค้งที่แคบ รวมถึงเพิ่มเสถียรภาพเมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงโดยช่วยกระจายแรงบิดในแต่ละล้อได้อย่างดีเยี่ยมและยังทำงานสอดคล้องกับระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อ นอกจากนี้ ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ารุ่นใหม่ยังแตกต่างจากแบบเดิม โดยระบบจะช่วยเบรกเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและเสริมการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติตลอดจนสมรรถนะที่สูงขึ้น โดยเมื่อทำการเบรก เพลาไฟฟ้า (e-axle) และมอเตอร์ไฟฟ้าตัวท้ายจะช่วยชะลอความเร็ว ลดแรงกดบนเบรกไปพร้อมกับการชาร์จแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน

โครงแชสซีที่เลือกใช้ยังช่วยยกระดับพลศาสตร์ของตัวรถได้อย่างมาก โดย Revuelto เป็นรถยนต์รุ่นแรกของลัมโบร์กินีที่ใช้สถาปัตยกรรมตัวถังแบบ Monocoque รูปแบบใหม่ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากอุตสาหกรรมการบินโดยผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด (เบากว่าโครงแชสซีรุ่น Aventador ถึง 10%) ผสานกับระบบขับเคลื่อนพลังงานประสิทธิภาพสูงเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทานต่อแรงบิด (+25% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador) ทำให้ Revuelto มีความเสถียรเป็นเลิศ พร้อมช่วยเสริมความคล่องแคล่วและการตอบสนองที่ฉับไวให้กับตัวรถในภาพรวม

การออกแบบอากาศพลศาสตร์แบบ active มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการเพิ่มแรงกดอากาศ โดยเพิ่มขึ้น 61% และ 66% ตามลำดับภายใต้สถานการณ์แรงโหลดสูงเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae ซึ่งเกิดจากการติดตั้งสปลิตเตอร์หน้าและการออกแบบส่วนหลังคารถที่ช่วยให้อากาศไหลเวียนไปยังสปอยเลอร์หลังให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งการออกแบบอากาศพลศาสตร์นี้ทำงานสอดคล้องกับระบบกันสะเทือนปีกนกแบบ Semi-active ซึ่งควบคุมโดยระบบ Lamborghini Vertical Control ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรุ่น Revuelto โดยเฉพาะ โดยทำหน้าที่จัดการแลกเปลี่ยนแรงกดแนวตั้งด้วยระบบไฟฟ้า เช่น เมื่อเกิดแรงกดแนวตั้งแบบฉับพลันขณะวิ่งบนสนามแข่ง ระบบกันช่วงล่างและปีกหลังจะปรับตัวแบบเรียลไทม์

ระบบเบรกและการระบายความร้อนเบรกได้รับการออกแบบใหม่เพื่อตอบโจทย์สถานการณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ Revuelto นำเสนอระบบเบรก CCB Plus (Carbon Ceramic Brakes Plus) รุ่นใหม่ล่าสุด โดยคาลิเปอร์เบรกหน้าซึ่งใช้ลูกสูบเบรกถึง 10 ตัว แทนที่จะเป็น 6 ตัว ถูกติตตั้งร่วมกับจานเบรกขนาด 410×38 มม. (แทนที่ขนาด 400×38 มม. ของรุ่นก่อนอย่าง Aventador Ultimae) ส่วนคาลิเปอร์เบรกหลังใช้ลูกสูบเบรก 4 ตัวและจานเบรกขนาด 390×32 มม. (แทนที่ขนาด 380×38 มม. ของรุ่นก่อน) จานเบรกยังเคลือบทับด้วยชั้นป้องกันการเสียดสี เพื่อสร้างประสิทธิภาพการเบรก การบริหารอุณหภูมิ และการควบคุมเสียงเบรกที่ดียิ่งขึ้น

การออกแบบอากาศพลศาสตร์ยังช่วยเสริมการทำงานของระบบเบรกด้วย โดยแผ่นกันสะเทือนคู่หน้าและตะแกรงด้านในซุ้มล้อได้ถูกออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่เพียงสำหรับการระบายความร้อนเบรกหน้าโดยแผ่นนี้จะช่วยนำอากาศจากดิฟฟิวเซอร์หน้าไปที่เบรกเท่านั้น แต่ยังมีรูปทรงที่ช่วยลดแรงต้านภายในล้อได้เช่นกัน จึงช่วยจำกัดการบีบอัดและเพิ่มแรงโหลดในส่วนหน้า นอกจากนี้ ท่อดักอากาศ (NACA) คู่บริเวณด้านหน้าของล้อหลังทั้งสองข้าง ยังคอยเก็บลมจากใต้ท้องรถและส่งตรงไปยังท่อระบายความร้อนของเบรกหลังให้อีกด้วย

สิ่งที่เปิดตัวพร้อมกับระบบไฮบริดคือ 3 โหมดการขับขี่รูปแบบใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance เพื่อใช้ร่วมกับโหมดเดิมอย่าง Città (City), Strada, Sport และ Corsa ซึ่งสามารถเลือกปรับได้ด้วยการใช้โรเตอร์ 2 ตัวบนพวงมาลัยที่ออกแบบใหม่ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดจะสามารถตั้งค่าไดนามิกได้ถึง 13 รูปแบบ เพื่อให้ Revuelto แสดงสมรรถนะที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และสภาพพื้นถนน หรือแม้แต่บนสนามแข่งขันที่รถยนต์กำลังพุ่งทะยานอยู่

ยกตัวอย่างเช่น โหมด Città ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่ประจำวันในย่านกลางเมืองด้วยอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่คอยให้พลังงานแก่มอเตอร์ไฟฟ้าจำเป็นต้องได้รับการชาร์จไฟ แต่พื้นที่แถบนั้นไม่มีสถานีชาร์จ เครื่องยนต์ V12 จะเข้ามาทำงานเพื่อชาร์จไฟจนเต็ม (เข้าสู่โหมด Recharge) ในเวลาไม่กี่นาที ทำให้รถยนต์รุ่นนี้สามารถแล่นเข้าไปในพื้นที่ที่มีกฎระเบียบควบคุมการปล่อยก๊าซมลพิษได้ด้วยการใช้โหมดไฟฟ้า โดยที่ระบบกันสะเทือน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และชุดเกียร์ จะมอบความสบายสูงสุดในการขับขี่ แรงต้านอากาศที่น้อยลงยังทำให้โหมด Città มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีที่สุดโดยจำกัดกำลังเครื่องสูงสุดที่ 180 แรงม้า

โหมด Strada เหมาะที่สุดสำหรับการขับขี่ประจำวันที่เน้นสัมผัสแบบไดนามิกและการวิ่งทางไกล ซึ่งผสานการขับขี่แบบสบาย ๆ เข้ากับสัมผัสแนวสปอร์ตด้วยกำลังเครื่องสูงสุดที่ 886 CV โดยเครื่องยนต์ V12 จะทำงานตลอดเวลาเพื่อทำการชาร์จไฟแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยเสริมการขับขี่ในโหมด Recharge ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนเพลาไฟฟ้าด้านหน้า (e-axle) รองรับระบบกระจายแรงบิดและการทำงานของระบบอากาศพลศาสตร์แบบ active เพื่อมอบเสถียรภาพสูงสุดเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง เช่น บนทางหลวง

เมื่อเลือกโหมด Sport จะทำให้ Revuelto เปลี่ยนสมรรถนะไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถจะถูกปรับค่าเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจให้คุณโลดแล่นไปอย่างสนุกสนาน พร้อมกำหนดรูปแบบการตอบสนองในแต่ละโหมดการขับขี่ 3 แบบที่ทำงานร่วมกันคือ Recharge, Hybrid และ Performance โดยเครื่องยนต์สันดาปซึ่งควบคุมโดยระบบไฮบริดจะทำงานกับทั้ง 3 สถานการณ์การขับขี่และมอบกำลังเครื่องสูงสุดที่ 907 CV พร้อมเสียงคำรามอันกึกก้องอันน่าหลงใหลของเครื่องยนต์ V12 ส่วนชุดเกียร์จะตอบสนองการทำงานในระดับสูงสุด ในขณะที่ระบบกันสะเทือนและระบบอากาศพลศาสตร์จะช่วยยกระดับความคล่องตัวที่ฉับไว ให้คุณเข้าโค้งได้อย่างสนุกเร้าใจมากขึ้น

หากต้องการสุดยอดแห่งประสบการณ์ไดนามิกและพลังที่เต็มเปี่ยมทั้งในแง่ประสิทธิภาพการขับขี่และพลังเสียง ต้องเลือกโหมด Corsa ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นย้ำถึงศักยภาพด้านสุดยอดไดนามิกบนสนามแข่งขันของ Revuelto โดยในโหมด Performance ระบบส่งกำลังจะแสดงพลังสูงสุดด้วยกำลังเครื่องถึง 1,015 แรงม้า และการควบคุมระบบไฮบริดจะถูกปรับให้รีดศักยภาพของเพลาไฟฟ้า (e-axle) ออกมาทั้งหมด ทั้งในด้านการกระจายแรงบิดและการขับเคลื่อนในทุกล้อเพื่อสร้างประสบการณ์ขับขี่ระดับ Ultra-sport ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้  โดยในโหมด Corsa Recharge นักขับสามารถเน้นการชาร์จไฟแบตเตอรี่ให้มากที่สุด สำหรับนักขับที่เชี่ยวชาญก็สามารถเลือกปิด ESC เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งพลังได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีระบบช่วยขับและเร้าใจได้ตั้งแต่ออกสตาร์ตด้วยกำลังเครื่องสูงสุดผ่านฟังก์ชั่น “Launch Control” ซึ่งเปิดทำงานได้ด้วยการกดค้างปุ่มตรงกลางโรเตอร์ตัวซ้าย

ยางรถยนต์ที่พัฒนามาโดยเฉพาะ

พันธมิตรด้านชิ้นส่วนยางของ Revuelto คือ Bridgestone ซึ่งได้พัฒนายางรุ่น Potenza Sport ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อยกระดับประสบการณ์ซูเปอร์สปอร์ตและเพิ่มขีดศักยภาพด้านความเร็วให้แก่รถยนต์รุ่นใหม่นี้

ยาง Potenza Sport เกรดพรีเมียมประสิทธิภาพสูง ซึ่งผสมผสานระหว่างการจัดล้อแบบ 265/35 ZRF20 ที่เพลาหน้าและ 345/30 ZRF21 ที่เพลาท้าย รวมถึงแบบ 265/30 ZRF21 ที่ด้านหน้าและ 355/25 ZRF22 ที่ด้านหลัง ซึ่งทั้งสองแบบเป็นเทคโนโลยียางแบบ Run-flat เทคโนโลยีนี้ช่วยให้นักขับสามารถขับต่อไปได้อย่างปลอดภัยแม้ยางถูกตำทะลุจนไม่มีลม โดยวิ่งต่อไปได้อย่างน้อย 80 กม.ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ที่ความดันลม 0 บาร์ ช่วยมอบความอุ่นใจให้แก่นับขับได้อย่างมาก

การผสานประสิทธิภาพกันยังถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งการใช้ล้อแบบ 265/35 ZR20 ที่เพลาหน้าและ 345/30 ZR21 Potenza Sport ที่เพลาท้าย (ยางแบบ Tubeless) ซึ่งทั้งสองโซลูชั่นยางแบบ Run-flat และยางแบบ Tubeless มอบประสิทธิภาพการวิ่งด้วยความเร็วสูงที่เหนือชั้น ความแม่นยำในการเข้าโค้งและการตอบสนองที่เป็นเยี่ยม รวมถึงการยึดเกาะทั้งบนพื้นผิวแห้งและเปียกที่เป็นเลิศ

เพื่อตอบสนองความต้องการของนักขับ Revuelto จึงมีการนำเสนอออปชั่นยาง Bridgestone Potenza Race แบบสั่งผลิตสำหรับการวิ่งในสนามแข่งขัน ซึ่งจะช่วยให้นักขับสามารถยกระดับการยึดเกาะและการควบคุมตัวรถขั้นสูงสุด ส่วนยาง Bridgestone Blizzak LM005 รุ่นปรับแต่งพิเศษคืออีกหนึ่งออปชั่นแห่งชัยชนะที่แท้จริง เพราะมอบการยึดเกาะที่ดีที่สุดแม้บนหิมะ พร้อมการเข้าโค้งที่ไวต่อการตอบสนองและแม่นยำทั้งบนพื้นผิวแห้งและเปียก

ยาง Bridgestone เหล่านี้ยังออกแบบด้วยเทคโนโลยีปฏิวัติวงการอย่าง Virtual Tyre Development เอกสิทธิ์ของ Bridgestone ซึ่งสามารถลดทั้งปริมาณวัตถุดิบและการปล่อยก๊าซมลพิษในระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างมาก

ล้ำหน้าด้วยอินเตอร์เฟซใหม่ (HMI) อินโฟเทนเมนต์ครบครัน การเชื่อมต่อออนไลน์ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS)

Revuelto นำเสนออินเตอร์เฟซ Human Machine Interface (HMI) ที่ออกแบบใหม่ในทุกรายละเอียด ประกอบด้วยจอแสดงผล 3 ตำแหน่ง ได้แก่ จอบริเวณแผงหน้าปัดขนาด 12.3 นิ้ว จอแสดงผลกลางขนาด 8.4 นิ้ว และจอเสริมขนาด 9.1 นิ้ว มอบรูปลักษณ์ใหม่ที่สดใสกว่าทั้งภาพกราฟิก 3D ภาพเคลื่อนไหว วิดเจ็ต และสไตล์การปรับแต่งต่าง ๆ ซึ่งจอแสดงผลทั้งสามถูกควบคุมโดย “สมองกล” ตัวเดียว ซึ่งใช้ดีไซน์อินเตอร์เฟซแบบเดียวกันทุกจอ ทำให้ผู้ใช้ไม่เกิดการสับสนกับอินเตอร์เฟซบนจอต่าง ๆ ทั้งในเรื่องสีสันและรูปภาพ ตลอดจนมีปฏิกิริยาที่สอดคล้องกัน

ระบบอินโฟเทนเมนต์รูปแบบใหม่ของ Revuelto มาพร้อมฟังก์ชั่นที่ช่วยให้นักขับสามารถปรับแต่งและสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ลัมโบร์กินีที่เปี่ยมด้วยสุนทรียภาพและดื่มด่ำได้อย่างเต็มอารมณ์โดยใช้เพียงการลากสองนิ้วไปบนหน้าจอ โดยผู้ใช้สามารถย้ายเนื้อหาอินโฟเทนเมนต์ไปยังจอต่างๆ ทั้งจอบริเวณแผงหน้าปัดหรือจอฝั่งผู้โดยสาร ด้วยการปัดหน้าจอแบบเดียวกัน นอกจากนี้ ยังสามารถบันทึกฟีเจอร์การใช้โปรดได้ เพื่อให้ครั้งต่อไปสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว

งานออกแบบพวงมาลัยใหม่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปฏิกิริยาระหว่างนักขับกับพวงมาลัยในรถแข่งรุ่น Squadra Corse ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับห้องนักบิน อุปกรณ์ควบคุมที่เพิ่มเติมเข้ามาช่วยให้สามารถควบคุมไดนามิกของตัวรถและคำสั่งมัลติมีเดียได้อย่างง่ายดายด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย โดย Revuelto ยังมีจอแสดงผลข้อมูลไดนามิกการขับขี่บนฝั่งผู้โดยสาร ซึ่งทำให้ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รู้สึกราวกับเป็นนักบินร่วมบนเส้นทางเดียวกัน

ระบบนำทางได้รับการออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยมีการดาวน์โหลดแผนที่แบบเรียลไทม์ เพื่อให้นักขับมั่นใจได้ว่าข้อมูลของพื้นที่นั้นๆ เป็นเวอร์ชั่นที่อัปเดตเสมอ การคำนวณเส้นทางและกลไกการค้นหาสถานที่ก็สามารถทำงานได้เร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญผ่านเชิร์ฟเวอร์ออนไลน์ ระบบนำทางยังผสานข้อมูลการจราจร สภาพภูมิอากาศแบบเรียลไทม์ รวมถึงข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ อาทิ ข้อมูลสถานที่น่าสนใจซึ่งมีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงข้อมูลลานจอดรถ ปั๊มน้ำมัน และสถานีชาร์จไฟบนเส้นทาง นอกจากเรื่องตำแหน่งที่ตั้ง ระบบยังแสดงข้อมูลอื่น ๆ อาทิ เวลาเปิดให้บริการ ราคา รายละเอียดการใช้งาน และข้อมูลอื่น ๆ ไว้อย่างครบครัน

โปรแกรมผู้ช่วย Amazon Alexa จะช่วยให้นักขับเข้าถึงฟังก์ชั่นการควบคุมตัวรถได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการปรับอุณหภูมิ การนำทาง และสื่อต่างๆ ผ่านการสั่งงานด้วยเสียง โดยฟังก์ชั่นเหล่านี้อยู่นอกเหนือจากฟังก์ชั่นมาตรฐานของ Alexa ที่ใช้เพื่อความบันเทิงและการควบคุมอุปกรณ์สมาร์ตโฮมทั่วไป โดยโปรแกรม Alexa ใน Lamborghini Revuelto ยังผสานฟังก์ชั่น What3Words ซึ่งทำงานร่วมกับระบบนำทางที่ติดตั้งมากับตัวรถ ทำให้สามารถขับขี่ไปได้ทุกที่บนโลก แม้สถานที่นั้นจะไม่มีข้อมูลที่อยู่ที่ชัดเจนก็ตาม 

Revuelto นำเสนอระบบความบันเทิงนวัตกรรมใหม่ภายใต้ดีไซน์ออริจินัลของลัมโบร์กินี ระบบวิทยุดาวเทียมแบบใหม่สามารถค้นหาคลื่นสัญญาณได้นับพันสถานี โดยสามารถตั้งค่าการค้นหาได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะค้นหาเฉพาะเรื่องที่อยู่ในกระแสความนิยม ค้นหาตามหมวดหมู่ หรือเนื้อหาของแต่ละประเทศ ซึ่งระบบวิทยุดาวเทียม SiriusXM 360L (สำหรับตลาดสหรัฐฯ) เป็นเวอร์ชั่นที่อัปเกรดประสิทธิภาพอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับระบบเดิมอย่าง SiriusXM สามารถนำเสนอเนื้อหาที่สอดคล้องกับความชื่นชอบของผู้ใช้งานได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นรายการโชว์ พอดคาสต์ ไปจนถึงรายการสตรีมมิ่งอย่าง Pandora และ Xtra

การเชื่อมต่อของระบบอินโฟเทนเมนต์ใน Lamborghini Revuelto ยังสามารถพัฒนาประสิทธิภาพด้วยตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยระบบการอัปเดตตัวเองผ่านซอฟต์แวร์ Over-the-Air ที่ติดตั้งมาในเครื่อง ทำให้รถยนต์มีระบบที่อัปเดตและเนื้อหาที่ทันสมัยอยู่เสมอ ระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นนี้สามารถรองรับการอัปเดตไม่เฉพาะที่จอแสดงผลอินโฟเทนเมนต์เท่านั้น แต่สามารถอัปเดตจอที่แผงหน้าปัดและจอแสดงผลฝั่งผู้โดยสารได้อีกด้วย

Lamborghini Revuelto ยังสามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันพิเศษอื่นๆ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้จึงสามารถเลือกปรับแต่งการใช้งานเพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การขับขี่ได้ดังใจ และด้วยการให้ความสำคัญอย่างมากกับความปลอดภัยของลูกค้า Lamborghini Revuelto จึงติดตั้งระบบโทรศัพท์ฉุกเฉินและบริการช่วยเหลือฉุกเฉินไว้กับตัวรถ ซึ่งจะทำงานทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที โดยระบบติดตามรถยนต์ Lamborghini Connect ยังสามารถตรวจจับการใช้งานรถยนต์ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งไม่เพียงแจ้งไปยังเจ้าของรถ แต่ยังติดต่อไปยังศูนย์ความปลอดภัยที่เปิดรับสัญญาณตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าในการติดตามรถยนต์กลับคืน Lamborghini Revuelto ใช้งานได้ทั่วโลกโดยรองรับได้มากกว่า 30 ภาษา เพื่อมอบประสบการณ์ที่ถูกต้องแม่นยำและมั่นใจได้ในทุกๆ ประเทศ

เจ้าของรถยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับ Lamborghini Revuelto ได้อย่างต่อเนื่องแม้ดับเครื่องยนต์ไปแล้ว ด้วยการใช้แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน Lamborghini Unica ที่ช่วยให้นักขับสามารถตรวจสอบสถานะต่างๆ ของรถได้ตลอดเวลา ทั้งระดับเชื้อเพลิง การชาร์จแบตเตอรี่ ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง รวมถึงตำแหน่งการจอดที่แน่นอน แอป Unica ยังมีชุดควบคุมรถยนต์ระยะไกล เช่น การล็อกและปลดล็อกประตู การเปิดเสียงแตรหรือเปิดแสงไฟ โดยบางฟังก์ชั่นยังสามารถสั่งได้ทาง Apple Watch เจ้าของรถจึงสามารถควบคุมรถยนต์ของตัวเองได้แม้มีคนอื่นขับอยู่ก็ตาม ทั้งการกำหนดระดับความเร็วสูงสุด รวมถึงการใช้งานต่อชั่วโมงและขีดจำกัดการใช้งานผ่านตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งถ้ารถยนต์วิ่งเร็วเกินระดับความเร็วที่กำหนดไว้ในเขตพื้นที่หนึ่งๆ หรือใช้งานนานกว่าเวลาที่กำหนด เจ้าของรถจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านทางแอป

Lamborghini Revuelto มอบความปลอดภัยขั้นสูงสุดแก่ลูกค้า โดยข้อมูลที่ถูกส่งระหว่างรถยนต์กับระบบคลาวด์จะได้รับการปกป้องตามมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ลูกค้ายังสามารถควบคุมได้ว่าจะแชร์ข้อมูลใดบ้างด้วยการกำหนดความเป็นส่วนตัวทั้ง 6 ระดับตามหลักเกณฑ์

ลัมโบร์กินียังนำระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ADAS (Advanced Driver Assistance System) มาใช้ใน Revuelto เป็นครั้งแรก ซึ่งรวมถึงฟังก์ชั่นขั้นสูงเพื่อการเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการขับขี่ประจำวัน ซึ่งเกิดจากการทำงานผสานกันทั้งระบบกล้อง เรดาห์ และเซ็นเซอร์ ซึ่งชุดความปลอดภัยยังมีระบบเตือนเมื่อออกนอกช่องเดินรถพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ Active Lane Departure Warning (ALDW) ซึ่งจะตรวจจับเส้นแบ่งช่องเดินรถและปรับวงล้อให้เหมาะสมหากผู้ขับเผลอขับข้ามช่อง นอกจากนี้ ระบบเตือนเมื่อเปลี่ยนช่องเดินรถ Lane Change Warning (LCW) จะตรวจจับจุดบอดและเตือนผู้ขับถึงอันตรายก่อนที่จะเปลี่ยนช่องทาง ส่วนระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control (ACC) จะควบคุมความเร็วรถและระยะห่างกับรถคันหน้า โดยจะช่วยทั้งในการเร่งความเร็วและเบรกรถให้โดยอัตโนมัติ

Revuelto ยังติดตั้งระบบเตือนจุดอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert (RCTA) โดยเมื่อทำการถอยรถ อุปกรณ์จะเตือนนักขับหากมีสิ่งกีดขวางอยู่ด้านหลัง และทำการเบรกเมื่อใกล้จะเกิดการชนปะทะ นอกจากนี้ ระบบกล้องยังแสดงภาพด้านหลังรถและด้านบนที่จอแสดงผลบริเวณแผงหน้าปัด ทำให้นักขับไม่เพียงมองเห็นด้านหลังรถ แต่ยังเห็นภาพจำลองของรถทั้งคันเมื่อมองจากด้านบน

มิตซูบิชิ เปิดตัวรถรุ่นใหม่ “ออล-นิว ไทรทัน” ปฏิวัติวงการรถกระบะ

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เปิดตัวรถรุ่นใหม่ “ออล-นิว ไทรทัน” ปฏิวัติวงการรถกระบะจำหน่ายในไทยเป็นที่แรกในโลกวันนี้! เตรียมเปิดตัวในญี่ปุ่น ต้นปี 2567

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 26 กรกฎาคม 2566 : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) เปิดตัว “ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน” หรือ แอล 200 (L200) รถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ได้รับการสร้างสรรค์ใหม่ทั้งคันครั้งแรกในรอบ 9 ปี ณ งานเวิลด์พรีเมียร์ ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย พร้อมประกาศราคาและเริ่มจำหน่ายในไทยเป็นที่แรกในโลก ก่อนเตรียมเปิดตัวในภูมิภาคอาเซียน และโอเชียเนีย โดยมีกำหนดวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ในช่วงต้นปี 2567

จากภาพ : มร. ทาคาโอะ คาโตะ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น และมร. เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ “ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน” ณ งานเวิลด์พรีเมียร์ ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เปิดตัวรถกระบะเป็นครั้งแรกในปี 2521 โดยในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา ได้ผลิตรถกระบะมาแล้วกว่า 5.6 ล้านคัน ครอบคลุมทั้งหมด 5 เจนเนอเรชั่น วางจำหน่ายใน 150 ประเทศทั่วโลก จึงทำให้รถกระบะ มิตซูบิชิ ไทรทัน นับเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของบริษัทฯ โดย ออล-นิว ไทรทัน จะเป็นรถกระบะเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคันเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ปฏิวัติทุกอณู! พลิกโฉมทุกมิติ ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นทั้งภายนอกและภายใน ทั้งการพัฒนาเฟรมหรือโครงรถใหม่ แชสซีส์ใหม่ ช่วงล่างใหม่ และเครื่องยนต์ใหม่ ภายใต้แนวคิด “พลังแกร่งคู่ใจสายลุย” (Power for Adventure)

ฟีเจอร์เด่น ใน “ออล-นิว ไทรทัน”

•ตัวถังดีไซน์ใหม่! ใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม พร้อมเฟรมหรือโครงรถที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ให้ความแข็งแกร่งทนทานและอุ่นใจได้ในทุกเส้นทาง และเครื่องยนต์ใหม่! ให้ขุมพลังแรงเร็วเต็มสมรรถนะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

•ช่วงล่างใหม่ มอบการขับขี่ที่นุ่มนวล เกาะถนนเป็นเลิศ ปลอดภัยยิ่งกว่าด้วยเสถียรภาพการทรงตัวและการควบคุมรถที่ดีเยี่ยม พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบควบคุมการขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาให้เหนือชั้นมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์การขับขี่บนสภาพถนนทุกรูปแบบ

•รูปลักษณ์ด้านหน้า โดดเด่นด้วยดีไซน์แข็งแกร่งโฉบเฉี่ยว พร้อมห้องโดยสารภายในที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างมีสไตล์ รองรับการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการแบบอเนกประสงค์ 

•ยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายสุดพรีเมียม เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานแบบรถส่วนตัว และการใช้งานเชิงพาณิชย์

มร.ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า “เราพัฒนาออล-นิว ไทรทัน ที่หลอมรวมความเป็น “ที่สุด” แห่งดีเอ็นเอของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (Mitsubishi Motors-ness) เพื่อให้ตอบโจทย์ความเป็นรถระบะสำหรับคนยุคใหม่ โดยในทุกฟีเจอร์หลักของออล-นิว ไทรทัน ได้รับการพัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีสุดล้ำเอกสิทธิ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประกอบด้วย เฟรม ตัวถัง และแชสซีส์ที่แข็งแกร่งทนทาน เครื่องยนต์ที่ทรงพลังและตอบสนองได้ดังใจ รวมถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม

ด้วยเป้าหมายการผลิตสูงสุด 200,000 คัน เพื่อจำหน่ายในมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ทำให้ ออล-นิว ไทรทัน นับเป็นยานยนต์รุ่นสำคัญ เป็นขุมพลังขับเคลื่อน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในฐานะรถยนต์เชิงกลยุทธ์ระดับโลกรุ่นแรก ซึ่งเปิดตัวในยุคแห่งการเติบโต ขอให้ทุกท่านติดตามทุกย่างก้าวของเราที่มุ่งสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ นับจากวันนี้” มร.คาโตะ กล่าวเสริม

ทางด้าน มร.เออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ออล-นิว ไทรทัน ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งคันโดยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ทั้งโครงสร้างเมกาเฟรม  ช่วงล่างที่มอบการควบคุมอย่างเหนือชั้น ห้องโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบายสุดพรีเมียม พร้อมเครื่องยนต์ใหม่ Hyper Power อันทรงพลัง เพื่อช่วยยกระดับชีวิตและธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น”

“ออล-นิว ไทรทัน ได้รับการผลิต และจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่แรกในโลก เราหวังว่า ออล-นิว ไทรทัน จะมาปฏิวัติเพื่อเอาชนะความท้าทายของสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ในตลาดเวลานี้ พร้อมกับช่วยยกระดับชีวิตและธุรกิจของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดย ออล-นิว ไทรทัน จะประกอบไปด้วยรุ่นย่อยต่างๆ ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มในตลาดรถกระบะ เนื่องจากได้รับการออกแบบและพัฒนาจากการศึกษาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าชาวไทย ทั้งการใช้งานแบบรถส่วนตัว และการใช้งานเชิงพาณิชย์” มร.โคอิโตะ กล่าวเพิ่มเติม

ก่อนหน้านี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้นำเสนอแคมเปญพิเศษ “ออล-นิว ไทรทัน ขับมันส์ ก่อนใคร..” (ALL-NEW TRITON REV UP & WIN) เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าทุกท่าน ที่ต้องการเป็นเจ้าของออล-นิว ไทรทัน ก่อนเปิดตัว “แคมเปญนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้าในประเทศไทยด้วยยอดจองมากกว่า 10,000 คัน ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ และชื่อเสียงของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส” มร.โคอิโตะ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับตลาดประเทศไทย ออล-นิว ไทรทัน เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป ณ โชว์รูมมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ทั่วประเทศ ในราคาที่สัมผัสได้แบบสุดคุ้ม ดังนี้ :

รุ่นซิงเกิ้ล แค็บ ยกสูง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 699,000 บาท

รุ่นดับเบิ้ล แค็บ ยกสูง ขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 820,000 บาท

รุ่นดับเบิ้ล แค็บ ยกสูง ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,016,000 บาท

ไฮไลท์ข้อมูลผลิตภัณฑ์

ออล-นิว ไทรทัน มีตัวถังให้เลือกหลากหลายรูปแบบ รองรับความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันของทั้ง 7 กลุ่มตลาดรถในประเทศไทย : ตัวถังดับเบิ้ล แค็บ มาพร้อมเบาะ 2 แถว มอบทั้งความสะดวกสบายแบบรถเอสยูวีและความอเนกประสงค์แบบรถกระบะ ขณะที่ตัวถังซิงเกิ้ล แค็บ (ตอนเดียว) มีเบาะคู่หน้า และตัวถังเมกะ แค็บ (ตอนครึ่ง) มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ช่วยให้ ปรับเอนเบาะคู่หน้าได้สะดวกขึ้น ด้วยตัวถังที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์คลีนดีเซล เทอร์โบ 2.4 ลิตร Hyper Power ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อมอบที่สุดของพละกำลังและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โครงสร้างรถ เมกาเฟรม ใหม่! รวมถึงช่วงล่าง และชิ้นส่วนอื่นๆ ล้วนได้รับสร้างสรรค์ขึ้นใหม่จากเทคโนโลยีล้ำสมัยเอกสิทธิ์เฉพาะมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยฟีเจอร์พิเศษต่างๆ อาทิ โหมดการขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD-II อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครัน อาทิ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

(1) เมกาเฟรม (Mega Frame) ใหม่ และเครื่องยนต์ใหม่! ไฮเปอร์เพาเวอร์ (Hyper Power Engine) ใช้เชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่า

โครงสร้างรถยนต์แบบขั้นบันไดที่พัฒนาขึ้นใหม่ มีคานขวางที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมถึงร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน เพิ่มความแข็งแกร่งในทุกมิติ ทั้งการต้านทานแรงดัด (Bending Rigidity) และเสริมความแข็งแกร่งเชิงบิด (Torsional Rigidity) โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากการใช้เหล็กกล้าทนแรงดึงสูง (High-tensile Steel) ในอัตราส่วนที่สูงขึ้น ไม่เพียงมอบสมรรถนะการขับขี่และความสะดวกสบายมากกว่าเดิม ออล-นิว ไทรทัน ยังมีความแข็งแรงสมบุกสมบันที่เหนือชั้น พร้อมรองรับการบรรทุกหนัก ทั้งยังช่วยรับและกระจายแรงในกรณีที่เกิดการปะทะ ช่วยปกป้องให้ทุกการขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

เครื่องยนต์คลีนดีเซลไฮเปอร์เพาเวอร์ (Hyper Power Engine) ใหม่! ได้รับการพัฒนาให้มีพละกำลังที่ทรงพลังและตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น ด้วยพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร พร้อมติดตั้งระบบเทอร์โบแปรผัน VG Turbo ที่ช่วยในการควบคุมแรงดันอากาศให้สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ มอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ให้เต็มสมมรรถนะ

ออล-นิว ไทรทัน มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดการขับขี่แบบ Sport และระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (ระบบเกียร์ไฟฟ้าแบบสวิตช์) ที่ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ เพิ่มความสะดวกสบาย

(2) ยกระดับสมรรถนะการขับขี่ด้วยช่วงล่างที่พัฒนาใหม่ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อันเป็นเอกลักษณ์

ออล-นิว ไทรทัน มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ทั้งระบบ Super Select 4WD-II สำหรับรุ่น ดับเบิ้ล แค็บ และระบบ Easy Select 4WD สำหรับรุ่น ซิงเกิ้ล แค็บ  ที่มีการตรวจจับแรงบิดด้วยระบบลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้าย (Limited Slip Differential: LSD) ช่วยกระจายกำลังด้วยอัตราส่วนร้อยละ 40 ที่ล้อหน้าและร้อยละ 60 ที่ล้อหลัง สร้างความมั่นใจในสมรรถนะการยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพในการเข้าโค้ง

ระบบ Super Select 4WD-II ในออล-นิว ไทรทัน มีระบบการขับเคลื่อนให้เลือก 4 รูปแบบ ได้แก่

2H (ขับเคลื่อนล้อหลัง) 4H (ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา) 4HLc (ระบบล็อกเฟืองท้ายกลาง) และ 4LLc (ระบบล็อกเฟืองท้ายกลางอัตราทดความเร็วต่ำ) พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ ใหม่! 7 โหมด ครอบคลุมการขับขี่ทั้งแบบออนโรด และแบบออฟโรด โหมดการขับขี่ Normal (ทั่วไป) และแบบ Eco (ประหยัด) Gravel (ทางลูกรัง)  Snow (ถนนลื่น พื้นปกคลุมด้วยหิมะ หรือขณะฝนตกหนัก) Mud (ลุยโคลน) Sand (พื้นทราย) Rock (พื้นหินตะปุ่มตะป่ำ)

ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่เหมาะกับสถานการณ์และสภาพถนนทุกรูปแบบ

สำหรับระบบ Easy Select 4WD สามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อน 2H (ขับเคลื่อนล้อหลัง) 4H (ระบบล็อกเฟืองท้ายกลาง) และ 4L (สำหรับการขับขี่ด้วยอัตราทดความเร็วต่ำ) ตอบโจทย์การใช้งานในเส้นทางที่หลากหลาย

ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ได้รับการติดตั้งพร้อมกับระบบ Super Select 4WD-II เพิ่มสมรรถนะการเข้าโค้งด้วยการควบคุมการขับเคลื่อนและแรงดันเบรกที่ล้อด้านในและนอกโค้งให้มีความสมดุลอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมาพร้อมกับระบบป้องกันล้อหมุนฟรี แอคทีฟลิมิเต็ดสลิป (Brake Control Type) ซึ่งช่วยควบคุมแรงดันเบรกของล้อที่หมุนฟรี พร้อมส่งและกระจายกำลังไปยังอีกล้อหนึ่ง จึงช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่น พร้อมกับมอบประสบการณ์ขับขี่ก้าวข้ามทุกอุปสรรค

ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Active Stability Control: ASC) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (Traction Control Sytem: TCL) ที่ยกระดับความปลอดภัยการขับขี่อย่างเป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ช่วยควบคุมการทรงตัวในการขับขี่บนทุกเส้นทางได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist: HSA) ป้องกันรถถอยหลังขณะออกตัวบนทางลาดชัน

ช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนาใหม่ ด้วยโครงสร้างปีกนกสองชั้นที่ด้านหน้าซึ่งมีความทนทานแข็งแกร่งและยืดหยุ่น แท่นยึดคานบนของรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) และขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง (2WD High Rider) ได้รับการปรับตำแหน่งยึดเกาะให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มช่วงชักอีก 20 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนและความนุ่มนวลในการขับขี่ ช่วงล่างด้านหลังมอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมความแข็งแกร่งโดยใช้แหนบแผ่นซ้อนที่ได้รับการพัฒนาให้มีน้ำหนักเบาขึ้นกว่าเดิม พร้อมด้วยโช้คอัพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

ถึงแม้ตัวถังของ ออล-นิว ไทรทัน จะมีขนาดใหญ่บึกบึนยิ่งขึ้น แต่ยังคงรัศมีวงเลี้ยวที่แคบและคม เพื่อให้ควบคุมได้อย่างคล่องตัว และเสริมทัศนะวิสัยในการขับขี่ให้สะดวกและปลอดภัยขึ้นด้วยการออกแบบฝากระโปรงที่ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นสายขอบฝากระโปรง ความปลอดภัยและความสะดวกสบายนับเป็นส่วนสำคัญที่ได้รับการพัฒนา

(3) แนวคิดการออกแบบ “บีสท์ โหมด” [Beast Mode]

ออล-นิว ไทรทัน ผสมผสานความปราดเปรียวเข้ากับการออกแบบที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อสร้างสรรค์รูปลักษณ์อันโดดเด่นสะดุดตาพร้อมกับสะท้อนความบึกบึนและทรงพลังแบบฉบับรถกระบะที่แท้จริง

การออกแบบด้านหน้าตัวรถอันเป็นเอกลักษณ์ ไดนามิค ชิลด์ (Dynamic Shield) สะท้อนถึงสมรรถนะอันทรงพลัง เสริมความอุ่นใจในการปกป้องผู้โดยสารและตัวรถ ให้ความมั่นใจสูงสุด ยกระดับให้ ออล-นิว ไทรทัน เป็นรถกระบะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งที่ทรงพลัง จากการออกแบบกระจังหน้าและซุ้มล้อแบบสามมิติที่ดุดัน พร้อมกันชนหน้าที่ออกแบบเพื่อเน้นย้ำรูปทรงสะท้อนถึงพลังที่อัดแน่น เสริมด้วยไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยวดุจสายตาเหยี่ยว ผสานกับไฟส่องสว่างหน้า แบบสามมิติ ด้วยการออกแบบทั้งหมดนี้ทำให้ออล-นิว ไทรทัน เป็นกระบะที่มีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวพร้อมสะกดทุกสายตา ขณะที่กระบะท้ายได้รับการออกแบบให้มีพื้นที่กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ตอบรับทุกการใช้งาน มั่นใจทุกการบรรทุกได้อย่างเต็มพิกัด ทุกอณูของการออกแบบได้สะท้อนความแข็งแกร่ง จากด้านหน้าจรดท้าย เสริมด้วยไฟท้ายรูปตัว T (T-shaped LED) ทั้งสองฝั่ง แสดงถึงความกว้างขวาง พร้อมสะท้อนความหนักแน่นแข็งแกร่ง

ทุกองค์ประกอบของตัวรถได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้งานอเนกประสงค์เหนือระดับ ด้วยรูปทรงห้องโดยสารและสปอยเลอร์ท้ายที่เพิ่มความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ สะดวกสบายด้วยบันไดข้างกว้างขึ้น ซึ่งได้รับการออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้ดียิ่งขึ้น

การออกแบบภายในห้องโดยสารและแผงควบคุม ภายใต้แนวคิด Horizontal Axis ด้วยเส้นตรงแนวราบและรูปทรงที่แข็งแกร่ง คำนึงถึงประสบการณ์ในการใช้งานด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบด้วยรูปทรงเรขาคณิตและใช้วัสดุคุณภาพสูง พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุบุนุ่ม ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกถึงการปกป้อง เสริมความสะดวกสบายในการใช้งานหลากหลายรูปแบบ และตกแต่งด้วยโครเมียมในหลายส่วนเพื่อสร้างบรรยากาศที่ทันสมัย เติมเต็มความใส่ใจในทุกการออกแบบอย่างประณีต

นอกจากนี้ ออล-นิว ไทรทัน ยังได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับจอแสดงผลที่มองเห็นได้ชัดเจน โดยชุดมาตรวัดและสวิตช์ควบคุมต่างๆ ได้รับการออกแบบให้มองเห็นได้อย่างโดดเด่น และควบคุมได้สะดวกง่ายดายแม้ในขณะที่สวมถุงมือหนา ทั้งพวงมาลัย ก้านจับ และมือจับเปิดประตู ล้วนได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “มิตซูบิชิ ทัช” (Mitsubishi Touch) ซึ่งมุ่งเน้นที่ความสะดวกสบายในการหยิบจับได้อย่างกระชับมือ

แผงคอนโซลกลางของรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด มีช่องวางแก้วน้ำที่รองรับแก้วขนาดใหญ่ 2 ใบ พร้อมกล่องเก็บของที่รองรับขวดพลาสติกขนาด 600 มิลลิลิตร ได้มากถึง 4 ขวด และเพื่อตอบโจทย์การใช้งานแบบมืออาชีพ โดยในทุกพื้นที่ ทั้งกล่องเก็บของด้านหน้า ช่องวางสมาร์ทโฟน และช่องเก็บของขนาดเล็กอื่นๆ มีความกว้างขวางที่ใช้งานได้สะดวกง่ายดายแม้ในขณะที่สวมถุงมือ นอกจากนี้ แผงควบคุมด้านหน้าและคอนโซลกลางยังมีช่อง USB-A และ USB-C สำหรับการชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ และยังมีแท่นชาร์จไร้สายอยู่ที่ด้านล่างของแผงควบคุม

(4) ยกระดับสมรรถนะรถกระบะให้เหนือกว่า

ในส่วนกระบะตอนท้าย ได้รับการออกแบบให้ระยะความสูงของกระบะจากพื้น ต่ำลงจากรุ่นก่อน 45 มิลลิเมตร อยู่ที่ 820 มิลลิเมตร พร้อมขยายพื้นที่ด้านบนของมุมกันชนหลังให้ใหญ่ขึ้น และเสริมความแข็งแรงด้วยเฟรมเพื่อให้วางเท้าและก้าวขึ้นกระบะได้อย่างสะดวกมากขึ้น

เบาะนั่งคู่หน้าได้รับการออกแบบให้ช่วยหนุนแผ่นหลังส่วนล่าง ขณะที่พื้นที่ช่วงไหล่มีรูปทรงเปิดกว้างเพื่อความสบายในการขยับตัว ช่วยลดความเหนื่อยเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ ระยะของเบาะที่ตรงกับตำแหน่งสะโพกได้รับการขยับสูงขึ้น เพื่อช่วยปรับสรีระขณะขับขี่ให้อยู่ในท่าตรงโดยยังคงความคล่องตัวสะดวกสบายตามหลักสรีระศาสตร์ ทั้งพัฒนาเพิ่มทัศนวิสัยให้มองเห็นเส้นทางได้สะดวกจากภายในห้องโดยสาร นอกจากนี้ การเข้าและออกจากห้องโดยสารทำได้ง่ายขึ้นด้วยการออกแบบเสาด้านหน้าใหม่ ที่เป็นแนวตรงมากขึ้น ช่วยให้เปิดประตูได้กว้างขึ้น และเพิ่มพื้นที่บันไดข้างให้ใหญ่ขึ้น ลดโอกาสลื่นไถล ใช้งานได้สะดวกกว่าเดิม

ออล-นิว ไทรทัน ไดมอนด์ เซนส์ (Diamond Sense) อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงสุด อาทิ

-ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation system: FCM)

-ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA)

-ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA) ตลอดจนระบบอื่น ๆ

นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้ออกแบบ ออล-นิว ไทรทัน ให้มาพร้อมกับอุปกรณ์ตกแต่งมากมายให้เลือกสรร ไม่ว่าจะป้องกันพื้นผิวสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ จนถึงการตกแต่งในสไตล์รถส่วนตัว เช่น สปอร์ตบาร์ ชุดตกแต่งซุ้มล้อบังโคลน และคิ้วกันกระแทกประตูที่ช่วยเสริมรูปลักษณ์อันแข็งแกร่งทรงพลัง ตราสัญลักษณ์ที่กระจังหน้าเติมเต็มความสะดุดตา และพื้นปูกระบะซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในรถกระบะก็มีให้เลือกเช่นกัน

MMS ฉลองครบรอบ 15 ปี จับแจกจริงครั้งที่ 1

แจกจริง!! MMS ศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร ฉลองครบรอบ 15 ปี จับรางวัลครั้งที่หนึ่ง รวมกว่า 500 รางวัล ทั้งสร้อยคอทองคำ iPhone 14 และรางวัลอีกมากมาย

บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) สำหรับรถญี่ปุ่นและยุโรปที่หมดระยะการรับประกัน ตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้าที่มีให้กันตลอดมา ด้วยการจับรางวัล หาผู้โชคดีจากเคมเปญ MMS ฉลองครบรอบ 15 ปี ครั้งที่ 1 รวมทั้งสิ้น 524 รางวัล เมื่อเร็วๆ นี้

ขนิษ วงศ์จินดารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “แคมเปญนี้จัดขึ้น เพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้าที่มอบความไว้วางใจให้ MMS ตลอด 15 ปี ที่ผ่านมา และขอแสดงความยินดีกับผู้โชคดีทุกท่าน ซึ่งมีทั้งที่เป็นลูกค้าประจำ ที่ใช้บริการกันมายาวนาน และลูกค้าใหม่ที่พึ่งเข้าใช้บริการเป็นครั้งแรก โดยเรายังเหลือการจับรางวัลอีก 3 ครั้ง สำหรับลูกค้าที่ยังไม่ได้เข้าร่วมชิงโชค หรือเข้าร่วมแล้วและยังไม่ได้รางวัล สามารถเข้ามาใช้บริการเพิ่มเติม เพื่อร่วมลุ้นรับรางวัลใหญ่ รถยนต์เปอโยต์ 2008 ในช่วงปลายปีนี้อีกด้วยค่ะ”

ฉลองครบ 15 ปี MMS ลุ้นรับรถยนต์ เปอโยต์ 2008 และอื่นๆ รวมกว่า 5 ล้านบาท

พิเศษ! ฉลองครบรอบ 15 ปี MMS เมื่อลูกค้าใช้บริการที่ เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ที่สาขาใดก็ได้ ครบ 4,500 บาท ก็มีสิทธ์ลุ้นรางวัลใหญ่ รถยนต์ เปอโยต์ 2008* และรางวัลย่อย สร้อยคอทองคำ*, iPhone 14* ,แบตเตอรี่ BOSCH*, ยาง Continental* น้ำมันเครื่อง TOTAL*ผลิตภัณฑ์ดูแลรักษารถยนต์ TUNAP* จากประเทศเยอรมนี รวมถึงบัตรกำนัลจาก ซิกท์ รถเช่า* และอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท วันนี้ ถึง 14 พฤศจิกายน 2566

MMS ที่เดียวจบ ครบทุกบริการแบบ ‘One-Stop Service’

เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ ให้บริการภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘หนัก-เบา เราซ่อมได้’ อาทิ การตรวจสภาพพร้อมบำรุงรักษาตามระยะทาง, ทำความสะอาดระบบปรับอากาศ, เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, แบตเตอรี่, ยาง, เบรก ไปจนถึงการซ่อมช่วงล่าง, เกียร์อัตโนมัติ เครื่องยนต์และระบบไฮบริด โดยบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากสถาบัน มาสเตอร์ ออโตโมทีฟ เทรนนิ่ง พร้อมการรับประกันคุณภาพงานซ่อมสูงสุด 1 ปี หรือ 20,000 กม. ลูกค้าสามารถผ่อนชำระ 0% ได้หลายรายการ รวมถึงมีโปรแกรมที่ปรึกษา ช่วยดูแลรถยนต์สำหรับลูกค้าองค์กร ตอบโจทย์การบำรุงรักษารถยนต์แบบครบวงจร

ปัจจุบัน เอ็มเอ็มเอส บ๊อช คาร์ เซอร์วิส แอนด์ ไทร์ มีเครือข่ายพร้อมให้บริการทั้งหมด 22 สาขา คือ เกษตร-นวมินทร์, ประดิษฐ์มนูธรรม, พระราม 4, รามอินทรา, งามวงศ์วาน, สุขาภิบาล 3, สำโรง, เพชรเกษม, ราชพฤกษ์, ลำลูกกา, รังสิต, รามคำแหง, คู้บอน, พุทธบูชา, กาญจนาภิเษก, ศรีนครินทร์, พระรามที่ 5, ระยอง, บางแสน, พัทยา, อุบลราชธานี และภูเก็ต

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

สอบถามข้อมูล โทร. 1396 MMS CAR SERVICES AND TYRES

LINE Official: @mmsbosch

Facebook: MMSBoschcarservice

www.mmsboschcarservice.com

MGC-ASIA ฉลองครบรอบ 5 ปี Harley-Davidson

MGC-ASIA ฉลองครบรอบ 5 ปี Harley-Davidson จัดงานสุดยิ่งใหญ่ ‘USM 5 Years Celebration’ พร้อมกิจกรรมและแคมเปญสุดพิเศษ ณ Harley-Davidson สาขาธนบุรี

21 กรกฎาคม 2566 : บริษัท ยูเอส มอเตอร์ไบค์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน (Harley-Davidson) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA ฉลองครบรอบ 5 ปี ในการดำเนินธุรกิจ ชวนสาวกและแฟนๆ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน มาร่วมงาน ‘USM 5 Years Celebration’ ณ โชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวงจร ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน สาขาธนบุรี (วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์) เติมเต็มความสนุก ผ่านหลากหลายกิจกรรมสุดมันส์ ทั้งการเฉลิมฉลอง คอนเสิร์ต จัดแสดงมอเตอร์ไซค์รุ่น Road Glide Special 120th Anniversary การทดลองขับ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน รุ่นต่างๆ พร้อมหยิบยื่นแคมเปญสุดคุ้มค่า วันนี้ ถึง 31 สิงหาคม 2566  

นายปอนด์ จงเสรี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูเอส มอเตอร์ไบค์ จำกัด กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดี ที่วันนี้ทางบริษัท ยูเอส มอเตอร์ไบค์ฯ ได้ดำเนินธุรกิจมาครบปีที่ 5 โดยเริ่มต้นจากสาขาอุบลราชธานี, สงขลา (หาดใหญ่) และ กรุงเทพมหานคร (ธนบุรี วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์) และขอใช้โอกาสนี้ จัดงานเฉลิมฉลอง เพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้าทุกท่าน ที่ได้มอบความไว้วางใจให้เราเป็นผู้ดูแลมาโดยตลอด ซึ่งเราได้รวมหลากหลายกิจกรรมสนุกสนานมาไว้ด้วยกัน และในครั้งนี้ก็มีการรวมตัวของชาว H.O.G. ในกรุงเทพฯ, อุบลราชธานี และสงขลา เพื่อมาร่วมเฉลิมฉลอง  พร้อมทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่เราได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย”

US Motorbike ภายใต้ MGC-ASIA จัดเต็มความมันส์ ถูกใจคนพันธุ์ ฮาร์ลีย์ฯ

โชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวงจร ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน สาขาธนบุรี กับคอนเซปต์สุดเก๋าสไตล์ป้อมปราการ ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานฉลองครบ 5 ปี โดยมีกิจกรรมมากมาย อาทิ คอนเสิร์ตสุดมันส์จากวง ‘Retrospect’ จัดแสดงมอเตอร์ไซค์รุ่น Road Glide Special 120th Anniversay ที่ผลิตมาเพื่อฉลองครบรอบ 120 ปี ของแบรนด์มอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกัน การทดลองขับฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ในสนามทดสอบ เหมาะกับการเรียนรู้หรือเพิ่มพูนทักษะการขับ พร้อมความมั่นใจในความปลอดภัยโดยผู้ฝึกสอนมืออาชีพ รวมถึงมีโชว์การทำเครื่องดื่มม็อคเทล (Mocktail) และการประมูลสินค้าพิเศษ พร้อมนำรายได้ไปสมทบทุนบริจาคให้บ้านเด็กอ่อนปากเกร็ด

คุ้มค่ากว่าใคร กับ 5 แคมเปญพิเศษ ฉลอง 5 ปี ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2566

บริษัท ยูเอส มอเตอร์ไบค์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายมอเตอร์ไซค์ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ฉลองครบรอบ 5 ปี การันตีความคุ้มค่า กับ 5 แคมเปญพิเศษ

1.รับ Gift Voucher มูลค่า 100,000 บาท เมื่อจองและออกรถ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน*

2.อะไหล่และอุปกรณ์ตกแต่ง ลดสูงสุด 50%*

3.เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายลดสูงสุด 50%*

4.ฟรี! บริการเช็กรถ 32 จุด*

5.ส่วนลดค่าแรงสูงสุด 15%*

ปัจจุบัน ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ภายใต้บริษัท ยูเอส มอเตอร์ไบค์ จำกัด มี 3 สาขาในประเทศไทย คือ กรุงเทพมหานคร (ธนบุรี วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์) อุบลราชธานี และ สงขลา (หาดใหญ่)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ: ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ภายใต้บริษัท ยูเอส มอเตอร์ไบค์ จำกัด เว็บไซต์: https://www.usmharley.com/

สาขาธนบุรี วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์ (กรุงเทพมหานคร)

โทร. 02-032-7200

FACEBOOK: HarleyDavidsonofThonburi

สาขาอุบลราชธานี

โทร. 045-959-922

FACEBOOK: HarleyDavidsonUbon

สาขาหาดใหญ่ (สงขลา)

โทร. 074-491-990

FACEBOOK: HarleyDavidsonHatYai

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

มาสด้า เดินหน้าบริหารคุณค่าแบรนด์ยกระดับบริการ

มาสด้า รวมพลเครือข่ายธุรกิจมาสด้าในประเทศไทย จับมือกันเดินหน้าสู่การบริหารคุณค่าแบรนด์ให้ยั่งยืน จัดเวทีระดมสมองผ่านงานสัมมนา “การบริหารคุณค่าแบรนด์มาสด้า” หรือ “Mazda Brand Value Management” (BVM) เพื่อยกระดับการบริการที่เป็นเลิศให้กับลูกค้าทุกคนอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ – ประเทศไทย, วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 – มาสด้า ยังคงมุ่งมั่นสร้างแบรนด์ให้เกิดความแข็งแกร่งและยั่งยืนในประเทศไทย โดยการนำกลยุทธ์ด้านการสื่อสารจากภายในสู่ภายนอก เพื่อพัฒนาบุคลากรของผู้จำหน่ายให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของแบรนด์ จึงจัดงานสัมมนา “การบริหารคุณค่าแบรนด์มาสด้า” หรือ “Mazda Brand Value Management” (BVM) สำหรับบุคลากรของผู้จำหน่ายมาสด้าในระดับผู้บริหารทีม โดยผู้จัดการขายและผู้จัดการศูนย์บริการจากทั่วประเทศเข้าร่วมงานสัมมนา โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การถ่ายทอดคุณค่าของแบรนด์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรของผู้จำหน่าย เพื่อยกระดับกระบวนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพและมีมาตรฐานเดียวกัน และนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอดเพื่อดูแลลูกค้าในทุกประสบการณ์และทุก touchpoint ให้ลูกค้าเกิดความประทับใจตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถยนต์มาสด้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดและนำความสุขมาให้กับลูกค้าทุกคน ตามแนวทางในการให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เพื่อเตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่มอบความสุขและสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้าตลอดไป

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตามที่มาสด้าได้ประกาศแนวทางธุรกิจเพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ที่ยั่งยืน โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างแบรนด์และความผูกพันกับลูกค้าในทุกประสบการณ์ ทั้งด้านการขายและการบริการ ตามกลยุทธ์ Retention Business Model ไปแล้วนั้น วันนี้ มาสด้ามุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันให้นโยบายนี้บรรลุผลสำเร็จ เพื่อดูแลและสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าที่ใช้รถมาสด้าได้อย่างทั่วถึง มาสด้าจึงได้นำระบบการทำงานแบบบูรณาการที่เริ่มตั้งแต่กระบวนการทำงานภายในองค์กรมาถ่ายทอดสู่บุคลากรของดีลเลอร์ โดยจัดงานสัมมนา “การบริหารคุณค่าแบรนด์มาสด้า” หรือ “Mazda Brand Value Management (BVM)” เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรของผู้จำหน่ายทั่วประเทศให้มีความพร้อมในการดูแลลูกค้าอย่างมืออาชีพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพบุคลกรของมาสด้า หรือ Human Development เพื่อให้บุคลากรของผู้จำหน่ายในทุกๆ ฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับการปฎิบัติงานสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ตามแนวคิดในการทำงานโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยส่งมอบคุณค่าแบรนด์ให้กับลูกค้า เพื่อยกระดับในทุกประสบการณ์และในทุกช่วงชีวิตของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม กิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากบุคลากรของผู้จำหน่ายจะได้รับความรู้ความเข้าใจในเรื่องการบริการคุณค่าแบรนด์และการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าแล้ว ในช่วงท้ายของงานสัมมนา มาสด้ายังได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการทำงานเป็นทีม ภายใต้ Thai Mazda Way โดยมีพิธีมอบรางวัลให้กับกลุ่มผู้จัดการขายและผู้จัดการศูนย์บริการ สำหรับเขตที่มีคะแนนสูงสุดจากการร่วมกิจกรรมตลอดทั้งวัน พร้อมรางวัลพิเศษ การบริหารทีมยอดเยี่ยม หรือ Best Team Award ให้กับผู้จัดการขายและผู้จัดการศูนย์บริการที่มีผลงานในการบริหารทีมยอดเยี่ยมในด้านการดูแลลูกค้า ทั้งด้านการขายและบริการหลังการขาย ตลอดจนส่งเสริมให้บุคลากรในทีมทุกตำแหน่งได้พัฒนาทักษะที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐานมาสด้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจกันเป็นอย่างดี โดยมี มร.ทาเคชิ มิคามิ รองประธานบริหารส่วนงานวางแผนกลยุทธ์และปฏิบัติการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและแสดงถึงความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของบุคลากรผู้จำหน่าย ตลอดจนเป็นการเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน ภายใต้ One Mazda One Team และมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า ตามพันธกิจที่สำคัญที่สุด คือ การส่งมอบความสุขให้กับลูกค้ามาสด้าทุกคนตลอดไป

ฮอนด้า เปิดราคาและจอง New Honda XL750 Transalp วันนี้

ไทยฮอนด้า พร้อมเปิดราคา “New Honda XL750 Transalp” รถบิ๊กไบค์สไตล์แอดเวนเจอร์  พร้อมเปิดรับจองอย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่งานมอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา

New Honda XL750 Transalp มีทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ (TRANSALP MAT BALLISTIC BLACK METALLIC) ราคาจำหน่ายที่ 389,000 บาท และสีขาว (TRANSALP ROSS WHITE ราคาจำหน่ายที่ 394,000 บาท

โดยรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์รุ่น New Honda XL750 Transalp ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการขับขี่ทั้งบนทางเรียบและทางวิบาก ควบคุมง่ายด้วยเฟรมที่มีน้ำหนักเบาเพียง 208 กิโลกรัม ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 750 ซีซี 2 สูบเรียง 8 วาล์ว ให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินไปกับการผจญภัยด้วย 5 โหมดการขับขี่ ได้แก่ Travel, Sport, Standard, Rain และ User ซึ่งพละกำลังแตกต่างกันไปในแต่ละโหมด รวมไปถึงระบบความปลอดภัย ที่สามารถปรับค่าต่างๆ ได้ด้วยตนเองตามความเหมาะสมในการใช้งาน

หน้าจอเรือนไมล์ ใช้หน้าจอแบบหน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว พ่วงด้วยระบบควบคุมการทำงานฟังก์ชันต่างๆ สั่งงานด้วยเสียงขณะขับขี่ของฮอนด้า ผ่านแอปพลิเคชัน Honda RoadSync พร้อมเบาะนั่งที่ให้ความสบายสำหรับการขับขี่ในเมืองและการผจญภัยในทุกพื้นที่

ขับได้ทั้งเส้นทางออฟโร้ดและออนโร้ดด้วยล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว และล้อหลังขนาด 18 นิ้ว ที่พร้อมระบบเบรก ABS ที่สามารถเปิด-ปิดได้ที่ล้อหลัง ควบคุมการขับขี่ได้

เปิดให้จองได้แล้ววันนี้ที่ Honda BigWing ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ :  www.hondabigbike.com

เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondamotorcyclethailand

เฟซบุ๊กฮอนด้าบิ๊กไบค์ : fb.com/hondabigbike

#TRANSALP750 #MountainAreCalling #Adventure #HondaBigBike

#ExcitesTheWorld #ExcitmentInEveryBreath

#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #มอเตอร์ไซค์ฮอนด้า #HondaMotorcycle #WhatStopsYou #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด

ฮอนด้า คว้ารางวัล No.1 Brand Thailand 2023

รถจักรยานยนต์ฮอนด้า คว้ารางวัล No.1 Brand Thailand 2023 แบรนด์ในใจคนไทย

ฮอนด้า ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะผู้นำอย่างต่อเนื่องด้วยการคว้ารางวัล “No.1 Brand Thailand” ประจำปี 2023 ประเภทรถจักรยานยนต์ที่ครองใจผู้บริโภคเป็นอันดับ 1 จากผลสำรวจความนิยมของผู้บริโภคทั่วประเทศไทย โดยนิตยสาร Marketeer สื่อด้านการตลาดอันดับหนึ่งของประเทศไทย นับเป็นการคว้ารางวัลนี้เป็นปีที่ 12 ติดต่อกัน

นายอารักษ์ พรประภา ประธานบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “รางวัลที่ได้รับนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราดำเนินธุรกิจโดยรับฟังเสียงของผู้บริโภคมาโดยตลอด ซึ่งทุกเสียงเราได้นำมาพัฒนาปรับปรุงในด้านของผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งยังใส่ใจในการบริการและคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าในการขับขี่รถจักรยานยนต์อีกด้วย โดยฮอนด้าได้รับรางวัลติดต่อกันถึง 12 ปีซ้อนสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจจากคนไทยที่มีให้กับฮอนด้ามาโดยตลอด เป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจ อีกทั้งยังเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาต่อไป”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save