- Advertisement -
27.2 C
Bangkok
Home Blog Page 74

ยามาฮ่ามอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่นโชว์นวัตกรรมสุดล้ำ ภายในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023

บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ประกาศเข้าร่วมโชว์นวัตกรรมในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023 ซึ่งจัดโดย JAPAN AUTOMOBILE MANUFACTURING ASSOCIATION,INC. โดยบูธ “FEEL LIFE” ของ YAMAHA จะนำนวัตกรรมสุดล้ำมาร่วมจัดแสดงภายในงานจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม ถึง 5 พฤศจิกายน ณ เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ภายในบูธยามาฮ่า “FEEL LIFE” โชว์นวัตกรรมสุดล้ำพร้อมจัดแสดงรถจักรยานยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ พร้อมกันนี้จะทำการเปิดตัวโมเดลที่เป็น WORLD PREMIERE MODELS อีก 6 รุ่น นอกจากนี้ที่บูธยังจัดแสดงเทคโนโลยีเครื่องเสียง จากบริษัท ยามาฮ่าคอร์เปอเรชั่น ที่ร่วมใช้แบรนด์ยามาฮ่ากับยามาฮ่ามอเตอร์ ด้วยการแสดงบนเวทีและกิจกรรมอื่นๆ ที่แสดงเทคโนโลยีล่าสุดจากแบรนด์ยามาฮ่าทั้งสองบริษัท

ภายใต้แนวความคิด “FEEL LIFE” ของยามาฮ่าในปีนี้ ได้สื่อให้เห็นว่าเรากำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์ จากการแยกตัวจากสังคม หรือการจำกัดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน อย่างไรก็ตามถึงเวลาทวงคืนการใช้ชีวิตและเริ่มต้นค้นหาความเพลิดเพลินอีกครั้ง เพื่อพลิกฟื้นหัวใจทุกช่วงเวลาและการปฏิวัติความรู้สึก ที่ “ยามาฮ่า” เราพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้วยการระลึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ ที่ยามาฮ่า เราพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อมนุษย์ เพื่อสร้างทุกความเป็นไปได้ รวมทุกคนเป็นหนึ่งเดียว ค้นหาประสบการณ์ใหม่ ท้าทายและเติบโต สำรวจตัวเองและเพิ่มศักยภาพด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ จากทุกความเป็นไปได้ กระตุ้นความรู้สึกและ เติมเต็มชีวิตพร้อมทั้งยังมี WORLD PREMIERE MODELS โมเดลใหม่อีก 6 รุ่นจากยามาฮ่าที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลก ภายในงาน JAPAN MOBILITY SHOW ได้แก่

1.MOTOROiD2 ยานพาหนะส่วนบุคคลที่สามารถจดจำเจ้าของรถ ตั้งรถและปรับสมดุลของรถได้ด้วยตัวเอง สามารถเคลื่อนที่ตามท่าทางของเจ้าของได้และเดินทางเคียงข้างผู้ขับขี่ตลอดการเดินทาง

2.TRICERA รถสามล้อไฟฟ้าเปิดประทุน สามารถบังคับเลี้ยวได้ทั้ง 3 ล้อ จากคนขับเพื่อความตื่นเต้นและเร้าใจ

3.รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ELOVE ที่ถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา MOTOBOT ใช้ระบบ (AMSAS) Advanced Motorcycle Stabilization Assistant System สามารถทรงตัวด้วยตัวเองในความเร็วต่ำ

4.E-FV รถจักรยานไฟฟ้าขนาดเล็ก (MINIBIKE) สำหรับกิจกรรมในครอบครัว ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ พร้อมติดตั้งเทคโนโลยี Active Sound Control ช่วยให้ผู้ขี่เพลิดเพลินแบบเดียวกับรถที่ใช้น้ำมัน โดยสร้างเสียงการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์เมื่อสตาร์ทหรือดับเครื่อง

5.Y-00Z MTB รถจักรยาน Mountain Bike ไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นจากแนวคิด Yamaha Motor Off-Road DNA ที่เสริมระบบระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแยกส่วน ร่วมกับบังคับเลี้ยวไฟฟ้า Electric Power Steering (EPS) system

6.Y-01W AWD รถจักรยานไฟฟ้าแนว Adventure ขับเคลื่อนสองล้อ

นอกจากนี้ ยังมีรถจักรยานยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานไฟฟ้า และนวัตกรรมล้ำสมัยจาก YAMAHA MOTOR และ YAMAHA CORPORATION โดยท่านที่สนใจสามารถเข้าชมเว็บไซต์ได้ที่ https://global.yamaha-motor.com/showroom/event/japan-mobilityshow-2023/

และในปีนี้ ยามาฮ่าได้ยกทัพสื่อมวลชน และ Influencer เข้าร่วมชมภายในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023 มากมาย โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง www.yamaha-motor.co.th หรือที่ Facebook: Yamaha Society Thailand

โตโยต้า เผยโมเดลและนวัตกรรมที่จัดแสดงภายใน Japan Mobility Show 2023

TOYOT Japan Mobility Show 2023

ยานยนต์ที่จัดแสดง

1. LAND CRUISER Se

• มอบสมรรถนะการขับขี่แรงบิดสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของ BEV พร้อมดีไซน์ที่หรูหรา มีสไตล์ โตโยต้าได้เพิ่มความน่าดึงดูดให้กับแบรนด์ Land Cruiser ซึ่งเป็นรถ SUV สามแถวที่ตอบสนองความต้องการอันหลากหลายทั่วโลก

• ความเงียบของ BEV ช่วยทำให้พื้นที่ห้องโดยสารมีความสะดวกสบายเมื่อขับขี่ในเมืองรวมทั้งในสถานการณ์ต่างๆ ขณะรถวิ่งบนท้องถนน

• ด้วยตัวถังและโครงที่เป็นชิ้นเดียวกัน(monocoque) ทำให้ตอบสนองต่อการควบคุมได้ดีเยี่ยม และให้ความมั่นใจในการรับมือกับสภาพถนนที่ขรุขระ

LAND CRUISER Se

ข้อมูลจำเพาะที่สำคัญ

-ความยาว (มม.) / ความกว้าง (มม.) / ความสูง (มม.) 5,150 / 1,990 / 1,705

-ฐานล้อ (มม.) 3,050

-ความจุผู้โดยสาร (คน) 7

2. EPU

• รถกระบะคอนเซปต์คาร์ขนาดกลางเจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมตัวถังแบบ monocoque ที่มีความทนทานสูง เพื่อให้เป็นรถ BEV ที่ใช้งานได้จริงแต่ยังคงสไตล์สุดล้ำ ด้วยความยาวเพียง 5 เมตรพร้อมดีไซน์แบบดับเบิ้ลแค็บโครงสร้างแบบ monocoque ของ EPU ยังช่วยทำให้พื้นที่ท้ายกระบะสามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายได้มากกว่าเดิม

• ห้องโดยสารด้านหลังเชื่อมต่อกับกระบะท้ายอย่างมั่นคง รองรับความต้องการของผู้ใช้ที่หลากหลายตลอดจนไลฟ์สไตล์การขับเคลื่อนทุกรูปแบบ รวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งด้วย

• ความเงียบของ BEV มาพร้อมกับแพคเกจจิ้งที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำเพื่อความเสถียรในการควบคุมและความสะดวกสบายในการขับขี่ที่เหนือกว่า

EPU

ข้อมูลจำเพาะที่สำคัญ

-ความยาว (มม.) / ความกว้าง (มม.) / ความสูง (มม.) 5,070 / 1,910 / 1,710

-ความยาว (มม.) / ความกว้าง (มม.) / ความสูง (มม.) 5,070 / 1,910 / 1,710

-ฐานล้อ (มม.) 3,350

-ความจุผู้โดยสาร (คน) 5

3. LAND HOPPER

• คอนเซปต์การขับเคลื่อนส่วนบุคคลส่งกำลังด้วยไฟฟ้ารูปแบบสามล้อ โดยล้อหน้าสองล้อสามารถปรับแต่งรูปแบบใหม่ๆ เพื่อใช้ในการขนส่ง ด้วยการออกแบบแบบที่พับได้ ช่วยให้จัดเก็บสัมภาระได้ง่ายแม้ในพื้นที่ท้ายรถที่จำกัด เมื่อใช้งานร่วมกับรถยนต์ Land Hopper จะมอบความเพลิดเพลินในการเดินทางได้มากกว่าเดิม เช่น การใช้เที่ยวชมสถานที่ต่างๆ

• สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องมีใบขับขี่* (สำหรับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป) เพิ่มศักยภาพด้านการเดินทางของผู้ใช้ และสนับสนุนความเป็นอิสระของช่วงชีวิตที่แตกต่างกัน และยังสามารถมอบการขับเคลื่อนให้กับผู้สูงอายุที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์แล้ว

• ขนาดตัวถังที่กะทัดรัดและเบาะนั่งที่ต่ำ ทำให้ก้าวขึ้น-ลงรถได้ง่ายขึ้น ความคล่องตัวที่โดดเด่นและกลไกแบบลีนที่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้ล้อหน้าที่เชื่อมโยงแบบกลไกสามารถเลื่อนขึ้นและลงได้ ทำให้ขับขี่ได้อย่างเป็นธรรมชาติและสนุก ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์หรือจักรยานใดๆ

*รถรุ่นนี้อยู่ในหมวดจักรยานยนต์ขนาดเล็กภายใต้พระราชบัญญัติการจราจรทางถนน ฉบับแก้ไข

LAND HOPPER

ข้อมูลจำเพาะที่สำคัญ

-ความยาว (มม.) / ความกว้าง (มม.) / ความสูง (มม.) 1,355 / 600 / 930

-ฐานล้อ (มม.)n1,020

-ความจุผู้โดยสาร (คน) 1

4. JUU

• รถเข็นวีลแชร์ไฟฟ้านี้เป็นการผสมผสานสไตล์สุดล้ำเข้ากับความสามารถในการขับขี่ เป็นคอนเซปต์การขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อมอบอิสระในการเดินทางไปยังทุกพื้นที่โดยไม่ต้องมีผู้ช่วยเหลือ JUU ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานให้สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างอิสระไปยังสถานที่ที่เข้าถึงด้วยรถเข็นไฟฟ้าหรือรถเข็นธรรมดาได้ยาก

• สนับสนุนความเป็นอิสระให้กับผู้พิการทางร่างกายที่ใช้รถเข็นไฟฟ้าหรือวีลแชร์เป็นประจำ เพิ่มโอกาสในการทำกิจกรรมนอกบ้านรวมถึงการจ้างงาน

• เมื่อขึ้นหรือลงบันได ล้อไฟฟ้าขนาดใหญ่ 2 ล้อ(ล้อหลัก) ที่ด้านข้างของ JUU จะเคลื่อนไปตามขั้นบันได ในขณะที่ส่วนหางแบบหดกลับได้จะพลิกลงจากด้านหลังพนักพิงเพื่อป้องกันการพลิกคว่ำและช่วยทรงตัว JUU สามาถรักษาท่าทางที่เหมาะสมได้โดยอัตโนมัติและสามารถก้าวขึ้นลงบันไดได้สูงถึง 16 ซม.

• ระบบขับเคลื่อนใช้มอเตอร์แบบที่ใช้ในรถยนต์การใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ช่วยทำให้มั่นใจในคุณภาพและความน่าเชื่อถือในระดับสูง

• โตโยต้ากำลังศึกษาฟังก์ชันขั้นสูงที่จะช่วยให้JUU สามารถเคลื่อนตัวและบรรจุตัวเองเข้าไปที่ท้ายรถได้แบบอัตโนมัติหลังจากที่ผู้ใช้ขึ้นรถแล้ว และเคลื่อนกลับสู่ที่นั่งคนขับเมื่อผู้ใช้ต้องการลงจากรถ

JUU

ข้อมูลจำเพาะที่สำคัญ

-ความยาว (มม.) / ความกว้าง (มม.) / ความสูง (มม.) 1,110 / 680 / 1,040

5. Space mobility (ยานพาหนะต้นแบบ)

• ยานพาหนะเชิงทดลอง เพื่อการพัฒนาที่ล้ำหน้าโดยเฉพาะเทคโนโลยีระบบขับขี่ มุ่งสร้างสรรค์การขับเคลื่อนสำหรับใช้งานบนดวงจันทร์และในอวกาศ ล้อแต่ละล้อมีมอเตอร์และพวงมาลัยของตัวเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา เพื่อมอบการขับขี่ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ แม้ในสภาพแวดล้อมนอกโลกที่สมบุกสมบัน

• ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่โดดเด่น สามารถเคลื่อนตัวบนก้อนหินที่มีความสูงถึง 50 ซม. และไต่ทางลาดชัน 25° ได้เทคโนโลยีที่ปรับปรุงผ่านต้นแบบนี้จะถูกใช้ในยานพาหนะขับเคลื่อนในอวกาศ เช่นLUNAR CRUISER

Space mobility (ต้นแบบ)

ข้อมูลจำเพาะที่สำคัญ

-ความยาว (มม.) / ความกว้าง (มม.) / ความสูง (มม.) 3,460 / 2,175 / 1,865

-ความจุผู้โดยสาร (คน)n2

-ความชันสูงสุด (องศา) 25

เทคโนโลยี

6. NEO Steer

• คอนเซปต์ค็อกพิทแบบใหม่ที่ใช้มิอจับแบบรถมอเตอร์ไซค์ ผสานกับฟังก์ชันของคันเร่งและแป้นเบรกที่อยู่บนพวงมาลัย

• พวงมาลัยรูปทรงที่ไม่เหมือนปกติ ทำให้มองเห็นทัศนวิสัยที่กว้างไกล และพื้นที่วางเท้าที่ไม่มีแป้นเหยียบมีความกว้างขวาง ช่วยให้สามารถขับขี่ได้ในท่าทางที่อิสระ และเข้าออกได้อย่างราบรื่น NEO Steer จะทำให้ผู้คนหลงรักรถยนต์มากขึ้น และมอบความสุขความตื่นเต้นในการขับเคลื่อนให้กับทุกคนตลอดจนการขับขี่ด้วยมือที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติสำหรับผู้ใช้งานที่มีความบกพร่องที่ส่วนล่างของร่างกาย

NEO Steer (ติดตั้งในรถ)

“ก้อง-สมเกียรติ” ไล่แซงฝ่าฝนคว้าท็อป 7 โมโตทู ออสเตรเลีย

“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” สร้างผลงานยอดเยี่ยม บิดฝ่าฝนจากกริดที่ 16 ไล่แซงคู่แข่งคว้าอันดับ 7 ในศึก โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ สนาม 16 หลังเกิดธงแดงกลางเรซ รั้งท็อปไฟว์อันดับโลกเหนียวแน่น จากเรซสุดหินเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ ประเทศออสเตรเลีย

ก่อนเข้าสู่การแข่งขันมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้องดวลกันท่ามกลางสภาพแทร็กที่ชุ่มไปด้วยน้ำและลมแรง โดย “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยเจ้าของหมายเลข 35 จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ได้เริ่มเกมจากกริดที่ 16

เพียงรอบแรกนักบิดไทยทะยานขึ้นไปรั้งอันดับ 12 ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นสามารถไล่แซงคู่แข่งขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่องถึงท็อป 5 ในรอบที่ 7 อย่างไรก็ดีจากฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย การแข่งขันต้องประกาศเป็นธงแดง หลังผ่านรอบที่ 9 ซึ่ง สมเกียรติ รั้งอยู่ในอันดับ 7

จากสภาพอากาศเลวร้าย กรรมการตัดสินใจตัดจบการแข่งขันหลังผ่าน 9 รอบสนาม โดย สมเกียรติ คว้าอันดับที่ 7 ไปครองด้วยเวลา 14 นาที 59.908 วินาที โดยสนามนี้จะนับคะแนนครึ่งหนึ่งเนื่องจากแข่งขันไม่ครบ 50% ของเรซ

ภายหลังจบสนามที่ 16 สมเกียรติ ยังคงรั้งอันดับ 5 บนตารางคะแนนสะสมในรุ่น โมโตทู มีทั้งสิ้น 127.5 คะแนน อยู่ในเส้นทางยอดเยี่ยมในการลุ้นอันดับโลกในฤดูกาลนี้

สำหรับ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา มีคิวเดินทางมาแข่งขันในศึก โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2023 สนามถัดไปที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ต่อหน้าแฟนความเร็วชาวไทยระหว่างวันที่ 27-29 ตุลาคมนี้ ในรายการ โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์

แฟนความเร็วชาวไทยสามารถติดตามข่าวสารพร้อมส่งกำลังใจเชียร์ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา และติดตามความเคลื่อนไหวของนักบิดฮอนด้าได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : Race to The Dream

บีเอ็มดับเบิลยู เปิดตัว BMW i5 ใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ ยนตรกรรมไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นแรกจากตระกูลซีรีส์ 5 ซีดานหรูพลังไฟฟ้ารุ่นล่าสุด ครบครันด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย สมรรถนะเหนือชั้น และความหรูหราระดับผู้บริหาร

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เผยโฉม บีเอ็มดับเบิลยู i5 รถยนต์ซีดานที่มาต่อยอดความสำเร็จของตระกูลซีรีส์ 5 ด้วยเทคโนโลยีระดับไฮคลาส ประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือชั้น และรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวหรูหรา พร้อมมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมบนท้องถนนหลากหลายรูปแบบ ทั้งความคล่องแคล่วที่สัมผัสได้จากหลังพวงมาลัย และความสะดวกสบายระดับผู้บริหารจากเบาะหลังในทุกอิริยาบถ โดยบีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ จะเข้ามาพลิกโฉมวงการยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมด้วยทางเลือกสองรุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport ที่พร้อมนำเสนอประสบการณ์การขับขี่อันยืดหยุ่น รองรับทุกสถานการณ์ และบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive ที่อัดแน่นด้วยประสิทธิภาพการขับขี่ระดับแนวหน้า ผสานความแรงจากตระกูล M เข้ากับนวัตกรรมล้ำยุคจากตระกูล i เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย นำโดย มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ ณ โรงแรม พาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ

มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 เป็นรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างเยี่ยมยอดมาตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษ และการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู i5 รุ่นใหม่ในวันนี้ก็นับเป็นก้าวแรกของซีรีส์ 5 บนเส้นทางใหม่กับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สะท้อนถึงตัวตนของผู้ขับขี่ที่เป็นผู้นำ เปี่ยมด้วยความกล้าที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่ดีกว่า เรารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ ให้นักขับชาวไทยได้สัมผัสกันเป็นครั้งแรกในวันนี้ ในฐานะรถซีดานไฟฟ้าระดับพรีเมียมสำหรับผู้บริหารที่จะเข้ามาเปิดฉากยุคใหม่ของตลาดในเซกเมนต์นี้ ตอบโจทย์ทั้งในด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความสนุกสนานในยามขับขี่ เราหวังว่าทั้งบีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive จะตอบโจทย์แฟน ๆ ชาวไทยที่กำลังมองหารถยนต์ที่มอบทั้งความสงบ นุ่มสบายในยามเดินทาง และความสนุกในการขับขี่ โดยไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก”

“บีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญภายใต้พันธกิจของบีเอ็มดับเบิลยูในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนกว่า ผ่านทั้งการลดมลภาวะขณะขับขี่และในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูด้วยบริการสุดพิเศษอย่าง Proactive Care ที่เสริมความอุ่นใจด้วยระบบการเชื่อมต่อกับยานพาหนะขั้นสูง ที่จะทำให้เราสามารถส่งมอบบริการการให้คำปรึกษาของเราจากทางไกล เพื่อวิเคราะห์ยานยนต์ได้จากระยะไกล หรือโทรหา Call Centre ทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด” มร.บารากา กล่าวเสริม

บีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport

ราคาจำหน่าย: 4,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)

บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive

ราคาจำหน่าย: 5,599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง) 

บีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport                                            

บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive

บีเอ็มดับเบิลยู i5 พร้อมนำรถซีดานหรูระดับตำนานจากตระกูลซีรีส์ 5 เดินหน้าสู่ยุคแห่งยานยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยที่ยังรักษาความลงตัวจากการผสมผสานสมรรถนะสุดสปอร์ตเข้ากับความหรูหราระดับผู้บริหาร ครบครันทุกด้านด้วยเทคโนโลยี BMW eDrive รุ่นที่ 5 นวัตกรรมดิจิทัลมากมาย พละกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าและความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูโอ่อ่าและปราดเปรียวบนทุกเส้นทาง

บีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ มาพร้อมกับงานออกแบบส่วนหน้ารถที่เติมความสดใหม่ให้กับกระจังหน้าทรงไตคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ด้วยรูปทรงที่ยื่นออกมาเด่นชัดมากขึ้นจากด้านหน้า ล้อมด้วยกรอบที่กว้างกว่าในรุ่นก่อน และตกแต่งด้วยระบบไฟ BMW Iconic Glow บริเวณกรอบ ส่วนไฟหน้าทั้งสองดวง มีหลอด LED จัดเรียงเป็นแถบในแนวตั้งเพื่อทำหน้าที่เป็นทั้งไฟเลี้ยวและไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่ในเวลากลางวัน ส่วนด้านข้างของตัวรถ ดูโฉบเฉี่ยวและทรงพลังด้วยแนวเส้นสายที่สูงเด่น เสริมรายละเอียดด้วยลูกเล่นอย่างสเกิร์ตข้างสีดำ มือจับประตูที่เรียบสนิทไปกับพื้นผิวของประตูรถ และเลข 5 ที่ประดับอยู่บนเสา C พร้อมด้วยหลังคากระจกแบบพาโนรามา ขณะที่ส่วนท้ายรถก็เตะตาไม่แพ้กันด้วยไฟท้ายดีไซน์เรียบหรู

บีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ ทั้งสองรุ่น มาพร้อมกับชุดแต่งสไตล์สปอร์ตที่เติมความเข้มในสไตล์ M แบบรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นสปอยเลอร์หลังดีไซน์ M สีเดียวกับบอดี้ สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport และสปอยเลอร์สีดำเงาแบบ high-gloss สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive เบรกคาลิเปอร์ (สีน้ำเงินเข้ม dark blue metallic สำหรับรุ่น i5 eDrive40 M Sport และสีแดง red high-gloss สำหรับรุ่น i5 M60 xDrive) และพิเศษสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive กับชุดแต่งไฟหน้าสีดำ M Lights Shadow Line ส่วนล้อแม็กมาในสองขนาดและสองสไตล์ ได้แก่ล้ออัลลอย BMW Individual aerodynamic ขนาด 21 นิ้ว สีดำ Jet Black แบบสลับสี สำหรับรุ่น i5 M60 xDrive และล้ออัลลอย M aerodynamic ขนาด 20 นิ้ว สีเทาเข้ม Black Grey แบบสลับสี

บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive

ในด้านสมรรถนะ ตัวท็อปอย่างบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive พร้อมมอบความแรงถึงขีดสุดด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพลังงานไฟฟ้า BMW xDrive Electric กับชุดมอเตอร์ที่ให้กำลังขับถึง 442 กิโลวัตต์ / 601 แรงม้า และแรงบิด 795 นิวตันเมตร หรือสูงสุดกว่า 820 นิวตันเมตร เมื่อเปิดใช้งานระบบ M Sport Boost หรือ M Launch Control ทั้งหมดนี้ ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive ทั้งเร็วและแรงเต็มพิกัดในสไตล์ M ด้วยอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียง 3.8 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยพลังจากชุดแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูงที่ติดตั้งอยู่ใต้ตัวถังรถ ความจุพลังงานสุทธิ 81.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งทำให้บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive มีระยะการขับขี่ถึง 455-516 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP หรือ 466 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC

บีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport                                   

ส่วนในรุ่นบีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport ก็แรงไม่น้อยด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ให้พละกำลัง 250 กิโลวัตต์ / 340 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร และสามารถส่งแรงบิดได้สูงสุดถึง 430 นิวตันเมตรเมื่อเปิดใช้งานระบบ Sport Boost หรือ Launch Control และแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูงชุดเดียวกับรุ่น i5 M60 xDrive จึงมอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 6 วินาที และมีระยะการขับขี่อยู่ที่ 497-582 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP หรือ 501 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC

บีเอ็มดับเบิลยู i5 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีการชาร์จไฟฟ้าที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสูงสุด ด้วยหัวชาร์จแบบ Combined Charging Unit (CCU) รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC กำลังไฟ 22 กิโลวัตต์ และการชาร์จแบบไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุดที่ 205 กิโลวัตต์ จะช่วยให้เจ้าของสามารถชาร์จไฟให้แก่แบตเตอรี่บีเอ็มดับเบิลยู i5 จาก 10% ถึง 80% ภายในเวลาเพียง 30 นาที

ยานยนต์บีเอ็มดับเบิลยู i5 พลังงานไฟฟ้ายังคงรักษาสมดุลระหว่างความสปอร์ตสุดเร้าใจและความสะดวกสบายสำหรับทุกการเดินทางไว้ เช่นเดียวกับซีรีส์ 5 รุ่นก่อน ๆ ด้วยความกว้างของตัวรถที่มากขึ้น การกระจายน้ำหนักหน้า-หลังที่แทบจะสมบูรณ์แบบที่อัตราส่วน 50:50 และโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่งในทุกส่วน ส่วนช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู i5 ทั้งสองรุ่น มาพร้อมกับระบบ Adaptive Suspension Professional ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมด้วยระบบปรับองศาล้อหลังขณะเข้าโค้ง (Integral Active Steering)

ความสปอร์ตในสไตล์ M ยังเห็นได้เด่นชัดในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ ด้วยพวงมาลัยหนังสไตล์ M ตกแต่งด้วย CraftedClarity ที่ทำจากแก้วคริสตัล และเบาะนั่งด้านหน้าแบบ Comfort พร้อมระบบปรับด้วยไฟฟ้า ขณะที่ระบบไฟส่องสว่างทั้งภายในและภายนอกห้องโดยสาร ม่านบังแดดสำหรับผู้โดยสารที่เบาะหลัง และชุดอุปกรณ์ Travel & Comfort ก็เสริมความหรูหราและสะดวกสบายให้ทุกการเดินทาง โดยห้องโดยสารด้านในของบีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport จะมาพร้อมกับสี Dark Silver M ประดับด้วยขอบ Aluminium Rhombicle ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive จะมาพร้อมสี Dark Silver M accent ที่ผสมผสานเข้ากับวัสดุ Carbon Fibre และขอบสีเงิน high-gloss silver นอกจากนี้ ทั้งคนขับ ผู้โดยสารด้านหน้า และผู้โดยสารที่เบาะหลังทั้ง 2 ด้าน ยังจะได้รับความสะดวกสบายอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยระบบการปรับอุณหภูมิ ความแรงลม และการระบายอากาศแบบแยกโซน รวมไปถึงระบบการตั้งโปรแกรมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ 5 ระดับ เซ็นเซอร์แสงอาทิตย์ที่ด้านหลัง และระบบกรองฝุ่นละอองระดับนาโนพาร์ทิเคิล (nano particulate filters) พร้อมจะส่งมอบทั้งประสบการณ์การใช้งานอันแสนจะง่ายไปพร้อมกับสภาพอากาศที่บริสุทธิ์ตลอดระยะเวลาการเดินทาง

สำหรับที่นั่งคนขับด้านหน้า ยังคงมุ่งเน้นไปที่ความสบายและมั่นใจของผู้ขับขี่ ด้วยระบบหน้าจอโค้ง BMW Curved Display ที่แบ่งออกเป็นจอ Information Display ขนาด 12.3 นิ้ว และจอแสดงระบบควบคุม Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว บนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ QuickSelect ทำให้ผู้ขับขี่บีเอ็มดับเบิลยู i5 สามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ผ่านไอคอนที่จัดเรียงมาในรูปแบบแถวแนวตั้งด้านข้างคนขับ ช่วยลดระยะเวลาในการใช้งานเมนูย่อยก่อนการเปิดใช้ฟีเจอร์นั้นๆ นอกจากนี้ หน้าจอแสดงผลแบบโค้ง BMW Curved Display ยังทำงานควบคู่ไปกับระบบ BMW iDrive เพื่อส่งมอบการควบคุมที่ง่ายดายผ่านระบบหน้าจอสัมผัส ปุ่มคำสั่งบนพวงมาลัย และอุปกรณ์ควบคุม BMW iDrive Controller ที่บริเวณกลางคอนโซล นอกจากนี้ แพ็คเกจ BMW Live Cockpit Professional ยังมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล BMW Head-Up Display และมุมมองแบบ Augmented View ซึ่งผู้ขับขี่สามารถใช้งานเป็นหน้าจอสำหรับควบคุมการใช้งานด้านต่าง ๆ หรือจะใช้เป็นเป็นหน้าจอเสริมแบบ instrument cluster ก็ได้

อีกหนึ่งฟีเจอร์ไฮไลท์ภายในห้องโดยสารก็คือแถบ BMW Interaction Bar ที่ประดับด้วยขอบคริสตัลที่ครอบคลุมทั้งแถบไปจนถึงบานประตู ให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการใช้งานได้ผ่านหน้าจอสัมผัส ทั้งยังส่งมอบบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่สามารถปรับแต่งได้ถึง 6 แบบตามรสนิยมเจ้าของ ได้แก่ Personal, Efficient, Sport และ Sport+, Expressive และ Relax

บีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport                                  

บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive

นอกเหนือไปจากระบบการควบคุมที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นอย่างดีและที่สุดของความสะดวกสบายด้านการใช้งาน บีเอ็มดับเบิลยู i5 ยังมุ่งส่งมอบประสบการณ์ด้านความบันเทิงที่เหนือชั้นให้แก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยบีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive ใช้ระบบเสียงรอบทิศทางจากแบรนด์ระดับโลก Bowers & Wilkins ซึ่งถือเป็นการปราฏตัวครั้งแรกบนบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 5 เพื่อมอบสุนทรียะทางเสียงให้แก่ผู้ใช้จากลำโพงทั้งหมด 17 ตัว มีกำลังขับรวมถึง 655 วัตต์ ตัวปรับรูปแบบเสียง 7 แบนด์ และลำโพงสำหรับมอบเสียงเบสโดยเฉพาะที่ติดตั้งไว้ภายใต้ขอบโลหะบริเวณประตูรถ ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู i5 M60 xDrive สามารถมอบขุมพลังและความยืดหยุ่นทางเสียงให้คุณได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู i5 eDrive40 M Sport พร้อมส่งมอบความบันเทิงอย่างเต็มที่ ด้วยระบบเสียง hi-fi จากแบรนด์ Harman Kardon ที่ใช้ลำโพงถึง 12 ตัวและแอมป์ดิจิตอล มีกำลังขับรวม 205 วัตต์ รวมทั้งยังสามารถปรับแต่งรูปแบบเสียงได้ตามต้องการ

นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8.5 ของบีเอ็มดับเบิลยู i5 ยังร่วมส่งมอบความสนุกไปอีกขั้นด้วยการให้ผู้ใช้เข้าถึงคอนเทนท์ดิจิทัลได้หลากหลายรูปแบบยิ่งกว่าทุกครั้ง ครอบคลุมทั้งข้อมูลสำคัญและเนื้อหาด้านความบันเทิง รวมทั้งยังมีการอัพเดทที่รวดเร็วฉับไวยิ่งกว่าเดิม โดยหนึ่งในไฮไลท์สำคัญก็คือแพลตฟอร์ม AirConsole ที่ให้ผู้ขับและผู้โดยสารสามารถเล่นเกมได้อย่างสนุกสนาน ในขณะที่ยานพาหนะจอดอยู่กับที่เพื่อให้ทุกคนยังสามารถเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ด้านความบันเทิงแม้ในขณะที่กำลังจอดชาร์จรถก็ตาม

ในขณะขับขี่บนท้องถนน บีเอ็มดับเบิลยู i5 ใหม่ มาพร้อมกับระบบ Driving Assistant Professional ที่รวมทั้งระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยและการเปลี่ยนเลน (Steering and Lane Change Assist) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go (Active Cruise Control with Stop & Go function) ที่ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง เอาไว้ด้วยกัน ในระหว่างการจอดรถ ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ Parking Assistant รุ่น Plus จะใช้กล้อง ควบคู่กับระบบคลื่นอัลตราซาวน์เพื่อช่วยผู้ขับขี่ในหลายสถานการณ์ ผ่านระบบช่วยจอดรถ Parking Assistant ระบบช่วยถอยรถ Reversing Assistant ระบบเตือนระยะห่าง Active Park Distance Control ระบบการช่วยจอดแบบ Lateral Parking Aid และระบบกล้องรอบทิศทาง Surround View โดยผู้ขับขี่สามารถดูสภาพแวดล้อมรอบตัวรถได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยภาพแบบสามมิติผ่านแอปพลิเคชัน My BMW รวมทั้งยังสามารถซื้อฟังก์ชัน BMW Drive Recorder ที่บันทึกภาพเคลื่อนไหวแบบความละเอียดสูงจากกล้องรอบทิศทางได้จาก BMW ConnectedDrive Store

BMW Proactive Care มอบความอุ่นใจทุกเวลา

เพื่อต่อยอดประสบการณ์การขับขี่อันยอดเยี่ยมในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ขอแนะนำบริการล่าสุด Proactive Care ที่นำข้อมูลและนวัตกรรม AI มายกระดับการดูแลลูกค้าไปอีกขั้น โดยระบบจะตรวจสอบและคาดการณ์ความจำเป็นในการเข้ารับบริการ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับขี่ และให้ข้อเสนอแนะก่อนนำรถยนต์เข้ารับบริการ

ระบบ Proactive Care จะสังเกตการณ์ข้อมูลของตัวรถในทุกด้าน นับตั้งแต่การวิเคราะห์การทำงานของยาง การแจ้งเตือนปัญหาต่าง ๆ ไปจนถึงรอบการเข้ารับบริการ ระบบจะนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ควบคู่ไปกับข้อมูลที่ผู้ขับขี่กำหนด และแจ้งข้อความแนะนำได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางแอป My BMW ผ่านระบบในตัวรถ ทางอีเมล ผ่านดีลเลอร์ที่กำหนด หรือแม้แต่โทรศัพท์จากบริการ Roadside Assistance นอกจากนี้ ระบบ Proactive Care ยังสามารถให้คำแนะนำในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดซอฟต์แวร์ของตัวรถด้วยตนเอง การขอรับบริการขณะเดินทาง หรือแม้แต่การแนะนำศูนย์บริการ เป็นต้น

บริการ Proactive Care พร้อมให้ใช้งานแล้ววันนี้สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7 (ตั้งแต่เวอร์ชั่น 07/2019) หรือใหม่กว่า โดยลูกค้าที่ใช้บริการจะต้องมีสัญญาใช้งานบริการ BMW ConnectedDrive พร้อมบันทึกข้อมูลรถยนต์ในแอป My BMW หรือหน้าเว็บ My BMW Portal ซึ่งรวมถึง BMW ID และรายละเอียดการติดต่อ และการยินยอมในเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัว และการอนุญาตให้ผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการสามารถติดต่อได้

ลูกค้าที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วประเทศ

GWM นำ GWM Smart Service มาใช้ยกระดับงานบริการ

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เร่งยกระดับงานบริการหลังการขาย ลงทุนนำ GWM Smart Service ระบบบริการรูปแบบใหม่สุดไฮเทคสู่ประเทศไทย พร้อมเปิดใช้ทุกศูนย์ฯ ทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2566

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะบริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก (Global Intelligent Technology Company) เดินหน้ายกระดับบริการหลังการขายที่เหนือกว่าในทุกมิติด้วย “GWM Smart Service” ระบบการบริการที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อส่งมอบความสะดวกสบายขั้นสูงสุดให้กับลูกค้าในการเข้ารับบริการผ่านทาง GWM Application ให้ทุกช่วงเวลาของการเป็นเจ้าของยานยนต์คุณภาพเต็มไปด้วยความมั่นใจและความปลอดภัย ตอกย้ำความตั้งใจของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าเป็นหลัก ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาสร้างประสบการณ์การใช้งานอย่างไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

GWM Smart Service เป็นระบบจัดการอัจฉริยะที่เชื่อมต่อแพลตฟอร์มการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Smart Vehicle, Smart Application, Smart System และ Smart Device เข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ด้วยแนวคิด “SMART” ได้แก่  S – Simple เรียบง่ายและสะดวกสบายในการเข้ารับบริการ, M – Modern ทันสมัยตามสไตล์ยุคดิจิทัล, A – Attention ใส่ใจในทุกขั้นตอนการบริการ, R – Reliable น่าเชื่อถือและมั่นใจด้วยทีมช่างที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐาน GWM และ T – Timeliness ส่งมอบการบริการที่ตรงเวลาและรวดเร็วทันใจ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในโลกของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่มีการนำระบบนี้มาใช้ โดยคาดว่าทุกศูนย์บริการใน GWM Partner Store ทั่วประเทศจะสามารถใช้ GWM Smart Service ได้ภายในปี 2566 นี้ เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของรถยนต์และกลุ่มลูกค้าที่ขยายตัวอยู่ทั่วประเทศให้ได้อย่างทั่วถึง

สำหรับลูกค้าที่นัดหมายเข้ารับการบริการที่ GWM Partner Store ทุกสาขา จะได้สัมผัสกับประสบการณ์ของ GWM Smart Service ในทุกขั้นตอนของการเข้ารับบริการโดยมี GWM Application เป็นหัวใจหลักในการทำงานที่พร้อมสร้างความเชื่อมั่น สะดวกสบายและความอุ่นใจให้กับลูกค้าทุกคน ดังนี้

•การจองและการแจ้งเตือนการเข้ารับบริการ (Booking and Service Reminder) ผ่าน GWM Application อันเป็นศูนย์รวมการเข้าถึงบริการต่าง ๆ จาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ โดยจะมีการแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดเช็กระยะ (Period Maintenance) รวมถึงการแจ้งเตือนสถานะต่างๆ ของรถยนต์ ลูกค้าที่มีความประสงค์เข้ารับบริการที่ GWM Partner Store สามารถดำเนินการจองได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชัน หรือติดต่อศูนย์บริการได้โดยตรง และเมื่อใกล้ถึงวันนัดหมาย เจ้าหน้าที่ของสาขาที่เลือกจะโทรติดต่อกับลูกค้าโดยตรงเพื่อยืนยันการจองอีกครั้ง

•ระบบจดจำป้ายทะเบียนรถ (License Plate Recognition System – LPR) เมื่อถึงวันนัดหมาย ทันทีที่ลูกค้าขับรถยนต์เข้ามายัง GWM Partner Store จะมีกล้อง LPR จับป้ายทะเบียนรถยนต์ของลูกค้าเพื่อส่งข้อมูลของลูกค้าที่จดจำไว้ไปยังระบบจัดการของ GWM Partner Store ทำให้ทีมผู้ให้คำปรึกษาด้านการบริการสามารถเตรียมการให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

•ระบบต้อนรับลูกค้า (Smart Welcome Board) เนื่องจากข้อมูลของลูกค้าที่ทำการนัดหมายไว้ผ่านแอปพลิเคชันจะปรากฏขึ้นบน Smart Welcome Board ทันทีที่ระบบจดจำป้ายทะเบียนรถจับป้ายทะเบียนรถของลูกค้าได้ เมื่อลูกค้าก้าวเข้าสู่ GWM Partner Store จะสังเกตเห็น Smart Welcome Board นี้ปรากฏข้อความต้อนรับพร้อมกับข้อมูลสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนัดหมายเข้ารับบริการในแต่ละวัน เช่น เลขทะเบียนรถ ชื่อลูกค้า เวลานัดหมาย และบริการที่ลูกค้าเลือกเข้ารับ รวมถึงสถานะการเข้ารับบริการของลูกค้าอีกด้วย โดยสถานะสีขาว หมายถึง ลูกค้าที่ยังไม่ปรากฏตัวเข้ารับบริการ (Waiting List) และสถานะเขียว หมายถึง ลูกค้าที่เดินทางมาถึงแล้ว (Arrival)

•แท็บเล็ตเพื่อการบริการ (Smart Tablet) เจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการจะมีสมาร์ตแท็บเล็ตที่จัดเก็บข้อมูลลูกค้าและบริการต่างๆ ที่ลูกค้าลงทะเบียนไว้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการสามารถอธิบายถึงรายละเอียดการเข้ารับบริการเพื่อขอให้ลูกค้าอนุมัติงานซ่อม สร้างความสะดวกสบายและลดการใช้ทรัพยากรกระดาษ และสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อการบริการดำเนินการเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ยังสามารถแสดงค่าใช้จ่ายสำหรับการบริการผ่านสมาร์ตแท็บเล็ตดังกล่าว (ในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ในขณะที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบรายละเอียดการรับบริการได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบายผ่านทางเอกสารออนไลน์

•การติดตามสถานะการซ่อมผ่านจอแสดงสถานะการซ่อม (Vehicle Status Board) และกล้อง CCTV ลูกค้าสามารถติดตามความคืบหน้าของขั้นตอนต่างๆ และสถานะการซ่อมบำรุงด้วยภาพเรียลไทม์จากกล้อง CCTV ที่ติดตั้งอยู่ในสถานที่ซ่อมรถได้อย่างอุ่นใจผ่านจอแสดงสถานะการซ่อม Vehicle Status Board และผ่านทาง GWM Application ได้ทุกที่ทุกเวลา อีกทั้งลูกค้ายังสามารถตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการที่ผ่านมา รวมถึงข้อมูลค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริการที่เคยใช้งานผ่านแอปพลิเคชันได้เช่นเดียวกัน

ยิ่งไปกว่านั้น GWM Application หัวใจหลักของบริการต่างๆ จาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ถูกออกแบบมาให้ลูกค้าได้เชื่อมต่อและเข้าถึงบริการต่างๆ อย่างไร้รอยต่อเพียงปลายนิ้ว ทั้งยังมอบฟีเจอร์และการบริการที่ครบวงจรและล้ำสมัยอีกมากมาย ได้แก่

•การนัดหมายการบริการ (Service Appointment)

•การแสดงประวัติการบริการ (Service & Payment History)

•การตรวจสอบสิทธิประโยชน์ของลูกค้าที่ได้รับ (Customer Privileges)

•การตรวจสอบสถานะการซ่อมแซม (Repair Status Check)

•การชำระเงินออนไลน์ (Online Payment)

•การระบุตำแหน่งที่ตั้งของ GWM Partner Store (Partner GPS Location)

•การจองและการแจ้งเตือนการเข้ารับบริการ (Service Reminder)

•บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (GWM Roadside Assistance) ลูกค้ารถใหม่ของ GWM ทุกท่านจะได้รับบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง* ที่ทางบริษัทฯ มอบให้ตลอด 5 ปี ด้วยทีมงานมืออาชีพที่พร้อมประสานงานและสามารถไปถึงจุดเกิดเหตุได้ภายใน 30 นาที สำหรับเหตุฉุกเฉิน และภายใน 45 นาที สำหรับบริการรถยก** โดยสามารถติดต่อบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ผ่านทาง GWM Application หรือติดต่อผ่าน GWM Contact Center 02-668-8888

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

(1) เฉพาะเหตุรถยนต์ขัดข้องฉุกเฉินและไม่สามารถขับเคลื่อนต่อได้

(2) ไม่รวมถึงกรณีเกิดอุบัติเหตุ

(3) เป็นการให้บริการช่วยเหลือเบื้องต้นเพื่อให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนไปยังศูนย์บริการมาตรฐาน GWM ที่ใกล้ที่สุดเพื่อรับการแก้ไขปัญหาต่อไปได้เท่านั้น

**ระยะเวลาสำหรับเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาทุกขั้นตอนของกระบวนการบริการหลังการขาย ทั้งในแง่ความสะดวกสบายและคุณภาพการบริการด้วยการเชื่อมโยงความล้ำหน้าของทางเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบมาตรฐานใหม่ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทั่วไทย พร้อมสานต่อเจตนารมณ์ในการเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบนิเวศยานยนต์พลังงานไฟฟ้าไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ฉลองเปิดโชว์รูมสยามพารากอนใหม่

มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป ฉลองเปิดโชว์รูมสยามพารากอนใหม่ล่าสุด การออกแบบยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ภายใต้คอนเซปต์ ‘Newest Urban Retail.Next’ จัดแคมเปญ MIRACLE 5 จอง BMW i5 รับฟรี! iPhone 15 และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท

บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อย่างเป็นทางการ ภายใต้บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) ฉลองเปิดโชว์รูมสยามพารากอนใหม่ล่าสุด ภายใต้คอนเซปต์ใหม่ ‘Newest Urban Retail.Next’ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางทั้งการออกแบบและงานบริการอันทันสมัยเพื่อรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าเป้าได้อย่างลงตัว ซึ่งโชว์รูมแห่งนี้นับเป็นเออร์เบินสโตร์ (Urban Store) แห่งแรกในประเทศไทย ที่ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ พร้อมรังสรรค์ประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว ให้ลูกค้าได้สัมผัสยนตรกรรมจากทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์กลางการช้อปปิ้งระดับโลก และเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

มร.อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รู้สึกยินดี ที่ได้มีส่วนร่วมในพิธีเปิดโชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป สยามพารากอน ภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ ซึ่งผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า จะรังสรรค์ประสบการณ์อันน่าประทับใจในแบบเฉพาะตัว ผ่านเทคโนโลยีอันทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุคดิจิทัล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป เชิญชวนทุกท่านมาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ กับหลากหลายยนตรกรรมในเครือ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป กับโชว์รูมคอนเซปต์ใหม่ ใจกลางเมือง ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายใต้คอนเซปต์ ‘Newest Urban Retail.Next’ โดยเราจะมีกิจกรรมพิเศษ ในโอกาสฉลองเปิดโชว์รูมใหม่ล่าสุด เมื่อจองรถภายในงาน และรับรถในเวลาที่กำหนด รับฟรี Siam Gift Card รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท รวมถึงหูฟังไร้สาย B&W มูลค่า 19,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 21-31 ตุลาคมนี้”

Newest Urban Retail.Next โชว์รูมรถยนต์คอนเซปต์ใหม่ ใจกลางเมือง

โชว์รูม มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป สยามพารากอน ได้พลิกโฉมโชว์รูมใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Retail.Next’ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับการเป็นโชว์รูมรถยนต์ ภายในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ภายใต้ชื่อ ‘Newest Urban Retail.Next’ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า พร้อมรังสรรค์ประสบการณ์พิเศษแบบเฉพาะตัว โดยเน้นบรรยากาศผ่อนคลาย คล้ายอยู่ในแกลเลอรี หรือห้องนั่งเล่นที่บ้าน จัดวางรถยนต์ในองศาที่หลากหลาย รายล้อมด้วยโซฟาและเก้าอี้ สำหรับลูกค้า เรียกว่า ‘Customer Stage’ เพิ่มความใกล้ชิดระหว่างลูกค้ากับรถยนต์มากยิ่งขึ้น

ข้อเสนอมหัศจรรย์ ‘MIRACLE 5’ จองและรับรถ BMW i5 รับฟรี iPhone 15 และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังได้เพิ่มความพิเศษเหนือระดับ กับความมหัศจรรย์แห่งแคมเปญ MIRACLE 5 ที่มอบหลากหลายสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่จองและรับรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู i5 ภายในงาน อาทิ

•รับฟรี iPhone 15 มูลค่า 36,900 บาท* (พิเศษเฉพาะ 5 ท่านแรก)

•รับ MGC Point x 5 เท่า และนำคะแนนมาเลือกรับของสมนาคุณ มูลค่าสูงสุด 80,000 บาท*

•รับฟรี Miracle Package จากแบรนด์ชั้นนำ มูลค่ารวม 35,000 บาท*

•รับสิทธิพิเศษจาก M Card*

•รับฟรี Dii Embassy Cash Voucher มูลค่า 5,000 บาท*

พร้อมแคมเปญพิเศษอื่นๆ จาก มินิ และ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ขยายไลน์อัพ EQE SUV รองรับกลุ่มลูกค้าอีวีที่เติบโต

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ย้ำวิสัยทัศน์ด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทยอยเติมไลน์อัพอีวีให้ครบทุกเซกเมนต์ภายในปี 2025 เดินหน้าแนะนำรุ่นย่อยจากตระกูล EQE SUV อีก 2 รุ่น ประกอบด้วยรุ่นเริ่มต้นอย่าง “EQE 350 4MATIC SUV Electric Art” และรุ่นกลาง “EQE 350 4MATIC SUV AMG Line” เปิดตัวครบ 3 รุ่นย่อย หลังเผยโฉม “EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic” เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยลูกค้าทุกคนสามารถพบกับยนตรกรรมตระกูล EQE SUV และรถอีวีสมรรถนะสูงรุ่นแรกในประเทศไทย “Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+” รวมถึงยนตรกรรมอีกหลากรุ่น พร้อมรับดีลและข้อเสนอสุดพิเศษ ได้ที่งาน Mercedes-Benz StarFest 2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 22 ตุลาคม ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และวันที่ 26 – 29 ตุลาคม ที่งานบางกอก อีวี เอ็กซ์โป (Bangkok EV Expo 2023) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

มร.มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มุ่งมั่นขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เราเดินตามวิสัยทัศน์ระดับโลกในการนำเสนอรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ให้ครอบคลุมอยู่ในทุกเซกเมนต์ ภายในปี 2025 เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในปี 2030 ในการทำให้รถยนต์นั่งในพอร์ตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและสถานการณ์ในตลาดรถยนต์โดยรวมของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ ในประเทศไทย เรามีการแนะนำอีวีในหลายเซกเมนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าทุกคน

นอกจาก 2 รุ่นล่าสุดอย่าง “EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic” และ “Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน “Ambition for the Future” และได้รับการตอบรับที่ดีจากการเปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าชาวไทยมีความต้องการและมองหารถอีวีระดับลักชัวรี่ในรูปแบบเอสยูวีและรถอีวีสมรรถนะสูง ในครั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าด้วยการเปิดตัวรุ่นย่อยในตระกูล EQE SUV อีก 2 รุ่น รวมเป็นทั้งหมด 3 รุ่น โดยทุกรุ่นจะนำเสนอความโดดเด่นตามแบบฉบับของ EQE SUV ซึ่งถูกออกแบบภายใต้นิยาม “Electric. Crafted by Mercedes-Benz” ชูจุดเด่นของรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เหมาะกับการขับขี่ทุกรูปแบบ ทั้งในแบบ On-Road และ Off-Road รองรับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่าง”

EQE SUV เป็นรถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่เปิดตัวในประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นเริ่มต้น “EQE 350 4MATIC SUV Electric Art” รุ่นกลาง “EQE 350 4MATIC SUV AMG Line” และรุ่นท็อป “EQE 350 4MATIC SUV AMG Dynamic” โดยมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motors) มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 765 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.6 วินาที ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูง 396V แบบLithium-ion ที่มีความจุมากถึง 89 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลกว่า 558 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 170 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 10 – 80% เพียง 32 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 9 ชั่วโมง 30 นาที

ทัพยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และไฮไลท์ในงาน “Mercedes-Benz StarFest 2023” Mercedes-Benz StarFest 2023 มาพร้อมแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ พร้อมให้ทุกคนได้สัมผัสกับการเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในตระกูล EQE ทั้งรุ่น SUV และรุ่นสมรรถนะสูงจาก Mercedes-AMG รวมถึงยนตรกรรมหลากรุ่นที่มาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษจากเมอร์เซเดส-เบนซ์

พบไฮไลท์พิเศษกับการพูดคุยโดยพิธีกรและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง อาทิ “อู๋ Spin 9” “ซู่ชิ่ง – จิตต์สุภา” และ “ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน” รวมถึงนักพยากรณ์และหมอดูชื่อดัง “ซินแสเป็นหนึ่ง” และ “อาจารย์คฑา ชินบัญชร” พร้อมมินิคอนเสิร์ตสุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก “ส้ม – มารี” และ “ว่าน – ธนกฤต” ในระหว่างวันที่ 20 – 22 ตุลาคม 2566 ณ โซน CentralCourt ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมียนตรกรรมที่นำมาจัดแสดงในงาน ได้แก่ EQE 350 4MATIC SUV AMG Line, GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic, C 220 d Avantgarde, E 300 e AMG Dynamic และ CLS 220 d AMG Premium

และในวันที่ 26 – 29 ตุลาคม 2566 ที่งานบางกอก อีวี เอ็กซ์โป (Bangkok EV Expo 2023) ณ ฮอลล์ 7 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พบกับยนตรกรรมทั้งหมด 6 รุ่น ได้แก่ C 350 e AMG Dynamic, E 300 e AMG Dynamic, GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic, EQS 500 4MATIC AMG Premium, EQE 350 4MATIC SUV AMG Line และ Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+

*พิเศษ รับดอกเบี้ย 0% นาน 4 ปี สำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์รุ่น GLA 200 AMG Dynamic, E 300 e AMG Dynamic, CLS 220 d AMG Premium และ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ ในงาน Mercedes-Benz StarFest 2023

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมรวมถึงข้อเสนอพิเศษต่างๆ ได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ หรือที่เว็บไซต์ https://www.mercedes-benz.co.th และช่องทางโซเชียลมีเดียของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกแพลตฟอร์ม

สรยท. ประกาศผลรถเข้ารอบชิงดำ ไทยแลนด์ คาร์ออฟเดอะเยียร์ 2023

สรยท.เผยผลโหวตคัดรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2566 หรือ THAILAND CAR OF THE YEAR 2023 โดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) รอบแรก SUV เข้า 4 รุ่นจาก BMW X1, GWM TANK 300, HONDA CR-V และ MERCEDES-BENZ GLC 350e ปะทะ TOYOTA INNOVA ZENIX รถยนต์ MPV ไฮบริด กับ ปิกอัพเพียงหนึ่งเดียว MITSUBISHI TRITON โฉมใหม่

ส่วนผลโหวตรางวัลใหม่ THAILAND EV OF THE YEAR 2023 หรือ รถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปี 2566 BYD Dolphin ควง BYD Seal เข้ารอบ พร้อมฟัดชิงดำกับ MG 4 Electric กับ MG Maxus 9 และดวลกับแบรนด์หรูแรง MERCEDES-AMG EQE 53 4MATIC+ และ TOYOTA bZ4X รถยนต์ EV รุ่นแรกจากโตโยต้าที่มาชิมรางตลาดเมืองไทย

นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association : TAJA ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคัดเลือกและตัดสิน THAILAND CAR OF THE YEAR 2023 เปิดเผยว่า การโหวตคัดเลือกรางวัลรถยนต์ และรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปี ของสมาชิกผู้สื่อข่าวสายยานยนต์ ในรอบแรกออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลที่ออกมาน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปีนี้มีรถยนต์ไฮบริดเข้ารอบถึง 4 รุ่น และเป็นเรื่องท้าทายของปิกอัพ MITSUBISHI TRITON โฉมใหม่ และ BMW X1 ที่ต้องแข่งขันกับรถพลังงานทางเลือก บนกติกาเดียวกันในการให้คะแนนรอบสุดท้าย เพื่อตัดสินว่ารถรุ่นไหนจะได้รับรางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2023 และ THAILAND EV OF THE YEAR 2023 จะมาจากผลการทดสอบสมรรถนะและการใช้งานในภาคสนามที่จะจัดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยสมาชิกสาคมฯ ล้วนเป็นผู้ที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในการทำข่าวสายยานยนต์มาเป็นผลชี้ขาด

ปีนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้เลือกใช้ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ตั้งอยู่ที่อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นสนามทดสอบ ทั้งนี้เพื่อยกระดับสร้างมาตรฐานใหม่ระดับสากลกับรางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR โดยได้รับความร่วมมือจาก ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กระทรวงอุตสาหกรรม ใช้เป็นสถานที่ทดสอบภาคสนาม พร้อมเชิญผู้แทนจากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ร่วมสังเกตการณ์อีกด้วย

สำหรับผู้ทำหน้าที่ทดสอบและให้คะแนนในรอบสุดท้าย คณะอนุกรรมการฯ จะคัดเลือก สมาชิกผู้สื่อข่าวสายยานยนต์ที่มีประสบการณ์สูงในการทดสอบรถยนต์ และได้ร่วมโหวตในรอบแรก เป็นผู้ดำเนินการทดสอบและโหวต โดยมีหลักเกณฑ์การให้คะแนน ตามมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกใช้ในการพิจารณาลงคะแนนกับรางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR ได้ดำเนินการมาตลอด 9 ปีที่ผ่าน ซึ่งได้ดำเนินการบนหลักการและกติกาที่มีความยุติธรรมตามมาตรฐานสากล สำหรับรถยนต์ที่มีความแตกต่างทั้งเครื่องยนต์ ระดับราคา จากหลากหลายเซ็กเมนท์ทางการตลาด

สำหรับการให้คะแนนในรอบสุดท้าย จะคำนึงถึงคุณสมบัติต่างๆ ของรถยนต์ที่เข้ารอบ ทั้งเรื่องรูปลักษณ์การออกแบบภายนอกภายใน สมรรถนะของเครื่องยนต์ วัสดุตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ความสะดวกสบายในการใช้งาน และความคุ้มค่ากับราคาที่ตั้งจำหน่ายในตลาด

ทั้งนี้ หลังจากการโหวตลงคะแนนภาคสนามในรอบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย หีบบัตรลงคะแนนคณะกรรมการสมาคมฯ จะนำมาเก็บไว้เป็นความลับ และจะมีการเปิดหีบบัตรมานับคะแนนต่อหน้าคณะกรรมการสักขีพยานเพื่อตัดสินรางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2023 และจัดพิธีมอบรางวัลในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ศกนี้ ณ ศูนย์ประชุม เดอะฮอลล์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร

รถยนต์ที่ผ่านการโหวตรอบแรก THAILAND CAR OF THE YEAR 2023

-BMW X1

-GWM TANK 300

-HONDA CR-V

-MERCEDES-BENZ GLC 350e

-MITSUBISHI TRITON

-TOYOTA INNOVA ZENIX

รถยนต์ที่ผ่านการโหวตรอบแรก THAILAND EV OF THE YEAR 2023

-BYD Dolphin

-BYD Seal

-MG 4 Electric

-MG Maxus 9

-MERCEDES-AMG EQE 53 4MATIC+

-TOYOTA bZ4X

ฮอนด้า เปิดจำหน่าย “แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ อย่างเป็นทางการ

ฮอนด้า เปิดจำหน่าย “แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่” อย่างเป็นทางการราคาเริ่มต้น 1,529,000 บาท พร้อมระบบฟูลไฮบริด อี:เอชอีวี และ Honda SENSING ทุกรุ่นย่อยตอกย้ำตำแหน่งผู้นำกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ด้วยยนตรกรรม e:HEV

•ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ราคาจำหน่าย รุ่น e:HEV E 1,529,000 บาท  รุ่น e:HEV EL ราคา 1,669,000 บาท และรุ่น e:HEV RS ราคา 1,799,000 บาท

•เมื่อจองและรับรถภายใน 31 ธ.ค. 2566 รับ “Honda Exclusive Care” ประกอบด้วย ฟรีประกันภัย 1 ปี ฟรีรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง อีกทั้งฟรีแพ็กเกจเช็กระยะ ค่าแรง ค่าอะไหล่ 5 ปี หรือ 100,000 กม. และฟรี Honda Ultimate Care ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง อีก 2 ปี หรือ 40,000 กม.

•สู่คำตอบของทุกสิ่งของยนตรกรรมระดับพรีเมียม ด้วยดีไซน์ที่สปอร์ตหรูหราทั้งภายนอกและภายใน ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV มอบแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันสูงถึง 25 กม./ลิตร มั่นใจยิ่งขึ้นในทุกเส้นทางด้วย เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย พร้อมหลากหลายเทคโนโลยีและฟังก์ชันการใช้งานอันล้ำสมัย อาทิ Google built-in ปุ่ม Experience Selection Dial ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบปรับเฉดสีได้ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง ฯลฯ

•เสริมความแข็งแกร่งไลน์อัป e:HEV ขึ้นอีกขั้น มอบทางเลือกยนตรกรรม e:HEV ที่ครอบคลุมเซกเมนต์หลัก ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่หลากหลาย ตอกย้ำบทบาทผู้นำกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ในประเทศไทย

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศราคา “ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่” อย่างเป็นทางการ โดยราคารุ่น e:HEV E ราคา 1,529,000 บาท รุ่น e:HEV EL ราคา 1,669,000 บาท และรุ่น e:HEV RS ราคา 1,799,000 บาท ยกระดับไลน์อัป e:HEV ของฮอนด้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมเดินหน้าตอกย้ำบทบาทผู้นำกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ในประเทศไทย ผสานการนำเสนอคุณค่าเพื่อให้เป็นรถที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดย ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตสะท้อนความหรูหราทั้งภายนอกและภายใน สมรรถนะการขับขี่ทรงพลังด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ในทุกรุ่นย่อย มอบแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร และประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 25 กม./ลิตร มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย นอกจากนี้ยังมาพร้อมหลากหลายเทคโนโลยีอันล้ำสมัย* เพื่อความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง อาทิ Google built-in ปุ่ม Experience Selection Dial ที่เลือกปรับได้อย่างง่ายดาย ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบปรับเฉดสีได้ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) สวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Switch) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงอารมณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้า โดยมีการเพิ่ม Charge Mode เข้ามาเป็นครั้งแรกใน แอคคอร์ด อีกทั้งมั่นใจด้วยหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัยอื่นๆ* อาทิ ถุงลม 8 ตำแหน่งในทุกรุ่นย่อย ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (ACL) เซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และหลัง 4 จุด เป็นต้น มาพร้อม “Honda Exclusive Care” ให้ลูกค้าขับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ได้อย่างมั่นใจและอุ่นใจ ประกอบด้วยฟรีประกันภัย 1 ปี ฟรีรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง อีกทั้งฟรีแพ็กเกจเช็กระยะ ค่าแรง ค่าอะไหล่ 5 ปี หรือ 100,000 กม. และฟรี Honda Ultimate Care ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง อีก 2 ปี หรือ 40,000 กม. กับข้อเสนอดอกเบี้ย 2.29%** พร้อมเปิดให้ลูกค้าสัมผัสกับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ พร้อมทดลองขับได้ที่โชว์รูมฮอนด้า ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

นายฮิเดโอะ คาวาซากะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้า แอคคอร์ด นับเป็นรถที่สำคัญรุ่นหนึ่งของฮอนด้า ในฐานะแฟลกชิปโมเดลทั้งในระดับโลกและประเทศไทย ที่นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยใหม่ ๆ มาโดยตลอด ในวันนี้ แอคคอร์ด เจเนอเรชันที่ 11 พร้อมขับเคลื่อนชีวิตของผู้คนด้วยเทคโนโลยี e:HEV ที่เหมาะสมที่สุด ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

ทั่วโลก อีกทั้งพร้อมมอบคุณค่าที่ยกระดับตลาดรถยนต์ในกลุ่ม D-Segment อีกขั้น กับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ที่ผสานเทคโนโลยีระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ มอบการขับเคลื่อนที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยพลังขับเคลื่อนหลักจากมอเตอร์ไฟฟ้าอันทรงพลัง มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย พร้อมด้วยหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยอันล้ำสมัย ที่ได้รับการติดตั้งในรถยนต์คันนี้ เพื่อให้เป็นรถที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“โดยฮอนด้า ให้ความสำคัญกับการทำตลาดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นที่รถยนต์ไฮบริดเป็นหลัก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหญ่ ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนของการขายรถยนต์ไฮบริดที่มากที่สุดในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ในตลาดรถยนต์รวมในประเทศไทย ซึ่งการเปิดตัว ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ในครั้งนี้ จะมีส่วนสำคัญในการตอกย้ำความเป็นผู้นำของฮอนด้าในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อีกทั้งสะท้อนถึงบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในภาพรวม สร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในด้านการจ้างงาน และด้าน Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ อีกทั้งเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นถึงจุดแข็งด้านคุณภาพการผลิต และความเชื่อมั่นของรถที่ผลิตในไทยที่ได้มาตรฐานระดับเดียวกับฮอนด้าทั่วโลกได้เป็นอย่างดี”

โดยราคาจำหน่าย ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ทั้ง 3 รุ่นย่อย ได้แก่

•รุ่น e:HEV RS                  ราคา 1,799,000 บาท      

•รุ่น e:HEV EL                  ราคา 1,669,000 บาท      

•รุ่น e:HEV E                    ราคา 1,529,000 บาท

มาพร้อมสีภายนอกให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาวแพลทินัม (มุก)  สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก)  สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก)  และสีดำคริสตัล (มุก) พร้อมภายในสีดำ และสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)

ข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ เมื่อจองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566 รับข้อเสนอดอกเบี้ย 2.29%** พร้อมรับ Honda Exclusive Care (ฮอนด้า เอ็กซ์คลูซีฟ แคร์) ประกอบด้วย

•ฟรีประกันภัย 1 ปี

•ฟรีรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

•ฟรีแพ็กเกจเช็กระยะ ค่าแรง ค่าอะไหล่ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

•ฟรี Honda Ultimate Care (ฮอนด้า อัลติเมท แคร์) ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมงอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร ต่อจากการรับประกันคุณภาพรถใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร สิ้นสุด รวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถขับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ได้อย่างมั่นใจและอุ่นใจ ด้วยบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน และทีมงานที่เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ด้าน e:HEV (e:HEV Expert) จากเครือข่ายศูนย์บริการฮอนด้าที่ได้มาตรฐานและครบวงจรครอบคลุมทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ภายในงานเปิดตัวฯ ยังได้จัดแสดงยนตรกรรมในไลน์อัป e:HEV ครอบคลุม 4 เซกเมนต์หลัก ทั้งในกลุ่มซิตี้คาร์ ได้แก่ ซิตี้ อี:เอชอีวี และ ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี กลุ่มคอมแพคท์คาร์ ได้แก่ ซีวิค อี:เอชอีวี กลุ่มเอสยูวี ได้แก่ เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี และ ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี และกลุ่ม D-segment ได้แก่ แอคคอร์ด อี:เอชอีวี เพื่อเน้นย้ำความแข็งแกร่งของเทคโนโลยี e:HEV ที่เหมาะสมที่สุด พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยม ประหยัดน้ำมัน อีกทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยลูกค้าที่สนใจสามารถร่วมรับชม Live Talk ในหัวข้อ “ยุคที่ผู้คนมีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ทำไมรถยนต์ไฮบริดถึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม” กับกูรูยานยนต์และ Influencer ในหลากหลายวงการ ผ่านทาง LIVE ถ่ายทอดสดออนไลน์ทางออฟฟิเชียลแอคเคานต์ “Honda Thailand” ในช่องทาง Facebook และ YouTube Channel วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2566  ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป

ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ในทุกรุ่นย่อย ตอบสนองอย่างทันใจและทรงพลัง มอบแรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร และมีอัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 25 กม./ลิตร โดยระบบสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด (Intelligent Multi-mode drive) ประกอบไปด้วยการทำงานของโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) นอกจากนี้ในขณะลดความเร็ว ระบบจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดขึ้นจากการลดความเร็วนั้นให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ (Regeneration) นอกจากนี้ผู้ขับขี่ยังสามารถเข้าถึงอารมณ์การขับขี่ด้วยไฟฟ้า กับสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Switch) ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ที่ได้รับการพัฒนาโดยเพิ่ม Charge Mode เข้ามาเป็นครั้งแรก ในแอคคอร์ด

ดีไซน์ภายนอกโดดเด่นในทุกมิติ ผสานความหรูหราสง่างามและความสปอร์ตไว้อย่างลงตัว ภายในห้องโดยสารกว้าง ครบครันด้วยเทคโนโลยีและฟังก์ชันการใช้งานเพื่อความสะดวกสบาย และสะท้อนภาพลักษณ์อย่างมีระดับ อาทิ Google built-in  ปุ่ม Experience Selection Dial ที่เลือกปรับได้ดั่งใจ ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบปรับเฉดสีได้ (Multi-color Ambient Light) ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) ขนาด 11.5 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว  ช่องเชื่อมต่อ USB Type C 4 ตำแหน่ง อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) เป็นต้น  ครั้งแรกในโลกกับรุ่น e:HEV RS ที่เสริมความสปอร์ตพรีเมียมอีกขั้นในดีไซน์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน มาพร้อมหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof)  ไฟเลี้ยวด้านหน้าและด้านหลังแบบ LED Sequential  และระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ (Honda Smart Key System)  พร้อม Honda Smart Key Card เป็นต้น

ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ผสานการทำงานของกล้องมุมกว้างด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้

•ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)

•ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)

•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) หรือ ใหม่ ครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน

•ใหม่ ครั้งแรกใน แอคคอร์ด กับ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)

พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่นๆ* อาทิ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (ACL) ระบบเพิ่มความเสถียรและความคล่องตัวในการขับขี่ (Motion Management System: MMS) ถุงลม 8 ตำแหน่ง ในทุกรุ่นย่อย เซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และหลัง 4 จุด ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder) ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหลัง ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC)  และเซนเซอร์ตรวจจับเสียงรบกวนจากพื้นถนน (Road noise ANC)  อีกทั้งเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่ออันล้ำสมัยที่เชื่อมผู้ใช้งานกับรถให้เป็นหนึ่งเดียว อาทิ

-ใหม่ ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้า กับฟังก์ชันการอัปเดตซอฟต์แวร์ Over-The-Air (OTA) ช่วยให้ผู้ใช้รถไม่เพียงสามารถอัปเดตระบบ Infotainment แต่ยังสามารถอัปเดตการทำงานของ ECU จากทางไกลได้ และใหม่ ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT มาพร้อมเทคโนโลยี Digital Key เป็นครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้า เป็นต้น

ยกระดับความสปอร์ตพรีเมียมอีกขั้น ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) ที่มาพร้อมแนวคิด “The Premium Sedan” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ คิ้วบันไดไดนามิก LED ราคา 6,500 บาท ชุดโลโก้ Accord และ H Mark หลังสีดำ ราคา 1,500 บาท คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า ราคา 2,200 บาท ชุดฝาปิดจุกลม H Mark ราคา 850 บาท และฟิล์มกันรอยบริเวณขอบประตู ราคา 1,200 บาท หรือเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ได้แก่

•Aero Smart Package ราคา 29,990 บาท ประกอบด้วยสเกิร์ตหน้า สเกิร์ตหลัง และสเกิร์ตข้าง

•Aero Sport Package ราคา 39,500 บาท (สำหรับรุ่น e:HEV E และ e:HEV EL) ประกอบด้วยสเกิร์ตหน้า สเกิร์ตหลัง สเกิร์ตข้าง และสปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต

•Film Package ราคา 1,700 บาท ประกอบด้วยฟิล์มกันรอยบริเวณที่เปิดประตู และฟิล์มกันรอยกันชนหลัง

หรือดูรายละเอียดชุดอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้ที่ https://hondaaccess.co.th/products/accordehev

ลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสกับ ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/accordehev

หมายเหตุ :

*อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

– สำหรับสีขาวแพลทินัม (มุก) เพิ่ม 14,000 บาท และสีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 10,000 บาท

– ราคาอุปกรณ์ตกแต่ง ไม่รวม VAT 7%

– กรณีติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งพร้อมรถยนต์ใหม่ รับประกันอุปกรณ์ตกแต่งนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

เลกซัส แสดงยนตรกรรมแห่งการขับเคลื่อนในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023

เลกซัส ชวนมาตื่นตากับตื่นใจกับอนาคตแห่งยานยนต์ และประสบการณ์แห่งการขับเคลื่อน ภายใต้แบรนด์เลกซัส ในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023

-เลกซัส แนะนำยนตรกรรมต้นแบบครั้งแรกของโลกในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023 ภายใต้ความมุ่งมั่นสู่การเป็นแบรนด์ผู้ผลิตยานยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (EV)

-นำเสนอวิสัยทัศน์อันยั่งยืนสู่ “อนาคตของยานยนต์” ที่ผสานความพิถีพิถันของช่างฝีมือชาวญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ชูไฮไลท์ยนตรกรรมไฟฟ้า และเทคโนโลยีนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะนำมาใช้ใน ยานยนต์เลกซัส ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ายุคใหม่

-พบ “Lexus Electrified VR Experience” ประสบการณ์การขับขี่เสมือนจริง (Virtual Reality) กับยนตรกรรมไฟฟ้าของ เลกซัส ที่จะสร้างประสบการณ์อันสอดคล้องกับปรัชญาในการให้ความสำคัญกับลูกค้า และการเชื่อมต่อกับสังคม

เลกซัส จัดแสดงในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023 ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ภายใต้ธีมหลักของงาน “พบกับอนาคตที่ไม่ต้องอดใจรอ!” หรือ “Discover a future you can’t wait to navigate!”

เลกซัส มาพร้อมแนวคิดที่ข้ามผ่าน “ข้อจำกัดของประสบการณ์ในยุคพลังงานไฟฟ้า” แนะนำไลน์อัพของยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคตป็นครั้งแรก สอดคล้องกับความมุ่งมั่นเพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ผู้ผลิตยานยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า ภายในปี พ.ศ. 2578 ภายในบูธโดดเด่นด้วยการนำเสนอสุนทรียศาสตร์แบบฉบับของประเทศญี่ปุ่น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืนอย่างไม้ไผ่ เพื่อนำเสนอความมุ่งมั่นในการบรรลุสังคมที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน

นอกจากยนตรกรรมต้นแบบแล้ว ผู้ชมจะได้สัมผัสโลกของอนาคตแห่งการขับขี่แบบเสมือนจริง “Lexus Electrified VR Experience”  ซึ่งยนตรกรรมไฟฟ้า และเทคโนโลยี AI มีบทบาทช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเชื่อมต่อกับสังคม รวมทั้งพบกับโอกาสสัมผัสประสบการณ์การขับขี่เฉพาะตัว ภายใต้การตั้งค่าของระบบเสมือนจริง (VR) ที่จะส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้รถอันเป็นความมุ่งหวังของ เลกซัส

การแถลงข่าวเปิดบูธจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 25 ตุลาคมนี้ เวลา 10:30 น.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save