- Advertisement -
28.9 C
Bangkok
Home Blog Page 51

GWM เปิดตัวยนตรกรรม 4 รุ่นจาก 4 แบรนด์ สู่ระดับโลก

เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัวยนตรกรรมอันล้ำสมัย 4 รุ่นจาก 4 แบรนด์ ประกาศความสำเร็จสู่เส้นทางระดับโลก ผ่านแนวคิดระบบนิเวศยานยนต์บนโลกที่ไร้พรมแดน ณ งานปักกิ่ง ออโต้โชว์ ครั้งที่ 18

30 เมษายน 2567 : เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในฐานะบริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก (Global Intelligent Technology Company) เปิดเผยความสำเร็จในการพัฒนาของแบรนด์ พร้อมประกาศทิศทางในการพัฒนาในอนาคต สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างมั่นคงบนแนวคิดระบบนิเวศยานยนต์บนโลกที่ไร้พรมแดน (Ecological Globalization) ครอบคลุมทั้งในด้านการวิจัย ด้านการผลิต และด้านการขาย พร้อมเปิดตัวรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีระดับโลก ไฮไลท์สุดพิเศษ 4 รุ่น ได้แก่ GWM TANK 700 Hi4-T รถยนต์ออฟโรดระดับพรีเมียมรุ่นเรือธง และ GWW SAHAR POER Hi4-T รถกระบะออฟโรดขุมพลังไฮบริดระดับพรีเมียมคันแรกของโลก เสริมทัพด้วย GWM HAVAL H6 4th Generation รถยนต์คอมแพคเอสยูวีขวัญใจชาวโลกในโฉมใหม่ การันตีด้วยยอดขายติดอันดับทั่วโลกอยู่ใน 10 อันดับแรกในกลุ่มรถยนต์คอมแพคเอสยูวีเป็นระยะเวลา 5 ปีซ้อน และ GWM WEY 80 ที่สุดของรถสำหรับทุกคนในบ้านอย่างแท้จริง มาพร้อมฟังก์ชันและความหรูหราแบบครบครัน ที่งานปักกิ่ง ออโต้โชว์ ครั้งที่ 18

มร.มู่ เฟิง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยืนยันที่จะพัฒนาสู่ระดับโลกโดยยึดรากฐานจากประเทศจีน ควบคู่ไปกับการพัฒนาให้สอดคล้องกับตลาดต่างประเทศ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนากลยุทธ์การส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เปลี่ยนแนวคิดจากการส่งออกสินค้า เป็นการค้าต่างประเทศ พร้อมพัฒนาต่อยอดสู่แนวคิดระบบนิเวศยานยนต์บนโลกที่ไร้พรมแดน ยิ่งไปกว่านั้น เรายังคงยึดมั่นในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในตลาดแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งเสริมการขาย ด้านการผลิต ด้านการดำเนินธุรกิจ ด้านวัฒนธรรมองค์กรและด้านการสร้างห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มีคุณภาพในระดับโลก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ทำการพัฒนาในตลาดต่างประเทศมามากกว่า 20 ปี จนถึงจุดสำเร็จ และได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์คุณภาพภายใต้แบรนด์อย่างเช่น GWM TANK และ GWM ORA ในตลาดต่างประเทศ สะท้อนผลสำเร็จของแนวคิดระบบนิเวศยานยนต์บนโลกที่ไร้พรมแดนได้อย่างมีนัยสำคัญ”

ในงานปักกิ่ง ออโต้โชว์ ครั้งที่ 18 นี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ขนทัพรถยนต์อัจฉริยะหลากหลายรุ่น พร้อมไฮไลท์สุดพิเศษรวม 4 รุ่น และนวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำมาจัดแสดง สะท้อนภาพความเป็นผู้นำด้านยนตรกรรมไฟฟ้าแห่งอนาคต

ประเดิมด้วยการเปิดตัว GWM TANK 700 Hi4-T รถออฟโรดระดับพรีเมียมที่ผสมผสานสมรรถนะอันแข็งแกร่งและความหรูหราเหนือระดับได้อย่างลงตัว ด้วยเทคโนโลยีไฮบริดขั้นสูงเพื่อสร้าง “ความพึงพอใจของผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง” สู่ความโดดเด่นและแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ไฮบริดอื่นๆ ในระดับโลก พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ขั้นสูงสุดให้กับไลฟ์สไตล์ของนักผจญภัยสายลุยและไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างตรงจุด ด้วยขนาดที่ยาวกว่า 5 เมตร และกว้างมากกว่า 2 เมตร จึงทำให้พร้อมกับการผจญภัยทุกรูปแบบ มาพร้อมระบบการขับเคลื่อนสี่ล้อ 3.0T Hi4-T ซึ่งเป็นการออกแบบโครงสร้างเครื่องยนต์เพียงหนึ่งเดียวในประเทศจีนที่สามารถรองรับพละกำลังของรถยนต์ไฮบริดขนาดใหญ่ ร่วมด้วยการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์หลายสูบที่มีความจุสูงและมอเตอร์ไฟฟ้า P2 ที่มีพลังงานสูง ให้กำลังรวมสูงสุด 385 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร (850 นิวตันเมตร สำหรับรุ่น Limited Edition) และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาไม่ถึง 5 วินาที อีกทั้งยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทุกเส้นทางมากถึง 12 โหมด และสามารถลุยน้ำได้สูงสุดถึง 970 มิลลิเมตร จึงสามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้ขับขี่ในทุกเส้นทางและทุกสถานการณ์ นอกจากสมรรถนะที่โดดเด่นแล้ว ภายในของ GWM TANK 700 Hi4-T ยังถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่อย่างหรูหราและเหนือระดับ เบาะนั่ง Light Cloud ทำจาก หนัง BADER  NAPPA จากเยอรมนี มุมกว้างพิเศษ ออกแบบให้เข้ากับสรีระของร่างกายเพื่อสร้างความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้ขับขี่ราวกับนั่งบนปุยเมฆ เบาะด้านหน้าสามารถปรับระดับได้ถึง 156 องศา และ 141 องศาสำหรับเบาะด้านหลัง ที่วางขาสามารถปรับได้ 2 ทิศทาง ที่ดันหลังปรับได้ 4 ทิศทาง ระบบระบายอากาศของเบาะปรับได้ 3 ระดับ พร้อมระบบปรับอากาศ 9 ระดับ ร่วมกับระบบเสียงจาก Harman Kardon ที่มาพร้อมลำโพง 16 ตัวที่สร้างความละเอียดเสียงระดับ Hi-Fi (High Fidelity) ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้ก้าวไปอีกขั้น ผ่านทุกรายละเอียดที่สร้างสรรค์ไว้อย่างประณีตในทุกแง่มุม นอกจากนี้ GWM TANK 700 Hi4-T ยังมีระบบเก็บเสียงที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยการผนึกประตูข้างถึง 3 ชั้น และประตูด้านหลังถึง 2 ชั้น พร้อมกับกระจกที่ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกหนา 5 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับระบบลดเสียงของ Harman Kardon ทำให้ห้องโดยสารเงียบแม้จะขับขี่ที่ความเร็วสูงถึง 199 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ตาม

GWM SAHAR POER Hi4-T กับคำนิยาม “รถกระบะออฟโรดขุมพลังไฮบริดระดับไฮเอนด์ลักซ์ชัวรี่คันแรกของโลก มาพร้อมกับ GWM Hi4-T Off-road Super Hybrid Architecture ที่พัฒนาโดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ เทียบเท่ากับรถยนต์แบรนด์หรูที่ระดับราคา 8 แสนหยวน (ประมาณ 4 ล้านบาท) ขึ้นไป เป็นการผสมผสานทั้งพลังงานน้ำมันและพลังงานไฟฟ้าเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้ที่ติ ด้วยเครื่องยนต์ที่มีเสถียรภาพและมอเตอร์ที่มีความแข็งแกร่ง จึงมอบพละกำลังและอัตราเร่งที่ดีเยี่ยมทั้งบนการขับขี่ทางเรียบและออฟโรด ร่วมกับการลดการใช้พลังงานน้ำมันและพลังงานไฟฟ้าถึงสองเท่า นอกจากนี้ GWM SAHAR POER Hi4-T ยังมาพร้อมกับระบบส่งกำลังที่ประกอบด้วยเครื่องยนต์ 2.0T เกียร์ 9HAT และมอเตอร์ไฟฟ้า P2 ให้กำลังรวมสูงสุด 300 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร และอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 7.15 วินาที ร่วมกับโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดไฟฟ้าล้วน โหมดไฮบริด และโหมดอัจฉริยะ โดยเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ต่ำกว่า 13.5% ระบบจะเปลี่ยนเป็นไฮบริดโดยอัตโนมัติ และเมื่ออยู่ในระบบไฮบริดและแบตเตอรี่ต่ำกว่า 10% รถจะเปลี่ยนเป็นการขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์โดยอัตัโนมัติและทำการชาร์จพลังงานเข้าแบตเตอรี่ นอกจากนี้ GWM SAHAR POER Hi4-T สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนในระยะสูงถึง 100 กิโลเมตร โดยในการขับขี่ทางไกล อัตราการสิ้นเปลืองพลังงานจะมีประสิทธิภาพมากถึง 2.5 ลิตรต่อ 100 กิโลแมตรเลยทีเดียว โดยสามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 780 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า P2 ที่สามารถให้กำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ต่อ 400 นิวตันเมตร ให้ประสิทธิภาพมากกว่า 96% ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะแรงกดอากาศสูงและอุณหภูมิต่ำ สู่การยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมรถกระบะไปอีกขั้นให้แตกต่างไปจากเดิม

ต่อด้วยรถยนต์ที่สามารถครองอันดับยอดขายทั่วโลกอยู่ใน 10 อันดับแรกในกลุ่มรถยนต์คอมแพคเอสยูวีเป็นระยะเวลา 5 ปีซ้อน และยังคงรักษาความพึงพอใจของลูกค้าได้สูงสุดเป็นเวลา 9 ปี อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจและกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้ามากกว่า 4 ล้านรายทั่วประเทศอย่าง GWM HAVAL H6 รถยนต์เอสยูวีที่สามารถเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างหลากหลายและสามารถมอบประสบการณ์ครบวงจรสำหรับการเดินทางของครอบครัวของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว GWM HAVAL H6 ในเจนเนอเรชัน 4 นี้ ได้รับการเปลี่ยนโฉมใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Star River Aesthetics” หรือความพลิ้วไหวของสายน้ำและดวงดาว แต่ยังคงนำความโดดเด่นของรถยนต์ในเจนเนอเรชันที่ 3 ไว้ได้อย่างครบถ้วน มอบความสวยงาม สะดวกสบาย และความสุนทรีแห่งอนาคตให้กับผู้ขับขี่ตลอดทั้งเส้นทาง ด้วยเทคโนโลยีที่ทรงพลังกว่าเดิมด้วยระบบส่งกำลัง 2 ระบบ ได้แก่ 1.5T และ 2.0T โดยระบบส่งกำลัง 1.5T ใช้เครื่องยนต์ 4B15L ทำงานร่วมกับเกียร์ 7DCT ที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีขึ้น ส่วนระบบส่งกำลัง 2.0T ใช้เครื่องยนต์ทรงพลัง 4N20A ทำงานร่วมกับเกียร์ 9DCT ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะของ BorgWarner พร้อมการขับขี่ 6 โหมด และมีระบบตอบสนองหลายภูมิประเทศ โดย GWM HAVAL H6 มีพละกำลังที่มากขึ้น ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงยิ่งขึ้น ด้านเทคโนโลยีมาพร้อมแพลตฟอร์มอัปเกรดจาก Coffee Intelligence เป็น “Coffee AI” ที่เพิ่มความสะดวกสบายและให้ผู้ขับขี่สามารถสนทนากับระบบได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึง Coffee Pilot ที่จะปรับเปลี่ยนตามลักษณะการท่องเที่ยวของผู้ขับขี่ในรูปแบบต่างๆ สร้างการขับขี่ที่มีความอัจฉริยะและประสบการณ์ที่เหนือชั้นให้กับทุกคนในครอบครัว

และ GWM WEY 80 รถยนต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้กลุ่มครอบครัวได้อย่างครอบคลุมทั้งความสะดวกสบายและความหรูหรา มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่จะมอบความรู้สึกเหมือนกับบ้านหลังที่สองให้กับผู้ขับขี่ การออกแบบภายในที่รองรับสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้เป็นอย่างดีเพื่อสร้างความผ่อนคลายและการพักผ่อนทั้งทางร่างกาย และทางจิตใจให้กับทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับตู้เย็นขนาดใหญ่สองประตูภายในรถยนต์ โดดเด่นมากยิ่งขึ้นด้วยประตูตู้เย็นที่สามารถเปิดได้ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ร่วมกับระบบควบคุมอุณหภูมิสองโหมด ได้แก่ โหมดทำความเย็น (0-15 องศาเซลเซียส) และโหมดทำความร้อน (35-50 องศาเซลเซียส) มาพร้อมปริมาณความจุที่ให้มาถึง 12.5 ลิตร มอบความสะดวกสบายแบบเหนือระดับยิ่งกว่าใคร อีกทั้งระบบเสียง Harman Kardon ที่มาพร้อมลำโพงรอบทิศทางมอบประสบการณ์เสียงในรูปแบบใหม่ๆ เสมือนกับนั่งฟังในโรงละครโอเปร่า นอกจากนี้ GWM WEY 80 ยังมอบความเงียบในห้องโดยสารได้เป็นอย่างดี เมื่อความเร็วอยู่ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงห้องโดยสารจะถูกควบคุมอยู่ที่ 65 เดซิเบล ควบคู่กับเทคโนโลยีลดเสียงรบกวนของเครื่องยนต์ (HALOSonic EOC) ให้ตลอดทั้งเส้นทางไร้ซึ่งสิ่งรบกวนสู่ประสบการณ์การขับขี่ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น GWM WEY 80 ยังมาพร้อมกับเครื่องฟอกอากาศระบบพลาสมา ระบบทำความสะอาดอากาศในห้องโดยสารอัจฉริยะ Volvo Air Quality System (AQS) และม่านบังแดดสำหรับแถวที่ 2 และ 3 อีกด้วย นับว่าเป็นรถยนต์ที่มอบความสะดวกสบายผ่านเทคโนโลยีเหนือระดับได้อย่างลงตัว

เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังคงเดินหน้าเพื่อส่งเสริมแนวคิดระบบนิเวศยานยนต์บนโลกที่ไร้พรมแดน (Ecological Globalization) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาแบรนด์ในระดับโลก ครอบคลุมทั้งในด้านการวิจัย ด้านการผลิต และด้านการขาย ในปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้จัดตั้งฐานการผลิตยานยนต์แบบเต็มรูปแบบในประเทศไทยและในบราซิล และมีโรงงานแบบ KD ในปากีสถาน เอกวาดอร์ และประเทศอื่นๆ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและการผลิตสินค้า รวมถึงนำผลิตภัณฑ์ไปสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและวิถีการขับขี่ของผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาคได้อย่างเหมาะสม การตั้งสายการผลิตยานยนต์ในพื้นที่ท้องถิ่น ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ สามารถแข่งขันทางด้านราคาในตลาดนั้นๆ ได้ แต่ยังมีส่วนในการสร้างอาชีพให้กับประชากร สร้างรายได้ในประเทศนั้นๆ ควบคู่ไปกับการสะท้อนความรับผิดชอบต่อสังคมในประเทศที่เกรท วอลล์ มอเตอร์ เข้าไปตั้งฐานการผลิตอยู่

ตลาดรถยนต์ไตรมาสแรกปี 2567 ยอดขายรวม 1.6 แสนคัน

ตลาดรถยนต์ไตรมาสแรกยอดขายรวม 1.6 แสนคัน ลดลง 24.6% ผลกระทบโดยมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลโดยตรงให้กำลังซื้อจำกัด และสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่วนเดือนเมษายนแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น ช่วงเทศกาลสงกรานต์การท่องเที่ยวคึกคักมีเงินหมุนเวียนอัดฉีดสู่ระบบเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างมาก

นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนมีนาคม ปี 2567 ด้วยยอดขาย 56,099 คัน ลดลง 29.8% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 22,342 คัน ลดลง 25.1% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 33,757 คัน ลดลง 32.6% และรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขายที่ 19,648 คัน ลดลง 45.5%

สำหรับไฮไลต์ตลาดรถยนต์เดือนมีนาคม 2567 มีปริมาณการขาย 56,099 คัน ลดลง 29.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งยอดขายที่ลดลง เป็นผลมาจากการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของภาคเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้กำลังซื้อยังคงจำกัด และควบคู่ไปกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์นั่ง มีอัตราการเติบโตลดลงที่ 25.1% และตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มีอัตราการเติบโตลดลงที่ 32.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน HEV มียอดขาย 12,689 คัน เพิ่มขึ้น 68.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ดันตลาด xEV เดือนมีนาคมเติบโตขึ้น 19.5% ในส่วนของ BEV ยอดขายเดือนมีนาคมอยู่ที่ 5,167 คัน เติบโตลดลง 25.6% และ PHEV ยอดขาย 897 คัน เติบโตลดลง 27.1%

ตลาดรถยนต์ในเดือนเมษายนมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น เนื่องจากกระแสการท่องเที่ยวในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ สามารถเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนภายในประเทศ และถือเป็นหนึ่งในปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และรวมถึงการเริ่มส่งมอบรถยนต์ใหม่ที่จองในงาน บางกอก มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 เป็นปัจจัยบวกและเริ่มส่งผลดีต่อตลาดรถยนต์

 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมีนาคม 2567

1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 56,099 คัน ลดลง 29.8%                           

  • อันดับที่ 1 โตโยต้า        21,582 คัน  ลดลง 16.1%                ส่วนแบ่งตลาด 38.5%
  • อันดับที่ 2 อีซูซุ            8,861 คัน    ลดลง 48.3 %                ส่วนแบ่งตลาด 15.8%
  • อันดับที่ 3 ฮอนด้า         8,219 คัน    ลดลง 19.3%                ส่วนแบ่งตลาด 14.7%

2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 22,342 คัน ลดลง 25.1%                           

  • อันดับที่ 1 โตโยต้า        6,606 คัน   ลดลง 33.6%                ส่วนแบ่งตลาด 29.6%
  • อันดับที่ 2 ฮอนด้า        4,869 คัน    ลดลง 31%                  ส่วนแบ่งตลาด 21.8%
  • อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ        2,039 คัน   เพิ่มขึ้น 14%                 ส่วนแบ่งตลาด  9.1%
  • 3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 33,757 คัน ลดลง 32.6%                           

อันดับที่ 1 โตโยต้า        14,976 คัน  ลดลง 5%                    ส่วนแบ่งตลาด 44.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            8,861 คัน   ลดลง 48.3%                ส่วนแบ่งตลาด 26.2%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า        3,350 คัน    เพิ่มขึ้น 7%                  ส่วนแบ่งตลาด 9.9%

4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 19,648 คัน ลดลง 45.5%

อันดับที่ 1 โตโยต้า        8,629 คัน    ลดลง 34.1%                ส่วนแบ่งตลาด 43.9%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            7,865 คัน    ลดลง 50.4%                ส่วนแบ่งตลาด 40%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด          1,744 คัน    ลดลง 57.2%                ส่วนแบ่งตลาด 8.9%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,436 คัน

โตโยต้า 1,262 คัน – อีซูซุ 1,160 คัน –ฟอร์ด 682 คัน –มิตซูบิชิ 298 คัน – นิสสัน 34 คัน

5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 16,212 คัน ลดลง 45.3%                                

อันดับที่ 1 โตโยต้า        7,367 คัน    ลดลง 31.5%        ส่วนแบ่งตลาด 45.4%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            6,705 คัน    ลดลง 50.4%                ส่วนแบ่งตลาด 41.4%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด          1,062 คัน    ลดลง 63.3%                ส่วนแบ่งตลาด  6.6%                                                         

สถิติการจำหน่ายรถยนต์เดือนมกราคม – มีนาคม 2567

1.ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 163,756 คัน ลดลง 24.6%                           

  • อันดับที่ 1 โตโยต้า        58,810 คัน  ลดลง 21.7%                ส่วนแบ่งตลาด 35.9%
  • อันดับที่ 2 ฮอนด้า         25,104 คัน  ลดลง 3.3%                 ส่วนแบ่งตลาด 15.3%
  • อันดับที่ 3 อีซูซุ           24,444 คัน  ลดลง 48.2%                ส่วนแบ่งตลาด 14.9%

2.ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 65,615 คัน ลดลง 15.4%                                

  • อันดับที่ 1 โตโยต้า        16,631 คัน  ลดลง 40.8%                ส่วนแบ่งตลาด 25.3%
  • อันดับที่ 2 ฮอนด้า         14,198 คัน  ลดลง 20.2%                ส่วนแบ่งตลาด 21.6%
  • อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ          4,954 คัน  ลดลง 5.1%                  ส่วนแบ่งตลาด 7.6%

3.ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 98,141 คัน ลดลง 29.7%                    

อันดับที่ 1 โตโยต้า        42,179 คัน  ลดลง 10.3%                ส่วนแบ่งตลาด 43%

อันดับที่ 2 อีซูซุ           24,444 คัน  ลดลง 48.2%                ส่วนแบ่งตลาด 24.9%

อันดับที่ 3 ฮอนด้า         10,906 คัน  เพิ่มขึ้น 33.4%              ส่วนแบ่งตลาด 11.1%

4.ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 56,425 คัน ลดลง 44.4%

อันดับที่ 1 โตโยต้า        25,248 คัน  ลดลง 35.7%                ส่วนแบ่งตลาด 44.7%

อันดับที่ 2 อีซูซุ            21,481 คัน  ลดลง 50.6%                ส่วนแบ่งตลาด 38.1%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด          5,931 คัน    ลดลง 46.3%                ส่วนแบ่งตลาด 10.5%

*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 9,814 คัน

โตโยต้า 3,648 คัน – อีซูซุ 3,168 คัน – ฟอร์ด  2,139 คัน – มิตซูบิชิ 732 คัน – นิสสัน 127 คัน

5.ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 46,611 คัน ลดลง 44%

อันดับที่ 1 โตโยต้า        21,600 คัน  ลดลง 33.6%                ส่วนแบ่งตลาด 46.3%

อันดับที่ 2 อีซูซุ           18,313 คัน  ลดลง 50.9%                ส่วนแบ่งตลาด 39.3%

อันดับที่ 3 ฟอร์ด         3,792 คัน    ลดลง 49.3%                ส่วนแบ่งตลาด 8.1%

เลกซัส แนะนำรถครอสโอเวอร์ระดับหรู Lexus NX รุ่นปรับปรุงใหม่ 2024

เลกซัส ประเทศไทย แนะนำรถครอสโอเวอร์ระดับหรู The New Lexus NX รุ่นปรับปรุงใหม่ 2024 พร้อมแนะนำเกรด NX 450h+ Overtrail “Refine and Powerful off-road Performance”

เลกซัส ประเทศไทย แนะนำ Lexus NX รุ่นปรับปรุงใหม่ 2024 พร้อมกับการแนะนำเกรด Overtrail เพื่อส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษ ที่จะช่วยเติมเต็มทุกการเดินทางของคุณ ไม่ว่าจะเป็นในเมือง หรือเส้นทางใหม่ๆ ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ

เลกซัสนำเสนอ Lexus NX รุ่นปรับปรุงใหม่ พร้อมแนะนำเกรด Overtrail ด้วยการออกแบบให้มีภาพลักษณ์ระดับพรีเมียม สะท้อนถึงแนวคิดของความยั่งยืนและความกลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นสะพานเชื่อมต่อความหรูหรา สะดวกสบายและซึมซับเสน่ห์ของธรรมชาติ ภายนอกโดดเด่นด้วยการตกแต่งด้วยสีดำที่กระจกมองข้าง มือจับประตู ราวหลังคา คิ้วล้อ และกระจังหน้าแบบ SPINDLE GRILLE ดูแข็งแกร่งดุดัน มาพร้อมสีภายนอกพิเศษ Moon Desert และล้ออัลลอยสีดำด้านขนาด 18 นิ้วดีไซน์ใหม่ พร้อมยางพิเศษสำหรับทุกสภาพถนน ที่มีเฉพาะในเกรด Overtrail เท่านั้น

โดยห้องโดยสารภายในเกรด Overtrail เป็นเอกลักษณ์ด้วยเบาะนั่งโทนสีพิเศษสีกากีและสีดำ พร้อมด้วยลายไม้แบบ Geo Layer ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายของชั้นหินธรรมชาติ ถูกออกแบบเฉพาะในเกรด Overtrial เท่านั้น

ในด้านสมรรถนะการขับขี่ Lexus NX Overtrail รุ่นปรับปรุงใหม่นี้ ได้มีการเพิ่มระดับความสูงของช่วงล่างให้สูงขึ้น 15 มม. ส่งผลให้ระยะห่างจากพื้นรถเพิ่มขึ้น ช่วยให้วิสัยทัศน์ของผู้ขับขี่ดีขึ้น มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบข้างได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ส่งผลให้ NX Overtrail สามารถวิ่งบนถนนที่ขรุขระได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ Lexus NX Overtrail จะมีให้ลูกค้าได้เลือกเป็นเจ้าของได้ในรุ่น NX 450+ เท่านั้น

The New Lexus NX…Reimagine รุ่นปรับปรุงใหม่

เลกซัส NX ถือเป็นรถครอสโอเวอร์รุ่นขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งจากเลกซัสในประเทศไทย นับตั้งแต่เปิดตัวในเจเนอเรชันแรกเมื่อปี พ.ศ.2557 จนถึงปัจจุบัน ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดูสปอร์ต โฉบเฉี่ยวและทันสมัย ด้วยกระจังหน้า SPINDLE GRILLE ดีไซน์ใหม่ ไฟท้ายรูปทรงตัว L สอดรับกับโลโก้แบบใหม่ของเลกซัส มาพร้อมกับสีภายนอกให้เลือกถึง 12 สี โดยมีสีใหม่คือ Sonic Copper นอกจากนี้ภายในของเลกซัส NX ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง โดยมีการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอขนาดใหญ่ 9.8 นิ้ว ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ได้อย่างสะดวก และง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ด้วยสถาปัตยกรรมโครงสร้างตัวถังแบบ GA-K (Global Architecture-K Platform) ทำให้ตัวรถมีขนาดที่ใหญ่ และกว้างขึ้น ส่งผลให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทรงตัวเยี่ยม และควบคุมได้ดั่งใจ ทำให้ NX มีเสถียรภาพในการขับขี่ดีขึ้นในทุกมิติ ตอกย้ำปรัชญา “Lexus Driving Signature” ได้เป็นอย่างดี โดยเลกซัส NX มาพร้อมกับระบบเครื่องยนต์ไฮบริด และ ปลั๊กอินไฮบริด เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน

-Lexus NX 350h มาพร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริด HEV 4 สูบแถวเรียง 2.5 ลิตร ที่ผสานพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงและแบตเตอรี่ลิเทียมไออนเข้าด้วยกัน ให้อัตราเร่งที่ดี ขับสนุกเร้าใจและประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม

-Lexus NX 450h+ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ผสานการทำงานกับแบตเตอรี่ลิเธียมอิออนประสิทธิภาพสูง และระบบขับเคลื่อนสีล้อ (AWD) ทำให้ได้พละกำลังที่สูงถึง 304 แรงม้า และสามารถเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 87 กิโลเมตร ด้วยการชาร์จไฟ จาก 0-100% ภายในเวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น Lexus NX 450h+ คันนี้จึงเรียกได้ว่าเป็น SMARTER EV ตัวจริง ซึ่งแทบจะไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันในการเดินทางในเมือง แต่หากต้องเดินทางระยะไกล ก็สามารถเดินทางแบบไร้กังวล เนื่องจากมีระบบเครื่องยนต์ไฮบริด ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟ หรือหาสถานีชาร์จระหว่างทาง

ด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย Lexus NX มาพร้อมกับ Lexus Safety System Plus ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีระบบกลอนประตูอิเล็กทรอนิกส์ E-LATCH โดยระบบจะช่วยให้ประตูรถทำงานได้อย่างนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น ระบบการเปิด-ปิดประตูแบบ Safe Exit Assist เพิ่มความปลอดภัยขณะลงจากรถ ช่วยให้ไม่ต้องออกแรงดึงหรือผลักเพื่อเปิดประตู ทำให้ Lexus NX เป็น SUV ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี

The All New Lexus NX มีให้เลือกเป็นเจ้าของได้ทั้งหมด 12 สี

-White Nova Glass Flake**

-Sonic Quartz*

-Sonic Titanium

-Sonic Chrome

-Black

-Graphite Black Glass Flake

-Madder Red

-Sonic Copper (ใหม่)

-Moon Desert*** (ใหม่)

-Terrane Khaki Mica Metallic

-Heat Blue Contrast Layering**

-Celestial Blue Glass Flake

* สำหรับเกรด Luxury, Grand Luxury และ Premium เท่านั้น

** สำหรับเกรด F SPORT เท่านั้น

*** สำหรับ เกรด Overtrail เท่านั้น

สำหรับเกรด Overtrail สามารถเลือกสีได้ทั้งหมด 7 สีดังนี้ Sonic Quartz, Sonic Titanium, Sonic Chrome, Graphite Black Glass Flake, Sonic Copper, Moon Desert และ Terrane Khaki Mica Metallic

พร้อมเลือกเป็นเจ้าของ The All New Lexus NX ได้แล้ววันนี้

กับแคมเปญพิเศษสุด เมื่อจอง Lexus NX 350h รับดอกเบี้ย 0.99% ฟรีประกันภัยชั้น 1 และ Lexus Exclusive Package (LXP) ขยายระยะเวลารับประกันเป็น 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

ราคา (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

NX 350h

-รุ่น Luxury                       3,310,000 บาท

-รุ่น Grand Luxury            3,460,000 บาท

NX 450h+

-รุ่น Grand Luxury AWD  3,660,000 บาท

-รุ่น Premium AWD          3,940,000 บาท

-รุ่น Overtrail AWD           4,180,000 บาท

-รุ่น F SPORT AWD          4,390,000 บาท

สัมผัสประสบการณ์ในการครอบครองยนตรกรรมเลกซัสรูปแบบใหม่

กับบริการ KINTO ONE และ KINTO Experience “The First Step to Experience Amazing”

บริการ “Lexus KINTO ONE” ทางเลือกใหม่ของการใช้รถจาก “โตโยต้า ลีสซิ่ง” เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ สำหรับลูกค้าบุคคลซึ่งมีทั้งแบบสัญญา 3-5 ปี ที่ทำให้การใช้รถเป็นเรื่องง่าย สะดวกสบาย คุ้มค่า ไร้กังวล มอบความสะดวกสบายด้วยค่าบริการครอบคลุมค่าใช้จ่าย ทั้งในการบำรุงรักษา ประกันภัยชั้น 1 มีรถทดแทนระหว่างซ่อม มีบริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง และหมดกังวลเรื่องราคาขายต่อเพียงคืนรถเมื่อครบสัญญา

สำหรับท่านที่สนใจบริการ Kinto One ของ Lexus NX สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้แทนจำหน่ายเลกซัสอย่างเป็นทางการ และ www.kinto-th.com

เพิ่มความมั่นใจสูงสุดกับ “Lexus Exclusive Package Standard” โปรแกรมขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ Lexus เป็น 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง

บริการเลขาส่วนตัว ฟรีค่าแรงและอะไหล่ในการบำรุงรักษาตลอด 5 ปี

โดย Lexus Exclusive Package ได้ออกแบบประเภทโปรแกรมที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ และช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว

STANDARD : ครอบคลุมค่าแรงตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

PLUS : ครอบคลุมการบำรุงรักษารถยนต์ทั้งค่าแรง และค่าอะไหล่ตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (ยกเว้นอะไหล่เสื่อมสภาพ)

-PREMIUM : ครอบคลุมการบำรุงรักษารถยนต์ทั้งค่าแรง และค่าอะไหล่ตลอด 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร รวมอะไหล่เสื่อมสภาพ

กับเอกสิทธ์เฉพาะเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เหนือกว่า

สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์เลกซัสทุกรุ่น จากผู้แทนจำหน่ายเลกซัสอย่างเป็นทางการ

•รับสิทธิ์เป็นสมาชิกแอปพลิเคชัน Lexus Elite Club เพื่ออำนวยความสะดวกตลอดการใช้รถเลกซัส เช่น การแจ้งเตือน และนัดหมายนำรถเข้าศูนย์บริการ ทั้งร่วมรับสิทธิพิเศษจากร้านค้าชั้นนำมากมาย

•สะดวก ครอบคลุมทุกพื้นที่ กับ Lexus Service Corner ในศูนย์บริการโตโยต้าที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการด้วยมาตรฐานเลกซัส ทั้ง 15 แห่ง ใน 8 จังหวัด สำหรับพื้นที่นอกเหนือจากการบริการของ Lexus Service Corner เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เรามีบริการ Lexus Home Visit Mobility Unit ที่จะส่งช่างที่มีความรู้ และความชำนาญไปดูแลลูกค้าถึงที่ครอบคลุมครบทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้แทนจำหน่ายเลกซัสอย่างเป็นทางการ

“สุรศักดิ์ จรินทร์ทอง” นั่งนายกสมาคมสรยท.คนใหม่

“สุรศักดิ์ จรินทร์ทอง” ได้รับความไว้วางใจเป็นเอกฉันท์ให้นั่ง “นายกสมาคมสรยท.คนใหม่” ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) เมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ประชุมเดอะฮอลล์ ถนนวิภาวดีรังสิต มีวาระการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ชุดใหม่ แทนคณะกรรมการชุดที่มีนายวชิระ เรืองมาลัย เป็นนายกฯ ซึ่งหมดวาระการบริหารงานตามข้อบังคับ

ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี สรยท. นายวชิระ เรืองมาลัย นายกสมาคมฯพร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารวาระปี 2565-2567 รายงานผลการดำเนินงาน กิจกรรม พร้อมสรุปสถานะทางบัญชีของสมาคมฯ ตลอดวาระการทำงาน 2 ปี โดยมีสมาชิกซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวสายยานยนต์เข้าร่วมประชุมกว่า 150 คน พร้อมกันนี้ได้จัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ขึ้นมาแทนคณะกรรมการชุดเก่าที่มีนายวชิระ เป็นนายกฯ ซึ่งเข้าบริหารงานมาแล้วครบ 2 วาระๆ ละ 2 ปี ตามข้อบังคับ

การเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) วาระปี 2567-2569 มีผู้เสนอชื่อสมาชิกลงเลือกทั้งหมด 17 คน ให้ที่ประชุมร่วมลงคะแนนเลือกตั้งเป็นกรรมการผ่านการเลือกตั้งตามธรรมนูญจำนวน 10 คน ประกอบด้วย 1.นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง 2.นางสาวรัชดา ศิริบรรณพิทักษ์ 3.นายพุทธิ ผาสุข 4.นายประกาศิต ปริญญาชัยศักดิ์ 5.นายณัฐเทพ เผ่าจินดา 6.นายธีรธรรม ธรรมศรี 7.นายธนสาร เสาวมล 8.นางสาวอัจฉรา เงินเจริญ 9.นายสราวุธ คำศรี และ 10.นางสาวจิราพร ศรีอำไพ

โดยภายหลังการเลือกตั้งดังกล่าว คณะกรรมการบริหารสมาคมชุดใหม่ วาระปี 2567-2569 มีมติเห็นชอบร่วมกันเป็นเอกฉันท์เลือกให้ นายสุรศักดิ์ จริทร์ทอง ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.)

นายสุรศักดิ์ จริทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association : TAJA ในฐานะนายกสรยท.คนใหม่กล่าวว่า “ต้องขอบคุณสมาชิกและคณะกรรมการชุดใหม่ ที่ไว้วางใจเป็นเอกฉันท์ให้ทำหน้าที่หัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนองค์กรสื่อยานยนต์ การบริหารสมาคมสื่อยานยนต์ในยุคปัจจุบันเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก เพราะนอกจากภาระหน้าที่รายงานข้อมูลข่าวสารยานยนต์ในองค์กรหลัก ขณะเดียวกันต้องทุ่มเทการทำงานร่วมกับคณะกรรมการชุดใหม่ เพื่อให้สมาชิกผู้สื่อข่าวสายยานยนต์ได้มีสวัสดิการที่ดี สามารถนำเสนอข้อมูลข่าวสารเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมได้อย่างเต็มความสามารถและผสานงานขับเคลื่อนภาระกิจกับองค์กรภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน”

ด้านนายวชิระ เรืองมาลัย ในฐานะอดีตนายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) กล่าวว่า การทำงานของสื่อยานยนต์ในสถานการณ์อุตสาหกรรม และธุรกิจรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังพลังงานสะอาดในอนาคตอันใกล้ มีรถไฟฟฟ้า (EV) จากจีนเข้ามาทำตลาดในบ้านเรามากขึ้น ด้านสื่อเองมีการเปลี่ยนแปลงจากสื่อกระแสหลักไปเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ข้อมูลข่าวสารมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากสมาชิกเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่เข้ามาทำหน้าที่ ในการสร้างบรรทัดฐานการทำงานของสื่อให้มีมาตรฐานสูง โดยร่วมกับองค์กรภายนอก ทั้งภาครัฐและเอกชน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล อาทิ การคัดเลือกตัดสินรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปีของไทย รวมถึงรางวัลรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยอดเยี่ยมของประเทศไทยในปี 2566 ที่ผ่านมา

โดยหวังว่าสื่อมวลชนสายยานยนต์ สมาชิกสมาคมฯ ร่วมกับคณะกรรมการชุดใหม่ ช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้กับสมาคมเช่นเดียวกับคณะกรรมการหลายชุดก่อนๆ ได้ดำเนินการไว้แล้ว ด้วยความรักและสามัคคี

นอกจากนี้ในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ได้จัดพิธีมอบทุนการศึกษาจำนวน 40 ทุน ให้กับบุตร-ธิดา ของสมาชิก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งเบาภาระและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับทายาทสมาชิกอีกด้วย

มิตซูบิชิ ไทรทัน คว้ามาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน สร้างประวัติศาสตร์เป็นรถกระบะ ดับเบิ้ล แค็บ รุ่นแรกคว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด 5 ดาว จาก ANCAP 2024

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น (มิตซูบิชิ มอเตอร์ส) ประกาศความสำเร็จ จากการที่  ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน(1) รถกระบะขนาด 1 ตัน ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาว(2) จาก ANCAP(3) (Australasian New Car Assessment Program) ปี 2567 ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อประเมินสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ ที่จำหน่ายในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดย ออล-นิว ไทรทัน เป็นรถกระบะดับเบิ้ล แค็บ 4 ประตูรุ่นแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดในการทดสอบประจำปี 2566 – 2568 และนับเป็นความสำเร็จต่อเนื่องจากการที่ ออล-นิว ไทรทัน ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด 5 ดาว จากการทดสอบการชนของรถยนต์ใหม่ โดย ASEAN NCAP(4)  ในปี 2566 ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อประเมินสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ที่ออกจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา

ออล-นิว ไทรทัน (รุ่นดับเบิ้ล แค็บ ที่จำหน่ายในออสเตรเลีย)

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส มุ่งมั่นสานต่อปรัชญาของบริษัทฯ ในการนำเสนอมาตรฐานด้านความปลอดภัย เพื่อนำไปสู่สังคมการเดินทางที่มีสถิติอุบัติเหตุเป็นศูนย์ ผ่านความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านการจราจร

ออล-นิว ไทรทัน มอบความปลอดภัยเหนือระดับด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE(5) (Reinforced Impact Safety Evolution) ที่มีความแข็งแกร่งสูง สามารถรองรับแรงปะทะและลดการยุบตัวของห้องโดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพน้อยที่สุด พร้อมด้วยเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัย SRS 8 ตำแหน่ง6 (สำหรับรุ่นดับเบิ้ล แค็บ ที่จำหน่ายในออสเตรเลีย) ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โดยสารด้วยระดับความปลอดภัยขั้นสูง เสริมด้วยระบบความปลอดภัยเพื่อยกระดับสมรรถนะความปลอดภัยในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ อาทิ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC – Active Stability Control) ที่ช่วยควบคุมการลื่นไถลออกนอกเส้นทาง ในสภาวะที่รถเสียสมดุล และ ระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM – Forward Collision Mitigation) ที่มีการตรวจจับคนเดินถนนและผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ซึ่งถูกติดตั้งให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย

ออล-นิว ไทรทัน เป็นรถกระบะขนาด 1 ตัน ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มีต้นกำเนิดจากรถรุ่น ฟอร์เต้ (Forte) ที่เปิดตัวออกสู่ตลาดในปี 2521 ก่อนจะได้รับการผลิตมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 45 ปี มากกว่า 5 เจนเนอเรชั่น ด้วยจำนวนการผลิตกว่า 5.7 ล้านคัน ที่จัดจำหน่ายในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และกลายเป็นรถรุ่นสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส

ด้วยการพัฒนาภายใต้แนวคิด “พลังแกร่งคู่ใจสายลุย” (Power for Adventure) ออล-นิว ไทรทัน เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นที่ได้รับการยกระดับและพัฒนาขึ้นใหม่นับตั้งแต่ดีไซน์ภายในและภายนอก ไปจนถึงแชสซีส์ใหม่ เฟรมหรือโครงรถแบบขั้นบันไดใหม่ และเครื่องยนต์ใหม่ โดยได้รับการเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตในเดือนกรกฎาคม 2566 ก่อนที่จะเปิดตัวที่ประเทศฟิลิปปินส์ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตามด้วยประเทศญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในเดือนมีนาคม และมีกำหนดที่จะเปิดตัวในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

1. ไทรทัน ได้รับการจัดจำหน่ายในชื่อ L200 ในบางประเทศ

2. ครอบคลุมรุ่นดับเบิ้ล แค็บ ทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ

3. ANCAP คือ Australasian New Car Assessment Program

4. ASEAN NCAP คือ New Car Assessment Program for Southeast Asian Countries

5. โครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE คือ Reinforced Impact Safety Evolution

6. อุปกรณ์ขึ้นอยู่กับประเภทตัวถังและรุ่นย่อย

วิริยะประกันภัย รวมพลังจิตอาสาสร้างโป่งเทียม

วิริยะประกันภัย รวมพลังจิตอาสาสร้างโป่งเทียม แหล่งอาหารช้างป่า ผืนป่าภาคตะวันออก

นายพรชัย ชำนาญยนต์ ผู้ใหญ่บ้านคลองครก หมู่ 10 ตำบลพวา อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี รับมอบอุปกรณ์การทำโป่งเทียม มูลค่า 55,000 บาท จากบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมีนายเธียรวิทย์ หาญเมธีคุณา ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการภาค 3 (ภาคตะวันออก) ด้านสาขา เป็นผู้ส่งมอบ ภายใต้กิจกรรม “เครือข่ายจิตอาสารักษ์ช้าง ผืนป่าภาคตะวันออก” พร้อมนำคณะวิริยะจิตอาสาร่วมสร้างโป่งเทียม ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน เพื่อใช้เป็นแหล่งอาหารช้างป่า และสัตว์ป่าอื่นๆ ซึ่งช่วยลดการบุกรุกพื้นที่เกษตรจากช้างป่า และยังช่วยลดปัญหาระหว่างคนและช้างป่าอีกด้วย

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว ถือเป็นการขยายผลจากการสร้างเครือข่ายจิตอาสารักษ์ช้างผืนป่าภาคตะวันออก ระหว่างบริษัทฯ ชุมชนในพื้นที่ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐ ก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการแก้ไขปัญหาระหว่างคนกับช้างป่า อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ “โครงการรักษ์ช้างยั่งยืน” ซึ่งบริษัทฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือและอนุรักษ์ช้างไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนช่วยเหลือช้างตามสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ พร้อมเตรียมขยายผลโครงการดำเนินงานไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วประเทศ

โตโยต้า ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้าทดลองวิ่งสองแถวในเมืองพัทยา

โตโยต้า “เติมเต็มทุกการขับเคลื่อน เพื่อเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ” ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้าที่ประกอบในไทยเป็นครั้งแรก สำหรับทดลองให้บริการในรูปแบบรถสองแถวในเมืองพัทยา

นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า Hilux Revo-e สำหรับทดลองให้บริการในรูปแบบรถสองแถวสาธารณะ แก่นายเรวัฒน์ เซี่ยงฉิน ประธานกรรมการ สหกรณ์เดินรถพัทยา จำกัด เพื่อเป็นการเติมเต็มระบบนิเวศการเดินทางที่ยั่งยืนในเมืองพัทยา โดยจะมีจำนวนทั้งหมด 12 คัน ภายใต้ “โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ” โดยมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ร่วมเป็นประธานในพิธี ณ ศาลาว่าการเมืองพัทยา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567

หนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของโตโยต้าคือการ สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)  ผ่านการจัดการกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ควบคู่ไปกับ การเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง (Multi Pathway) ที่ว่าด้วยการมุ่งมั่นในการพัฒนาทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน นำมาสู่การคิดค้นนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์รูปแบบใหม่ๆ ทั้งการวิจัยพัฒนาระบบขับเคลื่อนต่างๆ ที่มีคุณลักษณะแตกต่างกัน รองรับการใช้งานพลังงานได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางของผู้คนด้วยยานยนต์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม สามารถใช้งานได้จริง และเหมาะสมกับโครงสร้างพื้นฐานแต่ละพื้นที่

ทั้งนี้ เพื่อศึกษาในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ตลอดจนการรับรู้ของผู้คน และพฤติกรรมการใช้งาน ภายใต้สภาพแวดล้อมจริงในประเทศไทย โตโยต้าจึงได้เริ่มโครงการทดลองเพื่อศึกษาวิจัยข้อมูลดังกล่าว ภายใต้ “โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ” ณ เมืองพัทยา โดยร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ อาทิ องค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงาน ตลอดจนภาครัฐ และผู้ประกอบการในจังหวัดชลบุรี ร่วมจัดสร้าง ระบบนิเวศเพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในระบบส่งกำลังที่หลากหลาย ภายใต้แนวทาง Multi Pathway สำหรับให้ชุมชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยาได้ทดลองใช้งานในทุกรูปแบบการเดินทาง ประกอบด้วย การเดินทางระยะสั้น (Last mile) ด้วยรถยนต์โตโยต้า รุ่นซีพลัส พอด (C+Pod) การเดินทางระยะกลาง (Inter City) ด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (BEV) ตลอดจนการประสานความร่วมมือในการเปิดสถานีไฮโดรเจนแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) รุ่นโตโยต้า มิไร ที่โตโยต้านำมาสาธิตการใช้งานในรูปแบบของ การเดินทางระยะไกล (Long Distance) รับส่งระหว่างสนามบินอู่ตะเภา เพื่อให้บริการแก่นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจในพื้นที่พัทยา – ชลบุรี

ในวันนี้ โตโยต้าได้ส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า Hilux Revo-e สำหรับทดลองให้บริการในรูปแบบรถสองแถวโดยสารประจำทางสาธารณะ (Fixed Route) ในพื้นที่เมืองพัทยา ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 – ธันวาคม 2568 โดยจะมีการส่งมอบเป็นจำนวนทั้งสิ้น 12 คัน ภายใต้โครงการฯ อันจะเป็นประโยชน์ในการวางรากฐานระบบขนส่งสาธารณะของเมืองพัทยา ให้มีความทันสมัยและปราศจากมลภาวะต่อไป

ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวและประชาชนในเมืองพัทยาให้ความสนใจใช้บริการรถยนต์พลังงานทางเลือกของโตโยต้าที่ส่งรถเข้าร่วมโครงการฯไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 4,500 ครั้ง รวมเป็นระยะทางกว่า 335,000 กิโลเมตร อันเป็น ส่วนสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการเดินทางในเมืองพัทยา ซึ่งตั้งเป้าตลอดระยะเวลาโครงการ อยู่ที่ 4,225 ตัน ภายในปี 2568

นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ในวันนี้ เราได้ เติมเต็มทุกการขับเคลื่อน เพื่อเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ ภายใต้แนวทาง Multi Pathway โดยการนำรถกระบะ Hilux Revo-e มาดัดแปลงเป็นรถสองแถว เพื่อให้บริการแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ทั้งนี้ ต้องขอบคุณความร่วมมือจากพันธมิตรทุกภาคส่วน ที่ให้ความร่วมมือในการผลักดันพัทยาให้เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะของไทย ในด้านการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันเป็นส่วนสนับสนุนเป้าหมายของประเทศ ในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน ต่อไป”

                       “โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

มาสด้า2 พิชิตรางวัลนวัตกรรมสินค้าและบริการยอดเยี่ยมแห่งปี

มาสด้า2 พิชิตรางวัลนวัตกรรมสินค้าและบริการยอดเยี่ยมแห่งปี 2 ปีติดต่อกันด้วยดีไซน์สง่างาม เทคโนโลยีสกายแอคทีฟล้นคัน

รถยนต์นั่งซิตี้คาร์มาสด้า2 ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟและความสง่างามดุจงานศิลปะชิ้นเอกจากการออกแบบ โคโดะ ดีไซน์ คัดสรรด้วยวัสดุคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม จนสามารถคว้ารางวัล Product Innovation Awards 2024 หรือ รางวัลสุดยอดสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมแห่งปี 2567 เป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จในด้านนวัตกรรมสินค้าและบริการ ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ – Innovation the products with Intelligence Technology” จากนิตยสาร Business+ เป็นปีที่สองติดต่อกัน โดย นายอุทัย เรืองศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปส่วนงานประชาสัมพันธ์ แผนกการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนรับมอบจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรี ประธานในพิธีมอบรางวัล ณ ห้องบอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้า2 พร้อมแนวคิด “Express Your Identity เลือกต่างในแบบเรา” ยังคงรักษาเอกลักษณ์การเป็นซับคอมแพ็คคาร์ที่ดีที่สุดในตลาด ที่ส่งมอบคุณค่ามากกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเจเนอเรชั่น Z ซึ่งถือเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตและเป็นผู้นำเทรนด์ใหม่ๆ โดยลูกค้ากลุ่มนี้กำลังมองหาความหลากหลายในการดำเนินชีวิต เลือกในสิ่งที่เหมาะกับตนเองและกล้าที่จะแตกต่าง มาสด้าจึงยกระดับให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีกในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะดีไซน์ภายนอกและภายในใหม่ มีให้เลือกถึง 83 ดีไซน์ ทั้งรูปลักษณ์ การเลือกใช้สีภายนอกและภายใน รวมถึงอุปกรณ์ที่นำมาตกแต่งในแต่ละรุ่น เพื่อให้ตอบโจทย์ความแตกต่างของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย รวมถึงเหมาะกับบุคลิกและสะท้อนความชื่นชอบของลูกค้าได้อย่างลงตัว ด้วยดีไซน์และองค์ประกอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์เหล่านี้จะทำให้มาสด้า2 เป็นรถยนต์นั่งซิตี้คาร์ที่มอบคุณค่าและบ่งบอกรสนิยมอันมีเอกลักษณ์ของลูกค้าได้อย่างชัดเจน

รถยนต์นั่งมาสด้า2 ยังคงเอกลักษณ์ความโดดเด่นด้านสมรรถถนะการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ที่มีให้เลือกถึง 2 เครื่องยนต์ ได้แก่ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1.3 ลิตร (SKYACTIV-G) ที่ให้ทั้งสมรรถนะความแรง และการขับขี่ดีเยี่ยม ประหยัดน้ำมันถึง 23.3 กม./ลิตร และเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1.5 ลิตร (SKYACTIV-D) ที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมันถึง 26.3 กม./ลิตร พร้อมด้วยเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟไดรฟ์ 6 สปีด พร้อมแมนนวลโหมด Activematic ที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนานและราบรื่นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รถรุ่นนี้ยังโดดเด่นด้วยระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง (GVC Plus) ที่ช่วยควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยําและสมดุลเพื่อให้ผู้ขับรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพื่อมอบความปลอดภัยและความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารทุกตำแหน่ง รวมถึงราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นเพียง 599,000 บาท จึงทำให้รถมาสด้า2 ได้รับความนิยมและครองใจผู้บริโภคในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

นอกจากนี้มาสด้า2 ยังคงถ่ายทอดเอกลักษณ์ของการเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่มอบคุณค่าเกินความคาดหวังให้กับลูกค้าด้วยความสะดวกสบายจากการขับขี่ ด้วยท่านั่งที่เป็นธรรมชาติและมีวิสัยทัศน์ในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม พร้อมยังช่วยให้เพลิดเพลินกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และไม่พลาดทุกการติดต่อด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด Mazda Connect ที่รองรับ Wireless Apple CarPlay® และ Android AutoTM ผ่านหน้าจอ Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ควบคุมด้วย Center Commander พร้อมอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ระบบควบคุมความเร็วคงที่ หรือ Cruise Control และยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง

มาสด้าให้คำมั่นว่าจะยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันเป็นที่น่าปรารถนาให้กับลูกค้า ควบคู่กับการช่วยรักษ์โลกของเราให้คงอยู่และเติบโตอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ระยะกลาง Sustainable Zoom-Zoom 2030 เพื่อโลกของเราที่ยังคงความสวยงามตลอดไป เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้คนให้มีความสุขยิ่งขึ้น และเพื่อสังคมที่น่าอยู่ตลอดไป

นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ผงาดคว้าแชมป์ไทยลีก 2 สุดยิ่งใหญ่

สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา, จังหวัดนครราชสีมา, 24 เมษายน 2567 – หลังจากมาสด้าประกาศหนุนสวาทแคทต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 เพื่อลงสู้ศึกไทยลีก 2 ตลอดฤดูกาลนี้ เพราะมาสด้ายังคงเชื่อมั่นในสปิริตความเป็นนักสู้ของทีม ส่งผลให้แมตช์ก่อนสุดท้ายที่เดิมพันด้วยตำแหน่งแชมป์ เจ้าแมวพิฆาตก็ไม่ทำให้แฟนบอลชาวโคราชผิดหวัง ด้วยการเปิดบ้านเอาชนะทีมหนองบัว พิชญ เอฟซี คู่แข่งสำคัญที่กำลังเบียดกันลุ้นแชมป์ไปสุดมัน 3-0 ผงาดคว้าแชมป์ ครองความยิ่งใหญ่ท่ามกลางแฟนบอลเข้าชมเต็มสนามกว่า 25,000 คน ที่เดินทางมาให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม พร้อมกลับขึ้นสู่ไทยลีกอีกครั้งในฤดูกาลหน้า

มาสด้าส่งเสริมและสนับสนุนกีฬาฟุตบอลของประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนทีมสวาทแคทมาตั้งแต่สมัยที่ยังเล่นอยู่ในไทยลีก 2 จนทีมสามารถก้าวขึ้นสู่ไทยลีกซึ่งเป็นลีกสูงสุดของประเทศในฐานะแชมป์ รวมระยะเวลากว่า 11 ปี และโลดแล่นอยู่ในไทยลีกนานถึง 9 ปี แต่เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาทีมสวาทแคทหล่นลงมาเล่นในไทยลีก 2 แต่ทั้งนี้ทางผู้บริหารสโมสรฯ ประกาศชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบรรดาแฟนๆ แมวพิฆาต : นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ว่าปีนี้จะต้องกลับขึ้นสู่ไทยลีกให้ได้อีกครั้ง และก็ทำได้สำเร็จพร้อมสร้างความสุขให้กับแฟนบอลด้วยการคว้าแชมป์ไทยลีก 2 มาได้อย่างสวยสดงดงาม โดยไม่แพ้ทีมใดในบ้านถึง 17 นัด และเสียประตูน้อยกว่าทุกทีมตลอดฤดูกาล ซึ่งแมตช์สุดท้ายจะออกไปเยือนทีมจันทบุรี เอฟซี ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2567 นี้ คิกออฟพร้อมกันทั้ง 9 คู่ เวลา 18.00 น.

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แมตช์นี้นับเป็นนัดสำคัญยิ่งต่อการตัดสินแชมป์ประจำฤดูกาล มีแฟนบอลหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศเข้าชมการแข่งขันในแมตช์นี้มากสุดถึง 24,556 คน ซึ่งทีมสวาทแคท : นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ยังคงครองสถิติอันดับหนึ่งที่มีผู้เข้าชมเกมมากที่สุด วันนี้ทุกคนในทีมต่างร่วมแรงร่วมใจกันลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ด้วยพลังศรัทธาและเชื่อมั่นในสปิริตความเป็นนักสู้ของทุกคนในทีม ซึ่งเป็น ดีเอ็นเอเฉกเช่นเดียวกับชาวมาสด้า เราไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคและเชื่อมั่นในสปิริตความเป็นนักสู้ พร้อมฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มากว่า 100 ปี และอยู่เคียงข้างคนไทยมาถึง 73 ปี และเราจะยังคงอยู่เคียงข้างสังคมไทยตลอดไป มาสด้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนวงการฟุตบอลไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ฟุตบอลเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความสัมพันธ์อันดีของผู้คน ไม่ใช่เฉพาะกับชาวโคราชเท่านั้น แต่รวมถึงคนไทยทั้งประเทศ

สำหรับการแข่งขันแมตช์สำคัญในครั้งนี้ มีบุคคลสำคัญๆ ที่เดินทางมาให้กำลังใจนักเตะของทีมอย่างคับคั่ง ประกอบไปด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษา, นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ประธานบริหาร และคณะผู้บริหารของสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี พร้อมด้วยผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ รวมถึงเหล่าบรรดานักเตะแมวพิฆาต ทีมสตาฟโค้ช ฝ่ายเทคนิค และนักฟุตบอลเยาวชนจากอะคาเดมี่ ร่วมชมและเชียร์แมตช์นี้จนล้นสนาม

ตลอดเกมการแข่งขันทั้งสองทีมสู้กันสุดเร้าใจท่ามกลางกองเชียร์กว่า 25,000 คน หลังจบเกมการแข่งขันทีมนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี เป็นฝ่ายเอาชนะทีมหนองบัว พิชญ เอฟซี ไปได้ 3-0 คว้าแชมป์ไทยลีก 2 มาครองอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีพิธีมอบถ้วยฉลองแชมป์สุดอลังการ และได้รับเกียรติอย่างสูงจาก มาดามแป้ง : นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่เดินทางมาร่วมชมการแข่งขันและมอบถ้วยเกียรติยศในครั้งนี้

“ลามิน่า” คว้ารางวัลความสำเร็จสูงสุดระดับเอเชีย

“ลามิน่าฟิล์ม” ฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคารอันดับ 1 ในใจผู้บริโภค รับรางวัล Thailand’s Outstanding Brands 2023 หรือรางวัลแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจสูงสุดต่อเนื่อง ประจำปี 2566 จากเวทีระดับเอเชีย ในงาน 2023 Asia CEO Award Ceremony (Thailand) จัดโดย อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์ ประเทศสิงคโปร์ และบริษัท นีโอ ทาร์เก็ต จำกัด ประเทศไทย

นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.เทคโนเซล (เฟรย์) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และอาคารลามิน่า รับรางวัล Thailand’s Outstanding Brands 2023 รางวัลแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจสูงสุดต่อเนื่อง ประจำปี 2566 จากเวทีระดับเอเชีย

บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และอาคาร “ลามิน่า” จากสหรัฐอเมริกา โดย นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับรางวัลแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจสูงสุดต่อเนื่อง ด้วยการบริหารจัดการองค์กรที่แข็งแกร่ง มีวิสัยทัศน์ชัดเจน มีแผนการขยายธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องและโดดเด่น

การมอบรางวัลสุดยอดแบรนด์ชั้นนำที่ทรงอิทธิพลในเอเชียจัดขึ้นเป็นปีที่ 12 โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณารางวัลดังนี้ หนึ่ง ส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์ในอุตสาหกรรม (Brand Market share) สอง การสร้างตัวตนในใจลูกค้า (Brand Presence) ในสื่อออนไลน์และออฟไลน์ สาม ความเสมอต้นเสมอปลายในการทำกิจกรรมของแบรนด์ (Brand Consistency) ในสื่อออนไลน์และออฟไลน์

นอกจากนี้บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูงมืออาชีพระดับเอเชียแปซิฟิค ยังนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์อีกมากมาย อาทิ อุปกรณ์บรรทุกสัมภาระธูเล่ (Thule) จากประเทศสวีเดน ผลิตภัณฑ์ฟิล์มนิรภัยปกป้องสีรถลูมาร์ (LLumar) จากสหรัฐอเมริกา และผลิตภัณฑ์ดูแลรักษายานยนต์ครบวงจรแอลลักซ์ (LLux) คุณภาพเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save