- Advertisement -
26.2 C
Bangkok
Home Blog Page 48

วิริยะประกันภัย คว้ารางวัลแบรนด์ประกันภัยรถยนต์ ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศ

วิริยะประกันภัย คว้ารางวัลแบรนด์ประกันภัยรถยนต์ ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศ รางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” รางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 หมวดประกันภัยรถยนต์

นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้ารับรางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2024” รางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 หมวดประกันภัยรถยนต์ จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคทั่วประเทศ โดย Marketeer Group สำนักข่าวการตลาดและสถาบันรางวัลคุณภาพ ซึ่งรางวัลดังกล่าวได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจประกันภัยรถยนต์ของวิริยะประกันภัย ที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดจากผู้บริโภค ณ ห้องฉัตรา บอลรูม โรงแรมสยามเคมปินสกี้กรุงเทพ

สำหรับ เกณฑ์การมอบรางวัลบนเวที Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 นั้น ทาง Marketeer Group ได้ร่วมมือกับ Marketing Moves บริษัทวิจัยทางการตลาดชั้นนำ ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคไม่น้อยกว่า 5,500 ตัวอย่าง ครอบคลุมทั้ง 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ โดยวิริยะประกันภัย ครองคะแนนเป็นอันดับ 1 ในหมวดประกันภัยรถยนต์ ที่ได้รับการรู้จัก (Awareness) จากกลุ่มผู้บริโภคมากที่สุด ด้วยปัจจัยของการมีผลิตภัณฑ์และบริการประกันวินาศภัยที่มีคุณภาพและความคุ้มค่า เป็นผู้นำธุรกิจประกันวินาศภัยพร้อมด้วยนวัตกรรมที่ก้าวหน้า สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เสมอ รวมถึงเป็นบริษัทฯ ที่มีชื่อเสียงและคุ้นเคยในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้บริโภคที่ไว้วางไว้ให้วิริยะประกันภัย เป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจของทุกท่าน พร้อมทั้งขอให้คำมั่นสัญญาที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทพัฒนาบริการประกันวินาศภัยในทุกด้านอย่างไม่หยุดยั้ง ดั่งที่ดำเนินการมาตลอด 77 ปี ด้วยความมั่นคงและเป็นธรรม

“ลามิน่า” คว้ารางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ต่อเนื่อง 9 ปีซ้อน

“ลามิน่าฟิล์ม” ตอกย้ำความเป็นผู้นำฟิล์มกรองแสงรถยนต์และอาคาร คว้ารางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1  ของประเทศไทย ประจำปี 2567 หรือ Marketeer No.1 Brand Thailand 2024 ต่อเนื่องปีที่ 9 ตอกย้ำความแข็งแกร่งของลามิน่าที่หนึ่งในใจผู้บริโภค จัดโดยมาร์เก็ตเธียร์ กรุ๊ป ร่วมกับ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด

บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และอาคาร “ลามิน่า” จากสหรัฐอเมริกา โดย นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับรางวัลดังกล่าวด้วยคะแนนโหวตสูงสุดอันดับ 1 ในหมวดฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ ที่ได้รับความนิยมและความเชื่อมั่นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติกันร้อนกันยูวียอดเยี่ยม บริการเหนือชั้น การให้ข้อมูลที่แท้จริง และการตอบแทนสังคมอย่างยั่งยืน

นางสาวจันทร์นภา สายสมร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.เทคโนเซล (เฟรย์) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์และอาคารลามิน่า รับรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย (Marketeer No.1 Brand Thailand 2024) ต่อเนื่องปีที่ 9 ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพ

การมอบรางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ให้กับแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ 81 หมวด รวม 69 แบรนด์ในครั้งนี้ มาร์เก็ตเธียร์ กรุ๊ป ร่วมกับ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง มูฟ จำกัด ซึ่งมีศาสตราจารย์วิทวัส รุ่งเรืองผล ภาควิชาการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นประธานคณะทำงานและวิจัย เพื่อให้ได้ผลที่ถูกต้อง แม่นยำ สมบูรณ์แบบ และทันต่อสถานการณ์ จึงมีการสำรวจถึง 6,000 ตัวอย่างจากผู้บริโภคทั่วประเทศ

“ลามิน่า” ผ่านการยอมรับในฐานะฟิล์มกรองแสงอันดับ 1 จากผู้ใช้รถทั่วประเทศ ไม่เคยหยุดพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่อย่างต่อเนื่อง อาทิ แนะนำฟิล์มเทคโนโลยีใหม่ Lamina Digital Boost เพื่อยานยนต์ยุค AI เป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในเมืองไทย, เปิดตัวฟิล์มนิรภัยติดกระจกหลังคารถยุคใหม่ Lamina Power Sunroof จนถึงการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ เปิดตัวฟิล์มกรองแสงเพื่อสัตว์เลี้ยง Lamina Buddy Series ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย

นอกจากนี้บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) จำกัด ในฐานะผู้จัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูงมืออาชีพระดับเอเชียแปซิฟิค ยังนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์อีกมากมาย อาทิ อุปกรณ์บรรทุกสัมภาระธูเล่ (Thule) จากประเทศสวีเดน ผลิตภัณฑ์ฟิล์มนิรภัยปกป้องสีรถลูมาร์ (LLumar) จากสหรัฐอเมริกา และผลิตภัณฑ์ดูแลรักษายานยนต์ครบวงจรแอลลักซ์ (LLux) คุณภาพเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

NETA เปิดตัว NETA X เคาะราคาเริ่มต้น 739,000 บาท

NETA เปิดตัว NETA X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV อย่างเป็นทางการสู่ตลาดเมืองไทยราคาเริ่มต้น 739,000 บาท จองวันนี้รับข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว

กรุงเทพฯ (25 กรกฎาคม 2567) – NETA ประกาศเปิดตัว NETA X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV เสริมทัพผลิตภัณฑ์  ในประเทศไทย ชูจุดเด่นภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย 80% ของพื้นที่ห้องโดยสารเป็นวัสดุบุนุ่ม หน้าจอระบบสัมผัส ขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยและฟังก์ชันการใช้งานอัจฉริยะ ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย กับราคาเริ่มต้นที่ 739,000 บาท ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ เฉพาะช่วงเปิดตัว พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าต้นเดือนสิงหาคมศกนี้เป็นต้นไป

มร.ชู กังจื้อ (Mr.Shu GangZhi) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า NETA เดินหน้าสานต่อพันธกิจในการเป็นผู้สรรสร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ เพื่อสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมตามปรัชญา “Tech For All” โดยล่าสุดได้ประกาศเปิดตัว NETA X รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ SUV เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นรถรุ่นที่สองของ NETA ที่เปิดตัวในปีนี้ ภายหลังจากการแนะนำ NETA V-II รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสไตล์ City Car เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบัน NETA มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เลือก 2 สไตล์ รองรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยอย่างต่อเนื่องในทุกปี

SUPAWATTPIXS

“ปัจจุบันเรามีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ NETA วิ่งอยู่บนถนนทั่วประเทศไทยแล้วกว่า 17,000 คัน ผมต้องขอขอบคุณลูกค้าคนไทย รวมไปถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่มอบความไว้ใจและสนับสนุนการดำเนินงานของแบรนด์ NETA ในประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมและยินดีเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเติบโตของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นในทุกมิติ สำหรับการเปิดตัว NETA X นอกจากจะเป็นการตอกย้ำแผนการดำเนินงานในประเทศไทยภายใต้กลยุทธ์ “All in Thailand, All for Thailand” ในการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ทรงพลังและติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง แล้วยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ NETA ในการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยซึ่งคนไทยสามารถเป็นเจ้าของได้ สอดคล้องกับพันธกิจหลักของ NETA เพื่อสร้างการเข้าถึงเทคโนโลยี อย่างเท่าเทียมสําหรับทุกคน หรือ “Tech For All” มร.ชู กังจื้อ กล่าว

NETA X “เติมเต็มทุกโมเมนต์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง”

NETA X ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด และสโลแกน “เติมเต็มทุกโมเมนต์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง” ชูจุดเด่นด้านพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างนั่งสบาย พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย ให้ความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่      ADAS ระดับ 2.0 รวมถึงการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่ครบครัน โดยมาพร้อมระบบส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง กำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ หรือ 163 แรงม้า ให้อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 9.5 วินาที

SUPAWATTPIXS

NETA X มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ NETA X รุ่น Comfort มาพร้อมแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออนขนาด 51.8 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 401 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ราคา 739,000 บาท และ NETA X รุ่น Smart จับคู่กับแบตเตอรี่ ขนาด 62 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 480 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (มาตรฐาน NEDC) ราคา 799,000 บาท โดยมีสีตัวถังภายนอกให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ (Onyx Black) สีน้ำเงิน (Glacier Blue) และสีขาว (Pearl White) ภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ (Prestige Black) ในรุ่น Comfort และสีน้ำตาล (Elegant Brown) ในรุ่น Smart

ความอัจฉริยะในการขับขี่ Excellence in Intelligent

NETA X ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS ระดับ 2.0 ติดตั้งเซ็นเซอร์ รอบคันและเรดาห์รวม 11 จุด รองรับระบบควบคุมความเร็วในการขับขี่ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน        ACC (Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะย่านความเร็วสูง (ICA) และความเร็วต่ำ (TJA) รวมไปถึงการควบคุมรถให้อยู่ในเลน อาทิ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน และระบบช่วยเปลี่ยนเลนพร้อมระบบตรวจจุดอับสายตา เป็นต้น

ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย Excellence in Spacious

NETA X มีมิติตัวถังขนาดใหญ่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยความยาวตลอดทั้งคัน 4,619 มม. กว้าง 1,860 มม. และสูง 1,628 มม. โดยมีระยะฐานล้อที่ยาวถึง 2,770 มม. ให้พื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารกว้างขวาง พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถจุถึง 508 ลิตร เบาะพับได้สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากถึง 1388 ลิตร พร้อมช่องเก็บของอเนกประสงค์ 24 จุด กระจายอยู่ทั่วทั้งห้องโดยสาร

ความสะดวกสบาย Excellence in Comfortable

NETA X มอบความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งปรับได้ถึง 6 ทิศทาง พร้อมวัสดุบุนุ่มห้องโดยสารถึง 80% ของพื้นที่ มาพร้อมหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา รวมไปถึงระบบควบคุมรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ (NETA App) ช่องเชื่อมต่อ USB / Type-C และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พร้อมฟังก์ชัน V2L (Vehicle-to-Load) จ่ายกำลังไฟได้ สูงถึง 3.3 กิโลวัตต์ สามารถดึงพลังงานจากรถยนต์ไปใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก

การเชื่อมต่ออัจฉริยะ Excellence in Interactive

NETA X มาพร้อมหน้าจอความละเอียดสูง ขนาด 15.6 นิ้ว สามารถเข้าถึงระบบนําทางแบบออนไลน์ การสตรีมมิ่งเพลงและการเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับระบบรถยนต์เป็นไปได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง รวมไปถึงระบบควบคุมรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ (NETA App) เพื่อให้สามารถตรวจสอบสถานะแบบเรียลไทม์

ระบบความปลอดภัย Safety

NETA X ใช้โครงสร้างที่ทำจากเหล็กแรงดึงสูง (High-strength Steel) ถึง 75% ของตัวถังมาพร้อมระบบถุงลมนิรภัยถึง 6 จุด และแบตเตอรี่ที่ผ่านการทดสอบ IP68 ซึ่งเป็นระดับกันน้ำและกันฝุ่นระดับสูงสุดในตลาด โดยสามารถผ่านการทดสอบการกันน้ำอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 48 ชั่วโมง

ต้นทุนการเป็นเจ้าของ Ownership Cost

NETA X ให้การใช้พลังงานและค่าบํารุงรักษาที่ต่ำ เมื่อเทียบกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ถึง 3 เท่า จึงทําให้ NETA X เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าตัวเลือกที่ให้ความประหยัดและคุ้มค่าในระยะยาว

NETA X กับข้อเสนอพิเศษในช่วงนี้

“เติมเต็มทุกโมเมนต์ กับนิยามใหม่ของความกว้าง”

•NETA X รุ่น Comfort      ราคาจัดจำหน่าย 739,000 บาท

•NETA X รุ่น Smart         ราคาจัดจำหน่าย 799,000 บาท

ข้อเสนอพิเศษ

สำหรับลูกค้าที่จองตั้งแต่วันนี้ และรับรถยนต์กับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทุกแห่งทั่วประเทศ

•ฟรี! ประกันภัยชั้น 1

•ฟรี! เครื่องชาร์จ NETA WALLBOX พร้อมค่าติดตั้ง จำนวน 1 ชุด

•ฟรี! ค่าบริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในรถ 3 ปี

•ฟรี! รับประกันรถยนต์ 5 ปี หรือ 150,000 ก.ม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

•ฟรี! รับประกันมอเตอร์และแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

•ฟรี! บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี

•พิเศษ! ลูกค้าจ่ายเพียง 39,800 บาท รับสิทธิ์ NETA CARE PACKAGE ซึ่งครอบคลุมการรับประกันแบตตารี่ตลอดอายุการใช้งาน* รวมถึงค่าแรงและค่าอะไหล่ 5 ครั้ง

* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนเปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ไทยฮอนด้า เปิดตัว 2 รุ่น เอาใจคนรุ่นใหม่

ไทยฮอนด้า เขย่ากระแสตลาดรถเอ.ที. เอาใจคนรุ่นใหม่นำร่อง เปิดตัว 2 รุ่น ‘New Honda FORZA350’ และ ‘Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition’

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดตัวรถจักรยานยนต์เอ.ที. 2 รุ่นใหม่ในงาน ‘Thai Honda Move Forward Together: Press Conference 2024’ ณ โรงแรม Centara Grand and Bangkok Convention Centre นำโดย รถจักรยานยนต์พรีเมียมสปอร์ต ‘New Honda FORZA350’ ที่เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ดิจิทัลชูเทคโนโลยีเหนือระดับมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล TFT ใหม่ขนาด 5 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Honda RoadSync ระบบสั่งการด้วยเสียงบนสมาร์ตโฟน พร้อมด้วยปุ่มคอนโทรลเลอร์ดีไซน์ใหม่ในแบบมัลติฟังก์ชันสั่งการได้อย่างหลากหลาย ตามด้วย รถแฟชั่นเอ.ที. ‘Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition’ ที่มาพร้อมกับลายคาแรกเตอร์สุดน่ารักอย่าง ‘Hello Kitty’ ฉลองครบรอบ 50 ปี ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 2,000 คันเท่านั้น

มร.ยูอิจิ ชิมิซุ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “รถจักรยานยนต์ฮอนด้าพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้ารุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เรามุ่งมั่นพัฒนารถจักรยานยนต์ที่ทันสมัยตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้ฮอนด้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทุกกลุ่มรวมถึงลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ฮอนด้าสามารถครองความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในกลุ่มรถเอ.ที.มาอย่างต่อเนื่อง”

“ถึงแม้ในสถานการณ์ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในครึ่งปีแรกจะชะลอตัวและมีความต้องการในตลาดลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ด้วยกลยุทธ์ของฮอนด้า รวมถึงการผลักดันการขายของผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ทำให้เราสามารถดำเนินธุรกิจได้ดีกว่าสถานการณ์ตลาด โดยเฉพาะรถในกลุ่มเอ.ที. ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นรถกลุ่มเดียวที่มีการเติบโต ในขณะที่กลุ่มอื่นเติบโตลดลง”

“ท่ามกลางตลาดรถจักรยานยนต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ฮอนด้าในฐานะผู้นำตลาดจึงต้องก้าวไปข้างหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้งเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์ เราพร้อมมุ่งมั่นสานต่อความสำเร็จของการเติบโตของตลาดในกลุ่มเอ.ที. โดยมุ่งยกระดับการใช้ชีวิตของคนไทยด้วยการนำเทคโนโลยีมาผสานกับรถจักรยานยนต์ในแบบไลฟ์สไตล์ดิจิทัล ที่ครั้งนี้ได้นำเสนอผ่านโมเดลพิเศษอย่าง ‘New Honda FORZA350’ ที่ชูโรงด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำสมัย และ ‘Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition’ ที่เป็นการคอลแลปครั้งสำคัญกับ ‘Hello Kitty’ ฉลองครบรอบ 50 ปี โดยเรานำมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกอีกด้วย ทั้งนี้ฮอนด้าพร้อมกระตุ้นตลาดในครึ่งปีหลังอีกจำนวน 6 รุ่น โดยตั้งเป้าการขายอยู่ที่ 1.36 – 1.40 ล้านคัน โดยคาดว่ารถในกลุ่ม เอ.ที. ยังคงที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับ ‘New Honda FORZA350’ ครั้งนี้มาพร้อมดีไซน์พรีเมียมสปอร์ตในคอนเซปต์ ‘BEYOND THE EXCEPTIONAL เหนือกว่า…ทุกความเป็นที่สุด’ โดดเด่นด้วยหน้าจอแสดงผล TFT ใหม่ ขนาด 5 นิ้ว แสดงผลทุกข้อมูลการขับขี่ได้ครบถ้วนชัดเจน รวมถึงการแสดงผลระบบ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบตรวจจับและควบคุมล้อหน้า-ล้อหลังให้สัมพันธ์กัน ป้องกันรถเสียการทรงตัว ปลอดภัยในทุกการขับขี่ พร้อมเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Honda RoadSync เทคโนโลยีอัจฉริยะจากฮอนด้าที่ควบคุมการทำงานด้วยเสียงโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน ในการรับสายโทรเข้า-โทรออก, ระบบนำทาง, แอปพลิเคชันเพลง และประวัติการเดินทาง พร้อมควบคุมผ่านปุ่มคอนโทรลเลอร์ดีไซน์ใหม่ในแบบมัลติฟังก์ชันสั่งการได้หลากหลายในทุกสถานการณ์

New Honda FORZA350 เสริมความพรีเมียมเหนือระดับด้วยกระจกบังลมหน้าระบบไฟฟ้าที่ปรับความสูงได้ถึง 180 มิลลิเมตร พร้อมกับ LARGE U-BOX กล่องเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ที่ใส่หมวกนิรภัยได้สองใบพร้อมไฟส่องสว่างแบบ LED และที่สุดแห่งขุมพลังความแรงด้วยเครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว 330 ซีซี. ให้สมรรถนะที่แรงขึ้น ลื่นขึ้น ขับขี่นุ่มนวล ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ คอนโทรลได้เหนือชั้น ด้วยระบบเบรก ABS ที่มาพร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงโช้กอัพหลังที่ปรับพรีโหลดได้ 5 ระดับรองรับการใช้งานได้ลงตัวทุกสภาพถนน

New Honda FORZA350 รุ่น RoadSync มีวางจำหน่ายทั้งหมด 4 เฉดสี ได้แก่ สีแดง-ดำ ใหม่ SUNSTORM RED, สีขาว-ดำ ใหม่ STELLAR WHITE, สีเทา-ดำ METEOR GRAY และ สีดำ COSMIC BLACK ราคาแนะนำที่ 183,000 บาท

นอกจากรุ่น New Honda FORZA350 รุ่น RoadSync ฮอนด้ายังได้นำเสนอ Special Edition จากสำนักแต่ง H2C by Honda ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ในสไตล์ทัวร์ริ่งในคอนเซปต์ ‘THE JOURNEY TO BEYOND’ พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งสุดพิเศษดีไซน์โดดเด่น มอบสมรรถนะเกินคลาสไปอีกขั้น ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 350 คัน ราคาแนะนำที่ 197,900 บาท โดยทั้ง 2 รุ่น เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ หรือจองผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 30 กันยายน 2567 ติดตามได้ที่ทางหน้าเพจ เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า

ตามด้วย ‘Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition’ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Hello Iconic Friend  สองความสุด ที่ไม่หยุดคิวท์’ โดยนำเอาคาแรกเตอร์สุดน่ารักตลอดกาลอย่าง ‘Hello Kitty’ มาคอลแลปกับมอเตอร์ไซค์สุดไอคอนิกอย่าง Honda Scoopy เติมความสนุกแสนซนด้วยเฉดสีแดงลงบนตัวรถสีขาว ผสานความน่ารักที่ลงตัวด้วยโบว์สุดคาวาอี้ของ Hello Kitty ที่เพิ่มความโดดเด่นด้วย 3D Emblem พร้อมทั้งเสริมความพิเศษด้วยโลโก้ฉลองครบรอบ 50 ปี พร้อมระบุ Serial Number เสริมความลิมิเต็ดให้กับเหล่าสาวก Hello Kitty อีกด้วย

Honda Scoopy Hello Kitty Limited Edition ผลิตและวางจำหน่ายเพียง 2,000 คันเท่านั้น ในราคาแนะนำ 57,900 บาท มาพร้อมกับพรีเมียมบอกซ์เซ็ตสำหรับแฟน Hello Kitty ได้แก่ เซ็ตกุญแจรีโมตอัจฉริยะในเคสสุดน่ารักจาก Scoopy Hello Kitty รวมถึง Hello Kitty Helmet หมวกกันน็อคดีไซน์สุดคิวท์ และผ้าพันคอลาย Hello Kitty ไอเทมแฟชั่นเพิ่มความน่ารักไม่ซ้ำใคร เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 15 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ไทยฮอนด้ายังเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างรถ Flash จาก Washing LAB เป็นน้ำยาล้างรถสูตรผสมแว๊กซ์ มั่นใจด้วยสูตรที่ทดลองและรังสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านรถจักรยานยนต์ตัวจริง อ่อนโยนต่อชิ้นส่วนรถทั้งสีเงา และสีด้าน โดยไทยฮอนด้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ล้างรถที่ตอบโจทย์เสียงของลูกค้าผู้ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ช่วยขจัดคราบน้ำมันสิ่งสกปรกต่างๆ ได้อย่างง่ายและรวดเร็ว พร้อมวางจำหน่ายเดือนสิงหาคม เป็นต้นไปที่ Honda Wing Center ทั่วประเทศ

บีวายดี เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย ศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอาเซียน

บีวายดี เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย เดินหน้าเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าอาเซียนเต็มรูปแบบ ฉลองสายการผลิตอย่างยิ่งใหญ่ ประเดิมส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่คันที่ 8 ล้าน ของบีวายดีให้กับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

ระยอง – 4 กรกฎาคม 2567 – บีวายดี บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่มุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าบีวายดีอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ เปิดโรงงานบีวายดีประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จังหวัดระยอง โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาเพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน นับเป็นอีกก้าวสำคัญภายใต้กลยุทธ์การขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วโลกของบีวายดีรวมถึงสะท้อนความมุ่งมั่นที่มีต่อตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดจนเป็นการสนองนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายให้มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573

โอกาสนี้ บีวายดีได้ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า BYD DOLPHIN ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานใหม่คันที่แปดล้าน และได้รับการผลิตที่โรงงานแห่งนี้ ให้กับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านนวัตกรรมและการคมนาคมที่ยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจากนายหวัง ชวนฟู่ ประธานกรรมการและประธานบริษัท บีวายดี กรุ๊ป เป็นประธานในพิธีเปิดโรงงาน พร้อมมอบรถแก่ตัวแทนมูลนิธิ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

โรงงานผลิตรถยนต์บีวายดีแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 948,000 ตารางเมตร ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 16 เดือนนับจากพิธิเปิดหน้าดิน มาพร้อมแนวคิดการลดใช้พลังงานและคาร์บอนต่ำ ครบครันด้วยเครื่องจักรกลอัตโนมัติ กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ล้ำสมัย ครอบคลุม 4 ขั้นตอนการผลิตยานยนต์ ได้แก่ การขึ้นรูป การเชื่อม การทำสี และการประกอบ ทั้งหมดนี้ เพื่อการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าคุณภาพสูงและได้มาตรฐานสำหรับตลาดประเทศไทย โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 150,000 คันต่อปี ได้แก่ BYD DOLPHIN, BYD ATTO 3, BYD SEAL และ BYD SEALION 6 รวมถึงสามารถผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่และระบบส่งกำลังได้อีกด้วย สำหรับในอนาคต เมื่อโรงงานดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าจะสร้างงานได้กว่า 10,000 ตำแหน่ง

นายหวัง ชวนฟู่ ประธานกรรมการและประธานบริษัท บีวายดี กรุ๊ป กล่าวว่า “บีวายดีได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าสู่ตลาดประเทศไทยได้เพียง 2 ปี โดยประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำด้านยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าติดต่อกันถึง 18 เดือน ในอนาคต บีวายดีวางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มเติมในประเทศไทย เราจะผสานความเป็นเลิศด้านการผลิตในประเทศเข้ากับเทคโนโลยีพลังงานใหม่ขั้นสูงของบีวายดี เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

นายหลิว เสวียเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด กล่าวว่า “การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแห่งใหม่ของบีวายดีในประเทศไทย เป็นก้าวสำคัญที่ได้แสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัท ที่มีต่อลูกค้าชาวไทย ควบคู่ไปกับการสานต่อเป้าหมายระดับโลก โรงงานแห่งนี้ไม่เพียงจะช่วยให้เราสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ผลิตในไทย แต่ยังตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำแถวหน้าของโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ ที่สำคัญ เราเชื่อมั่นว่าโรงงานแห่งนี้จะสามารถสร้างโอกาสในการทำงานให้แก่ชาวไทยได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะให้กับวงการยานยนต์และพลังงานทดแทนได้อีกด้วย นอกจากนี้ โรงงานบีวายดีประเทศไทยจะช่วยดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศอย่างมหาศาล”

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดประมาณ 14.2 ล้านคัน เราจึงมั่นใจว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง กลุ่มธุรกิจเรเว่ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามพันธกิจในการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยพลังงานไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของบีวายดีในประเทศไทยจะช่วยให้เราสานต่อวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ‘NEW FUTURE, YOUR WAY’ ที่มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น NEV Nation และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2608 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืนพร้อมกับขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวเสริมว่า “เราเชื่อว่าการเปิดโรงงานบีวายดีประเทศไทยอย่างเป็นทางการ จะมีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเราในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทยและอาเซียน ทั้งยังตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่างบีวายดีและกลุ่มธุรกิจเรเว่ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงที่ตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของลูกค้าในไทยและประเทศอื่นๆ ที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวา ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจเรเว่จะยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายโชว์รูมให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้แข็งแกร่ง รวมถึงมอบประสบการณ์การขายและบริการหลังการขายเหนือระดับ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์แบบครบวงจรที่ราบรื่นและคุ้มค่า แทนคำขอบคุณสำหรับความไว้วางใจของผู้ใช้งานชาวไทยที่มอบให้กับเรามาโดยตลอด”

ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านยานยนต์พลังงานใหม่ บีวายดีได้ขยายการเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยในปี พ.ศ. 2566 บีวายดีส่งออกรถยนต์ 243,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 334% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจุบัน บีวายดีจำหน่ายยานยนต์พลังงานใหม่ใน 88 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทย บราซิล, ฮังการี และอุซเบกิสถาน

ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาว บีวายดีและกลุ่มธุรกิจเรเว่ มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของโลกสู่ยุคพลังงานใหม่ โดยโรงงานบีวายดีประเทศไทยซึ่งดำเนินการผลิตด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของจีนแห่งนี้ จะเข้ามาช่วยสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียนในอนาคตตามเป้าหมายของรัฐบาลไทยในท้ายที่สุด

GAC AION ปักหลักไทยฐานผลิตรถไฟฟ้าพวงมาลัยขวาส่งออกทั่วโลก

GAC AION ปักหลักประเทศไทย เปิดโรงงานผลิตแห่งแรกในต่างประเทศและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งเป็นฮับการผลิตและส่งออกทั่วโลก ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง เขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC บนพื้นที่ 85,000 ตารางเมตร จับตลาดรถพวงมาลัยขวา มุ่งมั่นสร้างการเติบโตทั้งด้านแบรนด์และยอดจำหน่ายทั่วโลก

ระยอง, ประเทศไทย – 17 กรกฎาคม 2567 – บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) หรือ GAC AION ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับโลกสัญชาติจีน เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกนอกประเทศจีน ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC บนพื้นที่ 85,000 ตารางเมตร มีความพร้อมด้วยเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อมุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ทั้งผลิตและจำหน่ายในประเทศรวมถึงส่งออกไปยังประเทศที่ใช้รถพวงมาลัยขวาทั่วโลก เพื่อสร้างการเติบโตทั้งด้านแบรนด์และยอดจำหน่าย ตลอดจนถึงผลักดันเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคให้เติบโตร่วมกัน

การเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทยของ GAC AION ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านการขาย การจัดจำหน่ายและการส่งเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่มีคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเช่นเดียวกับโรงงานในประเทศจีน โดยวางกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลก สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ มีคุณภาพสูง และเป็นมาตรฐานในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม โดย AION ได้ปรับปรุงแผนพัฒนาทั้งหมด 6 แนวทาง ซึ่งรวมถึง การเพิ่มความสามารถในการผลิต การขยายสายผลิตภัณฑ์ และการกำหนดแนวทางของตลาดในเรื่องฐานการผลิตและจำหน่ายทั่วประเทศ

มร.เจิง ชิ่งหง (Zeng Qinghong) ประธานบริษัท GAC กรุ๊ป กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของบริษัทฯ ว่า “GAC กรุ๊ป เป็นบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 เป็นเวลา 11 ปี ติดต่อกัน และในปี 2566 GAC AION ยังคงอยู่ในอันดับที่ 165 และมียอดขายสูงถึง 2.5 ล้านคัน (ยอดขายรวมของทั้ง GAC กรุ๊ป) ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในด้านการขยายตลาดในเกือบทุกภูมิภาคของโลก ได้เข้าสู่ตลาดแล้วกว่า 30 ประเทศ ในห้าทวีปหลักของโลก และยังเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ภายใต้กระแส “การเปลี่ยนแปลงสี่ด้าน” โดยในปี 2017 ได้ลงทุน 45,000 ล้านหยวน (6,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสร้างโรงงาน Guangzhou Automobile Group (GAC) รวมถึงได้ลงทุน 45 พันล้านหยวน (2.25 แสนล้านบาท) เพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ (GAC Zhilian New Energy Automobile Industrial Park) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า”

       มร.เจิง ชิ่งหง (Zeng Qinghong) ประธานบริษัท GAC กรุ๊ป

โดย AION เป็นบริษัทแนวหน้าของ GAC กรุ๊ป ในการพัฒนาของรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะสู่ตลาดโลก ที่ได้สร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มีความล้ำหน้าและเป็นเอกลักษณ์ โดยเป็นแบรนด์ที่มียอดขายครบ 1 ล้านคัน ด้วยระยะเวลาที่ “เร็วที่สุดในโลก” เพียง 4 ปี 8 เดือน และ GAC AION ยังคงอยู่ในสามอันดับแรกของยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลก ทั้งนี้ GAC AION มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการก้าวสู่โลกเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต โดยได้ค้นคว้าวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีอัจฉริยะ รวมถึงการเชื่อมต่อเครือข่ายอัจฉริยะและยานพาหนะพลังงานใหม่ โดยมีโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีเทคโนโลยี แพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (AEP Platform) และเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ทำให้ GAC AION ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในการพัฒนารถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศจีน

การเปิดตัวโรงงานในประเทศไทยครั้งนี้ เป็นกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการขยายตลาด ที่มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ในระดับสากล สร้างการผลิตและผลักดันให้เกิดการจำหน่าย รวมถึงกระจายความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไปสู่ระดับท้องถิ่น ซึ่ง AION ได้นำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับวางแผนสายงานอย่างครบวงจรทั้งหมด ทั้งระบบนิเวศพลังงาน วางรากฐานการฝึกอบรมพนักงาน และสร้างระบบอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับโลก เพื่อช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ GAC AION ในประเทศไทย ถือเป็นการเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันของแบรนด์ทั้งในประเทศไทยและในระดับสากล ด้วยการเป็นฐานการผลิตรถยนต์แห่งแรกในต่างประเทศของ GAC AION ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานผลิตสองแห่งในประเทศจีน มีกำลังการผลิต 500,000 คันต่อปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 120% ทั้งยังมียอดการผลิตและจำหน่ายอยู่ในสามอันดับแรกของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เมื่อเปิดโรงงานแห่งนี้ขึ้นอีกหนึ่งแห่ง จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับบริษัทฯ ในการเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือกที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และยังมีแผนสร้างฐานการผลิตและการจำหน่ายใน 7 พื้นที่ทั่วโลก

“ไม่เพียงแค่การประกอบรถเท่านั้น แต่เราจะนำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาในประเทศไทย พร้อมวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อให้การจำหน่ายและการบริการเป็นไปได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ” มร.เจิง ชิ่งหง กล่าว

ความสำเร็จจากการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย จะแสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างจีนและไทยในด้านพลังงานใหม่ และเกิดเป็นการพัฒนาร่วมกันต่อไปในระยะยาว เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย “การแบ่งปันเทคโนโลยีและการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์” ซึ่งสนับสนุนนโยบายในการเปลี่ยนแปลงพลังงานรถยนต์ให้เป็นพลังงานสีเขียว โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ เพื่ออยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า “ผมขอชื่นชม GAC AION ที่ได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนที่สำคัญแห่งนี้ในประเทศไทย นับจากวันที่ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยหารือกับทีมผู้บริหาร GAC AION ซึ่งได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และได้รับการอนุมัติโครงการในเดือนกันยายนของปีเดียวกัน ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียง 10 เดือน ในการเตรียมการลงทุนเพื่อเปิดโรงงาน แสดงถึงความมุ่งมั่นและการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของทีมงาน GAC AION ในการเดินหน้าขยายธุรกิจด้วยความรวดเร็ว เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ นอกจากนี้ ความรวดเร็วในการเปิดโรงงานของ GAC AION ยังสะท้อนถึงศักยภาพของไทยที่จะเป็นแหล่งรองรับการลงทุนของบริษัทชั้นนำจากประเทศจีน และความพร้อมที่จะเป็นฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของภูมิภาคอีกด้วย”

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ประเทศไทยให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนยานยนต์สมัยใหม่เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตยานยนต์แห่งอนาคตของโลก โดยมีการกำหนดเป้าหมายและแผนงานในการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030 ภายใต้แผน 30-30 รวมถึงการพัฒนาแรงงานฝีมือ การสร้างความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานและความปลอดภัย ตลอดจนการให้บริการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติและศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า (ATTiC) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนายานยนต์สมัยใหม่ในภูมิภาคอาเซียน ภายใต้วิสัยทัศน์ที่รัฐบาลกำหนดให้ “ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก”

    นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

มร.กู่ ฮุ่ยหนาน (Gu Huinan) ประธานกรรมการบริษัท GAC AION กล่าวว่า “โรงงานผลิตรถยนต์อัจฉริยะของ GAC AION ในประเทศไทยที่กำลังจะเปิดอย่างเป็นการทางในวันนี้ ได้นำเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุดจากโรงงานในประเทศจีน และถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศจีนจะมีความร่วมมืออันดีที่เป็นมิตรกับประเทศไทย ในการผลักดันอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ระหว่างสองประเทศ ให้มีความก้าวหน้าและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐของประเทศไทยและประเทศจีน”

       มร.กู่ ฮุ่ยหนาน (Gu Huinan) ประธานกรรมการบริษัท GAC AION

มร.หม่า ไห่หยาง (Ma Haiyang) ผู้จัดการทั่วไป GAC AION ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ GAC AION ได้ยึดมั่นในแนวคิดหลักว่า “คุณภาพต้องมาก่อน” และมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการผ่านยานยนต์พลังงานใหม่ที่มีคุณภาพและชาญฉลาดแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยจุดเด่นด้านการผลิตที่ก้าวหน้าระดับโลก 4 ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และในวันนี้ ความสำเร็จของโรงงานในประเทศไทยไม่เพียงแต่เป็นเครื่องแสดงว่า AION ได้สร้างแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกอย่างแท้จริง แต่ยังส่งเสริมผลิตภัณฑ์ไฮเทค อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และวัฒนธรรมเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของจีนไปต่างประเทศ” และเรามีความยินดีที่จะแนะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดของเราอย่าง AION V เจเนอเรชันที่ 2 ที่มาพร้อมกับความสามารถที่รอบด้าน เทคโนโลยีอันเหนือชั้น และมีความปลอดภัยสูง โดยการเผยโฉมในครั้งนี้ เกิดขึ้นพร้อมกันกับการเผยโฉมรถ AION V เจเนอเรชันที่ 2 ในประเทศจีน

มร.หม่า ไห่หยาง (Ma Haiyang) ผู้จัดการทั่วไป GAC AION ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โรงงานผลิตรถยนต์เชิงนิเวศอัจฉริยะแห่งนี้ถือเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การทำตลาดในระดับโลกของเรา โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตอัจฉริยะชั้นนำของโลกสี่ประการ ได้แก่ ความอัจฉริยะทางเทคโนโลยีขั้นสูง คุณภาพสูง ประสิทธิภาพสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อข้อมูล 100% ในการผลิตแบบครบวงจร โดยมีการใช้หุ่นยนต์ร่วมกับเทคโนโลยี AI เพื่อให้แน่ใจว่ารถยนต์ไฟฟ้าของ GAC AION จะไม่มีข้อบกพร่อง และเราตระหนักถึงการสลับแบบเรียลไทม์ของการกำหนดค่า 10W+ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้หลายพันคน เราใช้ “การรวมการจัดเก็บแสง การชาร์จ และการเปลี่ยน” การใช้พลังงานอย่างครอบคลุมเพื่อมอบ “โซลูชัน AION” สำหรับการเปลี่ยนแปลงสีเขียวของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย

“การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์เชิงนิเวศอัจฉริยะ GAC AION ในประเทศไทยครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของกลยุทธ์ที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาร่วมกันของอุตสาหกรรมยานยนต์ระหว่างไทยและจีน ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าประเทศไทยเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพมากที่สุด และคาดว่าในอนาคต โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การพัฒนาขึ้นในประเทศไทย ผลักดันให้เกิดการจ้างงาน สร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับประเทศไทย และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง” มร.หม่า ไห่หยาง กล่าว

สำหรับโรงงานในประเทศไทยจะใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับชั้นนำของโลก และควบคุมคุณภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยี AI ที่ทรงพลัง การผลิตอัจฉริยะไร้คาร์บอนชั้นนำของโลก รวมถึงการเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานสะอาด จาก GAC AION ประเทศจีน ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานใหม่ Lighthouse Factory แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก โดยรางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดย World Economic Forum ที่ได้ร่วมมือกับองค์กรชั้นนำอย่าง McKinsey & Company ในการคัดเลือกโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าเกณฑ์เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตแบบคาร์บอนต่ำ เป็นการตอกย้ำว่า GAC AION มุ่งมั่นเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานสะอาดให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

ในการเปิดตัวโรงงานครั้งนี้ GAC AION ยังได้นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้า AION V เจเนอเรชันที่ 2 อย่างเป็นทางการครั้งแรกของโลก ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเผยโฉม AION V เจเนอเรชันที่ 2 ในประเทศจีนอีกด้วย เพื่อตอกย้ำความสำคัญของตลาดในประเทศไทย รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและทันสมัยที่สุดสู่ตลาดโลก โดยผลิตขึ้นตามหลักการ 8 จุดเด่นหลัก ได้แก่ ดีไซน์ที่โดดเด่น, พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง, เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว, ระบบขับขี่อัจฉริยะระดับโลก, เทคโนโลยี AI อัจฉริยะ, มีระยะทางวิ่งไกลและทนทานต่อสภาพอากาศ, เทคโนโลยีชาร์จเร็วอัจฉริยะ, แบตเตอรี่มีความปลอดภัยสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

นอกจากนี้ GAC AION ยังได้มอบรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 2 คัน ให้กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และวิทยาลัยเทคนิคชลบุรี ตามโครงการความร่วมมือระหว่าง GAC AION และสถาบันการศึกษาในประเทศไทย สำหรับใช้ในการศึกษาและเรียนรู้ ของนิสิตนักศึกษารวมถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยในอนาคตต่อไป

ซูซูกิ ยกระดับงานบริการ เปิดแคมเปญ Suzuki Worry Free

ซูซูกิ ยกระดับงานบริการลูกค้าเปิดแคมเปญ Suzuki Worry Free ฟรี! ค่าแรงเช็ก ระยะนาน 3 ปี ฟรี รถสำรองใช้ระหว่างซ่อม เป้าหมายมีอะไหล่รองรับรถยนต์ทุกรุ่นนาน 10 ปี ชูแอปพลิเคชัน HELLO SUZUKI ช่วยดูแลลูกค้า พร้อมลุยขยายศูนย์บริการครอบคลุมทั่วไทยเพิ่มเติมอีก 6 แห่ง

18 กรกฎาคม 2567-กรุงเทพมหานคร – บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศแผนดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มุ่งเสริมความแข็งแกร่งด้านงานบริการ เตรียมขยายการรับประกันฟรีค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร พร้อมเป้าหมายมีอะไหล่รองรับรถยนต์ทุกรุ่นนาน 10 ปี โดยนำแอปพลิเคชัน Hello Suzuki รองรับงานบริการที่รวดเร็วทันใจ เร่งเดินหน้าขยายศูนย์บริการให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค และพัฒนายกระดับศูนย์ซ่อมตัวถังและสีตามมาตรฐานของซูซูกิเพื่อรองรับงานบริการอย่างทั่วถึงในอนาคต

นายทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศยังคงซบเซา ช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา (เดือนมกราคม-มิถุนายน) ตลาดรถยนต์รวมมียอดขายอยู่ที่ 307,995 คัน สำหรับซูซูกิ ยอดขายรวมทั้งสิ้น 3,791 คัน ลดลง 54 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาดยังคงหดตัว คือ ปัญหาสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่งผลให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น กระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันในอุตสากรรรมยานยนต์ที่เข้มข้น สภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัว จนส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ในภาพรวม และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ซูซูกิยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยต่อไปอย่างมั่นคง จึงเตรียมแผนการดำเนินธุรกิจให้พร้อมรองรับต่อการแข่งขันในอนาคต ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ “Enhancing the Ability to Compete in the Upcoming Automotive Market เพิ่มขีดความสามารถสู่การแข่งขันในอนาคต” ที่ได้ทำการประกาศแก่ผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

แผนการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นภายใต้แคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” ซึ่งจะเป็นการยกระดับงานบริการในทุกด้าน โดยเน้นย้ำถึงการดูแลลูกค้าด้วยความจริงใจ มอบคุณภาพของงานบริการที่ดีที่สุด ตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้าชาวไทยมอบให้เสมอมา

นอกจากแผนการพัฒนางานบริการในด้านต่างๆ ซูซูกิยังเตรียมความพร้อมแข่งขันในตลาดรถยนต์ ด้วยแผนการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ 4 รุ่น ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางและนโยบายการรักษาความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยประกอบไปด้วยรถประเภทไฮบริดและรถพลังงานไฟฟ้า 100% โดยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าแต่ละรุ่นจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้าและสามารถแข่งขันได้ในอนาคตอย่างแน่นอน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่เข้ามารับผิดชอบดูแลงานด้านการวางแผนบริหารงานฝ่ายบริการและอะไหล่ สิ่งที่ยึดมั่นคือการดำเนินงานภายใต้ปรัชญา “SUZUKI Cause We Care–เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” การพัฒนางานบริการในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพของผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศเป็นเป้าหมายสำคัญยิ่งของซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย)

โดยเพื่อให้ซูซูกิสามารถดำรงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในประเทศไทย การปรับปรุงแผนและพัฒนาการดำเนินงานเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ แคมเปญ “SUZUKI WORRY FREE” จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถรองรับการดูแลลูกค้าด้วยคุณภาพและมาตรฐานของซูซูกิได้อย่างแท้จริง ซึ่งรายละเอียดจะประกอบไปด้วย 7 หัวข้อ ดังนี้

1. ฟรี! ค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี

•สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้าเช็กระยะต่อเนื่องตามกำหนดกับศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิทุกสาขา ฟรี! ค่าแรงเช็กระยะ สูงสุด 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

2. ขยายการรับประกันอะไหล่และงานบริการ

•อุ่นใจไร้กังวล กับการขยายการรับประกันงานซ่อมและอะไหล่แท้ทุกชิ้น นานถึง 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร (โดยอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) จากเดิมที่รับประกันเพียง 3 เดือน หรือ 5,000 กิโลเมตร

3. บริการพิเศษรถสำรองใช้ระหว่างซ่อม

•รถยนต์ที่อยู่ในระยะรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ไร้ความกังวลเรื่องไม่มีรถใช้งานระหว่างซ่อม ด้วยบริการพิเศษ ‘รถสำรองใช้ระหว่างซ่อม’ สำหรับรถยนต์ซูซูกิที่ต้องใช้เวลาตรวจเช็กมากกว่า 1 วัน (ไม่รวมระยะเวลาวิเคราะห์ปัญหา) และไม่รวมกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ

4. HELLO SUZUKI APPLICATION ยกระดับงานบริการแบบ S-Solution

•HELLO SUZUKI คือ แอปพลิเคชัน ที่จะเชื่อมต่อข้อมูลการทำงานกับลูกค้า อำนวยความสะดวกสบายและความมั่นใจในงานบริการทุกขั้นตอน ทั้งการนัดหมายนำรถเข้ารับบริการ หรือติดต่อสอบถามข้อมูล รายงานการการตรวจสอบและดูแลรถในทุกขั้นตอน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษมากมาย ด้วยการสะสมคะแนนจากค่าใช้จ่ายในการเข้าซ่อมบำรุงตามระยะอย่างต่อเนื่อง หรือซ่อมแซมที่ศูนย์บริการของซูซูกิทั่วประเทศ

5. ระบบการจัดการอะไหล่ มีเป้าหมายรองรับบริการได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี

•การจัดการเตรียมระบบจัดการอะไหล่รถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายภายในประเทศ ช่วยให้ลูกค้าคลายความกังวลเรื่องการขาดแคลนอะไหล่ในการบำรุงรักษารถ เพราะซูซูกิมีคลังอะไหล่ 2 แห่ง ทั้งที่คลังอ่อนนุช กรุงเทพมหานคร มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 1,216 ตารางเมตร และคลังอะไหล่ จังหวัดระยอง มีพื้นที่จัดเก็บขนาด 4,076 ตารางเมตร รวมถึงคลังอะไหล่ของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ มีอะไหล่จัดเก็บรวมมากถึง 741,000 ชิ้น โดยมีเป้าหมายรองรับความต้องการของลูกค้าได้ไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่สิ้นสุดการผลิต

•บริการจัดส่งอะไหล่แบบเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และพื้นที่อื่นๆ ภายใน 48 ชั่วโมง คุ้มค่าต่อการใช้งาน ด้วยอะไหล่ในราคาที่เข้าถึงง่าย

6. ศูนย์บริการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

•ลูกค้ามั่นใจกับศูนย์บริการ 92 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และเตรียมเสริมความแข็งแกร่งเพื่อรองรับแผนงานในอนาคต ด้วยการแต่งตั้งผู้จำหน่ายรายใหม่เพิ่มอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดพัทลุง

7. ศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังตามมาตรฐานของซูซูกิ

•ปัจจุบันซูซูกิมีผู้จำหน่ายที่มีบริการศูนย์ซ่อมตัวถังและสีตามมาตรฐานของซูซูกิ ด้วยกันทั้งหมด 32 แห่ง ประกอบด้วย

ลำดับชื่อบริษัทผู้จำหน่ายภาคจังหวัด
1บริษัท ซูซูกิ อินดี้ บางหว้า จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลกรุงเทพมหานคร
2บริษัท ดี โฟร์ คาร์ซิตี้ จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลกรุงเทพมหานคร
3บริษัท พีพี เมกะ ออโต้ จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลกรุงเทพมหานคร
4บริษัท มาพรพาณิชย์ จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลกรุงเทพมหานคร
5บริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์คาร์ จำกัด (สำนักงานใหญ่)กรุงเทพและปริมณฑลกรุงเทพมหานคร
6บริษัท ยูโรเปียน มอเตอร์คาร์ จำกัด (สาขาทองหล่อ)กรุงเทพและปริมณฑลกรุงเทพมหานคร
7บริษัท บีบี ซูซูกิ ออโต้ จำกัด (สำนักงานใหญ่)กรุงเทพและปริมณฑลกรุงเทพมหานคร
8บริษัท ซูซูกิ ตงเจริญออโต้เซลส์ จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลปทุมธานี
9บริษัท ซูซูกิ นวนคร จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลปทุมธานี
10บริษัท นวซูซูกิ ปทุมธานี จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลปทุมธานี
11บริษัท นวออโตโมบิล บางใหญ่ จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลนนทบุรี
12บริษัท ยนต์ตระการ พรีเมียม คาร์ จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลนนทบุรี
13บริษัท สุพรรณยนตการ เทรดดิ้ง จำกัดกรุงเทพและปริมณฑลนนทบุรี
14บริษัท บีบี ซูซูกิ ออโต้ จำกัด (สาขาบางบ่อ)กรุงเทพและปริมณฑลสมุทรปราการ
15บริษัท ซูซูกิ ราชบุรี จำกัด (สำนักงานใหญ่)  กลางราชบุรี
16บริษัท ซูซูกิ ราชบุรี จำกัด (สาขาบ้านโป่ง)  กลางราชบุรี
17บริษัท ซูซูกิกาญจนบุรี จำกัดกลางกาญจนบุรี
18บริษัท พ.บรรจง ออโตซัพพลาย จำกัดกลางประจวบคีรีขันธ์
19บริษัท ซูซูกิ หัวหิน (สิทธิภัณฑ์) จำกัดกลางประจวบคีรีขันธ์
20บริษัท ซูซูกิเพชรบุรี (สิทธิภัณฑ์) จำกัดกลางเพชรบุรี
21บริษัท ซูซูกิ ฉะเชิงเทรา (2555) จำกัด  ตะวันออกฉะเชิงเทรา
22บริษัท ซูซูกิ ออโต้ เชียงใหม่ จำกัดเหนือเชียงใหม่
23บริษัท ซูซูกิ ออโต้ เชียงใหม่ จำกัด (สาขาดอนจั่น)เหนือเชียงใหม่
24บริษัท บี.เค. ออโต้ โมบิล จำกัดเหนือตาก
25บริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด (สำนักงานใหญ่)ตะวันออกเฉียงเหนือนครราชสีมา
26บริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด (สาขาบายพาส)ตะวันออกเฉียงเหนือนครราชสีมา
27บริษัท คลัง ออโตโมบิลส์ จำกัด (สาขาปากช่อง)ตะวันออกเฉียงเหนือนครราชสีมา
28บริษัท ซูซูกิเจียงอุดร จำกัดตะวันออกเฉียงเหนืออุดรธานี
29บริษัท สำราญยนตรการ ชัยภูมิ จำกัดตะวันออกเฉียงเหนือชัยภูมิ
30บริษัท ซูซูกิ อุบลราชธานี จำกัด (สำนักงานใหญ่)ตะวันออกเฉียงเหนืออุบลราชธานี
31บริษัท ซูซูกิ อุบลราชธานี จำกัด (สาขาเดชอุดม)ตะวันออกเฉียงเหนืออุบลราชธานี
32บริษัท เลิศวิจิตร ออโต้เซลส์ จำกัดตะวันออกเฉียงเหนืออำนาจเจริญ

โดยในอนาคต ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ยังมีแผนงานที่จะขยายงานบริการศูนย์ซ่อมตัวถังและสีตามมาตรฐานของซูซูกิ เพิ่มอีกจำนวน  9 แห่ง ทั้งในจังหวัดนนทบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดอยุธยา จังหวัดลพบุรี และจังหวัดขอนแก่น ภายในปี 2567

“เราพยายามพัฒนางานบริการหลังการขายให้ยกระดับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มเข้ามาของบริการ HELLO SUZUKI คือ ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราพัฒนา ระบบจัดการฐานข้อมูลลูกค้า (Dealer Management System หรือ DMS) ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อทราบถึงข้อมูลการเข้ารับบริการของลูกค้าได้แบบ Real Time ซึ่งช่วยประเมินความต้องการของลูกค้า ไปจนถึงเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังร่วมมือกับผู้จำหน่ายทุกราย มุ่งเน้นการอบรมพนักงานในเชิงปฏิบัติอย่างมืออาชีพให้มีใจรักในการบริการลูกค้าเป็นอย่างดีอีกด้วย” นายวัลลภ กล่าว

ทั้งนี้ แม้ซูซูกิจะต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง รวมถึงสภาวะการหดตัวลงของตลาดและความเข้มงวดของสถาบันการเงินต่างๆ แต่ในช่วงที่ผ่านมาเรายังคงรักษาระดับยอดขายรถยนต์ไว้ได้อย่างน่าพอใจ ซึ่งนอกจากต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์ของซูซูกิเป็นอย่างสูงแล้วนั้น ต้องขอขอบคุณผู้จำหน่ายของซูซูกิทุกรายที่ทำงานอย่างหนัก จึงขอให้ลูกค้าซูซูกิทุกท่านเชื่อมั่นได้ว่า  เราจะยังเดินหน้าพัฒนาคุณภาพในทุกด้านอย่างไม่หยุดยั้ง โดยยึดความสำคัญด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการขายเป็นที่ตั้ง เพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้ จนเราสามารถสร้างยอดขายสะสมนับตั้งแต่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้ถึง 310,885 คัน

อย่างไรก็ตาม ปรัชญา “SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” นอกจากเป็นแนวทางในการยึดมั่นให้เราพัฒนางานบริการและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเพื่อลูกค้าแล้ว ยังเป็นโครงการที่ต้องการสื่อสารไปยังลูกค้าและคนไทยทุกท่าน ว่าเราไม่ใช่แค่เพียงผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ แต่เราหวังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม พร้อมกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการอยู่คู่เคียงข้างชุมชนและสังคมไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย พร้อมทั้งตอกย้ำการมาของรถยนต์รุ่นใหม่ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ที่จะสร้างการเติบโตของตลาดรถยนต์ภายในประเทศต่อไป

มาสด้า สานฝันเยาวชนไทยสู่โปรกอล์ฟระดับโลก

มาสด้า สานฝันเยาวชนไทยก้าวสู่เส้นทางโปรกอล์ฟระดับโลก พร้อมชวนลูกค้าเปิดประสบการณ์ร่วมเล่นกอล์ฟสุดเอ็กซ์คลูซีฟ สานฝันปูทางสู่นักกอล์ฟระดับโลก

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 19 กรกฎาคม 2567 – มาสด้าส่งเสริมเติมความฝันเยาวชนไทยสู่เส้นทางโปรกอล์ฟระดับโลก มอบโอกาสสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้าและครอบครัวผู้ใช้รถยนต์มาสด้า เพื่อคว้าสิทธิ์ในการเดินทางไปแข่งขันทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศเชิญชวนเยาวชนไทยทั้งชายและหญิงอายุระหว่าง 12-19 ปี สมัครเข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟรอบคัดเลือก ที่จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาผู้ที่ทำผลงานดีที่สุดเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายร่วมกับนักกอล์ฟเยาวชนที่เดินทางมาจากทั่วโลก 128 คน ในโครงการ “MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024” ซึ่งเป็นโครงการชั้นแนวหน้าระดับสากลที่เฟ้นหาและผลักดันเยาวชนกอล์ฟดาวเด่นให้ไปโลดแล่นบนเวทีระดับโลก ผู้ชนะเลิศจากการแข่งขันรอบสุดท้ายจะได้เดินทางไปร่วมการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ใหญ่หลายรายการในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นก็มีโอกาสที่จะได้รับการเสนอทุนการศึกษาเพื่อปูทางก้าวสู่เส้นทางนักกอล์ฟมืออาชีพอีกด้วย นับเป็นโครงการดีๆ ที่เยาวชนไทยผู้รักในกีฬากอล์ฟไม่ควรพลาด

อีกหนึ่งในกิจกรรมสุดพิเศษที่จัดขึ้นพร้อมกัน มาสด้ามอบเอกสิทธิ์สำหรับลูกค้ามาสด้าและครอบครัว เพื่อร่วมสนุกออกรอบเล่นกอล์ฟเป็นก๊วน พร้อมด้วยกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟต่างๆ มากมายตลอดงาน กับโครงการ “MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024” ณ สนาม Alpine Golf Club โดยเปิดรับสมัครนักกอล์ฟสมัครเล่นลูกค้าเจ้าของรถยนต์มาสด้า จำนวน 32 คัน จำนวนนักกอล์ฟ 64 คน เข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟเพื่อสัมผัสประสบการณ์ความสนุกแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับความ สัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้ากับมาสด้า เป็นการสร้างสรรค์ประสบกาณร์ที่ดีที่สุดที่มาสด้าต้องการส่งมอบให้กับลูกค้าทุกคน รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางร่วมกัน เพื่อให้แบรนด์มาสด้าเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกค้า และสมาชิกทุกคนในครอบครัว โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 ณ สนามกอล์ฟ Alpine Golf Club จังหวัดปทุมธานี

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมเพื่อให้การสนับสนุนเยาวชนที่มีความสามารถในด้านกอล์ฟครั้งนี้ อยู่ภายใต้โครงการ “MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024” ซึ่งเกิดจากแรงบันดาลใจของมาสด้าที่ต้องการต่อเติมความฝันให้กับเยาวชนที่มีใจรักในกีฬากอล์ฟ ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่บนสนามแข่งขันชั้นนำระดับโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็น Challenger Spirit ที่มีอยู่ในสายเลือดของนักกีฬาทุกคน เฉกเช่นเดียวกับแนวคิดหลักของแบรนด์มาสด้าที่ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ พร้อมผลักดันขีดความสามารถตนเองให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง มาสด้าเชื่อในศักยภาพของคนไทยที่มากฝีมือไม่แพ้ชาติใดในโลก และมาสด้าต้องการผลักดันเยาวชนไทยให้มีโอกาสได้เปล่งประกายประดับวงการกีฬา เพื่อก้าวสู่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพระดับโลก และนำชื่อเสียงกลับมาสู่ประเทศไทยต่อไปในอนาคต

การสมัครเข้าร่วมแข่งขันกอล์ฟสำหรับเยาวชนชายและหญิง

MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024

เอกสิทธ์พิเศษนี้มาสด้าจัดขึ้นสำหรับกับลูกค้าและครอบครัวมาสด้า โดยเปิดรับสมัครทั้งประเภทเยาวชนชายและหญิง ที่มีอายุระหว่าง 12 – 19 ปี จำนวน 64 คน แบ่งเป็นเยาวชนชาย 32 คน และเยาวชนหญิง 32 คน รวม 64 คน เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน “รอบคัดเลือก” ในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 ณ สนาม Alpine Golf Club จังหวัดปทุมธานี ค่าสมัครเพียง 2,500 บาทต่อคน (รวมค่ากรีนฟรี รถกอล์ฟ และแคดดี้) ซึ่งผู้ชนะเลิศและทำผลงานดีที่สุด 16 อันดับแรกของแต่ละประเภท จะได้รับสิทธิ์เข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายในโครงการ “MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024” ที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ณ สนามกอล์ฟ Lotus Valley Golf Resort จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีโค้ชจากมหาวิทยาลัยชั้นนำจากสหรัฐอเมริกาเดินทางมาร่วมสังเกตุทักษะฝีมือการเล่นของแต่ละบุคคล ซึ่งเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นมีโอกาสได้รับการเสนอทุนการศึกษาเพื่อปูทางก้าวสู่เส้นทางการเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ และผู้ที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย จำนวน 32 คน ในครั้งนี้ จะได้รับสิทธิ์ในการเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กรุณากดลิงค์เพื่อสมัครเข้าร่วมการแข่งขันสำหรับกอล์ฟเยวาชน https://m.mazda.co.th/PR-GPTP-0724

เยาวชนที่สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน กรุณาแสกน QR Code เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมงาน

การสมัครเข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟ MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024

เพื่อยกระดับประสบการณ์และมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าครอบครัวมาสด้าเกินความคากหวัง มาสด้าจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟเอกสิทธิ์สำหรับลูกค้าครอบครัวมาสด้า เชิญชวนลูกค้าสมัครเข้าร่วมออกรอบเล่นกอล์ฟเป็นก๊วน ในโครงการ “MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024” ณ สนาม Alpine Golf Club จัดแข่งขัน วันที่  4 ตุลาคม 2567 เปิดรับสมัครคัดเลือกลูกค้าเจ้าของรถยนต์มาสด้า จำนวน 32 คัน โดยสามารถสมัครเข้าร่วม 2 คนต่อหนึ่งคัน รวมจำนวนจำนวน 64 คน ค่าสมัครเพียง 2,900 บาท (รวมค่ากรีนฟรี รถกอล์ฟ และแคดดี้) พร้อมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟต่างๆ มากมายตลอดงาน เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2567 เวลา 18:00 น. กรุณากดลิงค์เพื่อสมัครเข้าร่วมการแข่งขันสำหรับลูกค้ามาสด้า https://m.mazda.co.th/PR-GET-0724

ลูกค้ามาสด้าที่สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน กรุณาแสกน QR Code เพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมงาน

โครงการ “MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024” และโครงการ “MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024” เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2567 เวลา 18:00 น. และประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในวันที่ 27 สิงหาคม 2567 ผ่านทาง Facebook/MazdaThailandOfficial สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.mazda.co.th หรือสอบถามผ่านมาสด้าสปีดไลน์ 0-2030-5666

มาสด้ายังคงเดินหน้าให้ความสำคัญกับการส่งมอบคุณค่า และประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุกๆ ช่วงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการต่อเติมความฝันและการมอบโอกาสให้กับผู้คนได้ลงมือทำในสิ่งที่ตนเองรัก ผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านกีฬา มอเตอร์สปอร์ต หรือการให้การสนับสนุนด้านสังคมและชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและสร้างความรักความผูกพันโดยมีมาสด้าเป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์ความสุข เพื่อขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าด้วยกัน

มิตซูบิชิ ปรับแนวรุก เผยโฉม ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เผยโฉม ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด คมเข้ม หล่อเต็มพิกัด

กรุงเทพฯ – 19 กรกฎาคม 2567 : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เผยโฉม ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด ปรับโฉมจากออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส อัลตร้า เกียร์อัตโนมัติ เติมความหล่อเข้มเต็มพิกัดด้วยชุดแต่งสีดำรอบคัน สะท้อนนิยามแห่งความสปอร์ต แข็งแกร่งทรงพลัง ตามแบบฉบับรถกระบะที่เหนือระดับอย่างแท้จริง

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน ตอกย้ำแนวคิดแห่งการปฏิวัติเพื่อสิ่งใหม่ที่เหนือกว่า พร้อมสะท้อนตัวตนที่แตกต่างของผู้ขับขี่ ด้วยการตกแต่งภายนอกสีดำสุดเท่ ประกอบด้วย ไดนามิก ชีลด์และกรอบไฟตัดหมอกสีดำเงา ล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว กระจกมองข้างสีดำเงา มือเปิดประตูด้านนอกสีดำเงา มือเปิดกระบะท้ายสีดำเงา บันไดข้างตกแต่งสีไทเทเนียมรมดำ และกันชนหลังสีดำตกแต่งด้วยสีไทเทเนียมรมดำ ทั้งหมดนี้ผสานกันอย่างลงตัว เร่งอารมณ์สปอร์ตถึงขีดสุด ดึงดูดทุกสายตา

นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาแล้ว ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน ยังมาพร้อมเครื่องยนต์คลีนดีเซล เทอร์โบ ไฮเปอร์เพาเวอร์ (Hyper Power) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ให้พละกำลังที่เหนือกว่าและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น ด้วยกำลังสูงสุดที่ 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ผสานช่วงล่างใหม่และแชสซีส์เมกาเฟรมใหม่ที่ใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มสบายเหนือระดับ คล่องตัวทั้งในเมืองและขณะเดินทางไกล

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน ไดมอนด์ เซนส์ (Diamond Sense) ที่มีระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA) ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA) ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Auto High Beam: AHB) กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM) พร้อมระบบตรวจจับและแจ้งเตือนวัตถุหรือบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน (Moving Object Detection : MOD) ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวและสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ ด้วยเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่ละเอียด แม่นยำ พร้อมปกป้องคุณให้ปลอดภัยในทุกเส้นทางที่ไปในแบบ 360 องศา

ภายในห้องโดยสารของ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน ได้รับการออกแบบเพื่อมอบที่สุดแห่งความสะดวกสบายหรูหรา เติมเต็มสุนทรียภาพขณะขับขี่ที่เทียบได้กับรถเอสยูวี พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน อาทิ หน้าจอขนาด 9 นิ้ว ที่รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay ที่พร้อมเชื่อมต่อแบบไร้สาย และ Android Auto เพื่อให้เป็นรถกระบะที่ตอบโจทย์การใช้งานทั้งในชีวิตประจำวัน และการออกทริปเอาท์ดอร์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน มาพร้อมสีตัวถังสีเทา Graphite Gray และสีขาว White Diamond โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 1,027,000 บาท ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายเพื่อทดลองขับได้ที่ www.mitsubishi-motors.co.th หรือ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 เปิดรับสายทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย วางใจ “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี”

สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ไว้วางใจ “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี” เลือกเป็นยานยนต์สำหรับการปฏิบัติงานด้านการทูตในราชอาณาจักรไทย

บรรยายภาพ : สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นำโดย มร.โนโมโตะ โยชิฟูมิ (ที่ 2 จากซ้าย) นักการทูตที่ปรึกษา หัวหน้าแผนกบริหารงานส่วนกลาง สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และ มร.มิโซะกุจิ อะทสึชิ (ซ้ายสุด) นักการทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เป็นตัวแทนรับมอบ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี จาก มร.โนโบรุ สึจิ (ที่ 2 จากขวา) ประธานคณะกรรมการบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และ นายพิพัฒน์พล อุนนาภิรักษ์ (ขวาสุด) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์.เอ็ม.เอ.เทรดดิ้ง จำกัด ณ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย

กรุงเทพฯ – 16 กรกฎาคม 2567 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย อาร์.เอ็ม.เอ.เทรดดิ้ง ร่วมส่งมอบรถยนต์ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ให้แก่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยที่เลือกใช้รถยนต์ระบบขับเคลื่อน ฟูลไฮบริด เป็นยานยนต์สำหรับการปฏิบัติงานของสถานทูต ตอกย้ำความเชื่อมั่นในยนตรกรรมของมิตซูบิชิ

มร.โนโบรุ สึจิ ประธานคณะกรรมการบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เลือกใช้ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เป็นยานยนต์สำหรับการปฏิบัติงานของสถานทูต ตอกย้ำถึงคุณภาพอันยอดเยี่ยมและความเชื่อมั่นในรถยนต์มิตซูบิชิ พร้อมแสดงถึงการไว้วางใจในระบบวิศวกรรมยานยนต์และการบริการที่เราทุ่มเทพัฒนาอย่างเต็มที่ เรามีความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งที่จะนำเสนอยานยนต์เพื่อการเดินทางขับเคลื่อนที่เต็มเปี่ยมด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืนซึ่งมีมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านสมรรถนะ ความไว้วางใจ และคุณภาพ”

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี โดดเด่นด้วย Mitsubishi e:MOTION ประสบการณ์ขับขี่ใหม่เหนือระดับ ผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อมอบการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจและมั่นใจได้ยิ่งกว่าในทุกสภาพถนน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มีโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนนและทุกสภาพอากาศ นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส มอบการขับขี่ที่ปลอดภัยและมั่นใจ ควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวโดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง

มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ยังโดดเด่นเหนือระดับด้วยพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบาย และตอบโจทย์การใช้งานอย่างยอดเยี่ยม รองรับการเดินทางทั้งในเมืองและขับขี่ทางไกลร่วมกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน พร้อมดีไซน์ภายนอกสุดเท่ อันเป็นเอกลักษณ์เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาความลงตัวของสมรรถนะการขับขี่และสไตล์การออกแบบที่เหนือระดับ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save