- Advertisement -
30.9 C
Bangkok
Home Blog Page 48

ฟอร์ด ชวนสัมผัสการขับขี่สุดเร้าใจกับกิจกรรม 4×4 REMARKABLE EXPERIENCE

ฟอร์ด ประเทศไทย จัดกิจกรรมพาผู้ที่สนใจรถฟอร์ดสัมผัสประสบการณ์การขับขี่เร้าใจ พิสูจน์ความแกร่งจริงทุกคัน ดุดันทุกสถานการณ์ของทั้งฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ บนเส้นทางออฟโรดและออนโรด กับกิจกรรม ‘4x4 REMARKABLE EXPERIENCE’ ภายใต้แนวคิด “ลุยให้โลกจำ” สนามที่ 2 ณ จังหวัดระยอง หลังประสบความสำเร็จจากสนามแรกที่จังหวัดนครนายก

พร้อมเปิดรับลงทะเบียนสำหรับที่ผู้สนใจร่วมพิสูจน์ความสนุก และดุดันของรถยนต์ฟอร์ด สนามที่ 3 วันที่ 18-19 พฤษภาคม 25667 ณ สวนดอกไม้ยายสุข จังหวัดชลบุรี สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานและติดตามข่าวสารกิจกรรมครั้งต่อไปได้ทางเว็บไซต์ www.ford.co.th และเฟสบุ๊คฟอร์ด

ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 4×4 REMARKABLE EXPERIENCE จะมีโอกาสได้ทดสอบขับรถฟอร์ด เรนเจอร์ ทั้งรุ่น สตอร์มแทรค และไวลด์แทรค ทำความรู้จักกับรถกระบะที่ชาญฉลาดที่สุด อเนกประสงค์ที่สุด และสมบุกสมบันที่สุดในตระกูลฟอร์ด เรนเจอร์  และฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นแพลทินัม และรุ่นไทเทเนี่ยม พลัส รถยนต์นั่งอเนกประสงค์สำหรับครอบครัวที่รักความท้าทายและการผจญภัย ร่วมพิสูจน์สมรรถนะอันดุดันของรถยนต์ ฟอร์ดบนเส้นทางออฟโรดสุดหิน ทดสอบการขึ้นลงเนินชัน การขับขี่ลุยน้ำ การขับขี่บนทางโคลน การใช้ดิฟล็อกหลังแบบไฟฟ้า การใช้กล้อง 360 องศา และทดลองใช้โหมดการขับขี่ต่างๆ เช่น โหมดถนนลื่น โหมดโคลน และโหมดปกติ ที่ช่วยให้การขับขี่บนเส้นทางสมบุกสมบันผ่านไปอย่างง่ายดาย

พร้อมสัมผัสความชาญฉลาดของฟอร์ด เรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ กับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (Driver Assist Technologies) อาทิ ระบบควบคุมความเร็วระหว่างลงทางลาดชัน (Hill Descent Control)  และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping Aid) ที่มีความแม่นยำสูง เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ และตอบสนองการใช้งานบนถนนที่หลากหลายบนการเดินทางทั้งแบบทางเรียบและออฟโรด

SUZUKI XL7 HYBRID เปิด 5 จุดเด่นโดนใจลูกค้า

ซูซูกิ เผย 5 จุดเด่น SUZUKI XL7 HYBRID สุดโดนใจลูกค้า กว้างขวาง ประหยัด ทนทาน คุ้มค่า ราคาเข้าถึงง่ายพร้อมอัดโปรโมชั่นแรง ขับฟรี 90 วัน ผ่อนนาน 99 เดือน

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่เปิดตัว SUZUKI XL7 HYBRID “Empower Your Journey” รถยนต์ Multi-Dynamic Crossover ที่ผสานกับเทคโนโลยี Hybrid ออกมาแข่งขันในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่ง นับว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากกระแสความนิยมที่ลูกค้าหันมาให้ความสนใจกับรถในกลุ่ม MPV มากยิ่งขึ้นแล้ว SUZUKI XL7 HYBRID ยังมีความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ซึ่งประกอบไปด้วย 5 จุดเด่น ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าในปัจจุบันได้อย่างครบครัน

SUZUKI XL7 HYBRID กับ 5 จุดเด่นโดนใจลูกค้า ประกอบด้วย

1. ห้องโดยสารกว้างขวาง ปรับใช้ได้อเนกประสงค์

ความอเนกประสงค์ของห้องโดยสาร SUZUKI XL7 HYBRID ด้วยเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าตกแต่งด้วยหนัง แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ช่องวางเครื่องดื่มมากถึง 8 ตำแหน่ง โดยเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถแยกพับอิสระแบบ 60:40 เลื่อนเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารได้กว้างขวาง ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 แยกพับอิสระแบบ 50:50 ซึ่งเมื่อพับเบาะแถว 2 และ 3 ราบกับพื้นห้องโดยสาร จะเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย จาก 550 ลิตร เป็น 803 ลิตร ขนสัมภาระตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างเต็มที่

นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับการตกแต่งภายใน ดีไซน์คอนโซลแบบสปอร์ต ตกแต่งด้วยลายไม้ ผสานอารมณ์ที่ดูสุขุมนุ่มลึก อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มาตรวัดพร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลการขับขี่ Driving G-Force และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง หน้าจอกลางระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รองรับทุกการเชื่อมต่อความบันเทิงภายในตัวรถ สะดวกไปกับแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พวงมาลัยเป็นทรง D-Shape ให้ความรู้สึกแนวสปอร์ต มาพร้อมกับปุ่มแบบมัลติฟังก์ชันที่สามารถควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มสั่งการโทรศัพท์ และเพิ่มความคล่องตัวให้กับการขับขี่ด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)

2.ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย เทคโนโลยี Hybrid

ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 74.0 x 85.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5:1 พละกำลัง 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ Integrated Starter Generator (ISG) Hybrid และ แบตเตอรี่ Lithium-ion 10Ah 12V จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า ระบบ Hybrid ของซูซูกิ มอเตอร์ ISG (Integrated Starter Generator) ถูกออกแบบมาให้เสริมแรงบิดสูงถึง 50 นิวตันเมตร หรือกว่า 36% ของแรงบิดเครื่องยนต์ โดยจะเข้ามาช่วยเสริมพละกำลังในช่วงของการออกตัวและเร่งแซง ช่วยให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมให้ระบบ Idling Stop ทำงานได้ดียิ่งขึ้น จึงกลายเป็นรถยนต์เอนกประสงค์ที่มีอัตราการประหยัดน้ำมันถึง 19.2 กม/ลิตร (ตามมาตรฐาน Eco Sticker)

ด้านของแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 10Ah 12V ถูกติดตั้งในตำแหน่งสูง ปลอดภัยจากการขับขี่ในสภาพถนนที่มีน้ำท่วมขัง อีกทั้งยังมีน้ำหนักเพียง 7 กิโลกรัม ซึ่งไม่ได้ทำให้น้ำหนักของตัวรถเพิ่มขึ้นมากนัก ทั้งยังมีการรับประกันแบตเตอรี่นานถึง 5 ปี

3.สมรรถนะดี ช่วงล่างแกร่ง ลุยได้ทุกสภาพถนน

แพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิ ที่ช่วยเพิ่มทั้งสมรรถนะ และความปลอดภัย ช่วงล่างทำจากเหล็ก High Tensile และใช้โครงสร้างตัวถัง TECT ซึ่งทำจากเหล็กกล้าน้ำหนักเบา แต่ให้ความแข็งแรงทนทาน ผสานเข้ากับระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง ช่วยให้สามารถขับขี่ได้ในทุกสภาพถนน จะขับขี่ทางเรียบก็มอบความนุ่มนวล ขับง่าย ขับสบายหรือจะลุยทางฝุ่นก็พร้อมรองรับการฝ่าอุปสรรคได้อย่างมั่นใจ

4.ทนทาน บำรุงรักษาง่าย ค่าใช้จ่ายสมเหตุสมผล

ความโดดเด่นของรถยนต์ซูซูกิทุกรุ่น คือ เรื่องของความทนทานในการใช้งาน บำรุงรักษาง่าย ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายต่อการเข้าเช็คระยะตามรอบในแต่ละครั้งราคาสมเหตุสมผล ซึ่ง SUZUKI XL7 HYBRID ก็เช่นเดียวกัน นับว่าเป็นหนึ่งในรถที่สร้างความคุ้มค่าให้แก่ผู้บริโภค นอกจากเทคโนโลยีไฮบริดที่พัฒนาให้ช่วยเสริมประสิทธิภาพการขับขี่ และมอบความประหยัดให้แก่ลูกค้า ด้านการบำรุงรักษายังง่ายดาย มีค่าบำรุงรักษาในระยะยาวที่ต่ำกว่าท้องตลาดอีกด้วย

5.ราคาไม่แพง เป็นเจ้าของได้ง่าย ผ่อนสบายกับแคมเปญพิเศษ

SUZUKI XL7 HYBRID วางจำหน่ายในราคา 799,000 บาท ซึ่งหากเทียบออปชั่นและสมรรถนะของรถคันนี้ นับว่ามีความคุ้มค่าและความครบครันที่สุดรุ่นหนึ่ง ที่ซูซูกินำเสนอแก่สำหรับผู้บริโภคชาวไทย ด้านมาตรฐานความปลอดภัยมีระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Hold Control ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX กล้องมองภาพขณะถอยจอด เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง กุญแจ Immobilizer และ ระบบสัญญาณกันขโมย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยแคมเปญพิเศษ ซื้อรถ SUZUKI XL7 HYBRID ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 1-30 มิถุนายน 2567 เลือกรับข้อเสนอผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 7,888 บาท หรือ เลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน หรือ เลือกขับฟรี 90 วัน พร้อมฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วใมงอีกด้วย ทั้งนี้ เงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนดและสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมทดลองขับได้ที่โชว์รูมรถยนต์ซูซูกิครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

SUZUKI XL7 คือหนึ่งในรถยนต์อเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ด้วยความครบครัน ทั้งด้านความกว้างขวางภายในห้องโดยสาร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยครบครัน รวมถึงสมรรถนะการขับขี่อันโดดเด่นที่พร้อมจะพาคุณไปพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ ในทุกเส้นทาง โดยนับตั้งแต่เดือนเปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2563 ถึง เดือนเมษายน 2567 มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 8,788 คัน ซึ่ง SUZUKI XL7 HYBRID จะเข้ามาเป็นหนึ่งในตัวเลือกของลูกค้าที่จะช่วยส่งเสริมยอดขายรถยนต์ซูซูกิให้เติบโตขึ้นแน่นอน” นายวัลลภ กล่าว

มิตซูบิชิ ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ตามโครงการ Solar For Lives

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แห่งที่ 9 ณ โรงพยาบาลนาดี จ.ปราจีนบุรี รวมติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาดแล้วทั้งสิ้น 450 กิโลวัตต์ ด้วยงบกว่า 14.4 ล้านบาท

มร.เออิจิ โอกาวะ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมด้วย นางพัชรี โฆษิตวรกิจกุล (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานห่วงโซ่อุปทาน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ร่วมส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ภายใต้โครงการ  “Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” เพื่อมุ่งสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในด้านสาธารณสุข และส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง โดยมี นางวิไลรัตน์ โยธาพันธ์(ซ้ายสุด) หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลนาดี เป็นตัวแทนรับมอบ พร้อมด้วย

บรรยายภาพ : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วย นายทนงค์ ดวงมุกพะเนาว์ (ที่ 2 จากซ้าย) รองนายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดปราจีนบุรี นายธรรมรัฏฐ์ งามแสง (ที่5 จากซ้าย) นายอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี และ นายนำพล  โพธิวงศ์  (ที่ 5 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน

กรุงเทพฯ – 23 พฤษภาคม 2567: มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เดินหน้าส่งมอบระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ แก่โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งที่ 9 ภายใต้โครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ รวมทั้งติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ให้แก่โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศไปแล้วทั้งสิ้น 450 กิโลวัตต์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 270 ตันต่อปี ด้วยงบกว่า 14.4 ล้านบาท พร้อมมุ่งเดินหน้าส่งมอบพลังงานสะอาดให้แก่โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ 40 แห่ง ภายใน 10 ปี

มร.เออิจิ โอกาวะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิต มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดเผยว่า “โครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ เป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของแผนการดำเนินงานเพื่อสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย’ ใน 3 ด้านหลัก คือ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โดยเราได้วางแผนใช้เงินลงทุนกว่า 60 ล้านบาท เพื่อติดตั้งและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ขนาด 50 กิโลวัตต์ ให้แก่แต่ละโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ 40 แห่ง ภายในช่วงระยะเวลา 10 ปี เพื่อสร้างแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนให้กับโรงพยาบาล และยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย พร้อมส่งเสริมเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนเป็นกลาง โดยคาดว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ของโรงพยาบาลนาดีได้กว่า 30 ตันคาร์บอนต่อปี”

นางวิไลรัตน์ โยธาพันธ์ หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลนาดี กล่าวว่า “ด้วยการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ ของทางมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ทำให้ภาระค่าไฟฟ้าของโรงพยาบาลลดลง ทางโรงพยาบาลจึงสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปใช้ดำเนินงานที่มีความสำคัญด้านอื่นๆ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพการบริการและการดูแลสุขภาพของชุมชนให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้โรงพยาบาลของเราเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลางอย่างยั่งยืนอีกด้วย”

นายทนงค์ ดวงมุกพะเนาว์ รองนายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรโครงการ ‘Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ นับว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในความร่วมมือสำคัญระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐให้เกิดการใช้พลังงานสะอาด และสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมช่วยลดค่าไฟฟ้าของโรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่งที่เข้าร่วมโครงการฯ ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของโรงพยาบาล และโอกาสในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ดีของคนในชุมชน”

นายธรรมรัฏฐ์ งามแสง นายอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี กล่าวปิดท้ายว่า “ประเทศไทยมีเป้าหมายระยะยาวในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลางอย่างยั่งยืนภายในปี 2593 ขณะเดียวกัน ยังมีเป้าหมายลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 เป้าหมายเหล่านี้จะสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือองค์กรหน่วยงานต่าง ๆ ขอขอบคุณมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่ช่วยสนับสนุนความพยายามของเราในการขับเคลื่อนสู่สังคมปราศจากคาร์บอน พร้อมกับนำความยั่งยืนและพลังงานสะอาดมาสู่ชุมชนของเรา”

โครงการ “Solar For Lives : พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ได้รับการริเริ่มขึ้นในปี 2565 จากความร่วมมือระหว่าง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) โดยได้ทำการติดตั้งระบบไฟฟ้าจากโซล่าร์เซลล์ในโรงพยาบาลชุมชนไปแล้วทั้งหมด 9  แห่ง ประกอบด้วย

1. โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

2. โรงพยาบาลพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย

3. โรงพยาบาลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง

4. โรงพยาบาลวิภาวดี จังหวัดสุราษฎร์ธานี

5. โรงพยาบาลปง จังหวัดพะเยา

6. โรงพยาบาลชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ

7. โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี

8. โรงพยาบาลบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี

9. โรงพยาบาลนาดี จังหวัดปราจีนบุรี

มิตซูบิชิ ปลูกป่าชายเลน สานต่อโครงการ “รากกล้าแห่งความยั่งยืน ปีที่ 3”

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ปลูกป่าชายเลน ณ จังหวัดจันทบุรี สานต่อโครงการ “Root for Sustainability : รากกล้าแห่งความยั่งยืน” ปีที่ 3

บรรยายภาพ : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย นำโดย มร.โนโบรุ สึจิ (ที่ 4 จากขวา) ประธานคณะกรรมการบริษัท และ นายเอกอธิ รัตนอารี (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์ทรัพยากรบุคคลและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าสานต่อโครงการ “Root for Sustainability: รากกล้าแห่งความยั่งยืน” ปีที่ 3 โดยมี ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี (ที่ 4 จากซ้าย) อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมปลูกต้นโกงกาง กว่า 12,000 ต้น บนพื้นที่ป่าชายเลน 16.57 ไร่ ณ ตำบลเกวียนหัก อําเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เพื่อมุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนเป็นกลาง สร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ยั่งยืนยิ่งขึ้นเพื่อชุมชนท้องถิ่น

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าคืนความสมบูรณ์สู่ธรรมชาติในโครงการ “Root for Sustainability: รากกล้าแห่งความยั่งยืน” ปีที่ 3 ด้วยการปลูกต้นโกงกางกว่า 12,000 ต้น บนพื้นที่ป่าชายเลน 16.57 ไร่ ณ ตำบลเกวียนหัก อําเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี มุ่งรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนเป็นกลาง สอดคล้องกับความมุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อสังคมของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ด้วยแนวคิด “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” ภายใต้หลักสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ

มร.โนโบรุ สึจิ ประธานคณะกรรมการบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ด้วยความมุ่งมั่นดำเนินการเชิงรุกเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 โครงการปลูกป่าชายเลนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ด้วยปณิธานที่จะรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อม โดยเรามีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการปลูกป่าและดูแลรักษาป่าอย่างต่อเนื่องไปถึง 10 ปี พร้อมกันนี้ เรายังสนับสนุนโครงการธนาคารสัตว์น้ำในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของป่าชายเลนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีกด้วย”

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เริ่มดำเนินโครงการ “Root for Sustainability: รากกล้าแห่งความยั่งยืน” เพื่อฟื้นฟูผืนป่าคืนธรรมชาติสู่สิ่งแวดล้อมในปี 2564 เริ่มต้นในจังหวัดชลบุรี สระแก้ว และนครราชสีมา ปัจจุบัน โครงการนี้ประสบความสำเร็จในการปลูกต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์บนพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ มีเป้าหมายสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความสมบูรณ์ยั่งยืนยิ่งขึ้นเพื่อชุมชนท้องถิ่น

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า “การปลูกป่าชายเลนเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ถือเป็นหนึ่งในแนวทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากป่าชายเลน 1 ไร่ มีศักยภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 9.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าต่อไร่ต่อปี จึงช่วยลดการเกิดภาวะเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังช่วยปกป้องการพังทลายของชายฝั่งจากคลื่นและลม พร้อมกับช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่งอีกด้วย ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลทรัพยากรป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงได้ดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลน บริษัทต่างๆ ที่เข้าร่วมไม่เพียงได้มีส่วนช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนและได้รับคาร์บอนเครดิตจากการปลูกป่าเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนบริเวณชายฝั่งให้ได้มีแหล่งจับหาสัตว์น้ำที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน”

นายจักรพงษ์ พันธุ์โชติ นายอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า “จันทบุรีเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทั้งพื้นที่ป่า ภูเขา ทะเล พร้อมกับมีชื่อเสียงอย่างแพร่หลายว่าเป็นแหล่งสินค้าทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารทะเล ผู้คนในชุมชนอำเภอขลุงส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาและประมง ระบบนิเวศชายฝั่งจึงมีความสำคัญกับคนในชุมชนเป็นอย่างมาก กิจกรรมปลูกป่าชายเลนที่ทุกภาคส่วนมาช่วยกันในครั้งนี้จึงถือเป็นการต่อยอด สร้างระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม และแหล่งอาหารอย่างยั่งยืนให้กับชุมชนชายฝั่งต่อไปในอนาคต”

ในงานนี้ ทาง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังได้นำรถรุ่นต่างๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดน้ำมัน มาใช้งานเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย ประกอบด้วย เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี รถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด  ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า มอบการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับการโดยสารมากถึง 7 ที่นั่ง รวมถึง ออล-นิว ไทรทัน ที่นำมาใช้ขนย้ายต้นกล้าไปปลูกยังพื้นที่ป่าชายเลน ด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ใหม่ให้พละกำลังมากกว่าเดิม เพิ่มการประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ให้ความแข็งแรงสมบุกสมบันพร้อมลุยในทุกสภาพถนน และ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ด้วยกำลังไฟมากสุด 1,500 วัตต์ โดยถูกนำมาใช้จ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในงาน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่า 63 ปีด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อการจัดการการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการดำเนินกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือโครงการ “Root for Sustainability: รากกล้าแห่งความยั่งยืน” ที่มีเป้าหมายฟื้นฟูป่าและขยายพื้นที่ธรรมชาติ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

ชมศิลปะยานยนต์หลากยุค ใน “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46”

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ จัด “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 46” ภายใต้แนวคิด “สะท้อน และส่องทาง – Reflecting and llluminating the path” ชมรถโบราณที่สวยงามสะท้อนศิลปะแต่ละยุคสมัยกว่าร้อยคัน ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ 17-21 กรกฎาคม 2567

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า “งานประกวดรถโบราณ เป็นงานระดับประเทศที่จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 46 โดยแนวคิดของงานปีนี้คือ “สะท้อน และส่องทาง – Reflecting and llluminating the path” มาจากคำกล่าว “ศิลปะส่องทางให้แก่กัน” ซึ่งหมายความว่า ศิลปะต่างแขนงสามารถถ่ายทอดแนวคิด และรูปแบบถึงกันได้ เช่น ในช่วงทศวรรษ 1930 สถาปัตยกรรมแนว ART DECO เฟื่องฟู ส่งผลให้รถยนต์ LANCIA ARTENA ที่ผลิตออกมาช่วงนั้น ซึ่งเราเลือกใช้เป็นภาพโปสเตอร์ มีตัวถังทรงเรขาคณิต ประดับเส้นสายโค้งมน พร้อมห้องโดยสารตกแต่งหรูหรา สะท้อนการออกแบบสไตล์ ART DECO อย่างชัดเจน นอกจากนี้ รถโบราณคันอื่นๆ ก็มีการสะท้อน และส่องทางรูปแบบศิลปะในแต่ละยุคสมัยเช่นเดียวกัน”

ด้านนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย กล่าวถึง ข่าวดีในปีนี้ที่คณะรัฐมนตรี เห็นชอบหลักการลดภาษีงานศิลปะและรถโบราณ เมื่อมีนาคมที่ผ่านมาว่า “ทางสมาคมได้รับเชิญจากกรมสรรพสามิต เพื่อให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาแล้ว โดยเห็นว่าเกณฑ์เทียบเคียงที่เหมาะสมคือ ประเทศสิงคโปร์ ที่อนุญาตให้นำเข้ารถโบราณ ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป โดยมีข้อจำกัดจำนวนวันในการใช้รถในช่วงวันหยุด และวิธีคำนวณภาษีป้ายวงกลมใหม่ โดยเชื่อว่าจะช่วยสร้างเสน่ห์ให้แก่การท่องเที่ยวไทย และสร้างงานจากการซ่อมบูรณะรถโบราณได้อีกมาก”

นางณัฐรินทร์ พยุงวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ-สายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค กล่าวว่า “งานประกวดรถโบราณครั้งที่ 46 จัดบนพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร กระจายทั่ว บริเวณ Cascata , Zpotlight และ Alive Park Hall ชั้น G ในศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ พร้อมตกแต่งบรรยากาศสไตล์ ART DECO ที่มีความหรูหรา ผสมผสานกับความทันสมัย เพื่อให้ผู้ชมงานได้ชื่นชมความงดงามทั้งรถ และสถานที่จัดแสดง พร้อมเก็บภาพถ่ายเป็นที่ระลึก และแชร์ลงโซเชียล คาดว่าปีนี้จะมีผู้ร่วมงานมากถึง 200,000 คน”

การประกวดรถโบราณแบ่งเป็น 7 รุ่นตามมาตรฐานของสมาพันธ์รถโบราณสากล (FIVA) ได้แก่ รถรุ่นบรรพบุรุษ (ก่อนปี 1904) รถรุ่นผ่านศึก (ปี 1905 – 1918) รถโบราณ (ปี 1919 – 1930) รถรุ่นก่อนสงคราม (ปี 1931 – 1945) รถรุ่นหลังสงคราม (ปี 1946 – 1960) รถคลาสสิค (ปี 1961 – 1970) และรถคลาสสิคร่วมสมัย (ปี 1971 – ปัจจุบัน -30 ปี)

นอกจากนั้น ยังมีการประกวดอีกหลายประเภท อาทิ รถจำลอง รถดัดแปลง รถประดิษฐ์พิเศษ รถโฟล์คสวาเกน รถอเมริกัน รถแจกวาร์-เดมเลอร์ และรถมีนี พร้อมรถที่นำมาแสดงเป็นพิเศษ อีกทั้งมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย เช่น การประกวด ราชินีแห่งความสง่างาม (CONCOURS D’ELEGANCE – กงกูรส์ เดเลอกองศ์) เสวนาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับรถโบราณ คอนเสิร์ทเพลงฮิทในอดีต ถ่ายรูปคู่รถโบราณ จำหน่ายสินค้าวินเทจ หนังสือ นิตยสารเกี่ยวกับรถโบราณ แสตมป์รถโบราณ รถโบราณจำลอง ฯลฯ

ผู้สนใจสามารถส่งรถเข้าประกวดได้ที่ imc.co.th/vintagecarclub/vcct/ ภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2567 หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ vintagecarclub.or.th และ Vintage Car Club of Thailand

มิตซูบิชิ ไทรทัน พิสูจน์ความประหยัดน้ำมันเหนือชั้น 24.71 กม./ล.

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน พิสูจน์ความประหยัดน้ำมันเหนือชั้น ด้วยอัตราประหยัดสูงสุด 24.71 กิโลเมตรต่อลิตร* ในการทดสอบเส้นทางจากกรุงเทพฯ สู่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

กรุงเทพฯ – 20 พฤษภาคม 2567 : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เชิญลูกค้าและสื่อมวลชนจากประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเข้าร่วมกิจกรรมทดสอบการขับ “ปฏิวัติทุกขีดจำกัด กับความประหยัดเกินคาด” (Disruptor Unleashed: Break the Limits in Fuel Efficiency) ท้าพิสูจน์ที่สุดแห่งความประหยัดน้ำมันของ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ในทริป การเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่เมืองเสียมเรียบ กัมพูชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีวิศวกรรมยานยนต์ขั้นสูง พละกำลังที่ดุดัน และความสะดวกสบายของออล-นิว ไทรทัน ที่สร้างขึ้นเพื่อปฎิวัติทุกความท้าทาย ตอบโจทย์ทั้งการใช้งานเชิงพาณิชย์และส่วนบุคคล

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ทั้งหมด 15 คัน ที่เข้าร่วมในกิจกรรมทดสอบการขับครั้งนี้ ประกอบด้วย รถที่จำหน่ายในประเทศไทย 10 คัน และจำหน่ายในกัมพูชา 5 คัน ได้แก่ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน รุ่นซิงเกิ้ล แค็บ แอคทีฟ (150 แรงม้า) ซิงเกิ้ล แค็บ โปร (184 แรงม้า) เมกะ แค็บ โปร (150 แรงม้า) และ ดับเบิ้ล แค็บ พลัส อัลตรา เกียร์อัตโนมัติ (184 แรงม้า) รวมถึงรุ่น ดับเบิ้ล แค็บ จีแอลเอส ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์อัตโนมัติ ซึ่งจำหน่ายในกัมพูชา ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 4N16 รุ่นใหม่ อันทรงพลัง ด้วยเทคโนโลยีคลีนดีเซล ให้ขุมพลังแรงเร็วเต็มสมรรถนะโดยมีมลภาวะต่ำ ตอบโจทย์การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พิสูจน์อัตราประหยัดน้ำมันได้อย่างเหนือชั้น

การทดสอบการขับในครั้งนี้ ซึ่งได้รับการกำหนดให้ใช้ความเร็วในระดับปกติของผู้ใช้งานทั่วไปตามกฎหมายระหว่าง 40–120 กม.ต่อชั่วโมง ด้วยอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียส สามารถทำสถิติการประหยัดน้ำมันได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยตัวเลขที่มากกว่าป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล หรือ ECO Sticker โดยผลการทดสอบพบว่า รถคันที่ประหยัดน้ำมันที่สุดคือรุ่น ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ซิงเกิ้ล แค็บ แอคทีฟ (150 แรงม้า) มีอัตราบริโภคน้ำมัน 24.71 กม.ต่อลิตร*

โดยค่าเฉลี่ยอัตราประหยัดน้ำมันของรถที่เข้าร่วมทดสอบ มีดังนี้

ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน (รุ่นรถยนต์)ตัวเลขค่าเฉลี่ยอัตราประหยัดน้ำมัน
กม.ต่อลิตร
ซิงเกิ้ล แค็บ แอคทีฟ (150 แรงม้า)23.04
ซิงเกิ้ล แค็บ โปร (184 แรงม้า)20.00
เมกะ แค็บ โปร (150 แรงม้า)22.11
ดับเบิ้ล แค็บ พลัส อัลตรา เกียร์อัตโนมัติ (184 แรงม้า)20.12

กิจกรรมทดสอบการขับในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 30 คน ประกอบด้วยลูกค้าและสื่อมวลชนจากประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ที่ได้สัมผัสความเหนือชั้นของออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ ความสะดวกสบาย และความประหยัดน้ำมัน

นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “กิจกรรมทดสอบการขับ ปฏิวัติทุกขีดจำกัด กับความประหยัดเกินคาด หรือ Disruptor Unleashed: Break the Limits in Fuel Efficiency จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงสมรรถนะแห่งขุมพลัง และความประหยัดน้ำมันอันยอดเยี่ยมของออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ทริปทดสอบอันน่าประทับใจจากกรุงเทพฯ สู่เมืองเสียมเรียบได้สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านสมรรถนะและความประหยัด พร้อมกับแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีวิศวกรรมยานยนต์ขั้นสูงของออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทันได้เป็นอย่างดี”

“เรามีความมั่นใจว่าลูกค้าของเราจะชื่นชอบในความประหยัดและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน รวมถึงสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือระดับ ที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานทั้งเพื่อการพาณิชย์และการใช้งานส่วนบุคคล สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราที่จะพัฒนาและออกแบบยานยนต์ที่หลอมรวมปรัชญาความเป็นที่สุดแห่งดีเอ็นเอของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (Mitsubishi Motors-ness) ด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นจากเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่     ล้ำสมัย ให้ความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง เพื่อปลุกจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย พร้อมพาคุณขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้เร็วกว่าที่เคย และถึงบ้านด้วยความปลอดภัยในทุกเส้นทาง” นายสาโรจน์ กล่าวเพิ่มเติม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นักสิทธ์ นุ่มวงษ์ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมทดสอบขับครั้งนี้กล่าวถึงความสำคัญของวิธีการคำนวณอัตราบริโภคน้ำมันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและเทียบเคียงได้กับการใช้งานจริง “การทดสอบในครั้งนี้ปฏิบัติตามขั้นตอนตามมาตรฐานในการวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกใช้บนระยะทางที่กำหนดเพื่อคำนวณอัตราบริโภคน้ำมันให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง การดำเนินการตามขั้นตอนปฏิบัติเช่นนี้ช่วยสร้างความมั่นใจในผลลัพธ์อัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากกิจกรรมทดสอบขับครั้งนี้จะตรงตามสถานการณ์ใช้งานจริง”

นายปิยพนธ์ ศักดิ์ศรี ลูกค้าที่เข้าร่วมทดลองขับ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส อัลตรา เกียร์อัตโนมัติ พละกำลัง 184 แรงม้า ซึ่งสามารถทำสถิติประหยัดน้ำมันในทริปนี้อยู่ที่ 20.32 กม.ต่อลิตร กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมพิสูจน์การทดสอบการประหยัดน้ำมันของออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ในครั้งนี้ ในบางช่วงของการขับ ผมใช้ความเร็วสูงถึง 120 กม.ต่อชั่วโมง แต่อัตราการประหยัดน้ำมันยังคงดีเยี่ยม นอกจากนี้ ผมยังรู้สึกประทับใจทีมงานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ให้การดูแลเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในทริปนี้ยังช่วยพิสูจน์ถึงที่สุดแห่งสมรรถนะของออล-นิว ไทรทัน ซึ่งมีช่วงล่างที่นุ่มนวล สมรรถนะการขับขี่ดีเยี่ยม ปุ่มและสวิตช์ควบคุมต่าง ๆ ที่ใช้งานได้ง่ายและตอบโจทย์การใช้งานได้จริง ห้องโดยสารกว้างขวาง นั่งสบาย ที่สำคัญคือ ประหยัดน้ำมันมากแบบเหนือความคาดหมาย ถือเป็นทริปที่ให้ประสบการณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ได้ขับรถคู่ใจเพื่อไปเยือนมรดกโลกอย่างนครวัดและนครธมที่น่าประทับใจมากครับ”

ขณะที่ นายอุดม นาดี ลูกค้าที่เข้าร่วมทดลองขับ ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส อัลตรา เกียร์อัตโนมัติ พละกำลัง 184 แรงม้า ซึ่งสามารถทำสถิติประหยัดน้ำมันในทริปนี้ อยู่ที่ 19.45 กม.ต่อลิตร กล่าวว่า “แม้ว่าผมจะขับรถโดยใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 80-100 กม.ต่อชั่วโมง ในเขตประเทศไทย และความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 40-50 กม.ต่อชั่วโมง ในเขตประเทศกัมพูชา แต่ผลการทดสอบการประหยัดน้ำมันที่ได้ก็ยังน่าทึ่งและน่าประทับใจ

นอกจากนี้จุดแข็งของรถกระบะรุ่นนี้คือช่วงล่างซึ่งออกแบบมาได้ดีมาก มอบความนุ่มนวลและการควบคุมตัวรถอย่างยอดเยี่ยม ภายในห้องโดยสารยังมีความกว้างขวาง ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ครบครัน ผมรู้สึกประทับใจที่ได้ร่วมกิจกรรมทดสอบในครั้งนี้ ซึ่งมีการเตรียมงานอย่างดีและทำให้ได้เห็นสถิติการประหยัดน้ำมันที่น่าทึ่งจากการขับ ออล-นิว ไทรทัน อีกด้วย”

* อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจากรถยนต์ออล-นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน ซิงเกิ้ล แค็บ แอคทีฟ (2,442 ซีซี)  เลขทะเบียน บห 7558 สระบุรี ผ่านเส้นทางกรุงเทพ-เสียมเรียบ เป็นระยะทาง 395 กิโลเมตร ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2667  โดยผู้ใช้งานจริง และสื่อมวลชน โดยมีอาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมคำนวณอัตราสิ้นเปลืองประหยัดน้ำมันและเป็นสักขีพยานตลอดเส้นทาง

มาสด้า ผนึกผู้จำหน่ายทั่วประเทศรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว

มาสด้า ผนึกผู้จำหน่ายทั่วประเทศรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว จัดประชุมใหญ่ Mazda Mirai ก้าวที่แข็งแกร่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ย้ำการสร้างแบรนด์คือหนทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 21 พฤษภาคม 2567 – มาสด้าผนึกผู้จำหน่ายทั่วประเทศรวมใจเป็นหนึ่งเดียว เข้าร่วมประชุมประจำปีงบประมาณ FY2024 หรือ Mazda Dealer National Conference ภายใต้ธีม Mazda Mirai 2024 และแนวคิด “Reinvent for a Sustainable Future” ประกาศยึดมั่นนโยบายการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด Customer Experience Management สร้างสรรค์ประสบการณ์ลูกค้าและมอบสิทธิประโยชน์เกินกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง ย้ำการสร้างแบรนด์คือหนทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืน มุ่งมั่นสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ เดินหน้าสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าจากอดีตและตลอดไป ให้เกิดเป็นความผูกพันเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน โดยมีเป้าหมายและพันธกิจไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งมอบคุณค่าของแบรนด์จากรุ่นสู่รุ่น โดยมีผู้จำหน่ายมาสด้าทั่วประเทศ คณะผู้บริหารระดับสูงจาก มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย พร้อมพันธมิตรทางธุรกิจ เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน

การประชุมผู้จำหน่ายประจำปี หรือ Mazda Mirai 2024 มาสด้าได้นำเสนอนโยบายและแผนธุรกิจระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ทำให้ผู้จำหน่ายเห็นทิศทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สร้างความเชื่อมั่นและเกิดความร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมุ่งสู่เป้าหมายร่วมกัน ภายใต้แนวคิด Reinvent for a Sustainable Future ผ่าน 3 คีย์เวิร์ดสำคัญ คือ Reinvention หมายถึงการปรับและเปลี่ยนวิธีคิดการทำงานเพื่อให้ทันกับสถานการณ์โลกธุรกิจในปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว Sustainability คือการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ไม่เพียงในแง่ของการดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่รวมถึงผู้คนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โลกของเรายังคงสวยงาม เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น และ Future คืออนาคตที่พวกเราจะก้าวเดินไปพร้อมกัน ระหว่าง มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย และผู้จำหน่าย ประสานมือสร้างพันธกิจร่วมกัน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้ามาสด้าตลอดไป

มร.ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2567 มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว สิ่งสำคัญที่จะทำให้มาสด้าเกิดความแข็งแกร่งจึงไม่ใช่การขายรถใหม่เพียงอย่างเดียว ทุกภาคส่วนต้องสร้างความรัก ความผูกพัน ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่ดี จนเกิดเป็นความประทับใจ กลับมาซื้อซ้ำ และเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าได้ทุกรุ่น ทุกช่วงเวลาของชีวิต กลายมาเป็น “มาสด้า แฟมิลี่” นั่นคือแก่นแท้ของการดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ Retention Business คือการดูแลเอาใจใส่ลูกค้าให้ดีที่สุด รวมถึงการแนะนำจุดเด่นของรถมาสด้าให้กับคนอื่นๆ ต่อไป มาสด้าเชื่อว่าแนวทางการทำธุรกิจด้วยวิถีนี้จะนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้าอย่างเต็มกำลัง และให้ความสำคัญสูงสุดต่อการสร้างแบรนด์ Brand Value Management โดยเฉพาะการบริการหลังการขายให้ถือเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ตามกลยุทธ์ Retention Business Model ตั้งเป้าเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือก Top Customer Retention และเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริการ Top Service Retention เพื่อส่งมอบรอยยิ้มและความสุขให้ลูกค้า Joy Drives Lives โดยเฉพาะผลประกอบการของผู้จำหน่ายต้องแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ก้าวต่อไปของมาสด้าคือการสร้างธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน โดยเฉพาะนโยบายด้านการขายและการบริการ รวมถึงการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับแฟนมาสด้า เนื่องจากเป็นกลยุทธ์สำคัญที่มาสด้าได้ดำเนินการมาตลอด 2-3 ปีนี้ และกำลังเห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อรักษาลูกค้าให้อยู่กับมาสด้าตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถมาสด้า ถึงแม้ว่าวันนี้ลูกค้าจะมีทางเลือกที่หลากหลาย แต่เราก็ยังยืนหยัดที่จะเน้นนโยบาย เพื่อรักษาและดูแลฐานลูกค้าเก่าเป็นอันดับแรก นี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่อการดำรงอยู่อย่างมั่นคงของมาสด้าที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลกและกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ด้วยแผนการดำเนินธุรกิจ Retention Business Model ซึ่งเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ แต่เพิ่มเติมเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้น คือเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention เป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือกเป็นอันดับแรก และให้บริการลูกค้าจนเกิดความพึงพอใจ นำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์และสร้างความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานระยะกลาง Mid-Term Plan หัวใจหลักสำคัญคือการสร้างมูลค่าแบรนด์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

เนื่องจากปัจจุบันรูปแบบการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป และมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการขายรถใหม่เพียงด้านเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจเกิดความแข็งแกร่งได้ แต่การเอาใจใส่ดูแลลูกค้าให้ครบทุกองค์ประกอบ คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของผู้จำหน่ายเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนเคียงข้างลูกค้าตลอดไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปตามแนวทางการบริหารคุณค่าหลักของแบรนด์มาสด้า หรือ PPV ประกอบด้วย Purpose การสร้างคุณค่าและเติมเต็มความมีชีวิตชีวาให้กับผู้คนที่ได้สัมผัสกับแบรนด์มาสด้าในทุกประสบการณ์ และทุกช่วงเวลาของชีวิต ตามด้วย Promise คำมั่นสัญญาจากมาสด้า คือการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ครบทุกมิติได้อย่างสมดุล ทั้งทางด้านอารมณ์ความรู้สึกและกายภาพ รวมถึงชุมชนและสังคม และคุณค่าหลักที่สำคัญอย่างยิ่งที่บุคลากรมาสด้าทุกคนยึดมั่น คือ Values หรือ คุณค่า ทัศนคติ แนวคิด และพฤติกรรม ให้ความสำคัญกับมนุษย์อย่างแท้จริง มีจิตวิญญาณนักสู้ ส่งมอบประสบการณ์ความประทับใจด้วยความใส่ใจและเป็นมิตรโดยไม่คาดหวังรางวัลตอบแทน โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางในทุกบริบท

นี่คือ แนวทางในการสร้างแบรนด์มาสด้าให้แข็งแกร่งและยั่งยืนตลอดไป เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในด้าน Customer Retention และ Service Retention เพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่ามาสด้าจะเป็นแบรนด์ที่มอบความสุขและสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้า Joy Drives Lives แทนคำขอบคุณที่ลูกค้าไว้วางใจและเลือกใช้รถมาสด้าให้เป็นรถคู่ใจไปตลอดการเดินทาง

TTC Motor จัดกิจกรรมสร้างความพึงพอใจสูงสุดลูกค้า

TTC Motor อัดแน่นกิจกรรม เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุด ให้ลูกค้าที่จะออกรถยนต์ Mercedes-Benz กับ TTC Motor เน้นบริการก่อนและหลังการขายที่ดีที่สุด จากกระแสความแรงของ The new E-Class TTC Motor Ubon เดินหน้าจัด Mini Motor Show ครั้งแรก! ในภาคอีสาน  25-27 พ.ค.นี้ ส่วน TTC Motor พัฒนาการส่ง 6 โปร หวดวงสวิงกับลูกค้าแบบเอ็กซ์คูลซีฟ พร้อมด้วยเวิร์กชอป Wine Tasting โดยคุณโอ-พีระ เลาหเจริญสมบัติ ผู้ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบันสากลระดับโลกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ระดับสูงสุด และ Coffee Drip ได้รับเกียรติจาก คุณป็อก-ฉัฐรินทร์ ธรรมชัยโรจน์ แชมป์ Cup Taster อันดับหนึ่งของประเทศไทย

นายอัครินทร์ ตั้งทวีสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์, เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี และ เมอร์เซเดส-มายบัค อย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่า กระแสการตอบรับของ The new E-Class ดีมากๆ ทำให้บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ จำกัด ยกทัพยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายทั่วไทย เพื่อให้ลูกค้าทุกคนเข้าถึงรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรับข้อเสนอต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

TTC Motor Ubon พร้อมจัดกิจกรรมเปิดตัว The new E-Class ใหม่ ครั้งแรก! ในภาคอีสาน ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนรถยนต์ใหม่ล่าสุดไปจัดแสดง อาทิ The new E 350 e AMG Dynamic , EQS 450+ AMG Dynamic และ GLC  350 e 4MATIC Coupe AMG นอกจากนี้ยังมีรถทดลองขับอีกมากมาย อาทิ Mercedes-AMG G 63, Mercedes-AMG SL 43, GLC 350 e MATIC Coupe AMG, GLE 300 d 4MATIC AMG Line, GLS 450 d 4MATIC AMG Dynamic เป็นต้น

ในส่วนของ TTC Motor พัฒนาการ ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย ทำกิจกรรมเติมความสัมพันธ์ที่เหนี่ยวแน่นกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น กับสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ตีกอล์ฟกับโปร ทั้ง 6 ท่าน ซึ่ง TTC Motor ให้การสนับสนุนการแข่งขันในทุกทัวร์นาเม้นท์ ได้แก่ โปรมินนี-มนัสชยา ซีมากร, โปรแอร์-ศรุตยา งามอุษาวรรณ และ โปรเบนซ์-โชติกา ศุภภิญโญ, โปรแพรว-ภัทราพร ศรีภัทรประสิทธิ์, โปรฟลุ๊ก-รฐนน วรรณศรีจันทร์ ร่วมปะทะวงสวิงแบบเอ็กซ์คูลซีฟ โดยคัดสรรลูกค้าที่มีความสนใจในกีฬากอล์ฟ มาร่วมกิจกรรม พร้อมกันนี้ยังจะจัดอย่างต่อเนื่องในเดือนถัดๆ ไป

“นอกจากนี้ยังมีความพิเศษเฉพาะ สำหรับลูกค้า The new E-Class กับการเวิร์กชอป  Wine Tasting โดยคุณโอ-พีระ เลาหเจริญสมบัติ เจ้าของ REVERIE SIAM RESORT ผู้ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบันสากลระดับโลกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ระดับสูงสุด ในส่วนของเวิร์กชอป Coffee Drip ได้รับเกียรติจาก คุณป็อก-ฉัฐรินทร์ ธรรมชัยโรจน์ เซียนกาแฟมือหนึ่งเจ้าของรางวัลมากมาย  ผู้ก่อตั้ง PPAL CAFÉ ที่คัดสรรกาแฟระดับพรีเมี่ยมจากทั่วโลกมาเสิร์ฟ ทั้งสองท่านจะมาถ่ายทอดและแนะนำเทคนิคให้กับลูกค้าของเรา ในวันที่ 29 มิถุนายนนี้”

นายอัครินทร์ กล่าวทิ้งท้าย TTC Motor ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่เตรียมไว้สปอยล์ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดปี 2567 ออกรถยนต์ Mercedes-Benz กับ TTC Motor เพื่อบริการก่อนและหลังการขายที่ดีที่สุด

#TTCmotorอยู่เคียงข้างคุณ #TTC #ROTF #ซื้อรถเท่าเทียม #MercedesBenz #TTCmotor

TTC Motor #ครบจบทุกเรื่องเบนซ์

Mercedes-Benz | Mercedes-AMG

Mercedes-Maybach | Van

ฮุนได จับมือ JWON เปิดประสบการณ์งานศิลป์บน HYUNDAI IONIQ 5

ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย จับมือ JWON เปิดประสบการณ์งานศิลปะบนยานยนต์ HYUNDAI IONIQ 5 กับกิจกรรม “IONIQ Powering Arts x JWON” ณ IONIQ Lab ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมนิทรรศการงานศิลป์ได้ตั้งแต่ 18 พฤษภาคม – 18 มิถุนายน 2567

บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (HMT) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนแห่งโลกยานยนต์ ร่วมมือกับศิลปินไทยชื่อดัง “JWON” สรายุทธ คุระแก้ว นำเสนอพลังสร้างสรรค์แห่งศิลปะที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านการสรรสร้างงานศิลปะหนึ่งเดียวบนรถยนต์ HYUNDAI IONIQ 5 ในรูปแบบของ Art Car พร้อมจัดเวิร์กช็อปรอบเอ็กซ์คลูซีฟ “IONIQ Powering Arts x JWON” ณ IONIQ Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานสรรสร้างงานศิลปะด้วยตัวเอง ไปพร้อมกับสัมผัสการบรรจบกันของความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย นอกจากนั้น ยังมีนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะของ JWON ที่สรรสร้างขึ้นเพื่องานนี้โดยเฉพาะ รวมถึงภาพที่วาดขึ้นใหม่ และรูปปั้น Dylie ขนาด 2 เมตร

ศิลปิน JWON สร้างสรรค์ศิลปะ Art Car บน HYUNDAI IONIQ 5 ในธีม “Dylie, Embark on your journey to the world” โดยนำก้อนเมฆมาเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพลังงานสะอาด ปราศจากมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจุดประกายการมุ่งหน้าสู่อนาคตที่สดใส และดีต่อชีวิตทุกคน Dylie ยังเป็นมากกว่าองค์ประกอบตกแต่ง แต่เชื่อมโยงผู้ชมเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างกลมกลืน พร้อมทั้งเป็นสัญลักษณ์แห่งเส้นทางอันเปี่ยมชีวิตชีวา บนความยั่งยืนเสมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆที่สวยงาม การผสานพรสวรรค์ทางศิลปะของ JWON เข้ากับนวัตกรรมอันล้ำหน้าของ HYUNDAI IONIQ 5 ในครั้งนี้ จึงแสดงถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของศิลปะ ผ่านการสรรค์สร้างแรงบันดาลใจ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและความยั่งยืน จนก่อเกิดเป็นงานศิลป์บนยนตกรรม Art Car ชิ้นเอกคันแรกและมีเพียงหนึ่งเดียว

ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่การนำเสนอผลงานศิลปะผ่าน HYUNDAI IONIQ 5 เพียงอย่างเดียว หากยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปสุดพิเศษที่ IONIQ Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสถึงการบรรจบกัน ของความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด โดย JWON ศิลปินผู้โด่งดังด้านการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย ได้ร่วมแบ่งปันเทคนิคพร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมงาน ได้แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ และนำเสนอเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตนอย่างอิสระ สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการก่อตั้ง IONIQ Lab เพื่อส่งเสริมการสร้างแนวคิดใหม่และสร้างพื้นที่ในการแสดงออกให้กับทุกคน กิจกรรมเวิร์กช็อปครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนกล้าคิดบนแนวคิดที่แตกต่าง เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของนวัตกรรมไปสู่ขอบเขตแห่งการสร้างสรรค์ใหม่ไม่มีที่สิ้นสุด

ด้วยพรสวรรค์และสไตล์ศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของ JWON ซึ่งโด่งดังจากการจัดนิทรรศการในระดับนานาชาติมากมาย จึงถือเป็นโอกาสดีให้ IONIQ เป็นที่รู้จักของกลุ่มคนที่กว้างขวางขึ้น พร้อมดึงดูดความสนใจของกลุ่มผู้สนใจในงานศิลป์จำนวนมากมายังรถยนต์ไฟฟ้า IONIQ ต่อไป นอกจากนี้ การร่วมมือกับ JWON ซึ่งเป็นศิลปินไทย ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ของ IONIQ กับกลุ่มผู้บริโภคในประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมที่จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “IONIQ Lab มิใช่เพียงศูนย์นวัตกรรม หากเป็นเวทีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงบันดาลใจ ในการก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความยั่งยืน เป็นศูนย์กลางแห่งความมุ่งมั่นและความร่วมแรงร่วมใจ ในการสร้างสรรค์อนาคตที่สดใสกว่าสำหรับทุกคน ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ยังสอดคล้องกับปณิธานของแบรนด์ ในด้านนวัตกรรม ความยั่งยืน และการนำเสนออัตลักษณ์ของบุคคลอย่างสมบูรณ์แบบ เป้าหมายของเราคือการผสานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยี เพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ที่นำไปสู่การสร้างโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยสไตล์ทางศิลปะที่โดดเด่นและชื่อเสียงในระดับโลกของ JWON ทำให้เราเชื่อมั่นว่า จะทำให้เราเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้างยิ่งขึ้น และสามารถนำเสนอศักยภาพของรถไฟฟ้า IONIQ ได้อย่างโดดเด่น เราจึงให้ความสำคัญกับศักยภาพของศิลปะ เพื่อใช้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านการจัดงานนี้ ด้วยการผสานทักษะทางศิลปะของ JWON เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยของ HYUNDAI IONIQ 5 จนเชื่อมโยงกันอย่างกลมกลืน และสร้างแรงบันดาลใจพร้อมส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน อย่างโดดเด่นในโลกยานยนต์”

ร่วมสนับสนุนแนวคิดอากาศสะอาดเพื่อเราทุกคน ด้วยการแวะมาพบกับ Dylie พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการงานศิลป์ของ JWON ได้ที่ IONIQ Lab สถานที่ที่ศิลปะ เทคโนโลยี และแนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมมาบรรจบกัน ได้ระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม – 18 มิถุนายน 2567 โดยในนิทรรศการไม่มีได้มีเพียง IONIQ 5 Art Car เท่านั้น แต่ยังมีรูปปั้น Dylie ขนาด 2 เมตร พร้อมผลงานศิลปะจาก JWON อีกหลายชิ้นที่ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนมาก่อน มาจัดแสดงที่นี่ ให้คุณชมก่อนใคร

เปิดประสบการณ์ของอนาคตแห่งการขับเคลื่อนได้แล้ววันนี้ที่ IONIQ Lab ณ True Digital Park ผู้สนใจสามารถติดต่อล่วงหน้า เพื่อจองเวลาทดลองขับพร้อมสัมผัสพลังและความสง่างามของ HYUNDAI IONIQ 5 และ HYUNDAI IONIQ 6 ด้วยตัวคุณเองแล้ววันนี้ และโปรดติดตามเพจ Hyundai Thailand บน Facebook เพื่อที่จะไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว พร้อมรับข้อมูลกิจกรรมพิเศษที่ ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จะจัดในครั้งถัดไป

Hyundai IONIQ 5 N คว้ารางวัลรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงยอดเยี่ยม

Hyundai IONIQ 5 N คว้ารางวัลรถยนต์ไฟฟ้า 5 ประตูสมรรถนะสูงยอดเยี่ยมจาก 2024 TopGear.com Electric Awards

IONIQ 5 N คว้ารางวัลรถยนต์ไฟฟ้า 5 ประตูสมรรถนะสูงยอดเยี่ยมจาก 2024 TopGear.com Electric Awards

•IONIQ 5 N รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง คว้ารางวัลอันทรงเกียรติอีกครั้ง

•ทั้งยังได้รับการยอมรับและคำชมจากคณะกรรมการ ด้วยประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร

•IONIQ 5 N พร้อมให้ชมคันจริงได้แล้ววันนี้ที่ IONIQ Lab

เลเธอร์เฮด / โซล, 14 พฤษภาคม 2567 – Hyundai IONIQ 5 N รถยนต์ไฟฟ้าเจ้าของรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมหลายสาขา ชนะใจกรรมการและคว้ารางวัลอันทรงเกียรติอีกครั้ง ในสาขารถยนต์ไฟฟ้า 5 ประตูสมรรถนะสูงยอดเยี่ยมหรือ Best EV Hot Hatch จากรายการ 2024 TopGear.com Electric Awards

รางวัล TopGear.com Electric Awards ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 โดยจัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง เพื่อมอบรางวัลให้กับรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมจากทั่วโลก และสร้างการจดจำให้กับนวัตกรรมใหม่มากมายในสาขาต่างๆ โดยคณะกรรมการของ TopGear ซึ่งล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญต่างมีมติเอกฉันท์ให้ IONIQ 5 N เป็นผู้ชนะรางวัล Best EV Hot Hatch นับเป็นเกียรติต่อความมุ่งมั่นของฮุนได ที่จะสรรสร้างประสบการณ์การขับขี่อันน่าดื่มด่ำ

Jack Rix ตำแหน่ง Editor-In-Chief ของ TopGear กล่าวว่า “ในโลกที่รถยนต์ไฟฟ้า 5 ประตูสมรรถนะสูงเป็นของหายาก แต่ฮุนไดสามารถเอาชนะเกมนี้ได้ หลังจากบุกตลาดนี้เป็นครั้งแรก เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรม สมรรถนะ และประสบการณ์การขับขี่ ในชนิดที่รถยนต์ไฟฟ้าคันอื่นไม่มีจนต้องยกให้ IONIQ 5 N เป็นมาตรฐานใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้า”

IONIQ 5 N รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ผสานโครงสร้าง Electrified-Global Modular Platform (E-GMP) แบบเดียวกับของ IONIQ 5 รุ่นมาตรฐาน เจ้าของรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2022 World Car of The Year พร้อมผสานเข้ากับเทคโนโลยีจากสนามแข่งและความเชี่ยวชาญของทีม N ของฮุนได จนเป็นการยกระดับประสบการณ์ความสนุกแห่งการขับขี่สู่อีกขั้น

เทคโนโลยีขั้นสูงใน IONIQ 5 N คือขุมพลังที่มอบพละกำลังให้ได้มากกว่า ทั้งยังมีสมรรถนะในการระบายความร้อนของแบตเตอรี่และระบบเบรกเหนือชั้น โดยมอเตอร์ไฟฟ้าของ IONIQ 5 N สามารถทำงานได้สูงสุด 21,000 รอบ/นาที ให้กำลังสูงสุด 609 แรงม้า (PS) และสามารถปลดล็อคพละกำลังชั่วคราวเป็น 650 แรงม้า (PS) นาน 10 วินาที เมื่อใช้คำสั่ง N Grin Boost (NGB) ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.4 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 259 กิโลเมตร/ชั่วโมง

นอกจากนั้น ยังมีเทคโนโลยีอื่นอีกหลายรายการเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่อันน่าจดจำ ทั้งแกนพวงมาลัยที่แกร่งขึ้นเพื่อให้การตอบสนองที่ดีกว่า ช่วงล่างควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าซึ่งปรับระดับความแข็งตามรูปแบบการขับขี่ และเทคโนโลยีควบคุมระบบด้วยไฟฟ้าอีกมากมาย ล้วนอัดแน่นอยู่ในโครงสร้างแบบ E-GMP โดยอีกหนึ่งจุดเด่นคือ N Pedal ซึ่งจะปรับแต่งการตอบสนองของคันเร่งให้ฉับไว ช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วขึ้น ทั้งยังมีระบบกระจายแรงบิดแปรผัน ระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง N Torque Distribution

IONIQ 5 N ยังสร้างมาตรฐานใหม่ของความเร้าใจ ในการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ด้วยเทคโนโลยี N e-shift ซึ่งจำลองการการเปลี่ยนเกียร์ ในรูปแบบเดียวกับของเกียร์อัตโนมัติแบบ Dual Clutch ที่ติดตั้งในรถยนต์ N เครื่องยนต์สันดาป และยังมี N Active Sound+ ซึ่งจำลองเสียงคำรามของเครื่องยนต์ ช่วยตอกย้ำพละกำลังของรถยนต์ไฟฟ้า

แม้จะเปิดตัวมาไม่นาน แต่ IONIQ 5 N ได้กวาดรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมมาแล้วจากนานาประเทศ รวมไปถึงรางวัลรถยนต์สมรรถนะสูงยอดเยี่ยมแห่งปี 2024 World Performance Car Award จากเวที World Car Awards และในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2023 Car of the Year จากรายการ TopGear.com นอกจากนั้น ยังเป็นรถยนต์ SUV ขุมพลังไฟฟ้าที่ Sport Auto ทำเวลาต่อรอบได้ดีที่สุดบนสนามแข่ง Nürburgring Nordschleife เยอรมนี

Ashley Andrew ตำแหน่ง President ของ Hyundai & Genesis UK กล่าวว่า “IONIQ 5 N คือรถยนต์ที่มาพลิกวงการอย่างแท้จริง และเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับการคัดเลือกโดย TopGear.com ให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 5 ประตูสมรรถนะสูงยอดเยี่ยมประจำปี 2024 ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่านี่คือรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง ที่จะเป็นผู้นำของการขับเคลื่อนสู่อนาคตอย่างน่าตื่นเต้น”

พบกับ IONIQ 5 N คันจริงได้แล้ววันนี้ในประเทศไทยที่ IONIQ Lab ณ True Digital Park ชั้นหนึ่ง ฝั่ง West ลูกค้าที่สนใจสามารถนัดหมายเพื่อทดลองขับทั้ง IONIQ 5 และ IONIQ 6 ได้ที่ IONIQ Lab, H-SPACE ถนนวิภาวดี และ H-STUDIO ณ Emsphere ชั้นสอง ทั้งยังสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ฮุนไดทุกรุ่นได้ที่ hyundai.com/th

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save