- Advertisement -
30.1 C
Bangkok
Home Blog Page 25

สมาคมรถโบราณฯ ดุสิตธานี หัวหิน ร่วมมือพันธมิตร จัดงาน “หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด ครั้งที่ 22”

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน หอการค้าจังหวัดเพชรบุรี เทศบาลเมืองชะอำ เทศบาลเมืองหัวหิน และ ททท. ร่วมกันจัดงาน “หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด ครั้งที่ 22” ตามแนวคิด “มิตรภาพไร้กาลเวลา” วันที่ 20 – 22 ธันวาคม 2567

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เผยว่า “งานหัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 22 โดยปีนี้สมาคมฯ ร่วมกับ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน เป็นปีที่ 3 และได้รับการสนับสนุนอย่างดีเช่นเคยจากพันธมิตรเดิม ทั้ง หอการค้าจังหวัดเพชรบุรี เทศบาลเมืองชะอำ เทศบาลเมืองหัวหิน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยสมาคมฯ หวังสร้างมิตรภาพตลอดการเดินทาง กระตุ้นการท่องเที่ยว ด้วยขบวนรถโบราณ และรถคลาสสิค บนเส้นทาง กรุงเทพฯ-หัวหิน ตามแนวคิด “มิตรภาพไร้กาลเวลา – Timeless Friendship” เพื่อให้เจ้าของรถได้รำลึกถึงความทรงจำที่คุ้นเคย แม้จะพบกันเพียงครั้ง จะยังจดจำมิรู้ลืม”

นายพิพัฒน์ พัฒนานุสรณ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน กล่าวว่า “โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อำเภอชะอำ ขอขอบคุณสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ที่ให้เกียรติและไว้ใจให้โรงแรมฯ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดงานเป็นปีที่ 3 โดยเรายินดีสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ขบวนพาเหรดรถโบราณถือเป็นอีกหนึ่งงานไฮไลท์ที่ชาวเมืองเพชรบุรี และหัวหิน รวมถึงนักท่องเที่ยวและแฟนคลับตั้งตารอคอยเพื่อชมความงามอันทรงคุณค่าที่นับวันจะหาดูได้ยาก โรงแรมของเรามีพื้นที่กว้างขวาง และมีศูนย์การประชุม ซึ่งสามารถรองรับคาราวานรถโบราณ และการจัดงานต่างๆ ได้ทุกรูปแบบ”

พิธีปล่อยขบวนรถโบราณ “หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด ครั้งที่ 22” จะเริ่มต้นที่ พิพิธภัณฑ์คนรักรถ AUTO RENDEZVOUS MUSEUM-BANGKOK ถนนประชาอุทิศ สู่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ในวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2567 โดยประชาชนทั่วไปสามารถชมรถคลาสสิค และรถโบราณอันทรงคุณค่าได้อย่างใกล้ชิดตลอดเส้นทาง นอกจากนั้น ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ งานกาลาดินเนอร์ ในคืนวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2567 ซึ่งจะมีเวทีลีลาศ กับวงดนตรี Sensation ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/VintageCarClub

MG3 HYBRID+ กวาดยอดทั่วโลกสองไตรมาส มากกว่า 30,000 คัน

ALL NEW MG3 HYBRID+ กวาดยอดทั่วโลกสองไตรมาส มากกว่า 30,000 คัน ด้วยความเหนือชั้นของระบบไฮบริด และสมรรถนะการขับขี่

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ย้ำภาพความสำเร็จของโกลบอลโมเดลรุ่นยอดนิยม ALL NEW MG3 HYBRID+ สร้างยอดขายทั่วโลกสองไตรมาสรวมกว่า 32,000 คัน พร้อมการันตีความเชื่อมั่นด้วยรางวัลชั้นนำ อาทิ Affordable Car of the year 2024 จาก Auto Express UK และ รางวัล Best Value Car จาก The Business Car Awards ในสหราชอาณาจักร หลังปรากฏตัวครั้งแรกในงาน GENEVA INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 และในประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ALL NEW MG3 HYBRID+ หนึ่งในโกลบอลโมเดลที่เป็นยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนแบรนด์ เอ็มจี ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดดเด่นด้วยนวัตกรรม และแนวทางการพัฒนายนตรกรรมพื้นฐานที่เริ่มต้นจากรถยนต์ไฮบริด และเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี ที่มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีก้าวหน้าภายใต้การพัฒนาของ SAIC MOTOR และนับเป็นโมเดลแรกที่ผสานระบบ HYBRID+ ที่สะท้อนความตั้งใจในการมอบความสมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านสมรรถนะและประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือกว่า และยังเป็นเครื่องยืนยันให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นว่า ไฮบริดที่ดีกว่าต้อง HYBRID+ ของเอ็มจีเท่านั้น

ALL NEW MG3 HYBRID+ โดดเด่นด้านการผสานพลังงานระหว่างเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าอย่างลงตัว ทำให้สมรรถนะใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังคงความรู้สึกขับสนุกด้วยโกลบอลจูนนิ่งจากวิศวกรระดับโลกมาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดที่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ของการขับขี่ได้ถึง 8 รูปแบบ โดยมีอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้สูงสุดถึง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร* ทำระยะทางได้ไกลสูงสุดมากกว่า 800 กิโลเมตร มาพร้อมกับความแรง ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที และอัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 5 วินาที มาพร้อมดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย รุ่นเริ่มต้นหรือรุ่น D อยู่ที่ 579,900 บาท และรุ่น X ในราคา 619,900 บาท

จุดเด่นหลักๆ ของรถยนต์ ALL NEW MG3 HYBRID+

•ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นโมเดลที่ผู้บริโภคต่างให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี และได้ประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยถือเป็นรถแฮทช์แบคไฮบริดรุ่นล่าสุดของ เอ็มจี และเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นที่สองที่ผลิตจากโรงงาน เอสเอไอซี มอเตอร์- ซีพี ณ จังหวัด ชลบุรี

•ALL NEW MG3 HYBRID+ ได้ทำการพัฒนาและปรับจูนทุกระบบโดยทีมวิศวกรระดับโลกเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานจริงบนถนนทั่วโลก โดยผ่านการทดสอบในทุกสภาพเส้นทาง สภาพอากาศ รวมถึงวิ่งทดสอบในสถานการณ์ที่หลากหลาย พร้อมการออกแบบห้องโดยสารภายในให้มีความเงียบกว่ารถทุกรุ่นในระดับเดียวกัน

•ALL NEW MG3 HYBRID+ ให้มากกว่าในกลุ่มรถขนาดเล็ก B-Segment ด้วยการยกระดับระบบการทำงานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าให้มีการทำงานที่อิสระ ครอบคลุมโหมดการขับเคลื่อนที่หลากหลาย นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่ครบครัน ทั้ง ประหยัดกว่า – ด้วยอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้สูงสุดถึง 26.3 กิโลเมตรต่อลิตร*กับน้ำมันหนึ่งถัง 36 ลิตร สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดมากกว่า 800 กิโลเมตร* แรงกว่า – แรงสุดในกลุ่มสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที และอัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 5 วินาที มอบความคล่องตัว ให้ความรู้สึกเหมือนขับรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ กว้างกว่า – กว้างที่สุดในคลาสเดียวกัน โดยเฉพาะห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร ปลอดภัยกว่า – ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวมระบบADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) หรือระบบอำนวยความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System) เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหารถยนต์ในกลุ่ม City Car ที่มาพร้อมฟังก์ชันระบบความปลอดภัยที่ครบครัน และเทคโนโลยีที่โดดเด่นด้วยความประหยัด

•ALL NEW MG3 HYBRID+ การันตีความเชื่อมั่นด้วยรางวัลชั้นนำ อาทิ รถยนต์ที่มอบความคุ้มค่าที่สุด “Affordable Car of the year 2024” จาก Auto Express UK และ “รางวัล Best Value Car” จาก The Business Car Awards ในสหราชอาณาจักร พร้อมยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนกันยายน รวมกว่า 32,000 คัน ทั้งยังเป็นรถยนต์ที่ผ่านคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ในการเข้ารับคัดเลือกรอบแรก และได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 รุ่น ให้เข้าสู่รอบสุดท้ายของการตัดสิน รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567 (THAILAND CAR OF THE YEAR 2024) โดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย – สรยท. (THAI AUTOMOTIVE JOURNALISTS ASSOCIATION – TAJA)

•ALL NEW MG3 HYBRID+ อีกหนึ่งรุ่นที่ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจของแบรนด์เอ็มจีครบหนึ่งศตวรรษ ในการยกระดับผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ และเป็นโมเดลที่สะท้อนภาพแนวทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในการนำเสนอยนตรกรรมไฮบริดประสิทธิภาพสูงที่จะเข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาปภายใน โดยถือเป็นยนตรกรรมไฮบริดที่รวมทุกข้อดีของไฮบริดที่มี สู่ความลงตัวที่สุดในรุ่นนี้

*หมายเหตุ : ระยะทางต่อ 1 ถัง ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ของแต่ละบุคคล

สรยท. ประกาศชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เข้ารอบสุดท้าย THAILAND CAR OF THE YEAR 2024

สรยท. ประกาศชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เข้ารอบสุดท้าย THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะที่จะครองรางวัลในแต่ละสาขารถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567

สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย หรือ สรยท. ประกาศรายชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์จำนวน 20 รุ่นที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายเพื่อให้สมาชิกที่ทรงคุณวุฒิได้ลงคะแนนคัดเลือกอีกครั้ง เพื่อเฟ้นหาผู้ชนะที่จะครองรางวัลในแต่ละสาขา นั่นคือ รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567 หรือ THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 รถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปี 2567 หรือ THAILAND EV OF THE YEAR 2024 และรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567 หรือ THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR 2024

หลังจากที่มีการเปิดให้สมาชิกโหวตลงคะแนนไปเมื่อวันที่ 17-22 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ในที่สุด สมาคมฯ ก็ได้รายชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เข้ารอบสุดท้ายจำนวน 20 รุ่นของการจัดงาน TCOTY 2024 หรือ THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 โดยแบ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในและไฮบริดจำนวน 5 รุ่น รถยนต์ไฟฟ้า-BEV จำนวน 9 รุ่น และรถจักรยานยนต์ จำนวน 6 รุ่น

ในปีนี้จะมีการมอบรางวัลโดยแบ่งออกเป็น 3 สาขา คือ รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567 หรือ TCOTY 2024 หรือ THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 รถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปี 2567 หรือ THAILAND EV OF THE YEAR 2024 และรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567 หรือ THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR 2024 โดยจะนำรถยนต์และจักรยานยนต์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 20 รุ่น มาแบ่งการทดสอบตามสาขาของรางวัลที่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์รุ่นนั้นๆ ผ่านเข้ารอบมา โดยสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการคัดเลือกจากสมาคมฯ จะเป็นผู้ทำการทดสอบภาคสนามและให้คะแนนในครั้งสุดท้าย

สำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายประกอบด้วย

– รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี หรือ TCOTY หรือ THAILAND CAR OF THE YEAR ในปีนี้มีรถยนต์ที่เข้าเกณฑ์จำนวนทั้งสิ้น 8 รุ่น และสมาชิกมีการลงคะแนนคัดเลือกรอบแรก เพื่อคัดเลือกรถยนต์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 5 รุ่นเท่านั้น ซึ่งประกอบด้วย

1. BMW Series 5 (G60)

2. HONDA Accord e:HEV

3. MERCEDES-Benz E-Class (W214)

4. TOYOTA Yaris Cross

5. MG3 Hybrid+

– รถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปี หรือ THAILAND EV OF THE YEAR ในปีนี้มีรถยนต์ที่เข้าเกณฑ์จำนวนทั้งสิ้น 18 รุ่น และสมาชิกมีการลงคะแนนคัดเลือกรอบแรก เพื่อคัดเลือกรถยนต์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 9 รุ่นเท่านั้น ซึ่งประกอบด้วย

1. AVATR 11

2. BMW i5

3. CHANGAN Deepal S07

4. HONDA e:N1

5. HYUNDAI IONIQ5 (5N)

6. MERCEDES EQS 450 4Metic

7. MG Maxus7

8. NETA X

9. ORA07

– รถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี หรือ THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR ในปีนี้มีรถจักรยานยนต์ที่เข้าเกณฑ์จำนวนทั้งสิ้น 11 รุ่น และสมาชิกมีการลงคะแนนคัดเลือกรอบแรก เพื่อคัดเลือกรถจักรยานยนต์ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 6 รุ่นเท่านั้น ซึ่งประกอบด้วย

1. BMW R1300 GS

2. CYCLONE RA401

3. HARLEY DAVIDSON Street Glide

4. TRIUMPH SCRAMBLER 400X

5. YAMAHA PG-1

6. Zontes 350e

สำหรับรถที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายทั้ง 20 รุ่นนี้ จะมีการจัดทดสอบภาคสนามเพื่อให้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการคัดเลือกจากสมาคมฯ ได้ลงคะแนน ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ที่ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ หรือ ATTRIC อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อคัดเลือกยานยนต์เพียงรุ่นเดียวที่จะเป็นผู้ชนะในแต่ละสาขาของรางวัลในปีนี้ และจะมีการจัดพิธีมอบรางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 THAILAND EV OF THE YEAR 2024 และ THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR 2024 ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ที่ The HALLS Bangkok ถนนวิภาวดีรังสิต

ข้อมูลเพิ่มเติมรถยนต์ 5 รุ่นเข้ารอบตัดสิน THAILAND CAR OF THE YEAR 2024

1. BMW Series 5 (G60) – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 19 ตุลาคม 2567 

รูปแบบตัวถัง : ซีดาน 4 ประตู

เครื่องยนต์ : ดีเซล 2.0 ลิตร 197 แรงม้า และ เบนซิน 2.0 ลิตร ปลั๊กอินไฮบริด กำลังรวมสูงสุด 299 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหลัง

ราคาจําหน่าย : 3,779,000 – 3,949,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.bmw.co.th/th/all-models/5-series/sedan/bmw-5-series-sedan-overview.html

2. Honda Accord e:HEV – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว  17 พฤศจิกายน 2566

รูปแบบตัวถัง : ซีดาน 4 ประตู

เครื่องยนต์ : 2.0 ลิตร ไฮบริด

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหน้า

ราคาจําหน่าย : 1,529,000 – 1,799,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.honda.co.th/accordehev

3. Mercedes-Benz E-Class (W214) – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 4 มีนาคม 2567

รูปแบบตัวถัง : ซีดาน 4 ประตู

เครื่องยนต์ : ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร 197 แรงม้า และ เบนซิน 2.0 ลิตร ปลั๊กอินไฮบริด กำลังรวม 313 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหลัง

ราคาจําหน่าย : 3,990,000 – 4,250,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.mercedes-benz.co.th/th/passengercars/models/saloon/e-class/overview.html

4. MG3 Hybrid+ – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 20 สิงหาคม 2567

รูปแบบตัวถัง : แฮทช์แบ็ก 5 ประตู

เครื่องยนต์ : 1.5 ลิตร ไฮบริด 194 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหน้า

ราคาจําหน่าย : 559,000 – 599,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://new-mg3.mgcars.com/th/cars/all-new-mg3-hybrid-plus


5. Toyota Yaris Cross – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 5 ตุลาคม 2566

รูปแบบตัวถัง : ครอสโอเวอร์ 5 ประตู

เครื่องยนต์ : 1.5 ลิตร ไฮบริด

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหน้า

ราคาจําหน่าย : 789,000 – 899,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.toyota.co.th/model/yariscross 

ข้อมูลเพิ่มเติมรถยนต์ 9 รุ่นเข้ารอบตัดสิน THAILAND EV OF THE YEAR 2024

1. Avatr 11 : เปิดตัว 17 กันยายน 2567 

รูปแบบตัวถัง : ครอสโอเวอร์ 5 ประตู

เครื่องยนต์ : มอเตอร์เดี่ยว กำลังสูงสุด 313 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหลัง

ราคาจําหน่าย : 2,099,000 – 2,299,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://avatr-eternityatone.com/specification/

2. BMW i5 : เปิดตัว 19 ตุลาคม 2566

รูปแบบตัวถัง : ซีดาน 4 ประตู

เครื่องยนต์ : มอเตอร์เดี่ยว 304 แรงม้า และมอเตอร์คู่ 601 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหลัง และ ขับเคลื่อนสี่ล้อ

ราคาจําหน่าย : 4,999,000 – 5,599,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.bmw.co.th/th/all-models/bmw-i/i5/bmw-i5-overview.html#build

3. Changan Deepal S07 : เปิดตัว 29 พฤศจิกายน 2566

รูปแบบตัวถัง : ครอสโอเวอร์ 5 ประตู

เครื่องยนต์ : มอเตอร์เดี่ยว กำลังสูงสุด 258 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหลัง

ราคาจําหน่าย : 1,399,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.changan.co.th/th/deepal/s07-th/

4. Honda e:N1 : เปิดตัว 26 มีนาคม 2567

รูปแบบตัวถัง : ครอสโอเวอร์ 5 ประตู

เครื่องยนต์ : มอเตอร์เดี่ยว กำลัง 204 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหน้า

ราคาจําหน่าย : สำหรับเช่า 29,000 บาท ต่อเดือน

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.honda.co.th/en1


5. Hyundai IONIQ 5 (หรือ 5N) : เปิดตัว 30 พฤศจิกายน 2566

รูปแบบตัวถัง : แฮทช์แบ็ค 5 ประตู

เครื่องยนต์ : มอเตอร์เดี่ยว กำลังสูงสุด 217 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหลัง

ราคาจําหน่าย : 1,699,000 – 2,399,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.hyundai.com/th/th/find-a-car/ioniq5/highlights


6. Mercedes-EQS 450 4Matic SUV : เปิดตัว 23 สิงหาคม 2567

รูปแบบตัวถัง : SUV 7 ที่นั่ง

เครื่องยนต์ : มอเตอร์คู่ กำลังสูงสุด 360 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 4 ล้อ

ราคาจําหน่าย : 5,990,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.mercedes-benz.co.th/en/passengercars/buy/new-car/product.html/X296-CKD_DTH0001891_TH_1993501


7. MG Maxus 7 : เปิดตัว 13 มิถุนายน 2567

รูปแบบตัวถัง : MPV 7 ที่นั่ง

เครื่องยนต์ : มอเตอร์เดี่ยว กำลัง 245 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหน้า

ราคาจําหน่าย : 1,769,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.mgcars.com/th/mg-models/new-mg-maxus-7/spec

8. Neta X : เปิดตัว 27 กรกฎาคม 2567

รูปแบบตัวถัง : ครอสโอเวอร์ 5 ประตู

เครื่องยนต์ : มอเตอร์เดี่ยว 163 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหน้า

ราคาจําหน่าย : 739,000 – 799,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.neta.co.th/th/product/Neta-X


9. ORA07 : เปิดตัว 29 พฤศจิกายน 2566

รูปแบบตัวถัง : ซีดาน 4 ประตู

เครื่องยนต์ : มอเตอร์เดี่ยว 204 แรงม้า และ มอเตอร์คู่ 408 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน : 2 ล้อหน้า และขับเคลื่อนสี่ล้อ

ราคาจําหน่าย : 1,119,000 – 1,319,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.gwm.co.th/ORA_07.html

ข้อมูลเพิ่มเติมรถจักรยานยนต์ 6 รุ่นเข้ารอบตัดสิน THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR 2024

1. BMW R 1300GS – เปิดตัว พฤษภาคม 2567

ราคาจำหน่าย: 1,125,000 – 1,205,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.bmw-motorrad.co.th/th/models/adventure/r1300gs.html

2. CYCLONE  RA401 – เปิดตัว กันยายน 2567

ราคาจำหน่าย: 189,900 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.facebook.com/CycloneThailand/

3. HARLEY DAVIDSON Street Glide – เปิดตัว มกราคม 2567

ราคาจำหน่าย: 1,640,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.harley-davidson.com/th/th/motorcycles/street-glide.html

4. TRIUMPH SCRAMBLER 400X – เปิดตัว ตุลาคม 2566

ราคาจำหน่าย: 184,900 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.triumphmotorcycles.co.th/bikes/classic/scrambler-400-x 

5. YAMAHA PG-1 – เปิดตัว พฤศจิกายน 2566

ราคาจำหน่าย: 64,900 – 73,500 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.yamaha-motor.co.th/commuter/pg-1/overview

6. Zontes 350e – เปิดตัว มิถุนายน 2567

ราคาจำหน่าย: 159,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.zontes.co.th/zontes-350e/

มาสด้า CX-5 รถอเนกประสงค์ที่ครองใจลูกค้าทั่วโลก

มาสด้า CX-5 รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นบุกเบิก ต้นกำเนิดเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ครองใจลูกค้าทั่วโลก

เมื่อกล่าวถึงรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นยอดนิยมของมาสด้าแล้ว ใครหลายคนต้องนึกถึง มาสด้า CX-5 อย่างแน่นอน เพราะหากมองย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดรถอเนกประสงค์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยมีสัดส่วนการขายไม่มากนัก แต่การบุกเบิกของมาสด้า ด้วยการส่ง CX-5 ลงสู่ตลาดได้กลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มหันมาให้ความนิยมรถยนต์ประเภทนี้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ หลายค่ายต่างเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเข้าสู่สนามการแข่งขันและช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด

มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าพัฒนารถยนต์รุ่นนี้อย่างจริงจัง และส่งลงตลาดครั้งแรก ในฐานะรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีที่มีรูปโฉมสง่างาม มาพร้อมสมรรถนะอันทรงพลังของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ที่ให้ทั้งพละกำลังแรงและประหยัดน้ำมัน และมีเครื่องยนต์ให้เลือกมากที่สุดในตลาดถึง 3 แบบ ที่สำคัญให้ความอเนกประสงค์และตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายสไตล์ ส่งผลให้มาสด้า CX-5 กลายเป็นรถเรือธงอันเลื่องชื่อในยุคนั้น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นล้วนมาจากปณิธาน “กล้าที่จะแตกต่าง” มาสด้ากล้าที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ ในสมัยนั้นยังไม่เป็นที่นิยมมากเท่าใดนัก นั่นคือโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง แต่มาสด้ากลับมองตรงข้าม เล็งเห็นถึงโอกาสที่ยานยนต์ประเภทนี้จะตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มาสด้า CX-5 ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว กลายเป็นรุ่นยอดนิยมของลูกค้าทั้งในประเทศไทยและนานาประเทศนับแต่นั้นมา จนถึงปัจจุบันมีลูกค้าจากทั่วโลกครอบครองรถยนต์รุ่นนี้ไปแล้วเกือบ 5 ล้านคัน และหนึ่งในนั้นคือลูกค้าชาวไทยที่เป็นเจ้าของกว่า 33,000 คัน

จะเนื่องด้วยเหตุผลกลใดจึงทำให้ มาสด้า CX-5 เจเนอเรชั่นแรก เปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2555 ถูกจับตามองเรียกความสนใจจากผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก กลายเป็นรถครอสโอเวอร์ที่สร้างชื่อให้กับมาสด้าอย่างรวดเร็ว พร้อมคว้ารางวัลความสำเร็จมากมาย อาทิ Japan Car of The Year ประจำปี 2555-2556 และรางวัล JNCAP Five-star award ประเทศญี่ปุ่น ปี 2556 จนถึงปัจจุบันมาสด้า CX-5 มียอดขายสะสมทั่วโลกสูงถึง 4.6 ล้านคัน นับเป็นยนตรกรรมแห่งความภาคภูมิใจของชาวมาสด้าต่อการพัฒนาด้านวิศวกรรมยานยนต์ เพื่อส่งมอบความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้ลูกค้าทั่วโลก อันเป็นปณิธานสูงสุดที่มาสด้ายึดมั่น

มาสด้า CX-5 เดินทางมาถึงประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2556 กลายเป็นรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นแรกที่สร้างชื่อเสียงอันโด่งดังให้กับแบรนด์มาสด้าจนผงาดขึ้นแถวหน้าของตลาด โดยอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟทั้งคัน ผนวกกับการออกแบบตามแนวทาง Kodo design – Soul of motion หรือ จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันสง่างาม เกิดจากเส้นสายที่แสดงออกถึงความแข็งแกร่งอันทรงพลัง และความคล่องแคล่วปราดเปรียวของเสือชีต้าห์ที่กำลังกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อซึ่งเป็นท่วงท่าที่สง่างาม นั่นคือแรงบันดาลใจของนักออกแบบ จึงกลายเป็นรถรุ่นยอดนิยมในตลาดประเทศไทยอย่างรวดเร็ว โดยมียอดขายสะสมสูงถึง 17,365 คัน ส่วนเจเนอเรชั่นที่สองเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ปัจจุบันมียอดขายรวม 15,767 คัน เมื่อรวมทั้งสองเจเนอเรชั่นแล้ว มาสด้า CX-5 มีอยู่ในการครอบครองของลูกค้าไปแล้วถึง 33,132 คัน โดยปัจจัยหลักสำคัญที่ส่งผลทำให้ มาสด้า CX-5 ประสบความสำเร็จจนได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย

เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ

ความสำเร็จของมาสด้า CX-5 ล้วนมาจากองค์ประกอบที่สำคัญหลากหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟอันเลื่องชื่อที่ให้ทั้งพละกำลังแรงและประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟที่มีให้เลือกถึง 3 เครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G 2.0 ประหยัดน้ำมันและมอบความคุ้มค่าคุ้มราคา เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G 2.5 เทอร์โบ ให้สมรรถนะอันทรงพลัง และเครื่องยนต์คลีนดีเซล Skyactiv-D 2.2 ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน มาสด้า CX-5 ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคันประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ได้สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างลงตัว

CX5_14.75x20_TC

นอกจากองค์ประกอบที่สำคัญของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟแล้ว ยังรวมถึงระบบความปลอดภัยระดับโลก ด้วยโครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟที่มีน้ำหนักเบาแต่ความแข็งแรงสูงและทนต่อแรงบิดมากขึ้น ให้ความปลอดภัยขั้นสูงสุดหากเกิดการชนปะทะ ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวสกายแอคทีฟ แน่นหนึบทุกการเข้าโค้ง และเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด เป็นต้น องค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบเหล่านี้ คือองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลทำให้รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

การออกแบบที่เรียบง่ายแต่งดงาม ตามแนวทาง Kodo–Soul of motion

ไม่เพียงเทคโนโลยีสกายแอคทีฟเท่านั้นที่ครองใจลูกค้า แม้แต่ผู้ที่พบเห็นยังได้ยลโฉมรูปลักษณ์อันงดงามที่ตราตรึงใจ จากการออกแบบ “Kodo design” Soul of Motion หรือ จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันสง่างาม โดยได้รับการถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากสุนทรียศาสตร์สไตล์ญี่ปุ่น เรียบง่ายแต่งดงาม Less is More และถูกบรรจงสรรค์สร้างเข้าไปในรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นจนถึงปัจจุบัน นี่คือจุดเริ่มต้นความสำเร็จครั้งสำคัญของมาสด้าที่หลอมรวมทุกองค์ประกอบสำคัญๆ มาพัฒนาจนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าทั่วโลก

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน

มาสด้า CX-5 ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นและการจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในตัวรถให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักปรัชญามนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้สัมผัสได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ หรือ จินบะ-อิตไต รวมถึงระบบการเชื่อมต่อการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัดผ่านระบบ Mazda Connect มาพร้อม Apple CarPlay® และระบบ Android Auto™ ที่แสดงผลบนหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน รวมถึงอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกสบายที่ใส่มาแบบครบครันที่รถเอสยูวีจะมอบให้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้มาสด้า CX-5 ตอบโจทย์และกลายเป็นรถครอสโอเวอร์เอสยูวีที่ถูกใจใครต่อใครหลายคน

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือ เรื่องราวความเป็นมาและองค์ประกอบโดยสังเขปของมาสด้า CX-5 ที่ได้สร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและวิธีคิด “กล้าที่จะแตกต่าง” Defy convention ด้วยการลงมือทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริง ทำให้อุปสรรคกลายเป็นความท้าทายบทใหม่ ที่พร้อมจะผลักดันให้มาสด้าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง ในอนาคตก้าวต่อจากนี้ไปน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีไปสู่อนาคต มาสด้ากำลังเดินหน้าตามวิถีทางด้วยความมุ่งมั่นตามพันธสัญญา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น โดยนำเสนอเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ตอบโจทย์ของคนส่วนใหญ่ แล้วนำมาพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อส่งมอบความสุขในการขับขี่ให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่มากขึ้น และเพื่อรักษาโลกของเราให้สดใสสวยงามไปสู่ลูกหลานของเราตลอดไป

“เอกนัฏ” นำทีม “ดีพร้อม” ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่นโตยั่งยืน

“เอกนัฏ” นำทีม “ดีพร้อม” ผนึกกำลัง “จังหวัดโทคุชิมะ” ลงนามความร่วมมือขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยุคใหม่ ผลักดันเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นโตอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ 31 ตุลาคม 2567 – นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” มุ่งเซฟผู้ประกอบการไทยให้อยู่รอด และแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม พร้อมสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) และจังหวัดโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ผลักดันอุตสาหกรรมยุคใหม่ อีกทั้ง ยังได้จัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างภาคอุตสาหกรรมไทย–ญี่ปุ่น เพื่อยกระดับผู้ประกอบการไทยให้เติบโตได้ในตลาดสากล ผ่านการต่อยอดธุรกิจ และสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางการค้า คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,000 ล้านบาท

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ตามนโยบายในการ “ปฏิรูปอุตสาหกรรม” การสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SME ไทย สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย “Save อุตสาหกรรมไทย” เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งหาช่องทางขยายความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยเติบโตต่อไปได้ในตลาดสากลอย่างมั่นคง เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจโลก

ด้าน นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) มุ่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล ควบคู่ไปกับการสร้างความเท่าเทียม สร้างรายได้ และสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีความพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก โดยพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่าง “ดีพร้อม” และ “จังหวัดโทคุชิมะ” ที่จัดขึ้นในวันนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศญี่ปุ่น ที่เริ่มมีความร่วมมือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย และในวันนี้ ดีพร้อมได้มีความร่วมมือและเชื่อมโยงธุรกิจกับจังหวัดโทคุชิมะที่เป็นแหล่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านเครื่องจักร เทคโนโลยีการเกษตร และเกษตรแปรรูป ซึ่งสอดรับกับนโยบายการปฏิรูปอุตสาหกรรม เกิดการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมเดิมสู่อุตสาหกรรมใหม่ อาทิ เกษตรอุตสาหกรรม เครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อาหารแห่งอนาคต ที่ล้วนเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจไทยได้ ซึ่งคาดว่าจากพิธีลงนามฯ ดังกล่าว จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 1,000 ล้านบาท

ด้านนายโกโตดะ มาซาซูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดโทคุชิมะ กล่าวเสริมว่า จังหวัดโทคุชิมะตั้งอยู่ในภูมิภาคชิโกกุ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 เกาะ ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นเกาะที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก ทำให้จังหวัดโทคุชิมะ มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมเกษตร ประมง และอาหารแปรรูป ตลอดจนอุตสาหกรรมเครื่องจักร ยานยนต์ และแบตเตอรี่ ซึ่งในวันนี้ ได้นำผู้ประกอบการรายใหญ่ของจังหวัดทั้งในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ยานยนต์ และเครื่องจักร หลายรายมาร่วมในกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย–ญี่ปุ่น โดยหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน ตามที่ทั้งสองหน่วยงานมีความตั้งใจจะขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมยุคใหม่ และทำให้เศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นได้เติบโตควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างสมดุล มั่นคง และยั่งยืน นายโกโตดะ กล่าวทิ้งท้าย

RIDDARA เปิดตัว RIDDARA RD6 เคาะราคา 8.99 แสนบาท

RIDDARA เปิดตัว RIDDARA RD6 “THE FIRST EV PICK UP IN THAILAND” รถกระบะไฟฟ้า 100% ครั้งแรกในไทย นิยามใหม่ของไลฟ์สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัดเปิดราคาเริ่มต้น 8.99 แสนบาท

RIDDARA (ริดดารา) เผยโฉม RIDDARA RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100% คันแรกของเมืองไทย ชูนวัตกรรม M.A.P (Multiplex Attached Platform) ผสานศักยภาพรถกระบะและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ดีไซน์โดดเด่นพรีเมียม สะดวกสบายระดับ SUV พร้อมนำเสนอนิยามใหม่ของรถกระบะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างทุกความสำเร็จ และลุยไปกับทุกกิจกรรมของครอบครัว เปิดราคาขายเริ่มต้น 899,000 บาท

มร.หลิง ซื่อ เฉวียน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริดดารา นิวเอนเนอร์ยี ออโตโมบาย จำกัด (RIDDARA New Energy Automobile.Co.,Ltd.) เปิดเผยถึงภาพรวมและแนวทางในการดำเนินงานของแบรนด์ “RIDDARA” (ริดดารา) ในงานแถลงข่าวเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการในประเทศไทยว่า “RIDDARA เป็นแบรนด์รถกระบะพลังงานไฟฟ้าในเครือ GEELY Holding Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทรถยนต์ชั้นนำระดับโลกที่มุ่งมั่นในการพัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ โดย RIDDARA ได้นำความโดดเด่นทั้งด้านเทคโนโลยี การผลิต รวมไปถึงการควบคุมคุณภาพของกลุ่ม GEELY Holding มาเป็นพื้นฐานในการสร้างสรรค์กระบะพลังงานไฟฟ้าที่จะมาสร้างไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ด้วยการผสานศักยภาพของรถกระบะที่สามารถรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบในสภาพถนนที่มีความแตกต่างไปพร้อมกับการขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบายแบบรถยนต์ SUV เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าตามแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัตกรรมอันทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งนี้หลังก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดรถกระบะไฟฟ้าในประเทศจีนด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 60% ในปี 2023 ที่ผ่านมา RIDDARA ก็พร้อมที่จะขยายสู่ตลาดโลกเพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ สร้างไลฟ์สไตล์เอาท์ดอร์ที่แตกต่างให้กับลูกค้าทั่วทุกมุมโลก”

มร.หลิง ซื่อ เฉวียน กล่าวเสริมถึงแผนการดำเนินงานของ RIDDARA ในประเทศไทยว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ด้วยนโยบายจากรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่อย่างจริงจังทำให้มีแบรนด์รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เป็นรถยนต์พลังงานใหม่เข้าสู่ตลาดและได้รับความนิยมแพร่หลายในประเทศไทย ในขณะที่กลุ่มตลาดรถกระบะในประเทศไทยนั้นยังถือเป็นฐานการผลิตสำคัญที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งยังคงมีความท้าทายและความต้องการอันหลากหลายที่รอการเติมเต็ม

RIDDARA จึงทุ่มเทอย่างหนักทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราอย่างรอบด้านด้วยการนำเทคโนโลยีไฟฟ้าและนวัตกรรมการขับขี่อัจฉริยะมาสู่อุตสาหกรรมรถกระบะ โดยหวังว่าการวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้มีส่วนขับเคลื่อนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการรถกระบะได้อย่างกว้างขวาง เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รถ RIDDARA รุ่นแรกนี้จะสร้างมิติใหม่แห่งการขับขี่ที่ผสมผสานสมรรถนะแกร่งแบบรถกระบะไปพร้อมกับการขับขี่ที่นุ่มนวลและสะดวกสบายแบบรถยนต์ SUV เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็วได้อย่างน่าประทับใจ การประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่น่าไว้วางใจ พร้อมบทพิสูจน์ถึงความสามารถในการรับมือกับสภาพอากาศที่หลากหลาย จากการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ผ่านมา ซึ่ง RIDDARA หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่ของเราจะสร้างมุมมองใหม่ให้กับรถกระบะในประเทศไทย ในการผสมผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมุ่งเน้นความสำคัญด้านความยั่งยืนไปพร้อมกัน” มร.หลิง ซื่อ เฉวียน กล่าวสรุป

RIDDARA ผู้นำรถกระบะพลังงานไฟฟ้าในประเทศจีน

สำหรับ RIDDARA เปิดตัวอย่างเป็นทางการในจีนในปี 2022 โดยเป็นแบรนด์ในเครือ GEELY Holding Group ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ที่ได้รับความไว้วางใจและยอมรับในระดับสากล โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของโลก Fortune Global 500 ติดต่อกันอย่างยาวนาน โดยปัจจุบัน GEELY Holding Group บริหารแบรนด์รถยนต์ชั้นนำหลากหลายแบรนด์ครอบคลุมหลายเซกเมนท์ อาทิ  ZEEKR , LYNK&CO,  VOLVO, POLESTAR, รวมไปถึง LOTUS ทั้งนี้ RIDDARA มุ่งเน้นที่รถกระบะพลังงานใหม่ เพื่อส่งเสริมให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ของผู้บริโภค พร้อมยึดหลักการบริหารโดยเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง โดย RIDDARA มีการบริหารงานอย่างอิสระ แต่ยังคงตอบรับและสอดคล้องกับกลยุทธ์หลักของ GEELY Holding Group โดยมีการทำงานและได้รับการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ขั้นตอนการผลิตอัจฉริยะ การจัดการด้านคุณภาพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน

ในปี 2023 ที่ผ่านมา RIDDARA ครองตำแหน่ง China’s NO.1 EV-pickup รถกระบะไฟฟ้ายอดขายอันดับหนึ่งในประเทศจีนด้วยส่วนแบ่งตลาดกลุ่มรถกระบะในจีนมากกว่า 60% และมีแผนเปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมแผนการขยายธุรกิจในระดับสากลที่ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยปัจจุบัน RIDDARA เปิดตัวรถกระบะพลังงานไฟฟ้าแล้วในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง อเมริกากลาง และอเมริกาใต้

ในประเทศไทย RIDDARA จะดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของ บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด (RIDDARA AUTOMOBILE (THAILAND) COMPANY LIMITED โดยพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นผ่านการแนะนำผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยและให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าคนไทยเป็นหลัก รวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในทุกภาคส่วนเพื่อมอบประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า และสร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางตลาดรถกระบะพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน

RIDDARA RD6 : THE FIRST EV PICKUP IN THAILAND 

RIDDARA RD6 นับเป็น “THE FIRST EV PICK UP IN THAILAND” กระบะไฟฟ้า 100% ที่เปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบและพร้อมให้เป็นเจ้าของเป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย โดดเด่นด้วยนวัตกรรม M.A.P (Multiplex Attached Platform) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์มรถยนต์ที่พัฒนาเอาจุดเด่นของรถกระบะและรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาผสมผสานกัน ทำให้ RIDDARA RD6 มีความโดดเด่นทั้งในด้านของการออกแบบ สมรรถนะและความอัจฉริยะในแบบฉบับของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ด้วยโครงสร้างตัวถังขนาดใหญ่และมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังมอบพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางนั่งสบาย และติดตั้งระบบความปลอดภัยและระบบช่วยในการขับขี่ที่ครบครัน พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่รองรับทั้งการเดินทาง และการทำกิจกรรมแบบเอาท์ดอร์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่น้อยกว่ารถกระบะสันดาปทั่วไป

EASY DRIVE TO WORK เปลี่ยนนิยามของกระบะให้เป็นได้มากกว่า

RIDDARA RD6 ให้สมรรถนะที่โดดเด่นด้วยอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.5 วินาที และแรงบิดสูงสุด 595 นิวตันเมตร มาพร้อมช่องจ่ายกระแสไฟตามมาตรฐานยุโรปขนาด 6KW ที่กระบะท้ายพร้อมระบบป้องกันการจ่ายไฟฟ้าอัจฉริยะสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ทั้งในขณะจอดรถ ล็อกรถ ชาร์จไฟ หรือแม้กระทั่งขณะขับรถ นอกจากนี้ยังมาพร้อมการเชื่อมต่อและควบคุมรถผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือทำให้สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถจากระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน

LUXURIOUS COMFORT & INTELLIGENT COCKPIT FOR FAMILY มอบความสะดวกสบายและห้องโดยสารที่มาพร้อมนวัตกรรมทันสมัย

RIDDARA RD6 มอบความความสะดวกสบายระดับ SUV ด้วยห้องโดยสารระดับพรีเมียมที่ออกแบบมาสำหรับทุกคนในครอบครัว ให้ห้องโดยสารที่เงียบสงบด้วยเทคโนโลยี Pure Electric NVH Silent  พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ  Apple CarPlay และ Carbit link พร้อมที่ชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สายขนาด 50W มีระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ที่มาพร้อมระบบกรองอากาศ CN95 filter PM 2.5 เบาะหนังคุณภาพสูง ดีไซน์เอกลักษณ์ ปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศที่เบาะโดยสาร เบาะหน้าเอนได้แบบ 180 องศา ปรับแต่งเพิ่มพื้นที่การใช้งานที่หลากหลายเพื่อทุกคนในครอบครัว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง และสิ่งอำนวยความสะดวกอีกครบครันพร้อมมอบความสะดวกสบายในทุกเส้นทาง

ENJOY OUTDOOOR LIFESTYLE พร้อมตอบทุกโจทย์กิจกรรมของครอบครัว

RIDDARA RD6 ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 แบบอัตโนมัติ โดยมีโหมดการขับขี่ 7 โหมด สำหรับสภาพถนนที่แตกต่างกัน (Sand / Mud / Off-road / Wading / Economy / Comfort / Sport) อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยความสามารถในการลุยน้ำลึกได้สูงสุด 815 มิลลิเมตร มีพื้นที่บรรทุกกระบะท้ายขนาด 1,200 ลิตร ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 70 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บเพิ่มเติมใต้เบาะผู้โดยสารด้านหลังอีก 48 ลิตร อีกทั้งยังมีความสามารถในการลากจูงได้สูงสุดถึง 3,000 กิโลกรัม พร้อมบันไดท้ายซ่อนภายในประตูท้ายกระบะ ให้การขึ้นลงท้ายกระบะเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย

SAFETY IS THE FOUNDATION OF EVERY ADVENTURE มั่นใจในทุกเส้นทาง ปกป้องทุกคนในครอบครัว

RIDDARA RD6 มาพร้อมระบบความปลอดภัยรอบคัน ซึ่งรวมถึงระบบช่วยในการขับขี่ ADAS (Advanced Driving Assistance Systems) สูงสุด 14 ระบบ และกล้องมองภาพรอบทิศทาง 540 องศา รวมไปถึงถุงลมนิรภัย 6 จุดช่วยปกป้องทั่วทั้งห้องโดยสาร ยิ่งไปกว่านั้นตัวรถสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของโครงสร้างรถ

RIDDARA RD6 มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมี 4 รุ่นย่อย ด้วยราคาจำหน่ายดังนี้

•RIDDARA RD6 2WD 63kWh ราคา 899,000 บาท

•RIDDARA RD6 2WD 73kWh ราคา 999,000 บาท

•RIDDARA RD6 4WD 73kWh ราคา 1,149,000 บาท

•RIDDARA RD6 4WD 86kWh ราคา 1,299,000 บาท

พร้อมรับข้อเสนอพิเศษ เมื่อจอง RIDDARA ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ธันวาคม 2567 

•อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% นาน 48 เดือน เมื่อดาวน์ 25% (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารและสถาบันการเงินที่ร่วมรายการกำหนด)

•รับโฮมชาร์จเจอร์พร้อมค่าบริการติดตั้งฟรี

•ฟรีประกันภัยชั้น 1 เป็นระยะเวลา 1 ปี

•การรับประกันคุณภาพรถใหม่ครอบคลุมระยะเวลา 6 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร 

•การรับประกันมอเตอร์ขับเคลื่อนและแบตเตอรี่ขับเคลื่อน เป็นระยะเวลา 8 ปี หรือระยะทาง 200,000 กิโลเมตร

•ฟรีค่าอะไหล่และค่าแรงบํารุงรักษาตามระยะทางสูงสุด 6 ครั้ง ภายใน 6 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร

•ฟรี แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถขนาด 2GB ระยะเวลา 1 ปี

•บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง ฟรี 6 ปี

พร้อมกันนี้ RIDDARA ได้เปิดตัวบริการหลังการขายภายใต้ชื่อ RIDDARA CARE ที่พร้อมดูแลและให้บริการลูกค้าทุกท่านผ่านผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ รวมไปถึงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า RIDDARA Call Center ที่ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ที่หมายเลข 02-039-5777

ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ฟันยอดจองกว่า 3,000 คัน

ฮอนด้า ขอบคุณความเชื่อมั่นที่มีต่อ “ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่” ด้วยยอดจองสิทธิ์กว่า 3,000 คัน ตอกย้ำความเป็นรถ SUV ยอดนิยม

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ขอบคุณความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่มีต่อ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ด้วยยอดจองสิทธิ์กว่า 3,000 คัน ตั้งแต่ 10 กันยายน 2567 – 21 ตุลาคม 2567 ตอกย้ำความเป็นรถ SUV ฟูลไฮบริดยอดนิยมจากฮอนด้าในใจลูกค้าชาวไทย ทั้งนี้ ฮอนด้า มุ่งหวังที่จะขยายฐานลูกค้าไปหลากหลายกลุ่มให้มากขึ้น ครั้งนี้ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ จึงมาพร้อมราคาแนะนำใหม่ เพื่อให้เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น โดยหลังจากที่ได้ประกาศราคาประมาณการไปเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา มีลูกค้าให้ความสนใจลงทะเบียนจองสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดย ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ได้เพิ่มเติมหลากหลายฟังก์ชัน** แต่ยังมาพร้อมราคาที่คุ้มค่า ดังนี้

•รุ่น e:HEV E มาพร้อมราคาแนะนำช่วงเปิดตัว เพียง 89X,XXX บาท*** จำนวนจำกัด เมื่อจองและรับรถตั้งแต่ 28 พฤศจิกายน 2567 – 31 ธันวาคม 2567*

•รุ่น e:HEV EL ราคาประมาณการ 1,0XX,XXX บาท***

•รุ่น e:HEV RS ราคาประมาณการ 1,1XX,XXX บาท***

ลูกค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้าเพื่อรับสิทธิประโยชน์พิเศษ ฟรี บัตรเติมน้ำมันมูลค่า 5,000 บาท* เมื่อจองสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2567 – วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 พร้อมจองและรับรถตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 – 31 ธันวาคม 2567*

พร้อมรับข้อเสนอพิเศษในการจองและรับรถ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568* ได้แก่ ดอกเบี้ยพิเศษ* สำหรับเจ้าของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าและครอบครัว (Honda Loyalty) รวมถึงแคมเปญ “Honda Happy Trade-in” ขายรถคันเดิมเพื่อออกรถยนต์ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ รับเพิ่มบัตรน้ำมันสูงสุด 30,000 บาท* และข้อเสนอพิเศษอื่นๆ ที่มอบความคุ้มค่าให้กับลูกค้า

เตรียมพบกับการประกาศราคาและเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 โดยพร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสทั้งที่บูทฮอนด้า ในงาน Motor Expo 2024 และที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.honda.co.th/hrvehev หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับเราทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777

หมายเหตุ :

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

**อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

***ราคาประมาณการยังไม่รวมราคาสีพิเศษ (มุก) และหลังคาสีดำ (ทูโทน)

“ซูซูกิ” เร่งดูแลลูกค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ

“ซูซูกิ” เร่งดูแลลูกค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศประกาศขยายแคมเปญช่วยเหลือลูกค้ารถน้ำท่วมถึงสิ้นปี พร้อมเพิ่มข้อเสนอพิเศษ ส่วนลดสูงสุด 25,000 บาท หรับลูกค้าที่ต้องการซื้อรถใหม่ทดแทนรถที่เสียหาย

บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มอบการดูแลลูกค้ารถยนต์ซูซูกิในพื้นที่ประสบอุทกภัย เน้นงานบริการแบบ S-Solution สื่อสารกับลูกค้าพร้อมประเมินอาการเพื่อทำการดูแลรถอย่างรวดเร็ว พร้อมประกาศขยายเวลาแคมเปญพิเศษ ส่วนลดพิเศษ 30% ให้แก่ลูกค้ารถยนต์ซูซูกิทุกรุ่นที่ถูกผลกระทบจากน้ำท่วม พร้อมเพิ่มข้อเสนอช่วยบรรเทาภาระ สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบและต้องการซื้อรถใหม่ มอบส่วนลดสูงสุด 25,000 บาท

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่ประชาชนในหลายจังหวัดได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัย ทำให้ได้รับผลกระทบและเกิดความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งทางซูซูกิได้มี นโยบายเร่งด่วนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ บรรเทาความทุกข์ และความเดือดร้อนให้กับลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ซูซูกิ โดยได้ร่วมมือกับผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิในพื้นที่ประสบภัยดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่

ล่าสุดหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลง ซูซูกิได้เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบและเข้าดูแล พบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่ประสบภัย เริ่มทยอยนำรถยนต์เข้ามาซ่อมบำรุงจากการถูกน้ำท่วม โดยเบื้องต้นมีจำนวนรถยนต์ซูซูกิที่ได้รับความเสียหายจากทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ รวมจำนวน 28 คัน ซึ่งจากการประเมินอาการจากศูนย์บริการในพื้นที่ ได้ทำการแบ่งอาการความเสียหายออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1 ท่วมครึ่งล้อรถยนต์ ระดับที่ 2 ท่วมครึ่งคันรถยนต์ และระดับที่ 3 ท่วมตั้งแต่บริเวณคอนโซลหน้ารถขึ้นไป ทั้งนี้ พบว่าความเสียหายต่อรถยนต์ที่มีจำนวนมากที่สุดจะอยู่ในกลุ่มระดับที่ 2

ซูซูกิ ได้นำระบบบริการแบบ S-Solution เข้ามาช่วยให้การเชื่อมต่อข้อมูลการบริการกับลูกค้าเพื่อความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งการแจ้งยืนยันสภาพรถของลูกค้าก่อนเข้ารับบริการว่า รถได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด จากนั้นจะแจ้งความคืบหน้าของงานซ่อมบำรุงให้ลูกค้ารับทราบถึงขั้นตอนต่างๆ ทั้งการถ่ายทำคลิปวิดีโอ หรือส่งเป็นรูปภาพ ก่อนที่จะนำเสนอลูกค้า ถึงการเปลี่ยนหรือซ่อมชิ้นส่วนต่างๆ ตามสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับการเสนอราคา เพื่อประกอบการตัดสินใจให้กับลูกค้า ซึ่งรูปแบบการบริการดังกล่าว จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าจะได้รับบริการที่มีมาตรฐานจากศูนย์บริการของซูซูกิ นอกจากนั้น ยังเร่งเข้าไปช่วยประเมินงานซ่อมแซม พร้อมเข้าเจรจาช่วยเหลือเพื่อเร่งรัดการดำเนินการเรื่องประกันภัยให้กับลูกค้าทุกคันแล้ว

“จากการประเมินเบื้องต้นรถทุกคัน สภาพเครื่องยนต์และเกียร์มีสภาพไม่เสียหายและสามารถใช้งานต่อได้ โดยปัญหาที่พบและต้องดูแลแก้ไขให้ลูกค้าโดยเร็ว ส่วนใหญ่จะพบปัญหาเรื่องของระบบไฟ และระบบปรับอากาศ ซึ่งในส่วนนี้เราจะช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ตอกย้ำให้เห็นได้ชัดเจนว่า ผลิตภัณฑ์ของซูซูกิมีความทนทาน คุ้มค่า การซ่อมบำรุงและดูแลรักษาง่าย สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้าทำให้ได้รับความสำเร็จทางด้านยอดจำหน่ายสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ ซูซูกิเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย นอกจากการปรับขยายเวลาแคมเปญช่วยเหลือน้ำท่วม ด้วยการมอบส่วนลดพิเศษ 30% สำหรับค่าอะไหล่ (ยกเว้นแบตเตอรี่ หัวเทียน ยางรถยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง) ค่าแรง และค่าเคมีภัณฑ์ให้แก่ลูกค้ารถยนต์ซูซูกิทุกรุ่น  ออกไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ยังปรับเพิ่มเงื่อนไขพิเศษ เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระ สำหรับลูกค้าที่รถยนต์ถูกน้ำท่วมจากเหตุการณ์ในครั้งนี้

โดยได้จัดโครงการพิเศษ มอบส่วนลดช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องการเลือกซื้อรถยนต์ซูซูกิคันใหม่ เนื่องมาจากรถคันเก่าประสบปัญหาในช่วงวิกฤตอุทกภัย โดยมีระยะเวลาเริ่มโครงการตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งรายละเอียดของข้อเสนอพิเศษมีดังนี้

•รถยนต์ซูซูกิที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย SUZUKI SWIFT, SUZUKI ERTIGA Hybrid และ SUZUKI XL7 Hybrid

•ผู้สนใจเแสดงเอกสารประกอบของรถยนต์คันที่เสียหายตามที่บริษัทฯ กำหนด

•สำหรับลูกค้ารถยนต์ซูซูกิที่ได้รับความเสียหายทุกรุ่น รับส่วนลดเพิ่ม 25,000 บาท

•สำหรับลูกค้ารถยนต์ยี่ห้ออื่นที่ได้รับความเสียหาย รับส่วนลดเพิ่ม 20,000 บาท

•เงื่อนไขพิเศษดังกล่าวยังไม่รวมรายการส่งเสริมการขายปกติที่มอบให้ในช่วงเดือน ตุลาคม – ธันวาคม 2567

•สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากศูนย์บริการในพื้นที่

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เรามุ่งมั่นจะทำเพื่อเป็นการดูแลและตอบแทนลูกค้าทุกท่านในยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ เราดำเนินการภายใต้แนวคิด “SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” เราพร้อมจะเดินหน้าเพื่อเข้าไปช่วยแบ่งเบาและบรรเทาปัญหาของสังคมด้วยการปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีแก่พนักงานและมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ด้วยความมุ่งหวังให้องค์กรและชุมชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว สามารถติดต่อเข้ารับบริการ และสอบถามเงื่อนไขต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการรถยนต์ซูซูกิในพื้นที่ประสบภัย หรือติดต่อ SUZUKI Cause We Care หมายเลขโทรศัพท์ 1800-600-900

สมาคมรถโบราณฯ จับมือ เซ็นทรัลขับรถเที่ยวกรุงเก่า เยี่ยมเงาอดีต

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับ เซ็นทรัลพัฒนา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดขบวนรถโบราณ และรถคลาสสิคกว่า 30 คัน ขับเที่ยวชานกรุง เส้นทางกรุงเทพฯ – พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เผยว่า สมาคมฯ ร่วมกับ เซ็นทรัลพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดงาน “คาราวานชานกรุง 2024” ภายใต้แนวคิด “เยือนกรุงเก่า เยี่ยมเงาอดีต” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมถึงบริเวณใกล้เคียง ผ่านขบวนรถโบราณ และรถคลาสสิคทรงคุณค่ากว่า 30 คัน

ด้านผู้บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เผยว่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อยุธยา เป็นโครงการมิกซ์ยูสสปอตไลท์ระดับโลก แลนด์มาร์กของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายใต้แนวคิด “อัศจรรย์อยุธยา” ด้วยสถาปัตยกรรมการตกแต่ง โดยเฉพาะฟาซาดสีขาวและสีทองที่สะท้อนอัตลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัดฯ ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงรถโบราณ และรถคลาสสิค ให้ลูกค้าและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชมเสน่ห์ของรถโบราณที่ทรงคุณค่า

ขบวนคาราวานรถโบราณ เริ่มเดินทางจาก ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ มุ่งหน้าสู่ เบนซ์เภตรา อยุธยา เยี่ยมชมโชว์รูม และศูนย์บริการฯ ครบวงจรแห่งแรกในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมพักทานอาหารกลางวัน

ช่วงบ่าย เคลื่อนขบวนไป พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ชมกรุเครื่องทองสมัยกรุงศรีอยุธยา จำนวนมากกว่า 2,200 รายการ ณ อาคารเครื่องทองอยุธยา โดยมีโบราณวัตถุชิ้นเด่น เช่น พระแสงขรรค์ชัยศรี พระคชาธารจำลอง จุลมงกุฎ และพระสุวรรณมาลา นอกจากนั้นยังมี เครื่องทองจากวัดราชบูรณะ และส่วนจัดแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับคติการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พบในโบราณสถาน ได้แก่ พระปรางค์วัดพระราม พระปรางค์วัดมหาธาตุ เจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ และเจดีย์ศรีสุริโยทัย เป็นต้น

หลังจากนั้น มุ่งหน้าสู่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อยุธยา เพื่ออวดโฉมรถโบราณ และรถคลาสสิค ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด และมอบเกียรติบัตรให้แก่เจ้าของรถโบราณที่เข้าร่วมกิจกรรม

ผู้สนใจสามารถติดตามกิจกรรมของสมาคมรถโบราณฯ ได้ที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/vintagecarclub

สรยท.ประกาศรายชื่อรถเข้าเกณฑ์ THAILAND CAR OF THE YEAR, THAILAND EV OF THE YEAR และ THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR 2024

สรยท.ประกาศรายชื่อรถเข้าเกณฑ์ THAILAND CAR OF THE YEAR, THAILAND EV OF THE YEAR และ THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR 2024

สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย หรือ สรยท. เปิดเผยรายชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เข้าเกณฑ์การมอบรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2567 หรือ THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 (TCOTY2024) โดยในปีนี้ทางสมาคมฯ เล็งเห็นความสำคัญของตลาดรถจักรยานยนต์ จึงมีมตินำการมอบรางวัลรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี หรือ THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR กลับมาอีกครั้ง นอกจากนั้น ยังถือเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่จะมีการมอบรางวัลให้กับกลุ่มรถยนต์พลังไฟฟ้าภายใต้ชื่อรางวัลรถยนต์พลังไฟฟ้ายอดเยี่ยมประจำปี หรือ THAILAND EV OF THE YEAR

“การจัดงาน THAILAND CAR OF THE YEAR มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการจัดงานยังคงบทบาทและหน้าที่สำคัญในการเป็นเวทีที่จะช่วยส่งเสริมและผลักดันผู้ผลิตยานยนต์ในการยกระดับสินค้าของพวกเขาให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยได้ใช้ยานยนต์ที่มีคุณภาพ รวมถึงยังเป็นการช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในทุกภาคส่วนของระบบ Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ซึ่งทั้งหมดถูกสะท้อนผ่านเกณฑ์ในการคัดเลือกของทางสมาคมที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างเหมาะสม” นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) กล่าว

ทางด้านนายสุรมิส เจริญงาม อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคัดเลือกและตัดสิน THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 เปิดเผยขั้นตอนการตัดสินและมอบรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปีนี้ว่า หลังจากนี้จะส่งรายชื่อรถยนต์ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดให้กับสมาชิก สรยท.โหวตคัดเลือกรถยนต์รอบแรกจำนวนกึ่งหนึ่ง เพื่อเข้าสู่การพิจารณารอบสุดท้ายซึ่งเป็นการทดสอบภาคสนามโดยคณะสื่อมวลชนที่มีความรู้ ประสบการณ์ ในการทดสอบรถยนต์ของเมืองไทยต่อไป

การทดสอบภาคสนามในรอบ 2 นั้น เป็นการร่วมให้คะแนนของสื่อมวลชนสายยานยนต์แลรถจักรยานยนต์ ตั้งแต่ระดับบรรณาธิการ คอลัมนิสต์ จนถึงผู้สื่อข่าวอาวุโส ที่คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ไทยมากกว่า 20-30 ปี เป็นการให้คะแนนตามหลักเกณฑ์ของการตัดสินรางวัล European Car of The Year ของยุโรป และ Japan Car of The Year ของประเทศญี่ปุ่น เพื่อคัดเลือกรถยนต์เพียง 1 รุ่น ให้เป็นรถยอดเยี่ยมประจำปีของประเทศไทย

“การจัดงานในปีนี้ยังคงต้องเผชิญหน้ากับบริบทของความเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์เหมือนกับปีที่ผ่านมา ซึ่งการจัดงาน THAILAND CAR OF THE YEAR ถือเป็นดัชนีที่สามารถใช้วัดและระบุถึงความเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ไทยในแง่ของผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะในกลุ่มของรถยนต์พลังไฟฟ้า เราจะพบว่ามีทางเลือกในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากกว่าในปี 2023 ซึ่งเป็นปีแรกของการจัดงาน” นายสุรมิส กล่าวเพิ่มเติม

“ในกลุ่มของรถจักรยานยนต์นั้น ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์หลักอีกประเภทของประเทศไทย และบ้านเราถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับภูมิภาคนี้ ดังนั้น ด้วยการเล็งเห็นความสำคัญ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น การมอบรางวัล THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR เพื่อเป็นหนึ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมให้กับบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ได้พัฒนาและยกระดับสินค้าของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้คนไทยได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพ

สำหรับในปีนี้ ถือเป็นการจัดงานครั้งที่ 10 แล้ว โดยในกลุ่มรางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 มีรถยนต์ที่เข้าเกณฑ์ตามกรอบการคัดเลือกจำนวน 8 คัน โดยพิจารณาจาก 3 หัวข้อหลักคือ เปิดตัวในช่วงระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 จนถึง 30 กันยายน 2567 เป็นรถยนต์ใหม่แบบโมเดลเชนจ์ และจะต้องมีการผลิตในประเทศไทย หรือนำเข้าจากประเทศในแถบอาเซียน  โดยรถยนต์ทั้ง 8 รุ่นประกอบด้วย

1.BMW Series 5 (G60) – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 19 ตุลาคม 2566

2.BYD Sealion 6 DM-i – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 8 สิงหาคม 2567

3.Honda Accord e:HEV – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว  17 พฤศจิกายน 2566

4.Mercedes-Benz CLE Coupe 4Matic (300 และ AMG53) – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว  6 กันยายน 2567

5.Mercedes-Benz E-Class (W214) – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 4 มีนาคม 2567

6.MG3 Hybrid+ – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 20 สิงหาคม 2567

7.Toyota Hilux Champ – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 27 พฤศจิกายน 2566

8.Toyota Yaris Cross – ประกอบในประเทศ : เปิดตัว 5 ตุลาคม 2566

**การคัดเลือกรถเข้าสู่รอบสุดท้ายจะมีจำนวนทั้งสิ้น 5 คัน**

ส่วนกลุ่มรางวัล THAILAND EV OF THE YEAR 2024 นั้น จะยึดตามกรอบของ THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 ยกเว้นเรื่องฐานการผลิต แต่จะใช้การเป็นบริษัทที่อยู่ในโครงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่บีโอไอ (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ได้อนุมัติให้การส่งเสริมแล้วในปี 2566-2567 นี้แล้วเท่านั้น และต้องสามารถแล่นทำระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งไม่ต่ำกว่า 300 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC หรือเทียบเท่า โดยอ้างอิงจากเอกสารการทดสอบ หรือ ECO Sticker ของผู้ผลิตเป็นสำคัญ ซึ่งในปีนี้มีรถยนต์พลังไฟฟ้าผ่านเกณฑ์ถึง 18 รุ่นด้วยกัน ประกอบด้วย

1.Avatr 11 : เปิดตัว 17 กันยายน 2567

2.BMW i5 : เปิดตัว 19 ตุลาคม 2566

3.BMW iX2 : เปิดตัว 1 กุมภาพันธ์ 2567

4.BYD M6 : เปิดตัว 9 กันยายน 2567

5. Changan Deepal L07 : เปิดตัว 29 พฤศจิกายน 2566

6. Changan Deepal S07 : เปิดตัว 29 พฤศจิกายน2566

7.Changan Lumin : เปิดตัว 24 มีนาคม 2567

8.GAC HYPTEC HT : เปิดตัว  19 กันยายน 2567

9.Honda e:N1 : เปิดตัว 26 มีนาคม 2567

10.Hyundai IONIQ 5 (หรือ 5N) : เปิดตัว 30 พฤศจิกายน 2566

11.Hyundai IONIQ 6 : เปิดตัว 25 มีนาคม 2567

12.Mercedes-EQS 450 4Matic SUV : เปิดตัว 23 สิงหาคม 2567

13.MG Cyberster : เปิดตัว 27 มีนาคม 2567

14.MG Maxus 7 : เปิดตัว 13 มิถุนายน 2567

15.MINI Aceman : เปิดตัว 19 สิงหาคม 2567

16.MINI Cooper SE : เปิดตัว 18 กรกฎาคม 2567

17.Neta X : เปิดตัว 27 กรกฎาคม 2567

18.ORA07 : เปิดตัว 29 พฤศจิกายน 2566

**การคัดเลือกรถเข้าสู่รอบสุดท้ายจะมีจำนวนทั้งสิ้น 9 คัน**

ส่วนรางวัล THAILAND MOTORCYCLE OF THE YEAR 2024 จะยึดตามเกณฑ์การคัดเลือกเช่นเดียวกับ THAILAND CAR OF THE YEAR 2024 ในทั้ง 3 ประเด็นหลัก คือ เปิดตัวในช่วงระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 จนถึง 30 กันยายน 2567 เป็นรถยนต์ใหม่แบบโมเดลเชนจ์ และจะต้องมีการผลิตในประเทศไทย หรือนำเข้าจากประเทศในแถบอาเซียน ซึ่งในปีนี้มีรถจักรยานยนต์ที่ผ่านเข้าเกณฑ์จำนวน 11 รุ่น ประกอบด้วย

1.BMW R 1300GS : เปิดตัวพฤษภาคม 2567

2.CYCLONE RA401 : เปิดตัว กันยายน 2567

3.DUCATI DESERT X RALLY : เปิดตัว พฤษภาคม 2567

4.GPX DZ3 : เปิดตัว กรกฎาคม 2567

5.HARLEY DAVIDSON Street Glide : เปิดตัว มกราคม 2567

6.KAWASAKI Meguro-S1 : เปิดตัว กันยายน 2567

7.KEEWAY GEMMA 125 : เปิดตัว มกราคม 2567

8.KEEWAY V 302C : เปิดตัว เมษายน 2567

9.TRIUMPH SCRAMBLER 400X : เปิดตัว ตุลาคม 2566

10.YAMAHA PG-1 : เปิดตัว พฤศจิกายน 2566

11.Zontes 350e : เปิดตัว มิถุนายน 2567

**การคัดเลือกรถเข้าสู่รอบสุดท้ายจะมีจำนวนทั้งสิ้น 6 คัน**

การลงคะแนนรอบแรกจะลงคะแนนโดยสมาชิกสามัญของสมาคมโดยมีระยะเวลาในการโหวตตั้งแต่วันที่ 17-22 ตุลาคม 2567 จากนั้นจะมีการนับคะแนนในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 โดยอนุกรรมการทำงานในปีนี้ และจะมีการประกาศรายชื่อรถยนต์และรถยนต์จักรยานยนต์ที่เข้ารอบสุดท้ายในวันที่ 28 ตุลาคม 2567 นี้ ก่อนที่จะมีการจัดทดสอบเพื่อให้คณะกรรมการที่ได้รับการคัดเลือกได้ลงคะแนนอีกครั้งในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ที่สนามทดสอบของศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะมีการจัดงานมอบรางวัลในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ที่ The HALLS Bangkok ถนนวิภาวดีรังสิต

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save