- Advertisement -
27.5 C
Bangkok
Home Blog Page 25

GWM เปิดราคา TANK 300 DIESEL เริ่มต้น 999,000 บาท

GWM เปิดราคา NEW GWM TANK 300 DIESEL ที่ 0.999-1.249 ล้านบาท ในงาน Motor Show 2025 ฉีกทุกกฎกับขุมพลังดีเซล 2.4T เจนฯ ใหม่ล่าสุด ทนทาน รับประกันคุณภาพนาน 1 ล้านกิโลเมตร

กรุงเทพฯ 25 มีนาคม 2568 – GWM (Thailand) ปลุกจิตวิญญาณสายลุยทั้งผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ในเมืองและนอกเมืองด้วย การเปิดตัวและการประกาศราคาอย่างเป็นทางการของ NEW GWM TANK 300 DIESEL รถยนต์เอสยูวีสไตล์ Premium Boxy อันเป็นเอกลักษณ์ ในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ที่จะปฏิวัติวงการยานยนต์ด้วยขุมพลังใหม่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ที่พร้อมฉีกทุกกฎเกณฑ์เครื่องยนต์ดีเซลในรูปแบบเดิม สู่การมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นิ่ง เงียบ และนุ่มนวลกว่าเคย แต่ยังคงพละกำลังและสมรรถนะสูงในทุกการขับขี่ พร้อมประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีมากขึ้น และการรับประกันคุณภาพเครื่องยนต์ที่ยาวนานถึง 1,000,000 กิโลเมตร (หรือ 8 ปี)

NEW GWM TANK 300 DIESEL พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการใน 3 รุ่นย่อย ทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมสีภายนอกให้เลือกถึง 4 สี ได้แก่ สีเทา สีดำ สีขาว และสีส้ม ในราคาแนะนำในช่วงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ดังนี้

•NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T รุ่น PRO ราคา 999,000 บาท

•NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T รุ่น ULTRA ราคา 1,149,000 บาท

•NEW GWM TANK 300 DIESEL 2.4T ULTRA 4WD ราคา 1,249,000 บาท

โดยราคาแนะนำในช่วงเปิดตัวสุดพิเศษนี้ สำหรับลูกค้าที่จองและออกรถ 800 คันแรกเท่านั้น พิเศษยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่จอง NEW GWM TANK 300 DIESEL รับฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีเต็ม ฟรี บริการระบบตรวจสอบและสั่งการรถผ่านอินเทอร์เน็ต* (Telematic Service) พร้อมแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตภายในรถ (Internet in Vehicle) ระยะเวลา 3 ปี ฟรี ค่าแรงบำรุงรักษาตามระยะทางภายในระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน และไม่รวมอะไหล่สิ้นเปลือง) ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี พร้อมการรับประกันคุณภาพรถใหม่ ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร** (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และการรับประกันเครื่องยนต์ดีเซล 1,000,000 กิโลเมตร หรือ 8 ปี (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

** เงื่อนไขการให้บริการเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ดูรายละเอียดได้ที่ GWM Thailand – Service   

มร.เวย์น โจว กรรมการผู้จัดการ GWM (Thailand) กล่าว “การเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการของ NEW GWM TANK 300 DIESEL ในประเทศไทย เป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของ GWM ที่มุ่งมั่นส่งมอบนวัตกรรมคุณภาพและเทคโนโลยีอันล้ำหน้าที่ครอบคลุมทุกพลังงาน และทุกเซกเมนต์ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเครื่องยนต์ดีเซลที่เราได้ลงทุนพัฒนาอย่างต่อเนื่องกว่า 3 ทศวรรษ และเป็นความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งของเรา ทั้งนี้ การมาถึงของ NEW GWM TANK 300 DIESEL ในครั้งนี้ ยังถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจของเราภายใต้แนวคิด GWM Go With More เพื่อให้ชาวไทยได้รับประสบการณ์การขับขี่ดียิ่งกว่า เหนือกว่า และคุ้มค่ากว่าในทุกมิติ สอดคล้องกับกลยุทธ์ User-Centric ที่รับฟังเสียงของผู้บริโภคชาวไทย เพื่อปรับปรุงและพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการของ GWM ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า NEW GWM TANK 300 DIESEL จะสร้างนิยามใหม่ของรถเอสยูวีเครื่องยนต์ดีเซล และจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ชาวไทย”

NEW GWM TANK 300 DIESEL มอบจุดเด่น 3 ประการ ทั้งด้านเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลที่ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า ด้านดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นสะดุดตาเกินใคร และด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะที่มอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม มั่นใจมากกว่า

จุดเด่นแรกใน NEW GWM TANK 300 DIESEL ทั้ง 3 รุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.4T เจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด ที่ GWM ได้ลงทุนพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นนี้กว่า 200 ล้านหยวน (ประมาณ 1 พันล้านบาท)  จึงมั่นใจได้ว่าเครื่องยนต์นี้จะสร้างพละกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ยิ่งขี้น โดยอัตราการบริโภคน้ำมันของ NEW GWM TANK 300 DIESEL อยู่ที่ 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ Eco sticker ในประเทศไทย สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ) ซึ่งน้ำมันหนึ่งถัง (ดีเซล B7) สามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลมากกว่า 1,000 กิโลเมตร อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์และการพัฒนาเทคโนโลยีในการลดเสียงรบกวน ระดับเสียงภายในห้องโดยสารเพียง 40 เดซิเบลในช่วง idle speed ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เงียบสงบ นิ่ง ไม่สั่น เทียบเคียงได้กับเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป นอกจากนี้ GWM ได้ทำการทดสอบเครื่องยนต์นี้ในสภาพอากาศหนาวและร้อนสุดขั้ว ความเร็วรอบสูงสุด และในสภาพถนนและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึง 76 รูปแบบทั่วโลก โดยมีระยะทางรวม 6 ล้านกิโลเมตร ทำให้เครื่องยนต์ดีเซล 2.4T รุ่นนี้มีความทนทานสูง จึงกล้ามอบการรับประกันคุณภาพที่ยาวนานและครอบคลุมมากขึ้นถึง 1 ล้านกิโลเมตร (หรือ 8 ปี) สำหรับ ด้าน สมรรถนะของ NEW GWM TANK 300 DIESEL มอบพละกำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 184 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดถึง 480 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่อง 1,500 – 2,500 รอบต่อนาที พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ให้การตอบสนองที่รวดเร็วทันใจ นอกจากนี้ กระบอกสูบที่ให้ความจุมาถึง 2,370 ซีซี และถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ถึง 78 ลิตร มอบประสบการณ์ที่เหนือกว่า ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่มองหารถเอสยูวีที่มีประสิทธิภาพการขับขี่และความคุ้มค่าที่มากขึ้น

จุดเด่นที่ 2 ของ NEW GWM TANK 300 DIESEL กับดีไซน์โดดเด่น ไม่ซ้ำใคร และเท่ทุกมุมมอง สไตล์ Premium Boxy ด้วยมิติตัวรถ 1,930 x 4,760 x 1,903 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ที่มาพร้อมระยะฐานล้อ 2,750 มม. เพิ่มความแตกต่างด้วยกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเปียโนแบล็ก ผสมผสานกับไฟหน้า LED ทรงกลมสุดอัจฉริยะ กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้าทรงเหลี่ยม อีกทั้งเสริมลุคแกร่งด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วสีดำเปียโนแบล็ค พร้อมยาง H/T ขนาด 265/65 R17 พร้อมกับล้ออะไหล่ติดตั้งที่ประตูท้ายแบบแนวนอนพร้อมสปอยเลอร์ในตัว และไฟท้าย LED แนวตั้งคู่ ช่วยเสริมดีไซน์ด้านท้ายให้ดูโดดเด่นสะดุดตา ภายในตัวรถออกแบบมาในโทนสีดำสุดหรู ผสมผสานระหว่างหนังแท้ สีดำ สีเงิน และวัสดุสัมผัสอ่อนนุ่ม ให้ความรู้สึกพรีเมียมตั้งแต่แรกสัมผัส เพิ่มความคลาสสิกมากยิ่งขึ้นด้วยช่องแอร์ทรงกระบอกดีไซน์วินเทจ มาพร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว ร่วมกับหน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว แผงควบคุมและพวงมาลัยทรงกลม พร้อม Paddle Shift มอบการตอบสนองที่ฉับไว คันเกียร์อิเล็กทรอนิกส์กระชับมือ พร้อมปุ่มควบคุมการขับขี่จากคอนโซลกลาง ทำให้เปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย  NEW GWM TANK 300 DIESEL มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาว ดำ เทา และสีส้ม อีกทั้งยังเหมาะอย่างยิ่งกับการนำมาตกแต่งเพิ่มเติมตามสไตล์ที่ต้องการ ทั้งรูปแบบการแต่งหล่อเพื่อขับในเมือง หรือแต่งสไตล์ดุดันเพื่อขับออฟโรด ในอนาคต GWM จะมีแพกเกจการตกแต่งให้ลูกค้าได้เลือกสรรตามความชื่นชอบ ณ GWM Partner Store หรือตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ

จุดเด่นที่ 3 กับเทคโนโลยีอัจฉริยะด้านความปลอดภัย สู่ความมั่นใจยิ่งกว่า ปลอดภัยยิ่งขึ้น NEW GWM TANK 300 DIESEL เป็นรถเอสยูวีที่ยกระดับมาตรฐานรถยนต์ในเซกเมนต์ SUV-D หรือ PPV ในด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัย ทั้งจาก Active Safety และ Passive Safety ที่มีระบบช่วยเหลือการขับขี่ Autonomous Level 2 มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะจำนวน 25 รายการ เพื่อให้ทุกการเดินทางของผู้ขับขี่และผู้โดยสารเต็มไปด้วยความปลอดภัยและมั่นใจสูงสุด อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ ถุุงลมนิรภัยจำนวน 6 จุด ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลนหรือออกนอกเลน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน การแจ้งเตือนการขับรถเร็วเกินกำหนด ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2 และอื่นๆ อีกมากมาย (โปรดศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นเพิ่มเติม)

NEW GWM TANK 300 DIESEL ทั้ง 3 รุ่นย่อย พร้อมให้ทดลองขับ (ลงทะเบียนเพื่อทดลองขับ) และจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ (ลงทะเบียนเพื่อจอง) โดยพร้อมส่งมอบทั่วประเทศในเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป สัมผัสประสบการณ์อันล้ำสมัยไปกับเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะแห่งอนาคตมากมาย ได้ที่บูธ GWM A10 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 – 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2568 – 6 เมษายน 2568 เวลา 12.00 – 22.00 น. (วันธรรมดา) และ 11.00 – 22.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GWM application และ https://www.gwm.co.th/ หรือ GWM Contact Center 02-668-8888   

มาสด้า โชว์รถต้นแบบ Mazda Iconic SP และ Mazda6e ในงานมอเตอร์โชว์ 2025

มาสด้า เนรมิตบูธดีไซน์ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ JOY DRIVES LIVES พร้อมโชว์รถต้นแบบ Mazda Iconic SP และรถไฟฟ้า Mazda6e ในงานมอเตอร์โชว์ 2025

มาสด้าบุกงานมอเตอร์ โชว์ 2025 จัดแสดง 2 เทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต ตามแนวทาง Multi-solution เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน นำโดย Mazda Iconic SP คอนเซ็ปต์คาร์ของรถสปอร์ตคอมแพ็ค ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า รองรับการใช้พลังงานสะอาดหลากหลายรูปแบบ และ Mazda6e รถยนต์ไฟฟ้า 100% BEV รุ่นแรกจากมาสด้า พร้อมเปิดตัวรถยนต์นั่งรุ่นยอดนิยม New Mazda2 Essential โดดเด่นเรื่องความคุ้มค่าและดีไซน์ที่ตอบโจทย์ มาพร้อมราคาเริ่มต้นเพียง 529,000 บาท ทั้งยังแนะนำ New Mazda MX-5 35th Anniversary Edition รถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นพิเศษที่เฉลิมฉลองการครบรอบ 35 ปี แบรนด์ไอคอนเจ้าตำนานความสนุกสนานในการขับขี่มาอวดโฉมพร้อมเปิดให้จองเป็นเจ้าของ พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษให้เป็นเจ้าของได้ง่าย ณ บูธมาสด้า ในงาน มอเตอร์ โชว์ 2025 ระหว่างวันที่ 26 มี.ค. 68 – 6 เม.ย. 68 อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บูธมาสด้าครั้งนี้มีความพิเศษยิ่งกว่าทุกปี ไม่เพียงเฉพาะแค่การออกแบบใหม่เท่านั้น เนื่องจากมาสด้าได้นำยนตรกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคตถึงสองรุ่น ที่ได้รับการพัฒนาตามแนวทาง Multi-solution มาจัดแสดงในประเทศไทย เริ่มจาก ยานยนต์ต้นแบบสปอร์ตคอมแพ็คคาร์ Mazda Iconic SP ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยใช้เครื่องยนต์โรตารี่แบบ 2 โรเตอร์ ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ รองรับการใช้พลังงานหลากหลายรูปแบบ มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ น้ำหนักเบา กระจายน้ำหนัก 50:50 ได้รับการออกแบบตามแนวทาง Kodo Design รวมถึงการขับขี่ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับรถ เพื่อมอบประสบการณ์ความสนุกสนานในการขับขี่ โดยรถต้นแบบคันนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา เพื่อฟื้นตำนานรถสปอร์ตเครื่องยนต์โรตารี่ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

สำหรับรถยนต์รุ่นที่สองได้แก่ Mazda6e รถยนต์ไฟฟ้า 100% BEV รุ่นแรกที่มาสด้าพัฒนาขึ้นตามแนวทาง Multi-solution Technology สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะมาสด้าไว้อย่างชัดเจนในทุกองค์ประกอบ ทั้งดีไซน์ภายนอกที่สง่างามตามแนวคิด Kodo Design – Soul of Motion และเอกลักษณ์ของสมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง กระจายน้ำหนัก 50:50 มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขนาด 80 กิโลวัตต์ ให้ระยะการขับขี่ได้ไกลสุดถึง 552 กม. มาพร้อมเทคโนโลยี FAST CHARGE สามารถชาร์จไฟจาก 30%-80% ได้เร็วสูงสุดภายใน 15 นาที มอบความสนุกสนานในการขับขี่ตามปรัชญา จินบะ-อิไต และเน้นหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้าเฉกเช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั่วโลก

นอกจากรถยนต์ไฮไลท์สองรุ่นที่นำมาจัดแสดงแล้ว มาสด้ายังเปิดตัว New Mazda2 Essential มาเปิดตัวภายในงานฯ มาพร้อมดีไซน์ที่บ่งความเป็นตัวตนที่ชัดเจน และฟังก์ชั่นที่เติมเต็มกับทุกไลฟ์สไตล์ในการขับขี่ มาพร้อมทางเลือก 4 รุ่นใหม่ ได้แก่ รุ่น PRIME มอบความ ”คุ้มสุด” ของรุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1.3 ลิตร และมอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน รุ่น ULTRA มอบความ “สบายสุด” ครบครันด้วยเทคโนโลยีความสะดวกสบาย พร้อมกับฟังก์ชั่นที่รู้ใจและตอบโจทย์กับทุกมิติของการใช้ชีวิต และ รุ่น SIGNATURE มอบความ “พร้อมสุด” กับสองทางเลือก กับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร ในรุ่น 1.3 Signature และ รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร ในรุ่น XDL Signature โดย Mazda2 Essential มีราคาจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นโดยเริ่มต้นเพียง 529,000 บาท

ไม่เพียงเท่านี้ มาสด้ายังได้นำยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด แบรนด์ไอคอนยอดนิยม New Mazda MX-5 35th Anniversary Edition มาจัดแสดงให้แฟนๆ ในประเทศไทยได้ชมและครอบครองเป็นเจ้าของ มาพร้อมการตกแต่งพิเศษเพื่อถ่ายทอดความพิเศษในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น สีภายนอกพิเศษ Artisan Red Premium สัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พนักพิงศีรษะ และพรม พร้อม Serial Number ที่บริเวณด้านข้างตัวถัง เพื่อบ่งบอกถึงบอกถึงความพิเศษในฐานะรุ่นลิมิเต็ด รวมถึงเบาะหนังสีพิเศษ Sports Tan หลังคาแข็งเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สี Bright วางจำหน่ายในจำนวนจำกัด ในราคา 3,069,000 บาท

นอกจากนี้ มาสด้ายังได้นำรถยนต์ครบทุกรุ่นมาจัดแสดงพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษภายในงาน อาทิ ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* นานสูงสุด 72 เดือน* ฟรีประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance* ฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ MUS นานสูงสุด 7 ปี* ฟรีเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ SHARP รุ่น IG-NX2B มูลค่า 3,990 บาท* และสำหรับเจ้าของรถยนต์มาสด้าและครอบครัว รับฟรี บัตรน้ำมันมูลค่าสูงสุด 30,000 บาท* ภายในงานฯ และที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ

หมายเหตุ :

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.mazda.co.th หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ที่ปรึกษาการขายมาสด้าในงานมอเตอร์โชว์ หรือที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ

แจ้งขยายระยะเวลาการเข้ารับบริการตรวจสุขภาพ ประจำปี 2568

ตามที่ สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ได้กำหนดจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพ เพื่อเป็นสวัสดิการสำหรับสมาชิกเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 สมาชิกสมาคมฯ สามารถเข้ารับบริการตรวจสุขภาพประจำปี พร้อมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้ตั้งแต่วันที่ 1-31 มีนาคม 2568 ณ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น

ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา มีกิจกรรมจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้สมาชิกไม่สามารถเข้ารับบริการตรวจสุขภาพได้ภายในเวลาที่กำหนด คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ เห็นควรให้ขยายระยะเวลาเข้ารับบริการตรวจสุขภาพจากเดิมเป็น ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึงวันที่ 11 เมษายน 2567

สมาชิกที่ประสงค์เข้ารับบริการสามารถตรวจสอบสถานภาพสมาชิกได้ที่ https://taja.or.th/taja-member/  และนัดหมายการตรวจล่วงหน้าที่แผนกศูนย์ตรวจสุขภาพ ชั้น 9 ทุกวัน เวลา 07.00 – 17.00 น. โทร 02-910-1600 ต่อ 1440 – 1441 หรือ Line ID: @KWC_9

 หมายเหตุ:
– สมาชิกที่ไม่มีรายชื่อบนหน้าเว็บไซต์ กรุณาติดต่อสมาคมฯ เพื่อตรวจสอบสมาชิกภาพ
– สมาชิกที่ต้องการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถแจ้งความประสงค์และปรึกษาแพทย์ขณะเข้ารับบริการ
– การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้อยู่ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์ที่ทำการตรวจสุขภาพ

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: หทัยชนก  ทองมณี ผู้จัดการสมาคมฯ
โทร. 06 1223 7516, 08 9996 4666  LINE OFFICIAL: @tajathailand

การมอบทุนการศึกษาสำหรับบุตร – ธิดาสมาชิกสมาคมฯ ประจำปี 2568

ด้วยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542) มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นสื่อกลางในการ ติดต่อระหว่างสมาชิกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการให้การสนับสนุนสมาชิกสมาคมในด้านต่าง ๆ โดยมีผลงานที่เกี่ยวข้องอันเป็นที่ ประจักษ์แก่สังคมมาโดยตลอด

โดยในปี 2568 นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคม และคณะกรรมการบริหาร ยังคงนโยบาย
ให้ความสำคัญด้านการศึกษาของเยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง
จึงพิจารณามอบทุนการศึกษาให้กับบุตร-ธิดาสมาชิกสมาคมฯ เพื่อสนับสนุนการศึกษาทุนการศึกษาละ 6,000 บาท โดยมีเงื่อนไข ดังนี้  

1. ผู้ที่ขอรับทุนการศึกษาต้องเป็นสมาชิกสามัญฯ ของสมาคม และปฏิบัติตามเงื่อนไขการเข้าร่วมกิจกรรมของทางสมาคมฯ เท่านั้น (https://taja.or.th/การรกษาสทธประโยชน/#) โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่ทำเนียบสมาชิก https://taja.or.th/taja-member/

2. บุตร-ธิดา ต้องกำลังศึกษาอยู่ระดับเตรียมอนุบาล-ปริญญาตรี มีความประพฤติดี

3. สมาชิก 1 ท่านสามารถขอรับทุนการศึกษาได้ 1 ทุน

4. พิธีมอบทุนการศึกษาสำหรับบุตร-ธิดาสมาชิกสมาคมฯ ประจำปี 2568 จะจัดขึ้นในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 (วันที่ 7 พฤษภาคม 2568) โดยสมาชิกต้องมารับทุนด้วยตนเอง และเข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 เท่านั้น หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขถือว่าสละสิทธิ์

หลักฐานที่ใช้ในการรับทุนการศึกษามีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. แบบฟอร์มขอรับทุนการศึกษาบุตร-ธิดา ประจำปี 2568

2. สำเนาบัตรประชาชนของสมาชิก

3. สำเนาทะเบียนบ้านของบุตร-ธิดาที่ยื่นขอรับทุน

4. สำเนาเอกสารการศึกษา อาทิ ใบเสร็จค่าเทอม-เนิร์สเซอรี่ ประจำปีการศึกษา 2567

สมาชิกท่านใดมีความประสงค์ที่จะขอรับทุนการศึกษา โปรดแจ้งความจำนง กรอกแบบฟอร์มขอรับทุน พร้อมรวบรวมเอกสารหลักฐานในการยื่นขอรับทุนทั้งหมดให้ครบถ้วนและส่งมาที่ ที่ LINE OA : @tajathailand หรือ อีเมล์ [email protected] ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 11 เมษายน 2568

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: หทัยชนก  ทองมณี ผู้จัดการสมาคมฯ
โทร. 06 1223 7516, 08 9996 4666  LINE OA : @tajathailand

ขอเชิญสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรม “TAIA Meets the Press” ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2568”

ด้วยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) และสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม TAIA Meets the Press” ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ปี 2568” เพื่อนำเสนอข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับผู้แทนสื่อมวลชนเกี่ยวกับเรื่องทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต

สมาคมฯ จึงใคร่ขอเรียนเชิญสมาชิกทุกท่านให้เกียรติเข้าร่วมกิจกรรม “TAIA Meets the Press” ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2568” ในวันพุธที่ 2 เมษายน 2568 เวลา 13.00-15.10 น. ณ ห้องจูปิเตอร์ 8-9 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี

และขอความร่วมมือสมาชิกแจ้งข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรม“TAIA Meets the Press” มาที่ https://forms.gle/5n1jUjLFkND6vDzR7         

หมายเหตุ:   สมาชิกที่ประสงค์ยื่นขอรับทุนการศึกษาปี 2568 สามารถเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาเพื่อรักษาสิทธิการเข้ารับสวัสดิการ

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: หทัยชนก  ทองมณี ผู้จัดการสมาคมฯ
โทร. 06 1223 7516, 08 9996 4666  line ID: taja-official

มาสด้า สร้างแบรนด์ ผ่านใต้ปรัชญา “JOY DRIVES LIVES

มาสด้า สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ ภายใต้ปรัชญา “JOY DRIVES LIVES” ความสุขขับเคลื่อนชีวิต

กรุงเทพฯ– ประเทศไทย, วันที่ 21 มีนาคม 2568 – มาสด้า มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทุกคน เพราะมาสด้าเชื่อว่าความสุขในการขับขี่จะสามารถเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต แรงบันดาลใจ และสร้างความสุขให้ผู้ขับขี่และเจ้าของได้ ดังนั้น มาสด้าจึงยกระดับการสื่อสารภาพลักษณ์และสร้างคุณค่าแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอปรัชญาใหม่ “JOY DRIVES LIVES” หรือ ความสุขขับเคลื่อนชีวิต โดยสื่อสารถึงรายละเอียดความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางและมีส่วนสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับแบรนด์ และมีรถยนต์มาสด้าเป็นส่วนหนึ่งของทุกประสบการณ์การใช้ชีวิต มาสด้าเชื่อว่าในทุกรายละเอียดของชีวิต มีความสุขขับเคลื่อนเราเสมอ พร้อมออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ เคียงข้างกัน เติมเต็มชีวิตทุกเส้นทางเพื่อให้ผู้คนได้ค้นพบความสุขในแบบของตัวเอง นำมาซึ่งการสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ เพื่อสานต่อพันธกิจสำคัญ คือการส่งมอบประสบการณ์ความสุขและการใช้ชีวิตในทุกด้านของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางในทุกบริบท ตามพันธกิจที่มุ่งมั่นผลักดันองค์กรก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืนตลอดไป

นายภพนิพิฐ จิรวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกเหนือจากการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์และยกระดับการบริการหลังการขาย เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุดแล้ว มาสด้ายังให้ความสำคัญและมุ่งมั่นพัฒนาการสื่อสารภาพลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2543 มาสด้าเริ่มสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยสโลแกน ZOOM-ZOOM ซึ่งเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกและความทรงจำในวัยเด็กออกมาเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ ต่อมาในปี 2558 มาสด้าได้สื่อสารภาพลักษณ์ใหม่อีกครั้ง ภายใต้สโลแกน “FELL THE DRIVE” โดยเริ่มจากการสื่อสารปรัชญาและแนวคิดหลักของแบรนด์ การให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า ผ่านความสนุกในการขับขี่ไปจนถึงคุณค่าทางด้านอารมณ์ความรู้สึกโดยมีมาสด้าเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพราะมาสด้าเชื่อว่าความสุขไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การมีรอยยิ้มเท่านั้น แต่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากภายใน เป็นความรู้สึกที่เติมเต็มและมีความหมาย สะท้อนคุณค่าทางอารมณ์ที่เกิดจากความเข้าใจพื้นฐานของมนุษย์

ในปี 2568 เป็นต้นไป มาสด้าพร้อมเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ และต่อยอดพันธกิจในการส่งมอบประสบการณ์ความสุขและการใช้ชีวิตในทุกด้านให้กับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เพราะมาสด้าเชื่อว่า “ความสุขในการขับขี่รถยนต์” (Joy of Driving) จะนำไปสู่ “ความสุขในการใช้ชีวิต” (Joy of Living) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า มาสด้าจึงนำเสนอปรัชญาใหม่ของแบรนด์ “JOY DRIVES LIVES” หรือ ความสุขขับเคลื่อนชีวิต เพื่อนำมาใช้ในการสร้างและพัฒนา ประสบการณ์ลูกค้าในรูปแบบใหม่ให้ดียิ่งขึ้น โดยมีลูกค้าลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา เพื่อให้มั่นใจว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์จะนำมาซึ่งคุณค่าและความสุขที่แท้จริง

ด้วยเหตุนี้ มาสด้าจึงเดินหน้าสื่อสารปรัชญาใหม่โดยถ่ายทอดภาพยนต์โฆษณาทางสื่อออนไลน์ ภายใต้สโลแกนใหม่ “JOY DRIVES LIVES” เพื่อให้ลูกค้ามาสด้า และบุคคลทั่วไป ตระหนักถึงรายละเอียดของความสุขเล็กๆ รอบตัว ตลอดจนมีส่วนร่วมและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ โดยมีรถยนต์มาสด้าเป็นส่วนหนึ่งของทุกประสบการณ์ในการใช้ชีวิต โดยสื่อสารผ่านแคมเปญ 2 ช่วง เริ่มจากการสร้างความตระหนักถึงการค้นหาความสุขที่แท้จริงในชีวิต พร้อมสร้างความเชื่อมโยงการสื่อสารคุณค่าและภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ผ่าน Joy หรือ รายละเอียดของความสุขที่ขับเคลื่อนชีวิต โดยเชิญชวนลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายร่วมค้นหารายละเอียดของชีวิตผ่านแบบทดสอบ Mazda Joy Quiz เพื่อรับรู้ถึงความสุขของตัวเองในรูปแบบต่างๆ ตามด้วยการสร้างการรับรู้ในความหมายใหม่ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผ่านการสื่อสาร “JOY DRIVES LIVES” อย่างเต็มรูปแบบในทุกช่องทาง สิ่งเหล่านี้จะเป็นนิยามใหม่ของภาพลักษณ์แบรนด์มาสด้า เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ความสุขให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยมีมาสด้าเป็นหัวใจหลักในการสร้างความเชื่อมโยง

การสื่อสารภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ภายใต้สโลแกน “JOY DRIVES LIVES” ตอกย้ำถึงการเดินหน้าสู่มิติใหม่ของการส่งมอบประสบการณ์ลูกค้า ที่มาสด้าตั้งใจยกระดับให้ดียิ่งขึ้นในทุกบริบท เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าในรูปแบบใหม่ และนำมาพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าในทุกๆ ขั้นตอน รวมถึงการเริ่มต้นปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย (Business Transformation) โดยมุ่งเน้นและให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ จะนำมาซึ่งคุณค่าและความสุขในการเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้า

สำหรับลูกค้ามาสด้า หรือผู้ที่สนใจ หากต้องการค้นหาความสุขในชีวิต เชิญรับชมภาพภาพยนต์โฆษณาภายใต้สโลแกน “JOY DRIVES LIVES” ผ่านช่องทาง Mazda official Website

โตโยต้าและเลกซัส กวาดมากที่สุด 11 รางวัล THAILAND CAR OF THE YEAR 2025

โตโยต้า และเลกซัส ตอกย้ำความเป็นแบรนด์รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี กวาดมากที่สุด 11 รางวัล “THAILAND CAR OF THE YEAR 2025”

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นำทีมผู้บริหารขึ้นรับ 11 รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR OF THE YEAR 2025” จากนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยรางวัลที่ได้รับมีดังต่อไปนี้

1.BEST SELLING BRAND – TOYOTA

2.BEST EXPORT BRAND – TOYOTA

3.BEST SEDAN (UNDER 1,300 CC)

 -TOYOTA YARIS ATIV NIGHTSHADE

4.BEST HYBRID SEDAN (UNDER 1,800 CC)

-TOYOTA COROLLA ALTIS HEV GR SPORT

5.BEST MID-SIZE HYBRID SEDAN (UNDER 2,500 CC)

-TOYOTA CAMRY PREMIUM LUXURY

6.BEST HYBRID SUV (UNDER 1,500 CC)

-TOYOTA YARIS CROSS

7.BEST 2WD PICKUP (UNDER 2,800 CC)

-TOYOTA HILUX REVO B-CAB 4X2 2.8 ENTRY MT

8.BEST 4WD PICKUP (UNDER 2,800 CC)

-TOYOTA HILUX REVO D-CAB 4X4 2.8 GR-S AT WT

9.BEST PPV DIESEL 4WD (UNDER 2,800 CC)

-TOYOTA FORTUNER 2.8 GR-S AT

10.BEST FUEL ECONOMY PICKUP (UNDER 3,500 CC)

-TOYOTA HILUX REVO

11.BEST HYBRID LUXURY MPV

-LEXUS LM 500H 4 SEATER

รางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี “CAR OF THE YEAR 2025” จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ดีด้านธุรกิจยานยนต์ และส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย โดยจะทำการคัดเลือกรถยนต์ที่มีความโดดเด่นในแต่ละด้าน ทั้งประเภทที่ผลิตในประเทศ และนำเข้า พร้อมทั้งให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริง เพื่อศึกษาเป็นแนวทางในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ให้เหมาะสมตามเป้าหมายของการใช้งาน

โตโยต้ารู้สึกภาคภูมิใจ และขอขอบคุณคณะผู้จัดงาน การได้รับรางวัลครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาและผลิตยนตรกรรมที่ดียิ่งกว่าหรือ “Ever-Better Cars” ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานของลูกค้า ภายใต้หลักการ QDR ซึ่งหมายถึง “Quality : คุณภาพ” / “Durability : ความทนทาน” และ “Reliability : ความไว้ใจได้ในการใช้งาน” ที่เรายึดถือมาโดยตลอด เพื่อรักษาความเป็นรถยนต์ยอดนิยมอันดับ 1 ของคนไทยตลอดไป

เรามั่นใจว่าลูกค้ารถยนต์โตโยต้าจะมีความมั่นใจ และอุ่นใจได้ตลอดการใช้รถ ไม่ว่าด้านชิ้นส่วนอะไหล่ในการบำรุงรักษา ศูนย์บริการที่ครอบคลุมทุกจังหวัด และความเป็น “Trusted Services” ด้วยการบริการที่ครบวงจร เช่น Toyota Sure บริการแบบ One Stop Service ในด้านการซื้อ-ขาย Trade-in รถมือสอง / Auction Express แพลตฟอร์มประมูลรถยนต์ออนไลน์ / FixFit ศูนย์บริการทางเลือกที่ได้มาตรฐาน ให้บริการรถทุกยี่ห้อ / T-OPT อะไหล่ทางเลือก คุณภาพระดับ OEM ที่ได้มาตรฐาน / ทางเลือกชุดแต่งดีไซน์เฉียบ คุณภาพดี AAP (Associated Accessories Product) / KINTO อีกหนึ่งทางเลือกของการใช้รถยนต์ ให้ลูกค้ามีรถใช้ ไม่ต้องซื้อ / T-connect แอปพลิเคชันที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ปลอดภัย คุ้มค่า สะดวกสบาย และมีสิทธิประโยชน์มากมาย

โตโยต้าขอขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในโตโยต้า เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อลูกค้าคนสำคัญของเราตลอดไป

วิริยะประกันภัย เผยกลยุทธ์ปี 68 เสริมแกร่งทุกมิติงาน “บริการ-พันธมิตรธุรกิจ-บุคลากร”

วิริยะประกันภัย ปลื้มผลงานปี 67 เบี้ยรวมกว่า 4 หมื่นล้าน เผยทิศทางขับเคลื่อนกลยุทธ์ปี 68 เสริมแกร่งทุกมิติงาน “บริการ-พันธมิตรธุรกิจ-บุคลากร”

วิริยะประกันภัย ปลื้มผลประกอบการในปี 2567 ชูจุดแข็งรับมือความท้าทาย ทั้งทางด้านเศรฐกิจและภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา ด้วยเบี้ยรับตรง 40,879 ล้านบาท เติบโต 2% เผยตั้งเป้าปี 68 อัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 3.7% มุ่งเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์ความคุ้มค่าอย่างต่อเนื่องให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “ใช้ทุกวิให้คุ้มค่า : ด้วยบริการที่เป็นเลิศครอบคลุมครบวงจร” พร้อมขับเคลื่อนกลยุทธ์การดำเนินงาน 3 เป้าหมาย คือ ยกระดับคุณภาพบริการ Touchpoint ครอบคลุมทุกพื้นที่และครบวงจร เสริมความแกร่ง Ecosystem ด้วยการขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ และยกระดับศักยภาพบุคลากรให้รองรับทุกมิติของงานบริการประกันภัย

นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2567 ภาคอุตสาหกรรมประกันภัยต้องเผชิญสถานการณ์ความเสี่ยงและความท้าทายจากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อที่สวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ความเสี่ยงด้านภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค แต่กระนั้น บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำตลาดประกันวินาศภัยได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการครองส่วนแบ่งตลาดประกันวินาศภัย อันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 33 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 14.3% ในขณะที่ประกันภัยรถยนต์ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของบริษัทฯ ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 เช่นกัน โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 22.6%

ทั้งนี้ การดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกด้านของประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ อุบัติเหตุ สุขภาพ ที่อยู่อาศัย ฯลฯ มีการพัฒนากระบวนการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การรับประกันภัย บริการหลังการขาย ตลอดไปถึงการบริการสินไหมทดแทนที่รวดเร็วและเป็นธรรม ด้วยสาขาและศูนย์บริการสินไหมทดแทน รวมถึงจุดบริการในห้างสรรพสินค้า (V-Station) ที่ครอบคลุมกว่า 160 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนานวัตกรรมบริการอย่างต่อเนื่อง อาทิ VClaim on VCall บริการเคลมออนไลน์, V-Inspection บริการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนทำประกันภัย, V-Roadside Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ที่พร้อมให้บริการแก่ผู้เอาประกันภัย สะดวก ทุกที่ ทุกเวลา

“สำหรับผลประกอบการในปี 2567 บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท เติบโต 2% แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ (Motor) 36,380 ล้านบาท เติบโต 2.1% และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor) 4,499 ล้านบาท เติบโต 1.2%  อีกทั้งยังคงมั่นคงแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์ที่มีอยู่ถึง 70,904 ล้านบาท และอัตราความพอเพียงของเงินกองทุน (CAR) 220% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานของเงินกองทุนฯ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อันแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงมีต่อวิริยะประกันภัยอย่างเหนียวแน่น ทั้งนี้ ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับตรงอยู่ที่ 42,569 ล้านบาท หรือต้องเติบโตไม่น้อยกว่า 3.7% แบ่งเป็น ประกันภัยรถยนต์ 37,591 ล้านบาท เติบโต 3.3% และประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ 4,978 ล้านบาท เติบโต 11% ซึ่งจะเห็นว่าในปีนี้ บริษัทฯ จะเน้นการเติบโตของนอนมอเตอร์ให้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น”

นายอมร เปิดเผยต่อไปอีกว่า แผนการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า พร้อมส่งมอบประสบการณ์ “มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” ให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัทฯ จะดำเนินกลยุทธ์ภายใต้แนวคิด “ใช้ทุกวิให้คุ้มค่า : ด้วยบริการที่เป็นเลิศครอบคลุมครบวงจร” สะท้อนภาพความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนางานบริการให้เป็นเลิศในทุกมิติ ทั้งในด้านการยกระดับคุณภาพ Touchpoint การขยาย Ecosystem คู่ค้า และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อให้การเติบโตของงานมอเตอร์และนอนมอเตอร์เป็นไปตามเป้าหมาย

เป้าหมายแรก ยกระดับคุณภาพและความพร้อมในการให้บริการ ทุกจุดที่ลูกค้าได้สัมผัสแบรนด์ (Touchpoint) สอดประสานเป็น Omnichannel สะดวกทุกที่ทุกเวลา ผ่านช่องทางบริการที่หลากหลายและครบวงจร ได้แก่

1. ขยายงานตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัย ซึ่งถือเป็นช่องทางงานขายสำคัญของบริษัทฯ ให้ได้กว่า 200 ราย เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในเมืองรอง เช่น อุทัยธานี, บึงกาฬ, นครพนม, กาฬสินธุ์, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, ปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส รวมถึงยกระดับความรู้และศักยภาพของตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัย ผ่านการอบรมออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อสามารถให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์ได้อย่างครอบคลุม ทั้งประกันภัยมอเตอร์และนอนมอเตอร์

2. พัฒนาจุดบริการทั้งสาขา ศูนย์บริการสินไหมทดแทน และจุดบริการในห้างสรรพสินค้า (V-Station) ให้ครอบคลุมทุกบริการอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายปรับปรุงและขยายพื้นที่บริการเพิ่มเติมให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการบริการได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ

3. ยกระดับงานขายและการให้บริการผ่าน Line OA ทั้งในส่วนของวิริยะประกันภัย และวิริยะประกันสุขภาพ ให้กลายเป็น One Stop Service ที่สามารถให้บริการด้านงานขายและงานบริการได้อย่างครบวงจร โดยเฉพาะการแจ้งเคลมอุบัติเหตุ เคลมนัดหมาย (VClaim on VCall) และแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านมือถือ เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินการได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

4. ยกระดับประสิทธิภาพการออกตรวจสอบอุบัติเหตุ ด้วยการวาง “จุดรอตรวจสอบอุบัติเหตุ” หรือจุดพักคอยของเจ้าหน้าที่ในการรอเพื่อออกตรวจสอบอุบัติเหตุอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุบ่อยๆ หรือพื้นที่ที่มีอุปสรรค เช่น การจราจรหนาแน่น มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ใช้เวลานาน ฯลฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถไปถึงจุดเกิดเหตุภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งการยกระดับบริการ ณ จุดเกิดเหตุให้มีความครบถ้วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้อุ่นใจในทุกสถานการณ์ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ มีจุดรอตรวจสอบอุบัติเหตุกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 20 จุด และมีเป้าหมายจะขยายเป็น 30 จุด ภายในปีนี้

เป้าหมายที่สอง ขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของบริการ (Ecosystem) ได้แก่

1. เพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ครอบคลุมทุกแบรนด์ทั่วประเทศ พร้อมพัฒนาศักยภาพศูนย์ซ่อมมาตรฐานของวิริยะประกันภัย เพื่อรองรับการให้บริการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

2. การขยายเครือข่ายพันธมิตรศูนย์ซ่อมเฉพาะทาง เช่น ศูนย์ซ่อมรถหรู (Luxury Car) และศูนย์ซ่อมรถขนส่ง เพื่อตอบรับการเติบโตของตลาดประกันภัยรถยนต์เฉพาะทาง

3. ขยายเครือข่ายพันธมิตรด้านโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เอาประกันภัยสุขภาพ

4. เพิ่ม Exclusive Partner สำหรับ Privilege Program ซึ่งจะเน้นสิทธิพิเศษแบบ Exclusive Program ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบัน ครอบคลุมทั้งการชอปปิง การกิน-ดื่ม การดูแลสุขภาพ ความบันเทิง และการเดินทาง-ท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าขยาย Exclusive Partner จาก 65 แบรนด์ สู่ 80 แบรนด์ในปีนี้

ส่วนเป้าหมายที่สาม ยกระดับศักยภาพบุคลากรวิริยะประกันภัย ที่มีอยู่กว่า 6,900 คน ตั้งแต่ระดับบริหารไปจนถึงระดับปฏิบัติการ ได้แก่

1. พัฒนาศักยภาพตาม Road Map ของแต่ละตำแหน่งงานและช่วงอายุงาน พร้อมตั้งเป้าหมายในการพัฒนาผู้บริหารตามแผน Individual Development Plan (IDP) เพื่อสรรหาและพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพสูง มีความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญ สำหรับเตรียมความพร้อมให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่ในอนาคต

2. พัฒนาความรู้และเสริมทักษะใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยี AI เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ

3. พัฒนาระบบ Online Training ให้พนักงานสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ทุกที่ ทุกเวลา ภายใต้แนวคิด Long Live Learning

4. เสริมความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์มอเตอร์และนอนมอเตอร์ ความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้กับพนักงานในทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งงานสินไหมทดแทนส่วนหน้าและส่วนหลัง รวมถึงฝ่ายรับประกันภัย เพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทั้งในส่วนของประกันภัยมอเตอร์ ซึ่งในปีนี้จะมีการพัฒนาประกันภัยประเภท 5 (2+,3+) คุ้มครองภัยน้ำท่วมซ่อมอู่ทั่วไป และประเภท 5 (2+) รถไฟฟ้าซ่อมห้าง ส่วนประกันภัยนอนมอเตอร์ บริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุ โดยเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าทั้งแบบมีความรับผิดส่วนแรกและแบบร่วมจ่าย พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยการเดินทางหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกการเดินทางทั้งในและนอกประเทศ พร้อมสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับการซื้อประกันภัยออนไลน์ (E-Sale) และช่องทาง Affiliate Marketing และในปีนี้ บริษัทฯ ยังได้โฟกัสไปที่การมอบความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์แก่กลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ โดยจะออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยโจรกรรมรถจักรยานยนต์ คุ้มครองครอบคลุม สูญหาย เสียหายสิ้นเชิง ชดเชยรายได้เมื่อบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เพื่อช่วยบรรเทาภาระ เบี้ยประกันภัยสุดคุ้ม ไม่ถึงวันละบาท เพื่อให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์สามารถขับขี่ได้อย่างอุ่นใจยิ่งขึ้น

อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับพลังงานสีเขียว เพื่อส่งเสริมการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมทั้งโซล่า รูฟท็อป และอุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกรับความคุ้มครองได้ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโลจิสติกส์ไทยสู่ความยั่งยืน สนับสนุนผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับเครื่องหมาย Q Mark และผู้ประกอบการที่เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้า เดินหน้าส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดโลจิสติกส์สีเขียว (Go Green Logistics) โดยบริษัทฯ จะมอบสิทธิพิเศษส่วนลดเบี้ยประกันภัยเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของผู้ประกอบการขนส่ง ซึ่งเป็นการพัฒนาตามแนวนโยบายด้าน ESG ของบริษัทฯ ในปีนี้อีกด้วย

“บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบบริการที่เป็นเลิศ ทั้งความใส่ใจในบริการ สร้างความมั่นใจ วางใจ และทันใจให้ผู้ถือกรมธรรม์วิริยะประกันภัยกว่า 8 ล้านกรมธรรม์ ได้รับประสบการณ์ ‘ใช้ทุกวิให้คุ้มค่า’ โดยมีหัวใจสำคัญคือบุคลากรวิริยะประกันภัยทุกส่วนงานเป็นแรงขับเคลื่อนนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมาย” นานอมร กล่าว

นอกจากแผนการดำเนินงานที่กล่าวมา ในปีนี้บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ภายใต้แนวคิด “ใช้ทุกวิให้คุ้มค่า” เพื่อสะท้อนความตั้งใจของการทำหน้าที่บริหารความเสี่ยงและดูแลผู้เอาประกันภัยให้ได้รับความคุ้มค่ามากที่สุด ภายใต้ความคุ้มครองจากวิริยะประกันภัย เพราะบริษัทฯ คำนึงถึงความสำคัญในทุกช่วงเวลาอันมีค่าของลูกค้า ที่จะนำไปใช้ในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาของการอยู่กับครอบครัว คนรัก และคนรอบตัว รวมไปถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิต โดยภายใต้ภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ จะสะท้อนภาพในทุกมิติของประสบการณ์การใช้ “วิ” วิริยะประกันภัยอย่างแท้จริง เพื่อให้ทุกช่วง “วิ” นาทีของลูกค้าถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าในทุกช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของบริษัทฯ

มิตซูบิชิ เปิดตัวทีเด็ด All New XFORCE HEV เคาะราคาเริ่มต้น 8.99 แสน

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ Mitsubishi e:MOTION เปิดตัว ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถยนต์ฟูลไฮบริด

บรรยายภาพ : มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เปิดตัว ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี รถยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด นำโดย มร.เรียวอิจิ อินาบะ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มร.มาซาฮิโระ อิโตะ (ที่ 2 จากซ้าย) Chief Product Specialist, บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น มร.นาโอกิ อากิตะ (ซ้ายสุด) Program Design Director บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น และ นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ (ขวาสุด) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

กรุงเทพฯ – 20 มีนาคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถยนต์ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดด้วยการเปิดตัว ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี สู่ตลาดประเทศไทยเป็นครั้งแรก รถคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุด ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ เร้าใจกับสมรรถนะ ครบครันด้วยความสะดวกสบาย และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย จากอีกขั้นของการพัฒนา MITSUBISHI e:MOTION ที่ผสาน 3 เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพที่ยอดเยี่ยม ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี จะผลิตที่โรงงานมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และจัดจำหน่ายผ่านทางเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการกว่า 190 แห่งทั่วประเทศ เปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศอินโดนีเซียในเดือนสิงหาคม 2566 ในรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน และขยายตลาดสู่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ละตินอเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลาง และภูมิภาคอื่นๆ ในปี 2567 มีความสำคัญในฐานะรถยนต์เชิงกลยุทธ์ระดับโลกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี จะมาเสริมทัพกลุ่มรถยนต์ฟูลไฮบริดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ต่อยอดความสำเร็จจาก มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ที่เปิดตัวในประเทศไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา รถคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นใหม่นี้ เป็นรถที่จะสร้างความน่าดึงดูดใจให้กับทุกท่าน เพราะมาพร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ล่าสุด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนาจากระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อันเลื่องชื่อของมิตซูบิชิ โดดเด่นด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและอัตราเร่งที่ทรงพลัง พร้อมโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7-Drive Mode) ผสานการทำงานระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control – AYC) แบบ All-Wheel Control ที่จะช่วยคำนวณการส่งกำลังจากระบบขับเคลื่อนและแรงเบรกลงสู่แต่ละล้อ เพื่อให้ล้อทั้งคู่หน้า-คู่หลัง ทำงานอย่างสัมพันธ์กัน ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาสมดุลของตัวรถขณะเข้าโค้ง เพื่อความปลอดภัย และมั่นใจได้ในทุกเส้นทาง

“นี่เป็นครั้งแรกที่ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด รุ่นใหม่ล่าสุดของเรา และเราภาคภูมิใจ ที่รถยนต์รุ่นนี้ ผลิตที่ประเทศไทย ณ โรงงานแหลมฉบังของเรา เราใช้เวลาหลายเดือน ในการทดสอบรถยนต์รุ่นนี้ รวมระยะทางทั้งหมดกว่า 100,000 กิโลเมตร ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อประเมินความทนทาน และสมรรถนะในการขับขี่ ทีมทดสอบของเราได้รวบรวมข้อมูล และความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่างๆ ซึ่งวิศวกรฝ่ายวิจัยและพัฒนาของเรา ได้นำไปใช้ในการปรับแต่งและพัฒนารถรุ่นนี้ ให้ดียิ่งขึ้น ขั้นตอนสุดท้าย คือการทดสอบความทนทานของรถและปรับแต่งระบบกันสะเทือนที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานบนสภาพถนนที่หลากหลายของประเทศไทย ให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เราให้ความสำคัญสูงสุดกับคุณภาพ และประสบการณ์การขับขี่เสมอมา และเราไม่เคยลดทอนมาตรฐานเหล่านี้เลยครับ เราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี จะเป็นโมเดลที่สร้างความตื่นเต้น และน่าประทับใจ พร้อมกับได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทย” มร. เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

คุณสมบัติเด่นของ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี สามารถแบ่งได้เป็น 4 แกนสำคัญ อันประกอบไปด้วย ดีไซน์  สมรรถนะ ระบบความปลอดภัยแลความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร

การออกแบบ

•รูปลักษณ์ภายนอก ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ‘Silky and Solid’ แนวคิดการออกแบบใหม่จากมิตซูบิชิ เรียบหรู แต่ทรงพลัง สะท้อนผ่านรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว โดดเด่น เปรียบสมือนไอคอนนิคแห่งยุค ด้วยไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้าย LED สี Smoked จัดเรียงเป็นรูปตัวที เสริมให้เห็นถึงความกว้างและความรู้สึกมั่นคงของตัวรถ

•ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้ว ดีไซน์สวยงามที่คำนึงถึงแอโรไดนามิค เสริมด้วยซุ้มล้อที่เลือกใช้วัสดุ และสีที่ตัดกับสีรถ ทำให้ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีบุคลิกของรถเอสยูวีอย่างชัดเจน

•รูปลักษณ์ภายใน ออกแบบโดยใช้วัสดุที่ให้ความรู้สึกหรูหรา ประณีตในทุกรายละเอียด คอนเซปต์ตามแนวคิด “Horizontal Axis” มอบทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม ภายในห้องโดยสารสีทูโทน พร้อมการตกแต่งด้วยผ้าแบบพิเศษกันน้ำและคราบสิ่งสกปรก มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จะช่วยสร้างสุนทรียภาพให้คุณตลอดการเดินทาง

สมรรถนะ

•ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มาพร้อมประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ MITSUBISHI e:MOTION ซึ่งเป็นการผสานสามเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดของมิตซูบิชิ ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจนเนอเรชันใหม่ล่าสุด โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC)

•ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดเจเนอเรชันใหม่ ทำงานผ่านมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงและแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์ไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร DOHC 16 วาล์ว MIVEC เป็นการพัฒนาต่อยอดจากรถยนต์ฟูลไฮบริดรุ่นแรก สู่ระบบที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพการส่งกำลังที่ดียิ่งขึ้น มาพร้อมกับระบบส่งกำลัง 2-Speed Transaxle ใหม่ ปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติตามการขับขี่และสภาพถนน ให้อัตราเร่งที่ดี และนุ่มนวล อีกทั้งยังเพิ่มกลไกตัดการเชื่อมต่อของมอเตอร์ ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน ส่งผลให้รถมีอัตราประหยัดน้ำมันขั้นสูงสุด 24.4 กิโลเมตร/ลิตร(1) มีระยะทางการขับขี่ยาวที่สุดในคลาสต่อน้ำมันหนึ่งถัง ทำงานเงียบและมีอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมทั้งในการขับขี่บนไฮเวย์ และในเส้นทางที่เป็นเนินลาดชัน

•โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7-Drive Mode) ไม่ว่าเส้นทางแบบไหนก็ไม่เป็นอุปสรรคด้วยโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Normal (ถนนทั่วไป) Wet (ถนนเปียก) Gravel (ถนนลูกรัง) Tarmac (ถนนลาดยาง) Mud (ถนนโคลน) และอีก 2 ทางเลือกพลังงานทั้ง Charge (โหมดการชาร์จ) และ EV Priority (โหมดพลังงานไฟฟ้า 100%) โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ด้วยตนเองตามสภาพถนน สภาพภูมิอากาศ หรือรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ

•ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง หรือ AYC (Active Yaw Control) เทคโนโลยีจากรถแข่งแรลลี่คาร์ของมิตซูบิชิ ทำงานโดยคำนวณการส่งกำลังลงที่ล้อซ้าย-ล้อขวา ให้หมุนสัมพันธ์กัน ขณะที่รถเข้าโค้ง เพื่อสร้างสมดุลให้กับตัวรถ ทำให้สามารถขับผ่านทางโค้งได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย และมั่นใจในทุกสถานการณ์

•ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ยังใช้ ช่วงล่าง ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ ให้เหมาะกับทุกสภาพถนนในประเทศไทย ซึ่งผ่านการทดสอบมาแล้วกว่า 100,000 กิโลเมตร

ระบบความปลอดภัย 

•เทคโนโลยีความปลอดภัย Diamond Sense จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ หรือ ADAS ที่จะตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวรถแบบ 360 องศา ทำงานอย่างแม่นยำผ่านการทำงานของกล้อง เรดาห์ และเซนเซอร์ ไม่ว่าจะเป็น

-กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะ และระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว (MAM with MOD)

-ระบบเตือนเมื่อรถด้านหน้าออกตัวหรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า (LCDN)

-ระบบเตือนจุดอับสายตา และระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน (BSW with LCA)

-ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM)

-ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติถึงจุดหยุดนิ่ง (ACC)

-ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB)

-ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA)

ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรก และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย

ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ยกระดับการเดินทางของคุณ ให้รู้สึกผ่อนคลายในแบบพรีเมียมด้วย

•ห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่สุดในรถระดับเดียวกัน พื้นที่เหนือศีรษะ พื้นที่หัวไหล่ และพื้นที่วางขาที่กว้าง ทำให้สามารถเดินทางได้พร้อมกันถึง 5 คน โดยไม่รู้สึกอึดอัด เบาะนั่งตอนหลังสามารถพับปรับแบบ 40:20:40 และปรับเอนได้ถึง 8 ระดับ พร้อมด้วยวัสดุหุ้มเบาะ “Heat Guard” ที่ช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดด

•ไดนามิค ซาวด์ ยามาฮ่า พรีเมียม (Dynamic Sound Yamaha Premium Sound System) เครื่องเสียงและระบบเสียงคุณภาพ พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง ซึ่งได้รับการพัฒนาร่วมกับ ยามาฮ่า คอร์เปอเรชั่น ให้เสียงใส คมชัดในทุกมิติ ให้คุณเพลิดเพลินกับเพลงโปรดได้เสมือนฟังดนตรีแบบแยกชิ้น

•ระบบฟอกอากาศ nanoe-X ที่จะช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ และยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ลดอากาศเหนื่อยล้า สร้างความสดชื่นให้คุณตลอดการเดินทาง

•ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) บริเวณคอนโซลหน้าและแผงประตูด้านหน้า

ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี มีจำหน่าย 3 รุ่นย่อย ได้แก่

•รุ่น Ignite ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท

มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond  สีเงิน Blade Silver และสีเทา Graphite Grey

•รุ่น Ultimate ราคาเริ่มต้น 1,039,000 บาท

มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond หลังคาดำ สีเงิน Blade Silver  สีเทา Graphite Gray  และสีดำ Jet Black Mica

•รุ่น Ultimate X ราคาเริ่มต้น 1,089,000 บาท

มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond หลังคาดำ, สีเทา Graphite Gray หลังคาดำ, สีเหลือง Energetic Yellow หลังคาดำ, สีแดง Spirit Red  หลังคาดำและสีดำ Jet Black Mica

มาพร้อมการรับประกันระบบไฮบริดเป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดนานสูงสุดถึง 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง หมดกังวลกับเรื่องอะไหล่และบริการหลังการขาย เพราะเป็นรถยนต์ที่ผลิตภายในประเทศ จึงสามารถจัดส่งอะไหล่ได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมดูแลด้วยช่างเทคนิคที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเชี่ยวชาญกระจายอยู่กับเครือข่ายผู้จำหน่ายของมิตซูบิชิที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ

พิเศษสำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของ ออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี โดยจองภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และรับรถภายใน 31 กรกฎาคม 2568 จะได้รับสิทธิพิเศษภายใต้แคมเปญ “Early Bird Offers(2) เฉพาะช่วงเปิดตัวเท่านั้น”  โดยลูกค้าจะได้รับบัตรของขวัญที่พักโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา มูลค่า 10,000 บาท และรับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง เป็นเวลา 1 ปี พร้อมการรับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) ฟรีค่าแรงเช็กระยะนาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)

พร้อมทั้งข้อเสนอพิเศษที่สามารถเลือกรับอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.99% (เมื่อดาวน์ 25% และผ่อนชำระ 48 เดือน)(2) กับสถาบันการเงินที่กำหนดและสามารถเลือกรับแพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี และสำหรับลูกค้าครอบครัว มิตซูบิชิ หรือลูกค้าเก่ามิตซูบิชิ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 30,000 บาท ผ่านแอฟพลิเคชัน M-Drive

ลูกค้าสามารถสัมผัสออล-นิว มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี ได้ที่งานโรดโชว์ทั่วประเทศและที่บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (A9) ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 – 3 เมืองทองธานี พร้อมพบกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของมิตซูบิชิ ที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมากมาย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของรถยนต์มิตซูบิชิได้ทางเว็บไซต์ www.mitsubishi-motors.co.th และทุกช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค  MitsubishiMotorsTH

(1)ทดสอบตามมาตรฐาน NEDC อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ระบุในแคตตาล็อกคำนวณตามวิธีที่กำหนด และอาจจะแตกต่างจากอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในสภาพการขับขี่จริง

(2) สำหรับรุ่น Ultimate และ Ultimate X

สรยท. จับมือ สื่อสากล จัดอบรมขับขี่ปลอดภัยให้กับสมาชิกฯ

สรยท. จับมือ สื่อสากล จัดอบรมขับขี่ปลอดภัยให้กับสมาชิกฯ โดยครูฝึกระดับมืออชีพที่ได้รับประกาศนียบัตร BMW Certified Instructor ระดับ 2

นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) ร่วมมือกับบริษัท สื่อสากล จำกัด โดยมีนางสาวชไมพร ปภัสร์พงษ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัท สื่อสากล จำกัด ในฐานะผู้อำนวยการโครงการ “ขับเป็น…ขับปลอดภัย กับ สื่อสากล” ครูฝึกระดับมืออชีพที่ได้รับประกาศนียบัตร BMW Certified Instructor ระดับ 2 พร้อมทีมงานเป็นผู้ให้ความอนุเคราะห์ในการฝึกอบรมในครั้งนี้

สำหรับการจัดอบรมขับขี่ปลอดภัยให้กับสมาชิกสมาคมฯ ภายใต้โครงการขับขี่ปลอดภัย Skill Driving Experience โดยกิจกรรมดังกล่าวสมาชิกฯ ที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับการคัดเลือกจากกรรมการสมาคมฯ ว่ามีคุณสมบัติที่เหมาะสม ซึ่งโครงการขับขี่ปลอดภัยจะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มประสบการณ์ทักษะวิชาชีพ และเรียนรู้ทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัยและถูกวิธีของสื่อมวลชนสายยานยนต์คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่อาชีพสื่อมวลชนสายยานยนต์ เพื่อนำทักษะไปใช้ในการทำงานและใช้ในชีวิตประจำวันให้ขับขี่รถยนต์อย่างปลอดภัยทั้งต่อตัวเองและสังคมต่อไป กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15-16 มีนาคม 2568 ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save