- Advertisement -
27.9 C
Bangkok
Home Blog Page 23

JAECOO 7 PHEV ทำสถิติใหม่วิ่งได้ไกลกว่า 1,427 กิโลเมตร

JAECOO 7 PHEV ทำสถิติใหม่วิ่งได้ไกลกว่า 1,427 กิโลเมตร จากสิงคโปร์ ผ่านมาเลเซีย มาสู่ประเทศไทย โดยใช้น้ำมัน 1 ถัง และแบตเตอรี่ 1 ชาร์จ จากสถิติที่เคยทำไว้ 1,200 กิโลเมตร สถิติใหม่ของการใช้น้ำมันและไฟฟ้า สร้างความเชื่อมั่นให้รถเครื่องยนต์ไฮบริดในตลาดไทย

JAECOO 7 PHEV (ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ) ออกเดินทางจากประเทศสิงคโปร์ ผ่านประเทศมาเลเซีย จนมาถึงอำเภอหาดใหญ่ ประเทศไทย เพื่อทดสอบระยะการขับขี่สูงสุดด้วยเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ผลทดสอบจากการขับรถ JAECOO 7 PHEV ทั้ง 5 คัน สามารถทุบสถิติเดิมด้วยระยะทางกว่า 1,427.5 กิโลเมตร จากการใช้น้ำมัน 1 ถัง และแบตเตอรี่ 1 ชาร์จ

เอมิลี่ เล็ค รองประธานของเจคู่ (JAECOO) ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้แสดงสมรรถนะและศักยภาพของรถยนต์ JAECOO 7 PHEV ให้ตลาดในประเทศมาเลเซียและประเทศอื่นๆ ได้เห็นว่ารถรุ่นนี้ผ่านการทดสอบอย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดเส้นทาง สะท้อนถึงคำมั่นของแบรนด์เจคู่ (JAECOO) ที่มุ่งมั่นในการมอบรถยนต์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค ด้วยเทคโนโลยีระบบ Super Hybrid (SHS หรือ Super Hybrid System) ของเรา เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยีแถวหน้า ของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเป็นเทคโนโลยี PHEV แบบเดียวที่รองรับการชาร์จไฟโดยใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct current หรือ DC) รวมถึงมีข้อดีอีกมากมายในรถยนต์ JAECOO 7 PHEV นี้”

จากการทดสอบการขับขี่ระยะไกลผ่าน 3 ประเทศ JAECOO 7 PHEV มีสมรรถนะเหนือกว่าตัวเลขที่ระบุในรายละเอียดทางเทคนิค เนื่องจากรถรุ่นนี้สามารถขับขี่โดยใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 947 กิโลเมตร (โดยที่น้ำมันยังคงเพียงพอในการขับขี่อีก 372 กิโลเมตร) และขับขี่โดยใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 108 กิโลเมตร ซึ่งไกลกว่าระยะทางที่ระบุในรายละเอียดทางเทคนิคถึง 18 กิโลเมตร การทดสอบการขับขี่ครั้งนี้ยังเป็นการทดสอบอัตราการใช้น้ำมันของ JAECOO 7 PHEV โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ 3.5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร ซึ่งดีกว่ามาตรฐานที่ 6.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

“เราเชื่อมั่นว่าเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของ JAECOO 7 PHEV สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งด้านการประหยัดพลังงานและสมรรถนะที่เหนือกว่า โดยเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของ JAECOO 7 PHEV ประกอบด้วยแบตเตอรี่ขนาด 18.3 กิโลวัตต์ ถังน้ำมันความจุ 60 ลิตร พร้อมระบบส่งกำลังไฮบริดโดยเฉพาะซึ่งสามารถสลับการทำงานได้อย่างไร้รอยต่อและสร้างแรงบิดได้ถึง 525 นิวตันเมตร”

สมรรถนะของรถยนต์ JAECOO 7 PHEV เป็นผลของการใช้ระบบ Super Hybrid (SHS หรือ Super Hybrid System) ซึ่งประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ เครื่องยนต์ 1.5TDGI เจเนอเรชั่นที่ 5 สำหรับรถยนต์ไฮบริด ระบบส่งกำลังไฮบริดแบบแปรผันต่อเนื่อง และแบตเตอรี่ไฮบริดประสิทธิภาพสูง ส่วนประกอบทั้ง 3 ส่วนทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อเพื่อให้ได้สมรรถนะที่สูง กำลังที่มากขึ้น รวมถึงอัตราการใช้พลังงานน้ำมันและไฟฟ้าที่ลดลง

ระบบ Super Hybrid (SHS หรือ Super Hybrid System) ของเจคู่ ได้รับการออกแบบให้รองรับการชาร์จไฟได้อย่างหลากหลายรูปแบบเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ รูปแบบแรกคือการชาร์จไฟแบบช้าผ่านปลั๊กไฟ 3 ขา 230 โวลต์ สามารถชาร์จไฟรถจาก 0% ถึง 100% ได้ภายในเวลา 8.5 ชั่วโมง ด้วยกำลังไฟ 3.3 กิโลวัตต์ รูปแบบที่ 2 คือการชาร์จแบบ AC ที่สามารถชาร์จไฟรถจาก 30% ถึง 80% ในเวลา 3 ชั่วโมงด้วยกำลังไฟ 6.6 กิโลวัตต์ และรูปแบบสุดท้าย คือ การชาร์จแบบ DC ซึ่งถือเป็นระบบที่สร้างความแตกต่างที่สำคัญที่ทำให้ JAECOO 7 PHEV แตกต่างไปจากเดิม รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของเจคู่เป็นรถยนต์ PHEV รุ่นเดียวในท้องตลาดปัจจุบันที่รองรับการชาร์จไฟแบบเร็วโดยใช้การชาร์จแบบ DC ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 30% ถึง 80% ได้ภายในเวลาเพียง 20 นาที ที่กำลังไฟ 40 กิโลวัตต์

JAECOO 7 PHEV เป็นรถยนต์ที่ติดตั้งแบตเตอรี่ไฮบริดที่ออกแบบมาให้มีระบบจัดการความร้อนแบบพิเศษเฉพาะ ซึ่งมาจากการลงทุนด้านคุณภาพ การออกแบบ และความปลอดภัยของแบตเตอรี่ของเจคู่ ที่ออกแบบให้แบตเตอรี่มีความทนทานต่อแรงกระแทกด้วยเกราะแบตเตอรี่ขั้นสูง มีโล่ป้องกันภายในและโครงสร้างหุ้มเหล็กภายนอก พร้อมได้รับการออกแบบมาให้สามารถทำงานได้ภายใต้อุณหภูมิที่สูง ซึ่งได้รับการรับรองจากมาตรฐานระดับ IP68 และทนทานต่อไฟแม้อยู่ในสภาวะที่รุนแรง เช่น แบตเตอรี่โดนเจาะทะลุหรือถูกบีบอัด

เป้าหมายของเจคู่ในการจัดการทดสอบการเดินทางระยะไกลจากสิงคโปร์ มาเลเซีย มาสู่ประเทศไทย เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ให้เข้าใจถึงความเข้ากันได้ของเครื่องยนต์ PHEV กับตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ขับขี่สนใจอย่างระยะทางสูงสุดในการขับขี่และอัตราการใช้พลังงานของรถยนต์ JAECOO 7 PHEV ซึ่งสเปคของประเทศไทยจะประกาศ และพร้อมจำหน่าย อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเร็วๆ นี้

สำหรับ Chery Automobile Co., Ltd. ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 เป็นแบรนด์รถยนต์ระดับโลกที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน ด้วยความมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาขึ้นในประเทศจีน เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และบราซิล นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งทีมวิจัยและพัฒนายานยนต์ระดับโลกที่มีบุคลากรมากกว่า 5,500 คน และก่อตั้งเทคโนโลยีองค์รวมและระบบ R&D ของผลิตภัณฑ์ Chery ประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ โดยมียอดขายสะสมทั่วโลกมากกว่า 9.5 ล้านคัน เป็นบริษัทรถยนต์แห่งแรกของจีนที่ส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วน CKD เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีการผลิตยานยนต์และอุปกรณ์ไปทั่วโลก

ปัจจุบัน Chery ดำเนินธุรกิจในหลายภูมิภาคทั่วโลกครอบคลุม 80 ประเทศ และตั้งโรงงานในต่างประเทศ 10 แห่ง มีตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการในต่างประเทศมากกว่า 1,500 แห่ง มีผู้ใช้เกือบ 10 ล้านคนทั่วโลก รวมถึงผู้ใช้จำนวน 1.95 ล้านคนนอกประเทศจีน นอกจากนี้ Chery ยังครองอันดับหนึ่งในด้านการส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจากประเทศจีนเป็นเวลา 20 ปีติดต่อกัน

อนึ่ง OMODA & JAECOO ผู้พัฒนาแบรนด์รถยนต์ส่วนบุคคล ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานใหม่ พร้อมนำเสนอยนตรกรรมพลังงานใหม่ทางเลือกที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้ง BEV, PHEV, HV และอื่นๆ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากยิ่งขึ้น เติบโตอย่างรวดเร็วใน 33 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก มีผู้ใช้ทั่วโลกเกิน 410,000 คน โดยเริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งแรกในปี 2567

มิตซูบิชิ ฉลองความสำเร็จ 7 ผู้ชนะเลิศ การแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 24

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ฉลองความสำเร็จ 7 ผู้ชนะเลิศ จากการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 24 “เชื่อมต่อความเชี่ยวชาญ สู่ประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า”

กรุงเทพฯ – 31 มกราคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศผลผู้ชนะเลิศ 7 คน จากการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 24 ณ สถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาศักยภาพของพนักงานผู้จำหน่าย ทั้งบริการด้านการขาย และบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้ามิตซูบิชิทุกท่าน โดยการแข่งขันในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เชื่อมต่อความเชี่ยวชาญ สู่ประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า” ด้วยหัวใจแห่งการบริการ 3 มิติ ได้แก่ ความเชี่ยวชาญ (Expertise)  การสร้างประสบการณ์ที่ดี (Experience) และบริการที่ยอดเยี่ยม (Excellence)

มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความเชี่ยวชาญที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการเรียนรู้ การฝึกฝน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นที่สุด ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ช่วยให้เรามอบประสบการณ์ที่ประทับใจ จากการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เพราะเราตระหนักดีว่า ทุกประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับ คือโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่น และความไว้วางใจในรถยนต์มิตซูบิชิ”

การแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครอบคลุมทั้ง 7 ประเภทงานบริการลูกค้า เริ่มต้นจาก ที่ปรึกษาการขาย (Sales Consultant) ที่พร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานในด้านต่าง ๆ รวมถึงจัดการทดลองขับสำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อรถยนต์ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relation Officer) จะติดต่อเพื่อนัดหมายและแจ้งกำหนดการ การให้บริการ โดย ที่ปรึกษางานบริการ (Service Advisor) จะให้การต้อนรับลูกค้า รับฟังความต้องการ และให้คำแนะนำที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า

ในส่วนของการตรวจสอบรถยนต์ ช่างเทคนิคเช็กระยะ (Periodic Maintenance Technician) หรือ ช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา (Diagnostic Technician) จะทำงานประสานกับลูกค้าที่ศูนย์บริการ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อะไหล่ (Parts Officer) จะจัดเตรียมอะไหล่ให้พร้อมเพื่อสนับสนุนการซ่อมบำรุงที่มีคุณภาพและตรงเวลาตามความต้องการของลูกค้า ในกรณีที่รถยนต์ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ ที่ปรึกษางานบริการศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง (Service Advisor (BP)) จะให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อให้ลูกค้าได้รับการซ่อมสีและตัวถังที่มีคุณภาพสูงสุด

กระบวนการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2567 โดยแบ่งเป็น 3 รอบ ในรอบแรก มีพนักงานของผู้จำหน่าย มากกว่า 2,400 คน จากทั่วประเทศ เข้าร่วมการแข่งขัน โดยได้รับคัดเลือกให้ผ่านเข้าสู่รอบที่สองเป็นจำนวน 325 คน จากนั้นเลือกเฟ้นสุดยอดฝีมือเพียง 65 คน เข้าชิงชัยในรอบชิงชนะเลิศ

ผู้ชนะเลิศ รางวัลที่ปรึกษาการขาย นายสิทธิชัย ภมรานนท์ จาก บริษัท แสงชัยมอเตอร์เซลล์ จำกัด (สาขาแม่เหียะ) จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า “สำหรับการแข่งขันในปีนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทั้งโจทย์ที่ได้รับในการแข่งขันที่ค่อนข้างเข้มข้นและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในสายงานมาประยุกต์ใช้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นที่ปรึกษาการขาย คือการรับฟัง ทำความเข้าใจลูกค้า อีกทั้งต้องมีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์รถยนต์มิตซูบิชิเป็นอย่างดี จึงจะสามารถนำเสนอสมรรถนะรถยนต์ สิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ เพื่อให้ลูกค้าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาศูนย์บริการของเรา ความสำเร็จในครั้งนี้นับเป็นขวัญกำลังใจที่มีคุณค่า ในการส่งมอบความประทับใจให้กับลูกค้ามิตซูบิชิ ต่อไป”

นายวัฒนา ดวงอบมา บริษัท มิตซูออโต้ซิตี้ จำกัด (สำนักงานใหญ่) กรุงเทพมหานคร ผู้ชนะเลิศรางวัลช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา บอกเล่าถึงความรู้สึกในการเข้าแข่งขันครั้งนี้ว่า “ผมทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อการแข่งขันในครั้งนี้ โจทย์ของการแข่งขันปีนี้ เป็นรถโมเดลใหม่คือ NEW MITSUBISHI XPANDER HEV ซึ่งมีระบบ HEV มาเกี่ยวข้อง ผมจึงอ่านหนังสือคู่มือและฝึกซ้อมค่อนข้างมากเพื่อให้วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ โดยผมเองได้นำประสบการณ์จริงมาประยุกต์ใช้ คือ เมื่อได้รับการแจ้งปัญหาจากลูกค้า เราจะดำเนินการสอบถามรายละเอียดต่างๆ ตามขั้นตอน และเมื่อได้รับการยืนยันปัญหาจึงนำมาวางแผน วิเคราะห์หาสาเหตุ และซ่อมบำรุงอย่างถูกขั้นตอนตรงตามมาตรฐาน รวมถึงควบคุมคุณภาพหลังงานซ่อม เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าประทับใจในบริการ และปัญหาได้รับการแก้ไข”

ภาพข่าว: มร.เรียวอิจิ อินาบะ (กลาง) กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมฉลองความสำเร็จร่วมกับ 7 ผู้ชนะเลิศ จากการแข่งขันทักษะรถยนต์มิตซูบิชิ ครั้งที่ 24 ณ สถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย

ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ การแข่งขันทักษะรถยนต์ประจำปี ครั้งที่ 24 ทั้ง 7 สายงาน ได้แก่ (จากซ้ายไปขวา)

– นายอนุพงษ์ พินุวงค์ บริษัท แสงชัยมอเตอร์เซลล์ จำกัด (สาขาแม่โจ้) จ.เชียงใหม่ ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษางานบริการศูนย์ซ่อมสีและตัวถัง

– นายธีระศักดิ์ โรจน์ประเสริฐสุด บริษัท มิตซูชัยพร จำกัด จ.สมุทรสาคร ผู้ชนะเลิศรางวัล ช่างเทคนิคเช็กระยะ

– นายวัฒนา ดวงอบมา บริษัท มิตซูออโต้ ซิตี้ จำกัด กรุงเทพมหานคร ผู้ชนะเลิศรางวัล ช่างเทคนิควิเคราะห์ปัญหา

– นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

– มร.เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

– นายสิทธิชัย ภมรานนท์ บริษัท แสงชัยมอเตอร์เซลล์ จำกัด (สาขาแม่เหียะ) จ.เชียงใหม่ ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษาการขาย

– นางสาวกาญจนา ปิติยะ บริษัท ทีเคซี มิตซูตาก จำกัด (สำนักงานใหญ่) จ.ตาก ผู้ชนะเลิศรางวัล ที่ปรึกษางานบริการ

– นางสาวสุนารี อักขระกิจ บริษัท ทีเคซี มิตซูตาก จำกัด (สำนักงานใหญ่) จ.ตาก ผู้ชนะเลิศรางวัล เจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์

– นางสาวสุภาพร เหล่าลาด บริษัท มิตซูชลบุรี จำกัด (สาขาบ่อวิน) จ.ชลบุรี ผู้ชนะเลิศรางวัล เจ้าหน้าที่อะไหล่

มูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน มอบรางวัลการประกวดปี 2567

“มูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน” ร่วมกับ กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประกาศผลและมอบรางวัล จากการประกวดกิจกรรม 4 ประเภทประจำปี 2567

นางาวชไมพร ปภัสร์พงษ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน เผยว่า มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมการประกวดประจำปี 2567 รวม 4 ประเภท ได้แก่ เรียงความ ร้องเพลง วาดภาพศิลปะ และวีดีโอคลิป ซึ่งปีนี้มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทั้งหมด 1,469 ชิ้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 76% และทุกชิ้นมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาประกาศผลพร้อมมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดประเภทต่างๆ ดังนี้

ประกวดเรียงความหัวข้อ “คนรุ่นใหม่ใจซื่อมือสะอาด”

ระดับประถมศึกษา ได้แก่ ด.ญ.ธัญญาภรณ์ ภาชี  รร.วัดสุวรรณ กรุงเทพมหานคร

ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ได้แก่ น.ส.ณัฐทิชา  สีน้ำเงิน รร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จังหวัดเพชรบุรี

ระดับอาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวส.) และอุดมศึกษา ได้แก่ นายพงศธร ประกฤติพงศ มหาวิทยาลัยศิลปากร จังหวัดนครปฐม

ประกวดร้องเพลงประกอบดนตรีตามเพลง

เพลง “คิดดี ทำดี”

-ระดับประถมศึกษา ประเภทเดี่ยว ได้แก่ ด.ช.สุทิวัส ยนปลัดยศ รร.นารีวิทยา จังหวัดราชบุรี

-ระดับประถมศึกษา ประเภทหมู่ ได้แก่ ทีม TN.Junior Band รร.ไทยนิยมสงเคราะห์ กรุงเทพมหานคร

เพลง “ด้วยลมหายใจที่ไร้มลทิน”

ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ประเภทเดี่ยว ได้แก่ น.ส.จันจิรา ศักดิ์สุวรรณ รร.นวมินทราชินูทิศ หอวัง จังหวัดนนทบุรี

-ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ประเภทหมู่ ได้แก่ ทีม BBL รร.สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา

-ระดับอาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวส.) และอุดมศึกษา ประเภทเดี่ยว ได้แก่ น.ส.พิชาพร สถิตพรบรรพต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี

ประกวดวาดภาพศิลปะสะท้อนค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์สุจริต

หัวข้อ “พลิกฟื้นลมหายใจของโลกในยุคหมอกควัน”

-ระดับปฐมวัย ได้แก่ ด.ญ.ณัฐรดา จรดล รร.อนุบาลสุธีธร จังหวัดนครปฐม

-ระดับประถมศึกษา ได้แก่ ด.ช.ชวัลวิทย์ อ่างมัจฉา รร.บ้านม่วง จังหวัดหนองคาย

-ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ได้แก่ ด.ญ.เกศชฎาพร คุ้มบ้าน รร.สมคิดจิตต์วิทยา จังหวัดชลบุรี

ประกวดวีดีโอคลิปสะท้อนค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์สุจริต

หัวข้อ “ซื่อสัตย์สุจริต ชีวิตติดโซเชียล”

-ระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา หรือเทียบเท่า (ปวช.) ได้แก่ ทีม BC Studio รร.ปากคาดพิทยาคม จังหวัดบึงกาฬ

สามารถติดตามผลการประกวด และกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิลมหายใจไร้มลทิน ได้ที่ lomhaijai.org dcy.go.th และ facebook.com/LomhaijaiFoundation

The new E-Class คว้ารางวัล Best Performer จาก Euro NCAP

The new E-Class จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ คว้ารางวัล “Best Performer” โดย Euro NCAP ขึ้นแท่นรถยนต์ที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดประจำปี 2024

Mercedes-Benz E-Klasse | 2023 Mercedes-Benz E-Class 2023

เมอร์เซเดส-เบนซ์ สร้างบรรทัดฐานใหม่ด้านความปลอดภัยให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก ส่งรถยนต์รุ่น The new E-Class คว้ารางวัล “Best Performer” ประจำปี 2024 จาก Euro NCAP พร้อมครองตำแหน่งรถยนต์ที่ได้รับคะแนนด้านความปลอดภัยสูงที่สุดจากผลการทดสอบในปีที่ผ่านมา

รางวัล “Best Performer” ของ The new E-Class เป็นหนึ่งในรางวัลในหมวด “Best in Class” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจาก Euro NCAP ได้พิจารณาคะแนนเฉลี่ยจาก 4 หมวดหมู่หลัก โดยครอบคลุมถึงความปลอดภัยทั้ง Active Safety และ Passive Safety ได้แก่ การปกป้องผู้โดยสารผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection: AOP) การปกป้องผู้โดยสารเด็ก (Child Occupant Protection: COP) การปกป้องผู้ใช้ถนน (Vulnerable Road User Protection) และเทคโนโลยีช่วยเหลือด้านความปลอดภัยขั้นสูง (Safety Assist Technologies) ซึ่งจากการประเมินโดยรวม The new E-Class ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถทำคะแนนได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมในทุกหมวดหมู่

Markus Schäfer คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งมาตรฐานความปลอดภัย เพราะเราเป็นผู้บุกเบิกในด้านความปลอดภัยของยานยนต์อย่างแท้จริง พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล Best Performer จาก Euro NCAP ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของพวกเรา ในการยกระดับความปลอดภัยให้แก่ผู้คนบนท้องถนน” Euro NCAP (European New Car Assessment Programme) เป็นองค์กรที่เกิดจากความร่วมมือของกระทรวงคมนาคมในสหภาพยุโรป สมาคมยานยนต์ และสมาคมประกันภัยในประเทศต่างๆ โดยมีหน้าที่ในการทดสอบการชน (Crash Test) และการประเมินความปลอดภัยของรถยนต์ที่ครอบคลุมในทุกมิติ

การได้รับรางวัลจาก Euro NCAP นับเป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในระดับสูงสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยผลการทดสอบในครั้งนี้ ยังตอกย้ำถึงความเชี่ยวชาญระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการพัฒนานวัตกรรมช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยบนท้องถนนอย่างต่อเนื่อง

โตโยต้า ร่วมสนับสนุนการแข่งขัน “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025”

โตโยต้า ร่วมสนับสนุนการแข่งขัน “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ขับเคลื่อนและพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันไทย

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายปรีชา ลาลุน รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าวจัดการแข่งขันแบดมินตันรายการ “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมเงินรางวัลรวม 240,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 8,286,000 บาท โดยงานแถลงข่าวจัดการแข่งขันได้จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 20 มกราคม 2568 ณ โรงแรมอโนมาแกรนด์ กรุงเทพฯ

สำหรับฤดูกาลแข่งขันของสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ในปี 2025 ประเทศไทยได้รับสิทธิเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแบดมินตัน รายการ “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมเงินรางวัลรวม 240,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 8,286,000 บาท ณ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา อีกทั้งเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พี่น้องประชาชนคนไทยโดยเฉพาะเยาวชน ให้หันมาสนใจชม เชียร์ และเล่นกีฬาแบดมินตัน ยกระดับฝีมือและมาตรฐานของนักแบดมินตันไทยให้ก้าวสู่ระดับนานาชาติ รวมถึงเพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยอีกด้วย

นายณัทธร ศรีนิเวศน์ กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของรายการ โตโยต้ามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน และพัฒนาวงการกีฬาแบดมินตันไทยให้ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยโตโยต้าเชื่อมั่นว่าการจัดการแข่งขันในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่นักกีฬาไทยจะได้แสดงศักยภาพ สร้างสรรผลงานที่ยอดเยี่ยม สร้างความสนุกเร้าใจ และความสุขให้กับแฟนกีฬาแบดมินตันไทย อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยให้หันมาสนใจเล่นกีฬาแบดมินตันให้มากยิ่งขึ้น”

“ผมขอขอบคุณ การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ได้ให้โอกาส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการเป็นผู้สนับสนุนหลักสำหรับการจัดการแข่งขัน “ปริ๊นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2025” ครั้งนี้”

ร่วมเชียร์นักตบขนไก่ไทย พร้อมต้อนรับนักกีฬาแบดมินตันระดับโลก ระหว่างวันที่ 28 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ

“โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

มิตซูบิชิ มอบเครื่องยนต์ พร้อมชุดส่งกำลังให้แก่ วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม จ.กระบี่

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มอบเครื่องยนต์ พร้อมชุดส่งกำลัง ให้แก่ วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม จ.กระบี่ ส่งเสริมการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านยานยนต์

บรรยายภาพ : นายพรชัย อาจหาญ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการวิทยาลัยสารพัดช่างกระบี่ เป็นประธานในพิธีรับมอบเครื่องยนต์พร้อมชุดส่งกำลัง ให้แก่ วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม จังหวัดกระบี่ โดยมี นายอุดร แก้วถาวร (ที่ 2 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม รับมอบจาก บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ (กลาง) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ นายกุญญาวัตน์ รวยอารีย์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการศึกษาและฝึกอบรมและฝ่ายพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย นางสาวเกษสุดา ปิติเจริญกิจ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) และ นายดนู เทวรัตน์มณีกุล (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) โดยได้รับเกียรติจาก นายธิเบศร์ จันทวงศ์ (ซ้ายสุด) ประธานอุตสาหกรรม จังหวัดกระบี่ ร่วมเป็นสักขีพยาน

กระบี่ – 16 มกราคม 2568 : บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการมอบเครื่องยนต์พร้อมชุดส่งกำลังให้แก่วิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม จังหวัดกระบี่ โดยการมอบสื่อการเรียนการสอนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาศักยภาพของผู้เชี่ยวชาญรุ่นใหม่ ส่งเสริมรากฐานทางการศึกษาในประเทศไทยและพัฒนากลุ่มทรัพยากรบุคคลสายอาชีพที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการมาอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โดยได้มอบชุดเครื่องยนต์และเครื่องยนต์ไปแล้วกว่า 242 ชุด ให้กับสถาบันการศึกษาด้านยานยนต์จำนวน 112 แห่งทั่วไทย สื่อการเรียนการสอนประกอบด้วย เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบรหัส 4N16 รุ่นใหม่ที่ล้ำสมัยซึ่งเป็นขุมพลังขับเคลื่อนใน นิว มิตซูบิชิ ไทรทัน เครื่องยนต์ 4N15 ชุดเกียร์ธรรมดา รุ่น R6M5A เฟืองท้าย และชุดแร็คพวงมาลัยเพาเวอร์ การมอบสื่อการเรียนการสอนเป็นส่วนสำคัญของแนวทางส่งเสริมทางการศึกษา ช่วยเพิ่มพูนความรู้และทักษะของนักเรียนด้วยการเปิดโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยียานยนต์ใหม่ล่าสุด เพื่อให้นักเรียนสามารถติดตามการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้และทักษะที่จำเป็น เพิ่มโอกาสการจ้างงาน และสร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคง

นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ร่วมกับผู้จำหน่าย บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) มุ่งมั่นพัฒนาทักษะและความสามารถให้กับบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ทำให้เราสามารถส่งเสริมการเรียนรู้โดยลงมือปฏิบัติกับอุปกรณ์จริงให้นักเรียนได้ศึกษาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและองค์ความรู้ทางเทคนิคที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มโอกาสการก้าวสู่ความสำเร็จในสายงานอุตสาหกรรมยานยนต์”

นายอุดร แก้วถาวร รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพคลองท่อม กล่าวว่า “เราขอขอบคุณ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และผู้จำหน่าย บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) สำหรับการสนับสนุนที่ทรงคุณค่าในการส่งเสริมการศึกษาของสถาบันของเรา เครื่องยนต์และชุดส่งกำลังที่ได้รับจะช่วยยกระดับประสบการณ์การเรียนรู้และการสอนให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถสร้างบุคลากรที่มีทักษะที่พร้อมปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์แห่งอนาคต”

นางสาวเกษสุดา ปิติเจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ จำกัด (สำนักงานใหญ่) กล่าวว่า “เราให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความมุ่งมั่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในการยกระดับการศึกษาในประเทศไทย และเสริมศักยภาพให้กับคนรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่อไป เราต้องมั่นใจว่าเรามีกลุ่มบุคลากรที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้ก้าวไปข้างหน้า เราจึงต้องส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้มีความรู้และเข้าใจในเทคโนโลยีล่าสุด ตลอดจนการประยุกต์ใช้ เราภูมิใจที่ได้ร่วมสนับสนุนไปพร้อมกับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย”

ภายในพิธีมอบเครื่องยนต์และชุดส่งถ่ายกำลัง ผู้จำหน่าย มิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่ ยังจัดแสดงเทคโนโลยียานยนต์ที่ล้ำสมัยของมิตซูบิชิ ได้แก่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต รุ่นปี 2024 มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ขับเคลื่อน 4 ล้อ และ มิตซูบิชิ แอททราจ สมาร์ท รถยนต์อีโคคาร์ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้ทดลองขับเพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งเทคโนโลยีอันล้ำหน้าของมิตซูบิชิ

นอกเหนือจากกิจกรรมโรดโชว์และการทดลองขับ นักเรียนยังได้รับการฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยียานยนต์ โดยได้เข้าร่วมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเครื่องยนต์ 4N16 รุ่นใหม่ และชุดเกียร์ธรรมดา รุ่น R6M5A เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนได้รับการสอนที่มีคุณภาพสูงสุด การฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและฝึกอบรม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ร่วมกับช่างเทคนิคจากมิตซู ชูเกียรติยนต์ กระบี่

โครงการมอบเครื่องยนต์ให้แก่สถาบันการศึกษา ได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความมุ่งมั่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ในการส่งเสริมการศึกษา สอดคล้องกับปณิธานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมภายใต้วิสัยทัศน์ “สรรค์สร้าง เคียงข้าง สังคมไทย” โดยมุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรม 3 ด้านหลัก ได้แก่ การศึกษา สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ครองส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าโรงแรมสูงสุด

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ครองส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าโรงแรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 70% เสริมแกร่งด้วยความร่วมมือก้บโรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ยกระดับไลฟ์สไตล์แห่งการเดินทางสุดหรูด้วยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด (ขวา) ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมด้วยคุณประภัสสร โต๋ววากุล (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบลล์ ทรานสพอร์ท จำกัด ส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 740d M Sport ให้กับเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ โดยมี มิส ทีน่า ลิว (กลาง) ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เป็นผู้รับมอบ

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย และ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ยกระดับประสบการณ์การเดินทางของผู้เข้าพักให้ได้สัมผัสกับความหรูหราและบริการส่วนบุคคลที่เหนือระดับด้วยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ซึ่งรวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่างบีเอ็มดับเบิลยู i7 xDrive60 M Sport และบีเอ็มดับเบิลยู 740d M Sport ความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการร่วมแสดงความยินดีกับการเปิดตัวของโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ อันนับเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ แล้ว ยังเป็นการผสมผสานเทคโนโลยียานยนต์อันล้ำสมัยของบีเอ็มดับเบิลยูเข้ากับการบริการอันเป็นเลิศของเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน ได้อย่างลงตัว พร้อมมอบประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนนับตั้งแต่ช่วงเวลาแรกที่เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ

โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ในโครงการ วัน แบงค็อก พร้อมทิวทัศน์งดงามของสวนลุมพินี โรงแรมแห่งนี้มอบโอเอซิสแห่งความสงบใจกลางความมีชีวิตชีวาของเมือง ตั้งแต่ห้องพักที่มีให้เลือกเพื่อประสบการณ์การพักผ่อนสุดหรูอย่างมีเอกลักษณ์ การบริการที่เข้าใจผู้มาเยือนอย่างแท้จริง ไปจนถึงการนำเสนอประสบการณ์ท้องถิ่นผ่านกิจกรรมสุดพิเศษประจำวันที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อให้แขกที่เข้าพักได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของไทย การเพิ่มบริการด้านการเดินทางด้วยรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ยิ่งช่วยยกระดับประสบการณ์อันน่าจดจำ ผ่านการเดินทางที่ราบรื่นและมีสไตล์ให้แก่แขกผู้เข้าพัก สะท้อนความเป็นเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน แห่งแรกในกรุงเทพฯ

มร.เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้สร้างความสำเร็จในกลุ่มลูกค้าโรงแรมด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 70% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 27% ซึ่งเป็นความสำเร็จที่สะท้อนความมั่นใจและความไว้วางใจจากพันธมิตรโรงแรมและผู้ประกอบการที่มีต่อรถยนต์และบริการของเรา ซึ่งผมอยากขอขอบคุณพันธมิตรของเราทุกท่านสำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ และที่สำคัญ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ โรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นการบริการเหนือระดับ หรือการผสานความแตกต่างทางวัฒนธรรมไว้ได้อย่างลงตัว เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เป็นแลนด์มาร์คโรงแรมระดับโลกที่มอบความหรูหราและประสบการณ์อันน่าจดจำให้แก่แขกผู้เข้าพัก ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการเดินทางระดับพรีเมียมในประเทศไทย และเรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของโรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ”

มิส ทีน่า ลิว ผู้จัดการทั่วไป โรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ กล่าวว่า “เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบีเอ็มดับเบิลยู เพื่อยกระดับนิยามใหม่แห่งการเดินทางสุดหรูในกรุงเทพฯ ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้เราสามารถรังสรรค์ประสบการณ์การพักผ่อนอันหรูหราอย่างแท้จริงตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสิ้นสุดการเดินทาง ด้วยการผสานบริการรถรับส่งสุดพรีเมียมเข้ากับทุกช่วงเวลาของการเข้าพัก รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 นำเสนอการเดินทางที่ราบรื่นไร้รอยต่อ สู่วัฒนธรรมอันมีชีวิตชีวาของกรุงเทพฯ ได้อย่างมีสไตล์ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ในการมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่เหนือระดับ”

แขกผู้เข้าพักสามารถเลือกระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู i7 xDrive60 M Sport ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าสุดล้ำสมัย เหมาะสำหรับผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และบีเอ็มดับเบิลยู 740d M Sport ที่หรูหราทรงพลังสำหรับผู้ที่หลงใหลในยนตรกรรมสุดคลาสสิก รถยนต์ทั้งสองรุ่นมาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรู รวมถึง BMW Theatre Screen จอภาพพาโนรามาแบบสัมผัสขนาด 31.3 นิ้ว ความละเอียด 8K พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Bowers & Wilkins ที่จะเปลี่ยนทุกการเดินทางให้เป็นเสมือนโอเอซิสส่วนตัว ผสมผสานกับการบริการอันเป็นเลิศของโรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ยกระดับมาตรฐานใหม่แห่งการเดินทางที่เหนือกว่าในกรุงเทพฯ

โตโยต้า ชวนคนไทยชมนิทรรศการตระหนักเรื่องโลกเดือด

โตโยต้า สร้างความตระหนักเรื่องโลกเดือด พร้อมชวนคนไทย ลดเปลี่ยนโลก ผ่านนิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด”

นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานพันธมิตร ภาครัฐ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเกียรติในงานนิทรรศการ “Multiverse Future Thailand ทางเลือก หรือ ทางรอด” เพื่อสร้างความตระหนัก ถึงผลกระทบจากสถานการณ์ภาวะโลกเดือด ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้เกิดการลงมือปรับพฤติกรรม เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ณ ลาน Eden ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด

“การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) เป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ได้มีการดำเนินงานอย่างจริงจัง ผ่าน การจัดการกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment) ควบคู่ไปกับนโยบายการเตรียมความพร้อมในหลากหลายแนวทาง (Multi Pathway) ที่ว่าด้วยการมุ่งมั่นในการพัฒนาทุกความเป็นไปได้ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการเดินทางของผู้คน นำมาสู่การคิดค้นนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์รูปแบบใหม่ๆ รองรับการใช้งานพลังงานได้หลากหลายรูปแบบ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของประเทศ ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 โตโยต้าจึงได้มีการขยายผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรจากภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจน ภาคประชาชน ซึ่งเป็นอีกส่วนที่โตโยต้าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ผ่านการดำเนินกิจกรรม “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า” ที่มุ่งเน้นให้เกิดการปรับพฤติกรรม เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ลดการใช้พลาสติกและพลังงาน ช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียว เดินทางด้วยพลังงานสะอาด และบริโภคอย่างยั่งยืน

นิทรรศการ Multiverse Future Thailand ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของโตโยต้า เพื่อขยายการรับรู้ และความสำคัญในการเริ่มลงมือปรับพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม แก่ภาคประชาชน ผ่านการจำลองอนาคตของประเทศไทย ออกเป็นโลกคู่ขนานใน 2 โซน ดังนี้

1.โซน “ทางเลือก”

มุ่งเน้นให้คนไทยตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะโลกเดือด ผ่านการจำลองเมืองอนาคต ในวันที่สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยนำเสนอวิถีชีวิตใหม่ผ่านร้านค้าต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปัญหาด้านความแห้งแล้ง สุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น

2.โซน “ทางรอด”

มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกผ่านการให้ความรู้ในแง่มุมต่างๆ อาทิ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การเดินทางที่ยั่งยืน เป็นต้น ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการลงมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ผ่านของรางวัลมากมายจากกิจกรรมลดเปลี่ยนโลก กิจกรรม Workshop นำขยะมารีไซเคิลทำเป็นสิ่งประดิษฐ์ โดยคุณเป๋ – ธนวัต มณินาวา เจ้าของแบรนด์ TAMDA ที่มีชื่อเสียงในสร้างสรรค์สิ่งของเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นผลงานต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ Mini talk สร้างแรงบันดาลใจจากอินฟลูเอนเซอร์ ได้แก่ คุณเปรม พฤกษ์ทยานนท์ เจ้าของเพจ ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป ทำคอนเทนต์ชวนคนมารับผิดชอบขยะด้วยวิธีแสนง่าย คุณแตงโม-สยาภา สิงห์ชู หรือในชื่อ “สยาโม” ครีเอเตอร์สายวินเทจ กับเรื่องราวของอดีตที่หวนคิดถึงในเสื้อผ้ามือสอง และคุณกระติ๊บ-ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล อินฟลูเอนเซอร์สายอาหารที่จะมาแนะนำเมนูอาหารที่สามารถทำได้จากผักสวนครัว และพืชที่สามารถปลูกได้ง่าย ๆรอบบ้าน รวมทั้งกิจกรรมมีตแอนด์กรี๊ดกับศิลปินนักแสดงชื่อดัง ปอนด์และภูวินทร์

โตโยต้าคาดหวังว่างานในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเป้าหมาย “สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน” อันจะเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “เมืองสีเขียว” อย่างยั่งยืนต่อไป

นิทรรศการ Multiverse Future Thailand “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด” จะจัดขึ้น ณ ลาน Eden ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตลอดวันที่ 17 – 19 มกราคม 2568 นี้

10 รถโบราณ ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ “สุขเต็มสิบ” คู่สะพานทศมราชัน

สมาคมรถโบราณฯ เชิญชมรถโบราณทรงคุณค่าบนสะพานทศมราชัน ในมหกรรม “สุขเต็มสิบ” โดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย สนับสนุนการจัดงานมหกรรม “สุขเต็มสิบ” ฉลองเปิดสะพานสะพานทศมราชัน หรือสะพานพระราม 10 ซึ่งจัดโดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ 10 – 19 มกราคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้ชม และสัมผัสความยิ่งใหญ่ของสะพานทศมราชัน ซึ่งเป็นสะพานคู่ขนานแห่งแรกของประเทศไทย ก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มกราคมศกนี้

โดยสมาคมฯ ได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ในมหกรรมดังกล่าว ด้วยการจัดแสดงรถโบราณ 10 คัน บนสะพานทศมราชัน ระหว่างวันที่ 17 – 19 มกราคม 2568 เวลา 16.00 – 22.00 น.

รถโบราณที่สมาคมฯ นำไปจอดแสดง ได้แก่ MG TB ปี 1939, Armstrong Siddeley Hurricane ปี 1949, Jaguar Mark V Saloon ปี 1951, Jaguar XK 140 FHC ปี 1956, Morris 1000 Convertible ปี 1957, Mercedes-Benz 190SL ปี 1958, Mercedes Benz 220S Cabriolet ปี 1958, Jaguar E-Type ปี 1964, Alfa Romeo Spider Duetto ปี 1966 และ Porsche Carrera 2 Cabriolet ปี 1990

เชิญติดตามชมภาพประวัติศาสตร์ของรถโบราณในงาน “สุขเต็มสิบ” ณ สะพานทศมราชัน เพิ่มเติมที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/VintageCarClub

Leapmotor ติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในประเทศจีน

Leapmotor ติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในประเทศจีนและรั้งอันดับที่ 7 ยอดขายรวม 293,724 คัน เติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปี 2023

•อันดับแบรนด์รถยนต์พลังงานใหม่ในจีนทั้งหมด : Leapmotor อยู่ในอันดับที่ 7 ด้วยยอดขาย 293,724 คัน เติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปี 2023

•อันดับรถยนต์พลังงานใหม่กลุ่ม Startup ในจีน : Leapmotor ติดอันดับ Top 3

กรุงเทพฯ วันที่ 17 มกราคม 2568 : บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Leapmotor อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดตัวเลขยอดขายรวมของ Leapmotor ในตลาดของประเทศจีน โดยมีตัวเลขยอดขายรวมในปี 2024 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 293,724 คัน เติบโตมากขึ้น 100% ซึ่งทำให้แบรนด์ Leapmotor รั้งอันดันที่ 7 และติดอันดับ TOP 3 รถพลังงานใหม่ในกลุ่ม Startup อีกด้วย

Leapmotor ติดอันดับ 1 ใน 3 แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า Startup ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดของประเทศจีน และได้สร้างความเติบโตอย่างน่าทึ่ง ด้วยยอดที่ขายกว่า 293,724 คัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้ Leapmotor ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์ชั้นนำที่พร้อมเดินหน้าสู่เวทีโลกผ่านเครือข่ายการขายและการให้บริการของ Stellantis

สำหรับ Leapmotor C10 รุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในตลาดของประเทศไทย มาพร้อมระยะทางการขับขี่สูงสุดถึง 477 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์เดี่ยวที่เพลาหลัง ภายในมีกว้างขวาง, เบาะที่นั่งแบบซิลิโคนที่มีความปลอดภัยต่อเด็กทารก มาพร้อมซอฟต์แวร์ four-leaf clover แบบศูนย์รวม Leap 3.0 และระบบจัดการแบตเตอรี่ด้วย AI

การออกแบบที่ล้ำสมัย

Leapmotor C10 ได้รับรางวัลการออกแบบระดับนานาชาติ ได้แก่ International CMF Design Award 2023 และ French Design Award 2024 ด้วยการออกแบบที่แปลกใหม่ ผสมผสานระหว่างเส้นสายแนวนอนและความโค้งมนอย่างลงตัว ไฟหน้า LED แบบ “Angel-Wing” มาพร้อม DRL แบบ Sequential ระบบ Active Grille Shutter (AGS) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแอโรไดนามิก และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วลาย “Trident” เพื่อเพิ่มความลงตัวให้กับตัวรถมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีแพลตฟอร์มและความปลอดภัยขั้นสูง

สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Leap 3.0 และมีพื้นที่กว้างขวาง ปลอดภัย มีสมรรถนะในการขับขี่สูง ด้วยมิติรถขนาดใหญ่ ยาว 4,739 มิลลิเมตร, กว้าง 1,900 มิลลิเมตร, สูง 1,680 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,825 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้น 190 มิลลิเมตร มาพร้อมแบตเตอรี่แบบ Lithium-Iron Phosphate (LFP) ขนาด 69.9 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็ว 30%-80% ภายใน 30 นาที นอกจากนี้ Leapmotor C10 ยังมาพร้อมแชสซีที่ปรับจูนโดย Maserati เพื่อความสมดุลระหว่างความหรูหรา ความสะดวกสบายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนการควบคุม เทคโนโลยีแบบ Cell-To-Chassis (CTC) 2.0 ช่วยเพิ่มความจุแบตเตอรี่ 17.5 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มความแข็งแกร่งของโครงสร้าง และปรับปรุงการจัดการความร้อนได้ดียิ่งขึ้น

ระบบดิจิทัลแบบขั้นสูง

Leapmotor C10 ใช้ชิป Qualcomm® Snapdragon™ 8155 พร้อม Leap OS 4.0 มีหน้าจอ Infotainment ขนาด 14.6 นิ้ว รองรับคำสั่งเสียง ระบบ OTA และหน้าจอแสดงข้อมูลขนาด 10.25 นิ้ว นอกจากนี้ยังมี กล้อง 360 องศา ไฟตกแต่งภายในที่ปรับเปลี่ยนได้ถึง 64 สี และระบบ ADAS ขั้นสูง อาทิ Adaptive Cruise Control (ACC), Automatic Emergency Braking (AEB), และ Lane Keeping Assist (LKA)

ภายในที่สะดวกสบายและทันสมัย

เบาะซิลิโคนที่ผ่านการรับรอง OEKO-Tex Standard 100® ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อเด็กทารก มาพร้อมกับหลังคา Panoramic Sunroof ขนาด 2.1 ตารางเมตร เบาะคนขับออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ พร้อมระบบระบายอากาศ, พื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด 1,410 ลิตร, พร้อมพอร์ต USB หลายจุด, การชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger  และระบบเสียงรอบทิศทางด้วยลำโพง 12 ตัว

ข้อเสนอสุดพิเศษ

มอบแคมเปญพิเศษรวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึงเดือนมีนาคมศกนี้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

•ฟรีประกันภัยปีแรก

•ฟรีเครื่องชาร์จบ้านพร้อมติดตั้ง

•ฟรีค่าจดทะเบียน

•ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี

•ฟรีแพ็กเกจบำรุงรักษา 5 ปี

•รับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

•รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

สีตัวถัง และสีภายใน

สำหรับ Leapmotor C10 เรามีให้เลือกตัวถัง 5 สี ได้แก่ Glazed Green, Pearly White, Canopy Grey, Tundra Grey และ Metallic Black และภายในมี 2 สี คือ Criollo Brown และ Midnight Aurora

การขยายเครือข่ายการขาย

พระนครยนตรการ พร้อมเปิดโชว์รูม Leapmotor สาขาลาดพร้าว 103 และ Leapmotor สาขารัชโยธิน เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ และตั้งเป้าที่จะขยายโชว์รูมเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ในปี 2568 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่สนใจรถ Leapmotor C10 อีกด้วย

**สำหรับลูกค้า Leapmotor Thailand สามารถดูรายละเอียดข้อมูลรถ Leapmotor C10 หรือรายละเอียดของแคมเปญพิเศษต่างๆ พร้อมติดต่อทดลองขับ ได้ที่เว็บไซต์ของ Leapmotor Thailand อย่างเป็นทางการ https://www.leapmotor-international.co/th

www.facebook.com/leapmotorthailand

Instagram : leapmotorthailand

Line ID : @leapmotorthailand หรือ คลิก https://lin.ee/fd3ZnQx

หรือสามารถโทร.สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Leapmotor Call center : 088 987 1562

(วันทำการ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น.)

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save