- Advertisement -
32.1 C
Bangkok
Home Blog Page 101

สยย. เร่งยกระดับความพร้อม ยานยนต์ไทยสู่ยานยนต์สมัยใหม่

สยย. เร่งเสนอมาตรการยกระดับความพร้อม ผู้ประกอบการยานยนต์ไทยสู่ เตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ แก้ไขปัญหามลพิษและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ แลพะการพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและขับขี่อัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและความปลอดภัยในการขับขี่ยานยนต์

สถาบันยานยนต์ (สยย.) จัดงาน สัมมนา “นำเสนอผลการศึกษา ภายใต้โครงการยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Parts Transformation) ปี พ.ศ. 2566” ซึ่งได้รับมอบหมายจาก สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ณ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ โฮเต็ล ประตูน้ำ  โดย ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า “จากนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ มุ่งเน้นสองประการ คือ หนึ่ง การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในระยะยาว และ สอง การต่อยอดจากอุตสาหกรรมยานยนต์เดิม (ICE) ไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง คือ การพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและขับขี่อัตโนมัติ (CAV) ที่นำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ รวมถึงการพัฒนายานยนต์ ICE ที่มีลักษณะ สะอาด ประหยัด และปลอดภัย อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติได้กำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไร้มลพิษ

ดังนั้นเพื่อเป็นการลดผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ จึงจำเป็นต้องจัดทำแผนยุทธศาสตร์ และแผนการปรับเปลี่ยนผู้ผลิตชิ้นส่วน รวมถึงแรงงานไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่ ครอบคลุมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเป้าหมาย เพื่อยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย และเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่

ในการนี้ได้รับเกียรติจาก นางดวงดาว ขาวเจริญ ผู้อำนวยการกองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานสัมมนาดังกล่าว ว่า “นโยบาย 30@30 รัฐบาลกำหนดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle : ZEV) ในปี 2030 ภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ “การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก” เป็นการวางทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยของภาครัฐที่ชัดเจน รวมทั้ง ได้ออกมาตรการครอบคลุมในหลายด้าน ประกอบด้วย มาตรการส่งเสริมการลงทุน มาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี และไม่ใช่ภาษี (โครงการ EV3) รวมทั้ง มาตรการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ซึ่งมาตรการที่นำไปสู่การดำเนินงานในลักษณะบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดการลงทุนใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ EV และทำให้ Demand ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า BEV ในประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน รวมทั้ง ส่งผลให้นักลงทุนรายใหม่ และรายเดิมสนใจเพิ่มเติมการลงทุน โดยต้องการให้ภาครัฐพิจารณาขยายระยะเวลามาตรการส่งเสริม (หรือ EV 3.5) นอกจากนี้ ยังเป็นการดึงดูดผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ให้เข้ามาลงทุนผลิตในประเทศด้วย นโยบายของภาครัฐนี้ถือเป็นการชี้นำภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้มีทิศทางสอดคล้องกับทิศทางของยานยนต์โลก เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ภาครัฐได้ตระหนักถึงการผลิตรถยนต์ในส่วนร้อยละ 70 หรือ 70@30   ซึ่งเป็นยานยนต์สันดาปภายใน หรือ ICE และส่วนใหญ่เป็น Product Champion ของไทยคือ รถกระบะขนาด 1 ตัน และ Eco car ควรได้รับการส่งเสริมเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่ EV หรือ CAV โดยกำลังพิจารณาการส่งเสริมตามแนวทาง “สะอาด (หรือมาตรฐาน Euro 6) ประหยัด (พลังงาน หรือปล่อย CO2 ต่ำ) และปลอดภัย (หรือมาตรฐานการชน และ ADAS)” ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวจะมีการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยอาจจะเป็น HEV, PHEV  สอดรับกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างราบรื่น”

นอกจากนี้ยังมีการบรรยายพิเศษ เรื่องสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย โดย นายสุพจน์ สุขพิศาลประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่นำเสนอสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในไทย ทั้งการผลิตชิ้นส่วนสำหรับการประกอบในโรงงานผลิตรถยนต์ (OEM) และชิ้นส่วนสำหรับอะไหล่ทดแทน (REM) โดยที่ผ่านมาผู้ผลิตชิ้นส่วน OEM มีความสามารถแข่งขันในกลุ่มชิ้นส่วนรถกระบะเป็นหลัก และให้ข้อสังเกตว่าการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานยานยนต์สมัยใหม่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก จำเป็นต้องสร้างความสามารถให้แก่ผู้ผลิตชิ้นส่วนในปัจจุบันทั้งความสามารถทางเทคโนโลยีและการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติจีน ในขณะที่กลุ่มชิ้นส่วน REM ยังมีโอกาสเติบโตเนื่องจากตลาดรถสะสมทั่วโลกจำนวนมากกว่าพันล้านคัน แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังขาดข้อมูลอุตสาหกรรมนี้อยู่อีกมาก จึงจำเป็นต้องดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อใช้สำหรับการวางแผนนโยบายด้านชิ้นส่วน REM ต่อไป

รวมถึงการนำเสนอผลการศึกษาภายใต้โครงการยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ปี พ.ศ. 2566 โดย คณะผู้วิจัย ซึ่งได้ประเมินความสามารถการแข่งขันของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทย พบว่า โดยเฉลี่ย ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างชาติจะมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนคนไทย ดังนั้น ความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ทั้งกระแสการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า และการปรับตัวทางด้านสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนสามารถปรับตัวในระดับแตกต่างกันไป หรือต้องการความช่วยเหลือแตกต่างกันออกไป ที่สำคัญ ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีความสามารถในการแข่งขันระดับสูงมีจำนวนไม่มากนัก หรือคิดเป็นเพียงร้อยละ 15 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด (ผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวน 362 รายในกลุ่มตัวอย่าง) ซึ่งเชื่อว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนกลุ่มนี้มีโอกาสรักษาความสามารถในการแข่งขันและปรับตัวต่อบริบทความท้าทายในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้และในรายสาขาชิ้นส่วนยานยนต์ต่างๆ ผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างชาติมีความพร้อมทางเทคโนโลยีและงบประมาณที่จะผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ในสัดส่วนสูงกว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนคนไทยในทุกรายสาขาชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนคนไทยในกลุ่มช่วงล่าง (Chassis) และกลุ่มกระบวนการผลิต (Process) จะมีความพร้อมต่อการปรับตัวสูงกว่ากลุ่มสาขาชิ้นส่วนอื่นๆ เนื่องจากผู้ผลิตชิ้นส่วนคนไทยเหล่านี้ยังสามารถเข้าไปเชื่อมโยงชิ้นส่วนตนเองหรือกระบวนการผลิตตนเองไปยังยานยนต์สมัยใหม่ได้

พร้อมข้อเสนอมาตรการเพื่อไปสู่เป้าหมาย 4 ประการ ได้แก่ หนึ่ง ส่งเสริมการเข้าสู่ตลาด เพื่อทำให้ผู้ประกอบการเป็นที่รู้จักเชื่อมั่นศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย สอง ส่งเสริมฐานการผลิตให้มีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น เช่น การสร้าง Ecosystem พัฒนาการผลิตแบบคาร์บอนต่ำ เพื่อตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ การยกระดับเป็นผู้ประกอบการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สาม การสร้างความสามารถทางเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น แบตเตอรี่ Autonomous ระบบ ADAS ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการทำ R&D สี่ การพัฒนาบุคคลากร เนื่องจากประเทศไทยยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่

พร้อมทั้งมีการเสวนาใน เรื่องโอกาสของผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในตลาดอะไหล่ทดแทน โดย นายมีชัย ศรีวิบูลย์ ผู้อำนวยการสายงานด้านเทคนิค บริษัท คอมแพ็ค อินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด นายธเนศ เลิศขจรกิตติ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) นายธงชัย อุพันวัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเจแมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ดำเนินรายการโดยนางสาวฐิติภัทร ดอกไม้เทศ ผู้จัดการแผนกพัฒนาอุตสาหกรรมและรักษาการผู้จัดการแผนกวิจัยอุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์ วิทยากรทั้งสามท่านได้นำเสนอประสบการณ์การดำเนินธุรกิจ ซึ่งประเด็นสำคัญคือการเข้าใจตลาดและนำข้อมูลจากลูกค้ากลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ โดยมีหน่วยงานด้านวิจัยและพัฒนาของตนเอง และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อการดำเนินมาตรการของภาครัฐ เช่น

-ภาครัฐจำเป็นต้องส่งเสริม Business Matching หรือผลักดันให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไปแสดงผลิตภัณฑ์ตนเองไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น และไม่ควรมีข้อจำกัดจำนวนครั้งของการเข้าร่วมโครงการให้เงินอุดหนุนเพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตชิ้นส่วนในแต่ละราย โดยเฉพาะในโครงการ SME Pro-active

-โครงการความช่วยเหลือทางการดำเนินงานธุรกิจของภาครัฐมีจำนวนมากและกระจายไปยังหน่วยงานต่าง ๆ แต่เรื่องดังกล่าวกลายเป็นความยากของผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ไม่รู้ว่าจะติดต่อหน่วยงานใด จึงอยากให้มีศูนย์ที่ช่วยแนะนำและติดต่อโครงการความช่วยเหลือแบบรวมศูนย์

-ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งรวบรวมข้อมูลตลาดสินค้าอะไหล่ทดแทนในตลาดส่งออกต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนมีโอกาสเข้าไปขายได้มากขึ้น

ทั้งนี้ สถาบันยานยนต์มีความเชื่อมั่นว่า ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยมีความสามารถแข่งขันเทียบเท่าผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างชาติ และประเทศไทยสามารถพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งจะสอดรับกับเป้าหมายของนโยบาย 30@30 ต้องการคงความสามารถการแข่งขัน เพื่อเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลกได้อย่างแน่นอน

เบนซ์ไพรม์มัส ปลื้ม The New GLC กระแสตอบรับจากลูกค้าดีเกินคาด

“เบนซ์ไพรม์มัส” ปลื้ม! The New GLC จัดงานเปิดตัวครั้งแรกสุดอลังการ กระแสลูกค้าตอบรับดีเกินคาด เร่งเดินหน้ากระตุ้นยอดต่อเนื่อง นำทัพรถใหม่ จัด Road Show มอบโปรสุดพิเศษ ฟรี! WallBox มูลค่า 50,500 บาท หรือ ฟรี! MBSP Extra Guarantee นาน 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ที่เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ และ “เบนซ์ไพรม์มัส” สาขาเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา กับสาขาพัทยา นาจอมเทียน 14-21 สิงหาคมนี้ เท่านั้น

นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์, เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี, เมอร์เซเดส-อีคิว และเมอร์เซเดส-มายบัค ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่า ทาง “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้ร่วมกับบริษัทแม่ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)” จัดงานเปิดตัวยนตรกรรม SUV ระดับลักชัวรี่ คาร์ ในรุ่น Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic ให้ลูกค้ารถยนต์ Mercedes-Benz, ลูกค้า “เบนซ์ไพรม์มัส” และผู้สนใจที่ชื่นชอบรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก พร้อมเปิดจองให้เป็นเจ้าของก่อนใคร ภายใต้ชื่องาน The Life Launching Experience of The New GLC อาคารว่องไววิทย์ (ตลาดน้อย) เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา

“Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic ยานยนต์เอนกประสงค์ระดับลักชัวรี่  ได้รับออกแบบตามหลักปรัชญา Sensual Purity ที่ผสานความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว มาพร้อมกับขุมพลังเทคโนโลยี Plug-in Hybrid  ที่มีประสิทธิภาพในการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำระยะทางได้มากถึง 120 กม./การชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC ให้พละกำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 218 กม./ชม.อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที พร้อมฟังก์ชั่นด้านความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการขับขี่แบบ On-Road และ Off-Road ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ในราคาแนะนำเพียง 4,180,000 บาท”

ในงานดังกล่าว ลูกค้าให้ความสนใจและตอบรับเข้าร่วมงานดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดย “เบนซ์ไพรม์มัส” ได้สร้างสถิติการเปิดจองรถยนต์ The New GLC ในวันแรก และวันเดียว สามารถทำยอดจองทั้งหมด 26 คัน นับเป็นมิติใหม่ของดีลเลอร์ในการจำหน่ายรถยนต์แบรด์ระดับลักชัวรี่ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ต้องขอบคุณบริษัทแม่ ที่มีนโยบายในการสนับสนุนการจำหน่ายของดีลเลอร์ และนโยบายการตลาด ที่มีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริค ในราคาจำหน่ายที่คุ้มค่า รวมทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่างๆ ทำให้ยกระดับความสะดวกสบายในการเป็นเจ้าของยานยนต์รุ่นต่างๆ อันส่งผลดีต่อการจำหน่ายและธุรกิจของ “เบนซ์ไพรม์มัส”

ดังนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้เป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นใหม่ Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic และรถยนต์ Mercedes-Benz, Mercedes-AMG ได้อย่างสะดวก ง่ายดาย ทั้งเป็นการกระตุ้นยอดขายในตลาดรถยนต์ระดับหรูในช่วงไตรมาส 3 ทาง “เบนซ์ไพรม์มัส” จึงมีนโยบายจัดงานแสดงรถยนต์ Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ “เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์” ระหว่างวันที่ 14-21 สิงหาคม 2566

พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษต่างๆ มากมาย อาทิ รับฟรี! Mercedes-Benz WallBox มูลค่า 50,500 บาท หรือ ฟรี! MBSP Extra Guarantee นาน 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง หรือ ฟรี MBSP Extra Guarantee นาน 5 ปี พร้อมประกันภัยชั้น 1 นาน 2 ปี หรือ พิเศษ ดอกเบี้ย 0% นาน 4 เดือน พร้อมประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี เป็นต้น

ยามาฮ่า จัดหนักโปรโมชัน ซื้อฟินน์วันนี้รับ 3 ต่อ

ยามาฮ่า จัดหนักจัดเต็มกับโปรโมชัน “ฟินน์ทุกที่ ฟรีทุกคน” ซื้อ ยามาฮ่า ฟินน์ วันนี้! รับฟรีของแถม 3 รายการ รวมมูลค่ากว่า 1,200 บาท

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด จัดหนักจัดเต็มกับโปรโมชันสุดคุ้ม “ฟินน์ทุกที่…ฟรีทุกคน” เมื่อซื้อรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟินน์ ทุกรุ่น ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2566–31 ตุลาคม 2566 รับของแถมฟรีทันที! 3 รายการ รวมมูลค่า 1,200 บาท ได้แก่ 1. หมวกกันน็อก FINN 1 ใบ 2. ตะกร้าหน้า 1 ชิ้น 3. กันลาย 1 ชิ้น พร้อมเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพสินค้าด้วยการรับประกันทั้งคัน 5 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง กล้าที่จะไป กล้าที่จะเป็น #กล้าที่จะฟินน์

สำหรับรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟินน์ มีให้เลือกเป็นเจ้าของด้วยกัน 4 รุ่น คือ รุ่น UBS ราคา 48,700 บาท, รุ่น ล้อแม็ก/สตาร์ทมือ ราคา 46,900 บาท, รุ่น ล้อซี่ลวด/สตาร์ทมือ ราคา 44,900 บาท และรุ่น ล้อซี่ลวด/สตาร์ทมือ ดรัมเบรก ราคา 41,200 บาท โดยสามารถเป็นเจ้าของได้ที่ร้านยามาฮ่าสแควร์ และร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263- 9999 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่ www.yamaha-motor.co.th

มิตซูบิชิ เปิดลูกค้าลองขับเอ็กซ์แพนเดอร์และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้ลูกค้าสนุกกับการขับขี่เหนือระดับ ด้วยการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ในงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มอบความประทับใจให้ลูกค้าด้วยประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ  กับการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ในงาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ

งาน “เอ็กซ์พีเรียนซ์ เดย์ พลัส” XPERIENCE DAY+ คันที่ใช่ กับไลฟ์สไตล์ที่ชอบ จัดขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 4 วัน 4 ภาค โดยส่งท้ายกิจกรรมความสนุกกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลูกค้าที่เข้าร่วมงานต่างรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจที่ได้สัมผัสกับสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น จากการทดลองขับ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส บนสนามทดสอบรถยนต์ที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ลูกค้ายังรู้สึกประทับใจในดีไซน์ที่หรูหราด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่างของรถทั้งสองรุ่นนี้อีกด้วย โดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ที่โดดเด่นในด้านความหรูหรา สะดวกสบาย สามารถครองใจครอบครัวยุคใหม่ ที่ต้องการมองหารถอเนกประสงค์ที่มีห้องโดยสารกว้างขวาง ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน ขณะที่ผู้ขับขี่ที่รักการผจญภัยและออกทริปเอาท์ดอร์ ต่างรู้สึกประทับใจ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ใหม่สไตล์โฉบเฉี่ยว ขับสนุกสไตล์สปอร์ต หรูหรา สะดวกสบาย ให้ความปลอดภัย สไตล์เอสยูวี ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นระบบการขับขี่สุดล้ำสมัย เสริมความปลอดภัยในการขับขี่ด้วย “ระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง” (Active Yaw Control: AYC) ช่วยควบคุมการทำงานของล้อด้านในและด้านนอกขณะเข้าโค้ง เพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพในการขับขี่ ให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้มากกว่าเดิม พร้อมลุยในหลากหลายสภาพถนนและสภาพอากาศที่แตกต่าง

ลูกค้าที่สนใจ สามารถชม มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส ทั้ง 2 รุ่น ได้ที่โชว์รูม มิตซูบิชิ มอเตอร์ ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายเพื่อทดลองขับได้ที่ www.mitsubishi-motors.co.th หรือ มิตซูบิชิ คอลเซ็นเตอร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-9500 เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มาตรฐานความปลอดภัย ASEAN NCAP ระดับ 5 ดาว

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ คว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP ต่อเนื่อง 3 เจเนอเรชันซ้อน ตอกย้ำการเป็นเอสยูวีที่เปี่ยมคุณภาพ มาพร้อมมาตรฐานความปลอดภัย ควบคู่กับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมในทุกเส้นทาง

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเอสยูวีในไทย เผยความสำเร็จอีกขั้นของ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 6 ยนตรกรรมรุ่นล่าสุดในไลน์อัปเอสยูวีของฮอนด้า ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อวัดสมรรถนะด้านความปลอดภัยของยานยนต์รุ่นใหม่ที่วางจำหน่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (New Car Assessment Program for Southeast Asia) โดยนับเป็นการคว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดต่อเนื่อง 3 เจเนอเรชัน สะท้อนการเป็นรถเอสยูวีคุณภาพที่เปี่ยมด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งเป็นเครื่องยืนยันถึงการสร้างสรรค์และนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพของฮอนด้า ที่มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย เพื่อส่งมอบความมั่นใจและความสุขสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนในทุกเส้นทาง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของฮอนด้าในการมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในการสร้างสังคมการขับขี่ปลอดอุบัติเหตุให้เกิดขึ้น ทั้งการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่วโลกภายในปี 2050

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยคะแนนรวม 87.16 เต็ม 100 คะแนน โดยได้รับคะแนนในแต่ละด้าน ทั้ง 4 ด้าน จากคะแนนเต็ม 120 คะแนน ซึ่งหลักเกณฑ์การประเมินประกอบด้วย การทดสอบการชนจากด้านหน้า การชนจากด้านข้าง และการประเมินเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย โดย ซีอาร์-วี ใหม่ ได้รับคะแนนในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ (Adult Occupant Protection: AOP) 31.45/32 คะแนน การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก (Child Occupant Protection: COP) 45.81/51 คะแนน เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย (Safety Assist Technologies: SATs) 19.50/21 คะแนน และความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ (Motorcyclist Safety: MS) 9.05/16 คะแนน ทั้งนี้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เปิดตัวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2566 และได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้า

นอกจากนี้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ยังสามารถคงมาตรฐานความปลอดภัยยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาวไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เจเนอเรชันที่ 4 ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวเมื่อปี พ.ศ. 2556 จนถึงเจเนอเรชันปัจจุบัน โดยรุ่นที่นำมาใช้ในการทดสอบครั้งนี้ เป็นรุ่น EL 4WD* ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร Direct Injection DOHC VTEC TURBO

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อย ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง* (Honda SENSING) ที่ผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยฟังก์ชันการทำงานหลัก ได้แก่

•ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)

•ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)

•ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW)

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)

•ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

•ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน

•ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่นๆ* อาทิ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) เป็นต้น

ฮอนด้า จะยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนายนตรกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบยนตรกรรมที่มีคุณภาพ ครบครันด้วยเทคโนโลยีทั้งด้านการขับขี่และความปลอดภัย เพื่อมอบความมั่นใจและความปลอดภัยในทุกการเดินทาง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำในการสร้างสังคมการขับขี่ปลอดอุบัติเหตุให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งการใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่วโลกภายในปี 2050

สัมผัสกับ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามข้อมูลจากที่ปรึกษาการขายได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดทาง www.honda.co.th/crv ลูกค้าสามารถทดลองขับเพื่อสัมผัสกับเทคโนโลยีความปลอดภัย และสมรรถนะการขับขี่ของฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ทั้งขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบ VTEC TURBO ที่มอบอัตราเร่งเร้าใจ ขับสนุกสไตล์สปอร์ต และระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมในชีวิตประจำวันได้อย่างไร้กังวล ได้ที่โชว์รูมฮอนด้า

โดย ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ** ดอกเบี้ย 2.29% พร้อมฟรีประกันภัย 1 ปี พร้อมฟรีโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ขยายเวลารับประกันคุณภาพอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร สำหรับรุ่น e:HEV รับเพิ่มประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปีและรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนและร่วมกิจกรรมทดลองขับผ่าน www.honda.co.th/testdrive ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 – 30 กันยายน 2566 จะได้รับฟรีขวดน้ำพับได้ มูลค่า 250 บาท**

*อุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัยแตกต่างกันในแต่ละรุ่นและแต่ละประเทศ

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

ยนตรกรรมรุ่นต่างๆ ของฮอนด้าที่ผ่านการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP

รุ่นรุ่นปีผลการทดสอบ
ซีอาร์วี2023ระดับ 5 ดาว
2017ระดับ 5 ดาว
2013ระดับ 5 ดาว*
ดับเบิลยูอาร์วี2023ระดับ 5 ดาว
เอชอาร์วี2022ระดับ 5 ดาว
2015ระดับ5 ดาว**
บีอาร์-วี2022ระดับ 5 ดาว
2015ระดับ5 ดาว*
ซีวิค2021ระดับ5 ดาว
2016ระดับ5 ดาว**
2013ระดับ5 ดาว*
ซิตี้2020 (ซีดานและแฮทช์แบ็ก)ระดับ5 ดาว
2014ระดับ5 ดาว*
2012ระดับ5 ดาว*
แอคคอร์ด2019ระดับ5 ดาว
บริโอ้ และ บริโอ้ อเมซ2016ระดับ4 ดาว
แจ๊ซ2014ระดับ5 ดาว*

* ในรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist: VSA) และระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า (Seatbelt Reminder: SBR) ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 4 ดาว

** สำหรับฮอนด้า ซีวิค (รุ่นปี 2016) และเอชอาร์-วี (รุ่นปี 2015) ในรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า (Seatbelt Reminder: SBR) ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 4 ดาว

เกี่ยวกับ ASEAN NCAP

การทดสอบการชนเพื่อทดสอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยของรถยนต์ของ ASEAN NCAP (ASEAN New Car Assessment Program) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประเมินสมรรถภาพรถยนต์ใหม่ หรือ NCAP (New Car Assessment Program) มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนน กระตุ้นให้เกิดการรับรู้และเห็นถึงความสำคัญของการขับขี่ปลอดภัย รวมถึงสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประชาคมอาเซียน) ทั้งนี้ การทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยจากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP เป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง ASEAN NCAP และสถาบันวิจัยยานยนต์ประเทศญี่ปุ่น (JARI)

ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ สปอร์ตพรีเมียมเอสยูวีที่ผสานคุณค่าใหม่เพื่อยกระดับเอสยูวีไปอีกขั้น ทั้งดีไซน์ภายนอกที่สปอร์ตพรีเมียม แข็งแกร่งในทุกมิติ ครั้งแรกกับรุ่น RS ที่เสริมความสปอร์ตอีกขั้นในดีไซน์สไตล์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย มาพร้อมพื้นที่สัมภาระท้ายขนาดใหญ่ รองรับทุกไลฟ์สไตล์กับเบาะโดยสารทั้งแบบ 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง สามารถปรับพับเพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งานได้ดั่งใจ มาพร้อม 2 ขุมพลังการขับเคลื่อน กับระบบฟูลไฮบริด e:HEV และขุมพลังเครื่องยนต์เทอร์โบ VTEC TURBO มอบสมรรถนะการขับขี่ขับสนุก ทรงพลัง แต่ยังมีอัตราประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยม โดยมีให้เลือกทั้งแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (Real Time(TM) AWD with E-DPS) มั่นใจทุกเส้นทางด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ในทุกรุ่นย่อย อีกทั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ระดับพรีเมียม อาทิ ใหม่ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ที่ดีตลอดเส้นทางด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน อาทิ ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-Free Power Tailgate with Walk Away Close) ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ พร้อม Honda Smart Key Card ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Driver Memory Seat) ไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร (Ambient Light) อีกทั้งหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่อสมาร์ตไลฟ์สไตล์ อาทิ ใหม่ ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า (Head-up Display: HUD) ระบบเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) พร้อมมอบประสบการณ์เดินทางที่เหนือระดับไปอีกขั้น เสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นสำหรับรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

แอสตัน มาร์ติน แบงคอก เปิดตัว DB12

แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ฉลองครบรอบ 75 ปี ของยนตรกรรมสายพันธุ์ DB เปิดตัว แอสตัน มาร์ติน DB12 ‘The World’s First Super Tourer’ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

แอสตัน มาร์ติน แบงคอก ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ แอสตัน มาร์ติน อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวยนตรกรรมสปอร์จากประเทศอังกฤษรุ่นล่าสุด เป็นครั้งแรกในประเทศไทย กับ แอสตัน มาร์ติน DB12 พร้อมกำหนดนิยามใหม่ ‘The World’s First Super Tourer’ และนับเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี ของยนตรกรรมสายพันธุ์ DB ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นรถยนต์ระดับไอคอน

แนนซี่ เฉิน ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท แอสตัน มาร์ติน ลากอนดา จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้นับว่ามีความหมายกับ แอสตัน มาร์ติน เป็นพิเศษ เนื่องในโอกาสครบรอบ 110 ปี แห่งประวัติศาสตร์ของผู้ผลิตยนตรกรรมสปอร์ตจากประเทศอังกฤษ นับตั้งแต่การคว้าชัยชนะในการแข่ง แอสตัน ฮิลล์ ไคลม์ ไปจนถึงการนำรถเข้าแข่งรายการ ฟอร์มูลาวัน กรังด์ปรีซ์ ในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ เรายังได้เฉลิมฉลองการครบรอบ 75 ปี ของยนตรกรรมสายพันธุ์ DB ที่นับเป็นต้นกำเนิดของรถ จีที (GT-Grand Tourer) ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นล่าสุด แอสตัน มาร์ติน DB12 ผู้กำหนดนิยามใหม่ ‘The World’s First Super Tourer’ ”

ฉัตรชัย แก้วผ่องศรี ผู้จัดการทั่วไป แอสตัน มาร์ติน แบงคอก กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและตื่นเต้นไปกับชาวไทย ที่จะได้สัมผัสกับ แอสตัน มาร์ติน DB12 ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็นยนตรกรรม ซูเปอร์ทัวเรอร์ คันแรกของโลก นับเป็นการยกระดับให้กับรถประเภท จีที ผ่านการผสมผสานความหรูหรา เข้ากับสมรรถนะของซูเปอร์คาร์ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ได้อย่างลงตัว”

Bolder – เน้นความชัดเจนของเส้นสาย ให้กับยนตรกรรมระดับไอคอน

ตัวถังดีไซน์ใหม่ กว้างและดูดุดันยิ่งขึ้น เน้นจุดเด่นของ แอสตัน มาร์ติน ด้วยกระจังหน้าแบบ single vaned ที่มีความโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น DB โดยมีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 56% (เทียบกับ DB11 V8) เพื่อรองรับพละกำลังของ แอสตัน มาร์ติน DB12 กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมแผ่นรีดอากาศด้านหน้า (front splitter) โลโก้สัญลักษณ์ (Aston Martin Wing Badge) แบบใหม่ โดดเด่นยิ่งขึ้น และเป็นการนำมาติดตั้งบน แอสตัน มาร์ติน DB12 เป็นรุ่นแรก พร้อมช่องระบายอากาศบนฝากระโปรง เพื่อระบายความร้อนจากเครื่องยนต์และเทอร์โบคู่ ที่อยู่บริเวณกลางห้องเครื่อง ไฟหน้าแอลอีดี พร้อมเดย์ไทม์รันนิงไลท์แบบใหม่ (6-block pattern) กระจกข้างทรงสปอร์ตไร้กรอบ เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะช่วงความเร็วสูง ด้วยระบบแอโรไดนามิกส์ ‘Aeroblade’ โดยใช้หลักอากาศพลศาสตร์ในการสร้างแรงกด พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบอัตโนมัติ รวมไปถึงความประทับใจใหม่ กับ ‘Presenting Door Handles’ เมื่อกดปุ่มปลดล็อกบนกุญแจรีโมท มือจับประตูจะเปิดขึ้นอัตโนมัติ ช่วยให้จับได้สะดวกยิ่งขึ้น

Fiercer – แรงจัด ทรงพลังมากที่สุดในรถกลุ่มเดียวกัน

ยกระดับให้กับรถ จีที สู่การเป็นยนตรกรรมซูเปอร์ ทัวเรอร์ ขึ้นทำเนียบยนตรกรรมพลังแรงที่สุดในคลาส ด้วยขุมพลังเบนซินทวินเทอร์โบ วี8 สูบ 4.0 ลิตร 680 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,750-6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ (ZF 8HP75) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Finer – หรูหรา ประณีต แบบอัลตราลักชัวรี่

ห้องโดยสารยังคงความหรูหราและประณีตทุกรายละเอียด ตามแบบฉบับของ แอสตัน มาร์ติน มาพร้อมหลากหลายแนวทางการตกแต่งห้องโดยสาร จึงลงตัวกับทุกบุคลิกของผู้ครอบครอง  ระบบอินโฟเทนเม้นท์แบบใหม่ พัฒนาโดย แอสตัน มาร์ติน ติดตั้งจอดิจิทัลหน้าผู้ขับแบบ TFT 10.25 นิ้ว คมชัดสูง และปรับแต่งการแสดงผลได้หลายแบบ พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ ผสมผสานความหรูหรา ประณีต ตัดเย็บด้วยมือ เข้ากับปุ่มควบคุมระบบอินโฟเทนเมนท์ล้ำสมัย ขณะที่จอแสดงผลอเนกประสงค์ 10.25 นิ้ว ติดตั้งกลางแดชบอร์ด เน้นความสะดวกของผู้ขับ เร้าใจกับปุ่มสตาร์ท/ดับเครื่องยนต์แบบใหม่ ตัวปรับเลือกโหมดการขับแบบแป้นหมุน พร้อมสวิตช์ควบคุมต่างๆ ติดตั้งบริเวณคอนโซลกลาง ใช้งานได้สะดวก

Purer – Drive Modes แบบใหม่ เติมความเร้าใจให้ผู้ขับ

แอสตัน มาร์ติน DB12 ออกแบบและผลิตภายใต้แนวคิด ‘Driver Centric’ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับผู้ขับ เน้นการใช้งานที่ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมรถ การันตีการขับที่สนุกและปลอดภัยทุกสถานการณ์ ด้วย 5 โหมดการขับ คือ Wet, Individual, GT (พื้นฐาน), Sport และ Sport+ พร้อมติดตั้งระบบออกตัว (Launch Control) สำหรับการทะยานจากจุดสตาร์ท รวมถึงมีระบบควบคุมการทรงตัว (ESP-Electronic Stability Programme) ที่สามารถปรับได้ 3 แบบ คือ ON, TRACK และ OFF ที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับได้สัมผัสกับความท้าทายในการควบคุมรถอย่างเป็นธรรมชาติ

Sharper – แฮนด์ลิงคมกริบ

อีกหนึ่งความพิเศษของ แอสตัน มาร์ติน DB12 คือ ช่วงล่างหน้า-ดับเบิลวิชโบน และหลัง-มัลติลิงค์ พร้อมโช้กอัพอะแดปทีฟ ‘BILSTEIN DTX’ ที่มีความความยืดหยุ่น นุ่มหนึบ และความละเอียดในการขับมากขึ้นถึง 500% (เทียบกับ DB11 V8) นอกจากนั้นยังเป็นครั้งแรก ที่มีการติดตั้งเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-diff) กับยนตรกรรมสายพันธุ์ DB ควบคุมรถอย่างมั่นใจด้วยคาลิเปอร์เบรกหน้า 6 พ็อต หลัง 4 พ็อต จับคู่จานเบรกโลหะเจาะรูระบายความร้อน หน้า-หลังขนาด 400 และ 360 มิลลิเมตร ตามลำดับ พร้อมมีจานเบรกคาร์บอนเซรามิก เจาะรูระบายความร้อน หน้า-หลังขนาด 410 และ 360 มิลลิเมตร เป็นออปชั่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการชะลอความเร็ว และลดน้ำหนักใต้สปริงได้ถึง 27 กิโลกรัม ปิดท้ายด้วยล้อฟอร์จขนาด 21 นิ้ว จับคู่กับยาง Michelin Pilot Sport S 5 แก้มยางระบุอักษร ‘AML’ บ่งบอกว่าผลิตมาสำหรับ แอสตัน มาร์ติน DB12 พิเศษกับโครงสร้างโฟมด้านใน ช่วยลดเสียงรบกวนและนุ่มนวลยิ่งขึ้น โดยมีขนาดหน้า-หลัง 275/35/ZR21 และ 325/30/ZR21 ตามลำดับ

อาวดี้ เปิดตัว TT RS Heritage

อาวดี้ เปิดตัว Exclusive Project ลิมิเต็ด เอดิชั่น “TT RS Heritage” 25 คันในโลกพร้อมอวดโฉม 2 รุ่นพิเศษ ทั้ง RS 4 Avant Competition และ RS 5 Coupé Competition เสริมความแกร่งสาย High Performance ฉลองครบรอบ 40 ปี Audi Sport

นายกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด หรือ อาวดี้ ประเทศไทย กล่าวถึงการเปิดตัว TT RS Heritage Thailand Limited Edition “กระแสตอบรับจาก Audi Fan ในประเทศไทย ส่งผลให้ยอดขาย Audi TT Family ปี 2022 ของ อาวดี้ ประเทศไทย ขึ้นเป็นอันดับ 6 ของโลก (อันดับ 2 ในเอเชีย รองจากประเทศญี่ปุ่น) และในครึ่งปี 2023 ด้วย Motorsport DNA ที่ถูกถ่ายทอดมายัง Audi TT Coupé Final Icon Black ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้ยอดขายของกลุ่ม Audi TT ของ อาวดี้ ประเทศไทย ขึ้นเป็นอันดับ 5 ของโลก (อันดับ 2 ในเอเชีย รองจากประเทศญี่ปุ่น) เพื่อตอกย้ำความชื่นชอบของ Audi Fan ในประเทศไทยที่มีต่อ Audi TT  AUDI AG และ อาวดี้ ประเทศไทย ใช้เวลาเกือบ 2 ปี ในการทำโปรเจ็คสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับ Icon Model ระดับตำนาน จึงเป็นที่มาของ “TT RS Heritage Thailand Exclusive Edition” เป็นรถ ลิมิเต็ด อิดิชั่น ที่มีเพียง 25 คัน ทั่วโลกเท่านั้น”   

ปี 2023 AUDI AG เฉลิมฉลองความสำเร็จครบรอบ 40 ปี ของ Audi Sport Sub-brand ที่มีความแข็งแกร่งในการพัฒนารถในกลุ่ม High-Performance ทลายทุกขีดจำกัด ทั้ง Performance และ Sporty Design มาตั้งแต่ปี 1983 จนเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าอาวดี้ทั่วโลก และโลดแล่นอยู่ในสนามแข่งมาโดยตลอด TT RS คือรุ่นที่สำคัญรุ่นหนึ่งภายใต้การพัฒนาของ Audi Sport ปัจจุบัน Audi TT ก้าวสู่ปีที่ 25 นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1998 เป็นรถสปอร์ตไอคอนที่เป็นขวัญใจแฟนอาวดี้ทั่วโลก ด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ Iconic Sports Car และ Driving Performance ขับสนุกเร้าใจ ถูกพัฒนามาจนถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 เทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปที่ดีที่สุด

“อาวดี้ ประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่มีการเปิดตัวในเวลาที่ใกล้เคียงกับ World Premier และนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย รถยนต์ในกลุ่ม RS ที่มีรากฐานมาจาก Audi Sport รถยนต์ในตระกูล High Performance นั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดด แรงสวนกระแส เฉพาะรถในตระกูล High Performance เปิดตัวในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 11 รุ่นย่อย 9 body types และทำให้มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมทุกเซกเมนต์ รวมทั้งสิ้น 41 รุ่นย่อย 20 body types”

TT RS Heritage Thailand Limited Edition ครั้งแรกในประเทศไทยกับมีความพิเศษไม่เหมือนใคร Exclusive Colors และการตกแต่งภายนอกแบบ Black Edition Limited Edition เพียง 25 คัน ในโลกเท่านั้น ราคา 5,899,000 บาท

Exclusive Exterior & Interior 

Audi TT RS Heritage Thailand Edition 5 สีภายนอก กับดีไซน์พิเศษเเมทช์กับ 5 สีภายใน ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีที่เคยใช้ในรุ่น Ur-Quattro (อูร์ควอทโทร) ซึ่งเป็น Iconic model ในช่วง 1980s และเคยได้รับรางวัล Rally Champion ได้แก่ สี Alpine White / Helios Blue / Stone Grey / Tizian Red และ Malachite Green มาพร้อมกับการตกแต่งแบบพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ชุดแต่ง Black Edition ที่ให้ลุคความดุดันรอบคัน RS spoiler แบบ Winglets ที่เพิ่มประสิทธิภาพของแอโรไดนามิคส์และลายล้อสุดพิเศษแบบ 5 ก้าน Anthracite Black diamond-turned ขนาด 20 นิ้ว

Sport Driving Experience และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro

ซูเปอร์คาร์ย่อส่วนจากรุ่นพี่อย่าง R8 เครื่องยนต์นี้ได้รับรางวัล International Engine of the Year Awards 9 สมัยติดต่อกัน ให้คุณปลดปล่อยความสปอร์ตออกมาได้อย่างเต็มที่กับเครื่องยนต์ 5 สูบ 20 วาล์ว 400 แรงม้า แสดงถึง DNA ของ Audi ได้อย่างแท้จริง และช่วงล่างแบบ Audi Magnetic ride สามารถปรับความแข็งอ่อนของโช๊คอัพได้อย่างอิสระ รถขับขี่ได้อย่างสนุก และควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ

ตอกย้ำความสำเร็จของรุ่น Audi TT family ที่ได้รับกระแสตอบรับจาก Audi Fan ในประเทศไทยตลอดมา อาวดี้ ประเทศไทย นำรุ่น limited edition มาให้ Audi Fan เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จของ Audi Sport ครบรอบ 40 ปี เปิดให้จอง  TT RS Heritage Thailand Limited Edition เพียง 25 คัน ในโลกเท่านั้น

TT Coupé Story  

Audi TT เผยโฉมครั้งแรกในปี 1995 ที่งานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ และกลายเป็นไอคอนโมเดลของรถสปอร์ต ที่ดีไซน์มีความร่วมสมัยเหนือกาลเวลา เส้นสายของรถโดดเด่น โฉบเฉี่ยวและแตกต่างจากรถสปอร์ตอื่นๆ ในยุคนั้น ทำให้ Audi TT กลายเป็นรถที่ครอบครองหัวใจของผู้ที่ชื่นชอบรถไปทั่วโลก

ในปี 2006 Audi TT family ได้เปิดตัวเจเนอร์เรชั่นที่ 2 โดยนำเสนอการผสมผสานงานประกอบอลูมิเนียมที่ลงตัว ความ Dynamic ในการขับขี่ที่ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จและเทคโนโลยีช่วงล่าง Audi Magnetic Ride ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์การขับขี่ไปอีกขั้น ต่อมาในปี 2009 อาวดี้ได้เปิดตัว Audi TT RS ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 5 สูบแถวเรียง ให้กำลัง 340 แรงม้า ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ด้านสมรรถนะ นวัตกรรม และประสบการณ์การขับขี่อันยอดเยี่ยมให้กับวงการรถยนต์

หลังจากนั้นในปี 2014 Audi TT เจเนอร์เรชั่นที่ 3 มาพร้อมรูปลักษณ์ที่สปอร์ตและปราดเปรียวยิ่งขึ้น เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เช่น Audi Virtual Cockpit ที่ช่วยให้คนขับไม่ต้องละสายตาออกจากถนน Audi TT ยังคงฝาถังน้ำมันทรงกลมที่เป็นเอกลักษณ์ มาตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน

ความสมบูรณ์แบบของยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ประสบการณ์การขับขี่แบบ Audi Sport พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro อันเป็นเอกลักษณ์ พกพาขุมพลังที่ไร้ขีดจำกัด ดีไซน์ดุดัน โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทรงพลังเร้าใจ นี่คือความลงตัวอันน่าทึ่งของรถสปอร์ตสมรรถนะสูง

Audi TT ก้าวสู่ปีที่ 25 นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1998 เป็นรถสปอร์ตไอคอนที่เป็นขวัญใจแฟนอาวดี้ทั่วโลก ด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์และ Driving Performance ที่ขับสนุกเร้าใจ ถูกพัฒนามาจนถึงเจเนอร์เรชั่นที่ 3 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปที่ดีที่สุด

ครั้งแรกกับสี Exclusive Color ใน RS 4 Avant และ RS 5 Coupé ที่ อาวดี้ ประเทศไทย เปิดตัวพร้อมกันอีก 2 รุ่น ในวันนี้ อัพเกรดลุคใหม่ Competition Edition มาตรฐานใหม่ของรถยนต์สาย Performance พร้อมปลดล็อคสมรรถนะอันสมบูรณ์แบบ ความเร็ว 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

RS 4 Avant competition

พบกับความสำเร็จสูงสุดของ RS 4 Avant competition ความสมบูรณ์แบบของยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก สเตชั่นแวกอน Avant อันเป็นเอกลักษณ์ Audi ที่ได้สร้างการผสมผสานอันน่าทึ่งของรถสปอร์ตสมรรถนะสูง เต็มไปด้วยพลังและความประณีต ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบไดนามิก quattro ทำให้ RS 4 Avant competition สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่น่าจดจำไม่เหมือนใคร สนุกเร้าใจไร้ขีดจำกัดเสมือนอยู่ในสนามแข่ง RS 4 Avant competition ได้กลายเป็นขวัญใจของผู้ที่รักความแรง และสร้างความตื่นเต้นให้กับ Audi Sport GmbH และฐานแฟนอาวดี้ทั่วโลกมากว่า 20 ปี

รถสปอร์ตสมรรถนะสูงดีไซน์แบบ Avant สุดยอดเอกลักษณ์จาก Audi และครั้งนี้มาพร้อมลุคที่ร้อนแรง เร้าใจยิ่งกว่าเดิมล้อขนาด 20 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Audi Sport แบบ 5 ก้าน ในเฉดสีดำ Phantom black และ สีทูโทน Phantom black high-gloss milled พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงแบบ RS ชุดตกแต่งภายนอกแบบ Glossy Black RS พร้อมตกแต่ง Audi Ring และชื่อรุ่นด้วยสี Glossy Black มั่นใจกับประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม จากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อัจฉริยะ quattro ทำให้ทุกการควบคุมเป็นไปอย่างมั่นใจในทุกเส้นทาง เติมเต็มด้วยระบบท่อไอเสียแบบ RS Sports plus ตกแต่งด้วยสี Matt Black ส่งเสียงคำรามจากห้องเครื่องสู่ท้องถนนอย่างเร้าใจ ทะยานไร้ขีดจำกัดกับประสบการณ์ขับขี่แบบ Audi Sport สมรรถนะที่ดุดันยิ่งกว่าเดิม ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V6 biturbo ระเบิดพลัง 450 แรงม้า แรงบิดที่ 600 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 4.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ออกแบบภายในอย่างพิถีพิถัน สร้างบรรยากาศการขับขี่ให้เอ็กซ์คลูซีฟยิ่งกว่าเดิม ด้วยเบาะนั่งคู่หน้าแบบ RS Sports ตกแต่งแบบ honeycomb และด้ายสีแดง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังหุ้มหนัง Fine Nappa ห้องโดยสารตกแต่งลาย Matte Carbon Twill พร้อมไฟเรืองแสงห้องโดยสาร ที่ปรับได้มากถึง 30 เฉดสี ควบคุมขุมพลังผ่านพวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด หุ้มหนัง Alcantara พร้อมสัญลักษณ์ RS และ Paddle shift แสดงข้อมูลการขับขี่ผ่านจอ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว เสมือนมาตรวัดรถแข่ง พร้อมระบบ MMI Navigation plus ขนาด 10.1 นิ้ว พร้อมดื่มด่ำกับเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ

เพลิดเพลินกับเอฟเฟกต์ไฟแบบ Light staging ด้านหน้าและด้านท้าย เมื่อเปิด-ปิดล็อครถ มาพร้อมเทคโนโลยีไฟหน้าอัจฉริยะ Matrix LED ส่องสว่างไกล คมชัดและแม่นยำ ลำแสงปรับการทำงานอัตโนมัติตามสถานการณ์การขับขี่ เพื่อไม่ให้รบกวนรถที่วิ่งสวนมาและรถที่อยู่ด้านหน้า ทำให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมไฟ Projector LED แบบ RS competition ที่ประตูหน้า-หลัง

RS 4 Avant competition วางจำหน่ายในสีมาตรฐานได้แก่ Glacier white, metallic / Mythos black, metallic / Nardo grey, solid / Tango red, metallic / Progressive red, metallic / Navarra blue, metallic ราคา 6,499,000 บาท

รายการสีสั่งพิเศษมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 300,000 บาท จากราคาขายแนะนำที่ระบุไว้ในใบราคา ได้แก่ Green, solid / Cumulus blue, solid / Suzuka grey, metallic / Coral orange, metallic / Nogaro blue, pearl effect / Goodwood green, pearl effect / Merlin, pearl effect

RS 5 Coupé competition

สัมผัสพลังปลดปล่อยที่พร้อมจะจุดประกายได้ทุกเมื่อ การออกแบบที่แม่นยำของ Audi Sport สะท้อนทั้งประสิทธิภาพและความสวยงามที่โดดเด่น รูปลักษณ์ภายนอกผสมผสานความสปอร์ตในสไตล์ Coupé ผสมผสานระหว่างความหรูหราเข้ากับความสปอร์ตได้อย่างแนบเนียน การออกแบบรถยนต์สมรรถนะสูงเพื่อสะท้อน DNA ขุมพลังในสนามแข่ง คือหัวใจสำคัญของ Audi Sport และครั้งนี้ความตื่นเต้นที่ทุกคนรอคอยมาถึงแล้ว RS 5 Coupé competition กับรูปลักษณ์ที่เร้าใจยิ่งกว่าเดิม ล้อขนาด 20 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Audi sport แบบ 5 ก้าน มาในเฉดสีดำ Phantom black และ สีทูโทน Phantom black high-gloss milled พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดงแบบ RS ดุดันทุกมิติด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ Glossy Black RS พร้อมตกแต่ง Audi Ring และชื่อรุ่นด้วยสี Glossy Black

เครื่องยนต์เบนซินแบบ V6 biturbo ถูกพิสูจน์ด้วยตัวเลขอันร้อนแรง 450 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 290 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สมรรถนะที่เร่าร้อนพุ่งทะยานสุดเร้าใจมาพร้อมเทคโนโลยีการควบคุมที่สมบูรณ์แบบด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ quattro ทำให้การทะยานทุกแรงม้าเป็นไปอย่างมั่นคงในทุกสถานการณ์

ห้องโดยสารลุคสปอร์ตเต็มขั้น เบาะนั่งคู่หน้าแบบ RS Sports ตกแต่งแบบ honeycomb และด้ายสีแดง คันเกียร์และด้านข้างคอนโซลกลางหุ้ม Alcantara สีดำ เบาะนั่งหุ้มหนัง Fine Nappa พร้อมไฟ Projector LED แบบ RS Competition ที่ประตูหน้า-หลัง ผสานฟังก์ชันและความสปอร์ตได้อย่างลงตัว ห้องโดยสารตกแต่งลาย Matte Carbon Twill พร้อมไฟ Ambient light ที่ปรับได้มากถึง 30 เฉดสี

ควบคุมมั่นใจกับพวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัด หุ้มหนัง Alcantara พร้อมสัญลักษณ์ RS Paddle shift แสดงข้อมูลการขับขี่ผ่านจอ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว เสมือนมาตรวัดรถแข่ง ระบบ MMI Navigation plus ขนาด 10.1 นิ้ว สั่งการง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส เติมเต็มอารมณ์การขับขี่ด้วยเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ

เทคโนโลยีไฟหน้าอัจฉริยะแบบ Matrix LED และ Audi laser light ส่องสว่างไกล คมชัดและแม่นยำ ลำแสงปรับการทำงานอัตโนมัติตามสถานการณ์การขับขี่ เพื่อไม่ให้รบกวนรถที่วิ่งสวนมาและรถที่อยู่ด้านหน้า อีกทั้งเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง Laser light จะช่วยทำให้มีระยะการส่องสว่างไกลถึง 600 เมตร ทำให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ตื่นเต้นยิ่งกว่าไปกับเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า (Light staging) และไฟเลี้ยวแบบ Dynamics

RS 5 Coupé competition วางจำหน่ายใน ราคา 6,599,000 บาท สีมาตรฐาน ได้แก่ Glacier white, metallic / Mythos black, metallic / Nardo grey, solid / Tango red, metallic / Progressive red, metallic / Navarra blue, metallic

สีสั่งพิเศษ (Audi exclusive colors) มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 300,000 บาท จากราคาขายแนะนำที่ระบุไว้ในใบราคา ได้แก่ Cumulus blue, solid / Samoa orange, metallic / Java green, metallic / Shiraz red, metallic / Siamese beige, metallic

Audi เป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคันคุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถใหม่จะได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี ลูกค้าอาวดี้สามารถมั่นใจกับงานบริการหลังการขาย ซึ่งมีมาตรฐานคุณภาพเดียวกันทุกสาขา เปิดบริการในวันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 08.00-20.00 น. วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-18.00 น. หรือโทรนัดหมายได้ที่

Audi Centre Thailand                02-765-8888           

Audi New Petchburi                  02-023-4888

Audi Pattaya                             038-197-888

Audi Phuket                              076-646-666

Audi Service Chiang Mai          052-081-188

Audi Service Ratchapruek        02-034-5888

Audi Udonthani                         093-161-5588

Audi Korat                                  044-017-888

โตโยต้า เปิดตัวรถอเนกประสงค์ MPV 7 ที่นั่ง ระดับ LUXURY

โตโยต้า เชิญสัมผัสความหรูหราสะดวกสบายเหนือระดับ ของรถยนต์อเนกประสงค์ระดับ LUXURY ALL-NEW TOYOTA ALPHARD / VELLFIRE “PRIDE OF EXCELLENCE”

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์ระดับ LUXURY 7 ที่นั่ง รุ่นใหม่ล่าสุด ALL-NEW TOYOTA ALPHARD / VELLFIRE เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเป็น Generation ที่ 4 ได้รับการพัฒนาให้เป็นยนตรกรรมที่ยกระดับความหรูหราสะดวกสบายเหนือระดับ ด้วยดีไซน์ภายนอกภายใต้คอนเซปต์ “Forceful x Impact Luxury” ถ่ายทอดความสง่างาม และทรงพลัง พร้อมการออกแบบภายในที่ปราณีตในทุกรายละเอียด ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ขับเคลื่อนนุ่มนวล ทรงพลัง ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด 2.5 ลิตร ที่ผสาน 2 พลังของมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร Dual VVT- i ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ประหยัดน้ำมันสูงสุด 17.9 กม./ลิตร* (*อ้างอิงจาก ECO Sticker) พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เทคโนโลยี E-Four ใหม่ และโครงสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA ที่ออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว และเกาะถนนได้อย่างดีเยี่ยม มั่นใจกว่าด้วยความปลอดภัยเหนือระดับ Toyota Safety Sense เวอร์ชั่นใหม่ ให้ทุกการขับเคลื่อนเต็มไปด้วยสมรรถนะที่ดีเยี่ยมและนุ่มนวลเป็นที่สุดแห่งสุนทรียะในทุกการเดินทาง

พบกับยนตรกรรมระดับหรู ALL-NEW ALPHARD ใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบภายในจากการนั่งเครื่องบินส่วนตัว มุ่งเน้นให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่กว้างขวาง ภายใต้แนวคิด “OMOTENASHI” สร้างประสบการณ์แห่งความผ่อนคลาย และสะดวกสบายสูงสุด พร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน เบาะนั่งผู้โดยสารแถวสองแบบ “Executive Lounge” แยกอิสระปรับได้ 10 ทิศทาง เบาะรองน่องปรับไฟฟ้า และระบบนวด Massage Relaxation ที่สามารถควบคุมผ่าน Detachable Tablet หลังคา Twin Moonroof พร้อมด้วย Ambient Illumination Light ปรับได้ 64 สี เพิ่มความพรีเมียมยิ่งขึ้นด้วย หนังแท้ Premium Nappa และตกแต่งภายในด้วยลายไม้แบบ Uzuramoku

พร้อมกับ ALL-NEW VELLFIRE ใหม่ ด้วยการออกแบบภายนอกที่โดดเด่น ดุดัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราในทุกสัมผัส เรียบหรูด้วยภายในสีดำสไตล์สปอร์ต พร้อมระบบความบันเทิง และความสะดวกสบายด้วย หน้าจอสัมผัสขนาด 14 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย ลำโพง JBL 15 ตำแหน่ง และจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมสัมผัสแห่งความหรูหรา กว้างขวาง และสะดวกสบาย เต็มไปด้วยอรรถประโยชน์ครบครัน

สัมผัสที่สุดของความเป็นเลิศตามแบบฉบับ ALL-NEW TOYOTA ALPHARD / VELLFIRE ได้ 3 สีพิเศษ

Platinum White Pearl ใหม่

Precious Metal ใหม่

และ สี Black

ALPHRAD 2.5 HEV

“เปิดประสบการณ์ Comfort Luxury ใหม่ กับความหรูหรา สะดวกสบาย เสมือนห้องนั่งเล่นเคลื่อนที่”

การออกแบบภายนอก

ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว

ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED พร้อมไปเลี้ยวแบบ Sequential

หลังคา Twin Moonroof

ฝาท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมสวิตช์ควบคุมบริเวณไฟท้าย

การออกแบบภายใน

เบาะนั่งผู้โดยสารแถวสองแยกอิสระ ปรับได้ 10 ทิศทาง พร้อมเบาะรองน่องปรับไฟฟ้า ระบบนวด Massage Relaxation และระบบ Seat Ventilator ควบคุมผ่าน Detachable Tablet

คอนโซลด้านบนห้องโดยสารแบบ Super-long Overhead Console พร้อมจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 14 นิ้ว

Smart Comfort Program สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารแถวสอง

ม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมจอแสดงผลแบบสีบนกระจกหน้ารถ (HUD)

หน้าจอเครื่องเสียงแบบสัมผัสขนาด 14 นิ้ว

ระบบนำทาง Navigator และระบบเชื่อมต่อ T-Connect

การเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน พร้อม nanoe™X สำหรับห้องโดยสารตอนหน้า

สีเบาะภายในสีเบจ Neutral Beige (สำหรับสีรถภายนอก Platinum White Pearl และ Black)

และสีภายในสีดำ Black (สำหรับสีรถภายนอก Precious Metal)

มั่นใจทุกการเดินทาง ด้วยสมรรถนะ และอุปกรณ์เสริมความปลอดภัย

เครื่องยนต์ไฮบริด A25A-FXS ขนาด 2.5 ลิตร Dual VVT-i กำลังรวมสูงสุด 250 PS และประหยัดน้ำมันได้ถึง 17.9 กม./ลิตร* (*อ้างอิงจาก eco sticker)

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD เทคโนโลยี E-Four ใหม่

โครงสร้างสถาปัตยกรรม TNGA เพื่อการทรงตัว เกาะถนนดีเยี่ยม

ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด

ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS 6 ตำแหน่ง

กล้องมองรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor)

ราคา 4,129,000  บาท

VELLFIRE 2.5 HEV

“เปิดประสบการณ์ Sport Luxury ใหม่กับความหรูหราสะดวกสะบาย พร้อมรูปลักษณ์ดุดัน”

การออกแบบภายนอก

พิเศษ! ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว

พิเศษ! ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED ดีไซน์พิเศษเฉพาะ VELLFIRE พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Sequential

พิเศษ! กันชนหน้าและหลัง ดีไซน์พิเศษเฉพาะ VELLFIRE

หลังคา Twin Moonroof

ฝาท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมสวิตช์ควบคุมบริเวณไฟท้าย

การออกแบบภายใน

เบาะนั่งผู้โดยสารแถวสองแยกอิสระ ปรับได้ 10 ทิศทาง พร้อมเบาะรองน่องปรับไฟฟ้า ระบบนวด Massage Relaxation และระบบ Seat Ventilator ควบคุมผ่าน Detachable Tablet

คอนโซลด้านบนห้องโดยสารแบบ Super-long Overhead Console พร้อมจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 14 นิ้ว

Smart Comfort Program สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารแถวสอง

ม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมจอแสดงผลแบบสีบนกระจกหน้ารถ (HUD)

หน้าจอเครื่องเสียงแบบสัมผัสขนาด 14 นิ้ว

ระบบนำทาง Navigator และระบบเชื่อมต่อ T-Connect

การเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน พร้อม nanoe™X สำหรับห้องโดยสารตอนหน้า

สีเบาะภายในสีดำ Black

มั่นใจทุกการเดินทาง ด้วยสมรรถนะ และอุปกรณ์เสริมความปลอดภัย

เครื่องยนต์ไฮบริด A25A-FXS ขนาด 2.5 ลิตร Dual VVT-i กำลังรวมสูงสุด 250 PS และประหยัดน้ำมันได้ถึง 17.9 กม./ลิตร* (*อ้างอิงจาก eco sticker)

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD เทคโนโลยี E-Four ใหม่

โครงสร้างสถาปัตยกรรม TNGA เพื่อการทรงตัว เกาะถนนดีเยี่ยม

ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด

ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS 6 ตำแหน่ง

ราคา  4,279,000 บาท

ALPHARD 2.5 HEV LUXURY

“เปิดประสบการณ์ High End Elegance ใหม่ กับการนั่งโดยสารระดับเฟิร์สคลาส”

การออกแบบภายนอก

พิเศษ! ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว

พิเศษ! สัญลักษณ์ Executive Lounge

ไฟหน้า และไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Sequential

หลังคา Twin Moonroof

ฝาท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมสวิตช์ควบคุมบริเวณไฟท้าย

การออกแบบภายใน

พิเศษ! เบาะนั่งผู้โดยสารแถวสองแยกอิสระ แบบ Executive Lounge ปรับได้ 10 ทิศทาง เบาะรองน่องปรับไฟฟ้า ระบบนวด Massage Relaxation และระบบ Seat Ventilator ควบคุมผ่าน Detachable Tablet พร้อมโต๊ะส่วนตัวแบบพับได้

พิเศษ! ตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยลายไม้แบบ Uzuramoku

พิเศษ! สีเบาะภายในสีดำ Black (สำหรับสีรถภายนอก Platinum White Pearl และ Black) และสีภายในสีน้ำตาล Sunset Brown (สำหรับสีรถภายนอก Precious Metal)

พิเศษ! เพิ่มวัสดุบุนุ่มภายในห้องโดยสาร

พิเศษ! ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน พร้อม nanoe™X สำหรับห้องโดยสารตอนหน้าและหลัง

คอนโซลด้านบนห้องโดยสารแบบ Super-long Overhead Console พร้อมจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 14 นิ้ว

Smart Comfort Program สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารแถวสอง

ม่านบังแดดปรับไฟฟ้า

จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมจอแสดงผลแบบสีบนกระจกหน้ารถ (HUD)

หน้าจอเครื่องเสียงแบบสัมผัสขนาด 14 นิ้ว

ระบบนำทาง Navigator และระบบเชื่อมต่อ T-Connect

การเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย

มั่นใจทุกการเดินทาง ด้วยสมรรถนะ และอุปกรณ์เสริมความปลอดภัย

เครื่องยนต์ไฮบริด A25A-FXS ขนาด 2.5 ลิตร Dual VVT-i กำลังรวมสูงสุด 250 PS และประหยัดน้ำมันได้ถึง 17.9 กม./ลิตร* (*อ้างอิงจาก eco sticker)

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD เทคโนโลยี E-Four ใหม่

โครงสร้างสถาปัตยกรรม TNGA เพื่อการทรงตัว เกาะถนนดีเยี่ยม

ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด

กล้องมองรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor)

พิเศษ! เพิ่มความสปอร์ตแบบ Exclusive ได้มากกว่า ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่ง MODELLISTA*

ALPHARD MODELLISTA ประกอบด้วยอุปกรณ์ตกแต่งกระจังหน้า – สเกิร์ตหน้า – สเกิร์ตข้างซ้าย-ขวา สเกิร์ตหลัง และสัญลักษณ์ Modellista ด้านท้ายรถ ราคา (รวมค่าติดตั้ง) 149,000 บาท

VELLFIRE MODELLISTA ประกอบด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งสเกิร์ตหน้า – สเกิร์ตข้าง ซ้าย-ขวา – สเกิร์ตหลัง อุปกรณ์ตกแต่งท่อไอเสีย และสัญลักษณ์ Modellista ด้านท้ายรถ ราคา (รวมค่าติดตั้ง) 169,000 บาท

มั่นใจสูงสุดกับระบบไฮบริด และศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศได้มากกว่า ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ**

แพ็กเกจขยายระยะเวลารับรองการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี (ช่วงปีที่ 6-10) พร้อมรับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

ขยายระยะรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กม.เมื่อเข้าเช็กระยะตามกำหนด

พร้อมฟรีค่าแรงเช็คระยะจนถึง 100,000 กม.

*ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง MODELLISTA จัดจำหน่ายโดย บริษัท ทีซีดี เอเชีย เซลล์ จำกัด

โดยชุดอุปกรณ์ตกแต่งมีจำหน่ายเฉพาะสี Platinum White Pearl และสี Black เท่านั้น

 **เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

เชิญสัมผัส และเปิดประสบการณ์ใหม่แห่งความหรูหรา สะดวกสบายเหนือระดับของ   

 ALL-NEW TOYOTA ALPHARD / VELLFIRE “PRIDE OF EXCELLENCE”

16 – 22 สิงหาคม ที่ TOYOTA ALIVE บางนา

25 สิงหาคม – 3 กันยายน ที่งาน Big MOTOR SALE ณ ไบเทค บางนา

28 กันยายน – 4 ตุลาคม ที่งาน ALL-NEW TOYOTA ALPHARD / VELLFIRE “THE EXCLUSIVE SHOWCASE” ที่ Central EastVille

ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่ :

https://www.toyota.co.th/ Facebook: Toyota Motor Thailand LINE ID: @ToyotaThailand

“โตโยต้า ร่วมขับเคลื่อนอนาคต”

ยามาฮ่า หนุนเมืองทอง ยูไนเต็ด สู้ศึกไทยลีกฤดูกาล 2023-24

ยามาฮ่า รุกต่อเนื่องศึกไทยลีก สนับสนุนเมืองทอง ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2023-24 คัมแบ็กเจ้าบอลไทย

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายขาย บริการและอะไหล่ พร้อมผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับ นายวิลักษณ์ โหลทอง ประธานสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด นายรณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้อำนวยการสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด มร.มาริโอ ยูรอฟสกี้ หัวหน้าผู้ฝึกสอนและนักฟุตบอลสโมสรเมืองทอง ในงานแถลงข่าวเปิดตัวสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ประจำฤดูกาล 2023-2024 อย่างเป็นทางการภายใต้แคมเปญ“IG NITE THE PASSION” เสริมทัพนักเตะจากไทยและต่างชาติเตรียมพร้อมทวงความยิ่งใหญ่ในเวทีไทยลีกอีกครั้ง

โดยยามาฮ่าได้สนับสนุนสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ดมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2008 จนประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 4 สมัย แชมป์ถ้วยพระราชทานประเภท ก แชมป์ไทยแลนด์แชมเปียนชิพคัพ แชมป์ไทยลีกคัพ แชมป์โตโยต้า พรีเมียร์คัพ และแชมป์แม่โขงแชมเปียนชิพ อย่างละ 1 สมัย รวมถึง แชมป์ไทยลีก 2 และไทยลีค 4 อีกอย่างละ 1 สมัยด้วยกัน

โดยการแถลงข่าวเปิดตัวสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ประจำฤดูกาล 2023-2024 อย่างเป็นทางการ ในครั้งนึ้มีขึ้น ณ สนามฟุตบอลหญ้าเทียมธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

ยามาฮ่า หนุนบุรีรัมย์มาราธอนต่อเนื่องปีที่ 8

ยามาฮ่า หนุนบุรีรัมย์มาราธอนต่อเนื่องปีที่ 8 ไนท์รันเดียวระดับโลก มาตรฐาน Gold Label

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร นางสาวบัวทิพย์ จันทร์ดำรงกุล รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวางแผนการค้า และการตลาด นายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายขาย บริการและอะไหล่ พร้อมผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับ นายเนวิน ชิดชอบ ประธาน บริษัท บุรีรัมย์ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จำกัด ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ นายกสมาคมกรีฑาแห่งประเทศไทย นายโชติชนก ชิดชอบ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมต่างประเทศ บริษัท บุรีรัมย์ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต และนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ในงานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันบุรีรัมย์มาราธอน 2024 โดยในปีนีั บุรีรัมย์ มาราธอน ยกระดับ มาตรฐานมาราธอนเป็น Gold Label จาก World Athletics สมาพันธ์กรีฑาโลก สำหรับบุรีรัมย์ มาราธอน 2024 จะจัดขึ้นในวันที่ 27 มกราคม 2567 และยามาฮ่ายังคงมุ่งมั่นและพร้อมสนับสนุนวงการกรีฑา และพร้อมที่จะพัฒนากีฬาวิ่งอย่างต่อเนื่อง 

โดยการแถลงข่าวการแข่งขันบุรีรัมย์มาราธอน 2024 ในครั้งนี้จัดขึ้น ณ สโมสรราชพฤกษ์ ถ.วิภาวดี-รังสิต เมื่อเร็วๆ นี้

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save